พบผลการค้นหา 220 รายการ
- ร้านค้าเครื่องหวายบนถนนมหาไชย ถนนสายประวัติศาสตร์
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2558 แนวถนนมหาไชย ภาพจากแผนที่พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๔ ‘ถนนมหาไชย’ เป็นถนนเส้นหนึ่งในกรุงเทพมหานครเริ่มต้นตั้งแต่ถนนราชดำเนินกลางบริเวณสี่แยกป้อมมหากาฬข้ามคลองหลอดวัดราชนัดดา วัดเทพธิดาราม ตัดกับถนนบำรุงเมืองและถนนหลานหลวง ข้ามคลองหลอดวัดราชบพิธ ตัดกับถนนเจริญกรุง จนกระทั่งถึงถนนพีระพงษ์ ถนนเยาวราช และถนนจักรเพชร สำหรับที่มาของชื่อถนนมหาไชย มีดังนี้ เดิม ‘มหาไชย’ เป็นชื่อของป้อมปราการ ๑ ใน ๑๔ ป้อมที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น เมื่อทรงสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นราชธานี ต่อมาเมื่อบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย ป้อมปราการสำหรับการป้องกันพระนครถูกลดความสำคัญลง ป้อมมหาไชยจึงถูกรื้อถอนและมีการตัดถนนผ่านบริเวณป้อมมหากาฬที่ถูกรื้อไป จึงมีการตั้งชื่อถนนว่า ‘ถนนมหาไชย’ ขึ้นแทน ถนนมหาไชย เป็นถนนเส้นหนึ่งที่มีความสำคัญสำหรับย่านเมืองเก่าภายในกำแพงพระนคร เป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ที่มีความทรงจำเกี่ยวกับผู้คนในอดีตมาอย่างยาวนาน เกือบทั้งสายมีสถานที่สำคัญและมีความสัมพันธ์กับผู้คนในอดีตตั้งอยู่ ไม่ว่าจะเป็นป้อมมหากาฬ ตลาดสำราญราษฎร์ ย่านประตูผี หรือแม้แต่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครในอดีต นอกจากนั้นยังมีชุมชนเก่าแก่ตั้งอยู่บนถนนเส้นนี้อีกเช่นกัน เช่น ชุมชนป้อมมหากาฬ ชุมชนบ้านสายรัดประคด ชุมชนข้างเรือนจำ ฯลฯ ซึ่งชุมชนเหล่านี้ล้วนเป็นชุมชนที่อาศัยอยู่ร่วมกันในพื้นที่มาอย่างยาวนานและเป็นชุมชนที่มีความพิเศษกว่าชุมชนอื่น เนื่องจากเป็นชุมชนที่มีการผลิตงานฝีมือที่มีชื่อเสียง แต่บางชุมชนที่ไม่มีการสืบทอดงานฝีมือต่อมา งานฝีมือซึ่งเป็นสิ่งล้ำค่าเหล่านั้นต้องสูญหายไปตามกาลเวลา ดังในชุมชนสายรัดประคดที่ปัจจุบันไม่มีผู้คนที่สืบต่อการทำสายรัดประคดแล้วเลิกทำเพราะหมดความนิยมและไม่มีผู้สืบต่อเหลือเพียงแต่ชื่อของชุมชนไว้เพื่อเล่าเรื่องว่าครั้งหนึ่งเคยมีการทำสายรัดประคดเท่านั้นแต่ก็ยังคงมีอีกหลายชุมชนเช่นกันที่ยังคงสืบทอดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน เช่น ป้อมมหากาฬที่มีชื่อเสียงในเรื่องของการทำกรงนกหรือการขายพลุริมประตูป้อมมหากาฬ ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงมีอยู่ และหากจะกล่าวถึงย่านที่มีร้านขายเครื่องหวายในเขตพระนครที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักมาตั้งแต่ในอดีต ก็คือ ‘ชุมชนข้างเรือนจำ’ ตั้งอยู่ใกล้กับสวนรมณีนาถ บนถนนมหาไชย บริเวณนี้เดิมเป็นชุมชนที่ประกอบอาชีพขายเครื่องหวาย ปัจจุบันเหลือร้านค้าหวายอยู่เพียง ๓ ร้านเท่านั้น คือ ร้านนายเหมือน ร้านสุริยาพานิช และร้านยุพดีวานิช หากจะถามว่าร้านใดที่มีชื่อคุ้นหูและได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุด ผู้คนทั่วไปคงจะนึกถึงร้านนายเหมือน แต่ถึงกระนั้นมีเพียงน้อยคนที่จะทราบว่าจริง ๆ แล้วร้านเครื่องหวายที่เปิดขายเป็นร้านแรกและเก่าแก่ที่สุด คือ ร้านยุพดีวานิช ร้านยุพดีวานิช ตั้งอยู่บนถนนมหาไชย บนพื้นที่ของวังเดิมของเชื้อพระวงศ์ในสมัยรัชกาลที่ ๕ คือ วังของกรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา เป็นแนวยาวไปจนถึงร้านนายเหมือน หลังจากที่มีการรื้อถอนวังเดิมออกก็มีการสร้างเป็นตึกแถวไม้เตี้ย ๆ ชั้นเดียวให้เช่า เจ้าของพื้นที่มีการเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ไป พื้นที่บริเวณนี้กลายเป็นทั้งของมูลนิธิจันทรทัตและสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ คุณยุพดี สีลพัทธ์กุล อายุ ๘๘ ปีเจ้าของร้านยุพดีวานิช ร้านค้าเครื่องหวายเก่าแก่แห่งถนนมหาไชย ภายในร้านค้าที่มีเครื่องหวายหลากชนิด โดยร้านยุพดีวานิชเป็นพื้นที่ของมูลนิธิจันทรทัต ทายาทของเชื้อพระวงศ์ในวังเดิม ส่วนตรงร้านนายเหมือนเป็นพื้นที่ในกรรมสิทธิ์ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่มาของชื่อร้านยุพดีวานิชมาจากชื่อของคุณยายยุพดี สีลพัทธ์กุล เจ้าของร้านยุพดีวานิชรุ่นแรก ที่มีอายุกว่า ๘๘ ปี นับเป็นคนเก่าแก่ที่ผ่านเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในย่านนี้มามาก ท่านจึงมีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับย่านถนนมหาไชย แรกเริ่มเดิมทีคุณยายยุพดีใช้นามสกุล ‘แซ่ลิ้ม’ เป็นคนในย่านเยาวราชมาตั้งแต่เกิดและมีเชื้อสายจีนแคะ คุณยายเล่าให้ฟังถึงตอนเด็ก ๆ ว่า “สมัยก่อนตอนช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ แถวเยาวราชร้านขายเครื่องหนังขายดีมาก เพราะคนญี่ปุ่นชอบใช้เครื่องหนัง โดยเฉพาะกระเป๋าหนัง ร้านขายเครื่องหนังดัง ๆ สมัยก่อนก็มีร้านเซน ช่อง ที่ตั้งอยู่เยื้องกับศาลาเฉลิมกรุงมาหน่อย ร้านนั้นอายุ ๑oo กว่าปีแล้ว ที่นั่นจะขายรองเท้าหนัง อานม้า” ภายหลังจากคุณยายอายุ ๒๐ ปี ก็แต่งงานแล้วย้ายมาอาศัยอยู่ตรงตึกแถวหน้าวังนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๙ ก่อนจะมาเป็นร้านยุพดีวานิช ร้านนี้เคยมีชื่อว่า ‘เหลียนฮับ’ มีความหมายว่า ความสามัคคี มาจากการที่คุณยายมีลูกมากทั้งสามีและคุณยายจึงอยากให้ลูก ๆ มีความสามัคคีกัน ต่อมาภายหลังเปลี่ยนเป็นชื่อ “ยุพดีวานิช” ซึ่งเป็นชื่อของคุณยายที่หลวงพ่อวัดสระเกศฯ ในสมัยนั้นตั้งให้ การเกิดขึ้นของร้านยุพดีเริ่มมาจากการที่พี่ชายของคุณตาย้ายมาจากเมืองจีนพร้อมกับนำความรู้เรื่องการทำเครื่องหวาย เครื่องจักสานในการทำเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ เข้ามาด้วย การทำร้านเครื่องหวายเริ่มต้นจากการทำห่วงไม้หวายที่ใช้เล่นในเกมโยนห่วงตามงานวัด ซึ่งได้รับความนิยมมากเพราะมีการสั่งทำห่วงอย่างไม่ขาดสาย จนมาภายหลังตั้งเป็นร้านเหลียนฮับหรือร้านยุพดีวานิชขึ้น ในช่วงนั้นร้านเครื่องหวายยุพดีถือได้ว่าเป็นร้านแรกที่ทำตะกร้าหวายลวดลายละเอียดประณีตแล้วส่งต่อไปยังอยุธยา อาจจะเรียกได้ว่าเครื่องหวาย เครื่องจักสานพวกตะกร้าต่างๆ ของอยุธยามีการรับอิทธิพลมาจากร้านหวายในย่านนี้ด้วย สมัยก่อนสินค้าที่จำหน่ายในร้านยุพดีวานิชที่เป็นงานฝีมือทางร้านจะทำเองทั้งหมด ซึ่งคนที่ทำส่วนใหญ่ก็จะเป็นลูกหลานในครอบครัวที่ช่วยกันสานเครื่องหวาย ในปัจจุบันการทำเครื่องหวายก็ยังมีทั้งที่ทางร้านทำเองและรับมาขายโดยการสั่งทำ เครื่องหวายที่ทำเองจะทำเป็นอะไหล่แต่ละชิ้นย่อย ๆ แล้วส่งให้แต่ละบ้านที่มีฝีมือทำแทน เพราะขาดแรงงานในการทำ คนเก่าแก่ก็เสียชีวิตไปจนหมดหรือลูกหลานที่เคยทำเครื่องหวายหลังจากเรียนจบก็หันไปทำงานด้านอื่นแทน ดังนั้นทุกวันนี้ส่วนเครื่องหวายที่สั่งทำมีการสั่งมาจากกลุ่มที่ทำงานฝีมือทางภาคเหนือและภาคอีสาน ภายในร้านเครื่องหวายยุพดีวานิชมีการจำหน่ายสินค้าหลายประเภทด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้หวาย ตะกร้าหวาย กระเป๋าจักสานหลากหลายขนาด ทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กมีให้เลือกมากมายสมัยก่อนเครื่องหวายจะเป็นที่นิยมมาก แม้แต่เมื่อครั้งมีงานเทศกาลสำคัญต่างๆ ก็จะมีการเชิญให้ร้านนำเครื่องหวายไปขายตามงานต่าง ๆ เช่น งานกาชาด งานเกษตร หรือแม้แต่งานประจำปีของวัดสระเกศ อีกทั้งยังมีการทำส่งไปยังต่างจังหวัด เช่น อยุธยาด้วย แต่ปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่ที่ซื้อจะเป็นลูกค้าประจำ หรือลูกค้าเก่าแก่ที่ซื้อขายกันมานาน เนื่องจากความนิยมในเฟอร์นิเจอร์เครื่องหวายเริ่มลดน้อยลงไปตามกาลสมัยที่มีวัสดุอื่นเข้ามาแทนที่วัสดุที่หาได้ตามธรรมชาติและมีความคลาสสิกอย่างงานเครื่องหวาย เมื่อย้อนกลับไปในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ นอกจากพื้นที่บริเวณนี้จะมีชื่อเสียงในเรื่องของเครื่องหวายแล้ว ยังเป็นพื้นที่ที่ตั้งของสถานที่สำคัญด้วย ไม่ว่าจะเป็นประตูผี วังของเชื้อพระวงศ์ในรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของวังหลายวัง แค่เพียงบริเวณตึกแถวร้านเครื่องหวายนี้ก็มีวังเชื้อพระวงศ์ตั้งอยู่ถึง ๒ วัง คือ วังกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์และวังกรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา เชื้อพระวงศ์ในรัชกาลที่ ๔ ซึ่งนี่ก็อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ระบบสาธารณูปโภคและการคมนาคมในพื้นที่บริเวณนี้มีการพัฒนาไปมาก ทั้งถนนหนทาง เส้นทางรถรางวิ่งรอบพระนคร คุณยายเล่าว่า “เมื่อก่อนถ้าจะข้ามไปฝั่งวรจักร รถยนต์ข้ามไปไม่ได้เลย เพราะเป็นเพียงแค่ไม้กระดานแผ่นเดียวมีแต่หญ้าและผักบุ้งขึ้นข้างทางเยอะแยะ สะพานข้ามคลองสมัยก่อนก็ไม่ได้มีเยอะถ้าจะข้ามก็ต้องไปข้ามตรงวัดสระเกศกับตรงสะพานสมมตอมรมารคเท่านั้น จนปี พ.ศ. ๒๕๐๕ เพิ่งจะมาสร้างสะพานดำรงสถิตรถยนต์ถึงข้ามไปได้” นอกจากนี้บริเวณรอบ ๆ ก็มีแหล่งอุตสาหกรรมขนาดเล็กตั้งอยู่อีกจำนวนมาก เช่น ฝั่งตรงข้ามร้านหวายจะมีโรงทำกระทะใบบัวเหล็ก โรงน้ำแข็ง และโรงเลื่อย ส่วนโรงทำขนมปังตั้งอยู่บริเวณวัดสระเกศและมีโรงกลึงตั้งอยู่ถัดจากกัน ปัจจุบันสถานที่เหล่านี้หายไปจนหมดกลายเป็นตึกแถว ๒-๓ ชั้นตั้งอยู่แทน พื้นที่ในเกาะรัตนโกสินทร์ยังมีถนนอีกหลายสายที่มีความทรงจำของผู้คนที่ตกค้างหลงเหลืออยู่ให้เราค้นหา เช่น ถนนบำรุงเมือง ถนนราชดำเนิน ฯลฯ ซึ่งถนนทุกสายล้วนมีประวัติศาสตร์แตกต่างกันออกไป เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้นักท่องย่านเมืองเก่าทั่วโลกใฝ่ฝันถึง หากแม้การเปลี่ยนแปลงจากการพัฒนาสถานที่รอบเกาะรัตนโกสินทร์เพื่อให้มีความเป็นศิวิไลซ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้ความทรงจำเหล่านี้หายไป คนรุ่นใหม่จะเข้าใจและค้นหาความหมายของความทรงจำที่คนเก่าแก่ทิ้งไว้ให้ได้อย่างไร นักท่องเที่ยวจะเข้ามาพบกับความเป็นศิวิไลซ์ที่ไม่ได้มีความแตกต่างและมีเอกลักษณ์ต่างไปจากสถานที่อื่นได้อย่างไร หากในอนาคตสิ่งเหล่านี้หายไปจนหมดสิ้น ขอขอบคุณผู้ให้ข้อมูล คุณยุพดี สีลพัทธ์กุล อายุ ๘๘ ปี เจ้าของร้านยุพดีวานิช ถนนมหาไชย พัชรินธร เดชสมบูรณ์รัตน์ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- พื้นที่ย่านชานพระนครและคลองเมือง
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2558 คลองเมืองที่ขุดมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีคือ “คลองโรงไหม” หรือ “คลองหลอด” หรือ “คลองคูเมืองเดิม” ส่วน “คลองวัดสังเวช-โอ่งอ่าง” ขุดในสมัยแรกสร้างกรุงเทพฯ จนมาถึงคลองเมืองสายนอกคือ “คลองขุดใหม่หรือคลองผดุงกรุงเกษม” ที่ขุดในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดูเหมือนสองฝั่งคลองวัดสังเวช -โอ่งอ่างจะเกิดแหล่งที่อยู่อาศัยของผู้คนหนาแน่นกว่าบริเวณอื่น ผู้คนชาวบ้านธรรมดาส่วนมากตั้งถิ่นฐานเรียงรายอยู่ทั้งสองฝั่งคลอง เป็นชุมชนที่อยู่อาศัยและสร้างงานหัตถกรรมจนถึงอุตสาหกรรมในครัวเรือนหลายชนิด เกิดแหล่งย่านการค้าทั้งขายส่งและค้าขายรายย่อย ทั้งตลาดบกและตลาดน้ำ เพราะเป็นคลองเมืองที่เชื่อมต่อกับคลองมหานาคที่สามารถเดินทางออกไปนอกเขตพระนครทางฝั่งตะวันออกได้โดยสะดวก ทางฝั่งพระนคร ชุมชน และตลาด อยู่ตามชานพระนคร คือ พื้นที่ห่างกำแพงเมืองมายังชายน้ำ ส่วนบรรดาเจ้านายขุนนางและข้าราชการส่วนใหญ่มีนิวาสสถานอยู่ภายในกำแพงพระนครที่มีทั้ง ป้อม ประตูเมือง และประตูช่องกุด อันเป็นช่องทางที่ผู้คนภายในเมืองจะออกไปริมลำคลองเพื่อการคมนาคมได้ เหตุนี้ตั้งแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ลงมา จึงมีการสร้างวังของเจ้านายน้อยใหญ่ที่ทรงกรมเป็นแนวขนานกับกำแพงเมืองมากมาย ดังนั้นพื้นที่ย่านชานพระนครและคลองวัดสังเวช-โอ่งอ่าง จึงเป็นบริเวณย่านเศรษฐกิจและสังคมที่มีทั้งสังคมของชาววังและสังคมของชาวบ้านที่มีหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นพื้นที่สำคัญของกรุงรัตนโกสินทร์มาตั้งแต่เริ่มสร้างพระนคร ชีวิตทางสังคมของคนกรุงเทพฯ ถือกำเนิดในย่านดังกล่าวนี้และเติบโตเรื่อยมา จนเมื่อเมืองขยายอย่างใหญ่โตหลังกำเนิดแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติหลัง พ.