พบผลการค้นหา 220 รายการ
- ร้านค้าเครื่องหวายบนถนนมหาไชย ถนนสายประวัติศาสตร์
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2558 แนวถนนมหาไชย ภาพจากแผนที่พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๔ ‘ถนนมหาไชย’ เป็นถนนเส้นหนึ่งในกรุงเทพมหานครเริ่มต้นตั้งแต่ถนนราชดำเนินกลางบริเวณสี่แยกป้อมมหากาฬข้ามคลองหลอดวัดราชนัดดา วัดเทพธิดาราม ตัดกับถนนบำรุงเมืองและถนนหลานหลวง ข้ามคลองหลอดวัดราชบพิธ ตัดกับถนนเจริญกรุง จนกระทั่งถึงถนนพีระพงษ์ ถนนเยาวราช และถนนจักรเพชร สำหรับที่มาของชื่อถนนมหาไชย มีดังนี้ เดิม ‘มหาไชย’ เป็นชื่อของป้อมปราการ ๑ ใน ๑๔ ป้อมที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น เมื่อทรงสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นราชธานี ต่อมาเมื่อบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย ป้อมปราการสำหรับการป้องกันพระนครถูกลดความสำคัญลง ป้อมมหาไชยจึงถูกรื้อถอนและมีการตัดถนนผ่านบริเวณป้อมมหากาฬที่ถูกรื้อไป จึงมีการตั้งชื่อถนนว่า ‘ถนนมหาไชย’ ขึ้นแทน ถนนมหาไชย เป็นถนนเส้นหนึ่งที่มีความสำคัญสำหรับย่านเมืองเก่าภายในกำแพงพระนคร เป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ที่มีความทรงจำเกี่ยวกับผู้คนในอดีตมาอย่างยาวนาน เกือบทั้งสายมีสถานที่สำคัญและมีความสัมพันธ์กับผู้คนในอดีตตั้งอยู่ ไม่ว่าจะเป็นป้อมมหากาฬ ตลาดสำราญราษฎร์ ย่านประตูผี หรือแม้แต่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครในอดีต นอกจากนั้นยังมีชุมชนเก่าแก่ตั้งอยู่บนถนนเส้นนี้อีกเช่นกัน เช่น ชุมชนป้อมมหากาฬ ชุมชนบ้านสายรัดประคด ชุมชนข้างเรือนจำ ฯลฯ ซึ่งชุมชนเหล่านี้ล้วนเป็นชุมชนที่อาศัยอยู่ร่วมกันในพื้นที่มาอย่างยาวนานและเป็นชุมชนที่มีความพิเศษกว่าชุมชนอื่น เนื่องจากเป็นชุมชนที่มีการผลิตงานฝีมือที่มีชื่อเสียง แต่บางชุมชนที่ไม่มีการสืบทอดงานฝีมือต่อมา งานฝีมือซึ่งเป็นสิ่งล้ำค่าเหล่านั้นต้องสูญหายไปตามกาลเวลา ดังในชุมชนสายรัดประคดที่ปัจจุบันไม่มีผู้คนที่สืบต่อการทำสายรัดประคดแล้วเลิกทำเพราะหมดความนิยมและไม่มีผู้สืบต่อเหลือเพียงแต่ชื่อของชุมชนไว้เพื่อเล่าเรื่องว่าครั้งหนึ่งเคยมีการทำสายรัดประคดเท่านั้นแต่ก็ยังคงมีอีกหลายชุมชนเช่นกันที่ยังคงสืบทอดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน เช่น ป้อมมหากาฬที่มีชื่อเสียงในเรื่องของการทำกรงนกหรือการขายพลุริมประตูป้อมมหากาฬ ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงมีอยู่ และหากจะกล่าวถึงย่านที่มีร้านขายเครื่องหวายในเขตพระนครที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักมาตั้งแต่ในอดีต ก็คือ ‘ชุมชนข้างเรือนจำ’ ตั้งอยู่ใกล้กับสวนรมณีนาถ บนถนนมหาไชย บริเวณนี้เดิมเป็นชุมชนที่ประกอบอาชีพขายเครื่องหวาย ปัจจุบันเหลือร้านค้าหวายอยู่เพียง ๓ ร้านเท่านั้น คือ ร้านนายเหมือน ร้านสุริยาพานิช และร้านยุพดีวานิช หากจะถามว่าร้านใดที่มีชื่อคุ้นหูและได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุด ผู้คนทั่วไปคงจะนึกถึงร้านนายเหมือน แต่ถึงกระนั้นมีเพียงน้อยคนที่จะทราบว่าจริง ๆ แล้วร้านเครื่องหวายที่เปิดขายเป็นร้านแรกและเก่าแก่ที่สุด คือ ร้านยุพดีวานิช ร้านยุพดีวานิช ตั้งอยู่บนถนนมหาไชย บนพื้นที่ของวังเดิมของเชื้อพระวงศ์ในสมัยรัชกาลที่ ๕ คือ วังของกรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา เป็นแนวยาวไปจนถึงร้านนายเหมือน หลังจากที่มีการรื้อถอนวังเดิมออกก็มีการสร้างเป็นตึกแถวไม้เตี้ย ๆ ชั้นเดียวให้เช่า เจ้าของพื้นที่มีการเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ไป พื้นที่บริเวณนี้กลายเป็นทั้งของมูลนิธิจันทรทัตและสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ คุณยุพดี สีลพัทธ์กุล อายุ ๘๘ ปีเจ้าของร้านยุพดีวานิช ร้านค้าเครื่องหวายเก่าแก่แห่งถนนมหาไชย ภายในร้านค้าที่มีเครื่องหวายหลากชนิด โดยร้านยุพดีวานิชเป็นพื้นที่ของมูลนิธิจันทรทัต ทายาทของเชื้อพระวงศ์ในวังเดิม ส่วนตรงร้านนายเหมือนเป็นพื้นที่ในกรรมสิทธิ์ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่มาของชื่อร้านยุพดีวานิชมาจากชื่อของคุณยายยุพดี สีลพัทธ์กุล เจ้าของร้านยุพดีวานิชรุ่นแรก ที่มีอายุกว่า ๘๘ ปี นับเป็นคนเก่าแก่ที่ผ่านเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในย่านนี้มามาก ท่านจึงมีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับย่านถนนมหาไชย แรกเริ่มเดิมทีคุณยายยุพดีใช้นามสกุล ‘แซ่ลิ้ม’ เป็นคนในย่านเยาวราชมาตั้งแต่เกิดและมีเชื้อสายจีนแคะ คุณยายเล่าให้ฟังถึงตอนเด็ก ๆ ว่า “สมัยก่อนตอนช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ แถวเยาวราชร้านขายเครื่องหนังขายดีมาก เพราะคนญี่ปุ่นชอบใช้เครื่องหนัง โดยเฉพาะกระเป๋าหนัง ร้านขายเครื่องหนังดัง ๆ สมัยก่อนก็มีร้านเซน ช่อง ที่ตั้งอยู่เยื้องกับศาลาเฉลิมกรุงมาหน่อย ร้านนั้นอายุ ๑oo กว่าปีแล้ว ที่นั่นจะขายรองเท้าหนัง อานม้า” ภายหลังจากคุณยายอายุ ๒๐ ปี ก็แต่งงานแล้วย้ายมาอาศัยอยู่ตรงตึกแถวหน้าวังนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๙ ก่อนจะมาเป็นร้านยุพดีวานิช ร้านนี้เคยมีชื่อว่า ‘เหลียนฮับ’ มีความหมายว่า ความสามัคคี มาจากการที่คุณยายมีลูกมากทั้งสามีและคุณยายจึงอยากให้ลูก ๆ มีความสามัคคีกัน ต่อมาภายหลังเปลี่ยนเป็นชื่อ “ยุพดีวานิช” ซึ่งเป็นชื่อของคุณยายที่หลวงพ่อวัดสระเกศฯ ในสมัยนั้นตั้งให้ การเกิดขึ้นของร้านยุพดีเริ่มมาจากการที่พี่ชายของคุณตาย้ายมาจากเมืองจีนพร้อมกับนำความรู้เรื่องการทำเครื่องหวาย เครื่องจักสานในการทำเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ เข้ามาด้วย การทำร้านเครื่องหวายเริ่มต้นจากการทำห่วงไม้หวายที่ใช้เล่นในเกมโยนห่วงตามงานวัด ซึ่งได้รับความนิยมมากเพราะมีการสั่งทำห่วงอย่างไม่ขาดสาย จนมาภายหลังตั้งเป็นร้านเหลียนฮับหรือร้านยุพดีวานิชขึ้น ในช่วงนั้นร้านเครื่องหวายยุพดีถือได้ว่าเป็นร้านแรกที่ทำตะกร้าหวายลวดลายละเอียดประณีตแล้วส่งต่อไปยังอยุธยา อาจจะเรียกได้ว่าเครื่องหวาย เครื่องจักสานพวกตะกร้าต่างๆ ของอยุธยามีการรับอิทธิพลมาจากร้านหวายในย่านนี้ด้วย สมัยก่อนสินค้าที่จำหน่ายในร้านยุพดีวานิชที่เป็นงานฝีมือทางร้านจะทำเองทั้งหมด ซึ่งคนที่ทำส่วนใหญ่ก็จะเป็นลูกหลานในครอบครัวที่ช่วยกันสานเครื่องหวาย ในปัจจุบันการทำเครื่องหวายก็ยังมีทั้งที่ทางร้านทำเองและรับมาขายโดยการสั่งทำ เครื่องหวายที่ทำเองจะทำเป็นอะไหล่แต่ละชิ้นย่อย ๆ แล้วส่งให้แต่ละบ้านที่มีฝีมือทำแทน เพราะขาดแรงงานในการทำ คนเก่าแก่ก็เสียชีวิตไปจนหมดหรือลูกหลานที่เคยทำเครื่องหวายหลังจากเรียนจบก็หันไปทำงานด้านอื่นแทน ดังนั้นทุกวันนี้ส่วนเครื่องหวายที่สั่งทำมีการสั่งมาจากกลุ่มที่ทำงานฝีมือทางภาคเหนือและภาคอีสาน ภายในร้านเครื่องหวายยุพดีวานิชมีการจำหน่ายสินค้าหลายประเภทด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้หวาย ตะกร้าหวาย กระเป๋าจักสานหลากหลายขนาด ทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กมีให้เลือกมากมายสมัยก่อนเครื่องหวายจะเป็นที่นิยมมาก แม้แต่เมื่อครั้งมีงานเทศกาลสำคัญต่างๆ ก็จะมีการเชิญให้ร้านนำเครื่องหวายไปขายตามงานต่าง ๆ เช่น งานกาชาด งานเกษตร หรือแม้แต่งานประจำปีของวัดสระเกศ อีกทั้งยังมีการทำส่งไปยังต่างจังหวัด เช่น อยุธยาด้วย แต่ปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่ที่ซื้อจะเป็นลูกค้าประจำ หรือลูกค้าเก่าแก่ที่ซื้อขายกันมานาน เนื่องจากความนิยมในเฟอร์นิเจอร์เครื่องหวายเริ่มลดน้อยลงไปตามกาลสมัยที่มีวัสดุอื่นเข้ามาแทนที่วัสดุที่หาได้ตามธรรมชาติและมีความคลาสสิกอย่างงานเครื่องหวาย เมื่อย้อนกลับไปในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ นอกจากพื้นที่บริเวณนี้จะมีชื่อเสียงในเรื่องของเครื่องหวายแล้ว ยังเป็นพื้นที่ที่ตั้งของสถานที่สำคัญด้วย ไม่ว่าจะเป็นประตูผี วังของเชื้อพระวงศ์ในรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของวังหลายวัง แค่เพียงบริเวณตึกแถวร้านเครื่องหวายนี้ก็มีวังเชื้อพระวงศ์ตั้งอยู่ถึง ๒ วัง คือ วังกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์และวังกรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา เชื้อพระวงศ์ในรัชกาลที่ ๔ ซึ่งนี่ก็อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ระบบสาธารณูปโภคและการคมนาคมในพื้นที่บริเวณนี้มีการพัฒนาไปมาก ทั้งถนนหนทาง เส้นทางรถรางวิ่งรอบพระนคร คุณยายเล่าว่า “เมื่อก่อนถ้าจะข้ามไปฝั่งวรจักร รถยนต์ข้ามไปไม่ได้เลย เพราะเป็นเพียงแค่ไม้กระดานแผ่นเดียวมีแต่หญ้าและผักบุ้งขึ้นข้างทางเยอะแยะ สะพานข้ามคลองสมัยก่อนก็ไม่ได้มีเยอะถ้าจะข้ามก็ต้องไปข้ามตรงวัดสระเกศกับตรงสะพานสมมตอมรมารคเท่านั้น จนปี พ.ศ. ๒๕๐๕ เพิ่งจะมาสร้างสะพานดำรงสถิตรถยนต์ถึงข้ามไปได้” นอกจากนี้บริเวณรอบ ๆ ก็มีแหล่งอุตสาหกรรมขนาดเล็กตั้งอยู่อีกจำนวนมาก เช่น ฝั่งตรงข้ามร้านหวายจะมีโรงทำกระทะใบบัวเหล็ก โรงน้ำแข็ง และโรงเลื่อย ส่วนโรงทำขนมปังตั้งอยู่บริเวณวัดสระเกศและมีโรงกลึงตั้งอยู่ถัดจากกัน ปัจจุบันสถานที่เหล่านี้หายไปจนหมดกลายเป็นตึกแถว ๒-๓ ชั้นตั้งอยู่แทน พื้นที่ในเกาะรัตนโกสินทร์ยังมีถนนอีกหลายสายที่มีความทรงจำของผู้คนที่ตกค้างหลงเหลืออยู่ให้เราค้นหา เช่น ถนนบำรุงเมือง ถนนราชดำเนิน ฯลฯ ซึ่งถนนทุกสายล้วนมีประวัติศาสตร์แตกต่างกันออกไป เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้นักท่องย่านเมืองเก่าทั่วโลกใฝ่ฝันถึง หากแม้การเปลี่ยนแปลงจากการพัฒนาสถานที่รอบเกาะรัตนโกสินทร์เพื่อให้มีความเป็นศิวิไลซ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้ความทรงจำเหล่านี้หายไป คนรุ่นใหม่จะเข้าใจและค้นหาความหมายของความทรงจำที่คนเก่าแก่ทิ้งไว้ให้ได้อย่างไร นักท่องเที่ยวจะเข้ามาพบกับความเป็นศิวิไลซ์ที่ไม่ได้มีความแตกต่างและมีเอกลักษณ์ต่างไปจากสถานที่อื่นได้อย่างไร หากในอนาคตสิ่งเหล่านี้หายไปจนหมดสิ้น ขอขอบคุณผู้ให้ข้อมูล คุณยุพดี สีลพัทธ์กุล อายุ ๘๘ ปี เจ้าของร้านยุพดีวานิช ถนนมหาไชย พัชรินธร เดชสมบูรณ์รัตน์ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ศาลาโรงธรรม ศาลากลางบ้านที่บ้านสายรัดประคด ร่องร่อยชุมชนเก่าในกรุงเทพ ที่ยังเหลืออยู่
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มิ.ย. 2558 ในกรุงเทพมหานครทุกวันนี้ หากกล่าวถึง ‘ ศาลาโรงธรรม ศาลากลางบ้าน หรือศาลากลางย่าน’ คงมีน้อยคนที่เคยเห็นหรือรู้จัก เพราะแทบทุกแห่งเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางกายภาพไปจนถึงโครงสร้างทางสังคม ศาลาโรงธรรมที่เคยเป็นแหล่งทำกิจกรรมส่วนรวมของชุมชนทั้งเป็นสถานที่ทำบุญร่วมกัน โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่วัดทุกวันสำคัญทางพุทธศาสนาหรือเป็นสถานที่พบปะพูดคุยสังสรรค์ในระหว่างเพื่อนบ้านและเครือญาติ บัดนี้แทบจะไม่เคยพบเห็นกันอีก และกลายเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจสำหรับผู้คนในชุมชนเมืองเช่นกรุงเทพมหานครที่รับรู้ว่า ครั้งหนึ่ง กรุงเทพฯ เคยมีศาลาประจำชุมชนอยู่ทั่วไป อาคารศาลาในชุมชน เป็นพื้นที่สาธารณะและมักพบเห็นได้ทั่วไปในทุกท้องถิ่นดั้งเดิม ส่วนใหญ่สร้างตามลักษณะเด่นของศิลปกรรมท้องถิ่นนั้น ยกพื้นสูงบ้างต่ำบ้าง หลังคามุงกระเบื้องและการประดับตกแต่งก็ขึ้นอยู่กับฐานะโดยส่วนรวมของชุมชน ลักษณะเด่นคือผนังเปิดโล่งทั้งสี่ด้านเพื่อการใช้ประโยชน์ที่สะดวกนั่งพัก หลบฝน ทำกิจกรรมต่าง ๆ สำหรับคนจำนวนมาก ศาลาสาธารณะในชุมชนมีหลายประเภทและหลายรูปแบบหน้าที่ เช่น ศาลาที่พักคนเดินทางที่เรายังคงพบเห็นในหลายแห่งในท้องถิ่นทางภาคใต้ ศาลาท่าน้ำโดยเฉพาะตามวัดที่เคยมีการเดินทางสัญจรทางน้ำ และศาลาในวัดที่มีการใช้งานหลากหลาย เช่น ทำบุญ สวดศพหรือทำพิธีกรรมต่าง ๆ ศาลาอีกประเภทหนึ่งที่มีมาแต่ดั้งเดิมและสำคัญสำหรับชุมชนแรกเริ่มเพราะใช้สำหรับทำพิธีกรรมร่วมกันในชุมชนก็คือ ‘ศาลากลางบ้าน’ ในกลุ่มชนระดับเล็ก ๆ ที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่ยังไม่ได้รับศาสนาหลักก็มักใช้ศาลากลางบ้านและลานกลางบ้านสำหรับทำพิธีกรรมเลี้ยงผีบ้าน เลี้ยงผีบรรพบุรุษปีละครั้งเป็นอย่างน้อย นอกจากนั้นจึงใช้ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันอื่น ๆ เช่น จักสาน ทอผ้า พูดคุย ฯลฯ ศาลากลางบ้านในชุมชนพุทธศาสนากลายเป็น ‘ศาลาโรงธรรม’ หากชุมชนนั้นไม่ได้มีศูนย์กลางของชุมชนอยู่ที่วัดใดวัดหนึ่ง ซึ่งหมายถึงเป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ห่างวัดหรือเป็นชุมชนในระดับเมืองที่มีชุมชนรอบวัดหลายชุมชน และอาจจะไม่สะดวกสำหรับคนในชุมชนโดยเฉพาะคนสูงวัยที่จะต้องไปปฏิบัติศาสนกิจในวัดเป็นประจำ เช่น ในวันพระวันโกนหรือการทำบุญที่ไม่ใช่วันอุโบสถศีลหรือวันพระใหญ่ที่อาจจะไม่จำเป็นต้องไปที่วัดหรือไปพักถือศีลร่วมกันที่วัด ก็มักจะทำบุญและนิมนต์พระสงฆ์มาเทศน์กันเป็นการภายในชุมชน ช่วงที่ว่างเว้นจากงานบุญศาลาโรงธรรมก็จะถูกใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมของคนในชุมชนเป็นที่พบปะของชาวบ้านจนกลายเป็นสถานที่ค้าขายไปเสียมากก็มี การสร้างศาลากลางบ้านหรือศาลาโรงธรรม นอกจากได้รับเงินบริจาคของคนในชุมชนก็มักจะมาจากแรงศรัทธาของผู้มีฐานะ ดังที่เรามักพบชื่อของผู้บริจาคติดอยู่หรือเรียกเป็นชื่อศาลานั้นเลยก็มี ในพื้นที่ย่านเก่าของกรุงเทพมหานคร มีการสร้างศาลาอยู่หลายแห่ง แต่ละแห่งสร้างเพื่อเป็นพื้นที่พักสาธารณะในชุมชนเมืองและอยู่ริมถนนในย่านเก่า ที่มีหน้าที่ใช้งานต่างๆ จากความทรงจำและคำบอกเล่าของ ส.