ศ. ๒๕๐๐ ลงมา ทำให้ผู้คนหลงลืมย่านเก่า ที่ถือเป็นจุดกำเนิดชีวิตทางสังคมและเศรษฐกิจของคนกรุงเทพฯ และมีการจัดการเมืองแบบสมัยใหม่ที่เน้นความสวยงามแต่ไม่ได้ทำความเข้าใจชีวิตทางสังคมของผู้คนที่เคยมีมา แผนที่กรุงธนบุรีทำโดยชาวพม่า แสดงสถานที่สำคัญหลายแห่ง และระบุบริเวณที่เป็นพระบรมมหาราชวังของกรุงเทพฯ ในปัจจุบันคือกลุ่มบ้านของพระยาราชาเศรษฐี (จีนตั้งเลี้ยง) - หมายเลข ๒๐ และเห็นแนวคลองคูเมืองเดิมทางด้านซ้าย - หมายเลข ๑๓ แผนที่เมืองธนบุรี ซึ่งเป็นเมืองสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เรียกว่าเมืองอกแตก คลองคูเมืองเดิมของกรุงธนบุรีกลายเป็นคลองเมืองชั้นในเมื่อเปลี่ยนเป็นสมัยกรุงเทพฯ ผู้คนในพื้นที่ชานพระนครและสองฝั่งคลองเมืองยุคปัจจุบัน จึงต้องต่อสู้กับการถูกลบออกไปจาก “ประวัติศาสตร์ของเมืองกรุงเทพมหานคร” ประวัติศาสตร์เมืองที่ขาดไร้ “ชีวิตทางสังคม” ของผู้คนที่มีรากเหง้าหลากหลายและเคยอยู่อาศัยกันมา กรุงเทพฯ ในยุคกรุงธนบุรี พื้นที่ฝั่งตะวันออก กรุงธนบุรีซึ่งเป็นเมืองอกแตก ผู้คนส่วนใหญ่อยู่อาศัยทางฝั่งตะวันตกที่เป็นเกาะบางกอก บ้านเรือนอยู่ริมแม่น้ำลำคลองและเรือกสวน รวมทั้งพระราชวังพระมหากษัตริย์ วังเจ้านาย บ้านเรือนขุนนาง วัดสำคัญ และที่ทำการรัฐบาล ส่วนทางฝั่งตะวันออกภายในเขตคลองเมืองที่ปัจจุบันเป็นคลองเมืองชั้นในของเมืองกรุงเทพฯ ที่เรียกว่า คลองโรงไหมหรือคลองหลอด ขุดคลองแล้วนำดินพูนเป็นเชิงเทิน ปักแนวไม้ทองหลางทั้งต้นเป็นกำแพง ภายในเมืองแม้จะมีวัดโบราณมาแต่สมัยอยุธยา เช่น วัดโพธิ์ วัดสลัก วัดกลางทุ่งหรือวัดตองปุ พื้นที่เป็นท้องทุ่งและสวนมีชุมชนหลายชาติพันธุ์เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยโดยเฉพาะคนจีนและคนมอญ เมื่อแรกสร้างกรุงเทพมหานครจึงขุดคลองเมืองใหม่ คือ คลองบางลำพูและคลองโอ่งอ่าง ก็ได้ย้ายพระราชวัง ที่ทำการรัฐบาลและสร้างพระบรมมหาราชวัง วังเจ้านาย และสถานที่อยู่อาศัยของพวกขุนนางบางส่วนมาอยู่ภายในเขตคลองเมืองชั้นในซึ่งเป็นคลองเมืองสมัยกรุงธนบุรี และย้ายนิวาสสถานของขุนนางและชุมชนชาวจีนในพื้นที่ตั้งแต่บริเวณที่เป็นพระบรมมหาราชวังตามฝั่งน้ำไปทางใต้ ซึ่งปัจจุบันเป็นบริเวณ พาหุรัดและสำเพ็ง คลองเมืองกรุงเทพมหานครในช่วง ๑๐๐ ปีเมื่อแรกสร้าง คลองคูเมืองเดิม-คลองโรงไหม-คลองหลอด-คลองตลาด เป็นคลองเดียวกันที่ขุดในสมัยกรุงธนบุรีจากท่าช้างวังหน้าทางทิศเหนือไปออกที่ปากคลองตลาดทางทิศใต้ ระยะทางราว ๒.๔ กิโลเมตร เมื่อย้ายพระนครมาอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาจึงกลายเป็นเส้นทางคมนาคมแทนที่คูเมืองและกำแพงป้องกันเมือง ปากคลองด้านทิศเหนือผ่านโรงไหมหลวงจึงเรียกว่า “คลองโรงไหม” และเมื่อมีการขุดคลองหลอดเป็นแนวตั้งเชื่อมกับคลองเมืองชั้นนอกจึงเรียกคลองช่วงนี้ว่า “คลองหลอด” และเมื่อจะออกแม่น้ำเจ้าพระยามีย่านการค้าทั้งตลาดบกและตลาดน้ำก็เรียกว่า “คลองตลาดหรือปากคลองตลาด” คลองคูเมืองเดิมนี้กลายเป็นเส้นทางน้ำสำหรับเดินทางและขนส่งสินค้าของประชาชนภายในพระนคร คลองวัดสังเวช-คลองโอ่งอ่าง ขุดขึ้นเป็นคลองเมืองของกรุงเทพมหานครในสมัยเมื่อแรกสร้างกรุง พ.ศ. ๒๓๒๖ จากบางลำพูทางทิศเหนือไปออกแม่น้ำเจ้าพระยาทางทิศใต้บริเวณใกล้วัดเชิงเลนระยะทางราว ๓.๖ กิโลเมตร สร้างกำแพงอิฐ ป้อม และประตูเมืองไว้โดยรอบพระนครบันทึกไว้ว่า มีประตูใหญ่ ๑๖ ประตู ประตูช่องกุด ๔๗ ประตู และมีป้อมทั้งสิ้น ๑๔ ป้อม มีการเรียกชื่อคลองเส้นเดียวกันนี้แตกต่างกันไปตามย่านชุมชนหรือวัดคือ คลองวัดสังเวช คลองสะพานหัน คลองวัดเชิงเลน (วัดบพิตรพิมุข) คลองโอ่งอ่าง และทำให้มีการขยายตัวของวังเจ้านาย สถานที่อยู่อาศัยของขุนนางข้าราชการ วัดวาอาราม กรมทหาร ที่ทำการรัฐบาล ห่างจากคลองเมืองชั้นในมาทางตะวันออกมากขึ้น สิ่งที่ทำให้มีการขยายตัวของสถานที่อยู่อาศัยที่สำคัญก็คือ การขุดคลองหลอดสองแห่งเชื่อมต่อระหว่างคลองเมืองชั้นในกับคลองเมืองบางลำพูหรือโอ่งอ่างเป็นผลให้เกิดการสร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของผู้ที่เป็นขุนนาง ข้าราชการตามมาทั้งสองฝั่งคลอง คลองหลอดบน คลองหลอดทั้ง ๒ คลอง ขุดในคราวเดียวกับคลองเมืองเมื่อแรกสร้างพระนคร ชักน้ำเชื่อมต่อระหว่างคลองคูเมืองเดิมและคลองเมืองใหม่เป็นแนวตรงระยะทางราว ๑.๑ กิโลเมตร และใช้สัญจรทำให้เกิดวัดและชุมชนสองฝั่งคลองตามมา “คลองหลอดบน” เริ่มแต่วัดบุรณศิริมาตยารามริมคลองเมืองฝั่งนอกขนานกับถนนราชดำเนินกลางมายังวัดมหรรณพารามไปออกคลองบางลำพูที่วัดเทพธิดาและวัดราชนัดดาใกล้กับป้อมมหากาฬ อันเป็นบริเวณที่มีการขุดคลองมหานาคผ่านวัดสระเกศไปทางตะวันออกจนจรดคลองผดุงกรุงเกษมที่ขุดในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ภาพแผนที่กรุงเทพมหานคร พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๔ เพื่อแสดงแนวคลองเมืองในยุคต่าง ๆ ภาพแผนที่กรุงเทพฯ พ.ศ. ๒๓๖๕ จากหนังสือจดหมายเหตุการเดินทางของเซอร์จอห์น ครอฟอร์ด จะเห็นแนวคลองคูเมืองเดิมและมีพระบรมมหาราชวัง วัดมหาธาตุ วัดพระเชตุพนรวมทั้งวังหน้าอยู่ภายใน ส่วนคลองเมืองวัดสังเวช-โอ่งอ่าง ขุดล้อมรอบชั้นนอก และเห็น "ตึกดิน" ที่มีแนวคูน้ำล้อมอย่างเด่นชัด อย่างไรก็ตามพบว่าบรรดาบ้านเก่าเรือนเก่าและตึกที่พบตามสองฟากคลองของคลองหลอดตั้งแต่ วัดบุรณศิริมาจนถึงปากคลองที่อยู่ระหว่างวัดเทพธิดาและวัดราชนัดดา ดูมีอายุอยู่ในสมัยแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ลงมาถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เท่านั้น แม้แต่วัดเทพธิดาและวัดราชนัดดาก็เป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ส่วนวัดมหรรณพารามและวัดบุรณศิริมาตยารามก็ปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ราวรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ซึ่งแต่เดิมอาจเป็นวัดเก่าอยู่ก่อนที่มีผลทำให้เป็นวัดศูนย์กลางของชุมชนที่อยู่ตาม คลองหลอด ต่อมาจนปัจจุบัน ดังนั้น วัดมหรรณพาราม จึงเป็นศูนย์กลางของชุมชนพร้อมกับเมื่อมีการสร้างถนน สร้างโรงเรียนแห่งแรก มีตลาดและศาลเจ้าพ่อเสือ ในขณะที่ วัดบุรณศิริมาตยาราม เป็นศูนย์กลางของชุมชนสองฝั่งคลองหลอดและบรรดาผู้คนที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของคลองเมืองเดิมตั้งแต่สะพานผ่านพิภพลีลาไปจนถึงสะพานมอญ คลองหลอดล่าง ขุดจากคลองเมืองเดิมบริเวณหน้าวังสราญรมย์ผ่ากลางพระนคร ผ่านวัดราชบพิธ ผ่านหลังวัดสุทัศนเทพวราราม ผ่านเรือนจำพระนครออกคลองโอ่งอ่างระยะทางราว ๘๐๐ เมตร เมื่อแรกขุดคลองย่านนี้ไม่มีวัดเก่า แต่ปากคลองเป็นสวนและบ้านเรือนขุนนางข้าราชการและวังเจ้านาย โดยเฉพาะวังสราญรมย์นั้น เป็นสวนกาแฟที่อยู่ใกล้กับพระบรมมหาราชวัง การตั้งถิ่นฐานหนาแน่นอยู่บริเวณปากคลองทั้งสองด้านคือ คลองเมืองชั้นในและคลองโอ่งอ่าง ต่อเมื่อมีการสร้างวัดราชบพิธในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ พร้อมกันกับการตัดถนนจึงเกิดสถานที่ทำการร้านค้า ตึกรามบ้านช่องริมถนนขึ้นมา ทางฝั่งใต้ของคลองหลอดรวมทั้งสองฝั่งของคลองเมืองชั้นในไปจนถึงปากคลองตลาด มีการตั้งถิ่นฐานของเจ้านายขุนนาง พ่อค้า ประชาชนค่อนข้างมาก ข้ามคลองคูเมืองเดิมเป็นย่านชาวมอญที่ปรากฏเพียงชื่อเหลือไว้คือสะพานมอญและสี่กั๊กพระยาศรี (พระยาศรีสหเทพ ต้นสกุลศรีเพ็ญ) และพื้นที่ซึ่งเป็นวังบ้านหม้อต่อเนื่องขึ้นไปถึงย่านพาหุรัดและวังบูรพา ป้อมมหากาฬ และชานพระนครติดกับคลองวัดสังเวช-โอ่งอ่าง คลองมหานาค ครั้งสร้างกรุงเทพมหานครในการขุดคลองเมืองคือบางลำพู-โอ่งอ่างนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงเกณฑ์ไพร่พลที่เป็นคนเขมร คนตานี และลาวเป็นแรงงาน ซึ่งนอกจากคลองเมืองแล้วก็มีการขุด “ คลองมหานาค ” แยกออกจากคลองเมืองหน้าป้อมมหากาฬ ผ่านวัดสระเกศไปยังท้องทุ่งและที่ลุ่มทางตะวันออกระยะทางราว ๒ กิโลเมตรแล้วต่อกับคลองแสนแสบที่ขุดในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ เมื่อขุดคลองเสร็จแล้วโปรดเกล้าฯให้ชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์นั้นตั้งบ้านเรือนอยู่ริมคลองจนถึงทุกวันนี้ เพราะพื้นที่บริเวณนี้เหมาะสมกับการขยายเขตที่อยู่อาศัยของพลเมืองที่อยู่นอกเมือง มีวัดสระเกศเป็นวัดเก่า โปรดเกล้าฯ ให้ผู้คนที่อพยพมาจากกรุงศรีอยุธยาส่วนหนึ่งเข้ามาตั้งถิ่นฐานเช่น ชุมชนบ้านบาตร ที่เป็นชุมชนหัตถอุตสาหกรรมตีบาตรพระซึ่งคงรวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ทรงพระราชทานนามคลองขุดที่แยกจากคลองเมือง ผ่านมายังวัดสระเกศว่า คลองมหานาคซึ่งเป็นชื่อคลองในทุ่งภูเขาทองของกรุงศรีอยุธยา ทุ่งภูเขาทองที่มีเจดีย์วัดภูเขาทองเป็นประธานอยู่กลางทุ่งนั้นเป็นที่ที่คนอยุธยามาจอดเรือเล่นสักวากันในฤดูน้ำท่วมทุ่งการใช้ชื่อคลองมหานาคให้เหมือนกับที่กรุงศรีอยุธยาก็เพื่อเรียกขวัญประชาชนที่เคลื่อนย้ายมาจากอยุธยาให้เกิดความรู้สึกว่าความเป็นกรุงศรีอยุธยาที่เคยรุ่งเรืองสุขสำราญนั้น ยังไม่สิ้นไปและมาฟื้นฟูใหม่ที่กรุงเทพมหานคร ผลที่ตามมาก็คือทำให้มีการเรียกพระสถูปเจดีย์ของวัดสระเกศเป็นภูเขาทองในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯที่เริ่มสร้างเจดีย์ภูเขาทองขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ทางจักรวาลในพื้นที่ลุ่มทางตะวันออกของกรุงเทพฯ คลองผดุงกรุงเกษม เป็นคลองเมืองชั้นนอกที่ขุดในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวระหว่าง พ.ศ. ๒๓๙๔-๒๓๙๕ จ้างแรงงานชาวจีนเป็นผู้ขุดเพื่อขยายชุมชนออกไปทางทิศตะวันออกของพระนคร ระยะทางรวมราว ๕.๕ กิโลเมตร เริ่มทางทิศเหนือที่วัดสมอแครงหรือวัดเทวราชกุญชร ขนานไปกับคลองวัดสังเวช-โอ่งอ่างตัดผ่านคลองมหานาคจนกลายเป็นย่านการค้าที่สำคัญ คือสี่แยกมหานาค ผ่านวัดหัวลำโพง วัดท่าเกวียนหรือวัดมหาพฤฒารามไปจนจรดแม่น้ำเจ้าพระยาทางทิศใต้แถววัดแก้วแจ่มฟ้า การขุดคลองทำให้เกิดวัดและชุมชนเรียงรายไปตามลำคลองเพิ่มขึ้น เช่น วัดสามจีน (วัดไตรมิตรฯ) วัดพลับพลาไชย วัดโสมนัสราชวรวิหาร วัดมกุฏกษัตริยาราม วัดบางขุนพรหม วัดเทวราชกุญชร ฯลฯ แนวคลองครั้งนั้นไม่มีการสร้างกำแพงเมือง แต่สร้างป้อม ๘ ป้อม ปัจจุบันเหลือแต่เฉพาะป้อมทางฝั่งธนฯ ที่สร้างคราวเดียวกันคือ ป้อมป้องปัจจามิตร ที่ตั้งอยู่ปากคลองสาน ตั้งแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เป็นต้นมา มีการขยายพื้นที่อยู่อาศัยของผู้คนจากเมืองพระนครมาทางฝั่งตะวันออกเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดวัดขึ้นเป็นศูนย์กลางของชุมชนเพิ่มตามขึ้นมา เช่น วัดพระพิเรนทร์ วัดชัยชนะสงคราม วัดจักรวรรดิราชาวาส วัดกันมาตุยาราม วัดสัมพันธวงศ์ วัดปทุมคงคา วัดใหม่ยายแฟง (วัดคณิกาผล) วัดพลับพลาไชย ฯลฯ เมื่อมีการขุดคลองเมืองพระนครชั้นนอกคือคลองผดุงกรุงเกษมขึ้นมานั้น ได้ทำให้วัดต่างๆ ดังกล่าวนี้เข้ามาอยู่ภายในเขตเมืองกรุงเทพมหานคร คลองเมืองผดุงกรุงเกษมมีความสำคัญมากในทางคมนาคมขนส่งสินค้าขึ้นล่องตามลำน้ำเจ้าพระยาเข้ามา ในกรุงเทพมหานคร มีเส้นทางลำน้ำคูคลองที่ติดต่อกับคลองเมืองเส้นต่างๆ และออกแม่น้ำเจ้าพระยาได้ ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายและกระจายตัวของคนจีนและย่านตลาดเพิ่มขึ้นโดยมีทิศทางมาจากริมน้ำเจ้าพระยาตั้งแต่วัดบพิตรพิมุขมาทางวัดสัมพันธวงศาราม วัดปทุมคงคา และวัดแก้วฟ้า กระจายตัวกันขึ้นมาทางวัดใหม่ยายแฟง (วัดคณิกาผล) และวัดพลับพลาไชย ภายในพระนครเมื่อต้นกรุงฯ กรุงเทพมหานครเมื่อแรกสร้างจนถึงราวรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ นั้น พื้นที่ทางตะวันออกของพระบรมมหาราชวัง เช่น วังสราญรมย์เคยเป็นสวนกาแฟ บริเวณท้องสนามหลวงเป็นทุ่งนา บริเวณแม่พระธรณีบีบมวยผมเป็นวังเจ้านายและย่านที่อยู่อาศัยริมคลองเมืองชั้นใน ขณะที่บริเวณพระบวรราชวังซึ่งสัมพันธ์กับวัดสลักเป็นบริเวณที่มีการอยู่อาศัยริมแม่น้ำค่อนข้างหนาแน่นเพราะเป็นท่าเรือจอด เช่น ท่าพระจันทร์ ท่าช้างวังหน้า ฯลฯ บริเวณคลองเมืองชั้นในทางตอนเหนือมี วัดชนะสงคราม หรือวัดตองปุซึ่งเป็นวัดเก่ามาก่อนการสร้างพระนคร มีชุมชนเก่าอยู่ก่อน ต่อมาเมื่อทางวังหน้าบูรณปฏิสังขรณ์วัดชนะสงครามขึ้นมาก็กลายเป็นวัดสำคัญ ของพระบวรราชวัง มีการนำคนมอญเข้ามาตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่โดยรอบ สลับกับวังของเจ้านายฝ่ายวังหน้าที่เริ่มแต่พระราชวังเดิมของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทและวังของกรมหลวงจักรเจษฎา พื้นที่ทั้งภายในกำแพงเมืองด้านเหนือมาจนถึงท่าพระอาทิตย์และป้อมพระสุเมรุปากคลองบางลำพูก็เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของเจ้านายและขุนนางหนาแน่นกว่าที่อื่น ๆ บริเวณปากคลองมหานาค ภูเขาทอง วัดสระเกศฯ อาณาบริเวณซึ่งเป็นวังเจ้าเหล่านี้ ครอบคลุมทั้งภายในกำแพงเมืองและชานพระนครนอกกำแพงเมือง เพราะต้องอาศัยแม่น้ำเป็นทางคมนาคม โดยเจ้านายแต่ละวังสามารถออกจากวังผ่านประตูช่องกุดมายังริมแม่น้ำได้ ซึ่งเมื่อมีการรื้อกำแพงเมืองพระนครแล้วจึงได้มาสร้างตึกเป็นวังในบริเวณชานพระนคร พื้นที่ตั้งแต่วัดชนะสงครามไปถึงบางลำพูเป็นแหล่งที่มีชุมชนกระจายอยู่ มีผู้คนเข้ามาตั้งหลักแหล่งตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น คนมอญแถววัดชนะสงครามถึงบางลำพู คนมุสลิมจากปัตตานีที่กวาดต้อนเข้ามาเป็นชุมชนที่มีมัสยิดเป็นศูนย์กลางและอยู่ไม่ห่างจากวัดชนะสงคราม ต่อมาคนมุสลิมได้ขยายถิ่นฐานมาตั้งมัสยิดและชุมชนในพื้นที่โล่งเป็นทุ่งเป็นคอกวัวบริเวณที่เป็นถนนราชดำเนินกลางที่สร้างขึ้นครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ พื้นที่ทุ่งโล่งกลางพระนครนี้ไม่มีคนอยู่เป็นชุมชน แต่เป็นที่ตั้งของ ตึกดิน ที่มีขอบเขตเป็นกรมทหารที่อยู่ในพื้นที่ซึ่งปัจจุบันเป็นโรงเรียนสตรีวิทยาและบริษัทธนบุรีประกอบรถยนต์ริมถนนราชดำเนินใกล้กับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถัดจากทุ่งโล่งที่มีคอกวัวและเป็นที่ตั้งของ ตึกดิน ก็มีบริเวณคลองหลอดที่ขุดมาจากคลองเมืองชั้นในริมวัดบุรณศิริมาตยารามผ่านวัดมหรรณพารามมายังวัดราชนัดดา-วัดเทพธิดา เป็นบริเวณที่มีการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนชาวพระนครที่เป็นขุนนางและชาวบ้านธรรมดาเป็นส่วนใหญ่ ความเป็นชุมชนเกิดขึ้นแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ซึ่งในช่วงเวลานี้ยังเป็นสมัยที่ยังไม่มีการตัดถนนอย่างในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ คนสัญจรไปมาด้วยทางเท้าและคูคลองเป็นหลัก ชานพระนครและสองฝั่งคลองเมือง บรรดาคูคลองทั้งหลายในพระนครดูไม่สำคัญเท่ากับคลองเมืองด้านตะวันออกคือ “คลองวัดสังเวช-โอ่งอ่าง” ที่เกิดแหล่งที่อยู่อาศัยของผู้คนหนาแน่นกว่าบริเวณอื่น ฝั่งทางพระนครจะมีชุมชนและตลาดอยู่ตาม ชานพระนคร คือ พื้นที่ห่างกำแพงเมืองมายังชายน้ำ ส่วนเจ้านายขุนนางและข้าราชการส่วนใหญ่มีนิวาสสถานอยู่ภายในกำแพงพระนครที่มีทั้ง ป้อม ประตูเมือง และประตูช่องกุด อันเป็นช่องทางที่ผู้คนภายในเมืองจะออกไปริมลำคลองเพื่อการคมนาคมได้ ทางฝั่งคลองเมืองด้านตะวันออกที่อยู่นอกกำแพงเมืองก็มีชุมชนและวัดเรียงรายกันไปตั้งแต่ปากคลองจนถึงปลายคลอง เหตุนี้ตั้งแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ลงมาจึงมีการสร้างวังของเจ้านายน้อยใหญ่ที่ทรงกรมเป็นแนวขนานกับกำแพงเมือง มีทั้งวังรุ่นเก่าแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เช่น วังกรมหมื่นสมมตอมรพันธุ์ วังกรมหลวงพิชิตปรีชากร วังกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ วังกรมหมื่นราชศักดิ์สโมสร วังกรมพระดำรงราชานุภาพ ฯลฯ และวังรุ่นใหม่ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เช่น วังบูรพาภิรมย์หรือวังสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช วังกรมหลวงเทววงศ์วโรปการ วังกรมพระนครสวรรค์วรพินิต ฯลฯ บรรดาเจ้านายของวังเหล่านี้ส่วนใหญ่ใช้ช่องทางวังผ่านประตูช่องกุดและประตูเมืองมายังคลองเมืองในการเดินทางออกนอกพระนคร ย่านวัดบางลำพูหรือวัดสังเวชวิศยาราม คลองเมืองและชานพระนครบริเวณปากคลองฝั่งนอกมีวัดบางลำพูหรือวัดสังเวชวิศยาราม เป็นศูนย์กลางของชุมชน ส่วนด้านในกำแพงเมืองเป็นย่านของวังริมป้อมพระสุเมรุและป้อมพระอาทิตย์ เป็นกลุ่มตระกูลของพระราชวังบวรสถานมงคลหรือวังหน้า ริมคลองมีอาคารบ้านเรือนท่าน้ำและตลาดน้ำต่อเมื่อมีการรื้อกำแพงและประตูเมืองจึงปลูกตึกและอาคารสองฝั่งถนนมากขึ้น คลองวัดสังเวช-โอ่งอ่าง มีเรือสินค้าเข้ามาจากชุมชนรอบนอกมากมาย ย่านวัดรังษีสุทธาวาสหรือวัดบวรนิเวศวิหาร วัดรังษีสุทธาวาสที่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ทรงสร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ เคยเป็นวัดที่มีมาก่อนสร้างวัดบวรนิเวศในครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ และภายหลังจึงมารวมเป็นวัดเดียวกัน และยังอยู่ในอาณาบริเวณย่านวังหน้าในช่วงรัชกาลที่ ๒ และ ๓ ทางฝั่งภายในกำแพงพระนครมีบ้านเรือนปลูกอยู่นอกกำแพงชานเมืองริมน้ำอยู่ไม่น้อย และเป็นอาคารร้านค้าชั้นเดียวบ้าง สองชั้นบ้าง และหันหน้าลงคลองยังคงพบอาคารเหล่านี้หลังตึกแถวที่เคยเป็นแนวกำแพงเมืองที่ถูกรื้อไปแล้วฝั่งตรงข้ามเป็นย่านบ้านเรือนและวังเจ้านายเก่าที่ต่อเนื่องกับย่านวัดตรีทศเทพ และต่อมากลายเป็นโรงไม้ที่ช่างจีนไหหลำทำโรงเลื่อยและรับทำงานไม้และเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ย่านวัดปรินายกและบ้านพานถม อยู่ทางฝั่งนอกพระนคร เยื้องกับป้อมมหาปราบ สร้างโดยเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนีย์) ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ภายหลังเมื่อตัดถนนราชดำเนินแล้วกินอาณาเขตของวัดไปส่วนหนึ่ง บริเวณนี้ต่อเนื่องกับตรอกบ้านพานถมที่มีช่างฝีมือทำลวดลายลงบนพานถมด้วยวิธีการตอกลายลงบนภาชนะที่รองด้วยก้อนรักแบบโบราณ แม้ทุกวันนี้จะถูกตีตลาดจากการทำขันน้ำพานรองแบบปั๊มจากเครื่องจักรกลอุตสาหกรรมหลายสิบปีแล้ว แต่ก็ยังมีร้านไทยนคร ที่ทำเครื่องถมแบบเก่าเหลืออยู่เพียงแห่งเดียว ย่านคลองมหานาคและวัดสระเกศ ฝั่งเหนือคลองมหานาคเมื่อราวสมัยรัชกาลที่ ๒ โปรดเกล้าฯ ให้บรรดาครอบครัวทางใต้จากพัทลุงและนครศรีธรรมราชเข้ามาตั้งถิ่นฐานซึ่งในบรรดาคนเหล่านี้เป็นพวกละคร หนังตะลุง ที่มีความรู้ทางดนตรีและศิลปะการแสดง ทางฝั่งใต้ของคลองมหานาคเป็นพื้นที่ซึ่งมีวัดสระเกศเป็นวัดเก่าที่เป็นศูนย์กลางทางศาสนาและพิธีกรรมที่ผู้คนที่หลากหลายทางชาติพันธุ์ถูกเกณฑ์มาขุดคลองเมืองพระนครซึ่งรวมทั้งคลองมหานาคด้วย นอกจากคนเหล่านี้ยังมีผู้คนที่อพยพมาจากกรุงเก่าเข้ามาตั้งถิ่นฐาน หนึ่งในกลุ่มคนเหล่านี้คือชุมชนที่บ้านบาตร ซึ่งเป็นช่างฝีมือในการทำบาตรพระ ที่ปนเปไปกับทางบ้านบาตรคือชาวจีนกวางตุ้ง จีนไหหลำที่ทำโรงเลื่อยประดิษฐ์วงกบหน้าต่าง กรอบประตูไม้ที่ยังทำเป็นหัตถอุตสาหกรรมจนถึงทุกวันนี้ ส่วนฝั่งตรงข้ามชานพระนครเหนือคลองหลอดวัดราชนัดดาขึ้นมา เป็นกลุ่มย่านบ้านที่ทำสายรัดประคด ซึ่งเป็นงานช่างฝีมือในตระกูลรามโกมุทเริ่มขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ เมื่อครั้งที่ “พระยารามรณรงค์สงคราม รามมีไชยไสวเวียง” (บัว) ได้รับที่ดินพระราชทานในการเป็นแม่กองซ่อมวัดเทพธิดาราม แม้จะทำสืบเนื่องกันมายาวนานแต่ปัจจุบันเลิกทำไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ย่านประตูยอดสะพานหัน อยู่บริเวณหน้าวังบูรพาภิรมย์ที่มีป้อมมหาไชยหรือป้อมสะพานหันตั้งอยู่ แม้จะซ่อมแซมหลายครั้งแต่ก็ยังพังลงมาจนเป็นที่กล่าวขานจดจำ ภายหลังเมื่อทำถนนรอบเมืองมีรถรางแล้วจึงรื้อทั้งกำแพงและป้อมออกเพื่อการคมนาคมสมัยใหม่ที่สะดวกกว่าตลาดสะพานหันเป็นแหล่งธุรกิจการค้า เดิมเป็นย่านการค้าของคนท้องถิ่นทั่วไปก่อนที่จะกลายเป็นย่านการค้าของคนจีน แต่เดิมเป็นสะพานไม้แผ่นเดียวทอดข้ามคลองปลายข้างหนึ่งตรึงแน่นกับที่ อีกปลายหนึ่งวางพาดกับฝั่งตรงข้ามโดยไม่ตอก สามารถจับหันเปิดทางให้เรือผ่านและหันปิดสำหรับคนข้าม ต่อมาได้รับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงลักษณะจากเดิมหลายครั้ง ครั้งสำคัญในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ สร้างเป็นสะพานโครงเหล็กพื้นไม้เรียบเสมอกันใต้พื้นไม่มีล้อเหล็กแล่นบนรางแต่สามารถแยกสะพานออกจากกันให้เรือผ่านได้ และในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ โปรดให้สร้างสะพานหันใหม่ นำแบบมาจากสะพานในประเทศอิตาลี เป็นสะพานไม้รูปโค้งกว้างกว่าปกติสองฟากสะพานมีห้องแถวเล็ก ๆ ให้เช่าขายของและตรงกลางเป็นทางเดิน เป็นสะพานที่ถูกถ่ายรูปไว้มากทีเดียว ส่วนย่านปลายคลองเมืองที่ต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยามีวัดเชิงเลนหรือวัดตีนเลนหรือวัดบพิตรพิมุข ซึ่งเป็นวัดเก่าริมลำน้ำเจ้าพระยา มีมาก่อนการขุดคลองเมืองเป็นศูนย์กลาง สุนทรภู่เมื่อครั้งเป็นพระอยู่ที่วัดเทพธิดารามเขียนไว้ในนิราศสุพรรณเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๔ ว่าเป็นย่านตลาดสินค้าทั้งสดและแห้ง ภายในคลองเต็มไปด้วยเรือขนถ่ายสินค้า เช่น โอ่งอ่าง อิฐ และเกลือก็ใช้เส้นทางเข้ามาทางปากคลองด้านนี้ ศรีศักร วัลลิโภดม, วลัยลักษณ์ ทรงศิริ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ศาลาโรงธรรม ศาลากลางบ้านที่บ้านสายรัดประคด ร่องร่อยชุมชนเก่าในกรุงเทพ ที่ยังเหลืออยู่
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มิ.ย. 2558 ในกรุงเทพมหานครทุกวันนี้ หากกล่าวถึง ‘ ศาลาโรงธรรม ศาลากลางบ้าน หรือศาลากลางย่าน’ คงมีน้อยคนที่เคยเห็นหรือรู้จัก เพราะแทบทุกแห่งเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางกายภาพไปจนถึงโครงสร้างทางสังคม ศาลาโรงธรรมที่เคยเป็นแหล่งทำกิจกรรมส่วนรวมของชุมชนทั้งเป็นสถานที่ทำบุญร่วมกัน โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่วัดทุกวันสำคัญทางพุทธศาสนาหรือเป็นสถานที่พบปะพูดคุยสังสรรค์ในระหว่างเพื่อนบ้านและเครือญาติ บัดนี้แทบจะไม่เคยพบเห็นกันอีก และกลายเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจสำหรับผู้คนในชุมชนเมืองเช่นกรุงเทพมหานครที่รับรู้ว่า ครั้งหนึ่ง กรุงเทพฯ เคยมีศาลาประจำชุมชนอยู่ทั่วไป อาคารศาลาในชุมชน เป็นพื้นที่สาธารณะและมักพบเห็นได้ทั่วไปในทุกท้องถิ่นดั้งเดิม ส่วนใหญ่สร้างตามลักษณะเด่นของศิลปกรรมท้องถิ่นนั้น ยกพื้นสูงบ้างต่ำบ้าง หลังคามุงกระเบื้องและการประดับตกแต่งก็ขึ้นอยู่กับฐานะโดยส่วนรวมของชุมชน ลักษณะเด่นคือผนังเปิดโล่งทั้งสี่ด้านเพื่อการใช้ประโยชน์ที่สะดวกนั่งพัก หลบฝน ทำกิจกรรมต่าง ๆ สำหรับคนจำนวนมาก ศาลาสาธารณะในชุมชนมีหลายประเภทและหลายรูปแบบหน้าที่ เช่น ศาลาที่พักคนเดินทางที่เรายังคงพบเห็นในหลายแห่งในท้องถิ่นทางภาคใต้ ศาลาท่าน้ำโดยเฉพาะตามวัดที่เคยมีการเดินทางสัญจรทางน้ำ และศาลาในวัดที่มีการใช้งานหลากหลาย เช่น ทำบุญ สวดศพหรือทำพิธีกรรมต่าง ๆ ศาลาอีกประเภทหนึ่งที่มีมาแต่ดั้งเดิมและสำคัญสำหรับชุมชนแรกเริ่มเพราะใช้สำหรับทำพิธีกรรมร่วมกันในชุมชนก็คือ ‘ศาลากลางบ้าน’ ในกลุ่มชนระดับเล็ก ๆ ที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่ยังไม่ได้รับศาสนาหลักก็มักใช้ศาลากลางบ้านและลานกลางบ้านสำหรับทำพิธีกรรมเลี้ยงผีบ้าน เลี้ยงผีบรรพบุรุษปีละครั้งเป็นอย่างน้อย นอกจากนั้นจึงใช้ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันอื่น ๆ เช่น จักสาน ทอผ้า พูดคุย ฯลฯ ศาลากลางบ้านในชุมชนพุทธศาสนากลายเป็น ‘ศาลาโรงธรรม’ หากชุมชนนั้นไม่ได้มีศูนย์กลางของชุมชนอยู่ที่วัดใดวัดหนึ่ง ซึ่งหมายถึงเป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ห่างวัดหรือเป็นชุมชนในระดับเมืองที่มีชุมชนรอบวัดหลายชุมชน และอาจจะไม่สะดวกสำหรับคนในชุมชนโดยเฉพาะคนสูงวัยที่จะต้องไปปฏิบัติศาสนกิจในวัดเป็นประจำ เช่น ในวันพระวันโกนหรือการทำบุญที่ไม่ใช่วันอุโบสถศีลหรือวันพระใหญ่ที่อาจจะไม่จำเป็นต้องไปที่วัดหรือไปพักถือศีลร่วมกันที่วัด ก็มักจะทำบุญและนิมนต์พระสงฆ์มาเทศน์กันเป็นการภายในชุมชน ช่วงที่ว่างเว้นจากงานบุญศาลาโรงธรรมก็จะถูกใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมของคนในชุมชนเป็นที่พบปะของชาวบ้านจนกลายเป็นสถานที่ค้าขายไปเสียมากก็มี การสร้างศาลากลางบ้านหรือศาลาโรงธรรม นอกจากได้รับเงินบริจาคของคนในชุมชนก็มักจะมาจากแรงศรัทธาของผู้มีฐานะ ดังที่เรามักพบชื่อของผู้บริจาคติดอยู่หรือเรียกเป็นชื่อศาลานั้นเลยก็มี ในพื้นที่ย่านเก่าของกรุงเทพมหานคร มีการสร้างศาลาอยู่หลายแห่ง แต่ละแห่งสร้างเพื่อเป็นพื้นที่พักสาธารณะในชุมชนเมืองและอยู่ริมถนนในย่านเก่า ที่มีหน้าที่ใช้งานต่างๆ จากความทรงจำและคำบอกเล่าของ ส.พลายน้อย เรื่อง “เล่าเรื่องบางกอก ฉบับสมบูรณ์” โดยสำนักพิมพ์พิมพ์คำ (๒๕๕๕) ดังเช่น บริเวณแถบถนนเฟื่องนคร มี ‘ศาลาเตาปูน’ อยู่บนถนนเฟื่องนคร เป็นศาลาไม้ หลังคามุงกระเบื้อง ‘ศาลาเพชรฉลู’ ตั้งอยู่เชิงสะพานข้างวัดราชบพิธ เป็นศาลาก่ออิฐถือปูน ยกพื้นสูง ‘ศาลาปูน’ อยู่ข้างห้างอับดุลราฮิม เป็นศาลายกพื้น ก่ออิฐถือปูน ‘ศาลาเปรต’ อยู่ใกล้ห้่างทิสแมน เป็นศาลามีฝาไม้สัก ยกพื้นสูง ตำแหน่งที่ตั้งของบ้านสายรัดประคด สายรัดประคด ภาพในอดีตของกลุ่มช่างทอสายที่บ้านสายรัดประคด ศาลาโรงธรรมที่บ้านบาตรซึ่งยังมีการใช้งานของชุมชนในเรื่องสารพัดประโยชน์รวมทั้งการทำบุญ และทำพิธีกรรมของชุมชน บริเวณแถบถนนเสาชิงช้า มี ‘ศาลาตรอกศาลเจ้าครุฑ’ อยู่เชิงสะพานช้างโรงสี เป็นสะพานก่ออิฐถือปูน ยกพื้นสูง หลังคามุงกระเบื้อง ‘ศาลาฝ้าย’ อยู่มุมถนนตีทอง ใกล้วัดสุทัศน์ฯ เป็นศาลาฝาไม้สัก หลังคามุงกระเบื้อง บริเวณแถบบ้านหม้อ - บ้านญวน มี ‘ศาลาตาเพ็ง’ อยู่ใกล้สี่แยกบ้านหม้อ เป็นศาลาฝาไม้ ยกพื้นสูง หลังคามุงกระเบื้อง มีช่อฟ้าใบระกา ‘ศาลาบ้านญวน’ อยู่ไม่ไกลจากสี่แยกถนนพาหุรัด เป็นศาลาไม้ ยกพื้นเตี้ย ๆ บริเวณแถบถนนมหาไชย ‘ศาลาบ้านพระยาจ่าแสน’ อยู่เชิงสะพานช้างโรงหวย เป็นศาลาก่ออิฐถือปูน ‘ศาลาเจ้าพระยาธรรมา’ เป็นศาลาก่ออิฐถือปูน อยู่ใกล้กองมหันตโทษหรือสวนรมมณีนาถในปัจจุบัน ศาลาข้างต้นน่าจะเป็นศาลาสำหรับการใช้งานสาธารณะเพื่อเป็นที่พักการเดินทางในเมืองเก่า แต่สำหรับศาลากลางบ้านที่เป็นศาลาโรงธรรมของชุมชนขนาดเล็ก ๆ ที่เป็นหมู่บ้านในย่านเก่าของกรุงเทพมหานครที่ยังเหลืออยู่แห่งสำคัญได้แก่ ‘ศาลากลางบ้านหรือศาลาโรงธรรมที่บ้านบาตร’ ซึ่งยังคงหน้าที่โดยมีการใช้งานจริง จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่แสดงถึงความเป็น ‘ชุมชนโดยธรรมชาติ’ ที่ยังหลงเหลืออยู่แห่งเดียวในย่านเก่ากรุงเทพมหานคร เดิมศาลาหลังนี้เป็นศาลาไม้ ต่อมาปรับปรุงเป็นศาลาไม้ประกอบปูน ชาวบ้านที่นี่ใช้ศาลาแห่งนี้เป็นศาลาอเนกประสงค์ มีการจัดงานต่างๆ อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ทั้งงานบวช งานแต่งงาน งานศพ งานไหว้พ่อปู่บ้านบาตร นอกจากน้ั้น ยังใช้เป็นสถานที่จัดงานบุญเลี้ยงพระปีละ ๕ ครั้ง คือ ช่วงปีใหม่ วันสงกรานต์ วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา และวันพ่อแห่งชาติ ๕ ธันวาคมของทุกปี ศาลากลางบ้านหรือศาลาโรงธรรมที่ยังคงสภาพดีอยู่อีกแห่งหนึ่งคือ ‘ศาลาโรงธรรมบ้านสายรัดประคด’ แม้ในปัจจุบันผู้คนในชุมชนจะย้ายออกไปมากแล้วจนทำให้ไม่มีการใช้งานเป็นปกติ ศาลาที่บ้านสายรัดประคดนอกจากจะถูกใช้ในกิจกรรมทางศาสนาเหมือนเช่นที่บ้านบาตรแล้ว แต่ยังเคยใช้เป็นสถานที่สำหรับผลิตงานหัตถกรรมชิ้นสำคัญ คือ ‘สายรัดประคด’ อันเป็นที่มาของชื่อ ‘บ้านสายรัดประคด’ นั่นเอง บ้านสายรัดประคดตั้งอยู่ด้านหลังร้านน้ำอบนางลอย ในตรอกเล็ก ๆ ตรงข้ามวัดเทพธิดาราม ขนาบข้างด้วยคลองรอบกรุงทางทิศตะวันออกและคลองหลอดวัดราชนัดดาทางทิศเหนือ และมีทางเท้าเดินต่อเนื่องไปสู่ชุมชนที่ตรอกพระยาเพชรฯ หรือป้อมมหากาฬ ศาลาโรงธรรมที่บ้านสายรัดประคด สายรัดประคด นับเป็น ๑ ใน เครื่องอัฐบริขารทั้ง ๘ อย่าง ที่พระภิกษุสงฆ์ต้องมีประจำตัว คำว่า ‘ประคด’ มีความหมายตามพจนานุกรมว่า แผ่นผ้าหรือด้ายที่ถักเป็นแผ่นยาว ใช้สำหรับคาดเอวหรืออกของภิกษุสงฆ์ ถ้าคาดอกเพื่อไม่ให้จีวรหลุด จะเรียก ‘ประคดอก’ และถ้าใช้คาดเอวเพื่อไม่ให้ผ้าสบงหลุดเรียก ‘ประคดเอว’ การทอสายรัดประคดที่บ้านสายรัดประคด กล่าวกันว่าเริ่มขึ้นครั้งแรกตั้งแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อราวพุทธศักราช ๒๔๐๐ ‘พระยารามรณรงค์สงคราม รามมีไชยไสวเวียง (บัว)’ ต้นตระกูลรามโกมุท ได้ไปดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการทางหัวเมืองเหนือ ท่านได้พบช่างชาวอินเดียผู้มีความรู้ด้านการทอเข็มขัดคาดเอวหรือสายรัดประคดสำหรับภิกษุสงฆ์ จึงได้เชิญมาเป็นครูฝึกสอนลูกหลานในตระกูลรามโกมุทที่อาศัยอยู่ร่วมกันในบริเวณอันเป็นที่ตั้งของบ้านสายรัดประคดในปัจจุบัน “พระยารามรณรงค์สงคราม รามมีไชยไสวเวียง” หรือที่ลูกหลานยุคปัจจุบันเรียกว่า ‘เจ้าคุณทวด’ เกิดเมื่อปีฉลู ราวพ.ศ. ๒๓๓๖ ณ บ้านบางยี่โท อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ต่อมาราวปี พ.ศ. ๒๓๗๐ ได้เดินทางเข้ามายังกรุงเทพฯ และถวายตัวเข้ารับราชการ ต่อมาสมัยรัชกาลที่ ๔ ท่านได้มีโอกาสถวายงานเป็นข้าหลวงในสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี พระมเหสีในรัชกาลที่ ๔ จากนั้นจึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เข้ารับราชการในกรมมหาดเล็กและได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น ‘พระอินทราช (บัว)’ ปฏิบัติงานในกรมพระตำรวจหลวงรักษาพระองค์เป็นเวลานานกว่า ๑๒ ปี จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการเมืองตาก เมื่อปี พ.ศ.๒๔๐๓ โดยได้รับบรรดาศักดิ์เป็นพระยาวิชิตชลธีศรีสุรสงครามรามราไชยสวัสดิ์ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๐๙ ได้ไปดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการเมืองกำแพงเพชร และได้รับบรรดาศักดิ์เลื่อนเป็น ‘พระยารามรณรงค์สงครามรามมีไชยไสวเวียง’ ภายหลังเมื่อเกษียณอายุราชการ ก็ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นแม่กองปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุในพระอารามวัดเทพธิดาราม โดยในครั้งนั้นได้ตั้งโรงเลื่อยสำหรับเลื่อยท่อนซุงที่ล่องมาตามริมคลองโอ่งอ่างหรือคลองรอบกรุง ขึ้นบนพื้นที่ว่างนอกกำแพงเมืองตรงข้ามวัดเทพธิดาราม ท่านสามารถควบคุมการทำงานบูรณะปฏิสังขรณ์ให้สำเร็จลงได้อย่างเรียบร้อย รัชกาลที่ ๔ จึงพระราชทานที่ดินราว ๔ ไร่ ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของโรงเลื่อยนั้น ให้เป็นกรรมสิทธิ์ ซึ่งท่านได้จัดสรรที่ดินให้บุตรหลาน ปลูกสร้างบ้านพักของตนเอง โดยมีสิ่งปลูกสร้างภายในชุมชนคือ ศาลากลางบ้านหรือศาลาโรงธรรม ปลูกอยู่ด้วยกัน ศาลากลางบ้านที่บ้านสายรัดประคด เป็นศาลาไม้ เปิดโล่ง ยกพื้นเตี้ย ๆ เป็นเสมือนศูนย์กลางสำคัญของเครือญาติในสายตระกูลรามโกมุท โดยนอกจากจะใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตามโอกาสอันเหมาะสมแล้ว ยังเคยถูกใช้เป็นที่สำหรับตั้งกี่เพื่อทอสายรัดประคดอีกด้วย การทอสายรัดประคดมีอุปกรณ์และขั้นตอนสำคัญ โดยเริ่มด้วยการเลือกใช้ไหมญี่ปุ่นเป็นวัตถุดิบหลัก เพราะมีความเหนียว คงทน สีติดง่าย จากนั้นจึงทำการเตรียมด้ายเพื่อให้สะดวกในการใช้งาน แล้วจึงเข้าสู่ขั้นตอนการเตรียมด้ายยืน หรือที่เรียกว่า การเดินด้าย และการค้นสาย โดยเอาด้ายที่ม้วนแล้ว จากฝั่งหางของกี่มาส่งให้ผู้ที่นั่งอยู่ฝั่งหัวกี่ ด้วยการร้อยด้ายเข้ารูกระ จำนวนเที่ยวที่จะเดินขึ้นอยู่กับความกว้างของสายรัดประคดที่ต้องการทอ จากนั้นจึงทำการ ‘ทอสาย’ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญ ต้องใช้คน ๒ คน คือ ‘คนทอ’ และ ‘คนกลับ’ ช่วยกันส่งสลับด้ายที่เตรียมไว้จนสอดไขว้สานกันเป็นลวดลาย ทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆจนได้ความยาวของสายรัดประคดที่ต้องการแล้วจึงเว้นช่วงสำหรับถักหาง และปักพู่ ก่อนเริ่มทอสายรัดประคดเส้นใหม่ต่อจนสุดความยาวของกี่ ตลาดสำคัญของสายรัดประคดที่ผลิตได้ คือ แหล่งเครื่องสังฆภัณฑ์ย่านเสาชิงช้า แม้การทอสายรัดประคดที่บ้านสายรัดประคดจะขาดหายไปกว่า ๒๐-๓๐ ปีแล้ว เนื่องด้วยขาดผู้สืบทอดความรู้ แต่ยังมีชาวบ้านบางคนที่อาศัยในชุมชนแห่งนี้ เคยเห็นการทอสายรัดประคดและมีส่วนร่วมในขั้นตอนการเดินด้ายซึ่งเป็นขั้นตอนที่เปิดโอกาสให้เด็ก ๆ เข้ามาช่วยแลกกับเงินค่าขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ การเดินด้ายจะเริ่มทำในช่วงบ่ายหรือเย็นของทุกวัน ก่อนที่ช่างทอสายจะเริ่มทอและกลับด้าย จนสำเร็จเป็นสายรัดประคดที่สมบูรณ์ในช่วงเช้าวันถัดไป อย่างไรก็ตาม แม้ว่าศาลาของบ้านสายรัดประคดจะไม่ได้ถูกใช้เป็นสถานที่ตั้งกี่เพื่อทอสายรัดประคดเหมือนเช่นในอดีต แต่ก็ยังถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานบุญประจำปีในช่วงวันสงกรานต์ เป็นงานสำคัญที่เครือญาติมารวมกันอีกครั้ง เกสรบัว อุบลสรรค์ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ไหว้พ่อปู่บ้านบาตร ศรัทธาชาวบ้านในเมืองใหญ่
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มิ.ย. 2558 ศาลพ่อปู่บ้านบาตร ในรูปแบบพ่อปู่ปั้นจากดินเหนียวจำลองเป็นคนสูงอายุ (ซ้าย) ศาลพ่อปู่บ้านบาตร ในรูปแบบเตาแล่นครูบาตรของชาวบ้านบาตร (ขวา) ชุมชนบ้านบาตรเป็นชุมชนเก่าและเรียกได้ว่าเป็นชุมชนแบบธรรมชาติที่ยังคงเหลืออยู่น้อยแห่งในกรุงเทพมหานคร ปัจจุบันอยู่ในเขตพระนคร นอกกำแพงพระนครชั้นในและคลองโอ่งอ่าง-บางลำพูหรือคลองเมืองไม่มากนัก และอยู่ในอาณาบริเวณที่เป็นส่วนหนึ่งในย่านวัดสระเกศวรมหาวิหาร มีเรื่องเล่าการเข้ามาตั้งถิ่นฐานของชาวบ้านบาตรหลายที่มา บ้างก็ว่าเคยตั้งอยู่ในตำบลคลองบาตรพระ พระนครศรีอยุธยา หลังจากที่อยุธยาเสียกรุงในสงครามจึงพากันมาอยู่ในบริเวณนี้ ซึ่งที่มาของชื่อชุมชนบ้านบาตรก็มีที่มาจากการทำบาตรพระที่เป็นอาชีพดั้งเดิมของคนกรุงเก่า บ้างก็ว่าเป็นส่วนหนึ่งเป็นชาวเขมรที่ถูกกวาดต้อนเข้ามาในพระนครตั้งแต่สมัยพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ พร้อมกับงานช่างฝีมือการทำบาตรพระและตั้งหลักแหล่งอาศัยอยู่จนปัจจุบัน เล่ากันว่าช่วงแรกชุมชนบ้านบาตรเคยตั้งอยู่ภายในกำแพงเมืองพระนคร แต่การตีบาตรกันทั้งชุมชนทำให้เกิดเสียงดังสู่ชุมชนโดยรอบรวมถึงพระบรมมหาราชวังที่ประทับของพระมหากษัตริย์ด้วย พอมีการจัดตั้งหมวดหมู่ของชุมชนขึ้น ชุมชนที่มาจากกรุงเก่าจึงย้ายมาอยู่ด้านนอกกำแพงเมืองในบริเวณที่ตั้งของชุมชนบ้านบาตรในปัจจุบัน ซึ่งก็คือ บริเวณสี่แยกเมรุปูน ระหว่างถนนบำรุงเมืองและถนนบริพัตร เป็นเวลา ๒oo กว่าปีมาแล้ว โดยตั้งอยู่ในที่ดินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ บาตรพระของชาวชุมชนบ้านบาตรมีชื่อเสียงในเรื่องความสวยงามและมีเอกลักษณ์ ด้วยขั้นตอนการทำบาตรที่ต้องใช้ความประณีตกว่าที่อื่น แต่ละขั้นผ่านการทำด้วยมือทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการตีขอบ การต่อบาตร การแล่นบาตร การตีและการตะไบ ซึ่งมีอุปกรณ์ที่ใช้แตกต่างกันไป อุปกรณ์เหล่านี้ชาวบ้านบาตรถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องเคารพและมีครูที่ต้องกราบไหว้ก่อนการทำบาตรทุกครั้งเพื่อความเป็นสิริมงคล นอกจากนี้ พิธีกรรมที่สำคัญของทั้งชุมชนก็คือ ชาวบ้านบาตรไหว้บูชาพ่อปู่ก่อนทำบาตรทุกครั้ง โดยถือว่าพ่อปู่เป็นครูและเป็นผู้ที่ปกปักรักษาดูแลชาวชุมชนให้อยู่อย่างปลอดภัย ด้วยความศรัทธาและการระลึกถึงบุญคุณของพ่อปู่นี้ ทำให้ชาวชุมชนบ้านบาตรจัดงานไหว้พ่อปู่ขึ้น ที่มาของตำนานพ่อปู่บ้านบาตรมีการเล่าสืบต่อกันมานานว่า ครั้งหนึ่งมีคนเคยฝันเห็นผู้ชาย รูปร่างสูงใหญ่ นุ่งขาวห่มขาว ผมเกล้ามวย จึงปั้นรูปองค์พ่อปู่นี้ขึ้นมาโดยใช้ดินเหนียว ซึ่งดินเหนียวที่ว่านี้มีการนำเอาดินเหนียวในป่าช้ามาปั้น เพื่อให้เกิดความขลังศักดิ์สิทธิ์ รำถวายพ่อปู่เริ่มจากศาลกลาง แล้วเวียนไปรำจนครบทั้ง ๘ ศาลในชุมชน ศรัทธาต่อพ่อปู่บ้านบาตรเริ่มจาก ช่วงที่ชุมชนบ้านดอกไม้ซึ่งเป็นชุมชนใกล้เคียงเกิดไฟไหม้ มีการระเบิดครั้งใหญ่และมีลูกพลุพุ่งเข้ามาในชุมชนบ้านบาตร ช่วงนั้นบ้านเรือนในบ้านบาตรส่วนใหญ่ทำจากไม้ คนในชุมชนต่างขอให้พ่อปู่ช่วยเพราะกลัวบ้านไฟจะไหม้บ้าน มีผู้หญิงชาวจีนซึ่งเป็นคนนอกชุมชนเห็นว่าช่วงที่ไฟไหม้มีคนแก่นุ่งขาวห่มขาวยืนถือพัดอันใหญ่อยู่บนหลังคาเหมือนถือพัดโบกให้ลมพัดไฟไปที่อื่นไม่ให้เข้าสู่บ้านบาตร อีกเรื่องหนึ่งคือ ช่วงหนึ่งที่รายการคนค้นฅนนำเรื่องพ่อปู่บ้านบาตรมาออกอากาศ โดยมีลุงโป่ง ผู้มีอาชีพปั้นฤาษีในชุมชนป้อมมหากาฬเป็นผู้เล่าเรื่อง ลุงโป่งเล่าว่าพ่อปู่บ้านบาตรเคยไปเข้าฝันว่าให้มาหาท่านที่ชุมชน ท่านบอกว่าข้อมือท่านเจ็บ เมื่อลุงโป่งมาดูรูปปั้นพ่อปู่ก็พบว่าบริเวณข้อมือของรูปปั้นพ่อปู่มีการแตกร้าว ลุงโป่งจึงเข้ามาซ่อมแซมรูปปั้นให้ พิธีการไหว้พ่อปู่บ้านบาตร เป็นพิธีที่ชาวบ้านบาตรจัดขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เลือกเอาวันที่เป็นวันพฤหัสบดีที่ถือเป็นวันครู หากในช่วงสงกรานต์ในปีนั้นไม่ตรงกับวันพฤหัสบดีก็จะมีการเลื่อนงานพิธีไปในช่วงก่อนหรือหลังสงกรานต์เล็กน้อยเพื่อให้ตรงกับวันพฤหัสบดี โดยทางคณะกรรมการชุมชนจะมีการตกลงวันที่แน่นอนในการจัดงานอีกครั้งหนึ่ง คนในชุมชนบ้านบาตรถือว่าพ่อปู่เป็นครูที่ต้องเคารพนับถือและเป็นครูบาตรที่ต้องกราบไหว้ก่อนการทำบาตรทุกครั้ง โดยขั้นตอนในพิธีการไหว้พ่อปู่จะแบ่งออกเป็น ๓ ส่วนหลัก ๆ คือ การไหว้พ่อปู่ในช่วงเช้า การรำถวายพ่อปู่ในช่วงสายและการแสดงละครชาตรีในช่วงหลังจากรำถวายเสร็จยาวไปจนถึงช่วงเย็น การไหว้พ่อปู่จะไหว้กันในช่วงเช้าของงานพิธีไปจนถึงช่วงเพล คนในชุมชนจะนำของเซ่นไหว้มาไหว้พ่อปู่ตามศาลต่างๆ ในชุมชนทั้งหมด ๘ แห่งด้วยกัน โดยแต่ละแห่งจะเป็นบ้านของผู้ที่เคยทำหน้าที่แล่นบาตรในอดีต เนื่องจากสมัยก่อนการทำบาตรพระเป็นงานที่ต้องทำโดยใช้มือ ชาวบ้านบาตรทั้งแต่ละครอบครัวจะแบ่งหน้าที่ในการทำบาตรเช่น ครอบครัวหนึ่งมีหน้าที่ในการตีขอบบาตรก็จะตีขอบบาตรกันทั้งครอบครัว แล้วส่งต่อไปยังครอบครัวอื่นที่ทำบาตรในขั้นตอนถัดไปจนเสร็จ ดังนั้นครอบครัวที่ทำบาตรในขั้นตอนแล่นบาตรจึงมีเพียงไม่กี่ครอบครัวเท่านั้นที่มีเตาแล่นบาตร อีกทั้งสมัยก่อนการไหว้พ่อปู่จะไหว้กันบริเวณศาลพ่อปู่ที่ตั้งรูปปั้นของท่านไว้ แต่ภายหลังสมาชิกในชุมชนเพิ่มมากขึ้นจึงต้องสร้างบ้านทับในบริเวณนั้น ทำให้พื้นที่ไม่เพียงพอและต้องมีการขยับขยายพื้นที่ออกไปไหว้ตามบ้านกันแทน ของเซ่นไหว้ที่ชาวบ้านนำมาบูชาที่ศาลเตาแล่นบาตร เครื่องเซ่นไหว้ในการไหว้พ่อปู่ของชาวบ้านบาตรแต่ละบ้านจะคล้ายคลึงกัน โดยมีของไหว้ที่สำคัญ คือ หัวหมูหรือหมูนอนตอง คือ หมูต้มที่วางไว้บนผักกาดหอม เป็ด ไก่ ปลานอนตอง ส่วนใหญ่จะใช้เป็นปลาช่อนต้มหรือปลาอื่น ๆ วางบนผักกาดหอม มะพร้าวอ่อน ข้าว ไข่ต้ม บุหรี่ หมากพลู บายศรี เหล้า น้ำดื่ม ผลไม้และขนมต้มขาว-ต้มแดง มีการแต่งหน้าของเซ่นไหว้ให้สวยงามด้วยกลีบดอกกุหลาบ ของไหว้จะถูกจัดวางเรียงไว้บนโต๊ะโดยปริมาณของเซ่นไหว้จะขึ้นอยู่กับกำลังและศรัทธาของแต่ละบ้าน เมื่อทำพิธีไหว้พ่อปู่จะมีการรำถวายพ่อปู่ร่วมไปด้วย โดยละครชาตรีคณะเรืองนนท์ที่ประกอบไปด้วยตัวพระ ๒ คน ตัวนาง ๒ คน รำพร้อมวงปี่พาทย์ การรำถวายพ่อปู่จะเริ่มจากการรำที่ศาลากลางชุมชนเป็นที่แรก จากนั้นจะเวียนเปลี่ยนไปรำตามศาลที่ตั้งอยู่ในบ้านของชาวชุมชนที่มีการไหว้พ่อปู่เรียงกันไปจนครบทุกที่ ซึ่งศาลในบ้านที่มีการไหว้พ่อปู่นี้จะมี ‘เตาแล่นบาตร’ ที่ชาวชุมชนถือว่าเป็นตัวแทนของพ่อปู่ตั้งอยู่ ซึ่งเตาแล่นบาตรที่ชาวชุมชนถือว่าเป็นตัวแทนของพ่อปู่นั้น จะมีลักษณะเป็นปล่องทรงกระบอกตั้งคู่กันและมีช่องสูบไฟอยู่ด้านล่าง ใช้สำหรับการเชื่อมรอยตะเข็บของบาตรพระ เพื่อให้เหล็กเป็นเนื้อเดียวกันและไม่ให้บาตรมีรูรั่ว ในอดีตเตาแล่นบาตรจะเป็นแบบที่ใช้มือสูบลมเร่งไฟ ต่อมาภายหลังเปลี่ยนมาใช้แบบเครื่องเป่าลมไฟฟ้าแทน (อิสระพงษ์ พลธานี, ๒๕๕๕ อ้างถึงในพวงผกา คุโรวาท, ๒๕๔๙) รูปแบบของเตาแล่นบาตรนี้ เป็นเตาถลุงโลหะหรือเตาที่ใช้ตีเหล็ก