พลายน้อย เรื่อง “เล่าเรื่องบางกอก ฉบับสมบูรณ์” โดยสำนักพิมพ์พิมพ์คำ (๒๕๕๕) ดังเช่น บริเวณแถบถนนเฟื่องนคร มี ‘ศาลาเตาปูน’ อยู่บนถนนเฟื่องนคร เป็นศาลาไม้ หลังคามุงกระเบื้อง ‘ศาลาเพชรฉลู’ ตั้งอยู่เชิงสะพานข้างวัดราชบพิธ เป็นศาลาก่ออิฐถือปูน ยกพื้นสูง ‘ศาลาปูน’ อยู่ข้างห้างอับดุลราฮิม เป็นศาลายกพื้น ก่ออิฐถือปูน ‘ศาลาเปรต’ อยู่ใกล้ห้่างทิสแมน เป็นศาลามีฝาไม้สัก ยกพื้นสูง ตำแหน่งที่ตั้งของบ้านสายรัดประคด สายรัดประคด ภาพในอดีตของกลุ่มช่างทอสายที่บ้านสายรัดประคด ศาลาโรงธรรมที่บ้านบาตรซึ่งยังมีการใช้งานของชุมชนในเรื่องสารพัดประโยชน์รวมทั้งการทำบุญ และทำพิธีกรรมของชุมชน บริเวณแถบถนนเสาชิงช้า มี ‘ศาลาตรอกศาลเจ้าครุฑ’ อยู่เชิงสะพานช้างโรงสี เป็นสะพานก่ออิฐถือปูน ยกพื้นสูง หลังคามุงกระเบื้อง ‘ศาลาฝ้าย’ อยู่มุมถนนตีทอง ใกล้วัดสุทัศน์ฯ เป็นศาลาฝาไม้สัก หลังคามุงกระเบื้อง บริเวณแถบบ้านหม้อ - บ้านญวน มี ‘ศาลาตาเพ็ง’ อยู่ใกล้สี่แยกบ้านหม้อ เป็นศาลาฝาไม้ ยกพื้นสูง หลังคามุงกระเบื้อง มีช่อฟ้าใบระกา ‘ศาลาบ้านญวน’ อยู่ไม่ไกลจากสี่แยกถนนพาหุรัด เป็นศาลาไม้ ยกพื้นเตี้ย ๆ บริเวณแถบถนนมหาไชย ‘ศาลาบ้านพระยาจ่าแสน’ อยู่เชิงสะพานช้างโรงหวย เป็นศาลาก่ออิฐถือปูน ‘ศาลาเจ้าพระยาธรรมา’ เป็นศาลาก่ออิฐถือปูน อยู่ใกล้กองมหันตโทษหรือสวนรมมณีนาถในปัจจุบัน ศาลาข้างต้นน่าจะเป็นศาลาสำหรับการใช้งานสาธารณะเพื่อเป็นที่พักการเดินทางในเมืองเก่า แต่สำหรับศาลากลางบ้านที่เป็นศาลาโรงธรรมของชุมชนขนาดเล็ก ๆ ที่เป็นหมู่บ้านในย่านเก่าของกรุงเทพมหานครที่ยังเหลืออยู่แห่งสำคัญได้แก่ ‘ศาลากลางบ้านหรือศาลาโรงธรรมที่บ้านบาตร’ ซึ่งยังคงหน้าที่โดยมีการใช้งานจริง จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่แสดงถึงความเป็น ‘ชุมชนโดยธรรมชาติ’ ที่ยังหลงเหลืออยู่แห่งเดียวในย่านเก่ากรุงเทพมหานคร เดิมศาลาหลังนี้เป็นศาลาไม้ ต่อมาปรับปรุงเป็นศาลาไม้ประกอบปูน ชาวบ้านที่นี่ใช้ศาลาแห่งนี้เป็นศาลาอเนกประสงค์ มีการจัดงานต่างๆ อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ทั้งงานบวช งานแต่งงาน งานศพ งานไหว้พ่อปู่บ้านบาตร นอกจากน้ั้น ยังใช้เป็นสถานที่จัดงานบุญเลี้ยงพระปีละ ๕ ครั้ง คือ ช่วงปีใหม่ วันสงกรานต์ วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา และวันพ่อแห่งชาติ ๕ ธันวาคมของทุกปี ศาลากลางบ้านหรือศาลาโรงธรรมที่ยังคงสภาพดีอยู่อีกแห่งหนึ่งคือ ‘ศาลาโรงธรรมบ้านสายรัดประคด’ แม้ในปัจจุบันผู้คนในชุมชนจะย้ายออกไปมากแล้วจนทำให้ไม่มีการใช้งานเป็นปกติ ศาลาที่บ้านสายรัดประคดนอกจากจะถูกใช้ในกิจกรรมทางศาสนาเหมือนเช่นที่บ้านบาตรแล้ว แต่ยังเคยใช้เป็นสถานที่สำหรับผลิตงานหัตถกรรมชิ้นสำคัญ คือ ‘สายรัดประคด’ อันเป็นที่มาของชื่อ ‘บ้านสายรัดประคด’ นั่นเอง บ้านสายรัดประคดตั้งอยู่ด้านหลังร้านน้ำอบนางลอย ในตรอกเล็ก ๆ ตรงข้ามวัดเทพธิดาราม ขนาบข้างด้วยคลองรอบกรุงทางทิศตะวันออกและคลองหลอดวัดราชนัดดาทางทิศเหนือ และมีทางเท้าเดินต่อเนื่องไปสู่ชุมชนที่ตรอกพระยาเพชรฯ หรือป้อมมหากาฬ ศาลาโรงธรรมที่บ้านสายรัดประคด สายรัดประคด นับเป็น ๑ ใน เครื่องอัฐบริขารทั้ง ๘ อย่าง ที่พระภิกษุสงฆ์ต้องมีประจำตัว คำว่า ‘ประคด’ มีความหมายตามพจนานุกรมว่า แผ่นผ้าหรือด้ายที่ถักเป็นแผ่นยาว ใช้สำหรับคาดเอวหรืออกของภิกษุสงฆ์ ถ้าคาดอกเพื่อไม่ให้จีวรหลุด จะเรียก ‘ประคดอก’ และถ้าใช้คาดเอวเพื่อไม่ให้ผ้าสบงหลุดเรียก ‘ประคดเอว’ การทอสายรัดประคดที่บ้านสายรัดประคด กล่าวกันว่าเริ่มขึ้นครั้งแรกตั้งแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อราวพุทธศักราช ๒๔๐๐ ‘พระยารามรณรงค์สงคราม รามมีไชยไสวเวียง (บัว)’ ต้นตระกูลรามโกมุท ได้ไปดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการทางหัวเมืองเหนือ ท่านได้พบช่างชาวอินเดียผู้มีความรู้ด้านการทอเข็มขัดคาดเอวหรือสายรัดประคดสำหรับภิกษุสงฆ์ จึงได้เชิญมาเป็นครูฝึกสอนลูกหลานในตระกูลรามโกมุทที่อาศัยอยู่ร่วมกันในบริเวณอันเป็นที่ตั้งของบ้านสายรัดประคดในปัจจุบัน “พระยารามรณรงค์สงคราม รามมีไชยไสวเวียง” หรือที่ลูกหลานยุคปัจจุบันเรียกว่า ‘เจ้าคุณทวด’ เกิดเมื่อปีฉลู ราวพ.ศ. ๒๓๓๖ ณ บ้านบางยี่โท อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ต่อมาราวปี พ.ศ. ๒๓๗๐ ได้เดินทางเข้ามายังกรุงเทพฯ และถวายตัวเข้ารับราชการ ต่อมาสมัยรัชกาลที่ ๔ ท่านได้มีโอกาสถวายงานเป็นข้าหลวงในสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี พระมเหสีในรัชกาลที่ ๔ จากนั้นจึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เข้ารับราชการในกรมมหาดเล็กและได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น ‘พระอินทราช (บัว)’ ปฏิบัติงานในกรมพระตำรวจหลวงรักษาพระองค์เป็นเวลานานกว่า ๑๒ ปี จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการเมืองตาก เมื่อปี พ.ศ.๒๔๐๓ โดยได้รับบรรดาศักดิ์เป็นพระยาวิชิตชลธีศรีสุรสงครามรามราไชยสวัสดิ์ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๐๙ ได้ไปดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการเมืองกำแพงเพชร และได้รับบรรดาศักดิ์เลื่อนเป็น ‘พระยารามรณรงค์สงครามรามมีไชยไสวเวียง’ ภายหลังเมื่อเกษียณอายุราชการ ก็ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นแม่กองปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุในพระอารามวัดเทพธิดาราม โดยในครั้งนั้นได้ตั้งโรงเลื่อยสำหรับเลื่อยท่อนซุงที่ล่องมาตามริมคลองโอ่งอ่างหรือคลองรอบกรุง ขึ้นบนพื้นที่ว่างนอกกำแพงเมืองตรงข้ามวัดเทพธิดาราม ท่านสามารถควบคุมการทำงานบูรณะปฏิสังขรณ์ให้สำเร็จลงได้อย่างเรียบร้อย รัชกาลที่ ๔ จึงพระราชทานที่ดินราว ๔ ไร่ ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของโรงเลื่อยนั้น ให้เป็นกรรมสิทธิ์ ซึ่งท่านได้จัดสรรที่ดินให้บุตรหลาน ปลูกสร้างบ้านพักของตนเอง โดยมีสิ่งปลูกสร้างภายในชุมชนคือ ศาลากลางบ้านหรือศาลาโรงธรรม ปลูกอยู่ด้วยกัน ศาลากลางบ้านที่บ้านสายรัดประคด เป็นศาลาไม้ เปิดโล่ง ยกพื้นเตี้ย ๆ เป็นเสมือนศูนย์กลางสำคัญของเครือญาติในสายตระกูลรามโกมุท โดยนอกจากจะใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตามโอกาสอันเหมาะสมแล้ว ยังเคยถูกใช้เป็นที่สำหรับตั้งกี่เพื่อทอสายรัดประคดอีกด้วย การทอสายรัดประคดมีอุปกรณ์และขั้นตอนสำคัญ โดยเริ่มด้วยการเลือกใช้ไหมญี่ปุ่นเป็นวัตถุดิบหลัก เพราะมีความเหนียว คงทน สีติดง่าย จากนั้นจึงทำการเตรียมด้ายเพื่อให้สะดวกในการใช้งาน แล้วจึงเข้าสู่ขั้นตอนการเตรียมด้ายยืน หรือที่เรียกว่า การเดินด้าย และการค้นสาย โดยเอาด้ายที่ม้วนแล้ว จากฝั่งหางของกี่มาส่งให้ผู้ที่นั่งอยู่ฝั่งหัวกี่ ด้วยการร้อยด้ายเข้ารูกระ จำนวนเที่ยวที่จะเดินขึ้นอยู่กับความกว้างของสายรัดประคดที่ต้องการทอ จากนั้นจึงทำการ ‘ทอสาย’ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญ ต้องใช้คน ๒ คน คือ ‘คนทอ’ และ ‘คนกลับ’ ช่วยกันส่งสลับด้ายที่เตรียมไว้จนสอดไขว้สานกันเป็นลวดลาย ทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆจนได้ความยาวของสายรัดประคดที่ต้องการแล้วจึงเว้นช่วงสำหรับถักหาง และปักพู่ ก่อนเริ่มทอสายรัดประคดเส้นใหม่ต่อจนสุดความยาวของกี่ ตลาดสำคัญของสายรัดประคดที่ผลิตได้ คือ แหล่งเครื่องสังฆภัณฑ์ย่านเสาชิงช้า แม้การทอสายรัดประคดที่บ้านสายรัดประคดจะขาดหายไปกว่า ๒๐-๓๐ ปีแล้ว เนื่องด้วยขาดผู้สืบทอดความรู้ แต่ยังมีชาวบ้านบางคนที่อาศัยในชุมชนแห่งนี้ เคยเห็นการทอสายรัดประคดและมีส่วนร่วมในขั้นตอนการเดินด้ายซึ่งเป็นขั้นตอนที่เปิดโอกาสให้เด็ก ๆ เข้ามาช่วยแลกกับเงินค่าขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ การเดินด้ายจะเริ่มทำในช่วงบ่ายหรือเย็นของทุกวัน ก่อนที่ช่างทอสายจะเริ่มทอและกลับด้าย จนสำเร็จเป็นสายรัดประคดที่สมบูรณ์ในช่วงเช้าวันถัดไป อย่างไรก็ตาม แม้ว่าศาลาของบ้านสายรัดประคดจะไม่ได้ถูกใช้เป็นสถานที่ตั้งกี่เพื่อทอสายรัดประคดเหมือนเช่นในอดีต แต่ก็ยังถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานบุญประจำปีในช่วงวันสงกรานต์ เป็นงานสำคัญที่เครือญาติมารวมกันอีกครั้ง เกสรบัว อุบลสรรค์ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- มลายูบางกอก ที่มา การกระจายตัว และวัฒนธรรมการเปลี่ยนแปลง
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มิ.ย. 2558 ภาพ ศุกรีย์ สาเร็ม (กลาง) นักวิชาการอิสลามศึกษา และมนตรี ยะรังวงศ์ (ขวา) กรรมการชุมชนสุเหร่าบ้านดอน ผู้มาเป็นวิทยากรในการแลกเปลี่ยนพูดคุย เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๘ วารสารเมืองโบราณ มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ร่วมกับร้านหนังสือริมขอบฟ้า ได้จัดกิจกรรมเสวนาในหัวข้อ มลายูบางกอก : ที่มา การกระจายตัว และวัฒนธรรมการเปลี่ยนแปลง ขึ้น โดยการเสวนาครั้งนี้ถือเป็นการเปิดโฉมหน้าใหม่ของวารสารเมืองโบราณในโอกาสขึ้นสู่ปีที่ ๔๑ ซึ่งเปิดพื้นที่เพื่อนำเสนอเรื่องราวทางประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยฉบับแรกนั้นเป็นการนำเสนอเรื่องราวภูมิวัฒนธรรมของปัตตานี การหาอยู่หากินในอ่าวและการเมืองในคาบสมุทรมลายูที่ส่งผลต่อการโยกย้ายถิ่นครั้งใหญ่เข้ามาอยู่ยังบางกอกในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ชาวมลายูในบางกอกในวันนี้เป็นเช่นไร วิทยากรสองท่าน คือ คุณศุกรีย์ สาเร็ม นักวิชาการอิสลามศึกษา และคุณมนตรี ยะรังวงศ์ กรรมการชุมชนสุเหร่าบ้านดอน ได้มาร่วมพูดคุยและให้ภาพในประเด็นดังกล่าว มลายูบางกอก ประเด็นแรกคือความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า “มลายู” โดย คุณศุกรีย์ สาเร็ม นิยามคำนี้ว่าเป็นชื่อเรียกกลุ่มคนซึ่งโดยมากมีถิ่นฐานอยู่ในแหลมมลายู รวมถึงหมู่เกาะต่าง ๆ เช่น ชวา สุมาตรา ตลอดจนเขตชายฝั่งประเทศเวียดนามและทะเลสาบเขมร ซึ่งเดิมผู้คนเหล่านี้นับถือศาสนาพุทธและฮินดูหลังจากพุทธศตวรรษที่ ๑๘ จึงเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามกันมากขึ้น และมีส่วนน้อยที่นับถือศาสนาอื่น จนดูเหมือนว่าผู้ที่เป็นชาวมลายูก็คือคนที่นับถือศาสนาอิสลาม และผู้ที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลามมักถูกมองว่าไม่ใช่คนมลายู ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง คนมลายูเหล่านี้ถือว่าเป็น “คนทะเล” และมีความชำนาญในการเดินเรือ ปัจจุบันได้กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลกกว่า ๕๐ ประเทศ ส่วนคำว่า “มลายูบางกอก” เป็นคำเรียกกลุ่มคนมลายูที่อพยพเข้ามาอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลซึ่งเกิดขึ้นหลายระลอกในหน้าประวัติศาสตร์ นับเป็นผลพวงจากศึกสงครามระหว่างสยามกับหัวเมืองปักษ์ใต้ ซึ่งอาจแบ่งได้ดังนี้ มลายูกลุ่มเก่า จากหลักฐาน เช่น คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ยืนยันถึงการเข้ามาของชาวมลายูในสมัยอยุธยาทั้งที่มาทำการค้าขายและเป็นทาส หรือเป็นกำลังไพร่พลในกองอาสาจาม กระทั่งหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ใน พ.ศ. ๒๓๑๐ บรรดาชาวมลายูทั่วไปที่ถูกเรียกว่า “แขกแพ” ได้เคลื่อนย้ายเข้ามาลงหลักปักฐานอยู่บริเวณปากคลองบางหลวง ฝั่งตรงข้ามพระบรมมหาราชวัง ดังจะเห็นว่าปัจจุบันมีมัสยิดต้นสน มัสยิดกุฎีขาว กุฎีเจริญพาศน์ กุฎีปลายนา เป็นศูนย์กลางของชุมชน ส่วนกองอาสาจามภายหลังจากสงคราม ๙ ทัพใน พ.ศ. ๒๓๒๘ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งชุมชนอยู่บริเวณป่าไผ่แถบทุ่งพญาไทหรือบริเวณที่เป็นชุมชนมุสลิมบ้านครัวในทุกวันนี้ มลายูกลุ่มใหม่ หลังจากสงคราม ๙ ทัพ ในปีถัดมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ โปรดเกล้าฯ ให้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทไปตีหัวเมืองปักษ์ใต้คืนมาจากพม่า ครั้งนั้นได้ตีหัวเมืองปัตตานีที่แข็งเมืองแล้วนำครัวชาวมลายูปัตตานีขึ้นมาไว้ยังกรุงเทพฯ โดยโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่รอบกรุงเทพฯ ชั้นใน บรรดาช่างฝีมือได้ตั้งรกรากอยู่บริเวณมัสยิดจักรพงษ์ ซึ่งแต่เดิมพื้นที่แถบนี้เคยมีชื่อว่าชุมชนบ้านแขกตานี แต่ปัจจุบันเหลือเพียงชื่อถนนตานีเท่านั้น การแสดงนาเสบที่นำมาจัดแสดงในงานเสวนา เพื่อให้ผู้ฟังได้เข้าใจและเรียนรู้ถึงข้อขัดแย้งของการตีความทางศาสนาที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ยังมีการอพยพของชาวมลายูเข้ามาอีกหลายระลอกตามช่วงที่มีศึกสงครามรวมทั้งสิ้น ๖ ครั้ง ซึ่งครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๘๑ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้นำเอาครัวชาวมลายูจากไทรบุรีขึ้นมาไว้ยังกรุงเทพฯ ตามริมคลองแสนแสบไปจนถึงฉะเชิงเทรา ชาวมลายูที่เข้ามาในชั้นหลังถือเป็นกำลังสำคัญในการขุดคลองสายยุทธศาสตร์หรือคลองแสนแสบ ซึ่งเป็นคลองที่ต่อเนื่องจากคลองมหานาคในเขตกรุงเทพฯ ชั้นในต่อเนื่องไปถึงชานเมืองทางฝั่งตะวันออกหรือคลองบางขนากที่ฉะเชิงเทรา เพื่อเป็นเส้นทางลำเลียงยุทธปัจจัยในสงครามไทย-ญวน และได้รับอนุญาตให้จับจองที่ทำกินในบริเวณริมคลอง และต่อมาได้กลายเป็นชุมชนชาวมลายูปัตตานี-ไทรบุรีจนถึงปัจจุบัน คุณมนตรี ยะรังวงศ์ กล่าวเสริมว่าชุมชนมลายูตลอดแนวคลองแสนแสบนั้น ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มมุสลิมที่เข้ามาในสมัยรัชกาลที่ ๓ โดยตั้งถิ่นฐานต่อเนื่องมาจากชาวมลายูรุ่นก่อนที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ ชั้นในจนถึงปลายคลองมหานาค ประกอบด้วยชุมชนสุเหร่าบ้านดอน นวลน้อย คลองตัน บางกะปิ มีนบุรี หนองจอก เรื่อยไปจนถึงฉะเชิงเทรา โดยชาวมลายูเหล่านี้ยังคงมีความสัมพันธ์และไปมาหาสู่กันนับตั้งแต่ยุคที่ใช้เรือในการสัญจร มีทั้งการเดินทางไปเยี่ยมญาติพี่น้องที่ขยายออกไปตั้งรกรากยังชุมชนอื่นที่ห่างไกลออกไป หรือเดินทางไปซื้อข้าวของต่าง ๆ เป็นต้น แม้เมื่อมีการตัดถนนเสรีไทยและถนนรามคำแหงทำให้การเดินทางเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ แต่ผู้คนชาวมลายูก็ยังคงไปมาหาสู่กันเช่นเดิม ในอดีตชุมชนสุเหร่าบ้านดอนมีอาณาบริเวณกว้างขวางไปจนถึงซอยนานา แต่เมื่อมีถนนสุขุมวิทตัดผ่านได้มีการขายที่ดินบางส่วน นับเป็นความเจริญของบ้านเมืองที่มีส่งผลต่อชาวชุมชนโดยตรง และปัจจุบันชุมชนสุเหร่าบ้านดอนยังถูกแวดล้อมด้วยสถานบันเทิงเริงรมย์ต่าง ๆ ทว่าชาวมุสลิมมลายูที่นี่ยังคงปฏิบัติตามหลักศาสนาอย่างเคร่งครัด มีโรงเรียนสอนศาสนา จึงทำให้ชุมชนมุสลิมมลายูแห่งนี้ยังคงอยู่กันอย่างปรกติสุข โดยยึดตามหลักคำสอนของศาสนาอิสลามที่กล่าวไว้ว่า “มุสลิมคือพี่น้องกัน เปรียบประดุจเรือนร่างเดียวกัน หากส่วนหนึ่งส่วนใดเจ็บ ส่วนอื่นก็เจ็บด้วย” ทำให้ชาวมุสลิมตลอดแนวคลองแสนแสบมีความสามัคคีกลมเกลียวและช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่ไม่ขาด ตลอดแนวคลองแสนแสบ ประกอบด้วยชุมชนมุสลิมมลายูปัตตานี-ไทรบุรี จำนวนมาก ความเปลี่ยนแปลงของชาวมลายูพลัดถิ่น เป็นเวลานับร้อยปีที่ชาวมลายูมุสลิมได้ย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ และสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้วัฒนธรรมดั้งเดิมเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะภาษาพูด ซึ่งในส่วนของชุมชนสุเหร่าบ้านดอน คุณมนตรีกล่าวว่าที่โรงเรียนสุเหร่าบ้านดอน (โรงเรียนมิฟตาฮุ้ลอุลูมิดดีนียะห์) ยังคงมีการฝึกสอนภาษามลายูทั้งการอ่านและการเขียน เพื่อให้วัฒนธรรมทางภาษานั้นมีการสืบทอดไปยังคนรุ่นลูกรุ่นหลาน ขณะที่คุณศุกรีย์กล่าวว่าสังคมมลายูบางกอกมีหลายสิ่งที่เลือนหายไป เช่น การรำกระบี่กระบอง ซึ่งมีพื้นฐานจากการซ้อมรบของบรรดาไพร่พลให้มีความพร้อมอยู่เสมอ มีการนำมาปรับท่วงท่าให้มีความสวยงามคล้ายการร่ายรำ รวมถึงการเล่นนาเสบซึ่งพัฒนามาจากการขับลำนำสดุดีองค์พระศาสดา โดยมีเครื่องเคาะประกอบจังหวะ เป็นต้น เดิมสิ่งเหล่านี้เป็นการผสมผสานระหว่างความเป็นอิสลามที่มีมานับพันปีกับวัฒนธรรมท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ บางอย่างหากไม่ขัดกับความเชื่อตามหลักศาสนาก็ยังคงปฏิบัติกันอยู่ ทว่าต่อมาเมื่อมีชุดความรู้ใหม่ที่มองว่าการกระทำสิ่งเหล่านี้ผิดหลักศาสนา ไม่ควรนำมาปฏิบัติ จึงเกิดการปะทะกันระหว่าง ๒ แนวคิด ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหามากขึ้น กิจกรรมหลายอย่างจึงหยุดและเลิกไปในที่สุด ซึ่งเรื่องนี้ตามทัศนะของคุณมนตรีมองว่า เนื่องจากปัจจุบันมีการเดินทางไปร่ำเรียนจากประเทศมุสลิมอาหรับ และมองวิถีปฏิบัติที่เคยทำกันมาเป็นสิ่งบิดเบือน วิถีปฏิบัติต่างจากประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดศาสนาจึงปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ หากมองในแง่ของการป้องปราม การเล่นกระบี่กระบองเมื่อพิจารณาตามยุคสมัยก็ดูจะล่อแหลมต่อการผิดหลักศาสนา เพราะมีการไหว้ครู ดังนั้นนักวิชาการรุ่นใหม่จึงปฏิเสธและมองว่าเป็นการป้องกัน เช่นเดียวกับการเล่นนาเสบซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนาขึ้นมาก มีเครื่องดนตรีหลายหลาก ใช้ภาษาและท่วงท่าไม่เหมาะสม อันอาจทำให้เกิดการหลงลืมต่อการปฏิบัติศาสนกิจและหลักศรัทธาของพระผู้เป็นเจ้า เพราะฉะนั้นดนตรีจึงเป็นสิ่งต้องห้ามของชาวมุสลิม แต่อย่างไรก็ตามในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซียยังคงมีการเล่นนาเสบกันอยู่ ซึ่งนักวิชาการต่างมองสิ่งนี้กันหลากหลายแง่มุม บ้างบอกว่าเล่นนาเสบไม่ได้ บ้างก็ว่าให้พิจารณาเนื้อหาและขึ้นอยู่กับความเหมาะสม เป็นต้น ถึงที่สุดแล้วการเปลี่ยนแปลงของสังคมมลายูในปัจจุบัน วิทยากรทั้งสองท่านต่างมองว่าควรพิจารณาในรายละเอียดว่าสิ่งใดเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม และสิ่งนั้นมีเจตนาอย่างไรเป็นสำคัญ ซึ่งน่าจะเป็นทางออกที่ดีให้กับความขัดแย้งเกี่ยวกับแนวทางความคิด และยังเป็นการเปิดช่องทางให้เกิดการพัฒนาอย่างสร้างสรรค์ต่อไปในอนาคตด้วย ณัฐวิทย์ พิมพ์ทอง อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ไหว้พ่อปู่บ้านบาตร ศรัทธาชาวบ้านในเมืองใหญ่