ตีมีด หรือทำเครื่องโลหะมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็ยังมีใช้ในกลุ่มชาติพันธุ์หลายแห่งในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และชาวบ้านที่ยังคงทำโลหะด้วยมือเป็นงานหัตถกรรมโบราณที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้งานแต่อย่างใด หลังจากนั้นการรำของนางรำจะเริ่มต้นที่การไหว้ครูตามมาด้วยการรำถวายและจบที่การโปรยทาน นางรำจะทำตามขั้นตอนเช่นนี้ทุกครั้ง จนมาจบการรำลงที่ศาลที่ตั้งของรูปปั้นองค์พ่อปู่ก็เป็นอันเสร็จสิ้นการรำถวายในช่วงสายของงานพิธี หลังจากที่ชาวชุมชนไหว้พ่อปู่เสร็จเรียบร้อยแล้วจะมีการแสดงละครชาตรีถวายพ่อปู่ที่บริเวณศาลากลางชุมชนยาวไปจนถึงช่วงเย็น ซึ่งละครชาตรีนี้ในอดีตไม่มีการแสดงละครชาตรีกันเพิ่งจะเริ่มมีการแสดงขึ้นมาในช่วงหลังนี้ พิธีการไหว้พ่อปู่ในแต่ละปีชาวชุมชนจะถือว่าเป็นการกลับคืนชุมชน คนที่ย้ายออกไปอยู่ข้างนอกจะกลับมาบ้านบาตรอีกครั้ง เพื่อมาไหว้พ่อปู่และกลับมาพบปะพูดคุยกับพ่อแม่พี่น้องหรือญาติผู้ใหญ่ที่ยังคงอาศัยอยู่ในชุมชน เพราะเนื่องจากพื้นที่ของบ้านบาตรมีจำกัดทำให้ไม่สามารถขยายขออกไปได้มากกว่าเดิม เมื่อคนมากขึ้น คนหนุ่มสาวภายในชุมชนบ้านบาตรเมื่อมีครอบครัวจึงอาจมีความจำเป็นต้องย้ายออกไปอยู่ภายนอกและกลับมาบ้านบาตรอีกครั้งในช่วงวันหยุดหรือเทศกาลสำคัญ ๆ แม้ว่าการทำบาตรพระของชาวชุมชนบ้านบาตรจะลดน้อยลงและคนรุ่นใหม่หันไปประกอบอาชีพอื่นแทนการทำบาตรกันมากขึ้น แต่คนบ้านบาตรยังคงปลูกฝังให้ลูกหลานมีความเคารพนับถือพ่อปู่และและบูชาครูที่ประสาทวิชาให้แต่อดีต ทำให้คนในชุมชนที่ถึงแม้จะออกไปตั้งถิ่นฐานที่อื่นยังคงสำนึกในบุญคุณของพ่อปู่และเห็นถึงความสำคัญของพิธีไหว้พ่อปู่บ้านบาตร ปัจจุบันแม้คนเก่าแก่ในชุมชนจะล้มหายตายจากไป แต่คนรุ่นใหม่ก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์และขั้นตอนของพิธีการไหว้พ่อปู่เหมือนเช่นเคย จะแตกต่างกันตรงที่สมัยก่อนการจัดพิธีไหว้พ่อปู่จะมีขึ้นในเดือน ๔ ของไทยหรือในช่วงวันตรุษไทย แต่ปัจจุบันมีขึ้นในช่วงเดือน ๕ หรือวันสงกรานต์ของไทยแทน ปัจจุบันการทำบาตรพระของชาวชุมชนจะเริ่มลดน้อยลง จากอิทธิพลของบาตรปั๊มที่ผลิตออกมาจากโรงงานที่ทำให้การทำบาตรพระแบบงานฝีมือของชาวชุมชนซบเซาลงจนเหลืออยู่เพียงไม่กี่ครอบครัวที่ยังคงประกอบอาชีพทำบาตร แต่ความศรัทธาในพ่อปู่ของคนในชุมชนบ้านบาตรก็ยังคงอยู่ อันหมายถึงความเป็นชุมชนของคนบ้านบาตรยังมีอยู่เต็มเปี่ยม เป็นชุมชนหัตถกรรมที่มีโครงสร้างชุมชนตามธรรมชาติท่ามกลางเมืองใหญ่เช่นกรุงเทพมหานครที่หาได้ยากยิ่งแล้วในปัจจุบัน พัชรินธร เดชสมบูรณ์รัตน์ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- มลายูบางกอก ที่มา การกระจายตัว และวัฒนธรรมการเปลี่ยนแปลง
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มิ.ย. 2558 ภาพ ศุกรีย์ สาเร็ม (กลาง) นักวิชาการอิสลามศึกษา และมนตรี ยะรังวงศ์ (ขวา) กรรมการชุมชนสุเหร่าบ้านดอน ผู้มาเป็นวิทยากรในการแลกเปลี่ยนพูดคุย เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๘ วารสารเมืองโบราณ มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ร่วมกับร้านหนังสือริมขอบฟ้า ได้จัดกิจกรรมเสวนาในหัวข้อ มลายูบางกอก : ที่มา การกระจายตัว และวัฒนธรรมการเปลี่ยนแปลง ขึ้น โดยการเสวนาครั้งนี้ถือเป็นการเปิดโฉมหน้าใหม่ของวารสารเมืองโบราณในโอกาสขึ้นสู่ปีที่ ๔๑ ซึ่งเปิดพื้นที่เพื่อนำเสนอเรื่องราวทางประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยฉบับแรกนั้นเป็นการนำเสนอเรื่องราวภูมิวัฒนธรรมของปัตตานี การหาอยู่หากินในอ่าวและการเมืองในคาบสมุทรมลายูที่ส่งผลต่อการโยกย้ายถิ่นครั้งใหญ่เข้ามาอยู่ยังบางกอกในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ชาวมลายูในบางกอกในวันนี้เป็นเช่นไร วิทยากรสองท่าน คือ คุณศุกรีย์ สาเร็ม นักวิชาการอิสลามศึกษา และคุณมนตรี ยะรังวงศ์ กรรมการชุมชนสุเหร่าบ้านดอน ได้มาร่วมพูดคุยและให้ภาพในประเด็นดังกล่าว มลายูบางกอก ตลอดแนวคลองแสนแสบ คนมลายูเหล่านี้ถือว่าเป็น “คนทะเล” และมีความชำนาญในการเดินเรือ ปัจจุบันได้กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลกกว่า ๕๐ ประเทศ ส่วนคำว่า “มลายูบางกอก” เป็นคำเรียกกลุ่มคนมลายูที่อพยพเข้ามาอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลซึ่งเกิดขึ้นหลายระลอกในหน้าประวัติศาสตร์ นับเป็นผลพวงจากศึกสงครามระหว่างสยามกับหัวเมืองปักษ์ใต้ ซึ่งอาจแบ่งได้ดังนี้ มลายูกลุ่มเก่า จากหลักฐาน เช่น คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ยืนยันถึงการเข้ามาของชาวมลายูในสมัยอยุธยาทั้งที่มาทำการค้าขายและเป็นทาส หรือเป็นกำลังไพร่พลในกองอาสาจาม กระทั่งหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ใน พ.ศ. ๒๓๑๐ บรรดาชาวมลายูทั่วไปที่ถูกเรียกว่า “แขกแพ” ได้เคลื่อนย้ายเข้ามาลงหลักปักฐานอยู่บริเวณปากคลองบางหลวง ฝั่งตรงข้ามพระบรมมหาราชวัง ดังจะเห็นว่าปัจจุบันมีมัสยิดต้นสน มัสยิดกุฎีขาว กุฎีเจริญพาศน์ กุฎีปลายนา เป็นศูนย์กลางของชุมชน ส่วนกองอาสาจามภายหลังจากสงคราม ๙ ทัพใน พ.ศ. ๒๓๒๘ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งชุมชนอยู่บริเวณป่าไผ่แถบทุ่งพญาไทหรือบริเวณที่เป็นชุมชนมุสลิมบ้านครัวในทุกวันนี้ มลายูกลุ่มใหม่ หลังจากสงคราม ๙ ทัพ ในปีถัดมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ โปรดเกล้าฯ ให้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทไปตีหัวเมืองปักษ์ใต้คืนมาจากพม่า ครั้งนั้นได้ตีหัวเมืองปัตตานีที่แข็งเมืองแล้วนำครัวชาวมลายูปัตตานีขึ้นมาไว้ยังกรุงเทพฯ โดยโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่รอบกรุงเทพฯ ชั้นใน บรรดาช่างฝีมือได้ตั้งรกรากอยู่บริเวณมัสยิดจักรพงษ์ ซึ่งแต่เดิมพื้นที่แถบนี้เคยมีชื่อว่าชุมชนบ้านแขกตานี แต่ปัจจุบันเหลือเพียงชื่อถนนตานีเท่านั้น การแสดงนาเสบที่นำมาจัดแสดงในงานเสวนา เพื่อให้ผู้ฟังได้เข้าใจและเรียนรู้ถึงข้อขัดแย้งของการตีความทางศาสนาที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ยังมีการอพยพของชาวมลายูเข้ามาอีกหลายระลอกตามช่วงที่มีศึกสงครามรวมทั้งสิ้น ๖ ครั้ง ซึ่งครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๘๑ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้นำเอาครัวชาวมลายูจากไทรบุรีขึ้นมาไว้ยังกรุงเทพฯ ตามริมคลองแสนแสบไปจนถึงฉะเชิงเทรา ชาวมลายูที่เข้ามาในชั้นหลังถือเป็นกำลังสำคัญในการขุดคลองสายยุทธศาสตร์หรือคลองแสนแสบ ซึ่งเป็นคลองที่ต่อเนื่องจากคลองมหานาคในเขตกรุงเทพฯ ชั้นในต่อเนื่องไปถึงชานเมืองทางฝั่งตะวันออกหรือคลองบางขนากที่ฉะเชิงเทรา เพื่อเป็นเส้นทางลำเลียงยุทธปัจจัยในสงครามไทย-ญวน และได้รับอนุญาตให้จับจองที่ทำกินในบริเวณริมคลอง และต่อมาได้กลายเป็นชุมชนชาวมลายูปัตตานี-ไทรบุรีจนถึงปัจจุบัน คุณมนตรี ยะรังวงศ์ กล่าวเสริมว่าชุมชนมลายูตลอดแนวคลองแสนแสบนั้น ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มมุสลิมที่เข้ามาในสมัยรัชกาลที่ ๓ โดยตั้งถิ่นฐานต่อเนื่องมาจากชาวมลายูรุ่นก่อนที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ ชั้นในจนถึงปลายคลองมหานาค ประกอบด้วยชุมชนสุเหร่าบ้านดอน นวลน้อย คลองตัน บางกะปิ มีนบุรี หนองจอก เรื่อยไปจนถึงฉะเชิงเทรา โดยชาวมลายูเหล่านี้ยังคงมีความสัมพันธ์และไปมาหาสู่กันนับตั้งแต่ยุคที่ใช้เรือในการสัญจร มีทั้งการเดินทางไปเยี่ยมญาติพี่น้องที่ขยายออกไปตั้งรกรากยังชุมชนอื่นที่ห่างไกลออกไป หรือเดินทางไปซื้อข้าวของต่าง ๆ เป็นต้น แม้เมื่อมีการตัดถนนเสรีไทยและถนนรามคำแหงทำให้การเดินทางเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ แต่ผู้คนชาวมลายูก็ยังคงไปมาหาสู่กันเช่นเดิม ในอดีตชุมชนสุเหร่าบ้านดอนมีอาณาบริเวณกว้างขวางไปจนถึงซอยนานา แต่เมื่อมีถนนสุขุมวิทตัดผ่านได้มีการขายที่ดินบางส่วน นับเป็นความเจริญของบ้านเมืองที่มีส่งผลต่อชาวชุมชนโดยตรง และปัจจุบันชุมชนสุเหร่าบ้านดอนยังถูกแวดล้อมด้วยสถานบันเทิงเริงรมย์ต่าง ๆ ทว่าชาวมุสลิมมลายูที่นี่ยังคงปฏิบัติตามหลักศาสนาอย่างเคร่งครัด มีโรงเรียนสอนศาสนา จึงทำให้ชุมชนมุสลิมมลายูแห่งนี้ยังคงอยู่กันอย่างปรกติสุข โดยยึดตามหลักคำสอนของศาสนาอิสลามที่กล่าวไว้ว่า “มุสลิมคือพี่น้องกัน เปรียบประดุจเรือนร่างเดียวกัน หากส่วนหนึ่งส่วนใดเจ็บ ส่วนอื่นก็เจ็บด้วย” ทำให้ชาวมุสลิมตลอดแนวคลองแสนแสบมีความสามัคคีกลมเกลียวและช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่ไม่ขาด ตลอดแนวคลองแสนแสบ ประกอบด้วยชุมชนมุสลิมมลายูปัตตานี-ไทรบุรี จำนวนมาก ความเปลี่ยนแปลงของชาวมลายูพลัดถิ่น เป็นเวลานับร้อยปีที่ชาวมลายูมุสลิมได้ย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ และสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้วัฒนธรรมดั้งเดิมเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะภาษาพูด ซึ่งในส่วนของชุมชนสุเหร่าบ้านดอน คุณมนตรีกล่าวว่าที่โรงเรียนสุเหร่าบ้านดอน (โรงเรียนมิฟตาฮุ้ลอุลูมิดดีนียะห์) ยังคงมีการฝึกสอนภาษามลายูทั้งการอ่านและการเขียน เพื่อให้วัฒนธรรมทางภาษานั้นมีการสืบทอดไปยังคนรุ่นลูกรุ่นหลาน ขณะที่คุณศุกรีย์กล่าวว่าสังคมมลายูบางกอกมีหลายสิ่งที่เลือนหายไป เช่น การรำกระบี่กระบอง ซึ่งมีพื้นฐานจากการซ้อมรบของบรรดาไพร่พลให้มีความพร้อมอยู่เสมอ มีการนำมาปรับท่วงท่าให้มีความสวยงามคล้ายการร่ายรำ รวมถึงการเล่นนาเสบซึ่งพัฒนามาจากการขับลำนำสดุดีองค์พระศาสดา โดยมีเครื่องเคาะประกอบจังหวะ เป็นต้น เดิมสิ่งเหล่านี้เป็นการผสมผสานระหว่างความเป็นอิสลามที่มีมานับพันปีกับวัฒนธรรมท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ บางอย่างหากไม่ขัดกับความเชื่อตามหลักศาสนาก็ยังคงปฏิบัติกันอยู่ ทว่าต่อมาเมื่อมีชุดความรู้ใหม่ที่มองว่าการกระทำสิ่งเหล่านี้ผิดหลักศาสนา ไม่ควรนำมาปฏิบัติ จึงเกิดการปะทะกันระหว่าง ๒ แนวคิด ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหามากขึ้น กิจกรรมหลายอย่างจึงหยุดและเลิกไปในที่สุด ซึ่งเรื่องนี้ตามทัศนะของคุณมนตรีมองว่า เนื่องจากปัจจุบันมีการเดินทางไปร่ำเรียนจากประเทศมุสลิมอาหรับ และมองวิถีปฏิบัติที่เคยทำกันมาเป็นสิ่งบิดเบือน วิถีปฏิบัติต่างจากประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดศาสนาจึงปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ หากมองในแง่ของการป้องปราม การเล่นกระบี่กระบองเมื่อพิจารณาตามยุคสมัยก็ดูจะล่อแหลมต่อการผิดหลักศาสนา เพราะมีการไหว้ครู ดังนั้นนักวิชาการรุ่นใหม่จึงปฏิเสธและมองว่าเป็นการป้องกัน เช่นเดียวกับการเล่นนาเสบซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนาขึ้นมาก มีเครื่องดนตรีหลายหลาก ใช้ภาษาและท่วงท่าไม่เหมาะสม อันอาจทำให้เกิดการหลงลืมต่อการปฏิบัติศาสนกิจและหลักศรัทธาของพระผู้เป็นเจ้า เพราะฉะนั้นดนตรีจึงเป็นสิ่งต้องห้ามของชาวมุสลิม แต่อย่างไรก็ตามในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซียยังคงมีการเล่นนาเสบกันอยู่ ซึ่งนักวิชาการต่างมองสิ่งนี้กันหลากหลายแง่มุม บ้างบอกว่าเล่นนาเสบไม่ได้ บ้างก็ว่าให้พิจารณาเนื้อหาและขึ้นอยู่กับความเหมาะสม เป็นต้น ถึงที่สุดแล้วการเปลี่ยนแปลงของสังคมมลายูในปัจจุบัน วิทยากรทั้งสองท่านต่างมองว่าควรพิจารณาในรายละเอียดว่าสิ่งใดเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม และสิ่งนั้นมีเจตนาอย่างไรเป็นสำคัญ ซึ่งน่าจะเป็นทางออกที่ดีให้กับความขัดแย้งเกี่ยวกับแนวทางความคิด และยังเป็นการเปิดช่องทางให้เกิดการพัฒนาอย่างสร้างสรรค์ต่อไปในอนาคตด้วย ณัฐวิทย์ พิมพ์ทอง อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ภาพถ่ายเขาพระวิหารจากฟิล์มเก่าประมาณปี ๒๕๑๘ โดย อ.ศรีศักร วัลลิโภดม
เผยแพร่ครั้งแรก 18 เม.ย. 2561
- คลองสาน : ที่เป็นมาและเปลี่ยนไป