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มิ.ย. 2558 ศาลพ่อปู่บ้านบาตร ในรูปแบบพ่อปู่ปั้นจากดินเหนียวจำลองเป็นคนสูงอายุ (ซ้าย) ศาลพ่อปู่บ้านบาตร ในรูปแบบเตาแล่นครูบาตรของชาวบ้านบาตร (ขวา) ชุมชนบ้านบาตรเป็นชุมชนเก่าและเรียกได้ว่าเป็นชุมชนแบบธรรมชาติที่ยังคงเหลืออยู่น้อยแห่งในกรุงเทพมหานคร ปัจจุบันอยู่ในเขตพระนคร นอกกำแพงพระนครชั้นในและคลองโอ่งอ่าง-บางลำพูหรือคลองเมืองไม่มากนัก และอยู่ในอาณาบริเวณที่เป็นส่วนหนึ่งในย่านวัดสระเกศวรมหาวิหาร มีเรื่องเล่าการเข้ามาตั้งถิ่นฐานของชาวบ้านบาตรหลายที่มา บ้างก็ว่าเคยตั้งอยู่ในตำบลคลองบาตรพระ พระนครศรีอยุธยา หลังจากที่อยุธยาเสียกรุงในสงครามจึงพากันมาอยู่ในบริเวณนี้ ซึ่งที่มาของชื่อชุมชนบ้านบาตรก็มีที่มาจากการทำบาตรพระที่เป็นอาชีพดั้งเดิมของคนกรุงเก่า บ้างก็ว่าเป็นส่วนหนึ่งเป็นชาวเขมรที่ถูกกวาดต้อนเข้ามาในพระนครตั้งแต่สมัยพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ พร้อมกับงานช่างฝีมือการทำบาตรพระและตั้งหลักแหล่งอาศัยอยู่จนปัจจุบัน เล่ากันว่าช่วงแรกชุมชนบ้านบาตรเคยตั้งอยู่ภายในกำแพงเมืองพระนคร แต่การตีบาตรกันทั้งชุมชนทำให้เกิดเสียงดังสู่ชุมชนโดยรอบรวมถึงพระบรมมหาราชวังที่ประทับของพระมหากษัตริย์ด้วย พอมีการจัดตั้งหมวดหมู่ของชุมชนขึ้น ชุมชนที่มาจากกรุงเก่าจึงย้ายมาอยู่ด้านนอกกำแพงเมืองในบริเวณที่ตั้งของชุมชนบ้านบาตรในปัจจุบัน ซึ่งก็คือ บริเวณสี่แยกเมรุปูน ระหว่างถนนบำรุงเมืองและถนนบริพัตร เป็นเวลา ๒oo กว่าปีมาแล้ว โดยตั้งอยู่ในที่ดินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ บาตรพระของชาวชุมชนบ้านบาตรมีชื่อเสียงในเรื่องความสวยงามและมีเอกลักษณ์ ด้วยขั้นตอนการทำบาตรที่ต้องใช้ความประณีตกว่าที่อื่น แต่ละขั้นผ่านการทำด้วยมือทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการตีขอบ การต่อบาตร การแล่นบาตร การตีและการตะไบ ซึ่งมีอุปกรณ์ที่ใช้แตกต่างกันไป อุปกรณ์เหล่านี้ชาวบ้านบาตรถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องเคารพและมีครูที่ต้องกราบไหว้ก่อนการทำบาตรทุกครั้งเพื่อความเป็นสิริมงคล นอกจากนี้ พิธีกรรมที่สำคัญของทั้งชุมชนก็คือ ชาวบ้านบาตรไหว้บูชาพ่อปู่ก่อนทำบาตรทุกครั้ง โดยถือว่าพ่อปู่เป็นครูและเป็นผู้ที่ปกปักรักษาดูแลชาวชุมชนให้อยู่อย่างปลอดภัย ด้วยความศรัทธาและการระลึกถึงบุญคุณของพ่อปู่นี้ ทำให้ชาวชุมชนบ้านบาตรจัดงานไหว้พ่อปู่ขึ้น ที่มาของตำนานพ่อปู่บ้านบาตรมีการเล่าสืบต่อกันมานานว่า ครั้งหนึ่งมีคนเคยฝันเห็นผู้ชาย รูปร่างสูงใหญ่ นุ่งขาวห่มขาว ผมเกล้ามวย จึงปั้นรูปองค์พ่อปู่นี้ขึ้นมาโดยใช้ดินเหนียว ซึ่งดินเหนียวที่ว่านี้มีการนำเอาดินเหนียวในป่าช้ามาปั้น เพื่อให้เกิดความขลังศักดิ์สิทธิ์ รำถวายพ่อปู่เริ่มจากศาลกลาง แล้วเวียนไปรำจนครบทั้ง ๘ ศาลในชุมชน ศรัทธาต่อพ่อปู่บ้านบาตรเริ่มจาก ช่วงที่ชุมชนบ้านดอกไม้ซึ่งเป็นชุมชนใกล้เคียงเกิดไฟไหม้ มีการระเบิดครั้งใหญ่และมีลูกพลุพุ่งเข้ามาในชุมชนบ้านบาตร ช่วงนั้นบ้านเรือนในบ้านบาตรส่วนใหญ่ทำจากไม้ คนในชุมชนต่างขอให้พ่อปู่ช่วยเพราะกลัวบ้านไฟจะไหม้บ้าน มีผู้หญิงชาวจีนซึ่งเป็นคนนอกชุมชนเห็นว่าช่วงที่ไฟไหม้มีคนแก่นุ่งขาวห่มขาวยืนถือพัดอันใหญ่อยู่บนหลังคาเหมือนถือพัดโบกให้ลมพัดไฟไปที่อื่นไม่ให้เข้าสู่บ้านบาตร อีกเรื่องหนึ่งคือ ช่วงหนึ่งที่รายการคนค้นฅนนำเรื่องพ่อปู่บ้านบาตรมาออกอากาศ โดยมีลุงโป่ง ผู้มีอาชีพปั้นฤาษีในชุมชนป้อมมหากาฬเป็นผู้เล่าเรื่อง ลุงโป่งเล่าว่าพ่อปู่บ้านบาตรเคยไปเข้าฝันว่าให้มาหาท่านที่ชุมชน ท่านบอกว่าข้อมือท่านเจ็บ เมื่อลุงโป่งมาดูรูปปั้นพ่อปู่ก็พบว่าบริเวณข้อมือของรูปปั้นพ่อปู่มีการแตกร้าว ลุงโป่งจึงเข้ามาซ่อมแซมรูปปั้นให้ พิธีการไหว้พ่อปู่บ้านบาตร เป็นพิธีที่ชาวบ้านบาตรจัดขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เลือกเอาวันที่เป็นวันพฤหัสบดีที่ถือเป็นวันครู หากในช่วงสงกรานต์ในปีนั้นไม่ตรงกับวันพฤหัสบดีก็จะมีการเลื่อนงานพิธีไปในช่วงก่อนหรือหลังสงกรานต์เล็กน้อยเพื่อให้ตรงกับวันพฤหัสบดี โดยทางคณะกรรมการชุมชนจะมีการตกลงวันที่แน่นอนในการจัดงานอีกครั้งหนึ่ง คนในชุมชนบ้านบาตรถือว่าพ่อปู่เป็นครูที่ต้องเคารพนับถือและเป็นครูบาตรที่ต้องกราบไหว้ก่อนการทำบาตรทุกครั้ง โดยขั้นตอนในพิธีการไหว้พ่อปู่จะแบ่งออกเป็น ๓ ส่วนหลัก ๆ คือ การไหว้พ่อปู่ในช่วงเช้า การรำถวายพ่อปู่ในช่วงสายและการแสดงละครชาตรีในช่วงหลังจากรำถวายเสร็จยาวไปจนถึงช่วงเย็น การไหว้พ่อปู่จะไหว้กันในช่วงเช้าของงานพิธีไปจนถึงช่วงเพล คนในชุมชนจะนำของเซ่นไหว้มาไหว้พ่อปู่ตามศาลต่างๆ ในชุมชนทั้งหมด ๘ แห่งด้วยกัน โดยแต่ละแห่งจะเป็นบ้านของผู้ที่เคยทำหน้าที่แล่นบาตรในอดีต เนื่องจากสมัยก่อนการทำบาตรพระเป็นงานที่ต้องทำโดยใช้มือ ชาวบ้านบาตรทั้งแต่ละครอบครัวจะแบ่งหน้าที่ในการทำบาตรเช่น ครอบครัวหนึ่งมีหน้าที่ในการตีขอบบาตรก็จะตีขอบบาตรกันทั้งครอบครัว แล้วส่งต่อไปยังครอบครัวอื่นที่ทำบาตรในขั้นตอนถัดไปจนเสร็จ ดังนั้นครอบครัวที่ทำบาตรในขั้นตอนแล่นบาตรจึงมีเพียงไม่กี่ครอบครัวเท่านั้นที่มีเตาแล่นบาตร อีกทั้งสมัยก่อนการไหว้พ่อปู่จะไหว้กันบริเวณศาลพ่อปู่ที่ตั้งรูปปั้นของท่านไว้ แต่ภายหลังสมาชิกในชุมชนเพิ่มมากขึ้นจึงต้องสร้างบ้านทับในบริเวณนั้น ทำให้พื้นที่ไม่เพียงพอและต้องมีการขยับขยายพื้นที่ออกไปไหว้ตามบ้านกันแทน ของเซ่นไหว้ที่ชาวบ้านนำมาบูชาที่ศาลเตาแล่นบาตร เครื่องเซ่นไหว้ในการไหว้พ่อปู่ของชาวบ้านบาตรแต่ละบ้านจะคล้ายคลึงกัน โดยมีของไหว้ที่สำคัญ คือ หัวหมูหรือหมูนอนตอง คือ หมูต้มที่วางไว้บนผักกาดหอม เป็ด ไก่ ปลานอนตอง ส่วนใหญ่จะใช้เป็นปลาช่อนต้มหรือปลาอื่น ๆ วางบนผักกาดหอม มะพร้าวอ่อน ข้าว ไข่ต้ม บุหรี่ หมากพลู บายศรี เหล้า น้ำดื่ม ผลไม้และขนมต้มขาว-ต้มแดง มีการแต่งหน้าของเซ่นไหว้ให้สวยงามด้วยกลีบดอกกุหลาบ ของไหว้จะถูกจัดวางเรียงไว้บนโต๊ะโดยปริมาณของเซ่นไหว้จะขึ้นอยู่กับกำลังและศรัทธาของแต่ละบ้าน เมื่อทำพิธีไหว้พ่อปู่จะมีการรำถวายพ่อปู่ร่วมไปด้วย โดยละครชาตรีคณะเรืองนนท์ที่ประกอบไปด้วยตัวพระ ๒ คน ตัวนาง ๒ คน รำพร้อมวงปี่พาทย์ การรำถวายพ่อปู่จะเริ่มจากการรำที่ศาลากลางชุมชนเป็นที่แรก จากนั้นจะเวียนเปลี่ยนไปรำตามศาลที่ตั้งอยู่ในบ้านของชาวชุมชนที่มีการไหว้พ่อปู่เรียงกันไปจนครบทุกที่ ซึ่งศาลในบ้านที่มีการไหว้พ่อปู่นี้จะมี ‘เตาแล่นบาตร’ ที่ชาวชุมชนถือว่าเป็นตัวแทนของพ่อปู่ตั้งอยู่ ซึ่งเตาแล่นบาตรที่ชาวชุมชนถือว่าเป็นตัวแทนของพ่อปู่นั้น จะมีลักษณะเป็นปล่องทรงกระบอกตั้งคู่กันและมีช่องสูบไฟอยู่ด้านล่าง ใช้สำหรับการเชื่อมรอยตะเข็บของบาตรพระ เพื่อให้เหล็กเป็นเนื้อเดียวกันและไม่ให้บาตรมีรูรั่ว ในอดีตเตาแล่นบาตรจะเป็นแบบที่ใช้มือสูบลมเร่งไฟ ต่อมาภายหลังเปลี่ยนมาใช้แบบเครื่องเป่าลมไฟฟ้าแทน (อิสระพงษ์ พลธานี, ๒๕๕๕ อ้างถึงในพวงผกา คุโรวาท, ๒๕๔๙) รูปแบบของเตาแล่นบาตรนี้ เป็นเตาถลุงโลหะหรือเตาที่ใช้ตีเหล็ก ตีมีด หรือทำเครื่องโลหะมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็ยังมีใช้ในกลุ่มชาติพันธุ์หลายแห่งในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และชาวบ้านที่ยังคงทำโลหะด้วยมือเป็นงานหัตถกรรมโบราณที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้งานแต่อย่างใด หลังจากนั้นการรำของนางรำจะเริ่มต้นที่การไหว้ครูตามมาด้วยการรำถวายและจบที่การโปรยทาน นางรำจะทำตามขั้นตอนเช่นนี้ทุกครั้ง จนมาจบการรำลงที่ศาลที่ตั้งของรูปปั้นองค์พ่อปู่ก็เป็นอันเสร็จสิ้นการรำถวายในช่วงสายของงานพิธี หลังจากที่ชาวชุมชนไหว้พ่อปู่เสร็จเรียบร้อยแล้วจะมีการแสดงละครชาตรีถวายพ่อปู่ที่บริเวณศาลากลางชุมชนยาวไปจนถึงช่วงเย็น ซึ่งละครชาตรีนี้ในอดีตไม่มีการแสดงละครชาตรีกันเพิ่งจะเริ่มมีการแสดงขึ้นมาในช่วงหลังนี้ พิธีการไหว้พ่อปู่ในแต่ละปีชาวชุมชนจะถือว่าเป็นการกลับคืนชุมชน คนที่ย้ายออกไปอยู่ข้างนอกจะกลับมาบ้านบาตรอีกครั้ง เพื่อมาไหว้พ่อปู่และกลับมาพบปะพูดคุยกับพ่อแม่พี่น้องหรือญาติผู้ใหญ่ที่ยังคงอาศัยอยู่ในชุมชน เพราะเนื่องจากพื้นที่ของบ้านบาตรมีจำกัดทำให้ไม่สามารถขยายขออกไปได้มากกว่าเดิม เมื่อคนมากขึ้น คนหนุ่มสาวภายในชุมชนบ้านบาตรเมื่อมีครอบครัวจึงอาจมีความจำเป็นต้องย้ายออกไปอยู่ภายนอกและกลับมาบ้านบาตรอีกครั้งในช่วงวันหยุดหรือเทศกาลสำคัญ ๆ แม้ว่าการทำบาตรพระของชาวชุมชนบ้านบาตรจะลดน้อยลงและคนรุ่นใหม่หันไปประกอบอาชีพอื่นแทนการทำบาตรกันมากขึ้น แต่คนบ้านบาตรยังคงปลูกฝังให้ลูกหลานมีความเคารพนับถือพ่อปู่และและบูชาครูที่ประสาทวิชาให้แต่อดีต ทำให้คนในชุมชนที่ถึงแม้จะออกไปตั้งถิ่นฐานที่อื่นยังคงสำนึกในบุญคุณของพ่อปู่และเห็นถึงความสำคัญของพิธีไหว้พ่อปู่บ้านบาตร ปัจจุบันแม้คนเก่าแก่ในชุมชนจะล้มหายตายจากไป แต่คนรุ่นใหม่ก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์และขั้นตอนของพิธีการไหว้พ่อปู่เหมือนเช่นเคย จะแตกต่างกันตรงที่สมัยก่อนการจัดพิธีไหว้พ่อปู่จะมีขึ้นในเดือน ๔ ของไทยหรือในช่วงวันตรุษไทย แต่ปัจจุบันมีขึ้นในช่วงเดือน ๕ หรือวันสงกรานต์ของไทยแทน ปัจจุบันการทำบาตรพระของชาวชุมชนจะเริ่มลดน้อยลง จากอิทธิพลของบาตรปั๊มที่ผลิตออกมาจากโรงงานที่ทำให้การทำบาตรพระแบบงานฝีมือของชาวชุมชนซบเซาลงจนเหลืออยู่เพียงไม่กี่ครอบครัวที่ยังคงประกอบอาชีพทำบาตร แต่ความศรัทธาในพ่อปู่ของคนในชุมชนบ้านบาตรก็ยังคงอยู่ อันหมายถึงความเป็นชุมชนของคนบ้านบาตรยังมีอยู่เต็มเปี่ยม เป็นชุมชนหัตถกรรมที่มีโครงสร้างชุมชนตามธรรมชาติท่ามกลางเมืองใหญ่เช่นกรุงเทพมหานครที่หาได้ยากยิ่งแล้วในปัจจุบัน พัชรินธร เดชสมบูรณ์รัตน์ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- พะเยาว์น้อง รูปรอยของลาวเวียง-ลาวยวน ริมน้ำป่าสัก
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค.2539 เจดีย์ราย รูปทรงแบบเจดีย์ล้านนา หน้าวิหารวัดบ้านยาง อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี แม่น้ำป่าสัก มีต้นน้ำอยู่ในเทือกเขาเพชรบูรณ์ ตำบลอีปุ่ม อำเภอด้านซ้าย จังหวัดเลย ไหลลงใต้ผ่านจังหวัดลพบุรี สระบุรี และบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่หน้าป้อมเพชร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ร่องรอยของผู้คนบนสองฝั่งน้ำป่าสักแต่เดิมปรากฏในเห็นในรูปของวัดวาอาราม สถูปเจดีย์หนาแน่นตั้งแต่ช่วงพระนครศรีอยุธยาไปจนถึงสระบุรี ตลอดเส้นทางน้ำสายนี้ไม่เคยร้างราผู้คน โดยเฉพาะในเทศกาลไหว้พระบาทเดือนสาม จากการศึกษาทางโบราณคดีทำให้เราได้ทราบว่า ตลอดผืนดินริมน้ำแคบ ๆ ช่วงเหนือจากเขาพระพุทธบาทขึ้นไปนั้นซุกซ่อนไว้ด้วยแหล่งโบราณคดีขนาดเล็กจำนวนสิบ ๆ แห่ง ซึ่งเดิมคงเป็นชุมชนเล็ก ๆ ริมน้ำ สำหรับทั้งที่พักริมทาง แปรรูปวัตถุดิบในการค้าขายแลกเปลี่ยนทองแดงและเหล็ก รวมไปถึงการเป็นตลาดของป่าสำหรับผู้ที่เดินทางผ่านไปมาระหว่างดินแดนในหุบเขาและทุ่งราบ ในบันทึกประวัติศาสตร์ชาติไทย ก็ได้ปรากฏเหตุการณ์การกวาดต้อนผู้คนจากเหนือลงใต้โดยใช้เส้นทางของลำน้ำสายนี้หลายครั้งหลายครา เช่น ยุทธสงครามไทย - พม่า ในล้านนาต้นช่วงอยุธยาตอนกลาง จนกระทั่งต้นรัตนโกสินทร์ สงครามตีเมืองเชียงแสนในสมัยรัชกาลที่ 1 ใน พ.ศ.2347 เป็นต้น บรรดากลุ่มชนชาวลาวเวียง (เวียงจันทร์) และลาวยวน (โยนก) ที่ถูกกวาดต้อนมาในศึกสงครามแต่ละครั้งนั้น ได้มาตั้งบ้านเรือนชุมชนลาวอยู่ตามริมน้ำสายนี้ ร่องรอยวัฒนธรรมของท้องถิ่นดั้งเดิมถูกสื่อออกมาในรูปแบบทางศิลปกรรม ซึ่งปรากฏในงานก่อสร้างและตกแต่งศาสนสถานประจำชุมชน อันเป็นศูนย์รวมจิตใจของกลุ่มคนผู้พลัดถิ่นเหล่านี้ อย่างเช่น ที่วัดจันทบุรี ปรากฏรูปเขียนแสดงภาพชีวิต บ้านเรือนแบบลาวไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง วัดบ้านยาง ตำบลบ้านยาง อำเภอเสาให้ ก็เป็นอีกวัดหนึ่งซึ่งแสดงเอกลักษณ์ดั้งเดิมของผู้คนในท้องถิ่นอย่างชัดเจน ระเบียบการก่อสร้างของเจดีย์รายทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ยังคงเค้าของความเป็นเจดีย์ล้านนา เห็นได้ชัดเจนจากฐานซึ่งเป็นบัวลูกแก้วอกไก่สองชั้น และกลุ่มมาลัยเถาซ้อนเป็นชั้นรองรับองค์ระฆังกลม เหนือขึ้นไปเป็นปล้องไฉนและปลียอด มีเสาตั้งฉัตรทองอยู่ด้านบนสุด ด้านเหนือจากเส้นทางน้ำขึ้นมาอีกไม่ไกลนัก มีวัดลาวชื่อวัดพะเยาว์ ซึ่งมีโบสถ์และเจดีย์คล้ายคลึงกับวัดบ้านยาง ชุมชนพะเยาว์เป็นลาวยวนที่อพยพมาจากพะเยาว์ - เชียงแสน ร่วม 200 ปีมาแล้ว แต่กระทั่งปัจจุบันก็ยังคงเดินทางไปมาหาสู่กับเครือญาติชาวพะเยาว์ที่จังหวัดพะเยาว์อยู่เสมอ ภายใต้คำเรียกขาน พระเยาว์พี่ คือชาวจังหวัดพะเยาว์ และ พะเยาว์น้อง หมายถึงชาวบ้านพะเยาว์ที่จังหวัดสระบุรี เหล่าพี่น้องเชื้อสายลาว-ยวนเหล่านี้ได้ร่วมจัดงานสังสรรค์ฟื้นฟูประเพณีวัฒนธรรมลาวยวนอยู่อย่างสม่ำเสมอ เมื่อโอกาสพิเศษ เช่น งานประเพณีต่าง ๆ เวียนมาถึง เช่น วันสงกรานต์ กิจกรรมที่จัดขึ้นก็เช่น การประกวดทอผ้า แต่งกายพื้นเมือง เป็นต้น สิ่งเหล่านี้สะท้อนใ้ห้เห็นถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์สังคมที่ยังคงอยู่ในความทรงจำและระลึกถึงบ้านเกิดเมืองนอนของกลุ่มชนเชื้อสายลาวในผืนแผ่นดินไทยอย่างไม่รู้เสื่อมคลาย ศูนย์ข้อมูลเมืองโบราณ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- พื้นที่ย่านชานพระนครและคลองเมือง
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2558 คลองเมืองที่ขุดมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีคือ “คลองโรงไหม” หรือ “คลองหลอด” หรือ “คลองคูเมืองเดิม” ส่วน “คลองวัดสังเวช-โอ่งอ่าง” ขุดในสมัยแรกสร้างกรุงเทพฯ จนมาถึงคลองเมืองสายนอกคือ “คลองขุดใหม่หรือคลองผดุงกรุงเกษม” ที่ขุดในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดูเหมือนสองฝั่งคลองวัดสังเวช -โอ่งอ่างจะเกิดแหล่งที่อยู่อาศัยของผู้คนหนาแน่นกว่าบริเวณอื่น ผู้คนชาวบ้านธรรมดาส่วนมากตั้งถิ่นฐานเรียงรายอยู่ทั้งสองฝั่งคลอง เป็นชุมชนที่อยู่อาศัยและสร้างงานหัตถกรรมจนถึงอุตสาหกรรมในครัวเรือนหลายชนิด เกิดแหล่งย่านการค้าทั้งขายส่งและค้าขายรายย่อย ทั้งตลาดบกและตลาดน้ำ เพราะเป็นคลองเมืองที่เชื่อมต่อกับคลองมหานาคที่สามารถเดินทางออกไปนอกเขตพระนครทางฝั่งตะวันออกได้โดยสะดวก ทางฝั่งพระนคร ชุมชน และตลาด อยู่ตามชานพระนคร คือ พื้นที่ห่างกำแพงเมืองมายังชายน้ำ ส่วนบรรดาเจ้านายขุนนางและข้าราชการส่วนใหญ่มีนิวาสสถานอยู่ภายในกำแพงพระนครที่มีทั้ง ป้อม ประตูเมือง และประตูช่องกุด อันเป็นช่องทางที่ผู้คนภายในเมืองจะออกไปริมลำคลองเพื่อการคมนาคมได้ เหตุนี้ตั้งแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ลงมา จึงมีการสร้างวังของเจ้านายน้อยใหญ่ที่ทรงกรมเป็นแนวขนานกับกำแพงเมืองมากมาย ดังนั้นพื้นที่ย่านชานพระนครและคลองวัดสังเวช-โอ่งอ่าง จึงเป็นบริเวณย่านเศรษฐกิจและสังคมที่มีทั้งสังคมของชาววังและสังคมของชาวบ้านที่มีหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นพื้นที่สำคัญของกรุงรัตนโกสินทร์มาตั้งแต่เริ่มสร้างพระนคร ชีวิตทางสังคมของคนกรุงเทพฯ ถือกำเนิดในย่านดังกล่าวนี้และเติบโตเรื่อยมา จนเมื่อเมืองขยายอย่างใหญ่โตหลังกำเนิดแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติหลัง พ.ศ. ๒๕๐๐ ลงมา ทำให้ผู้คนหลงลืมย่านเก่า ที่ถือเป็นจุดกำเนิดชีวิตทางสังคมและเศรษฐกิจของคนกรุงเทพฯ และมีการจัดการเมืองแบบสมัยใหม่ที่เน้นความสวยงามแต่ไม่ได้ทำความเข้าใจชีวิตทางสังคมของผู้คนที่เคยมีมา แผนที่กรุงธนบุรีทำโดยชาวพม่า แสดงสถานที่สำคัญหลายแห่ง และระบุบริเวณที่เป็นพระบรมมหาราชวังของกรุงเทพฯ ในปัจจุบันคือกลุ่มบ้านของพระยาราชาเศรษฐี (จีนตั้งเลี้ยง) - หมายเลข ๒๐ และเห็นแนวคลองคูเมืองเดิมทางด้านซ้าย - หมายเลข ๑๓ แผนที่เมืองธนบุรี ซึ่งเป็นเมืองสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เรียกว่าเมืองอกแตก คลองคูเมืองเดิมของกรุงธนบุรีกลายเป็นคลองเมืองชั้นในเมื่อเปลี่ยนเป็นสมัยกรุงเทพฯ ผู้คนในพื้นที่ชานพระนครและสองฝั่งคลองเมืองยุคปัจจุบัน จึงต้องต่อสู้กับการถูกลบออกไปจาก “ประวัติศาสตร์ของเมืองกรุงเทพมหานคร” ประวัติศาสตร์เมืองที่ขาดไร้ “ชีวิตทางสังคม” ของผู้คนที่มีรากเหง้าหลากหลายและเคยอยู่อาศัยกันมา กรุงเทพฯ ในยุคกรุงธนบุรี พื้นที่ฝั่งตะวันออก กรุงธนบุรีซึ่งเป็นเมืองอกแตก ผู้คนส่วนใหญ่อยู่อาศัยทางฝั่งตะวันตกที่เป็นเกาะบางกอก บ้านเรือนอยู่ริมแม่น้ำลำคลองและเรือกสวน รวมทั้งพระราชวังพระมหากษัตริย์ วังเจ้านาย บ้านเรือนขุนนาง วัดสำคัญ และที่ทำการรัฐบาล ส่วนทางฝั่งตะวันออกภายในเขตคลองเมืองที่ปัจจุบันเป็นคลองเมืองชั้นในของเมืองกรุงเทพฯ ที่เรียกว่า คลองโรงไหมหรือคลองหลอด ขุดคลองแล้วนำดินพูนเป็นเชิงเทิน ปักแนวไม้ทองหลางทั้งต้นเป็นกำแพง ภายในเมืองแม้จะมีวัดโบราณมาแต่สมัยอยุธยา เช่น วัดโพธิ์ วัดสลัก วัดกลางทุ่งหรือวัดตองปุ พื้นที่เป็นท้องทุ่งและสวนมีชุมชนหลายชาติพันธุ์เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยโดยเฉพาะคนจีนและคนมอญ เมื่อแรกสร้างกรุงเทพมหานครจึงขุดคลองเมืองใหม่ คือ คลองบางลำพูและคลองโอ่งอ่าง ก็ได้ย้ายพระราชวัง ที่ทำการรัฐบาลและสร้างพระบรมมหาราชวัง วังเจ้านาย และสถานที่อยู่อาศัยของพวกขุนนางบางส่วนมาอยู่ภายในเขตคลองเมืองชั้นในซึ่งเป็นคลองเมืองสมัยกรุงธนบุรี และย้ายนิวาสสถานของขุนนางและชุมชนชาวจีนในพื้นที่ตั้งแต่บริเวณที่เป็นพระบรมมหาราชวังตามฝั่งน้ำไปทางใต้ ซึ่งปัจจุบันเป็นบริเวณ พาหุรัดและสำเพ็ง คลองเมืองกรุงเทพมหานครในช่วง ๑๐๐ ปีเมื่อแรกสร้าง คลองคูเมืองเดิม-คลองโรงไหม-คลองหลอด-คลองตลาด เป็นคลองเดียวกันที่ขุดในสมัยกรุงธนบุรีจากท่าช้างวังหน้าทางทิศเหนือไปออกที่ปากคลองตลาดทางทิศใต้ ระยะทางราว ๒.๔ กิโลเมตร เมื่อย้ายพระนครมาอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาจึงกลายเป็นเส้นทางคมนาคมแทนที่คูเมืองและกำแพงป้องกันเมือง ปากคลองด้านทิศเหนือผ่านโรงไหมหลวงจึงเรียกว่า “คลองโรงไหม” และเมื่อมีการขุดคลองหลอดเป็นแนวตั้งเชื่อมกับคลองเมืองชั้นนอกจึงเรียกคลองช่วงนี้ว่า “คลองหลอด” และเมื่อจะออกแม่น้ำเจ้าพระยามีย่านการค้าทั้งตลาดบกและตลาดน้ำก็เรียกว่า “คลองตลาดหรือปากคลองตลาด” คลองคูเมืองเดิมนี้กลายเป็นเส้นทางน้ำสำหรับเดินทางและขนส่งสินค้าของประชาชนภายในพระนคร คลองวัดสังเวช-คลองโอ่งอ่าง ขุดขึ้นเป็นคลองเมืองของกรุงเทพมหานครในสมัยเมื่อแรกสร้างกรุง พ.ศ. ๒๓๒๖ จากบางลำพูทางทิศเหนือไปออกแม่น้ำเจ้าพระยาทางทิศใต้บริเวณใกล้วัดเชิงเลนระยะทางราว ๓.๖ กิโลเมตร สร้างกำแพงอิฐ ป้อม และประตูเมืองไว้โดยรอบพระนครบันทึกไว้ว่า มีประตูใหญ่ ๑๖ ประตู ประตูช่องกุด ๔๗ ประตู และมีป้อมทั้งสิ้น ๑๔ ป้อม มีการเรียกชื่อคลองเส้นเดียวกันนี้แตกต่างกันไปตามย่านชุมชนหรือวัดคือ คลองวัดสังเวช คลองสะพานหัน คลองวัดเชิงเลน (วัดบพิตรพิมุข) คลองโอ่งอ่าง และทำให้มีการขยายตัวของวังเจ้านาย สถานที่อยู่อาศัยของขุนนางข้าราชการ วัดวาอาราม กรมทหาร ที่ทำการรัฐบาล ห่างจากคลองเมืองชั้นในมาทางตะวันออกมากขึ้น สิ่งที่ทำให้มีการขยายตัวของสถานที่อยู่อาศัยที่สำคัญก็คือ การขุดคลองหลอดสองแห่งเชื่อมต่อระหว่างคลองเมืองชั้นในกับคลองเมืองบางลำพูหรือโอ่งอ่างเป็นผลให้เกิดการสร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของผู้ที่เป็นขุนนาง ข้าราชการตามมาทั้งสองฝั่งคลอง คลองหลอดบน คลองหลอดทั้ง ๒ คลอง ขุดในคราวเดียวกับคลองเมืองเมื่อแรกสร้างพระนคร ชักน้ำเชื่อมต่อระหว่างคลองคูเมืองเดิมและคลองเมืองใหม่เป็นแนวตรงระยะทางราว ๑.๑ กิโลเมตร และใช้สัญจรทำให้เกิดวัดและชุมชนสองฝั่งคลองตามมา “คลองหลอดบน” เริ่มแต่วัดบุรณศิริมาตยารามริมคลองเมืองฝั่งนอกขนานกับถนนราชดำเนินกลางมายังวัดมหรรณพารามไปออกคลองบางลำพูที่วัดเทพธิดาและวัดราชนัดดาใกล้กับป้อมมหากาฬ อันเป็นบริเวณที่มีการขุดคลองมหานาคผ่านวัดสระเกศไปทางตะวันออกจนจรดคลองผดุงกรุงเกษมที่ขุดในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ภาพแผนที่กรุงเทพมหานคร พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๔ เพื่อแสดงแนวคลองเมืองในยุคต่าง ๆ ภาพแผนที่กรุงเทพฯ พ.ศ. ๒๓๖๕ จากหนังสือจดหมายเหตุการเดินทางของเซอร์จอห์น ครอฟอร์ด จะเห็นแนวคลองคูเมืองเดิมและมีพระบรมมหาราชวัง วัดมหาธาตุ วัดพระเชตุพนรวมทั้งวังหน้าอยู่ภายใน ส่วนคลองเมืองวัดสังเวช-โอ่งอ่าง ขุดล้อมรอบชั้นนอก และเห็น "ตึกดิน" ที่มีแนวคูน้ำล้อมอย่างเด่นชัด อย่างไรก็ตามพบว่าบรรดาบ้านเก่าเรือนเก่าและตึกที่พบตามสองฟากคลองของคลองหลอดตั้งแต่ วัดบุรณศิริมาจนถึงปากคลองที่อยู่ระหว่างวัดเทพธิดาและวัดราชนัดดา ดูมีอายุอยู่ในสมัยแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ลงมาถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เท่านั้น แม้แต่วัดเทพธิดาและวัดราชนัดดาก็เป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ส่วนวัดมหรรณพารามและวัดบุรณศิริมาตยารามก็ปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ราวรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ซึ่งแต่เดิมอาจเป็นวัดเก่าอยู่ก่อนที่มีผลทำให้เป็นวัดศูนย์กลางของชุมชนที่อยู่ตาม คลองหลอด ต่อมาจนปัจจุบัน ดังนั้น วัดมหรรณพาราม จึงเป็นศูนย์กลางของชุมชนพร้อมกับเมื่อมีการสร้างถนน สร้างโรงเรียนแห่งแรก มีตลาดและศาลเจ้าพ่อเสือ ในขณะที่ วัดบุรณศิริมาตยาราม เป็นศูนย์กลางของชุมชนสองฝั่งคลองหลอดและบรรดาผู้คนที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของคลองเมืองเดิมตั้งแต่สะพานผ่านพิภพลีลาไปจนถึงสะพานมอญ คลองหลอดล่าง ขุดจากคลองเมืองเดิมบริเวณหน้าวังสราญรมย์ผ่ากลางพระนคร ผ่านวัดราชบพิธ ผ่านหลังวัดสุทัศนเทพวราราม ผ่านเรือนจำพระนครออกคลองโอ่งอ่างระยะทางราว ๘๐๐ เมตร เมื่อแรกขุดคลองย่านนี้ไม่มีวัดเก่า แต่ปากคลองเป็นสวนและบ้านเรือนขุนนางข้าราชการและวังเจ้านาย โดยเฉพาะวังสราญรมย์นั้น เป็นสวนกาแฟที่อยู่ใกล้กับพระบรมมหาราชวัง การตั้งถิ่นฐานหนาแน่นอยู่บริเวณปากคลองทั้งสองด้านคือ คลองเมืองชั้นในและคลองโอ่งอ่าง ต่อเมื่อมีการสร้างวัดราชบพิธในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ พร้อมกันกับการตัดถนนจึงเกิดสถานที่ทำการร้านค้า ตึกรามบ้านช่องริมถนนขึ้นมา ทางฝั่งใต้ของคลองหลอดรวมทั้งสองฝั่งของคลองเมืองชั้นในไปจนถึงปากคลองตลาด มีการตั้งถิ่นฐานของเจ้านายขุนนาง พ่อค้า ประชาชนค่อนข้างมาก ข้ามคลองคูเมืองเดิมเป็นย่านชาวมอญที่ปรากฏเพียงชื่อเหลือไว้คือสะพานมอญและสี่กั๊กพระยาศรี (พระยาศรีสหเทพ ต้นสกุลศรีเพ็ญ) และพื้นที่ซึ่งเป็นวังบ้านหม้อต่อเนื่องขึ้นไปถึงย่านพาหุรัดและวังบูรพา ป้อมมหากาฬ และชานพระนครติดกับคลองวัดสังเวช-โอ่งอ่าง คลองมหานาค ครั้งสร้างกรุงเทพมหานครในการขุดคลองเมืองคือบางลำพู-โอ่งอ่างนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงเกณฑ์ไพร่พลที่เป็นคนเขมร คนตานี และลาวเป็นแรงงาน ซึ่งนอกจากคลองเมืองแล้วก็มีการขุด “ คลองมหานาค ” แยกออกจากคลองเมืองหน้าป้อมมหากาฬ ผ่านวัดสระเกศไปยังท้องทุ่งและที่ลุ่มทางตะวันออกระยะทางราว ๒ กิโลเมตรแล้วต่อกับคลองแสนแสบที่ขุดในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ เมื่อขุดคลองเสร็จแล้วโปรดเกล้าฯให้ชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์นั้นตั้งบ้านเรือนอยู่ริมคลองจนถึงทุกวันนี้ เพราะพื้นที่บริเวณนี้เหมาะสมกับการขยายเขตที่อยู่อาศัยของพลเมืองที่อยู่นอกเมือง มีวัดสระเกศเป็นวัดเก่า โปรดเกล้าฯ ให้ผู้คนที่อพยพมาจากกรุงศรีอยุธยาส่วนหนึ่งเข้ามาตั้งถิ่นฐานเช่น ชุมชนบ้านบาตร ที่เป็นชุมชนหัตถอุตสาหกรรมตีบาตรพระซึ่งคงรวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ทรงพระราชทานนามคลองขุดที่แยกจากคลองเมือง ผ่านมายังวัดสระเกศว่า คลองมหานาคซึ่งเป็นชื่อคลองในทุ่งภูเขาทองของกรุงศรีอยุธยา ทุ่งภูเขาทองที่มีเจดีย์วัดภูเขาทองเป็นประธานอยู่กลางทุ่งนั้นเป็นที่ที่คนอยุธยามาจอดเรือเล่นสักวากันในฤดูน้ำท่วมทุ่งการใช้ชื่อคลองมหานาคให้เหมือนกับที่กรุงศรีอยุธยาก็เพื่อเรียกขวัญประชาชนที่เคลื่อนย้ายมาจากอยุธยาให้เกิดความรู้สึกว่าความเป็นกรุงศรีอยุธยาที่เคยรุ่งเรืองสุขสำราญนั้น ยังไม่สิ้นไปและมาฟื้นฟูใหม่ที่กรุงเทพมหานคร ผลที่ตามมาก็คือทำให้มีการเรียกพระสถูปเจดีย์ของวัดสระเกศเป็นภูเขาทองในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯที่เริ่มสร้างเจดีย์ภูเขาทองขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ทางจักรวาลในพื้นที่ลุ่มทางตะวันออกของกรุงเทพฯ คลองผดุงกรุงเกษม เป็นคลองเมืองชั้นนอกที่ขุดในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวระหว่าง พ.ศ. ๒๓๙๔-๒๓๙๕ จ้างแรงงานชาวจีนเป็นผู้ขุดเพื่อขยายชุมชนออกไปทางทิศตะวันออกของพระนคร ระยะทางรวมราว ๕.๕ กิโลเมตร เริ่มทางทิศเหนือที่วัดสมอแครงหรือวัดเทวราชกุญชร ขนานไปกับคลองวัดสังเวช-โอ่งอ่างตัดผ่านคลองมหานาคจนกลายเป็นย่านการค้าที่สำคัญ คือสี่แยกมหานาค ผ่านวัดหัวลำโพง วัดท่าเกวียนหรือวัดมหาพฤฒารามไปจนจรดแม่น้ำเจ้าพระยาทางทิศใต้แถววัดแก้วแจ่มฟ้า การขุดคลองทำให้เกิดวัดและชุมชนเรียงรายไปตามลำคลองเพิ่มขึ้น เช่น วัดสามจีน (วัดไตรมิตรฯ) วัดพลับพลาไชย วัดโสมนัสราชวรวิหาร วัดมกุฏกษัตริยาราม วัดบางขุนพรหม วัดเทวราชกุญชร ฯลฯ แนวคลองครั้งนั้นไม่มีการสร้างกำแพงเมือง แต่สร้างป้อม ๘ ป้อม ปัจจุบันเหลือแต่เฉพาะป้อมทางฝั่งธนฯ ที่สร้างคราวเดียวกันคือ ป้อมป้องปัจจามิตร ที่ตั้งอยู่ปากคลองสาน ตั้งแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เป็นต้นมา มีการขยายพื้นที่อยู่อาศัยของผู้คนจากเมืองพระนครมาทางฝั่งตะวันออกเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดวัดขึ้นเป็นศูนย์กลางของชุมชนเพิ่มตามขึ้นมา เช่น วัดพระพิเรนทร์ วัดชัยชนะสงคราม วัดจักรวรรดิราชาวาส วัดกันมาตุยาราม วัดสัมพันธวงศ์ วัดปทุมคงคา วัดใหม่ยายแฟง (วัดคณิกาผล) วัดพลับพลาไชย ฯลฯ เมื่อมีการขุดคลองเมืองพระนครชั้นนอกคือคลองผดุงกรุงเกษมขึ้นมานั้น ได้ทำให้วัดต่างๆ ดังกล่าวนี้เข้ามาอยู่ภายในเขตเมืองกรุงเทพมหานคร คลองเมืองผดุงกรุงเกษมมีความสำคัญมากในทางคมนาคมขนส่งสินค้าขึ้นล่องตามลำน้ำเจ้าพระยาเข้ามา ในกรุงเทพมหานคร มีเส้นทางลำน้ำคูคลองที่ติดต่อกับคลองเมืองเส้นต่างๆ และออกแม่น้ำเจ้าพระยาได้ ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายและกระจายตัวของคนจีนและย่านตลาดเพิ่มขึ้นโดยมีทิศทางมาจากริมน้ำเจ้าพระยาตั้งแต่วัดบพิตรพิมุขมาทางวัดสัมพันธวงศาราม วัดปทุมคงคา และวัดแก้วฟ้า กระจายตัวกันขึ้นมาทางวัดใหม่ยายแฟง (วัดคณิกาผล) และวัดพลับพลาไชย ภายในพระนครเมื่อต้นกรุงฯ กรุงเทพมหานครเมื่อแรกสร้างจนถึงราวรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ นั้น พื้นที่ทางตะวันออกของพระบรมมหาราชวัง เช่น วังสราญรมย์เคยเป็นสวนกาแฟ บริเวณท้องสนามหลวงเป็นทุ่งนา บริเวณแม่พระธรณีบีบมวยผมเป็นวังเจ้านายและย่านที่อยู่อาศัยริมคลองเมืองชั้นใน ขณะที่บริเวณพระบวรราชวังซึ่งสัมพันธ์กับวัดสลักเป็นบริเวณที่มีการอยู่อาศัยริมแม่น้ำค่อนข้างหนาแน่นเพราะเป็นท่าเรือจอด เช่น ท่าพระจันทร์ ท่าช้างวังหน้า ฯลฯ บริเวณคลองเมืองชั้นในทางตอนเหนือมี วัดชนะสงคราม หรือวัดตองปุซึ่งเป็นวัดเก่ามาก่อนการสร้างพระนคร มีชุมชนเก่าอยู่ก่อน ต่อมาเมื่อทางวังหน้าบูรณปฏิสังขรณ์วัดชนะสงครามขึ้นมาก็กลายเป็นวัดสำคัญ ของพระบวรราชวัง มีการนำคนมอญเข้ามาตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่โดยรอบ สลับกับวังของเจ้านายฝ่ายวังหน้าที่เริ่มแต่พระราชวังเดิมของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทและวังของกรมหลวงจักรเจษฎา พื้นที่ทั้งภายในกำแพงเมืองด้านเหนือมาจนถึงท่าพระอาทิตย์และป้อมพระสุเมรุปากคลองบางลำพูก็เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของเจ้านายและขุนนางหนาแน่นกว่าที่อื่น ๆ บริเวณปากคลองมหานาค ภูเขาทอง วัดสระเกศฯ อาณาบริเวณซึ่งเป็นวังเจ้าเหล่านี้ ครอบคลุมทั้งภายในกำแพงเมืองและชานพระนครนอกกำแพงเมือง เพราะต้องอาศัยแม่น้ำเป็นทางคมนาคม โดยเจ้านายแต่ละวังสามารถออกจากวังผ่านประตูช่องกุดมายังริมแม่น้ำได้ ซึ่งเมื่อมีการรื้อกำแพงเมืองพระนครแล้วจึงได้มาสร้างตึกเป็นวังในบริเวณชานพระนคร พื้นที่ตั้งแต่วัดชนะสงครามไปถึงบางลำพูเป็นแหล่งที่มีชุมชนกระจายอยู่ มีผู้คนเข้ามาตั้งหลักแหล่งตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น คนมอญแถววัดชนะสงครามถึงบางลำพู คนมุสลิมจากปัตตานีที่กวาดต้อนเข้ามาเป็นชุมชนที่มีมัสยิดเป็นศูนย์กลางและอยู่ไม่ห่างจากวัดชนะสงคราม ต่อมาคนมุสลิมได้ขยายถิ่นฐานมาตั้งมัสยิดและชุมชนในพื้นที่โล่งเป็นทุ่งเป็นคอกวัวบริเวณที่เป็นถนนราชดำเนินกลางที่สร้างขึ้นครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ พื้นที่ทุ่งโล่งกลางพระนครนี้ไม่มีคนอยู่เป็นชุมชน แต่เป็นที่ตั้งของ ตึกดิน ที่มีขอบเขตเป็นกรมทหารที่อยู่ในพื้นที่ซึ่งปัจจุบันเป็นโรงเรียนสตรีวิทยาและบริษัทธนบุรีประกอบรถยนต์ริมถนนราชดำเนินใกล้กับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถัดจากทุ่งโล่งที่มีคอกวัวและเป็นที่ตั้งของ ตึกดิน ก็มีบริเวณคลองหลอดที่ขุดมาจากคลองเมืองชั้นในริมวัดบุรณศิริมาตยารามผ่านวัดมหรรณพารามมายังวัดราชนัดดา-วัดเทพธิดา เป็นบริเวณที่มีการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนชาวพระนครที่เป็นขุนนางและชาวบ้านธรรมดาเป็นส่วนใหญ่ ความเป็นชุมชนเกิดขึ้นแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ซึ่งในช่วงเวลานี้ยังเป็นสมัยที่ยังไม่มีการตัดถนนอย่างในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ คนสัญจรไปมาด้วยทางเท้าและคูคลองเป็นหลัก ชานพระนครและสองฝั่งคลองเมือง บรรดาคูคลองทั้งหลายในพระนครดูไม่สำคัญเท่ากับคลองเมืองด้านตะวันออกคือ “คลองวัดสังเวช-โอ่งอ่าง” ที่เกิดแหล่งที่อยู่อาศัยของผู้คนหนาแน่นกว่าบริเวณอื่น ฝั่งทางพระนครจะมีชุมชนและตลาดอยู่ตาม ชานพระนคร คือ พื้นที่ห่างกำแพงเมืองมายังชายน้ำ ส่วนเจ้านายขุนนางและข้าราชการส่วนใหญ่มีนิวาสสถานอยู่ภายในกำแพงพระนครที่มีทั้ง ป้อม ประตูเมือง และประตูช่องกุด อันเป็นช่องทางที่ผู้คนภายในเมืองจะออกไปริมลำคลองเพื่อการคมนาคมได้ ทางฝั่งคลองเมืองด้านตะวันออกที่อยู่นอกกำแพงเมืองก็มีชุมชนและวัดเรียงรายกันไปตั้งแต่ปากคลองจนถึงปลายคลอง เหตุนี้ตั้งแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ลงมาจึงมีการสร้างวังของเจ้านายน้อยใหญ่ที่ทรงกรมเป็นแนวขนานกับกำแพงเมือง มีทั้งวังรุ่นเก่าแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เช่น วังกรมหมื่นสมมตอมรพันธุ์ วังกรมหลวงพิชิตปรีชากร วังกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ วังกรมหมื่นราชศักดิ์สโมสร วังกรมพระดำรงราชานุภาพ ฯลฯ และวังรุ่นใหม่ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เช่น วังบูรพาภิรมย์หรือวังสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช วังกรมหลวงเทววงศ์วโรปการ วังกรมพระนครสวรรค์วรพินิต ฯลฯ บรรดาเจ้านายของวังเหล่านี้ส่วนใหญ่ใช้ช่องทางวังผ่านประตูช่องกุดและประตูเมืองมายังคลองเมืองในการเดินทางออกนอกพระนคร ย่านวัดบางลำพูหรือวัดสังเวชวิศยาราม คลองเมืองและชานพระนครบริเวณปากคลองฝั่งนอกมีวัดบางลำพูหรือวัดสังเวชวิศยาราม เป็นศูนย์กลางของชุมชน ส่วนด้านในกำแพงเมืองเป็นย่านของวังริมป้อมพระสุเมรุและป้อมพระอาทิตย์ เป็นกลุ่มตระกูลของพระราชวังบวรสถานมงคลหรือวังหน้า ริมคลองมีอาคารบ้านเรือนท่าน้ำและตลาดน้ำต่อเมื่อมีการรื้อกำแพงและประตูเมืองจึงปลูกตึกและอาคารสองฝั่งถนนมากขึ้น คลองวัดสังเวช-โอ่งอ่าง มีเรือสินค้าเข้ามาจากชุมชนรอบนอกมากมาย ย่านวัดรังษีสุทธาวาสหรือวัดบวรนิเวศวิหาร วัดรังษีสุทธาวาสที่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ทรงสร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ เคยเป็นวัดที่มีมาก่อนสร้างวัดบวรนิเวศในครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ และภายหลังจึงมารวมเป็นวัดเดียวกัน และยังอยู่ในอาณาบริเวณย่านวังหน้าในช่วงรัชกาลที่ ๒ และ ๓ ทางฝั่งภายในกำแพงพระนครมีบ้านเรือนปลูกอยู่นอกกำแพงชานเมืองริมน้ำอยู่ไม่น้อย และเป็นอาคารร้านค้าชั้นเดียวบ้าง สองชั้นบ้าง และหันหน้าลงคลองยังคงพบอาคารเหล่านี้หลังตึกแถวที่เคยเป็นแนวกำแพงเมืองที่ถูกรื้อไปแล้วฝั่งตรงข้ามเป็นย่านบ้านเรือนและวังเจ้านายเก่าที่ต่อเนื่องกับย่านวัดตรีทศเทพ และต่อมากลายเป็นโรงไม้ที่ช่างจีนไหหลำทำโรงเลื่อยและรับทำงานไม้และเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ย่านวัดปรินายกและบ้านพานถม อยู่ทางฝั่งนอกพระนคร เยื้องกับป้อมมหาปราบ สร้างโดยเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนีย์) ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ภายหลังเมื่อตัดถนนราชดำเนินแล้วกินอาณาเขตของวัดไปส่วนหนึ่ง บริเวณนี้ต่อเนื่องกับตรอกบ้านพานถมที่มีช่างฝีมือทำลวดลายลงบนพานถมด้วยวิธีการตอกลายลงบนภาชนะที่รองด้วยก้อนรักแบบโบราณ แม้ทุกวันนี้จะถูกตีตลาดจากการทำขันน้ำพานรองแบบปั๊มจากเครื่องจักรกลอุตสาหกรรมหลายสิบปีแล้ว แต่ก็ยังมีร้านไทยนคร ที่ทำเครื่องถมแบบเก่าเหลืออยู่เพียงแห่งเดียว ย่านคลองมหานาคและวัดสระเกศ ฝั่งเหนือคลองมหานาคเมื่อราวสมัยรัชกาลที่ ๒ โปรดเกล้าฯ ให้บรรดาครอบครัวทางใต้จากพัทลุงและนครศรีธรรมราชเข้ามาตั้งถิ่นฐานซึ่งในบรรดาคนเหล่านี้เป็นพวกละคร หนังตะลุง ที่มีความรู้ทางดนตรีและศิลปะการแสดง ทางฝั่งใต้ของคลองมหานาคเป็นพื้นที่ซึ่งมีวัดสระเกศเป็นวัดเก่าที่เป็นศูนย์กลางทางศาสนาและพิธีกรรมที่ผู้คนที่หลากหลายทางชาติพันธุ์ถูกเกณฑ์มาขุดคลองเมืองพระนครซึ่งรวมทั้งคลองมหานาคด้วย นอกจากคนเหล่านี้ยังมีผู้คนที่อพยพมาจากกรุงเก่าเข้ามาตั้งถิ่นฐาน หนึ่งในกลุ่มคนเหล่านี้คือชุมชนที่บ้านบาตร ซึ่งเป็นช่างฝีมือในการทำบาตรพระ ที่ปนเปไปกับทางบ้านบาตรคือชาวจีนกวางตุ้ง จีนไหหลำที่ทำโรงเลื่อยประดิษฐ์วงกบหน้าต่าง กรอบประตูไม้ที่ยังทำเป็นหัตถอุตสาหกรรมจนถึงทุกวันนี้ ส่วนฝั่งตรงข้ามชานพระนครเหนือคลองหลอดวัดราชนัดดาขึ้นมา เป็นกลุ่มย่านบ้านที่ทำสายรัดประคด ซึ่งเป็นงานช่างฝีมือในตระกูลรามโกมุทเริ่มขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ เมื่อครั้งที่ “พระยารามรณรงค์สงคราม รามมีไชยไสวเวียง” (บัว) ได้รับที่ดินพระราชทานในการเป็นแม่กองซ่อมวัดเทพธิดาราม แม้จะทำสืบเนื่องกันมายาวนานแต่ปัจจุบันเลิกทำไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ย่านประตูยอดสะพานหัน อยู่บริเวณหน้าวังบูรพาภิรมย์ที่มีป้อมมหาไชยหรือป้อมสะพานหันตั้งอยู่ แม้จะซ่อมแซมหลายครั้งแต่ก็ยังพังลงมาจนเป็นที่กล่าวขานจดจำ ภายหลังเมื่อทำถนนรอบเมืองมีรถรางแล้วจึงรื้อทั้งกำแพงและป้อมออกเพื่อการคมนาคมสมัยใหม่ที่สะดวกกว่าตลาดสะพานหันเป็นแหล่งธุรกิจการค้า เดิมเป็นย่านการค้าของคนท้องถิ่นทั่วไปก่อนที่จะกลายเป็นย่านการค้าของคนจีน แต่เดิมเป็นสะพานไม้แผ่นเดียวทอดข้ามคลองปลายข้างหนึ่งตรึงแน่นกับที่ อีกปลายหนึ่งวางพาดกับฝั่งตรงข้ามโดยไม่ตอก สามารถจับหันเปิดทางให้เรือผ่านและหันปิดสำหรับคนข้าม ต่อมาได้รับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงลักษณะจากเดิมหลายครั้ง ครั้งสำคัญในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ สร้างเป็นสะพานโครงเหล็กพื้นไม้เรียบเสมอกันใต้พื้นไม่มีล้อเหล็กแล่นบนรางแต่สามารถแยกสะพานออกจากกันให้เรือผ่านได้ และในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ โปรดให้สร้างสะพานหันใหม่ นำแบบมาจากสะพานในประเทศอิตาลี เป็นสะพานไม้รูปโค้งกว้างกว่าปกติสองฟากสะพานมีห้องแถวเล็ก ๆ ให้เช่าขายของและตรงกลางเป็นทางเดิน เป็นสะพานที่ถูกถ่ายรูปไว้มากทีเดียว ส่วนย่านปลายคลองเมืองที่ต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยามีวัดเชิงเลนหรือวัดตีนเลนหรือวัดบพิตรพิมุข ซึ่งเป็นวัดเก่าริมลำน้ำเจ้าพระยา มีมาก่อนการขุดคลองเมืองเป็นศูนย์กลาง สุนทรภู่เมื่อครั้งเป็นพระอยู่ที่วัดเทพธิดารามเขียนไว้ในนิราศสุพรรณเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๔ ว่าเป็นย่านตลาดสินค้าทั้งสดและแห้ง ภายในคลองเต็มไปด้วยเรือขนถ่ายสินค้า เช่น โอ่งอ่าง อิฐ และเกลือก็ใช้เส้นทางเข้ามาทางปากคลองด้านนี้ ศรีศักร วัลลิโภดม, วลัยลักษณ์ ทรงศิริ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- มรดก (รก) โลก กับ “คน” พระวิหาร
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2551 ข้าพเจ้าไม่เคยมีความเชื่อมั่นในเรื่องการทำให้โบราณสถาน แหล่งโบราณคดีและแหล่งธรรมชาติเป็นมรดกโลก ตั้งแต่แหล่งมรดกโลกแรกอุบัติขึ้นในพื้นพิภพนี้ เพราะเป็นแหล่งที่เกิดขึ้นจากการเอาของเก่า บรรยากาศเก่า ๆ มายำใหญ่ โดยนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิทยาการต่าง ๆ ทางสังคมศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งมาจากที่ต่าง ๆ โดยแทบไม่มีผู้รู้ในท้องถิ่นของแหล่งเก่าแก่นั้นเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ทำให้เกิดโครงสร้างและรูปแบบจากข้างบนลงข้างล่าง [top down] ที่ดูเสมือนจริงแต่ไม่จริง และเข้ากันได้กับวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คนในท้องถิ่น ผลที่ตามมานั้น ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างของคนท้องถิ่นที่สืบทอดกันมาต้องเสียหายไปหมดสิ้น ไม่ว่าสภาพแวดล้อมธรรมชาติ ทรัพยากร และแม้แต่วิถีชีวิตทางวัฒนธรรมของผู้คน ดังเห็นจากแหล่งมรดกโลกหลายแห่งที่มีอยู่ขณะนี้ เช่น เมืองหลวงพระบาง เมืองสุโขทัย อยุธยา และเมืองฮอยอัน เป็นอาทิ เพราะพื้นที่อยู่อาศัยกลายเป็นพื้นที่ค้าขายของคนจากภายนอกทั้งต่างชาติ ข้ามชาติ และต่างถิ่นมากมาย กลายเป็นย่านตลาดนานาชาติ ศาสนสถานและแหล่งทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรม ถูกเปลี่ยนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ทำลายและลดความศักดิ์สิทธิ์ให้กลายเป็นแหล่งทัศนาจรที่สาธารณ์และสามานย์กลายเป็นแหล่งปลดปล่อยของอารมณ์นานาประการมากกว่าการเป็นแหล่งเรียนรู้ กระนั้นก็ดี ข้าพเจ้าก็ยังมีทัศนคติที่ดีให้กับการทำให้ปราสาทพระวิหารเป็นแหล่งมรดกโลก เพื่อการเป็นแหล่งเรียนรู้ถึงความสวยงาม ความสำคัญทางอารยธรรมของโลกแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในตำแหน่งของเขตแดนที่ทับซ้อนกันอยู่ที่ยังไม่มีการตกลงกันอย่างชัดเจน อีกทั้งยังเกิดข้อพิพาทกันอยู่บ่อย ๆ สมควรที่จะให้คนที่เป็นกลางได้จัดการให้ เพื่อเป็นประโยชน์ของผู้คนท้องถิ่นของสองเขตแดนจะได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติเหมือนกับสมัยที่ยังไม่มีการแบ่งเส้นเขตแดน คนท้องถิ่นที่อยู่สองฟากเขาพระวิหารทั้งในที่ราบสูงโคราชของไทยและที่ราบลุ่มทะเลสาบเขมรของกัมพูชา คือผู้ที่เกี่ยวข้องกับปราสาทพระวิหาร ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นผู้มีส่วนได้และส่วนเสีย [stake holder] ของท้องถิ่นอย่างแท้จริง เป็นกลุ่มชนที่มีเผ่าพันธุ์มอญ-เขมร เหมือนกัน อีกทั้งมีความสัมพันธ์เป็นพี่น้องและเครือญาติระหว่างกันและมีประวัติศาสตร์ร่วมกันมาก่อนสมัยการมีการแบ่งเขตแดน แม้กระทั่งปัจจุบันประวัติศาสตร์ของคนท้องถิ่นดังกล่าวนี้ก็ยังดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องในลักษณะที่เป็นประวัติศาสตร์มีชีวิต [living history] ดังเห็นได้จากเมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม ซึ่งอยู่ในพื้นที่สันปันน้ำของเทือกเขาพนมดงเร็ก มีผู้คนจากฟากเขมรต่ำและผู้คนจากสุรินทร์ในเขตประเทศไทย พากันมาประกอบพิธีกรรมทำบุญร่วมกันที่ปราสาทโดยไม่คำนึงถึงเส้นแบ่งเขตแดน เมื่อพบปะกัน เจริญความสัมพันธ์ร่วมกันในงานพิธีกรรม ก็เอาสิ่งของมาขายแลกเปลี่ยนกัน โดยที่ไม่สนใจคนทางกรุงเทพฯ หรือพนมเปญแม้แต่น้อย ซึ่งก็คงเช่นเดียวกันกับเหตุการณ์ครั้งพระธาตุพนมล้มที่ริมฝั่งโขง ในเขตจังหวัดนครพนม ที่แม้ว่าพระบรมธาตุจะเป็นโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมที่อยู่ในเขตแดนประเทศไทยก็ตาม แต่ทั้งคนไทย คนลาวริมฝั่งโขงก็ไม่ยี่หระกับคนกรุงเทพฯ และคนเวียงจันทน์ ต่างพากันแต่ถ้าพายเรือ แล่นเรือข้ามฝั่งมาร้องไห้ ร้องห่มรวมกันในการสูญเสียแหล่งศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่พึ่งและความมั่นคงทางจิตใจ คนท้องถิ่นมีประวัติศาสตร์ร่วมกันมาแต่ดั้งเดิมและยังคงอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้เวลาจะเปลี่ยนแปลง และล่วงเลยมานับหลายศตวรรษ ก่อนจะมีการแบ่งเขตแดนอันเป็นผลผลิตของประวัติศาสตร์อาณานิคมของฝรั่งเศสและประวัติรัฐชาติของไทยและเขมรที่มีอายุร้อยกว่าปีมานี้เอง ประวัติศาสตร์อาณานิคมของฝรั่งเศส ไม่เคยเอื้ออาทรกับคนท้องถิ่นสองฟากพนมดงเร็ก แต่กลับอ้าง พระราชอำนาจของกษัตริย์วรมันแห่งเมืองพระนครที่เสียมเรียบ ว่าสร้างปราสาทพระวิหารขึ้นเพื่อประกอบพระเดชานุภาพเหนือผู้คนและดินแดนทั้งสองฟากพนมดงเร็ก แต่โดยเหตุที่ฝรั่งเศสมีอำนาจเหนือเขมรและเขมรเป็นเมืองในอาณานิคมของฝรั่งเศส จึงจำเป็นต้องมีการแบ่งเขตแดนให้ชัดเจนออกจากเขตแดนประเทศไทยที่ไม่ใช่อาณานิคมฝรั่งเศส ใช้แผนที่เป็นเทคนิคในการแบ่งเขต ซึ่งดูยุติธรรมดีเมื่อกำหนดเอาสันปันน้ำอันเป็นลักษณะธรรมชาติเป็นสิ่งกำหนด แต่เพราะทางฝ่ายไทยไม่มีความรู้และสันทัดในการทำแผนที่ ก็เลยปล่อยให้ฝรั่งเศสทำไปแต่ฝ่ายเดียว แล้วยอมเซ็นรับรองความถูกต้อง ครั้นแล้วความชั่วช้าของประเทศมหาอำนาจก็ปรากฏขึ้นด้วยการโกงอย่างซึ่งหน้าและน่าละอายเป็นอย่างยิ่ง เพราะปราสาทพระวิหารที่อยู่ในสันปันน้ำทางฝั่งไทย กลายเป็นอยู่ในเขตเขมรของฝรั่งเศสไป ครั้นเกิดคดีความขึ้นครั้ง พ.ศ. ๒๕๐๕ แทนที่ศาลโลกจะตัดสินจากความถูกต้องทางภูมิศาสตร์ก็ยังใช้ความถูกต้องของแผนที่ครั้งฝรั่งเศสทำไว้ตัดสินให้ทางไทยแพ้คดี ซึ่งใคร ๆ ก็รู้ว่าบรรดามหาอำนาจหลายชาติที่คนไทยซึ่งล้วนแต่ไปเรียนเมืองนอกจนกลายเป็นขี้ข้าทางปัญญาเป็นแถว ๆ นั้น ร่วมลงขันให้ทางฝ่ายเขมร ก็พวกบ้าตะวันตกที่เป็นขี้ข้าทางปัญญาของมหาอำนาจตะวันตกเหล่านี้แหละที่สร้างประวัติศาสตร์รัฐชาติขึ้นทั้งสองประเทศ ทำให้เกิดการมีประวัติศาสตร์ที่มีเขตแดนของคนกรุงเทพฯ และพนมเปญขึ้นมา คนพนมเปญ อาศัยความใกล้ชิดกับฝรั่งเศสในยุคอาณานิคม ก็เลยสานต่อความยิ่งใหญ่ของเขมร ด้วยการอ้างความชอบธรรมของกษัตริย์วรมันที่สูญหายไปช้านานแล้ว ว่าดินแดนที่ราบสูงโคราชและแม้แต่ดินแดนภาคกลางของประเทศไทยก็เคยอยู่ในแผ่นดินเขมรมาก่อน ทุกวันนี้นักวิชาการรุ่นใหม่ของเขมรและคนเขมรเป็นจำนวนมากที่มีปมด้อยในความเป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจก็มักจะแสดงอาการคลั่งชาติเขมรด้วยความเชื่อเช่นนี้ ในขณะเดียวกัน นักประวัติศาสตร์โบราณคดีของฝรั่งยุคอาณานิคมก็เขียนประวัติศาสตร์ชนชาติไทยว่าเป็นพวกที่ถูกขับไล่จากดินแดนประเทศจีน เข้ามาในดินแดนขอมสมัยกษัตริย์วรมัน มาเป็นขี้ข้าคนขอมอยู่ แล้วต่อมาจึงตั้งตัวเป็นอิสระที่สุโขทัย ซึ่งนักปราชญ์และนักประวัติศาสตร์แต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ลงมาก็เชื่อเช่นนั้น จึงเกิดการสร้างประวัติศาสตร์ชาติไทยแบบไทย-ไทย ไทยใหญ่ ไทยโต ต่อมาในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม จึงหาจุดเด่นและเหตุการณ์ทางการเมืองสมัยอยุธยากับสมัยกรุงเทพฯ มาอธิบายข่มพวกขอม เขมรบ้าง ในช่วงเวลาที่เขมรต้องมาเป็นเมืองขึ้นและขี้ข้าไทยบ้าง ทำให้เกิดการขัดแย้งและตอบโต้กันบ่อย ๆ ดังเช่น กรณีปราสาทพระวิหารในขณะนี้ที่ทางเขมรไม่ทวงเฉพาะปราสาทพระวิหารเท่านั้น แต่ทวงทั้งภาคอีสานทั้งหมดเลย เพราะหลาย ๆ พื้นที่มีปราสาทขอม มีจารึกขอมแสดงหลักฐานให้เห็น เพราะทางเขมรเห็นว่ากษัตริย์วรมันยังเรืองอำนาจอยู่ในลักษณะอมตะนิรันดร์กาล ส่วนทางไทยก็ตอบโต้ด้วยประวัติศาสตร์สมัยกรุงเทพฯ ที่เขมรเคยอยู่ในราชอาณาจักรไทยและข่มขู่จะรุกเข้าไปยึดเสียมราฐ พระตะบองคืนมา อาการคลั่งชาติจึงเกิดด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย แต่ฝ่ายไทยดูเสียเปรียบ เพราะนอกจากบรรดาประเทศใหญ่ ๆ เข้าข้างเขมรแล้ว