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มิ.ย. 2558 ย่านคลองสาน เป็นพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีความสำคัญมาตั้งแต่อดีต ถือเป็นย่านการค้าและอุตสาหกรรมที่มีความหลากหลายมากแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร ถึงแม้ว่าปัจจุบันสภาพของย่านคลองสานจะเปลี่ยนแปลงไปอันเนื่องมาจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย แต่ร่องรอยความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและสังคมที่ประกอบด้วยผู้คนหลายชาติพันธุ์ยังคงปรากฏให้เห็นผ่านสถานที่ต่าง ๆ และในความทรงจำของคนในย่านที่ใช้ชีวิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ขณะเดียวกันการพัฒนาและความเปลี่ยนแปลงยังคงไม่หยุดนิ่ง เนื่องด้วยมูลค่าของพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีศักยภาพอย่างยิ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว เป็นสิ่งที่ชวนให้คิดถึงอนาคตของคลองสานและวิถีชีวิตของคนในย่านว่าจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงระลอกใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นได้อย่างไร บรรยากาศในอดีตของย่านคลองสาน ริมแม่น้ำเจ้าพระยา จะเห็นเรือขนส่งสินค้าจอดกันหนาแน่น จากประเด็นดังกล่าวนี้ จึงเป็นที่มาของการเสวนาในโครงการบางกอกศึกษาครั้งที่ ๒ เรื่อง “คลองสาน : ที่เป็นมาและเปลี่ยนไป” จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ณ ห้องประชุมหลวงวิเชียรแพทยาคม สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา การเสวนาเป็นการร่วมพูดคุยกันระหว่างคนภายในซึ่งเป็นคน ๒ รุ่นที่มองเห็นภาพอดีตของคลองสานในยุคสมัยที่แตกต่างกัน ได้แก่ คุณชุณห์ คชพัชรินทร์และคุณสมบูรณ์ ศรีศุภภักดี และคนจากภายนอกคือ รศ.ดร.นิรมล กุลศรีสมบัติ อาจารย์ประจำภาควิชาวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UddC) ที่มาร่วมแลกเปลี่ยนถึงมุมมองในด้านการพัฒนาพื้นที่ริมน้ำและความสำคัญของภาคประชาชนในการวางแผนพัฒนาพื้นที่เมือง จากการเสวนาพบว่ามีหลายประเด็นที่น่าสนใจและสามารถถ่ายทอดให้เห็นสภาพความเปลี่ยนแปลงของย่านคลองสานตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และความเป็นไปได้ในอนาคต ดังนี้ ภาพจำ ‘คลองสาน’ ผู้คนและย่านการค้าริมน้ำ “เมื่อสมัยที่ผมเด็ก ๆ คลองสานเป็นอำเภอที่เล็กก็จริง แต่พูดถึงในระดับเศรษฐกิจของประเทศ คลองสานของเราไม่แพ้สำเพ็ง อีกทั้งสำเพ็งเขาค้าขายปลีกย่อย ซึ่งวงเงินจะสู้ทางคลองสานไม่ได้” คุณชุณห์ คชพัชรินทร์ วัย ๗๘ ปี ผู้เติบโตขึ้นมาในย่านคลองสานและเป็นอดีตเจ้าของบริษัทใช่เฮงหลี ซึ่งเป็นบริษัทค้าของป่า กล่าวยืนยันถึงความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของคลองสานในอดีตเพราะเมื่อนึกถึงย่านเศรษฐกิจที่เก่าแก่ของกรุงเทพฯ คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงย่านการค้าในฝั่งพระนครเป็นหลัก เช่น ย่านเยาวราช สำเพ็ง ราชวงศ์ ทรงวาด แต่ขณะเดียวกันเมื่อข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามายังฝั่งธนบุรี พบว่ามีย่านการค้าเก่าแก่อยู่มากมายเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะย่านคลองสานเลยไปจนถึงท่าดินแดง ถือเป็นย่านการค้าและอุตสาหกรรมที่สำคัญมากแห่งหนึ่ง ตลอดริมฝั่งแม่น้ำเป็นสถานที่ตั้งของโรงสีข้าว โรงงานต่าง ๆ รวมถึงโกดังเก็บสินค้าขนาดใหญ่ คุณชุณห์ได้เล่าถึงโรงงานและบริษัทต่าง ๆ ที่เคยตั้งเรียงรายอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา นับตั้งแต่ทางฝั่งด้านซ้ายของสะพานพุทธ ฝั่งธนบุรี ซึ่งเป็นเขตคลองสาน เรื่อยไปถึงท่าดินแดง ดังนี้ บริเวณพื้นที่อุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนคริทราบรมราชชนนี เดิมเป็นที่ดินของคุณเล็ก นานา ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจนำเข้าส่งออก บริเวณที่ดินดังกล่าวเดิมมีชุมชนอยู่กันอย่างหนาแน่น ทั้งมุสลิมและคนจีน ใกล้ ๆ กับที่ดินของตระกูลนานา ตรงบริเวณเชิงสะพานพุทธ เป็นที่ตั้งของชุมชนชาวจีนไหหลำ ตรงนั้นมี ร้านกวงหลี ซึ่งจะมีเรือที่บรรทุกของป่า เช่น สมุนไพร หนังสัตว์ เป็นต้น และสินค้าต่าง ๆ มาจอดที่นี่ตั้งแต่ช่วงเช้ามืด คนที่ต้องการจะซื้อต้องพายเรือไปตั้งแต่ตี ๓ เพื่อไปผูกจองสินค้าที่ต้องการ โดยใช้เชือกไปผูกที่เรือลำต่าง ๆ เป็นสัญลักษณ์ไว้ จากนั้นจึงนั่งดื่มกาแฟไหหลำรอเวลาจนถึงรุ่งเช้าราว ๘ โมง จึงนำเรือยนต์มาลากเรือพ่วงกลับไปที่บริษัทหรือโกดังของตนเอง นอกจากจีนไหหลำแล้ว ย่านคลองสานยังมีพวกจีนแต้จิ๋ว มาทำการค้าขายและพวกฮกเกี้ยนมาเปิดกิจการค้าข้าว ซึ่งต้องการแรงงานกุลีเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้บริเวณดังกล่าวยังมีมัสยิดตึกแดง ซึ่งเป็นของมุสลิมกลุ่มเชื้อสายอินเดียและกลุ่มที่มาจากไทรบุรีที่เข้ามาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น และในบริเวณใกล้เคียงกันเป็นที่ตั้งของ โรงชัน ทำการผลิตชันผงและน้ำมันยาง ซึ่งเป็นยางไม้ที่ใช้สำหรับอุดรอยรั่วของเรือ ในย่านนี้มีอยู่ ๒ โรงด้วยกัน ถัดไปจากมัสยิดตึกแดงมีศาลเจ้ากวนอูและบริเวณใกล้เคียงกันมี โรงน้ำปลาทั่งง่วนฮะ ซึ่งเป็นโรงน้ำปลาเก่าแก่ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเช่นกัน มีชาวจีนเป็นเจ้าของกิจการถัดไปมี โรงเกลือ ที่รับเกลือเม็ดมาจากจังหวัดสมุทรสงครามและสมุทรสาคร ส่วนหนึ่งนำมาใช้ในอุตสาหกรรมทำหนังสัตว์ และส่วนหนึ่งนำมาล้างให้สะอาด เข้าเครื่องโม่บดละเอียด บรรจุกระสอบส่งขายทั้งในและต่างประเทศ คุณชุณห์ คชพัชรินทร์ และคุณสมบูรณ์ ศรีศุภภักดี วิทยากรในงานเสวนา โดยมีคุณสุดารา สุจฉายา เป็นผู้ดำเนินรายการ ถัดไปเป็น แถบตึกขาว บริเวณนั้นมีท่าเรือ โรงสีข้าวขนาดใหญ่ และมีมัสยิดเซฟีหรือมัสยิดตึกขาว โดยรอบเป็นชุมชนของพวกกลุ่มแขกตึกขาวที่เป็นพ่อค้าชาวอินเดียที่เข้ามาในช่วงรัชกาลที่ ๕ ต่อมาทรัพย์สินที่ดินบางส่วนได้ขายให้ บริษัทเซ่งกี่ ทำเป็นโกดังเก็บสินค้า ที่ดินของพวกเซ่งกี่จึงมีอาณาบริเวณกว้างขวางมากยาวไปจรดถึงตรอกช่างนาก โกดังเซ่งกี่ทำเป็นอาคารสองแถวยาวขนานกัน เปิดเช่าให้พวกที่ค้าของป่า สมุนไพร หนังสัตว์ ซึ่งในบริเวณย่านคลองสานในอดีตมีบริษัทย่อย ๆ ที่ทำธุรกิจค้าของป่าอยู่เป็นจำนวนมาก รวมถึงย่านท่าดินแดงด้วยที่มีบริษัทค้าขายพวกครั่ง นุ่น มะขาม เป็นต้น มีโรงเก็บเครื่องยาสมุนไพร ปลาทูตากแห้ง โรงเลื่อยไม้ที่กิจการส่วนหนึ่งเป็นการผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อบรรจุหนังสัตว์ส่งไปขายยังต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีโรงนึ่งปลาทูและปลาชนิดต่าง ๆ ที่คนจีนนิยมไปซื้อมารับประทานเป็นอาหารเช้า จุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลง “คลองสานเป็นเมืองปิด” คำจำกัดความสั้น ๆ ที่คุณสมบูรณ์ ศรีศุภภักดี ประธานชุมชนตรอกช่างนาก–สะพานยาว วัย ๕๒ ปี ผู้เกิดและเติบโตขึ้นมาในย่านคลองสาน ใช้อธิบายคลองสานในยุคที่เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลง เดิมทีคลองสานเจริญเติบโตขึ้นเป็นแหล่งการค้าขนาดใหญ่ได้เพราะทำเลที่ตั้งริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่เอื้อประโยชน์ต่อการขนส่งสินค้าของบริษัทและโกดังสินค้าต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีคลองสาขาที่เชื่อมต่อระไปยังพื้นที่ต่าง ๆ คลองสำคัญ ในย่านคลองสาน เช่น คลองตลาดบ้านสมเด็จ เดิมเป็นคลองขนาดใหญ่ที่เข้ามาถึงวัดพิชัยญาติได้ โดยเรือต่าง ๆ สามารถเข้ามาได้โดยสะดวก สมัยก่อนมีด่านเก็บภาษีอากรอยู่ที่ปากคลองแห่งนี้ด้วย และยังเคยมี สะพานหัน ที่มีลักษณะอย่างสะพานหันที่ปากคลองโอ่งอ่าง ฝั่งพระนคร เช่นเดียวกับที่มาของชื่อตรอกสะพานยาว เพราะสมัยก่อนบริเวณนั้นยังเป็นเรือกสวนเก่า เวลาเดินจะต้องผ่านร่องสวนของบ้านต่าง ๆ และบริเวณนี้เคยมีลำคลองอยู่ด้วย จึงมีการสร้างสะพานไม้เป็นทางเดินของคนในชุมชน เริ่มตั้งแต่ที่กิ่งอำเภอคลองสาน ตรงวัดทองล่างหรือวัดทองนพคุณ ทำเชื่อมต่อไปถึงแถววัดกัลยาณมิตร จากความสำคัญของแม่น้ำลำคลองที่เป็นเส้นทางคมนาคมหลักในอดีต คนรุ่นก่อนจึงมักได้ยินคำโบราณที่บอกว่า “ลูกรักให้ที่ใกล้น้ำ ลูกชังให้ที่ปลายน้ำ” เพราะที่ดินใกล้น้ำย่อมสร้างประโยชน์และมูลค่าได้มากกว่าที่ที่อยู่ลึกเข้าไปไกลจากแม่น้ำลำคลอง อย่างไรก็ตาม บ้านเมืองย่อมมีการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง เพียงแต่ว่าการพัฒนานั้นอาจจะไม่สอดรับกับสภาพสังคมวิถีชีวิตที่มีมาแต่เดิม ย่านคลองสานก็เช่นเดียวกันที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพของบ้านเมืองและสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาระบบการคมนาคมทางบกที่เข้ามามีบทบาททดแทนแม่น้ำลำคลอง ทำให้กิจการห้างร้านต่าง ๆ ที่เคยอาศัยแม่น้ำลำคลองเป็นเส้นทางลำเลียงสินค้าต่างพากันซบเซาไป ขณะที่ถนนตรอกซอยต่าง ๆ ที่เข้ามาถึงคลองสานก็ขาดการวางผังเมืองที่ดี ทำให้พื้นที่ริมน้ำจำนวนไม่น้อยกลายเป็นพื้นที่ปิดที่รถยนต์ไม่สามารถเข้าถึงได้จนไม่สามารถใช้ประโยชน์จากที่ดินได้เต็มศักยภาพ การพัฒนาเส้นทางคมนาคมทางบกในย่านคลองสานเริ่มมาก่อนยุคการเกิดถนนหนทางคือ การสร้างสถานีรถไฟปากคลองสาน ในอดีตนั้นใช้เป็นสถานีต้นทางรถไฟสายแม่กลอง เริ่มเปิดทำการในสมัยรัชกาลที่ ๕ แต่ต่อมาทางรถไฟช่วงปากคลองสานถึงวงเวียนใหญ่ถูกยกเลิกไปเมื่อปี ๒๕๐๔ ในสมัยรัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จนปัจจุบันไม่หลงเหลือสภาพเดิมอีกแล้ว การเข้ามาของรถไฟนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากนัก นอกจากเป็นการเพิ่มทางเลือกในการเดินทางไปยังตลาดแม่กลองและใช้ลำเลียงสินค้า เช่น ปลา ของทะเล เป็นต้น นอกจากนี้คุณชุณห์ยังเล่าให้ฟังอีกว่าเดิมสองข้างทางรถไฟเป็นสวนผลไม้นานาชนิด จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่คือ การตัดถนนประชาธิปก หลังจากการสร้างสะพานปฐมบรมราชานุสรณ์หรือสะพานพุทธ ที่เริ่มต้นจากวงเวียนใหญ่ผ่านสี่แยกบ้านแขกตัดกับถนนอิสรภาพ ข้ามคลองสมเด็จเจ้าพระยา ผ่านวงเวียนเล็ก ตัดกับถนนอรุณอมรินทร์ตัดใหม่และถนนสมเด็จเจ้าพระยาในพื้นที่คลองสาน ทำให้การพัฒนาต่าง ๆ หันหน้าออกสู่ถนน ขณะที่คลองสายเล็กสายน้อยต่าง ๆ จำนวนมากถูกถมไป ส่วนที่เหลืออยู่ไม่ได้มีการดูแลรักษาที่ดี แม้กระทั่งคลองสมเด็จเจ้าพระยาที่เป็นคลองสำคัญก็อยู่ในสภาพเสื่อมโทรม เช่นเดียวกับการป้องกันน้ำท่วมโดยการสร้างเขื่อน ทำนบ ประตูน้ำ เท่ากับเป็นการตัดเส้นทางคมนาคมของเรือสินค้าต่าง ๆ ทำให้โรงงานริมน้ำหลายแห่งที่เคยอาศัยประโยชน์จากเส้นทางน้ำได้รับผลกระทบตามกันไป เช่น โรงเกลือต่าง ๆ ที่กิจการซบเซาลง เพราะเรือเกลือไม่สามารถวิ่งไปมาได้ เส้นทางที่เคยใช้ถูกตัดขาดทั้งหมด และไม่มีถนนขนาดใหญ่เพียงพอที่จะนำรถบรรทุกเข้าไปถึงยังโรงงานที่อยู่บริเวณพื้นที่ริมน้ำได้ เช่นเดียวกับโรงงานหนังที่ต้องย้ายออกไปด้วยข้อกำหนดเรื่องสุขลักษณะของชุมชน แต่ปัจจุบันที่โกดังเซ่งกี่ยังมีผู้เช่าเพื่อใช้เก็บเครื่องเทศ สมุนไพร และของป่า เช่น หนังวัวควาย รังนก ฯลฯ อนาคต ‘คลองสาน’ “การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่พวกเราโดยเฉพาะคนที่อยู่ในพื้นที่ จะสามารถกำกับความเปลี่ยนแปลงให้เป็นประโยชน์แก่คนในชุมชนได้อย่างไร?” รศ. ดร. นิรมล กุลศรีสมบัติ ผู้อำนวยการศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UddC) ได้กล่าวถึงโจทย์จากการพัฒนาที่คนในย่านต้องเตรียมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงระลอกใหม่ เนื่องด้วยฝั่งธนบุรีนั้นเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงมากในการพัฒนา เช่นเดียวกับในย่านกะดีจีนและคลองสานที่เป็นย่านเก่าแก่ริมแม่น้ำด้วย อย่างไรก็ตามมีความแตกต่างเรื่องการถือครองที่ดินในย่านกะดีจีนและคลองสาน คือย่านกะดีจีนนั้น ที่ดินส่วนใหญ่เป็นของศาสนสถานซึ่งเป็นเครื่องช่วยการันตีได้ในส่วนหนึ่งว่าจะไม่มีการพัฒนาที่สร้างความเปลี่ยนแปลงมากนัก เมื่อเทียบกับทางฝั่งคลองสานที่ที่ดินส่วนใหญ่เป็นของเอกชน จากการทำงานด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูย่านประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน อาจารย์นิรมลได้ชี้ให้เห็นว่า คุณค่าทางประวัติศาสตร์ของย่านเก่าจะสมบูรณ์ได้ถ้ามีหลักฐานทางกายภาพมาช่วยยืนยัน เหตุนี้จึงทำให้เกิดแนวคิดเรื่องการอนุรักษ์โบราณสถานต่าง ๆ เพื่อให้ภาพความทรงจำทางประวัติศาสตร์มีความชัดเจนขึ้น แต่เรื่องการอนุรักษ์ให้คงอยู่นั้นเป็นเพียงปัจจัยส่วนหนึ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการวางแผนพัฒนาให้สอดคล้องกับสภาพวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป โดยไม่ทำลายมรดกวัฒนธรรมดั้งเดิม ตัวอย่างที่ดีเรื่องการวางผังเมืองที่ผสมผสานระหว่างการดำเนินชีวิต วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมที่ดีมากคือในพื้นที่ย่านเก่า เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ที่สามารถออกแบบผังเมืองและปรับทัศนียภาพได้อย่างกลมกลืน ถือเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างพลังในจิตใจคนและสำนึกหวงแหนถิ่นที่อยู่ กรุงเทพมหานครมอบหมายให้ ศูนย์ออกแบบพัฒนาเมือง (UddC) ทำการศึกษาวิจัยเพื่อวางแผนการออกข้อบัญญัติท้องถิ่นเพื่อการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรม โดยมุ่งเน้นที่การมีส่วนร่วมของคนในภาคส่วนต่าง ๆ ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นว่ามีข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับผังเมือง ดังนี้ ๑. ผังเมืองรวม เป็นผังที่ควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินในลักษณะที่มองเป็นภาพใหญ่ โดยมุ่งเน้นที่เรื่องความหนาแน่นของการใช้ประโยชน์ที่ดิน การประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละพื้นที่ เช่น โรงงาน โรงฆ่าสัตว์ เป็นต้น ดังนั้นจึงเป็นการมุ่งไปที่เศรษฐกิจ สวัสดิภาพและสาธารณสุขของผู้อยู่อาศัยมากกว่าการให้คุณค่าด้านการอนุรักษ์ ๒. ข้อบัญญัติท้องถิ่น เป็นสิ่งที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครสามารถทำได้เลย ซึ่งสามารถครอบคลุมไปถึงเรื่องการอนุรักษ์ การสร้างออกแบบอาคารและทัศนียภาพภายในพื้นที่ ๓. การขึ้นทะเบียนโบราณสถาน โดยกรมศิลปากร ดังเช่นที่ย่านคลองสานมีโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนแล้วอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น วัด ป้อมป้องปัจจามิตร ฯลฯ ซึ่งต่อไปจำเป็นที่จะต้องออกข้อบัญญัติท้องถิ่นขึ้นมารองรับเพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดเรื่องการอนุรักษ์โบราณสถานที่ขึ้นทะเบียน สภาพคลองสมเด็จเจ้าพระยาในอดีต สำหรับกระบวนการศึกษาวางแผนเพื่อออกข้อบัญญัติท้องถิ่นโดยทางศูนย์ออกแบบพัฒนาเมืองมีทั้งในระดับกว้างคือกรุงเทพมหานคร และระดับเขตที่เป็นพื้นที่นำร่องคือย่านกะดีจีนและคลองสาน ที่ผ่านมาได้มีการทำ Workshop ร่วมกับกลุ่มต่าง ๆ เพื่อนำข้อคิดเห็นมานำเสนอในโครงการ มุ่งเน้นไปที่การมองภาพยาวถึงอนาคตของย่านโดยเชิญตัวแทนจากภาคส่วนต่าง ๆ อาทิเช่น ผู้นำทางศาสนา, ครูอาจารย์, ข้าราชการจากสำนักงานเขตและหน่วยงานราชการในพื้นที่ ตัวแทนชุมชน องค์กรภาคประชาสังคมและภาคเอกชนและนักพัฒนาที่ดินที่กำลังมีบทบาทอย่างสูงต่อย่านในปัจจุบัน ผลจากการพูดคุยร่วมกันพบว่าภาคส่วนต่าง ๆ เห็นตรงกันว่ามรดกวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่มีคุณค่าต้องรักษาไว้ แต่ขณะเดียวกันอนาคตของคลองสานจะพลิกโฉมหน้าเปลี่ยนไปจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง ทั้งการอพยพเข้ามาของประชากร การพัฒนาการขนส่งมวลชนระบบรางที่กำลังเข้ามาสู่ย่านคลองสาน นำมาสู่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น สิ่งที่คนในรุ่นปัจจุบันต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนคือการตั้งกฎกติการ่วมกันเพื่อกำหนดการพัฒนาของย่านให้เป็นไปในทิศทางที่ไม่ใช่การทำลายอัตลักษณ์ของตนเอง โดยนำภาพความรุ่งเรืองในอดีตมาใช้เป็นบทเรียนและเพื่อสร้างพลังร่วมกันให้คนในท้องถิ่น อภิญญา นนท์นาท อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ศาลเจ้าเซี้ยอึ้งกง ศาลเจ้าหลักเมืองในย่านสำเพ็ง
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ย. 2558 ในกลุ่มศาลเจ้าจีนที่ตั้งอยู่บริเวณย่านทรงวาดและสำเพ็งศาลเจ้าเซี้ยอึ้งกงหรือศาลเจ้าหลักเมืองตั้งอยู่ตรงตรอกชัยภูมิ ถือว่าเป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่มีความเก่าแก่และมีคติความเชื่อที่น่าสนใจแตกต่างจากศาลเจ้าอื่น ๆ ในย่านนั้น ทั้งที่เป็นความสำคัญในฐานะเทพเจ้าหลักเมืองของชาวจีนในย่านสำเพ็งและคติความเชื่อที่เกี่ยวของกับความตาย ตรอกชัยภูมิ เป็นตรอกเล็ก ๆ อยู่ทางด้านข้างศาลเจ้าเล่าปุนเถ่ากงและโรงเรียนเผยอิง เชื่อมต่อระหว่างถนนทรงวาดกับซอยวานิช ๑ ภายในตรอกมีชุดอาคารห้องแถว ซึ่งเป็นอาคารเก่าที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ เรียกกันว่า "ตึกสิบห้อง" มีความโดดเด่นที่ลวดลายไม้แกะสลักประดับอาคารที่ยังคงหลงเหลืออยู่ จากคำบอกเล่าของคุณมนตรี สุขกมลสันติพร ผู้ดูแลศาลเจ้าหลักเมืองและคนเก่าแก่ในชุมชนมิตรชัยภูมิกล่าวว่า เดิมตรอกชัยภูมิมีชื่อเรียกที่รู้จักโดยทั่วไปว่าตรอกแดง ก่อนที่จะมาเปลี่ยนชื่อเป็นตรอกชัยภูมิภายหลัง คำเรียก ตรอกแดง นั้น ยังปรากฎอยู่ในแผนที่เก่าที่ค้นได้จากหอสมุดแห่งชาติ ซึ่งเป็นแผนที่แสดงอาณาเขตของศาลเจ้าเก่าหรือศาลเจ้าเล่าปุ่นเถ่าถง ก่อนมีการตัดถนนทรงวาด จากคำบอกเล่าถึงประวัติและความสำคัญของตรอกแดงพบว่ามีความเกียวข้องกับ "เจ้าสัวติก" คหบดีชาวจีนแต้จิ๋ว ซึ่งมีบ้านอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาถัดจากท่าน้ำศาลเจ้าเก่า ซึ่งน่าจะเป็นบริเวณตรอกเจ้าสัวติกล้ง ริมถนนทรงวาดในปัจจุบันคนเก่าแก่ในชุมชนมิตรชัยภูมิยังคงบอกเล่าเรื่องราวของการเข้ามาตั้งถิ่นฐานของกลุ่มชาวจีนภายในชุมชนว่า เจ้าสัวติกได้อุปถัมป์และจัดสรรที่อยู่ให้กลุ่มคนจีนโพ้นทะเลที่มาจากตำบลเดียวกัน ให้มาตั้งหลักแหล่งอยู่บริเวณตรอกแดง ภายหลังจากเหตุเพลิงไหม้ใหญ่ในตำบลสำเพ็งเมื่อรา ร.ศ.๑๒๕ หรือ พ.ศ.๒๔๔๙ ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นเหตุให้มีการตัดถนนทรงวาดขึ้น และในช่วงเวลาเดียวกันนี้เจ้าสัวติกได้ขอพระราชทานที่ดินสร้างอาคารตึกแถวภายในตรอกแดง และแบ่งที่ดินส่วนหนึ่งสร้างเป็นศาลเจ้าเล็ก ๆ เพื่อประดิษฐานเทพเจ้าหลักเมืองหรือเซี้ยอึ้งกงที่อัญเชิญมาจากเมืองจีน ชุดอาคารเก่าภายในตรอกชัยภูมิ สร้างขึ้นสมัยรัชกาลที่ ๕ เทพเจ้าหลักเมืองเป็นเทพประธานของศาลทำเป็นเทวรูปแต่งกายแบบขุนนางจีนโบราณ และมีเทพบริวารขนาบข้างอยู่ซ้ายขวา นอกจากนี้ายในศาลยังเป็นที่เก็บรักษาระฆังโบราณที่มีจารึกปีศักราชกษัตริย์เต้ากวงปีที่ ๒๒ แห่งราชวงศ์เซ็งอีกด้วย คุณสมชัย กวางทองพาณิชย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องวัฒนธรรมจีน และเป็น "คนใน" ที่มีความสนใจศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นภายในย่านสำเพ็งและพื้นที่ใกล้เคียง ได้แสดงความเห็นเรื่องศาลเจ้าเซี้ยอึ้งกงว่าในเมืองจีนจะมีการตั้งศาลเจ้าหลักกเมืองขึ้นบริเวณข้างกำแพงเมืองหรือคูเมือง บริเวณที่เป็นทางเข้าออกเมืองจะต้องผ่านศาลหลักเมืองนี้เพื่อเป็นการขออนุญาต ความสำคัญของศาลเจ้าหลักเมืองในคติความเชื่อของชาวจีนยังเกี่ยวข้องกับความตายอีกด้วย คือมีความเชื่อว่าเทพเจ้าหลักเมืองมีหน้าที่ควบคุมการเข้าออกของดวงวิญญาณ หากมีผู้เสียชีวิตจะต้องมาไหว้เพื่อแจ้งบอกกล่าวองค์เทพหลักเมืองให้ทราบก่อนทุกครั้ง ก่อนที่จะมีการเคลื่อนย้ายนำศพไปฝัง สำหรับศาลเจ้าเซี้ยอึ้งกงแห่งนี้มีคติความเชื่อเช่นเดียวกันเมื่อมีคนที่อาศัยในบริเวณย่านนี้เสียชีวิตไป ลูกหลานจะต้องมาไหว้แจ้งบอกกล่าวต่อเทพเจ้าเพื่อให้ช่วยคุ้มครองดวงวิญญาณ ซึ่งยังคงเป็นประเพณีปฏิบัติที่ยึดถือมาถึงปัจจุบัน นอกจากนี้คุณสมชัยยังแสดงความเห็นว่าจากความสำคัญของศาลเจ้าหลักเมือง อาจจะเป็นองค์ประกอบหนึ่งแสดงถึง "ความเป็นเมือง" ของย่านสำเพ็งในมโนทัศน์ของชาวจีนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในย่านนี้ เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ของสภาพพื้นที่ลำคลอง ตรอก และศาลเจ้าสำคัญ พบว่าจากบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นไป จุดสำคัญที่เป็นประธานของเมืองคือ ศาลเจ้าเล่าปุนถ่างกง ซึ่งเป็นศาลเจ้าใหญ่และเก่าแก่ของกลุ่มชาวจีนแต้จิ๋ว ดังที่มีเรื่องเล่ากันว่า สมัยก่อนคณะงิ้วที่เดินทางมาจากเมืองจีน จะต้องขึ้นมาถวายที่ศาลเจ้าเล่าปุนเถ่ากงเป็นเวลา ๑ คืน ก่อนที่จะเดินทางไปแสดงยังที่อื่นได้ เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของศาลเจ้าเล่าปุนเถ่ากงว่าไม่ใช่เฉพาะคนในพื้นที่เท่านั้นที่ให้ความศรัทธาหากแต่รวมถึงกลุ่มคนจีนที่เข้ามาใหม่ด้วย "เซี้ยอึ้งกง" เทพประธานภายในศาลเจ้า ในอดีตศาลเจ้าเล่าปุนเถ่ากง ถูกขนาบข้างด้วยคลองสำคัญคือครองมังกรและครองโรงกระทะ ปัจจุบันถูกถมเป็นถนนมังกรและถนนเยาวพานิช และมีตรอกโรงโคม (เต็งลั้งโกย) เป็นเส้นทางสัญจรสำคัญที่เป็นเสมือนแกนหลักของย่านในยุคก่อนตัดถนนสายต่าง ๆ ตรอกโรงโคมเป็นเส้นทางเชื่อมจากทางจากท่าน้ำศาลเจ้าเก่า (ศาลเจ้าเล่าปุนเถ่ากง) เข้าไปสู่ตลาดเก่า ผ่านศาลเจ้าเล่งบ๊วยเอี๊ยะ ไปถึงศาลเจ้าปอเต็กตึ๊งที่ย่าพลับพลาไชย จากสภาพพื้นที่ของย่านสำเพ็งดังกล่าวนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงภาพความเป็นเมืองขนาดย่อม ๆ ดังนั้นการตั้งศาลเจ้าหลักเมืองขึ้นในบริเวณนี้ จึงน่าจะเป็นสิ่งที่เน้นย้ำถึงแนวคิดดังกล่าวด้วยก็เป็นได้ นอกจากนี้ศาลเจ้าเซี้ยอึ้งกงยังมีคติความเชื่อที่เป็นเรื่องเฉพาะของท้องถิ่นอีกด้วย จากคำบอกเล่าของคุณวิเชียร สุขกมลสันติพร เจ้าของเตียท่งเซ้ง ร้านทำซาลาเปาและขนมมงคลที่สืบทอดมาถึง ๓ รุ่นภายในตรอกชัยภูมิ กล่าวว่าบางคนเรียกศาลเจ้าแห่งนี้ว่า "ศาลเจ้าขี้ยา" เพราะสมัยก่อนคนนิยมนำฝิ่นมาเป็นเครื่องแก้บน ให้เทพบริวารของเทพเซี้ยอึ้งกง เพราะเชื่อกันว่าเทพบริวารทั้ง ๒ องค์มีหน้าที่ช่วยรับดวงวิญญาณซึ่งต้องทำงานตลอดทั้งวันทั้งคืน จึงต้องนำฝิ่นมาถวายเพราะคิดว่าฝิ่นเป็นยาที่ช่วยให้กระปรี้กระเปร่า ดังนั้นผู้ที่มาบนบานขอให้หายโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อมาแก้บนจะนำฝิ่นมาป้ายที่ปากของรูปเคารพบริวารทั้ง ๒ องค์ในยุคที่ฝิ่นกลายเป็นของผิดกฎหมายจึงเปลี่ยนเครื่องแก้บนเป็นบุหรี่ กาแฟดำ หรือชาร้อนตามสมควร การนำฝิ่นมาเป็นเครื่องก้บนบานศาลเก่านั้นยังปรากฏว่าเป็นความเชื่อที่พบในศาลเจ้าจีนแห่งอื่น ๆ อีกด้วย เพราะโรงฝิ่นถือว่าเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่นิยมในกลุ่มแรงงานชาวจีน ดังจะเห็นได้ว่าหากที่ใดมีชุมชนชาวจีน ย่อมเคยมีโรงฝิ่นเกิดขึ้นควบคู่กันเสมอ สมัยก่อนที่ตรอกแดงหรือตรอกมิตรชัยภูมิยังเคยเป็นที่ตั้งของโรงยาฝิ่น รวมถึงแหล่งเริงรมย์สำหรับบุรุษ ซึ่งแหล่งที่เกิดขึ้นชื่อภายในตรอกชัยภูมิคือ "กิมเทียนเหลา" โรงโสเภณีที่มีหญิงสาวชาวจีนกวางตุ้งคอยให้บริการ อย่างไรก็ตามแหล่งเริงรมย์ดังกล่าวได้เลิกราไปตามยุคสมัย ปัจจุบันอาคารต่าง ๆ ภายในตรอกส่วนมากถูกใช้เป็นที่อยู่อาศัยและบางส่วนถูกปรับเป็นโกดังสำหรับเก็บสินค้าของร้านในตลาดสำเพ็ง ในขณะที่ยุคสมัยแปรเปลี่ยน สภาพวิถีชีวิตของผู้คนในย่านสำเพ็งเริ่มเปลี่ยนแปลงตามกันไป แต่ศาลเจ้าเซี้ยอึ้งกงหรือศาลเจ้าหลักเมืองยังคงเป็นศูนย์รวมจิตใจและที่นับถือศรัทธาของคนเชื้อสายจีนในย่านสำเพ็งเรื่อยมา ดังจะเห็นว่าศาลเจ้าหลักเมืองไม่เคยว่างเว้นจากผู้ที่มาสักการบูชา โดยเฉพาะในช่วงวันที่ ๒๕-๒๖ มิถุนายนของทุกปี ซึ่งเป็นงานประเพณีประจำปีไหว้เจ้าพ่อหลักเมือง และในช่วงเทศกาลสำคัญของชาวจีน เช่น ตรุษจีน สารทจีน ทิ้งกระจาด เช่นเดียวกับศาลเจ้าจีนแห่งอื่น ๆ ในบริเวณย่านจีนแห่งนี้ยังคงรักษาความเป็นศูนย์รวมจิตใจของลูกหลานชาวจีนโพ้นทะเลสืบมาจนถึงปัจจุบัน ขอขอบคุณ คุณสมชัย กวางทองพานิชย์, คุณมนตรี สุขกมลสันติพร และคุณวิเชียน สุขกมลสันติพร อภิญญา นนท์นาท อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ความสับสนในที่มาของชื่อ นางเลิ้ง
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ย. 2558 จากคำบอกเล่าของย่าแห แก้วหยก ชาวมอญค้าขายทางเรือแห่งบ้านศาลาแดงเหนือ อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานีผู้ล่วงลับไปแล้วว่า ครอบครัวคนค้าขายทางเรือใช้เรือกระแซงลำใหญ่รับเอาสินค้าเครื่องปั้นดินเผาจากเกาะเกร็ดและบางส่วนจากราชบุรีขึ้นล่องไปขายในระหว่างพื้นที่ภาคกลางตั้งแต่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นไปจนถึงจังหวัดอุตรดิตถ์และพิษณุโลกของที่ขายส่วนใหญ่จะเป็นพวกเครื่องปั้นดินเผาและถ้วยชาม สินค้าอื่น ๆ ก็มีปูนแดง เกลือ กะปิ น้ำปลา ปูเค็ม ปลาเค็ม เต้าเจี้ยว ไตปลา ของแห้งต่าง ๆ ที่ใช้ในครัวเรือน ใส่เรือกระแซงชักใบล่องเรือไปขายคราวละไม่ตำ่กว่า ๓ - ๔ เดือน ปีละ ๒ - ๓ ครั้ง เมื่อคราวคนรุ่นย่ายายยังสาว พวกเครื่องปั้นดินเผาจะไปรับของที่เกาะเกร็ดและบ้านหม้อที่คลองบางตะนาวศรีใกล้ ๆ เมืองนนท์ฯ ส่วนสินค้าของแห้งจะไปจอดเรือแถบสามเสนหรือซังฮี้ แล้วว่าเรือเล็กเข้าไปซื้อแถวคลองบางหลวง ตลาดพลู หรือทางคลองโอ่งอ่างตามแต่แหล่งสินค้าขึ้นชื่อจะมีที่ใด นำไปขายตามรายทางจนถึงปากน้ำโพ เข้าแม่น้ำน่านไปแถวบางโพท่าอิฐที่อุตรดิตถ์ก็มี ส่วนแม่น้ำปิงท้องน้ำเต็มไปด้วยหาดทรายทำให้เดินเรือไม่สะดวกจึงไม่ขึ้นไป บางลำก็แยกที่อยุธยาเข้าไปทางป่าสักขึ้นไปจนถึงแก่งคอยและท่าลานบางรายแยกไปทางลำน้ำลพบุรีเข้าบางปะหัน มหาราช บ้านแพรก บ้านตลุง ลพบุรี วิธีการค้าขายก็จะใช้สินค้าเหล่านี้แลกข้าวเปลือกเป็นหลัก ขากลับจะบรรทุกข้าวเปลือกมาเต็มลำเอาไปขายโรงสีแถวกรุงเทพฯ ในคลองผดุงกรุงเกษมที่มีอยู่หลายเจ้า เรือมอญบ้านศาลาแดงเหนือรุ่นที่ ๓ ไปซื้อโอ่งราชบุรีที่โรงงาน บ้านท่าเสา จังหวัดราชบุรี ถ่ายภาพโดยมาณพ แก้วหยก พ.ศ. ๒๕๓๘ การค้าขายเช่นกันนี้เองที่ทำให้ย่านริมน้ำบริเวณคลองผดุงกรุงเกษม แถบปากคลองเปรมประชากรที่เดินทางออกไปยังพื้นที่นอกเมืองได้สะดวกและอยู่ฝั่งตรงข้ามกับปากคลองวัดโสมนัสฯ และปากครองจุลนาค ที่ใช้ดเส้นทางน้ำไปออกคลองมหานาค ย่านเส้นทางเดินทางสำคัญเพื่อออกนอกเมืองทางฟากตะวันออกได้และเรื่อยมาจนถึงเชิงสะพานเทว กรรมฯ สาวงามและการถ่ายแบบกับตุ่ม "อีเลิ้ง" เรือมอญบ้านศาลาแดงเหนือรุ่นที่ ๒ จอดขายโอ่งราชบุรีในคลองชลประทาน สะพานอำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี เรือของนางสุนทร เรืองเพชร ถ่ายในราว พ.ศ. ๒๕๑๒ หรือ ๒๕๑๗ ตุ่มอีเลิ้งคนในพระนครยังเรียกว่าตุ่มนครสวรรค์ น่าจะมาจากชื่อถนนนครสวรรค์ที่ต่อจากสะพานเทวกรรมฯ ไปยังประตูพฤฒิบาศที่กลายเป็นสะพานผ่านฟ้าฯ ในปัจจุบัน บริเวณนี้น่าจะเป็นย่านค้าขายเพราะมีหปากคลองใหญ่น้อยที่พักจอดเรือและเป็นตลาดขึ้น สินค้าหรือจะหาสินค้าพวก "ตุ่มสามโคก" หรือ "อีเลิ้ง" ที่คนมอญ (พิศาล บุญผูก) กล่าวว่าไม่ใช่ภาษามอญ เพราะคนมอญเรียกโอ่งว่า "ฮะรี" และภาชนะเครื่องปั้นดินเผาพวกโอ่งอ่างต่าง ๆ มาตั้งแต่เมื่อขุดคลองขุดเสร็จใหม่ ๆ ชุมชนแถบนี้เคยเป็นย่านที่อยู่ใหญ่ทั้งตึกชั้นเดียว บ้านชั้นเดียว ผู้คนย้ายมาจากหลายแห่งทั้งภายในพระนครและคนจากเรือมาขึ้นบกก็มีบ้างและมาจากต่างจังหวัดที่ใช้เรือค้าขายรอนแรมมาจากท้องถิ่นอื่น ๆ และบอกเล่าสืบกันมาว่าบ้างมีเชื้อสายมอญที่เคยมาค้าขายภาชนะต่าง ๆ ย่านนี้คือฝั่งด้าน ‘ตรอกกระดาน’ ต่อเนื่องมาจากริมคลองผดุงกรุงเกษมและอยู่ทางฝั่งเหนือตลาดนางเลิ้ง และบริเวณตรงข้ามกับแถบตลาดนางเลิ้งบนถนนศุภมิตร แต่หลังจากการไล่ที่เพราะเจ้าของต้องการขายที่ไปเมื่อราว พ.ศ. ๒๕๐๐ ผู้คนจากฟากย่านนางเลิ้งฝั่งที่ดินมีเจ้าของของเหนือ ถนนศุภมิตรแตกสานซ่านกระเซ็นไปจนหมดแล้วจึงสร้างตึกขึ้นมาภายหลัง “ตุ่มสามโคก” หรือ “ตุ่มอีเลิ้ง” ลักษณะปากและก้นแคบป่องกลาง เนื้อดินสีแดงใบไม่ใหญ่นักและมีขนาดเล็กใหญ่ต่างๆกัน เพราะเคยปรากฏข้อความถึงการทำอาหารพวกน้ำยาเลี้ยงคนจำนวนมากก็ใส่อีเลิ้งหลายใบด้วยกัน เป็นของรุ่นเก่าที่เล่ากันว่าผลิตแถวสามโคกซึ่งยังหาร่องรอยไม่ได้ว่าผลิตขึ้นที่ใด และเลิกทำกันไปตั้งแต่เมื่อไหร่และแม้แต่เตาสามโคกที่วัดสิงห์ ก็ยังไม่พบร่องรอยการผลิตนั้น จะมีเลียนแบบตุ่มสามโคกที่รู้จักแหล่งผลิตก็คือตุ่มปากเกร็ดที่รูปร่างคล้าย แต่คุณภาพและเนื้อดินแตกต่างและด้อยกว่า ผู้คุ้นเคยกับตุ่มสามโคกมอง ๆ ดูก็รู้ ตุ่มปากเกร็ดหรือโอ่งแดงเหล่า นี้ปั้นขายกันแพร่หลายและก็เรียกกันต่อมาอย่างเข้าใจผิดว่าเป็นตุ่มสามโคกเช่นเดียวกัน ส่วนโอ่งมังกร น่าจะมีการผลิตขึ้นก่อนแถบริมคลองผดุงกรุงเกษม โอ่งรุ่นแรกจะเป็นแบบเรียบ ๆ ไม่มีลวดลาย ต่อมาจึงใส่ลายมังกรเข้าไปภายหลัง ที่วัดศาลาแดงเหนือมีโอ่งมังกรลายหมูป่าฝีมือดีอยู่ใบหนึ่งเขียน ข้อความเป็นภาษาไทยตัวใหญ่ว่า “อยู่เย็นเป็นสุข” เขียนแหล่งผลิต เป็นภาษาไทยว่า “คลองขุดใหม่” และยี่ห้อภาษาจีน สันนิษฐาน ว่าเป็นโอ่งเคลือบแบบโอ่งมังกรรุ่นแรก ๆ ที่ผลิตในประเทศไทย และศูนย์กลางแหล่งผลิต และย่านการค้าโอ่งมังกรแต่แรกคือ แถบคลองผดุงกรุงเกษมหรือที่เรียกกันในสมัยนั้นว่า คลองขุดใหม่ ส่วนโอ่งมังกรของราชบุรี ทำโดยช่างชาวจีนที่เลียนแบบโอ่งจาก เมืองจีนน่าจะผลิตเมื่อราว ๗๐-๘๐ ปีมาแล้วนี่เอง ต่อมาเมื่อมีการสร้างเขื่อนภูมิพลแล้ว บางรายยังคงใช้เรือบรรทุกเฉพาะโอ่ง หม้อ ครก กระถางไปขายตามลำคลองแถบ คลองรังสิต คลองบางซื่อ คลองผดุงกรุงเกษม คลองเปรมประชากร คลองแสนแสบ เป็นพ่อค้าเร่ทางเรือที่ไม่ไกลบ้านเหมือนในอดีต ซึ่งคนรุ่นพ่อแม่ของชาวบ้านศาลาแดงเหนือที่อายุราว ๕๐ ปีขึ้นไป วิ่งเรือไปเอาโอ่งมังกรโดยใช้เส้นทางคลองภาษีเจริญผ่านท่าจีน เข้าคลองดำเนินสะดวกออกแม่กลองที่บางนกแขวก แล้วล่องไปรับโอ่ง มังกรที่ราชบุรี แต่ขากลับเรือที่เพียบแประต้องการพื้นนำที่ไม่วุ่นวาย เหมือนเส้นทางที่ผ่านมาก็จะเข้าทางแม่น้ำท่าจีนขึ้นไปทางสุพรรณบุรี ผ่านประตูน้ำบางยี่หน ผ่านบางปลาหมอ มาออกบ้านแพน แล้วล่องแม่น้ำน้อยมาออกแม่น้ำเจ้าพระยาแถวลานเท การค้าหม้อค้าโอ่งทางเรือค่อย ๆ เลิกรา เพราะคลองเริ่มเดินเรือไม่สะดวกและตลาดหรือที่ชุมชนไม่ใช่พื้นที่ริมฝั่งคลองอีกต่อไป เริ่มมีการเปลี่ยนจากเรือมาเป็นรถกันตั้งแต่ราวปี พ.ศ. ๒๕๑๗ สมมติฐานเรื่องการค้าขายภาชนะ เช่น ตุ่มสามโคกหรือสาวงามและการถ่ายแบบกับตุ่ม “อีเลิ้ง” ของชาวเรือมอญจากแถบสามโคกก็พ้องกันกับเรื่องราวของชื่อ "นางเลิ้ง" ที่เปลี่ยนตามสมัยนิยมของคนมีการศึกษาในเมืองไทยที่ไปเข้าใจคำว่า "อี" ที่ใช้มาแต่เดิมแต่โบราณนั้นเป็นคำไม่สุภาพ จากคำเรียกภาชนะแบบทับศัพท์ภาษามอญที่ใช้มาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาที่บันทึกว่าในย่านคลองสระบัว แหล่งทำภาชนะใช้ในครัวเรือนสำหรับ ชีวิตประจำวันก็มีการทำภาชนะใส่น้ำแบบอีเลิ้งด้วย และคงมีการปั้นโอ่งหรือตุ่มรูปทรงนี้ต่อมาจนเข้าสู่สมัยกรุงเทพฯ จากภาชนะใช้ในครัวเรือนสำหรับชีวิตประจำวันก็มีการทำภาชนะใส่น้ำแบบอีเลิ้งด้วย และคงมีการปั้นโอ่งหรือตุ่มรูปทรงนี้ต่อมาจนเข้าสู่สมัยกรุงเทพฯ จากภาชนะที่เรียกว่าอีเลิ้ง และเรียกย่านนั้นว่าอีเลิ้ง ก็กลายมาเป็นย่านนางเลิ้งตามจริต คนไทยให้ฟังดูสุภาพเสีย เพราะมีการเปลี่ยนชื่อเช่นนี้เสมอ เช่นหอยอีรมเป็นหอยนางรม, นกอีแอ่นเป็นนกนางแอ่น หนังสือพิมพ์บางกอกสมัยฉบับวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๒ กล่าวถึงการเสด็จพระราชดำเนินของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเปิดตลาดนางเลิ้งรวมทั้งงานรื่นเริงต่าง ๆ นั้น ก็เขียนถึงตลาดนี้ในชื่อว่า “ตลาดนางเลิ้ง” มาตั้งแต่ครั้งเริ่มทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการแล้ว คำว่า นางเลิ้ง พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๕ และ พ.ศ. ๒๕๒๕ ว่า “นางเลิ้ง” และ “อีเลิ้ง” เป็นคำนามหมายเรียกตุ่มหรือโอ่งใหญ่ว่าตุ่มอีเลิ้งหรือนางเลิ้งหรือ “โอ่งนครสวรรค์” ก็เรียก และยังหมายเป็นนัยถึงใหญ่เทอะทะ ปัจจุบันพบว่ามีความสับสนที่มาของชื่อ “นางเลิ้ง” ว่าเป็นชื่อมีที่มาอย่างไร สืบเนื่องจากมีการศึกษาชุมชนและตลาดนางเลิ้ง ในราว ๑๐ ปีหลังมานี้เป็นจำนวนมาก และอ้างอิงผลิตซ้ำคำอธิบายจาก “คำให้การผู้เชี่ยวชาญวัฒนธรรมท้องถิ่น” ของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม โดยอ้างอิงมาจากศูนย์วัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร และสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตพาณิชยการพระนคร ประวัติของชุมชนแต่เดิมในบริเวณนี้ก่อนการสร้างตลาดนางเลิ้งในสมัยรัชกาลที่ ๕ โดยเสนอสมมติฐานว่าเป็น คำที่สืบเนื่องจากภาษาถิ่นที่ใกล้เคียงกับภาษาเขมร ซึ่งเป็นชุมชน เขมรในพระนครที่เข้ามาพร้อมกับเชื้อพระวงศ์กษัตริย์เขมรเมื่อต้นรัชกาลที่ ๑ ข้อมูลเหล่านี้ปรากฏทั้งในอินเทอร์เน็ตและการคัดลอกผ่านงานศึกษาวิจัยต่าง ๆ ว่าสมมติฐานหนึ่งมาจากคำว่า "ฉนัง" และคำว่า "เฬิง" ในภาษาเขมร โดยแปลรวมกันว่าเป็นภาชนะขนาดใหญ่ แม้จะกล่าวว่าทั้งคำว่า "ฉนัง" และ "เฬิง" นั้นปกติในภาษาเขมรก็ไม่ได้นำมารวมกัน แม้จะมีหลักฐานว่าแต่เดิมเจ้านายเขมรนั้นพระราชทานที่ดินให้อยู่แถบตำบลคอกกระบือแถบวัดยานนาวา ต่อมาราว พ.ศ. ๒๓๒๙ จึงสร้างวังพระราชทานให้ที่ริมคลองเมืองเยื้องปากคลองลอดวัดราชนัดดา ฝั่งตรงข้ามวัดสระเกศซึ่งอยู่ภายในพระนครที่เรียกว่า "วังเจ้าเขมร" ส่วนครัวเขมรเข้ารีตราว ๔๐๐ - ๕๐๐ คนให้สร้างบ้านเรือนอยู่รวมกับชาวบ้านเชื้อสายโปรตุเกสที่มีศูนย์กลางของชุมชนคือวัดคอนเซ็ปชัญและบ้านญวนสามเสน ที่มีวัดเซนต์ฟรังซีสเซเวียร์ซึ่งเป็น กลุ่มอพยพเข้ามาภายหลังในราวรัชกาลที่ ๓ บริเวณนี้เป็นที่รวมของผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกหรือชาวคริสต์ตังและอยู่ต่อเนื่องสืบมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้วจากนั้นมาบ้านโปรตุเกสที่นี่จึงถูกเรียกอีกชื่อว่าบ้านเขมร และวัดคอนเซ็ปชัญก็ถูกเรียกว่า “วัดเขมร” ชุมชนบ้านเขมรริมแม่น้ำเจ้าพระยาแถบวัดคอนเซ็ปชัญนี้มีนายแก้วที่เป็นผู้ชำนาญการวิชาปืนใหญ่ เนื่องจากเคยได้เรียนกับชาวโปรตุเกส ต่อมาได้รับพระราชทานตำแหน่งเป็นที่พระยาวิเศษสงคราม รามภักดี จางวางกรมทหารฝรั่งแม่นปืนใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ ๑ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายแก้วเขมรนี้เป็นหัวหน้าดูแลชาวหมู่บ้านคอนเซ็ปชัญด้วย ต่อมาบุตรหลานได้รับราชการสืบต่อมาเป็นลำดับ เชื้อสายสกุลพระยาวิเศษสงครามภักดี (แก้ว) ปรากฏอยู่คือ “วิเศษรัตน์” และ “วงศ์ภักดี” ในระหว่างรัชกาลที่ ๓ มีศึกสงครามกับญวนอยู่หลายปีมีชาวญวนเข้ารีตคริสต์ตังแถบ "เมืองเจาดก" ขอเข้ามาอยู่ในเมืองสยาม จึงนำมาอยู่เหนือบริเวณบ้านเขมร ภายหลังผู้คนในบ้านเขมรมีมากขึ้นดังจากเหตุดังกล่าว จึงกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานขยายเขตหมู่บ้านเขมรออกไปอีก ทิศเหนือจรดวัดราชผาติการาม (วัดส้มเกลี้ยง) ทิศใต้จรดวัดราชาธิวาส (วัดสมอราย) ทิศตะวันออกติดถนนสามเสน ทิศตะวันตกจรดแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนพวกญวนขยับจากที่เดิมไปบ้านเรือนทางด้านเหนือและสร้างโบสถ์เซนต์ฟรังซีสเซเวียร์เป็นศูนย์กลางของชุมชนอีกแห่งหนึ่งเมื่อราว พ.ศ. ๒๓๙๖ ในภายหลัง (ประวัติวัดและหมู่บ้านคอนเซ็ปชัญ, รวบรวมจากหนังสือที่ระลึกงานฉลองวัดคอนเซ็ปชัญครบ ๒๕๐ ปี, ห้องเอกสาร อัครสังฆณฑลกรุงเทพฯ, คัดลอกจากอินเทอร์เน็ต ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๘) จะเห็นได้ว่าไม่มีข้อมูลใด ๆ ที่เกี่ยวกับชุมชนเดิมที่นางเลิ้งสามารถเชื่อมโยงไปถึงการตั้งถิ่นฐานของชุมชนชาวเขมรบริเวณใกล้กับโบสถ์คอนเซ็ปชัญซึ่งเป็นชุมชนเขมรคริสต์ตังใหญ่ปนเปกับผู้มีเชื้อสายโปรตุเกส ส่วนที่เป็นเชื้อพระวงศ์และได้รับที่ดินและวังพระราชทานบริเวณเยื้องปากคลองหลอดวัดราชนัดดา วังพระราชทานนั้นหมดสิ้นไปแล้วเมื่อมีการบันทึกสารบาญชีของกรมไปรษณีย์ในสมัยรัชกาลที่ ๕ และอาจเป็นเพียงการเข้าใจผิดในชื่อสถานที่แรกตั้งถิ่นฐานที่มีชื่อ "คอกกระบือ" แถบวัดยานนาวาที่อยู่นอกพระนครทางด้านใต้ พ้องกันกับแถบสนามกระบือทางด้านตะวันออกของพระนคร และการนำคำที่ปรากฏลากเข้าหาสมมติฐานที่ตนเองต้องการคือ "ฉนัง-เฬิง" ให้กลายเป็น "นางเลิ้ง" ดังกล่าว ขอบคุณ มาณพ แก้วหยก, บ้านศาลาแดงเหนือ อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี วลัยลักษณ์ ทรงศิริ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- การศึกษาท้องถิ่นอันเนื่องมาจาก “เมืองโบราณกับเล็ก วิริยะพันธุ์”
เผยแพร่ครั้งแรก ไม่ระบุ การศึกษาท้องถิ่นอันเนื่องมาจาก “เมืองโบราณกับเล็ก วิริยะพันธุ์” เมืองโบราณอุบัติขึ้นจากความรู้สึกและประสบการณ์ของคุณเล็กที่แลเห็นว่าในช่วงเวลาสี่สิบกว่าปีที่ผ่านมานั้น สังคมไทยพัฒนาอย่าลืมอดีตและเน้นความต้องการทางวัตถุเป็นสำคัญ จึงเป็นผลที่ทำให้คนรุ่นใหม่เติบโตอย่างขาดรากเหง้า จำเป็นที่จะต้องมีการศึกษาและรวบรวมข้อมูลหลักฐานทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของสังคมในอดีตมาไว้เพื่อคนรุ่นหลังจะได้ศึกษาและเรียนกัน การพบปะกับผู้รู้ก็เป็นเพียงการได้ยินและได้ฟังเท่านั้นยังไม่เพียงพอต้องไปพบเห็นด้วยประสบการณ์ จึงจะคิดได้และทำได้โดยเหตุนี้ในเวลาที่จะสร้างอะไร ทำอะไรในเมืองโบราณนั้นคุณเล็กจะต้องออกไปดูให้เห็นด้วยตนเองทำให้ในระยะเวลาเกือบสิบห้าปีของการสร้างเมืองโบราณ คุณเล็กออกตระเวนไปทั่วทุกภูมิภาคและหลาย ๆ ท้องถิ่น อาจนับได้ว่าแลเห็นแผ่นดินไทยและผู้คนสังคม ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมอย่างลุ่มลึกทีเดียวคุณเล็กคิดเสมอว่า สิ่งที่ท่านนำมาสร้างหรือนำมาเก็บรักษาไว้ในเมืองโบราณนั้น จะต้องเป็นสิ่งที่มีความหมายที่เป็นประโยชน์หาใช่นำมาแสดงแต่เพียงรูปแบบที่เป็นเสมือนภาพนิ่งไม่ การสร้างเมืองโบราณของคุณเล็กคือกระบวนการเรียนรู้ที่ไม่อาจกำหนดเป็นแผนงาน งบประมาณ และระยะเวลาที่แน่นอนและตายตัวได้ หากเป็นเรื่องที่มีความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ความสำคัญอยู่ที่การนำเอาสิ่งที่เรียนรู้จากอดีตมาสร้างเป็นความรู้อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อที่จะสื่อให้คนในสังคมโดยเฉพาะเยาวชนได้เห็นความเชื่อมต่อระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคตอย่างที่มนุษย์ที่ดีควรเรียนรู้ ความสำคัญของการศึกษาท้องถิ่นของศรีศักร วัลลิโภดม ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องของมิติทางเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป ประวัติศาสตร์ที่เขียนจากคนนอกโดยเข้าไม่ถึงคนในนั้น แลเห็นได้เพียงการเปลี่ยนแปลงที่เป็นมหภาคในเวลาที่ผ่านไปแล้วในยุคสมัยใดสมัยหนึ่ง [Change through time] ต่างจากการเปลี่ยนแปลงในการรับรู้ของคนภายในที่เป็นการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาอย่างต่อเนื่อง [Change over time] ที่มีลักษณะเป็นจุลภาคอย่างเป็นประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต การศึกษาประวัติศาสตร์จากภายนอกเข้าไม่ถึงคนใน เพราะมักกำหนดสมัยเวลาจากหลักฐานการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมจากภายนอก เช่น จากหลักฐานทางโบราณสถานวัตถุและบันทึกทางเอกสารที่มีการรวบรวมไว้เป็นลายลักษณ์ แต่ประวัติศาสตร์จากภายในเป็น ประวัติศาสตร์สังคม ที่กำหนดการเปลี่ยนแปลงจากชั่วชีวิตของคนในแต่ละรุ่น แต่ละกลุ่มเหล่า ที่เริ่มแต่การลำดับเครือญาติของคนในแต่ละโคตรตระกูล ที่สืบทอดมาจนถึงลูกหลานที่ดำรงชีวิตอยู่ในปัจจุบัน เหตุนี้ประวัติศาสตร์แบบนี้จึงเป็นประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต เพราะแลเห็นอดีตที่ผ่านมาจนปัจจุบันและแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงในอนาคต การเข้าถึงการเปลี่ยนแปลงภายในนี้แหละ เมื่อนำมาพิจารณาวิเคราะห์รวมกับการเปลี่ยนแปลงที่มาจากข้างนอก โดยเฉพาะจากโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองจากทางรัฐแล้ว คือการทำความเข้าใจที่จะนำไปสู่การควบคุมการพัฒนาได้