ในเมืองไทยยังมีคนไทยข้ามชาติ ขายชาติและขายตัวอีกแยะที่มองเห็นการเป็นแหล่งมรดกโลกของปราสาทพระวิหารเป็นประโยชน์กับตนเองและพรรคพวก พวกนักธุรกิจข้ามชาตินั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะรู้กันดีว่าใครเป็นใคร แต่ก็มีคนครึ่ง ๆ กลาง ๆ ในหมู่ขายชาติและขายตัวที่เป็นดอกเตอร์ดอกตีนอีกเยอะที่มักออกมาแสดงเหตุผลทางวิชาการแบบตามก้นฝรั่ง ถึงความเป็นกลาง ๆ อย่างไร้เดียงสา อย่างเช่น การเป็นมรดกโลกนั้นจะทำให้ไทยเป็นที่รู้จักของสังคมชาวโลก อีกทั้งมีรายได้ทางเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยว หรือการแสดงความเห็นอกเห็นใจเขมรในเรื่องดินแดนว่าทั้งปราสาทพระวิหารและดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมไปถึงเสียมราฐ พระตะบอง เป็นของเขมร ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่ายังพูดไม่ออกอยู่แต่เพียงว่า ภาคกลางของประเทศไทยก็เป็นของเขมรด้วย และคนไทยสมัยรัชกาลที่ ๕ ไปโกงเขามา ข้าพเจ้าก็เดาไม่ออกว่าการพูด การเขียนที่แสดงออกมาอย่างออกทะเลที่อ่าวอุดมเช่นนี้ทำเพื่ออะไร แต่ก็พอสรุปได้ว่า ล้วนมาวนอยู่ในประวัติศาสตร์ที่หมดอายุไปแล้วของสมัยกษัตริย์วรมันและสมัยรัชกาลที่ ๕ เท่านั้นเอง อันเป็นเรื่องที่คนกรุงเทพ ฯ คนพนมเปญ หรือพวกฝรั่งต่างชาติได้เล่าเรียนกันมา แต่แทบไม่มีใครเลยที่จะพูดถึงประวัติศาสตร์ของคนที่อยู่ทั้งสองฟากของเขาพระวิหารที่มีสำนึกว่า ปราสาทพระวิหารเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ร่วมกันของพวกเขาแต่อดีตจนปัจจุบัน การเป็นมรดกโลกของปราสาทพระวิหารดูเหมือนจะใช้แต่เพียงประวัติศาสตร์ยุคกษัตริย์วรมันที่ขึ้นไปกราบไหว้ศิวลึงค์เป็นสำคัญโดยจะรื้อฟื้นให้กลับคืนมาในลักษณะการแสดงเพื่อการท่องเที่ยว เพราะคงไม่มีนักท่องเที่ยวจากภายนอกคนใดที่ไปไหว้ศิวลึงค์เป็นแน่แท้ ในขณะที่คนในท้องถิ่นแม้ว่าจะยังให้ความเชื่อความเคารพกับปราสาทในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์อยู่ก็คงไม่ไปไหว้ศิวลึงค์อีกเช่นกัน ทั้งศิวลึงค์ก็ถูกขโมยไปนานแล้ว รวมทั้งเทวาลัยก็พังลงหมดแล้ว แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ในความเชื่อและความคิดของชาวบ้านก็คือ ผี จึงไหว้ผีกันมากกว่าศิวลึงค์ แต่ถ้าปราสาทกลางเป็นมรดกโลกเพื่อให้นักท่องเที่ยวมาชม ผีก็ถูกไล่ออกไปอีกและคงเหลืออยู่แต่ในความทรงจำของชาวบ้านรุ่นพ่อรุ่นแม่เท่านั้น คนรุ่นใหม่ก็คงได้รู้ได้เห็นปราสาทพระวิหารเป็นแต่เพียงแหล่งท่องเที่ยวที่ผลประโยชน์ เช่น รายได้ที่เป็นเงินเป็นทองไปเป็นของคนอื่น ของนักธุรกิจ นายทุนจากกรุงเทพฯ พนมเปญและนายทุนข้ามชาติทั้งหลาย ดังเห็นได้จากการที่นักข่าวของ ทีพีบีเอส ไปพูดคุยกับชาวบ้านที่บ้านภูมิซรอล อันเป็นชุมชนเก่าแก่ของท้องถิ่นว่าเขาเข้าใจอะไรบ้างเกี่ยวกับการเป็นมรดกโลกของปราสาทพระวิหาร ซึ่งชาวบ้านก็อธิบายให้ฟังถึงความผูกพันกับเขาพระวิหารและปราสาทในเรื่องของนิเวศวัฒนธรรม บ้านภูมิซรอลตั้งอยู่ริมลำห้วยกลางที่ไหลจากภูศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่ตั้งปราสาท ชาวบ้านอาศัยน้ำกินน้ำใช้จากลำน้ำนี้ ซึ่งก็ไหลลงไปสู่ชุมชนบ้านอื่น ๆ เช่นกัน ชาวบ้านหาของป่าจากธรรมชาติรอบ ๆ เขา รู้จักแหล่งโบราณสถานต่าง ๆ ที่อยู่รายรอบที่ผู้คนในท้องถิ่นล้วนคุ้นเคย จนมีการเล่าขานกันเป็นตำนานสื่อสารและถ่ายทอดกันเอง บางคนก็เกิดความไม่มั่นใจและหวาดกลัวว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับสิ่งเหล่านั้น โดยเฉพาะบริเวณปราสาทที่เคยเข้านอกออกในได้ ไปไหว้ไปเที่ยวหาของป่าตามบริเวณโดยรอบ ถ้าเปลี่ยนไปก็คงไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องและอาจต้องเสียค่าผ่านเพื่อเข้าชมอีกด้วย นี่คือสิ่งที่คนในท้องถิ่นมีความรู้สึกและหวาดกลัวถึงความสูญเสีย ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นและชีวิตวัฒนธรรมของคนในท้องถิ่นจึงนับเป็นความสำคัญอีกมิติหนึ่งที่ความเป็นมรดกโลกขาดไป แม้ว่าจะมีการพูดถึงเรื่องสังคมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เห็นอะไรเป็นรูปธรรมและความหมาย บัดนี้ ความพยายามของข้าพเจ้าได้มีทัศนคติที่ดีกับคณะกรรมการมรดกโลก อันเป็นคณะกรรมการนานาชาติก็สิ้นสุดลง ภายหลังจากเมื่อเร็ว ๆ มานี้ ในที่ประชุมที่เมืองควิเบค ประเทศคานาดา ได้ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาแต่ฝ่ายเดียว แทนการให้เป็นมรดกโลกร่วมกันของทั้งไทยและกัมพูชาที่หลาย ๆ คนได้คิดไว้ว่าจะนำความสันติสุขในเกิดขึ้นแก่คนทั้งสองประเทศ ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่าคณะกรรมการมรดกโลกจะทำเช่นนี้ เพราะการเอาแต่เพียงตัวปราสาทเป็นมรดกโลกแต่เพียงอย่างเดียวนั้น ไม่สามารถจะทำให้เป็นแหล่งอารยะธรรมเพื่อการเรียนรู้ได้ เกณฑ์ของการเป็นมรดกโลกนั้น เท่าที่คณะกรรมการอ้างถึงต้องมี ๓ ข้อ ข้อแรกเกี่ยวกับศิลปสถาปัตยกรรมของปราสาทซึ่งหมายถึงตัวปราสาท แต่อีกสองข้อหลังคือ ความสมบูรณ์และความเป็นสากลของแหล่งมรดกโลกที่ต้องเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อม ทั้งสามกฎเกณฑ์นี้จะแยกกันเสียไม่ได้ แต่คณะกรรมการมรดกโลกก็ได้ทำไปแล้ว โดยอ้างแต่เพียงเกณฑ์ข้อแรกอันเดียวนับเป็นการผิดทั้งความหมายและวัตถุประสงค์ของการเป็นแหล่งเรียนรู้อารยธรรมของโลกโดยตรง ทำนองตรงข้ามกลับแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อมีรายได้ทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงแลเห็นว่า คณะกรรมการมรดกโลกชุดนี้ขาดความชอบธรรมโดยสิ้นเชิง หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ทบทวนการขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารของกัมพูชาให้เป็นมรดกโลกตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับรัฐบาลไทยในช่วงเวลาที่ผ่านมา ก็แลเห็นความไม่ชอบมาพากลของคณะกรรมการมรดกโลกอย่างแจ้งประจักษ์ นั่นคือทางกัมพูชาได้รับการช่วยเหลือจากมรดกโลกในการเตรียมการเสนอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารให้เป็นแหล่ง [site] มรดกโลก มาก่อนการติดต่อขอความยินยอมจากไทยนานแล้ว ถึงแม้ว่าทางไทยรับรู้มาบ้างแล้วก็ตาม แต่ก็เข้าใจเพียงว่ากัมพูชาขอขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาท ซึ่งก็เป็นที่ยอมรับว่าเป็นของกัมพูชาหลังการตัดสินจากศาลโลกในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ โดยหาเฉลียวใจไม่ว่าเจตนาทางกัมพูชาที่แท้จริงแล้ว หาได้หมายเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้นไม่ หากหมายถึงการเป็นแหล่ง [site] มรดกโลกที่รวมถึงพื้นที่โดยรอบ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเขตแดนประเทศไทย เพราะในการตัดสินของศาลโลกนั้นฝ่ายไทยยังถือว่าดินแดนเขาพระวิหารยังอยู่ในเขตประเทศไทยตามลักษณะของสันปันน้ำ โดยเหตุนี้รัฐบาลไทยสมัย พ.ศ. ๒๕๐๕ จึงได้ส่งกำลังทหารเข้าไปล้อมรั้วกันตัวปราสาทพระวิหารออกไป ทำให้ทางฝ่ายกัมพูชามีพื้นที่อยู่เฉพาะบริเวณปราสาทเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ทางกัมพูชาก็ยังไม่เห็นด้วย เพราะถือว่าศาลโลกได้ตัดสินให้กัมพูชามีอำนาจอธิปไตยในเขตเขาพระวิหารเหมือนกัน แต่ระยะแรกก็ไม่แสดงท่าทีอะไร เพราะในช่วงเวลานั้นปราสาทพระวิหารยังไม่ได้รับความสนใจในเรื่องการเป็นแหล่งมรดกโลก รวมทั้งกัมพูชาเองก็เกิดความไม่สงบมีสงครามภายใน ทำให้บริเวณปราสาทพระวิหารกลายเป็นแหล่งที่มั่นของกองกำลังเขมรแดง และมีผู้คนอพยพเข้ามาลี้ภัย ซึ่งก็ทำให้ล้ำเขตบริเวณที่ทางไทยกั้นไว้แต่ พ.ศ. ๒๕๐๕ พอสงครามสงบ ปราสาทพระวิหารกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทั้งของไทยและกัมพูชาก็มีคนเขมรเข้ามาตั้งร้านค้าและบ้านเรือนอยู่ในเขตของไทย ดูเหมือนทางไทยปล่อยปละละเลยไม่ได้แย้งอันใด ทำให้ต่อมาเขมรอ้างเป็นเขตกัมพูชา และเมื่อมีการเตรียมการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก กัมพูชาก็อ้างแผนที่ซึ่งแสดงเขตแดนที่อ้างว่าเป็นคำตัดสินของศาลโลก กินแดนเข้ามาในเขตไทย ทำให้เกิดแผนที่ ๒ ชุด ชุดกัมพูชาชุดหนึ่งกับชุดของไทยชุดหนึ่งทำให้เกิดการล้ำแดนเป็นพื้นที่ทับซ้อนกันขึ้น ในการขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกนั้น ทางกัมพูชาส่งแผนที่ชุดของตนขึ้นมา เพื่อให้ทางไทยรับรอง จึงเกิดปัญหาขึ้น เพราะทางไทยเห็นว่าการเป็นมรดกโลกของปราสาทพระวิหารนั้นกินพื้นที่เข้ามาในเขตไทย จึงต้องมีการเจรจากัน ให้การเป็นมรดกโลกของปราสาทพระวิหารเป็นของทั้งกัมพูชาและไทยร่วมกัน ผลของการเจรจานั้นประหลาดมาก เพราะเขมรดูไม่ต้องการให้ไทยมีส่วนรวมในเรื่องมรดกโลก โดยอ้างว่าจะขึ้นทะเบียนแต่เพียงตัวปราสาทแต่อย่างเดียว ส่วนพื้นที่รอบ ๆ ที่เป็นปัญหาทับซ้อนกับเขตแดนไทยนั้นไม่เกี่ยว อีกทั้งดูเหมือนจะยอมรับแผนที่ชุดของไทยที่กันพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรออกจากพื้นที่ปราสาทที่มีเพียง ๑.๔ ตารางกิโลเมตรเท่านั้น เลยเป็นเหตุให้ทางฝ่ายไทยกลับมาบอกกับประชาชนว่า ทางไทยไม่เสียดินแดนแต่อย่างใด แต่พอมาถึงการประชุมกรรมการมรดกโลกเพื่อประกาศแหล่งมรดกโลก ณ เมืองควิเบค ที่ประเทศคานาดา ซึ่งมีทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศและคณะกรรมการมรดกโลกของไทยเข้าประชุมด้วย ทางคณะกรรมการมรดกโลกก็ประกาศขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา โดยไม่มีไทยร่วมด้วย โดยไม่รับฟังการทักท้วงของฝ่ายไทยแม้แต่น้อย ทำนองเดียวกันนั้นเขาก็แนะนำให้ทางไทยร่วมมือในการจัดการพื้นที่ทับซ้อนที่อยู่ในพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตร กับกรรมการอีก ๖ ชาติ เพื่อสมทบเป็นแหล่งมรดกโลกปราสาทพระวิหารในปีต่อไป เลยทำให้ผู้แทนมรดกโลกไทยหน้าบานกลับมาแล้วแสดงความจำนงที่จะร่วมมือกับชาติต่าง ๆ อีก ๖ ชาติ ในพื้นที่ซึ่งไทยอ้างสิทธิ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรต่อไป การตัดสินของคณะกรรมการมรดกโลกได้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาแต่ฝ่ายเดียวก็ดีหรือการเสนอแนะให้ไทยร่วมมือกับอีก ๖ ชาติเพื่อจัดการพื้นที่รอบปราสาทให้เป็นมรดกโลกในปีต่อไปก็ดี คือการเผยร่างพรางกายของคณะกรรมการมรดกโลกอย่างชัดแจ้ง คณะกรรมการมรดกโลกนอกจากกระทำในสิ่งที่ไม่น่าจะทำได้แล้ว ยังขุดหลุมพรางให้คณะกรรมการมรดกโลกไทยไปร่วมมือในการจัดการกับพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตร ร่วมกับต่างชาติอีก ๔-๕ ชาติ ที่ล้วนเข้าด้วยกับทางกัมพูชาทั้งสิ้น ข้าพเจ้าไม่เชื่อน้ำยาของนักวิชาการไทยของคณะกรรมการมรดกโลกไทย จะสามารถทำอะไรในการต่อรองให้เกิดผลดีกับทางไทยได้ เพราะคนเหล่านี้โดยสันดานก็ยอมฝรั่งอยู่แล้ว ถ้าหากตามทันเราก็คงไม่เสียปราสาทพระวิหาร การแพ้คดีศาลโลกที่แล้วมาคือบทเรียน เพราะบรรดาชาติมหาอำนาจที่อยู่ในคณะกรรมการนั้นส่วนใหญ่เข้าข้างกัมพูชา ไทยต้องเสียปราสาทพระวิหารและเกิดปัญหาในเรื่องดินแดนและเขตแดนเป็นผลตามมาจนถึงปัจจุบัน ก็เพราะนักวิชาการและนักบริหารตามไม่ทัน เกิดความโง่ เพราะไปตกลงอยากจะเป็นสมาชิกขององค์การโลกนั้นเอง บัดนี้หลุมพรางของมรดกโลกก็กำลังเข้ามาเยือน ถ้าไปตกลงเข้าเมื่อใดก็จะเป็นการโง่ซ้ำซากนั่นเอง แต่ทว่าการโง่ครั้งนี้จะมีผลกระทบอย่างรุนแรงกับบ้านเมืองและผู้คนในท้องถิ่นอย่างมหาศาล อาจพูดได้เต็มปากว่า จะเสียทั้งอำนาจอธิปไตยและชีวิตวัฒนธรรมของผู้คนในสังคมท้องถิ่นด้วย อำนาจอธิปไตยเป็นเรื่องของทหารของกองทัพ ไม่ขอพูดในที่นี้แต่จะพูดเฉพาะชีวิตวัฒนธรรมของคนท้องถิ่น ที่อยากเรียกว่า คนพระวิหาร ซึ่งเป็นผู้คนในสังคมชายแดนที่อยู่ทั้งสองฟากเขาพระวิหารทั้งในฟากไทยและฟากกัมพูชา คนเหล่านี้เขามีประวัติศาสตร์ความเป็นมาทางสังคมวัฒนธรรมในบริบทของสภาพแวดล้อมธรรมชาติร่วมกัน เป็นประวัติศาสตร์กษัตริย์วรมันของพวกอาณานิคมกับประวัติศาสตร์รัฐชาติไทย/ชาติเขมรครั้งยุครัชกาลที่ ๕ ประวัติศาสตร์ของคนท้องถิ่นที่แลเห็นคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่องนี้เป็นประวัติศาสตร์ที่สร้างโดยความทรงจำของผู้คนในท้องถิ่น หาใช่เป็นประวัติศาสตร์ยุคอาณานิคมหรือประวัติศาสตร์รัฐชาติที่แลเห็นแต่เส้นเขตแดนในเรื่องเศรษฐกิจและการเมืองที่ถูกสร้างโดยบรรดาดอกเตอร์ดอกตีนทั้งหลายที่เป็นคนข้างนอก ประวัติศาสตร์ที่แลเห็นคนเช่นนี้คือประวัติศาสตร์ที่คนในท้องถิ่นร่วมกันสร้างและต้องมีส่วนร่วมในการสร้าง ข้าพเจ้าไม่คิดว่าคณะกรรมการมรดกโลกจะเข้าใจและเห็นความสำคัญของประวัติศาสตร์ของคนในดังกล่าวนี้ ดังนั้น เมื่อมีการจัดการพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรขึ้น ก็จะเกิดโครงสร้างใหม่ที่คนในท้องถิ่นไม่เข้าใจและกลายเป็นเหยื่อจนสูญเสียทุกอย่างในชีวิตทางสังคม-วัฒนธรรมอย่างที่เคยมีมา การที่คณะกรรมการมรดกโลกไม่มีมิติของประวัติศาสตร์ของคนในอยู่ในสมองคิดเช่นนี้นั้น แลเห็นได้ในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน เรื่องแรกก็คือ คนท้องถิ่นที่เข้าไปตั้งร้านค้าขายและที่อยู่อาศัยในบริเวณตีนปราสาทพระวิหารอันเป็นพื้นที่ซึ่งทางไทยเห็นว่าคนกัมพูชาล้ำเขตแดนเข้ามา คนเหล่านี้คือคนพระวิหารฟากเขมรที่อพยพลี้ภัยสงครามภายในมาอยู่กับกองกำลังเขมรแดง ซึ่งทางไทยก็อะลุ่มอล่วยให้อยู่ จนปัจจุบันเกิดการอ้างสิทธิว่าอยู่ในเขตแดนกัมพูชาขึ้น ถ้าหากมีการจัดการพื้นที่บริเวณนี้เป็นพื้นที่มรดกโลก คนเหล่านี้ที่มีร้านค้าและที่อยู่อาศัยก็ไม่มีทางอยู่ได้ ต้องเคลื่อนย้ายออกไป เรื่องนี้ถ้าหาทางคณะกรรมการมรดกโลกไทยไปร่วมมือกับ ๖ ชาติในการจัดการพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรแล้ว ก็คงถูกกำหนดให้จัดการกับคนพระวิหารในความรับผิดชอบของทางฝ่ายไทยอย่างแน่นอน นั่นก็คือการรังแกคนพระวิหารนั่นเอง นับเป็นการโยนเผือกร้อนที่น่าทุเรศ ส่วนเรื่องที่สองเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ในบริเวณเขาพระวิหารฟากแผ่นดินไทย เมื่อคณะธรรมยาตราของฝ่ายพันธมิตรที่คัดค้านการขึ้นทะเบียนมรดกโลกปราสาทพระวิหารในนามของกัมพูชาเดินทางมายังเขาพระวิหารเพื่อให้กำลังใจกับทหารไทยที่ขึ้นไปตรึงกำลังไม่ให้เกิดการละเมิดอธิปไตยเขตแดนไทย ชาวบ้านของหมู่บ้านภูมิซรอลอันเป็นชุมชนเก่าแก่ในลุ่มน้ำตราวของท้องถิ่นพระวิหารได้ออกมาขัดขวางไม่ให้ขึ้นไปบริเวณปราสาท เพราะเห็นว่าเป็นการสร้างความวุ่นที่จะทำให้คนท้องถิ่นซึ่งเป็นคนพระวิหารทั้งฟากไทยและฟากกัมพูชาหมดอาชีพและรายได้ที่เกิดจากการท่องเที่ยวปราสาทพระวิหาร เลยเกิดทุบตีและใช้ความรุนแรงกันขึ้น ฝ่ายพันธมิตรนั้นมุ่งหวังที่จะไปให้กำลังใจทหารเพื่อไม่ให้ทางไทยยินยอมทำงานร่วมกับคณะกรรมการมรดกโลก ถ้าหากไม่ยอมให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกร่วมกันกับกัมพูชา เพราะถ้ายินยอมก็จะมีผลกระทบมาถึงการเสียดินแดนที่รวมไปถึงผู้คนที่เป็นคนพระวิหารทางฟากไทย และรวมทั้งฟากกัมพูชาด้วยที่อาจะไม่มีอาชีพและรายได้ดังที่เป็นอยู่ ฝ่ายทางชาวบ้านภูมิซรอลซึ่งเป็นคนพระวิหารเองก็เข้าใจไปว่า ถ้าหากบริเวณเขาพระวิหารเป็นพื้นที่มรดกโลกแล้ว พวกตนจะเดือดร้อนเพียงใด เพราะการจัดการพื้นที่ทั้งหมดเป็นการจัดการจากคนภายนอกซึ่งเป็นคนข้ามชาติข้ามถิ่นทั้งสิ้น คณะกรรมการมรดกโลกทั้งหลายเหล่านั้นไม่เคยมีประวัติศาสตร์ของคนท้องถิ่นพระวิหารอยู่ในสมองเลย ทำนองตรงกันข้ามกลับใช้ประวัติศาสตร์สมัยอาณานิคมและสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อร้อยปีมานี้อันเป็นประวัติศาสตร์ที่หมดอายุแล้วมาสร้างความมีตัวตนของปราสาทพระวิหารขึ้นใหม่ เพื่อการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ การท่องเที่ยวของมรดกโลกแทบทุกแห่งที่มีมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่เคยมีมิติของคนท้องถิ่นว่าเขาจะต้องสูญเสียและเดือดร้อนอะไรบ้าง ทำนองตรงข้ามกลับเป็นประโยชน์ของนายทุน นักธุรกิจข้ามชาติที่เป็นคนข้างนอกแทบทั้งสิ้น ดังนั้นก็อยากสรุปไว้ในที่นี้ว่า การทำให้ปราสาทพระวิหารเป็นแหล่งมรดกโลกนั้นก็คือการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเพื่อรายได้ทางเศรษฐกิจที่มีลักษณะทอปดาวน์ โดยคนจากภายนอกที่บีบบังคับให้คนในท้องถิ่นต้องยอมตาม จนเกิดการสูญเสียวิถีชีวิตความเป็นอยู่สภาพแวดล้อมธรรมชาติ ทรัพยากรและการอยู่ร่วมกันทางสังคมที่เคยมีมาหลายศตวรรษ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- “สามจังหวัดชายแดนใต้” หากรอแก้ปัญหาด้วยการเมืองก็สายเสียแล้ว
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ต.ค. 2553 ชาวประมงพื้นบ้านในอ่าวปัตตานีใช้ความพยายามอย่างยิ่งกว่าจะได้ปลากระบอกแต่ละตัว ชีวิตต่างจากอดีตในช่วงที่จำความได้อย่างลิบลับ เหตุระเบิดที่สามจังหวัดชายแดนใต้กลายเป็นเรื่องคู่ขนานกับการก่อการร้ายที่หมายจะเกิดขึ้นและเกิดขึ้นแล้วในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล หลายปีที่ผ่านมาเมืองไทยผ่านมรสุมทั้งภัยธรรมชาติอันร้ายแรงและความขัดแย้งทางการเมือง สร้างความเดือดร้อนไปทุกหย่อมย่านอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ในยุคสมัยอันทุรนนี้ หากถือเป็นโอกาสแห่งการเรียนรู้เพื่อปรับเปลี่ยนวิธีคิดและแง่มุมแบบเดิม ๆ อันเป็นบทเรียนที่หาไม่ได้แล้วสำหรับผู้คนร่วมสมัยก็จะถือว่าใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสได้อย่างเท่าทันทีเดียว จนถึงวันนี้ ในเมฆหมอกแห่งความคลุมเครือของปัญหาที่เกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนใต้และในประเทศของเรานั้น สาเหตุต่าง ๆ ค่อย ๆ ชี้นำไปสู่ยอดภูเขาน้ำแข็งที่ปรากฏชัดเจนกว่าเรื่องอื่น ๆ คือ “ปัญหาการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง” บนฐานของปัญหาสารพันที่ซ่อนตัวรอวันปะทุใต้ผิวน้ำอันเย็นและสงบราบเรียบ หลายปีที่แล้วเมื่อเหตุการณ์ในสามจังหวัดภาคใต้ก่อตัวขึ้นมานั้น สมมุติฐานส่วนใหญ่มักพุ่งเป้าไปที่ปัญหาของความแตกต่างทางชาติพันธุ์และศาสนา การถือตัวปฏิบัติตามหลักศาสนาในชีวิตประจำวันของชาวมุสลิมที่เริ่มกลายเป็นแบบแผนเดียวกันทั่วโลก กลายเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยของสังคมไทยที่มีมานานแล้วและคนทั่วไปส่วนใหญ่รับไม่ได้ใน “ความต่าง” เหล่านี้ จนทำให้เข้าใจไปอย่างสุดโต่งว่า ปัญหาเหล่านี้คือเหตุแห่งความรุนแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ การประกอบระเบิดที่ใช้เทคนิคแบบจุดระเบิดด้วยโทรศัพท์มือถือหรือระเบิดแสวงเครื่อง ซึ่งกลายเป็นเทคโนโลยีอันชั่วร้ายจากชายแดนใต้ถูกนำมาใช้ในกรุงเทพฯ จะโดยผู้ใดก็ตามเถิด แต่ได้ชี้ให้เห็นว่า การขยายตัวของการเลียนแบบเรื่องระเบิดนั้นอยู่ในแวดวงทางการเมืองที่มีเจ้าหน้าที่รัฐหรือเจ้าหน้าที่พิเศษที่อำมหิตบางคนสนับสนุนในเรื่องเทคนิคหรือไม่ เพราะทุกวันนี้ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ผู้ก่อการนั้นก็ยังแฝงเร้นตัวตนอยู่ต่อไป ในขณะที่เทคนิคการผลิตระเบิดเหล่านี้ เจ้าหน้าที่รัฐส่วนหนึ่งได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อุดมการณ์ทางการเมืองเพื่อปลดปล่อยผู้ทุกข์ทนของชาวมลายูมุสลิมในขบวนการต่อสู้กับรัฐไทยที่มีมาแต่เดิมกำลังถูกนำเทคโนโลยีเพื่อการก่อการร้ายไปขยายผลแก่นักการเมือง เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองส่วนตนล้วน ๆ ไม่มีอะไรอื่น หากพิจารณากลับไปที่ปัญหาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ เมื่อมาถึงวันนี้แล้ว จะมองข้ามปรากฏการณ์ของปัญหาทางการเมืองที่กัดกร่อนสังคมไทยไปทั่วทุกภูมิภาคได้อย่างไร จากการเฝ้ามองข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในช่วงความรุนแรงครั้งหลังไม่ต่ำกว่า ๖-๗ ปีมานี้ ปรากฏแนวทางอย่างชัดเจนว่า แตกต่างไปจากขบวนการเรียกร้องเอกราชปาตานีในยุคก่อนหรือขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่เคยปรากฏ เพราะสามารถยึดเอาพื้นที่ในหมู่บ้านหรือในเมือง ในท้องถิ่น ที่รัฐเคยกุมความได้เปรียบให้กลายเป็นการก่อการร้ายในเมืองไปได้อย่างเด็ดขาด ขบวนการที่แฝงเร้นเหล่านี้ล้อเล่นกับอำนาจรัฐอย่างหมดเปลือก จนทำให้รัฐไทยในสามจังหวัดชายแดนใต้กลายเป็นรัฐล้มเหลวอย่างก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ การก่อการร้ายในเมืองและในหมู่บ้านนั้นต้องมีฝ่ายสนับสนุนที่อาจจะร่วมมือด้วย หรืออาจจำใจเพราะถูกปิดปากด้วยความกลัว และเป็นความหวาดกลัวที่แผ่ขยายไปอย่างไม่สิ้นสุด จนแม้ในปัจจุบัน ความกลัวเหล่านี้กลายเป็นความชาชินเพราะเพียงรู้แนวทางว่า ทำอย่างไรจึงจะรักษาตนเองและครอบครัวได้บ้างก็เพียงพอแล้วที่จะอยู่ในบ้านของตนเองแบบเงียบ ๆ กำลังทหารที่ใดในโลกก็ไม่อาจปราบปรามการก่อการร้ายไปได้ หากเกิดขึ้นแล้วมีแต่จะป้องกันหรือยินยอมในบางส่วนและเจรจาต่อรอง รวมทั้งใช้วิธีการสร้างฐานของการเจรจาโดยดึงเอามวลชนผู้ตกอยู่ในความหวาดกลัวให้กลายเป็นหญ้าแพรกที่ดันตัวเกิดขึ้นให้ทุกหัวระแหง และควรสร้างข้อเสนอที่หลุดไปจากกรอบแนวคิดแบบรัฐไทยเดิม ๆ ที่ไม่สามารถแก้ปัญหาได้อีกต่อไป หมายถึงต้องมองไปที่การกระจายอำนาจและข้อเสนอที่ให้คนในพื้นที่มีสิทธิ์ในการตัดสินทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมวัฒนธรรม โดยรัฐไทยเป็นพี่เลี้ยงและผู้อุปถัมภ์และต้องขยับไปพร้อมๆ กันทุกภูมิภาค ก่อนที่ปัญหาในแนวทางเดียวกันจะขยายไปใหญ่โต เพราะถูกเร่งรัดโดยปัญหาทางการเมืองและนักการเมืองต่าง ๆ หากไม่กล้าเดินไปสู่หนทางที่ไม่คุ้นเคย อย่างไรเลยจะเริ่มต้นแก้ปัญหา... เด็กๆ จากโรงเรียนบ้านดาโต๊ะริมอ่าวปัตตานีร้องอนาซีด ลำนำแห่งคำสอนทางศาสนา ความนิยมที่เข้ามาทดแทนการแสดงออกเชิงร้องรำแบบเดิมๆ ของชุมชน แนวคิดเรื่องศาสนาอิสลามแบบเข้มข้นที่เป็นปรากฏการณ์ใหม่มากว่า ๓๐ ปี ดูเหมือนจะสร้างปัญหาในหลายแง่มุมให้ขบคิด ในทางหนึ่ง กระแสความเป็นมุสลิมแบบสุดโต่งก็คือปัญหาของโลกทุนนิยมหรือในฟากที่เรียกตนว่าเสรีประชาธิปไตย กระบวนการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นในหลายภูมิภาคย่อมส่งผลมาสู่กลุ่มผู้ก่อการในสามจังหวัดภาคใต้อย่างแน่นอน มีรูปแบบวิธีการหลายอย่างที่ทำให้เห็นว่าเป็นการลอกเลียนและรุนแรงโหดเหี้ยมชนิดที่ต้นฉบับอาจจะฉงน และผู้คนในท้องถิ่นหรือคนทั่วไปตระหนกจนไม่กล้าที่จะคิดว่าคนทำต่อคนด้วยกันเช่นนี้ได้อย่างไร จินตนาการและความใฝ่ฝันดังกล่าวนั้นใกล้เคียงกับการสร้างรัฐอิสระตามอุดมคติของผู้ถูกกดขี่ทั่วโลก อีกด้านหนึ่ง กระแสของการสร้างตัวตนของกลุ่มผู้คนในสามจังหวัดชายแดนใต้ให้เข้าใกล้กับหลักการทางศาสนาที่ถูกต้องที่สุดตามสายแนวคิดต่าง ๆ ในกลุ่มปฏิรูปทางศาสนาที่มีอยู่มากมายในสังคมของสามจังหวัดนี้ก็ส่งผลสะเทือนต่อสังคมแบบประเพณีของคนมลายูมุสลิมทั้งในวิถีชีวิตและการเมือง เกิดเป็นช่องว่างระหว่างคนต่างรุ่น คนรุ่นพ่อแม่ต่างสมานฉันท์กับสังคมไทยมาเนิ่นนานและพร้อมที่จะปรับตัวให้เข้ากับอำนาจรัฐและสังคมโดยรวม ในขณะที่คนรุ่นใหม่ที่กำลังงุนงงและเต็มไปด้วยตัวตนมั่นใจในแนวทางและหลักการที่ตนศึกษาเล่าเรียนมา ไม่ว่าจะในทางศาสนาหรือทางโลก ต่างคิดและมีความใฝ่ฝันที่แตกต่างไปจากคนรุ่นเก่า พวกเขาต่างเป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน ผลจากความเปลี่ยนแปลงนี้สร้างปัญหาลงไปในระดับครอบครัวและสังคมในชุมชนแบบดั้งเดิมที่ยังคงอยู่ ในขณะที่ฐานดั้งเดิมของชาวบ้านโดยส่วนใหญ่ยังคงอยู่กันแบบสังคมประเพณีที่มีพิธีกรรมอันเป็นรากเหง้ามาแต่เดิมกำกับอยู่ไม่น้อย การทำมาหากินยังอยู่ในรูปแบบสังคมชาวนาที่หาอยู่หากินและปรับมาเป็นการปลูกพืชแบบสวนเกษตร แต่ก็ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบไปพร้อม ๆ กับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปเป็นการทำมาหากินในรูปแบบอุตสาหกรรมเกษตร ภาวะลักลั่นและไม่ทันกันเช่นนี้สร้างผู้คนกลุ่มใหม่ที่ไม่มีทางไปจนต้องเปลี่ยนอาชีพและออกหางานทำในต่างแดน กลายเป็นภาวะบ้านแตกที่ติดตามมา กลุ่มที่มีโอกาสทางการศึกษาก็ตกกับดัก “ค่านิยมของผู้มีความรู้” ซึ่งมักมีตัวตนของตนเองสูงกว่าผู้อื่น ติดไปในทางใฝ่รู้และหาความรู้แบบบริสุทธิ์ที่ขาดความเข้าใจทางสังคมและวัฒนธรรม จนกลายเป็นช่องว่างระหว่างกลุ่มของผู้รู้กับชาวบ้านธรรมดาที่ถูกมองว่าไม่รู้ ซึ่งก็เหมือนกับค่านิยมในสังคมไทยทั้งในอดีตและปัจจุบัน ที่ “ผู้รู้” มักมีตัวตนและเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนเองรับรู้ จนไม่รู้ว่าโลกนี้ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ตนเองยังไม่รู้ กลุ่มคนเหล่านี้มักจะตัดสินใจให้สังคมโดยพลการ และทำให้สังคมมุสลิมท้องถิ่นเต็มไปด้วยความสับสนว้าวุ่นในทางความคิดและค่านิยมทางศาสนาที่ยังไม่ลงตัว ที่แน่ชัดก็คือ ช่องว่างระหว่างกลุ่มคนที่เชื่อว่ารู้หลักการทางศาสนากับเป็นผู้รู้ถอยห่างไปจากสังคมท้องถิ่นและชาวบ้าน และสถานการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนใต้เข้าทุกที คนในท้องถิ่นต่างไขว่คว้าหาโอกาสที่ถูกหยิบยื่นมาจากภายนอก งบประมาณจำนวนมหาศาลลงไปสู่ท้องถิ่น แน่นอนว่าไม่ทั่วถึงทุกคน ปรากฏการณ์เหล่านี้คือการแก้ปัญหาทางการเมืองมากกว่าที่จะเป็นการนำเอาปัญหาต่าง ๆ ในท้องถิ่นมาคิดพิจารณา ไม่มีหนทางที่ง่าย เพราะปัญหาทางการเมืองและนักการเมืองท้องถิ่นในระบบการอุปถัมภ์สร้างค่านิยมในเรื่องการคอร์รัปชั่นที่ไม่ได้แตกต่างไปจากการปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งนักการเมืองท้องถิ่นและผู้มีอำนาจในทางการเมืองและอาชญากรรมในภูมิภาคอื่น ๆ แต่อย่างใด การเมืองส่วนท้องถิ่นที่เกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนใต้ต่างเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาทั้งระบบที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ที่นักการเมืองสามารถควบคุมข้าราชการและระบบราชการไว้ได้มาก แต่ในขณะเดียวกัน ชาวบ้านก็ไม่สามารถควบคุมนักการเมืองเหล่านั้นได้ เพราะเสียท่าไปทุกกระบวนเมื่อมีเงินทุนเข้ามาเกี่ยวข้อง ปัญหาการคอร์รัปชั่นและนักการเมืองท้องถิ่นกลายเป็นคู่ที่ขาดกันไม่ได้ และส่งผลสั่นสะเทือนต่อองค์การทางศาสนาในพื้นที่ โดยทอดทิ้งปัญหาทางสังคมของชาวบ้านไว้ข้างหลัง สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเสมือนเหรียญอีกด้านของขบวนการก่อการร้ายที่สร้างความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะจบสิ้น ชาวบ้านบางคนที่มีภูมิต้านทานในจิตใจต่ำต่างเห็นค่านิยมของการคอร์รัปชั่นที่กลายเป็นเรื่องธรรมดา ในเมื่อคน อื่น ๆ ทำได้ ทำไมพวกเขาจึงทำไม่ได้บ้างเล่า ถึงแม้เพียงเล็กน้อย หากเมื่อมีโอกาสพวกเขาย่อมแสวงหาทั้งลาภ ยศ สรรเสริญ ความมีหน้ามีตาในสังคม แม้แต่บุคลากรในทางศาสนาของสังคมท้องถิ่นก็ยังมีปัญหาในการเข้าไปยุ่งเกี่ยวทางการเมืองและการคดโกงที่เกิดขึ้นอยู่ทั่วไปในโครงการต่าง ๆ ที่รัฐ องค์กรสารพัดอย่างเข้าไปสนับสนุนเพื่อแก้ปัญหาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปัญหาอันเนื่องมาจากการเมืองที่เสมือนยอดภูเขาน้ำแข็งนี้สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายไปทั่วทุกภูมิภาค และมีผลต่อผู้คนทุกระดับชั้นในสังคมไทย แต่ปัญหาที่เป็นปัญหาพื้นฐานที่เริ่มขึ้นจากในครอบครัว ในชุมชน ในสังคมท้องถิ่นที่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมแบบเก่าและแบบใหม่ เกิดความโกลาหลในการปรับตัวและสร้างช่องว่างระหว่างวัย ช่องว่างระหว่างฐานะทางเศรษฐกิจที่นักวิชาการจำนวนมากไปแปลความว่าเป็นความขัดแย้งทางชนชั้นและช่องว่างทางความคิด รู้จักผิดชั่วดี โดยเฉพาะปัญหาการคดโกงที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในระดับครอบครัวไปจนถึงระดับท้องถิ่นเหล่านี้ยังไม่มีการนำมาเป็นประเด็นเพื่อนำไปสู่การพูดคุยว่า สังคมของพวกเราล้วนแตกสิ้นและรอวันสลาย มัวแต่สับสนและวนเวียนอยู่กับการแก้ปัญหาทางการเมือง เพรียกหาประชาธิปไตยแบบสองวินาทีเพื่อเลือกตั้ง โดยเขี่ยทิ้งการคดโกงในทุกระดับไว้ใต้พรม บทความนี้อุทิศแก่เพื่อนคนหนึ่ง คนที่ไม่อาจต้านทานค่านิยมในความโลภ ลาภ ยศ สรรเสริญ ที่ถูกหยิบยื่นให้ ขอภาวนาแด่ผู้คนในสังคมไทยให้มีความแข็งแกร่งในจิตใจยิ่งขึ้นกว่านี้ เพื่อตนเอง ครอบครัว และบ้านเกิดเมืองนอน อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ภาพถ่ายเขาพระวิหารจากฟิล์มเก่าประมาณปี ๒๕๑๘ โดย อ.ศรีศักร วัลลิโภดม
เผยแพร่ครั้งแรก 18 เม.ย. 2561
- เล็ก วิริยะพันธุ์ กับการขุดค้นทางปัญญา
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ธ.ค. 2546 คุณเล็กพบและพูดคุยกับคณะที่มาเยี่ยมชมเมืองโบราณ วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ ที่จะเวียนมาถึงในไม่ช้านี้ นับเนื่องเป็นวันที่คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ จากไปครบรอบเป็นปีที่สาม ผู้ที่เป็นลูกหลานและเจ้าหน้าที่ในมูลนิธิฯ จึงคิดที่จะทำอะไรสักอย่างหนึ่งที่เป็นประโยชน์กับสังคมนอกเหนือไปจากการทำบุญทำกุศลอุทิศให้กับท่าน ก็เลยมาทบทวนกันระหว่างผู้ใกล้ชิดว่า คุณเล็กชอบอะไรและปรารถนาอะไรในชีวิต ทำให้นึกได้ว่า ตลอดเวลากว่าสามสิบปีที่ได้ใกล้ชิดกับท่าน มักจะพูดให้ได้ยินบ่อย ๆ ว่า ท่านชอบทำอะไรที่เป็นกิจกรรมทางปัญญาที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์และโลก เรื่องเงินและอำนาจนั้นหาได้ไม่ยากถ้าใช้สติปัญญา แต่นั่นไม่ใช่จุดหมายปลายทางของชีวิต คุณเล็กประสบความสำเร็จในเรื่องเงินและอำนาจจนถึงขั้นเป็นมหาเศรษฐีคนหนึ่งของประเทศ แต่ท่านหยุดตัวเองกับการแสวงหาในเรื่องดังกล่าวนี้ หันมาใช้ชีวิตความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย เพื่อสร้างกิจกรรมทางปัญญาที่ท่านปรารถนาอย่างต่อเนื่องมาเกือบสี่สิบปีจนสิ้นอายุขัย คุณเล็กเป็นคนชอบอดีต และเห็นว่าในอดีตนั้นก็มีสิ่งที่ดีงามที่ทำให้กับสังคมมนุษย์ การที่เกิดความชอบเช่นนี้เพราะชอบอ่านและศึกษาหาความรู้ทางศาสนาและปรัชญาเป็นประจำ คุณเล็กมีความรู้แตกฉานทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษ ทำให้รู้อะไรที่ทันโลก เลยส่งผลให้เกิดความรักและสนใจในโบราณวัตถุที่เป็นหลักฐานทางศิลปวัฒนธรรม จึงกลายเป็นนักเล่นและสะสมของเก่าที่มีศิลปะวัตถุที่มีราคาและหายากมากมาย แต่คุณเล็กไม่ได้ชื่นชมโบราณวัตถุเหล่านั้นในลักษณะที่เป็นรูปแบบที่มีความเก่าแก่สวยงามและราคาแพงอย่างบรรดานักสะสมของเก่าทั้งหลาย หากให้ความสำคัญในเรื่องความหมาย ความสำคัญของโบราณวัตถุอย่างนักโบราณคดีสมัครเล่น ความสนใจในเรื่องอดีตจึงเพิ่มพูนขึ้น ถึงขนาดจะสร้างอดีตมาให้คนได้เรียนรู้กัน เพราะช่วงเวลาที่คุณเล็กคิดเรื่องนี้ขึ้นมานั้น เป็นสมัยยุค จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ทั้งรัฐและสังคมเห็นอะไรคิดอะไรแต่ปัจจุบันและอนาคตและเรื่องวัตถุเป็นใหญ่ อย่างเช่น "งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข" เป็นต้น ความคิดการสร้างเมืองโบราณจึงเกิดขึ้นในเวลานี้ (ขวา) คุณเล็กและคุณประไพ บนเรือข้ามโขงไปวัดภู (ซ้าย) คุณเล็กและอาจารย์มานิต วัลลิโภดม ขณะข้ามโขงไปวัดภู ในชั้นแรกก็คิดทำเป็นเรื่องเล็ก ๆ ให้คนมาเที่ยวชมแบบเพลิดเพลินไปพลาง ๆ ก่อน แต่เมื่อคุณเล็กได้พบปะแลกเปลี่ยนความรู้และเรียนรู้กับบรรดานักวิชาการทั้งด้านศิลปวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ และสังคมศาสตร์แล้ว ความคิดก็เปลี่ยนไป กลายมาเป็นผู้ทั้งคิดทั้งออกแบบและสร้างอย่างเต็มตัว เพราะเป็นเรื่องที่ชอบและเป็นเรื่องการใช้ปัญญาทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเป็นประโยชน์เฉพาะแต่ตนเองและครอบครัว คุณเล็กทุ่มทั้งกำลังกายใจ สติปัญญา และทุนทรัพย์ในเรื่องนี้ หยุดกิจกรรมทางธุรกิจและความสัมพันธ์ทางสังคมที่เคยมีกับเพื่อนฝูงมิตรสหายและบุคคลต่าง ๆ ที่จะต้องเกี่ยวข้องทั่วไป หันมาทำงานอยู่อย่างเดียว ก็คือ สร้างเมืองโบราณ ซึ่งก็ไม่ใช่เป็นการสร้างให้แล้วเสร็จในเวลาที่กำหนดอย่างมีการวางแผนตามขั้นตอนต่าง ๆ อย่างการก่อสร้างสถานที่สำคัญทั้งหลาย การสร้างเมืองโบราณของคุณเล็กคือ กระบวนการเรียนรู้ที่ไม่อาจกำหนดเป็นแผนงาน งบประมาณ และระยะเวลาที่แน่นอนและตายตัวได้ หากเป็นเรื่องที่มีความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ความสำคัญอยู่ที่การนำเอาสิ่งที่เรียนรู้จากอดีตมาสร้างเป็นความรู้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อที่จะสื่อให้คนในสังคมโดยเฉพาะเยาวชนได้เห็นความเชื่อมต่อระหว่าง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต อย่างที่มนุษย์ที่ดีควรเรียนรู้ สำรวจอาคารเก่าที่อุบลราชธานีกับอาจารย์มานิตและอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ช่วงก่อน พ.ศ. ๒๕๑๖ ไม่นานนัก การศึกษาค้นหาอดีตและสร้างอดีตของคุณเล็ก ก็เหมือนกับการทำงานของนักโบราณคดี คือต้องมีการขุดค้นหลักฐานข้อมูลในอดีตมาสร้างเป็นความรู้ให้คนรู้จักสังคมวัฒนธรรมของมนุษย์ ต่างกันแต่เพียงว่า การขุดค้นของคุณเล็กเป็นการขุดค้นทางปัญญาอย่างมีขั้นตอนของการเรียนรู้ คุณเล็กมักเริ่มต้นด้วยการอ่านหนังสือเพื่อหาสิ่งที่สนใจหรือไม่ก็เพื่อหาความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่สนใจ เมื่อเข้าใจได้ในระดับหนึ่งแล้วจึงจะไปพบปะและเรียนรู้จากคนที่มีความรู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ สำหรับเรื่องนี้ คุณเล็กให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพราะจะมีผู้ที่เรียกว่าผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญเป็นจำนวนมาก ถ้าไม่เลือกเฟ้นให้ดีก็อาจสร้างความสับสนให้ได้ง่าย ๆ คุณเล็กมักประเมินบุคคลที่ท่านยอมรับด้วยการพบปะแลกเปลี่ยนความรู้กัน จึงมักพูดให้ได้ยินบ่อยว่า ผู้รู้มีหลายประเภท ต้องประเมินให้ดี บางคนรู้มากแต่พูดน้อยหรือไม่พูด บางคนถ้าไม่รู้อะไรก็บอกว่าไม่รู้ แต่หลายคนที่พบเห็นมักเป็นประเภทรู้น้อยรู้มากซึ่งเป็นอันตราย เพราะเหตุที่รู้น้อยแต่บอกว่ารู้มากนั่นเอง แต่การพบปะกับผู้รู้ก็เป็นเพียงการได้ยินและได้ฟังเท่านั้น ยังไม่เพียงพอ ต้องไปพบเห็นด้วยประสบการณ์ จึงจะคิดได้และทำได้ โดยเหตุนี้ในเวลาที่จะสร้างอะไร ทำอะไรในเมืองโบราณนั้น คุณเล็กจะต้องออกไปดูให้เห็นด้วยตนเอง ทำให้ในระยะเวลาเกือบสิบห้าปีของการสร้างเมืองโบราณ คุณเล็กออกตระเวนไปทั่วทุกภูมิภาคและหลาย ๆ ท้องถิ่น อาจนับได้ว่าแลเห็นแผ่นดินไทยและผู้คน สังคม ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างลุ่มลึกทีเดียว คุณเล็กคิดเสมอว่า สิ่งที่ท่านนำมาสร้างหรือนำมาเก็บรักษาไว้ในเมืองโบราณนั้น จะต้องเป็นสิ่งที่มีความหมายที่เป็นประโยชน์ หาใช่นำมาแสดงแต่เพียงรูปแบบที่เป็นเสมือนภาพนิ่งไม่ อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ออกสำรวจชีวิตวัฒนธรรมท้องถิ่นกับคุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ก่อนที่จะเริ่มทำวารสารเมืองโบราณ เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่นำมาเก็บรักษาหรือที่นำมาสร้างแสดงในเมืองโบราณ ล้วนเป็นสิ่งที่มีความหมายและเรื่องราวที่เป็นความรู้ทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี และศิลปวัฒนธรรมทั้งสิ้น ล้วนเป็นสิ่งที่คุณเล็กได้ฟัง ได้เห็น ได้คิด ได้สัมผัส แล้วนำมาสร้างเป็นความรู้อย่างเป็นรูปธรรม คุณเล็กไม่เน้นความสำคัญในเรื่องรูปแบบของสิ่งที่ท่านสร้างขึ้น จึงมักถูกผู้ที่ยึดติดรูปแบบวิจารณ์อย่างเสีย ๆ หาย ๆ บ่อย ๆ ว่า สิ่งที่ท่านสร้างขึ้นในเมืองโบราณนั้น ไม่เหมือนรูปแบบของเดิมเลย ไม่มีคุณค่า ท่านไม่โต้แย้ง แต่มักบ่นให้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดฟังว่า การยึดติดรูปแบบว่าอะไรเป็นของจริงแท้นั้น เป็นความคิดที่โง่ เพราะสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นนั้น รูปแบบเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามกาลเวลา หามีอะไรหยุดนิ่งไม่ คนที่บอกว่ารูปแบบนี้เป็นของจริงนั้น แท้จริงก็ยกเอาสิ่งที่ดำรงอยู่ในช่วงเวลาหนึ่งมาอ้างเท่านั้น รวบรวมข้าวของเครื่องใช้เพื่อนำมาจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมพื้นบ้านในเมืองโบราณ ดังนั้นเวลาที่คุณเล็กจะสร้างอะไรขึ้นจึงพยายามสอบค้นหาเค้าโครงที่เคยมีมาแล้ว มาปรุงแต่ให้สื่อได้อย่างแลเห็นความหมายและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมที่สัมพันธ์กับสิ่งก่อสร้างเหล่านั้น จึงมีหลายอย่างที่สร้างแล้วรูปแบบและความหมายแตกต่างไปจากสิ่งที่คนเคยเห็นและเชื่อกันโดยทั่วไป การสำรวจท่องเที่ยวของคุณเล็กที่พิษณุโลก ยกตัวอย่างเช่น เรื่องบางระจัน อันเป็นเรื่องวีรกรรมของชาวบ้านในสมัยการเสียกรุงศรีอยุธยาให้กับพม่า เรื่องราวที่มีผู้รวบรวมเขียนเป็นตำนานขึ้นมามักยกย่องผู้ที่เป็นวีรบุรุษเพียง ๖-๗ คนเท่านั้น จึงเป็นสิ่งที่ทางราชการนำมาสร้างเป็นอนุสาวรีย์ที่จังหวัดสิงห์บุรี คุณเล็กไปดูสถานที่เกิดเรื่องบางระจันแล้วมีความคิดเห็นแตกต่างไปจากสิ่งที่สื่อจากอนุสาวรีย์ที่ทางราชการสร้าง ท่านให้ความสำคัญกับวิหารวัดโพธิ์เก้าต้นที่ยังเหลือซากอยู่ เลยนำมาสร้างไว้ที่เมืองโบราณ เพื่อให้เป็นอนุสรณ์สถานที่แท้จริงตามเรื่องราว แล้วสร้างสิ่งที่เป็นอนุสาวรีย์ขึ้นอธิบายควบคู่ไปกับรูปจำลองของวิหารโพธิ์เก้าต้น อนุสาวรีย์ชาวบ้านบางระจันที่ไม่เหมือนอนุสาวรีย์ของทางราชการ เพื่อแสดงว่าชาวบ้านบางระจันนั้น สู้รบจนตัวตายทั้งหมู่บ้าน ไม่ใช่เพียงกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่งเท่านั้น ความสำคัญของวิหารโพธิ์เก้าต้นอยู่ที่เป็นสถานที่พระอาจารย์ธรรมโชติประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและไสยศาสตร์ให้กับทั้งนักรบและชาวบ้านบางระจันในการสู้รบกับพม่า แต่ในขณะเดียวกัน ในการสู้รบนั้น ผู้คนทั้งชุมชนนับแต่พระสงฆ์องค์เจ้า คนแก่คนเฒ่า หญิงชายและลูกเด็กเล็กแดง ต่างรวมกันต่อสู้จนตัวตายสิ้นทุกคน นับเป็นวีรกรรมของคนทั้งชุมชนอย่างแท้จริง ตำนานที่เป็นชุมชนวีรกรรมเช่นนี้ อาจเรียกว่าเป็นสากลก็ได้ เพราะมักปรากฏในประวัติศาสตร์ของบ้านอื่นเมืองอื่นเหมือนกัน โดยเหตุนี้ อนุสาวรีย์บางระจันที่คุณเล็กสร้างขึ้นที่เมืองโบราณ จึงเป็นเรื่องวีรกรรมของการสู้รบจนตัวตายของทุกคนในชุมชน ซึ่งนับเป็นการเสนอเรื่องราวและให้ความหมายที่แตกต่างไปจากอนุสาวรีย์ของทางราชการ สถานที่ในเมืองโบราณอีกแห่งหนึ่งที่อาจยกมาอ้างในที่นี้ได้ก็คือ เขาพระสุเมรุ อันเป็นเรื่องความเชื่อทางจักรวาลทางพุทธศาสนาที่มีบรรยายและอธิบายไว้ในไตรภูมิกถา คุณเล็กใช้เวลาศึกษาทั้งจากหนังสือและเที่ยวตระเวนดูภาพไตรภูมิตามโบสถ์วิหารโบราณในที่ต่าง ๆ แล้วจับประเด็นที่สำคัญมากำหนดเป็นโครงสร้างเพื่อสื่อความหมาย นั่นก็คือ เขาพระสุเมรุต้องมีน้ำล้อมรอบคือนทีสีทันดร มีภูเขาที่น้ำไหลออกจากปากสัตว์ใหญ่ที่อยู่ประจำทิศต่าง ๆ รอบสระอโนดาต คือ สิงห์ ช้าง ม้า และวัว แสดงให้เห็นความสัมพันธ์กับทวีปต่าง ๆ ที่มนุษย์อยู่อาศัย เขาพระสุเมรุมาศที่ตั้งอยู่บนหลังปลาอานนท์ ซึ่งในเวลาสร้างนั้น คุณเล็กให้ความสำคัญกับปลาอานนท์มาก เพราะทั้งเรื่องและรูปแบบจะเป็นสิ่งที่กระตุ้นความสนใจของคนที่เข้ามาชมโดยเฉพาะเด็ก ๆ ได้เป็นอย่างดี เขาพระสุเมรุมาศที่ตั้งอยู่บนหลังปลาอานนท์ สร้างพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ไว้แทนพระอินทร์ เพื่อสอนและสื่อให้คนประพฤติในสิ่งที่มีคุณธรรม แต่ความสำคัญ จะอยู่ที่ปราสาทไพชยนต์ บนยอดเขาพระสุเมรุ ที่คติทางพระพุทธศาสนาเชื่อว่าเป็นที่ประทับของพระอินทร์ ผู้เป็นราชาแห่งเทพและผู้คอยดูแลทุกข์สุขของมนุษย์ แต่คุณเล็กไม่ทำรูปปั้นพระอินทร์ไว้แสดง หากสร้างพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ไว้แทน พระแท่นนี้คือทิพยอาสน์ที่อ่อนนุ่มหรือกระด้างแข็ง ที่ทำให้พระอินทร์ได้รู้ถึงทุกข์สุขของมนุษย์และสัตว์ในสากลโลก จะได้เสด็จลงมาช่วยเหลือ อย่างเช่น การที่พระอินทร์เสด็จลงมาช่วยพระสังข์ทองในเรื่องทางชาดกและวรรณคดี เป็นต้น การที่คุณเล็กไม่ปั้นรูปพระอินทร์ ก็เพราะสิ่งที่บ่งบอกไว้ในไตรภูมินั้น พระอินทร์คือตำแหน่งและสถานภาพของบุคคลที่บำเพ็ญคุณธรรมที่สะสมกันมาหลายภพหลายชาติในการช่วยเหลือมนุษย์และสัตว์ที่ผลัดเปลี่ยนกันมาบังเกิด จึงไม่ใช่เป็นเรื่องเฉพาะตัวของบุคคลใดที่จะดำรงอยู่อย่างตลอดกาลได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ บุคคลใดที่มีจิตเป็นกุศลและดำรงชีวิตอยู่ย่างมีคุณธรรมก็อาจจะไปบังเกิดเป็นพระอินทร์ได้เมื่อมีบารมีสะสมอย่างเพียงพอ ดังนั้นความหมายของการสร้างเขาพระสุเมรุที่คุณเล็กสร้างขึ้นนั้น จึงเป็นเรื่องเพื่อสอนและสื่อให้คนโดยเฉพาะเยาวชนรู้จักและประพฤติในสิ่งที่มีคุณธรรมนั่นเอง ยังมีอีกสถานที่อีกสองแห่งในเมืองโบราณที่อาจนำมากล่าวถึงในที่นี้ที่แสดงให้เห็นว่า คุณเล็กมุ่งที่จะอธิบายความหมายมากกว่ารูปแบบ ก็คือ ตลาดและพระบรมมหาราชวัง คุณเล็กสร้างตลาดบกและตลาดน้ำขึ้นที่เมืองโบราณนั้น ไม่ได้มุ่งหวังให้คนแลเห็นรูปแบบของการเป็นตลาด หากมุ่งหวังให้คนได้รู้จักความเป็นเมืองและสภาพความเป็นอยู่ของคนในสังคมเมืองมากกว่าสถานที่ขายของขายสินค้า ดังนั้นย่านตลาดของคุณเล็กจึงเป็นแหล่งที่มีผู้คนหลายอาชีพรวมทั้งหลายชาติพันธุ์เข้ามาตั้งที่อยู่อาศัยและประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างมีระเบียบแบบแผนในการดำรงชีวิตร่วมกัน จึงเป็นชุมชนที่มีความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างกัน มีพื้นที่ทางเศรษฐกิจ เช่น ตลาดขายของสดและของต่างๆ ในการดำรงชีวิต และมีพื้นที่ทางจิตวิญญาณและพิธีกรรม เช่น วัด ศาลเจ้า และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะสิ่งที่เรียกว่าตลาดน้ำนั้น แท้จริงก็คือชุมชนเมืองในที่ลุ่มแม่น้ำและลำคลองที่ใช้พื้นที่ในท้องน้ำลอยเรือค้าขายแลกเปลี่ยนสิ่งของที่จำเป็นทางเศรษฐกิจในการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันนั่นเอง มีหลายคนที่ยึดติดรูปแบบมักจะเปรย ๆ ออกมาว่า ไม่เห็นมีกิจกรรมลอยเรือขายของที่ตลาดน้ำเลย คุณเล็กก็จะอธิบายว่า กิจกรรมลอยเรือขายของนั้น ไปดูที่ไหนก็ได้ มีการนำเที่ยวนำชมอยู่ทั่วไป แต่ที่เมืองโบราณนั้น ท่านต้องการให้แลเห็นความเป็นชุมชนเมืองที่ตั้งอยู่ในน้ำและริมลำน้ำตามแบบเก่า ๆ ที่ปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว โดยเฉพาะการนำเรือนแพซึ่งแต่ก่อนก็คือ ร้านค้าและเรือนค้าที่เคยมีอยู่ตามลำแม่น้ำลำคลองมาแสดง รวมทั้งการสร้างศาสนสถาน เช่น ศาลเจ้า โรงเจ วัด มัสยิด และโบสถ์ฝรั่ง ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นเมืองในสังคมไทยนัน คนหลายชาติหลายภาษาและหลายศาสนา สามารถอยู่รวมกันได้อย่างสันติสุข และมีสำนึกร่วมกับการเป็นคนสยามหรือคนไทยด้วยกัน ส่วนในเรื่องของพระบรมมหาราชวังนั้น คุณเล็กเลือกสร้างสถานที่อันแสดงให้เห็นถึงสถาบันพระมหากษัตริย์และศูนย์กลางในการปกครองราชอาณาจักรของทั้งอยุธยาและกรุงเทพฯ ให้คนรู้จัก อันได้แก่ พระที่นั่งสรรเพชรมหาปราสาท และพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ทั้งสองแห่งนี้นอกจากจะมีความงดงามทางสถาปัตยกรรมและความเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองการปกครองที่อาจเชื่อมโยงกับเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ได้แล้ว ยังแสดงอัตลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมที่แตกต่างกันระหว่างอยุธยาและกรุงเทพฯ ด้วย นั่นคือ พระที่นั่งสรรเพชรมหาปราสาทเป็นพระที่นั่งแบบมุขยาวและมุขสั้นอยู่ด้วยกัน เป็นสิ่งที่ไม่มีพบในพระบรมมหาราชวังของกรุงเทพฯ ในขณะที่ทางกรุงเทพฯ ความสำคัญอยู่ที่พระที่นั่งจตุรมุข คือพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ความแตกต่างกันระหว่างพระบรมมหาราชวังทั้งสองแห่งนี้ อาจเป็นสิ่งยั่วยุให้คนที่เข้ามาชมตั้งข้อสังเกต ตั้งคำถาม และไปหาคำตอบจากเนื้อหาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ต่อไป พระที่นั่งสรรเพชญมหาปราสาท สัญลักษณ์ของกรุงศรีอยุธยา คุณเล็กอึดอัดและไม่ชอบกับการที่มีคนกล่าวว่า เมืองโบราณเป็นเมืองเนรมิตและจำลองของเก่า ๆ มาสร้าง เพราะคำว่าเนรมิตนั้น ค่อนข้างจะเป็นเรื่องที่ทำอะไรขึ้นมาจากความเพ้อเจ้อ หรือเพ้อฝันเป็นสำคัญ ส่วนคำว่าจำลองนั้นคือการติดยึดกับรูปแบบและเน้นความสำคัญอยู่ที่รูปแบบอย่างหยุดนิ่ง ใคร ๆ ก็ทำได้ โดยเฉพาะคนที่มีเงินโดยทั่วไป ทำนองตรงข้าม คุณเล็กจะทำอะไรหรือเลือกสร้างอะไรนั้น ต้องศึกษาต้องมีข้อมูลและค้นหาความหมายเสียก่อน เพื่อดูว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อการเรียนรู้ที่จะนำไปสู่ความเข้าใจในปัจจุบันและอนาคตได้อย่างไร เมืองโบราณอุบัติขึ้นจากความรู้สึกและประสบการณ์ของคุณเล็กที่แลเห็นว่า ในช่วงเวลาสี่สิบกว่าปีที่ผ่านมานั้น สังคมไทยพัฒนาอย่าลืมอดีตและเน้นความต้องการทางวัตถุเป็นสำคัญ จึงเป็นผลที่ทำให้คนรุ่นใหม่เติบโตอย่างขาดรากเหง้า จึงจำเป็นที่จะต้องมีการศึกษาและรวบรวมข้อมูลหลักฐานทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของสังคมในอดีตมาไว้ เพื่อคนรุ่นหลังจะได้ศึกษาและเรียนกัน สิ่งนี้เป็นที่มาของการสนับสนุนให้มีกลุ่มนักวิชาการออกไปทำการศึกษาสำรวจค้นคว้าและนำเอาหลักฐานเรื่องราวมาตีพิมพ์เป็นวารสารเมืองโบราณ ในขณะเดียวกันคุณเล็กเองก็เลือกเฟ้นสิ่งที่ท่านเห็นว่าดีและมีประโยชน์ในอดีตมาสร้างให้เป็นความรู้อย่างเป็นรูปธรรมในเมืองโบราณ เพื่อสื่อให้แก่คนทั่วไปได้เรียนรู้ โดยเหตุนี้ ทั้งวารสารเมืองโบราณที่มีการพิมพ์ต่อเนื่องมาเป็นเวลา ๓๐ ปีและเมืองโบราณก็คือ กิจกรรมทางปัญญาที่คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ค้นหาและสร้างขึ้น อันเนื่องมาจากการเห็นคุณค่าและภูมิปัญญาของอดีตนั่นเอง อ่านเพิ่มเติมได้ที่: