พบผลการค้นหา 220 รายการ
- ความย่อยยับทางภูมิทัศน์วัฒนธรรมของเมืองประวัติศาสตร์กรุงเทพฯ ธนบุรี
เผยแพร่ครั้งแรก 1 เม.ย. 2558 มีข่าวที่น่าจะเป็นจริงออกมาว่า ผู้เป็นใหญ่ใน คสช. ได้แถลงข่าวว่าจะมีการสร้างถนนขนาบน้ำสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่สะพานพระปิ่นเกล้าไปจนถึงสะพานพระราม ๗ ที่จังหวัดนนทบุรี เพื่อเป็นการขยายเส้นทางคมนาคมให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น และโดยเฉพาะจะทำให้เป็นเส้นทางรถจักรยานแก่บรรดาชาวเมืองที่มีการตื่นตัวกันอย่างมากในสมัยนี้ ข้าพเจ้าในฐานะที่เป็นคนกรุงเทพฯ ธนบุรี โดยสายตระกูลทั้งฝ่ายพ่อและแม่ ก็เกิดปริวิตกว่าภูมิวัฒนธรรมของบ้านเมืองที่เป็นมหานครในที่ลุ่มน้ำลำคลองของประเทศที่มีความงดงามและเจริญรุ่งเรืองในอารยธรรมของคนตะวันออกคงถึงกาลพินาศเป็นแน่แท้ เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยมีข่าวคราวมาก่อนว่า มีนายทุนกว้านซื้อที่สองฝั่งน้ำเจ้าพระยาตั้งแต่บริเวณปากน้ำ เขตจังหวัดสมุทรปราการลงมาจนกรุงเทพฯ ธนบุรี เพื่อพัฒนาและก่อสร้างตึกสูง เป็นคอนโดมีเนียม ศูนย์การค้า แหล่งสันทนาการที่มีทิวทัศน์เป็นชายน้ำแบบยุโรปและทางตะวันตก และโครงการใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณถนนเจริญนคร ข้าพเจ้าเคยเห็นภาพโปรโมตเรื่องนี้แถวสนามบินและศูนย์การค้าในนามของ ‘ไอคอนสยาม’ สืบเนื่องจากเรื่องนี้ก็มีข่าวออกมาว่าทางกรุงเทพมหานครร่วมกันกับสถาบันทางศิลปะของมหาวิทยาลัยของรัฐและนักออกแบบผังเมืองที่เป็นนายทุนบางกลุ่มคิดเสนอการพัฒนาสองฝั่งน้ำเจ้าพระยาในเขตกรุงเทพฯ ธนบุรีให้เป็นมรดกโลก นับว่าจะมีการทำสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาให้คนทั้งสองฝั่งเดินไปมาได้สะดวก และจัดภูมิทัศน์ทางสถาปัตยกรรมผังเมืองใหม่ โดยมีการโยกย้ายบรรดาชุมชนของผู้คนที่อยู่กันมาช้านานริมแม่น้ำลำคลองออกไป แล้วสร้างทิวทัศน์สมัยใหม่แบบตะวันตกขึ้นมาแทน แต่สิ่งที่ทำแน่ ๆ ในขณะนี้ก็คือ ทั้งทุนและรัฐกำลังพัฒนาแบบทำลายล้างชุมชนสองฝั่งน้ำที่เป็นที่อยู่อาศัยของคนไทยเชื้อสายจีนตั้งแต่ปากคลองบางหลวงไปจนถึงปากคลองสวนทางฝั่งธนบุรี และบริเวณไชน่าทาวน์ตั้งแต่สำเพ็งไปจนตลาดน้อย ดังเห็นได้จากโครงการรถไฟฟ้าใต้ดินและโครงการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา รวมทั้งเวนคืนที่ดินและเลิกสัญญาเช่าเพื่อการก่อสร้างโครงสร้างใหม่ ๆ ขึ้นมาแทน ทัศนอุดจาด ในทัศนะของข้าพเจ้าอีกอย่างหนึ่งคือการก่อสร้างรัฐสภาใหม่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่เกียกกายโดยรื้อและย้ายโรงเรียนโยธินบูรณะไปไว้ที่อื่น เพราะเป็นโครงสร้างอาคารขนาดใหญ่ด้านริมแม่น้ำลำคลองทางฝั่งกรุงเทพฯ ลบภาพพจน์ของสถานที่ก่อสร้างขนาดใหญ่แต่เดิมที่เป็นวัดและพระราชวังที่เป็นศูนย์กลางของชุมชนที่เกิดขึ้นเป็นระยะไป อีกทั้งยังส่งผลกระทบไปสู่บ้านเรือนของผู้คนในชุมชนแต่เดิม รวมทั้งถนนหนทางแต่เดิมในด้านการจราจรอย่างแก้ไขไม่ได้ ถ้าหากจะมีโครงการทำถนนขนาบสองฝั่งน้ำเจ้าพระยาจากสะพานพระปิ่นเกล้าไปจนถึงสะพานพระราม ๖ และ ๗ ในเขตจังหวัดนนทบุรีแล้ว ก็น่าจะเป็นอวสานของภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของบ้านเมืองในบริเวณลุ่มน้ำลำคลองตั้งแต่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตจังหวัดสมุทรปราการ ผ่านขึ้นมากรุงเทพฯ ธนบุรีและเรื่อยขึ้นไปจนถึงนนทบุรีอย่างไม่ต้องสงสัย ที่กล่าวว่าถึงกาลอวสานก็เพราะบริเวณสองฝั่งน้ำเจ้าพระยาดังกล่าวนี้เป็นพื้นของสังคมชาวสวนที่มีพัฒนาการเป็นบ้านเมืองรัฐและการเป็นศูนย์กลางของประเทศมากกว่าสามร้อยปีขึ้นไปแต่สมัยอยุธยาจนปัจจุบัน เป็นสังคมที่อยู่บนแม่น้ำลำคลองที่มีการสัญจรไปมาทางน้ำด้วยเรือแพ คือคนตั้งถิ่นฐานทั้งบนตลิ่งและในแม่น้ำลำคลองที่ชาวต่างประเทศแต่เดิมเรียกว่า ‘ เมืองลอยน้ำ ’ เพราะในฤดูน้ำท่วมท้นตลิ่งแลเห็นบ้านเรือน เรือแพอยู่กันในน้ำไม่เห็นตลิ่งไม่เห็นพื้นดิน เพราะมีเรือกสวนปกคลุมเป็นพื้นหลัง ความเป็นเมืองน้ำสังคมชาวสวนของกรุงเทพฯ ธนบุรีนั้น โดยภูมิวัฒนธรรมครอบคลุมพื้นที่สองเกาะใหญ่ที่เกิดจากการขุดลัดแม่น้ำอ้อมสองแห่งคือ ‘เกาะบางกอก’ และ ‘เกาะบางกรวย’ เกาะบางกอกเป็นที่ตั้งของเมืองกรุงเทพฯ และธนบุรี ซึ่งเกิดจากการขุดลัดแม่น้ำอ้อมจากตำบลบางกอกน้อยมาออกตำบลบางกอกใหญ่ ในขณะที่เกาะบางกรวยเกิดจากการขุดลัดแม่น้ำอ้อมที่บางใหญ่มาออกบางกรวยเป็นที่ตั้งของเมืองนนทบุรี ทั้งสองเกาะนี้อยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา เมืองธนบุรีเกิดขึ้นทางฝั่งตะวันตกในขณะที่กรุงเทพฯ เกิดจากการย้ายเมืองมาฝั่งตะวันออก เมืองนนทบุรีเกิดขึ้นทางฝั่งตะวันออกแต่เดิมเรียกเมืองตลาดแก้วตลาดขวัญ ทุกเมืองล้วนเป็นเมืองของสวนผลไม้ที่มีชาวบ้านชาวเมืองส่วนใหญ่มีกำพืดเป็นชาวสวนไม่ใช่ชาวนาและอาศัยเส้นแม่น้ำลำคลองเป็นเส้นทางคมนาคมทุกฤดูกาล ชุมชนที่เป็นบ้านเป็นเมืองใหญ่น้อยล้วนเกิดขึ้นริมฝั่งแม่น้ำทั้งสองฝั่งที่มีลำน้ำลำคลองทั้งคลองธรรมชาติและคลองขุด แยกออกจากแม่น้ำทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออก ดูประดุจกระดูกสันหลังที่เปรียบได้กับแม่น้ำใหญ่ และกระดูกซี่โครงคือลำน้ำลำคลองที่แยกออกจากทั้งสองฝั่งและแต่ละคลองก็มีชื่อมีนามและมีการตั้งบ้านเรือนเป็นชุมชนริมคลองออกไปกลางทุ่ง แต่ละชุมชนที่เป็นบ้านก็มีวัดเป็นศูนย์กลาง โดยมีชุมชนเมืองอยู่ตรงปากคลองคือบริเวณที่ลำคลองมาสบกับแม่น้ำ ความเป็นชุมชนเมืองตรงปากคลองนี้นอกจากมีวัดใหญ่เป็นศูนย์กลางแล้ว ยังมีย่านตลาดที่อาศัยปากคลองเป็นตลาดขายของสดของคาวที่รู้จักกันในนามว่าตลาดน้ำ ความเป็นย่านตลาดของเมืองนั้น นอกจากมีวัดใหญ่แล้วยังมีศาลเจ้าจีนและบางแห่งก็มีโรงเจ เพราะเป็นที่คนจีนและเชื้อสายคนจีนที่เป็นคนค้าขายอยู่อาศัย นอกจากนี้หลายแห่งที่มีคนมุสลิมก็จะมีการสร้างมัสยิดรวมอยู่ด้วย สังคมบ้านสวนเมืองน้ำนี้ไม่มีถนนและทางบก นอกจากทางเดินเท้าเชื่อมต่อสวนในท้องถิ่น ความเป็นบ้านเป็นเมืองเรียงรายกันอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำและลำคลองที่ล้วนมีชื่อเสียงเรียงนามเป็นของตนเอง ท้องถิ่นที่อยู่อาศัยริมน้ำทุกหนแห่งล้วนเรียกว่า ‘บาง’ โดยมีชื่อเฉพาะตามมา เช่น คลองบางกอกน้อย คลองบางกรวย คลองบางเขน เป็นต้น ภาพพจน์ของบ้านเมืองตามแม่น้ำลำคลองที่ว่ามานี้ สามารถเข้าถึงได้จากบรรดาวรรณคดีที่เป็นนิราศมีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และกรุงเทพฯ ธนบุรี สมัยรัชกาลที่ ๕ อันเป็นเวลาที่เมืองสมัยใหม่เกิดขึ้นบนบกและมีการสร้างถนนหนทางและทางรถไฟ ยกตัวอย่างเช่น ‘นิราศภูเขาทอง’ ของสุนทรภู่ที่บรรยายภาพพจน์ของชุมชนริมแม่น้ำลำคลองจากรุงเทพฯ ถึงอยุธยา ได้พูดถึงชุมชน บ้าน วัด เมือง ชื่อลำน้ำลำคลองไว้อย่างละเอียด รวมทั้งชีวิตความเป็นอยู่ของคนหลายชาติพันธุ์ตามท้องถิ่นด้วย หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นรัฐประชาธิปไตยสภาพทิวทัศน์ทางวัฒนธรรมของบ้านเมืองริมน้ำเหล่านี้ ก็หาได้เปลี่ยนแปลงไปมากไม่ แม้ว่าจะมีความแออัดและชุมชนใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาก็เป็นชุมชนที่มีวัดเป็นศูนย์กลาง ลำน้ำลำคลองบางแห่งหายไปอันเนื่องมาจากการก่อสร้างสถานที่ราชการ แหล่งการค้าและบ้านเรือนแบบใหม่ ๆ ก็ตาม แต่ความเรียบง่ายและสวยงามของสองฝั่งน้ำเจ้าพระยายังดำรงอยู่แบบที่แลเห็นได้จากภาพเขียนของ อองเดร มูโอ นักสำรวจผจญภัยทางฝรั่งเศส ที่เข้ามาเมืองไทยสมัยรัชกาลที่ ๔ รวมทั้งฝรั่งอื่น ๆ ที่มีการถ่ายภาพและทำแผนผังและแผนที่บ้านเมืองริมฝั่งเจ้าพระยาตั้งแต่ปากน้ำขึ้นไปจนถึงอยุธยา โดยมีพระสถูป พระบรมธาตุวัดแจ้งหรือวัดอรุณราชวรารามสูงเด่นเป็นศูนย์กลางของทิวทัศน์วัฒนธรรมสองฝั่งน้ำเจ้าพระยาเสนอมา ยังไม่มีผู้ใดกำเริบเสิบสานบุกรุกและทำลายริมแม่น้ำลำคลองที่ยังมีผู้คนเป็นจำนวนมากใช้การคมนาคมตามลำน้ำลำคลอง แม้ว่าจะดูอึกกะทึกไปด้วยเสียงเครื่องยนต์ของเรือหางยาวและเรือเมล์ก็ตาม ยังมีคนทั้งคนไทยและต่างชาติยังอยากนั่งเรือเที่ยวตามสองฝั่งน้ำอยู่ โดยเฉพาะจากกรุงเทพฯ ถึงนนทบุรีและปทุมธานี แต่มาเริ่มเปลี่ยนทัศนคติกันราว ๒๐ ปีมานี้ ที่บรรดาคนรุ่นใหม่ นักสถาปนิก นักผังเมืองที่เป็นนายทุนและรับใช้นายทุนบุกรุกพื้นที่ริมแม่น้ำ สร้างตึกสูงคอนโดมีเนียม และบ้านจัดสรรเพื่อให้ได้วิวดีริมแม่น้ำลำคลอง ยุคของการเปลี่ยนแปลงแบบทำลายนี้อาจเห็นได้จากคอนโดมีเนียม เสมือนรูปศิวลึงค์เชิงสะพานพระปิ่นเกล้าฯ ที่สร้างขึ้นเพื่อลดความงดงามและความศักดิ์สิทธิ์เป็นสวัสดิมงคลของพระปรางค์วัดอรุณฯ อันเป็นพระบรมธาตุของพระมหานคร ต่อมาก็มีตึกสูงตึกใหม่แบบนี้เกิดขึ้นเป็นแถวตามสองฝั่งนั้น ทำให้ความเป็นเมืองสวนเมืองริมแม่น้ำลำคลองจมลงไป เพราะอาคารสูงที่เป็นที่อยู่อาศัย ที่ทำการรัฐบาลและการค้าธุรกิจบริการ โดยเฉพาะโรงแรมหลาย ๆ อาคาร วัดวาอาราม พระมหาราชวังและตึกรามอาคารที่เป็นศิลปวัฒนธรรมถูกทำให้ต่ำต้อยลงด้วยการกิจกรรมเพื่อการท่องเที่ยวที่มีแสงเสียงและฟุ่มเฟือยที่เป็นเพียงของเสมือนจริง ในขณะนี้สภาวะของทิวทัศน์วัฒนธรรมของเมืองประวัติศาสตร์สองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาก็อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่อยู่แล้ว หาได้มีผู้หนึ่งผู้ใดที่มีทุนและอำนาจคิดอนุรักษ์แก้ไขไม่ ดูไปมีแต่ช่วยกันทำลายเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ข้าพเจ้าไม่เคยหวังและเชื่อว่าบ้านเมืองในสังคมประชาธิปไตยที่แล้ว ๆ มาและอาจจะมีขึ้นอีกในอนาคตกาลจะได้สำนึกและคิดแก้ไขให้ดีได้ แต่เฝ้าภาวนาหวังใจว่าสังคมเผด็จการที่ดีของคณะคสช . อาจจะทบทวนและช่วยได้ในเรื่องนี้ จึงตกใจและสิ้นหวังเมื่อได้ยินมาว่าผู้ทรงอำนาจในคณะรัฐบาล ได้แถลงออกมาว่าจะมีการสร้างถนนขนาบน้ำเพื่อความสะดวกในการคมนาคมและเพื่อเป็นถนนของคนปั่นจักรยาน จึงไม่รู้ว่ากลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์หรือนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญพวกใดชงเรื่องไปดลจิตดลใจให้คิดเป็นเรื่องขึ้นมา ? อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- GDP vs. GNH ในสังคมไทย
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2558 ปีก่อน ๆ ที่แล้วมา ข้าพเจ้าเขียนบทความจดหมายข่าวของมูลนิธิฯ เรื่อง “อะไรคือรายได้มวลรวมประชาชาติ [GDP)] กับอะไรคือความสุขมวลรวมประชาชาติ [GNH]” เพราะในช่วงเวลานั้นมีปัญญาชนของประเทศได้ไปเที่ยวประเทศภูฏานได้แลเห็นความสงบสุขอย่างมีกินมีใช้ของผู้คนในประเทศ รวมทั้งสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และวัฒนธรรมของบ้านเมืองที่มีความสัมพันธ์กับธรรมชาติไม่แออัดยัดเยียด แวดล้อมไปด้วยโครงสร้างสถาปัตยกรรมบ้านเมืองที่ใหญ่โตสูงใหญ่ ต่างจากสภาพแวดล้อมที่เป็นของประดิษฐ์ [Artificial Environment] ดั่งเช่นในสังคมไทย ประเทศแห่งความสุขมวลรวมประชาชาติ [GNH] ภูฏาน ภาพโดยศรัณย์ บุญประเสริฐ ด้วยความประทับใจในสิ่งที่เห็นในสังคมภูฏาน ทำให้พวกปัญญาชนเหล่านั้นเสนอความคิดในเรื่อง “ความสุขมวลรวมของประชาชาติ” ในทำนองวาทกรรมกับความสุขที่ได้จากการมีรายได้ต่อหัวของประชาชาติ ที่แทบทุกสังคมวัตถุนิยมทั้งไทยและเทศให้เป็นเครื่องมือในการกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจและการดำเนินการให้เป็นจริง ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับความคิดในเรื่องความสุขมวลรวมของประชาชาติของบรรดาผู้นำทางปัญญาของชาติเหล่านั้น แต่นึกไม่ออกว่ามี “รูปธรรม” อย่างไร เพราะเหตุผลและความคิดที่เสนอมานั้นดูเป็นนามธรรมจนเกินไป ตราบจนได้มีโอกาสได้ไปภูฏานกับเขาบ้าง มีโอกาสได้เห็นทั้งภูมิวัฒนธรรม นิเวศวัฒนธรรม และชีวิตวัฒนธรรมของคนภูฏานในหลายท้องถิ่นของประเทศ ก็ทำให้เกิดความเข้าใจตามประสาของข้าพเจ้าที่เล่าเรียนมาทางมานุษยวิทยาและโบราณคดีว่า คนภูฏานอยู่กันเป็นชุมชน บ้านเมือง และนครแบบก่อน ๆ มีชีวิตอยู่ในที่ราบลุ่มในหุบเขาสูงต่ำมากมายในโลกของหิมาลัยที่ครึ่งปีจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ หุบเขาแต่ละแห่งเป็นป่าเขาที่เรียกว่า หิมพานต์ ตามชื่อในวรรณคดีโบราณของไทย เพราะมีทั้งสัตว์และพืชพรรณนานาชนิดที่ดำรงอยู่ได้ทั้งฤดูหิมะตกและฤดูหิมะละลายที่มีหนองน้ำ ลำรางหล่อเลี้ยงให้ความชุ่มชื้น เท่าที่ได้เห็น สังคมภูฏานมีพื้นฐานเป็นสังคมชาวนาที่ผู้คนอยู่รวมกันเป็นชุมชนบ้านและเมืองอย่างติดที่ คือไม่เคลื่อนย้ายหรือโยกถิ่นฐานจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งบ่อย ๆ พึ่งพิงธรรมชาติและสภาพแวดล้อมร่วมกันในลักษณะเศรษฐกิจพอเพียง ส่วนผู้ที่ประกอบการทางธุรกิจและการผลิตแบบเป็นเจ้าของกิจการมีไม่กี่แห่ง ความเป็นอยู่ไม่แออัดมีพื้นที่ว่างธรรมชาติระหว่างชุมชนในท้องถิ่นหนึ่งไปอีกถิ่นหนึ่ง เส้นทางคมนาคมเป็นถนนที่ยังไม่ใหญ่เป็นถนนหลวงที่ทำให้การติดต่อทางเศรษฐกิจและสังคมระหว่างกันง่ายและรวดเร็ว โดยเฉพาะเส้นทางลงห้วยและข้ามเขาระหว่างหุบต่อหุบที่แคบขนานด้วยเหวลึกดูหวาดเสียวสำหรับคนภายนอกที่เข้ามาท่องเที่ยว สถานที่บริการเช่น โรงแรม ร้านค้า ร้านอาหารและย่านตลาดไม่มีเพื่อสร้างความสะดวกสบายให้กับนักท่องเที่ยวที่มาจากที่ต่าง ๆ สิ่งที่โดดเด่นในภูฏาน คือ แม่น้ำลำคลอง ห้วยน้ำ และลำรางได้รับการรักษาให้สะอาด ไม่สกปรกทำลาย ลำน้ำลำห้วยแทบทุกแห่งของเส้นทางถนนระหว่างท้องถิ่นระหว่างเมืองที่ผ่านไป ได้รับการรักษาให้สะอาดเพื่อการดื่มกินและอุปโภคของคนในและนอกท้องถิ่น โดยเหตุที่อยู่ในที่สูงสังคมภูฏานเป็นสังคมแล้งน้ำโดยธรรมชาติ ที่มีการจัดการน้ำโดยแต่ละท้องถิ่น โดยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีอำนาจควบคุม ซึ่งเป็นได้จากการมีศาสนสถานทางพุทธมหายานสร้างขึ้นให้ผู้คนที่เดินทางไปมาได้ใช้น้ำและทำพิธีกรรมขอพร ขอความร่มเย็นเป็นสุขและปลอดภัย ชาวภูฏานที่ชีวิตจดจ่ออยู่กับการท่องบ่นคาถาและใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย อาคารดังกล่าวนี้จะมีระฆังขนาดใหญ่ที่มีภาพสัญลักษณ์และคาถาให้คนมาไหว้ได้หมุนรอบและพร่ำขอพรด้วยคาถา “โอม มณี ปัทเม หุม” อันเป็นคาถาสำคัญที่คนภูฏานทุกรุ่นทุกเพศทุกวัยท่องบ่น และมีการจารึกไว้ตามสถูปตามข้างทาง ที่มีตุงผ้าหลากสีขนาดใหญ่น้อยประดับที่มีคาถาเขียนไว้ให้สวดและอธิษฐาน [Prayer flags] สำหรับธงสวดเหล่านี้ต่างเรียงรายอยู่ตามเส้นทางเป็นที่ ๆ ไป เป็นการเตือนสติให้คนรู้สึกถึงการท่องบ่นตลอดเวลาถึงความเป็นมนุษย์ที่มีความพอเพียง ไม่โลภไม่หลง และเชื่อมั่นในความสุขของการหลุดพ้น การสวดคาถา “โอม มณี ปัทเม หุม” นี้เกือบแทบทุกขณะจิตที่มีช่องว่าง แม้แต่ในย่านตลาดและร้านขายของ ผู้ที่เป็นแม่ค้าหรือพ่อค้ามักมีล้อสวด [Prayer’s wheel] ขนาดเล็กอยู่ใกล้ ๆ ใช้แกว่งอยู่บ่อย ๆ ในขณะขายของ เพื่อเตือนสติให้กลับไปอยู่กับความเป็นมนุษย์ที่มีความพอเพียง พุทธศาสนามหายานลัทธิตันตระที่เรียกว่า “วัชระยาน” นั้น คือวิถีชีวิตของคนภูฏาน กิจกรรมต่าง ๆ ทางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมือง ล้วนมีความเชื่อทางศาสนารวมอยู่ด้วยในลักษณะองค์รวม วัดและศาสนสถานมีมากมายหลายระดับ แม้แต่อาคารและสถานที่ในการปกครอง เช่น พระราชวังของกษัตริย์เจ้านายและที่ทำการในการปกครองที่เรียกว่า “ซัง” ก็ล้วนมีอิทธิพลของศาสนารวมอยู่ด้วย ซึ่งในด้านสถาปัตยกรรม ผังเมือง และบ้านที่อยู่อาศัย แม้จะได้รับอิทธิพลจากทางตะวันตกและจากอินเดีย ธิเบต ก็หาได้รับมาทั้งดุ้นไม่ หากปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นภูฏานไปทั้งรูปแบบ การตกแต่ง และสัญลักษณ์ [Localization of foreign elements] ในขณะที่อยู่ภูฏาน ข้าพเจ้าแทบไม่เห็นคนภูฏานแสดงอาการลิงโลด เอาอกเอาใจคนต่างชาติ แต่ดูพอใจอย่างมีความสุขกับการเป็นคนภูฏานจนข้าพเจ้ารู้สึกอิจฉา สิ่งที่โดดเด่นที่ทำให้แลเห็นความภูมิใจในตนเองก็คือ รูปแบบของศิลปวัฒนธรรมของคนภูฏานที่ให้ความสำคัญกับสัญลักษณ์เรื่องเพศอย่างมากมาย จนเป็นอัตลักษณ์อย่างหนึ่งทางวัฒนธรรมก็ว่าได้ โดยเฉพาะการระบายสีและวาดสัญลักษณ์ทางเพศประดับบ้านที่อยู่อาศัยและสถานที่สำคัญในชุมชน แม้กระทั่งภาพวาดใน ส.ค.ส. ก็ยังมีประจำทุกปี คนภูฏานทั่วไปตามท้องถิ่นในชนบทและในเมืองไม่ใคร่มีแหล่งสันทนาการมากมายเช่นในประเทศอื่น ๆ ที่สร้างขึ้นมากมายหลายประเภทเพื่อการประโลมโลกและความทันสมัย หากยังใช้วัดและสถานที่ทางศาสนาในยามมีประเพณีพิธีกรรมในรอบปีอื่น ๆ เป็นที่หย่อนใจ สนุกสนาน มีการมหรสพรวมไปกับการประเพณีพิธีกรรม ซึ่งก็เหมือนกันกับผู้คนในสังคมไทยก่อนสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนและบ้านเมืองที่มีศาสนาและเรื่องทางจิตวิญญาณเป็นตัวนำดังกล่าวนี้คือที่มาของความสุขมวลรวมประชาชาติ [GNH] ความสุขมวลรวมประชาชาติดังกล่าวนี้ สังคมไทยเคยมีมาแล้วในอดีตแต่ครั้งรัชกาลที่ ๓ ลงมาจนถึงสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ และยังดำรงอยู่เรื่อยมาจน พ.ศ. ๒๕๐๐ ในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี อันเป็นยุคที่เสริมสร้างงานทางศิลปวัฒนธรรมระดับชาติมาก จนถึงมีการตั้งกระทรวงวัฒนธรรมขึ้นมาดูแลและจัดการกิจกรรมทางด้านศิลปวัฒนธรรม สังคมไทยทั่วไปยังเป็นสังคมกสิกรรมที่ต่อยอดมาจากพื้นฐานของสังคมชาวนา ประชาชนมีราว ๑๗-๑๘ ล้านคน ยังอยู่กินแบบเป็นบ้านเมืองท้องถิ่นที่มีสภาพแวดล้อมธรรมชาติ แต่ละท้องถิ่นมีระยะห่างกันจนแลเห็นทั้งความหลากหลายทางวัฒนธรรมโดยเฉพาะอัตลักษณ์วัฒนธรรมของแต่ละถิ่น ที่สำคัญคนส่วนใหญ่ไม่เดือดร้อนในเรื่องอาหารการกิน ที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน วัดยังดำรงอยู่ในฐานะเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและประเพณีวัฒนธรรม คงเป็นเช่นนี้กระมังที่รัฐบาลคิดเรื่องวัฒนธรรมเป็นแต่ศิลปวัฒนธรรม จึงได้ตั้งกระทรวงวัฒนธรรมขึ้นมา ครั้นสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ บ้านเมืองเปลี่ยน สังคมเปลี่ยนจากเกษตรกรรมมาเป็นอุตสาหกรรม ท้องถิ่นต่าง ๆ ถูกเชื่อมโยงกันด้วยกระบวนการอุตสาหกรรม [Industrialization] และการทำให้เป็นเมือง [Urbanization] ที่มีการเคลื่อนย้ายผู้คนไปตั้งถิ่นฐาน ไปเป็นแรงงาน เกิดเมืองและย่านที่อยู่อาศัยที่มีผู้คนอยู่กันหลายพวกเหล่า ที่เน้นแต่เรื่องการทำมาหากินและการหาความสุขทางวัตถุเฉพาะตนและกลุ่มเหล่า ส่วนการพัฒนาบ้านเมืองทางเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาลก็มีแต่มิติเศรษฐกิจการเมือง มากกว่ามิติทางสังคมวัฒนธรรมและความเป็นมนุษย์ ขาดมิติทางจิตวิญญาณและความเชื่อทางศาสนาอันเป็นเหตุให้เกิดแปรปรวนขึ้นในระบบศีลธรรม จริยธรรม และคุณธรรมทางสังคมของบ้านเมือง รัฐไม่สนใจเรื่องศีลธรรมและความมั่นคง ความสุขทางจิตใจ มุ่งทำอยู่แต่การให้ความสุขทางวัตถุ ในทางปัจเจกแก่ผู้คนแต่เพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะการมีรายได้ต่อหัวของประชาชาติ [GDP] ซึ่งก็มักสะท้อนออกมาให้เห็นจากการกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจในเรื่องการผลิตและส่งออกแทบทุกรัฐบาล การทำกสิกรรมที่สืบเนื่องมาจากการเป็นสังคมชาวนากำลังถูกแทนที่ด้วยเกษตรอุตสาหกรรมในประเทศของเรา ผลที่ตามมาในทุกวันนี้ก็คือ ที่ไหนเป็นเมืองใหญ่ อำเภอ และตำบลใหญ่ ๆ ที่เป็นแหล่งอุตสาหกรรมและเกษตรอุตสาหกรรม คนอยู่กันอย่างแออัดแทบไม่มีร่องรอยของชุมชนบ้าน [Village] และเมือง [Small town] แบบที่เคยมีอีกเลย ทั้งยังถูกคุกคามด้วยการไล่รื้อชุมชนเก่าเพื่อสร้างบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมขึ้นมาแทนที่ จนไม่สามารถบูรณาการให้เป็นชุมชนมนุษย์ได้ ความต้องการของชุมชนโดยเฉพาะนายทุน ข้าราชการ และชนชั้นแรงงานที่โยกย้ายถิ่นฐาน ดูไม่สนใจกับชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายเข้ากับธรรมชาติที่ระคนด้วยความสุขสงบทางจิตใจและจิตวิญญาณ กลับเห็นแต่การทำงานเพื่อเงิน เพื่อรายได้ เพื่อนำไปหาความสุขทางวัตถุเฉพาะตน เฉพาะครอบครัวและพวกพ้อง แตกแยกและแย่งผลประโยชน์จากฐานทรัพยากร แยกออกเป็นหลายก๊กหลายเหล่า [Factions] การแตกแยกและความขัดแย้งเพื่อผลประโยชน์ดังกล่าวนี้ ทำให้ไม่สามารถสร้างกลไกใด ๆ เพื่อการบูรณาการทางสังคมและวัฒนธรรมให้ผู้คนในชุมชนเกิดสำนึกร่วม [Sense of belonging] ถึงการเป็นกลุ่มคนพวกเดียวกันในชุมชนได้ ในทุกวันนี้ กระบวนการทำบ้านให้เป็นเมือง [Urbanization] และชนบทให้เป็นบ้านและนิคมอุตสาหกรรม [Industrialization] ได้แผ่ขยายกระจายไปแทบทุกท้องถิ่นในทุกภูมิภาค เกิดพื้นที่อยู่อาศัยและแหล่งทำกินใหม่ที่ไม่เป็นชุมชน [Community] ไปทั่วราชอาณาจักร ทำให้สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและวัฒนธรรมที่เคยดำรงอยู่อย่างมีดุลยภาพในสังคมเกษตรกรรมแบบเดิม คือ การล่มสลาย การรุกล้ำของแหล่งอุตสาหกรรม การสร้างพลังงานเพื่อการอุตสาหกรรม เช่น เขื่อนพลังงานไฟฟ้าและเขื่อนชลประทานเพื่อการเกษตรอุตสาหกรรม รวมทั้งการสร้างถนนหนทางเพื่อการคมนาคมขนส่ง คือ เหตุใหญ่ที่ทำลายสภาพแวดล้อมและภูมิวัฒนธรรม [Cultural landscape] ของบ้านเมืองที่เคยมีมาในอดีตให้เสื่อมหาย และเป็นเหตุให้เกิดภัยพิบัตินานาชนิดขึ้นในทุกวันนี้ ในทุกมิติ เช่น อากาศเสีย น้ำสกปรกเป็นพิษ เกิดอุทกภัยที่ไม่อาจคาดฝันหรือจัดการได้ และการล่มสลายของชุมชน โดยเฉพาะการล่มสลายของชุมชนนั้น เห็นชัดจากการรุกล้ำของการใช้ที่ดินสร้างบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม ทับลงไปในพื้นที่ชุมชนเดิม เกิดการเพิ่มของคนกลุ่มใหม่ที่เข้ามาอยู่อาศัยโดยที่ชุมชนเดิมไม่สามารถบูรณาการให้เกิดความสัมพันธ์ทางสังคม จนเกิดสำนึกร่วมของการเป็นคนในชุมชนเดียวกันได้ ผู้นำของชุมชนและคนสำคัญ เช่น ผู้ใหญ่บ้านที่มีการเลือกตั้งจากคนในชุมชน ผู้อาวุโส พระสงฆ์ผู้ใหญ่ที่เป็นพระอุปัชฌา เจ้าอาวาส แม้กระทั่งคนที่เป็นผู้มีอิทธิพลที่เรียกว่า นักเลงโต [Big man] ที่มีความรักท้องถิ่นก็ถูกแทนที่โดยคนที่มาจากภายนอก หรือเป็น “คนนอก” ไปเกือบหมด คนเหล่านี้ได้โอกาสจากกฎหมายของบ้านเมืองในรัฐรวมศูนย์ที่ได้รับการแต่งตั้งจากส่วนกลาง และจากการเลือกตั้งแบบซื้อเสียงขายเสียงเข้ามาดำรงตำแหน่ง และบริหารการปกครองเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากสภาวะการตามไม่ทันของคนในท้องถิ่น [Culture lag] เข้ามาแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์ ดังเช่นผู้ที่เป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และ เจ้าหน้าที่อบต. ที่ได้รับอำนาจการบริหารจัดการมาจากรัฐในส่วนกลาง ทำให้เกิดกลุ่มนายทุนทั้งในชาติและต่างชาติเข้ามายึดครองที่ดินและทรัพยากรท้องถิ่น โดยผ่านการรับรู้และช่วยเหลือของผู้ที่เป็นคนบริหารท้องถิ่นที่รับอำนาจจากรัฐ ไม่ว่าจะเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. หรือ อบจ. เป็นต้น ในลักษณะนี้การเติบโตแบบทำลายจากนิเวศการเมืองเศรษฐกิจที่มาจากรัฐและจากกระแสโลกาภิวัตน์ กำลังคุกคามทำลายร้างภูมินิเวศทางสังคมและวัฒนธรรมของผู้คนตามชุมชนที่มีมาแต่เดิมอย่างน่ากลัวและรุนแรง การเพิ่มพลังงานเพื่อการอุตสาหกรรมในเศรษฐกิจแบบส่งออก การสนับสนุนการท่องเที่ยวแบบดูแต่ตัวเลขจากรายได้ล้วนมีประโยชน์แก่บรรดานายทุนทั้งในประเทศและนอกประเทศเพื่อเพิ่มรายได้ต่อหัว [GDP] รวมทั้งการขยายพื้นที่เกษตรอุตสาหกรรมที่ทำให้คนท้องถิ่นที่มีอาชีพทางเกษตรกรรมจำนวน ๙๐ เปอร์เซนต์ มีที่ดินให้ทำกินเพียง ๑๐ เปอร์เซนต์ เท่านั้น ความวิบัติกำลังมาเยือนสังคมไทยทั้งประเทศ ปรากฏการณ์ของความรุนแรงในหลาย ๆ พื้นที่ของประเทศ โดยเฉพาะในสังคมเมือง ไม่ว่าเป็นเมืองใหญ่และเมืองเล็ก ล้วนมีที่มาจากความล่มสลายทางศีลธรรมและจริยธรรมของบรรดานักการเมือง ข้าราชการ นักวิชาการ และบรรดานายทุนทั้งสิ้น และเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งปรากฏการณ์ของการใช้อาวุธสงคราม ไม่ว่าจะเป็นปืนและระเบิดทำลายชีวิตผู้คนอย่างขาดความเป็นมนุษย์ [Dehumanization] ปรากฏการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นนี้ ในความคิดและประสบการณ์ของข้าพเจ้าเชื่อว่าคนในรัฐบาล นายทุน และนักวิชาการผู้มีหน้าที่เกี่ยวกับความมั่นคงทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ไม่เคยมีความสำนึก ดังเห็นจากแทบทุกภาคส่วนยังคงให้ความสำคัญกับนโยบายเศรษฐกิจเพื่อการส่งออกเพื่อเพิ่ม GDP อยู่นั่นเอง ดังเช่นการเปลี่ยนแปลงรองนายกรัฐมนตรีและเจ้ากระทรวง ทบวง กรม ที่มีหน้าที่ทางเศรษฐกิจจากคนเดิม กลุ่มเดิมมาเป็นกลุ่มใหม่ ช่างดูไม่มีอะไรต่างกัน เพราะทั้งคนใหม่และคนเก่าก็ยังยึดถือในเรื่องของ GDP ที่จะมาจากการส่งออกอยู่นั่นเอง นี่คือจุดอ่อนที่สุดของรัฐบาลชุดนี้ที่ข้าพเจ้าให้ความนิยมชมชอบมากกว่ารัฐบาลใด ๆ ที่แล้วมาทั้งในอดีต และปัจจุบัน รัฐบาลเผด็จการ คสช. ทำดีแล้ว ชอบแล้ว ในเรื่องยกเลิกรัฐบาลประชาธิปไตยทุนนิยมที่เป็นขี้ข้าอเมริกาและตะวันตก ได้คืนความสงบสุขและผาสุกแก่คนส่วนใหญ่ที่เป็นรากหญ้าของประเทศ ด้วยการปราบปรามคนรุนแรง ไร้ศีลธรรม และปราบปรามคนคอรัปชั่นโกงกินประเทศให้ถึงที่สุด บ้านเมืองจะดีได้ก็เพราะสิ่งเช่นนี้คือพื้นฐาน แต่ไม่ควรจะให้ความสนใจกับสภาวะทางเศรษฐกิจที่มีผู้ประสงค์ดี และประสงค์ร้ายที่ออกมาตำหนิว่า เป็นสิ่งที่ทำให้บ้านเมืองเดือดร้อน ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าเดือดร้อนอยู่ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ทั้งนักการเมือง นายทุน และนักวิชาการที่ตามกระแสโลกาภิวัตน์ที่เน้นแต่การส่งออกและ GDP คนเหล่านี้คือคนส่วนบน แต่ไม่เคยเข้าใจในชีวิตวัฒนธรรมของคนส่วนล่างตามท้องถิ่นแม้แต่น้อย การกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจจากจากข้างบนและจากภายนอกในกระแสโลกาภิวัตน์เพื่อ GDP นั่นคือความฉิบหายขายตัวในระยะยาว แต่ในประสบการณ์ของข้าพเจ้าที่ทำงานทางสังคมวัฒนธรรมท้องถิ่นกับบรรดาผู้คนในชุมชนข้างล่าง กลับได้เห็นและสัมผัสว่า ท่ามกลางการคุกคามของทุนนิยมที่มาจากโลกาภิวัตน์นั้น คนรากหญ้าในชุมชนท้องถิ่นที่มีมาแต่เดิม กลับมีชีวิตที่พอเพียงเหมาะสมกับอัตภาพ ที่ไม่ต้องขวนขวายทำงานเพื่อหาเงินอย่างตัวเป็นเกลียวเพื่อให้มี GDP เพิ่ม จนไม่มีเวลาผ่อนคลาย แต่มี GNH แทน อันเป็นความสุขมวลรวมของผู้คนในชุมชนที่สะท้อนให้เห็นจากชีวิตความเป็นอยู่ในครัวเรือนที่มีคนอย่างน้อยสามรุ่นอยู่ด้วยกัน คือ ปู่ย่าตายาย พ่อแม่ ลูก และหลาน โดยเฉพาะในเวลาไปวัดทำบุญไหว้พระ หรือไหว้ศาลเจ้า ศาลผี มีงานเลี้ยงฉลองจะพากันเดินจูงกันไปทั้งครอบครัว ต่างคนต่างพาครอบครัวไปทำบุญ ไปกินเลี้ยงในงานประเพณี พิธีกรรม ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาของความผ่อนคลาย และความสุขตามกาลเทศะในชีวิตร่วมกันในชุมชน สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยสูญหายไปจากการมีชีวิตร่วมกันของคนในชุมชนก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับความเชื่อ และอำนาจนอกเหนือธรรมชาติ ที่สะท้อนให้เห็นถึงการมีอยู่อย่างสืบเนื่องของวัดและศาลผี เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดไม่ได้ในแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่ เช่น คอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร และอพาร์ทเม้นท์ อย่างไรก็ตาม ในระหว่างวัดกับศาลผีในโลกของวัตถุนิยมปัจจุบัน วัดมีอาการและสภาพเปลี่ยนไปเป็นอันมาก อันเนื่องจากพระสงฆ์ที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป พระชั้นผู้ใหญ่และผู้น้อยมีพฤติกรรมเป็นอลัชชี อาศัยความเป็นพระในคราบผ้าเหลือง ไม่ยึดมั่นในการปฏิบัติธรรม ออกไปท่องเที่ยวมั่วสีกา เสพเมถุน ขายเครื่องรางของขลัง โดยเฉพาะพระที่มีบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าอาวาสวัดใหญ่ ๆ ที่มีข่าวในขณะนี้ รื้อโบราณสถาน ไล่รื้อบ้านเรือนของผู้คนในชุมชนที่อยู่กับวัดมาเป็นเวลาร้อย ๆ ปี งานเลี้ยงผีประจำปี การแสดงขับลำที่ศาลเจ้าพ่อศรีนครเตา อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม อันเป็นเพราะรัฐฆารวาสและรัฐสงฆ์ได้ให้อำนาจกฎหมายแก่พระเทวทัตเหล่านั้น ปฏิบัติการรื้อชุมชนเอาที่ไปขาย หรือไปให้นายทุนก่อสร้างสถานที่ทางธุรกิจและอาคารพานิชยสถาน เท่าที่ข้าพเจ้าไปสัมผัสมาพบว่า คนไทยที่เป็นชาวบ้านเป็นปัญญาชน ผู้มีความสุขมวลชนนั้น มีแนวโน้มที่จะนับถือพระพุทธศาสนาแค่เพียงพระพุทธ พระธรรมเท่านั้น พระสงฆ์หายไปมาก แต่มีการกราบไหว้นับถือที่เป็นที่พึ่งทางจิตใจและสมานความสัมพันธ์ทางสังคมของคนในชุมชนแทน “ผี” ดูพึ่งได้ในโลกนี้ แต่พุทธเป็นเรื่องของตามบุญตามกรรมในโลกหน้า ชีวิตในชุมชน ถ้าหากขาดพระพุทธ พระธรรม และผีแล้ว คงหาความสุขมวลรวมได้ยาก ทุกวันนี้ที่ใดมีวัดที่เป็นศูนย์กลางของชุมชน มีชื่อวัดและบ้านเป็นชื่อเดียวกันเท่านั้น แต่วัดไหนที่กลายเป็นวัดใหญ่โตสร้างด้วยอิฐด้วยหินในรูปแบบสถาปัตยกรรมที่อลังการเกินฐานะของผู้คนในชุมชนแล้ว ก็มีอคติไว้ก่อนได้เลยว่า วัดนั้นไม่เป็นวัดของชุมชน หากเป็นอาศรมของพระดัง ๆ ที่มีนายทุนและผู้ที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจการเมืองมาช่วยสร้างและสนับสนุน ต่างกับศาลผีที่ดำรงอยู่กับชาวบ้านชาวเมืองอย่างยั่งยืน ในที่สุดก็อยากแสดงความเห็นว่า GDP นั้น เป็นเรื่องของปัจเจก โดยเฉพาะในหมู่คนที่เน้นวัตถุมากกว่าความสุขทางจิตวิญญาณ ในขณะที่ GNH คือความสุขมวลรวมของคนในชุมชนที่สืบมาแต่สังคมชาวนา อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- การขายวัฒนธรรมเพื่อการท่องเที่ยว คือ การขายความเป็นมนุษย์
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ต.ค. 2558 สมัยยังรับราชการอยู่ ข้าพเจ้ามีโอกาสเข้าไปสัมพันธ์กับองค์การยูเนสโกในเรื่องการจัดการทางวัฒนธรรม ตั้งแต่สมัยการจัดตั้งอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยกว่ายี่สิบปีมาแล้ว องค์การยูเนสโกได้ส่งนักวิชาการทางด้านพัฒนาศิลปวัฒนธรรมจากชาติต่าง ๆ ให้เข้ามาดูงานและร่วมงานที่ดูเหมือนจะหักเหไปจากการสร้างแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมให้เป็นมรดกโลกเพื่อการเรียนรู้ ที่จะนำไปสู่การเข้าใจในความเป็นมนุษย์ที่จะต้องอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขในโลก มาเป็นเพื่อการจัดการแหล่งมรดกโลกเพื่อการท่องเที่ยว ดังแลเห็นกันอยู่ในทุกวันนี้ เมืองหลวงพระบางที่กลายเป็นเมืองมรดกโลก ข้าพเจ้าได้พบปะกับนักวิชาการชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งที่เป็นตัวแทนองค์การยูเนสโกเข้ามาทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของโครงการอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย คน ๆ นี้พยายามจะเสนอให้มีการจัดระเบียบแบบแผนอุทยานเพื่อการท่องเที่ยวให้คล้ายกันกับเมืองโบราณในเม็กซิโก ทำให้นักวิชาการกรมศิลปากรคล้อยตามด้วยพักหนึ่ง แต่แล้วก็เลิกล้มไป แต่สิ่งที่กินใจข้าพเจ้ามาจนทุกวันนี้คือ การมองแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมและประเพณีวัฒนธรรมว่าเป็น “ ทุนวัฒนธรรม ” ซึ่งมุ่งให้เกิดรายได้จากการท่องเที่ยว โดยใช้วัฒนธรรมเป็นทุน คำศัพท์ใหม่ที่มองวัฒนธรรมเป็นเรื่องเศรษฐกิจนี้ ติดตามมาด้วยทรัพยากรมนุษย์ที่เห็นชีวิตมนุษย์เป็นแรงงานทางเศรษฐกิจ เฉกเช่น ช้าง ม้า วัว ควาย และเครื่องจักรยนต์ ปัจจุบันทั้งคำว่า “ทุนทางวัฒนธรรม” และ “ทรัพยากรมนุษย์” นี้ใช้กันอย่างเกลื่อนกลาด พร้อมกันกับเกิดสถาบันการศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เรียนกันเป็นขั้นปริญญาตามมหาวิทยาลัย ข้าพเจ้าได้รับการศึกษาทางวิชามานุษยวิทยาสังคมแบบเก่า ๆ ที่เน้นแนวคิดและทฤษฎีทางวัฒนธรรมในเรื่องโครงสร้างและหน้าที่ [Structural / Functional] ที่มองโลกและมองมนุษย์ว่า เป็นสัตว์สังคมที่ต้องสร้างวัฒนธรรมขึ้นมาเพื่อการมีชีวิตรอดร่วมกัน วัฒนธรรมไม่ใช่เป็นทุนทางเศรษฐกิจและมนุษย์ก็หาใช่ทรัพยากรไม่ แต่เป็นจุลจักรวาล [Microscopic of universe] การศึกษาทางสังคมและวัฒนธรรมคือสิ่งที่ทำให้เกิดความเข้าใจในความเป็นมนุษย์เพื่อที่มนุษย์ทุกชาติทุกภาษาและเผ่าพันธุ์ในพื้นพิภพนี้ได้เข้าใจกันและอยู่ร่วมกันอย่างมีสันติสุข นักมานุษยวิทยาต้องศึกษาให้รู้จักคำว่าสังคมวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลง การเหมือนกัน และการแตกต่างทางสังคมวัฒนธรรม จึงจะเข้าใจในความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะวัฒนธรรมนั้นไม่อาจศึกษาในลักษณะลอยโดดโดยไม่เกี่ยวข้องกับสังคมได้ ต้องสัมพันธ์กับโครงสร้างสังคมอันเป็นบริบท [Social context] จึงจะแลเห็นความแตกต่างกันหรือคล้ายคลึงกันของความเป็นมนุษย์ได้ วัฒนธรรมที่คนที่อยู่ในสังคมสร้างขึ้นเพื่อการมีชีวิตรอดร่วมกันนั้นมีหน้าที่และความหมายสำคัญ ๆ ๔ อย่างคือ ๑. เพื่อการมีชีวิตรอดร่วมกัน [Survival] ๒. เพื่อการอบรม [Orientation] ๓. เพื่อการสื่อสารและการสังสรรค์ [Communication] ๔. เพื่อทางบูรณาการ [Integration] เพราะฉะนั้น ในการรับรู้ของนักมานุษยวิทยาและสังคมวิทยารุ่นก่อน ๆ วัฒนธรรมไม่เคยถูกมองว่าเป็นทุน คงมีแต่นักวิชาการมานุษยวิทยารุ่นใหม่ ๆ ที่เป็นพวกหลังสมัยใหม่เท่านั้นที่ไปผสมพันธุ์กับเศรษฐศาสตร์และอีกหลายศาสตร์ในยุคโลกาภิวัฒน์ที่เห็นว่าวัฒนธรรมเป็นทุน เพราะเมื่อเข้าใจและรับรู้ว่าเป็นทุน ก็สามารถนำไปเป็นต้นทุนในการผลิตเพื่อขายได้เลย สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลทุนนิยม เช่น ประเทศไทยที่หารายได้เข้าประเทศ ต้องการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่สนับสนุนการอนุรักษ์และพัฒนามรดกทางวัฒนธรรมเพื่อการค้าขาย ซึ่งในที่นี้ขอพูดย่อ ๆ ว่า วัฒนธรรมเพื่อขาย [Culture for sale] หรือการขายวัฒนธรรมนั่นเอง ดูสอดคล้องกันกับการพัฒนาแหล่งมรดกโลกให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวนานาชาติขององค์การยูเนสโก ด้วยการสนับสนุนขององค์การยูเนสโกที่กำหนดให้คณะกรรมการมรดกโลกดำเนินการช่วยเหลือในการอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งมรดกโลกในที่ต่าง ๆ ทั่วโลก โดยมีเป้าหมายเพื่อการท่องเที่ยวมากกว่าการเรียนรู้ ทำให้เกิดแหล่งมรดกโลกที่รับรองโดยองค์การยูเนสโกขึ้นแทบทุกประเทศที่ขานรับการท่องเที่ยวเพื่อให้มีรายได้เข้าประเทศ เพิ่มรายได้ต่อหัว [GDP)] ให้แก่ประชาชน ผลที่ตามมาก็คือ การขายวัฒนธรรมเกิดขึ้นที่มีอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยเป็นแหล่งมรดกโลกเพื่อขายเกิดขึ้นมาเป็นแห่งแรก แล้วต่อมาก็เป็นหลวงพระบางที่ประเทศลาว เมืองฮอยอันในประเทศเวียดนาม ทำให้เกิดความกำหนัดเกิดขึ้นกับรัฐบาลและหน่วยงานทางวัฒนธรรมของบ้านเมืองที่ต่างก็เสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นและของจังหวัดให้เป็นมรดกโลกกับเขาบ้าง แหล่งมรดกโลกเพื่อขายที่แสดงให้เห็นถึงความชั่วร้ายขององค์การยูเนสโกที่ต้องนำมาเสนอให้เห็นเป็นอุทาหรณ์ในที่นี้ก็คือ “ หลวงพระบาง ” และ “ ปราสาทพระวิหาร ” หลวงพระบางคือผลของความชั่วร้ายที่สำเร็จแล้วและกระทำแล้วในขณะที่ปราสาทพระวิหารยังไม่สำเร็จดี ภูโลง สัญลักษณ์ที่บอกเล่าตำนานบ้านเมืองในภูมิวัฒนธรรมของหลวงพระบางและบ้านเมืองในเขตแม่น้ำโขงภายใน ความชั่วที่ทำให้สำเร็จแล้วด้วยดี เช่น หลวงพระบาง สุโขทัย และแหล่งอื่น ๆ เช่น อยุธยา และอีกหลายแห่งที่ตามมาก็คือ สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและประวัติศาสตร์ของแหล่งวัฒนธรรมที่มาแต่เดิมถูกปรับเปลี่ยนด้วยแผนผังบริเวณใหม่ให้มีถนนหนทางและโครงสร้างทางกายภาพ เช่น ร้านค้า ภัตตาคาร โรงแรม รีสอร์ท แหล่งสันทนาการเข้ามาจัดตั้ง เกิดย่านตลาดนานาชาติเข้ามาแทนที่ อาคารบ้านเรือน แหล่งศักดิ์สิทธิ์ของบ้านเมืองแต่ก่อน ช่นหลวงพระบางที่มีแต่เปลือก คือมีการอนุรักษ์อาคารต่าง ๆ ในรูปแบบของเดิม แต่ผู้คนในสังคมที่เคยอยู่อาศัยเป็นชาวบ้านชาวเมืองแทบไม่เหลืออยู่ ต่างให้เช่าที่หรือขายที่ขายบ้านเรือนให้กับพ่อค้านานาชาติเข้าไปตั้งหลักแหล่งค้าขาย ในขณะที่ครอบครัวของคนหลวงพระบางย้ายออกไปอยู่ที่อื่น ทุกวันนี้ทั้งหลวงพระบางและฮอยอันคือตลาดค้าขายนานาชาติ ส่วนปราสาทพระวิหารนั้นยังอยู่ในสถานที่เป็นแหล่งมรดกโลกขององค์การยูเนสโกที่ยังไม่สำเร็จสมบูรณ์ที่สร้างความขัดแย้งกันในเรื่องดินแดนระหว่างไทยและกัมพูชา จนทำให้เกิดการสู้รบล้มตายกันขึ้น ข้าพเจ้าเคยตั้งคำถามว่าถ้าหากความขัดแย้งในเรื่องดินแดนยุติลง และองค์กรมรดกโลกเข้ามากำหนดและจัดการมรดกโลก ปราสาทพระวิหารที่มีพื้นปริมณฑลทั้งในเขตแดนไทยและกัมพูชาแล้ว คนไทยและคนกัมพูชาจะได้ประโยชน์อันใดจากแหล่งมรดกโลกแห่งนี้ เพราะคำตอบที่เห็นอยู่รำไร ๆ ก็คือ แหล่งมรดกโลกจะกลายเป็นพื้นที่สัมปทานที่นายทุนคนต่างชาติจะแย่งแข่งขันกันเข้ามาจัดการท่องเที่ยว การค้าขายและบริการ เปลี่ยนแปลงโบราณสถานให้เป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่เหมือนจริง เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้ามาแสวงหาความเพลิดเพลินมากกว่าการเรียนรู้และรายได้ก็จะไปตกแก่นักการเมืองนายทุนผู้มีอำนาจทั้งข้างชาติและในชาติ ดังเช่นแหล่งมรดกโลกนครวัดนครธมในทุกวันนี้ นอกจากแหล่งโบราณคดีประวัติศาสตร์ที่เป็นมรดกโลกเพื่อขายดังที่กล่าวมาแล้ว องค์กรมรดกโลกและองค์การยูเนสโกยังทำมากไปกว่านี้ด้วยการเสนอให้มีการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ [Intangible cultural heritage] เพื่อขายแนวคิดแนวทางและวิธีการให้กับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานทางวัฒนธรรมของหลาย ๆ ประเทศไปทั่ว ซึ่งรวมทั้งประเทศไทยด้วยโดยเฉพาะกระทรวงวัฒนธรรม ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร และมหาวิทยาลัยทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ทำให้เกิดการศึกษาวิจัยเพื่อการอนุรักษ์และการจดทะเบียนเพื่อป้องกันการลอกเลียนและการขโมยไปอ้างกรรมสิทธิ์ ทำให้มีการให้ทุนแก่นักวิชาการ นักวิจัย ทำการศึกษาไปทั่ว แต่เท่าที่ติดตามผลมาก็ยังไม่รู้ว่ามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้นั้นคืออะไรกันแน่ คนที่รับกรรมมากที่สุดคือ คนธรรมดาสามัญชนทั่วไปที่เมื่อแลเห็นผลการวิจัยเผยแพร่แล้วคืออะไร และมีความหมายความสำคัญแก่เขาเหล่านั้นอย่างไรบ้าง นับเป็นผลงานที่สื่อไม่ได้แก่คนธรรมดา นอกจากเก็บไว้ตามหลังสมุดและศูนย์วิจัยที่รอเวลาให้บรรดานักวิชาการ นักออกแบบ การทำกิจกรรมทางวัฒนธรรมเพื่อการท่องเที่ยวนำไปใช้เพื่อสร้างสิ่งใหม่ ๆ เพื่อการท่องเที่ยว ในความเข้าใจของข้าพเจ้า ความหมายของมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้นี้คือ ประเพณีวัฒนธรรม เช่นประเพณีเกี่ยวกับชีวิต ประเพณีสิบสองเดือน และประเพณีพิธีกรรมในเรื่องอื่น ๆ เพราะล้วนแล้วแต่เป็นกระบวนการในการกระทำและเห็นอะไรเป็นรูปธรรม เช่นสิ่งที่เป็นศิลปวัฒนธรรม อีกทั้งมีลักษณะเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงรูปแบบไปตามบริบททางสังคมของท้องถิ่น นั่นก็หมายความว่ามรดกทางวัฒนธรรมดังกล่าวนี้หาได้อยู่ลอย ๆ อย่างจับต้องไม่ได้ ตามคำนิยามขององค์การยูเนสโก บาปกรรมขององค์การยูเนสโกอยู่ในลักษณะที่ว่า ไม่พูดถึงบริบททางสังคม ซึ่งหมายความถึงชุมชนหรือสังคมที่เป็นเจ้าของวัฒนธรรมนั้น ในแนวคิดทางมานุษยวิทยานั้น อาจแลเห็นความหมายความสำคัญของวัฒนธรรมได้นั้น สิ่งที่เป็นวัฒนธรรมต้องมีบริบททางสังคมจึงจะเรียกว่าเป็นวัฒนธรรม เพราะวัฒนธรรมคือสิ่งที่มนุษย์ในสังคมสร้างขึ้นเพื่อดำรงชีวิตรอดร่วมกัน ผิดไปจากนี้แล้ววัฒนธรรมทั้งที่เป็นศิลปวัตถุและประเพณีวัฒนธรรมก็เป็นแต่เพียงสิ่งของหรือสินค้าเพื่อการแลกเปลี่ยนกลายเป็น “วัฒนธรรมเพื่อขาย” [Culture for sale] เท่านั้นเอง แต่ในกระแสของการท่องเที่ยวที่มีการขายประเพณีวัฒนธรรมตามท้องถิ่นต่างนั้น ในที่นี้ข้าพเจ้าจำต้องขยายความหมายถึงวัฒนธรรมและบริบททางสังคมเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจของคนทั่วไปนั้นคือ เพื่อทำให้เป็นรูปธรรมขึ้น คำว่า “สังคม” ในที่นี้ก็คือ “ชุมชน” [Community] นั่นเอง สังคมหมายถึงการอยู่รวมกันของกลุ่มชนอย่างมีโครงสร้าง แต่ชุมชนนั้นหมายถึงกลุ่มคนที่อยู่เป็นกลุ่มและมีโครงสร้างสัมพันธ์กับพื้นที่ [Space] และเวลา [Time] อย่างที่เรียกสั้น ๆ ตามสำนวนไทยว่า “กาละเทศะ” นั่นเอง เมื่อทำความเข้าใจในเรื่องนี้ได้ก็พอจะเห็นได้ว่า การเอาวัฒนธรรมลอย ๆ ไม่ว่าจะเป็นศิลปวัตถุหรือประเพณีวัฒนธรรมมาปรุงแต่งหรือสร้างสรรค์ [Creative economy] เพื่อการท่องเที่ยวอย่างที่ ททท. หรือทางจังหวัดและอำเภอตามการกำหนดของผู้มีอำนาจของบ้านเมืองนั้น คือการกระทำที่ขายวัฒนธรรม [Commodity action of cultural heritage] เมืองมรดกโลกที่กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ไร้การสืบทอดความหมายของบ้านเมืองแบบโบราณ การขายวัฒนธรรมของสังคมหรือชุมชน ก็คือการขายความเป็นมนุษย์กันเอง ในหลาย ๆ บทความของข้าพเจ้าที่ผ่านมา ได้กล่าวถึงบรรดาแหล่งมรดกโลกและแหล่งโบราณคดีประวัติศาสตร์หลายแห่งที่มีการพัฒนาขึ้นเพื่อขายศิลปวัฒนธรรมและประเพณีวัฒนธรรมให้แก่การท่องเที่ยว อย่างเช่นการจุดเทียนเผาไฟเพื่อลอยกระทงของอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยที่ผ่านมาไม่นานนี้ ที่เป็นการขายวัฒนธรรมก็เพราะ จากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์การลอยกระทงเป็นของชุมชนบ้านเมืองในลุ่มน้ำ เช่นอยุธยาและกรุงเทพฯ ที่พอเชื่อได้ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อเป็นงานนักขัตฤกษ์ให้แก่ผู้คนที่เป็นประชาชนได้รื่นเริงกัน “.....นักขัตฤกษ์ประชาราษฎร์สโมสร สว่างไสวไปทั่วทั้งพระนคร ทิฆัมพรแจ่มแจ้งแสงจันทร์เอย” แต่สุโขทัยก็ยังเปรียบไม่เท่ากับเทศกาลผีตาโขน อำเภอด่านซ้าย ของจังหวัดเลย ที่เปลี่ยนประเพณีศักดิ์สิทธิ์บุญพระเวสของคนในชุมชนและสังคม มาเป็นการเล่นแห่ผีตาโขนที่เป็นของอัปมงคลและสาธารณ์ที่ไม่เคยอยู่ในสารบบการมองโลกในความเป็นมนุษย์ของคนด่านซ้ายแต่ดั้งเดิม อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ภาวะ “ล้มละลายความเป็นมนุษย์” ในสังคมไทย
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2559 ข้าพเจ้าเป็นนักมานุษยวิทยารุ่นเก่า การมองโลกแนวคิดทฤษฎีและวิธีการก็เป็นแบบรุ่นเก่า ต่างไปจากรุ่นใหม่ที่เรียกว่ารุ่นหลังสมัยใหม่ [Post modern] เขตเทือกเขาและที่สูงในจังหวัดน่าน ที่ใช้ปลูกพืชแบบเกษตรอุตสาหกรรม เช่น ข้าวโพด ความมุ่งหมายของนักมานุษยวิทยาคือ การศึกษาให้เข้าใจถึงความเป็นมนุษย์ในฐานะที่เป็นสัตว์โลกชนิดหนึ่งที่มีวิวัฒนาการ [Evolution] แตกต่างไปจากสัตว์โลกอื่นที่เป็นเดรัจฉานอย่างไร โดยอาศัยวิชาที่เป็นสาขาคือ มานุษยวิทยากายภาพ [Physical Anthropology] และวิชาโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ [Prehistoric Archaeology] เป็นเครื่องมือศึกษาให้เห็นขั้นตอนของวิวัฒนาการ มานุษยวิทยากายภาพศึกษาให้เห็นวิวัฒนาการทางร่างกายและชีววิทยาที่ทำให้เห็นว่ามนุษย์คือสัตว์คล้ายลิงที่มีวิวัฒนาการเลยเส้นแบ่งของสัตว์เดรัจฉานมาเป็นสัตว์มนุษย์ [Homosapien Sapiens] ที่มีความสามารถในการเรียนรู้สื่อสารกันได้ด้านภาษาเชิงสัญลักษณ์ และเป็นสัตว์สังคม [Social animal] ชนิดหนึ่ง ในขณะที่วิชาโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ ศึกษามนุษย์ในฐานะเป็นสัตว์วัฒนธรรมที่เรียกว่า Tool maker คือสามารถคิดเครื่องมือเครื่องใช้ เช่น เครื่องมือหินเพื่อการดำรงชีวิตรอด สิ่งที่มนุษย์ในฐานะสัตว์สังคมที่ต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเหล่าคิดขึ้นเพื่อการมีชีวิตรอดร่วมกัน นั่นคือ วัฒนธรรม [Culture] วิชาโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์นับเนื่องเป็นสาขาหนึ่งของวิชามานุษยวิทยาวัฒนธรรม [Cultural Anthropology] ที่เน้นการศึกษาด้านวัฒนธรรมเป็นหลัก แต่วิชาที่ข้าพเจ้าได้รับการอบรมมาเป็นวิชามนุษย์วิทยาสังคม [Social Anthropology] เพราะฉะนั้นเวลาที่พูดถึงวัฒนธรรมในหนทางของข้าพเจ้าจึงต้องมองทั้งวัฒนธรรมและสังคมอย่างแยกกันออกไป เปรียบเสมือนเหรียญที่มีสองด้านในเหรียญเดียวกัน ถ้าหากวัฒนธรรมคือเนื้อหา สังคมก็คือบริบท [Social context] ยกตัวอย่างเช่นเรื่องประชาธิปไตยในประเทศไทยในขณะนี้ คนส่วนใหญ่สับสนระหว่างประชาธิปไตยลอย ๆ แบบอุดมคติ ว่าต้องเป็นเช่นนั้นเช่นนี้แล้วอ้างและเลียนแบบประชาธิปไตยแบบอเมริกามาเป็นสากล ในขณะที่ประชาธิปไตยในสังคมไทยที่อยู่ในบริบททางสังคมคือ ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หาใช่ประธานาธิบดีแบบอเมริกันเป็นประมุขไม่ เพราะมีรูปแบบและระบบทางสังคมเศรษฐกิจแตกต่างกัน ไม่ควรที่จะคิดค้นเองแบบลอย ๆ หรือที่เรียกว่า “มโน” แล้วมาวิวาทกันอย่างในปัจจุบัน วิชามานุษยวิทยาสังคมแบบเก่า ๆ ที่ข้าพเจ้าเล่าเรียนมานั้น เรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า สังคมวิทยาเปรียบเทียบ [Comparative Sociology] คือศึกษาเปรียบเทียบสังคมหนึ่งแตกต่างจากสังคมอื่น ๆ ในลักษณะเหมือนกัน คล้ายคลึงกัน หรือแตกต่างกันอย่างไร และมักเป็นการศึกษาสังคมขนาดเล็ก เช่น สังคมตามท้องถิ่นที่เป็นเผ่าพันธุ์ หรือสังคมแบบประเพณี และปล่อยให้เป็นเรื่องของนักสังคมวิทยาศึกษาสังคมเมืองหรือสังคมใหญ่ ๆ ที่มีความซับซ้อนแทน ในลักษณะที่เป็นอีกวิชาหนึ่งที่เป็นเอกเทศ สิ่งที่ข้าพเจ้าสนใจมากในเชิงวิวัฒนาการก็คือ ความเป็นมนุษย์และความล่มสลายทางสังคม วัฒนธรรมและความเป็นมนุษย์ ข้าพเจ้าได้รับการอบรมให้เห็นว่า มนุษย์นอกจากเป็นสัตว์สังคมที่ต้องอยู่รวมกันในครอบครัวและชุมชนแล้ว มนุษย์ยังเป็นสัตว์เศรษฐกิจ สัตว์การเมือง และสัตว์ศีลธรรม [Moral being] โดยเฉพาะความเป็นสัตว์ศีลธรรมนั้น ถ้าหมดไป ความล่มสลายของความเป็นมนุษย์ก็จะสิ้นสุดลง [Dehumanization] แต่การล่มสลายของความเป็นมนุษย์นั้นก็หาได้หมายถึงการล่มสลายของสังคมมนุษย์ไม่ เป็นแต่เพียงปรากฏการณ์ของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมในเวลาและพื้นที่หนึ่ง ๆ เช่นนั้น เช่นสังคมบุพกาลในสมัยแรก ๆ เป็นสังคมแบบเผ่าพันธุ์ [Tribal society] ที่คนมารวมกลุ่มกันด้วยความสัมพันธ์ทางเครือญาติจากสายเลือดและการแต่งงานของคนที่เป็นชาติพันธุ์เดียวกัน มาเป็นสังคมชาวนา [Peasant society] ที่ผู้คนหลายชาติพันธุ์ หลายภาษา และเครือญาติเข้ามาอยู่รวมกันในพื้นที่เดียวกัน ทำให้เกิดความใกล้ชิดและความรู้สึกนึกคิดเป็นคนที่เกิดในพื้นที่หรือบ้านเกิดเดียวกัน “สังคมชาวนา” [Peasant society] แตกต่างไปจาก “สังคมเผ่าพันธุ์” [Tribal society] ในแง่ที่เป็น “ส่วนหนึ่งของสังคมใหญ่” [Part society] คือเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเมือง รัฐ และในที่สุดก็ประเทศชาติ ที่มีวัฒนธรรมสองระดับ คือ “ประเพณีหลวง” ของสังคมเมืองหรือรัฐอันเป็นส่วนรวมกับ “ประเพณีราษฎร์” ในระดับท้องถิ่น “ประเพณีหลวง” เป็นวัฒนธรรมของคนในสังคมเมื่อทำหน้าที่บูรณาการให้ “ประเพณีราษฎร์” ที่มีความแตกต่างและหลากหลายในท้องถิ่นเกิดสำนึกเป็นผู้คนในสังคมของแผ่นดินหรือชาติเดียวกัน การเกิดขึ้นของการศึกษาวิชามานุษยวิทยาของนักมานุษยวิทยารุ่นเก่าส่วนหนึ่งนั้น ต้องการศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของความเป็นมนุษย์ที่รวมกันกลุ่มเป็นพวกเดียวกัน ว่าเปลี่ยนแปลงไปในทางราบรื่นในครรลองของความเป็นมนุษย์ หรือเปลี่ยนแปลงไปในทางขัดแย้งรุนแรงจนเกิดภาวะล่มสลายในความเป็นมนุษย์หรือไม่ เพราะสังคมมนุษย์เป็นสังคมที่ไม่หยุดนิ่ง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาในมิติทางพื้นที่และเวลา เหตุของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมนั้นเกิดขึ้น ๒ ทาง ทางแรกจากภายในสังคมหรือชุมชนนั้น อันเนื่องมาจากนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่คนใน [Insider] สังคมนั้นคิดขึ้นมา กับทางที่สองคือจากการติดต่อเกี่ยวข้องจากภายนอกแล้วรับเอาสิ่งใหม่ ๆ แปลก ๆ เข้ามา [Culture contact] เขตเทือกเขาและที่สูงในจังหวัดน่าน ที่ใช้ปลูกพืชแบบเกษตรอุตสาหกรรม เช่น ข้าวโพด ในประวัติศาสตร์การล่มสลายของความเป็นมนุษย์ในสังคมแบบเผ่าพันธุ์และสังคมชาวนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และในอีกหลายภูมิภาคของโลกนั้น เกิดขึ้นในสมัยล่าอาณานิคมของประเทศทางตะวันตก ที่ทำให้คนในสังคมคิดอะไรที่เหมาะสมไม่เป็น แล้วไปรับเอาสิ่งที่เห็นว่าดีงามจากภายนอกเข้ามา ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นภายในประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งก็คือการถูกบังคับจากอำนาจทางการเมืองเศรษฐกิจของผู้มีอำนาจจากภายนอก เช่น จากรัฐหรือจากต่างชาติ ทำเอากฎเกณฑ์ใหม่ ๆ สิ่งใหม่ ๆ เข้ามาแทนที่ของเก่าที่มีอยู่แล้วในสังคม ในดินแดนประเทศไทย สังคมเผ่าพันธุ์ [Tribal society] เปลี่ยนแปลงและสูญหายไปเกือบหมดแล้ว อันเนื่องของการเติบโตของสังคมชาวนาและรัฐที่ทำให้ความเป็นสังคมเผ่าพันธุ์ล่มสลายและคงเหลืออยู่ในพื้นที่ชายขอบของรัฐบางแห่งเท่านั้น ความต่างกันของสังคมเผ่าพันธุ์กับสังคมชาวนานั้นอยู่ที่ สังคมเผ่าพันธุ์ของคนแต่ละกลุ่มเป็นสังคมอิสระมีอำนาจดูแลกันเองภายใน โดยอาศัยความสัมพันธ์กันทางระบบเครือญาติ โคตรเง่า ตระกูล และครอบครัว ในขณะที่สังคมชาวนาหาเป็นอิสระไม่ แต่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมใหญ่ [Part society] คือต้องพึ่งพิงเมืองและรัฐทางการเมืองและเศรษฐกิจ ความเป็นปึกแผ่นและความมั่นคงทางสังคมไม่ได้เกิดจากโครงสร้างสังคมในระบบเครือญาติ [Kinship] ของเผ่าพันธุ์ หากอยู่ที่พื้นที่ซึ่งผู้คนในชุมชนตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชนบ้านและเมืองอยู่ร่วมกันในลักษณะแผ่นดินเกิด ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากความรู้สึกร่วมของคนว่า เป็นคนบ้านไหนและเมืองไหน เป็นต้น หาได้เอาความเป็นชาติพันธุ์มาเป็นศูนย์รวม การล่มสลายของสังคมเผ่าพันธุ์และสังคมชาวนาในดินแดนประเทศไทยนั้นมีเหตุใหญ่ ๆ มาจากการเปลี่ยนแปลงที่มาจากภายนอก คือ เมื่อมีอิทธิพลทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมเข้ามานั้น คนในสังคมไม่สามารถเลือกเฟ้นและจัดการให้เข้ากันจนเกิดดุลยภาพระหว่างสิ่งใหม่ ๆ และของเก่า ๆ ได้ ก็จะเกิดการขัดแย้ง [Conflict] ขึ้น โดยเฉพาะความขัดแย้งทางศีลธรรมที่ทำให้ศีลธรรมและจริยธรรมในสังคมเสื่อมสลาย [Demoralization] ซึ่งถ้าหากไม่มีการฟื้นฟูให้อยู่ในทำนองครองธรรมแล้ว จะทำให้ภาวะความเป็นมนุษย์ในสังคมนั้น ๆ เกิดความล่มสลายในความเป็นมนุษย์ [Dehumanization] จนถึงการใช้ความรุนแรงฆ่าฟันกัน หรือแย่งชิงกันอย่างชั่วร้ายยิ่งกว่าเดรัจฉาน ในกรณีการล่มสลายของเผ่าพันธุ์ [Detribalization] เท่าที่ข้าพเจ้ารับรู้มา แลไม่เห็นความเสื่อมทางศีลธรรมและจริยธรรมที่นำไปสู่การล่มสลายของความเป็นมนุษย์ จนถึงฆ่าฟันกันอย่างล้างเผ่าพันธุ์ แต่แลเห็นเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ จากการเคยอยู่รวมกันเป็นเผ่าพันธุ์ในท้องถิ่นที่ทำมาหากินแบบพึ่งพิงธรรมชาติตามฤดูกาลทั้งการล่าสัตว์ การเพาะปลูกที่ทำให้ต้องเปลี่ยนที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทำกิน [Semi-nomadic] มาเป็นการตั้งถิ่นฐานอยู่ติดที่และทำการเพาะปลูกแบบทดน้ำในที่ราบลุ่มแทน โดยอยู่รวมกันกับคนในชาติพันธุ์อื่น ในรูปแบบของสังคมชาวนาที่ประกอบด้วยชุมชนบ้านและเมืองในพื้นที่ซึ่งเรียกว่า “ท้องถิ่น” [Locality] ทำให้ต้องเปลี่ยนระบบความสัมพันธ์ทางสังคมจากระบบเครือญาติ [Kinship] มาเป็นระบบพี่น้องร่วมบ้านร่วมท้องถิ่นเดียวกัน โดยอาศัยความสัมพันธ์ในเรื่องการกินดองหรือการแต่งงานระหว่างกันกับการเป็นเพื่อนบ้าน เช่น ที่มีการผูกเสี่ยวของคนอีสานหรือผูกเกลอของคนใต้ รวมทั้งการเข้าสู่ระบบอุปถัมภ์กับคนที่เป็นชนชั้นในเมืองที่เป็นผู้มีคุณธรรม การล่มสลายของเผ่าพันธุ์ [Detribalization] ดังกล่าวนี้ มีที่มาจากการเสื่อมทางศีลธรรมและจริยธรรม [Demoralization] มาก่อน ดังเห็นได้จากการเกี่ยวข้องกับภายนอก ทำให้ความสัมพันธ์ทางสังคมที่เคยพึ่งพิงกันในทางเศรษฐกิจเพื่อมีชีวิตรอดร่วมกัน ความสัมพันธ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในระบบความเชื่อทางศาสนาและจริยธรรม ค่านิยมโลกทัศน์ และศักดิ์ศรีของความเป็นเผ่าพันธุ์ที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มอย่างเสมอภาค มาเป็นความรู้สึกแปลกแยกเห็นแก่ตัวในลักษณะที่เป็นปัจเจก ที่รับเอาความเหลื่อมล้ำเข้ามาสร้างปมด้อยให้แก่ตนเอง ดังเช่นคนหลายชาติพันธุ์ไม่ว่าคนชอง คนลัวะ ละว้า คนส่วย แลเห็นชาติพันธุ์ตนเองต่ำต้อยกว่าคนไทยจากภายนอก แล้วพยายามกลบเกลื่อนในความเป็นชาติพันธุ์ของตนไว้ รวมทั้งการแตกแยกไม่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นชุมชนดังเดิม โยกย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในที่อื่น ๆ ไปเป็นแรงงานในเมือง ไปอยู่ในชุมชนท้องถิ่นของคนที่เป็นชาวนาชาวบ้าน เป็นต้น แต่การล่มสลายทางศีลธรรมและการล่มสลายของเผ่าพันธุ์ดังกล่าวนี้ ก็หาได้กับทำลายความเป็นมนุษย์ไม่ หากถูกเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นคนในสังคมชาวนา [Peasant society] ในชุมชนท้องถิ่น [Localization] แทน อย่างย่อๆ ก็คือ กลายเป็น “ คนถิ่น ” แทน “ คนเผ่า ” ไป สังคมชาวนาเป็นสังคมของคนที่อยู่ในชุมชนถิ่นหรือท้องถิ่น [Local communities] ที่ประกอบด้วยบ้านและเมือง มีมาช้านานแต่สมัยกว่าพันปีที่แล้วมา เริ่มเปลี่ยนแปลงแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ อันเป็นเมืองไทยภายใต้อิทธิพลวัฒนธรรมตะวันตก [Westernization] ที่มีมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ การปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินและการปกครองสมัยรัชกาลที่ ๕ เพื่อให้เป็นรัฐรวมศูนย์แบบสมบูรณาญาสิทธิราชแบบทางประเทศมหาอำนาจทางตะวันตก คือจุดเริ่มต้นของกระบวนการทำลายความเป็นอิสระของชุมชนท้องถิ่นและชีวิตวัฒนธรรม [Delocalization] ดังเห็นได้จากการนำเอาพื้นที่ทางการบริหาร [Administrative space] มาแทนที่พื้นที่วัฒนธรรม [Cultural space] ในรูปแบบของหมู่บ้าน ตำบลและอำเภอมาแทนที่ความเป็นชุมชนบ้านและเมืองแต่เดิม การให้กรรมสิทธิ์ที่ดินแก่ประชาชนโดยทั่วไปและการส่งเสริมการปลูกข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจเพื่อการส่งออกได้ทำให้ภูมิวัฒนธรรมของชุมชนบ้านเมืองที่มีวัดเป็นศูนย์กลาง ที่มีธรรมชาติป่าเขา ผสมกับพื้นที่ทำการเพาะปลูกอย่างได้สัดส่วน มาเป็นพื้นที่ทุ่งกว้างเพื่อการทำนา มีโรงสีและตลาดเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจสังคมที่มีคนชั้นกลางซึ่งได้แก่พวกพ่อค้าคนจีน เจ้าของนา เจ้าของโรงสีและตลาดเกิดขึ้น การขยายกิจการทางสาธารณูปโภค เช่น ทางรถยนต์ ทางรถไฟ และการชลประทาน ตลอดจนการตั้งสถานที่ทำการของทางราชการ ทำให้ผู้คนแต่เดิมที่ตั้งถิ่นฐานชุมชนอยู่ตามริมน้ำลำคลอง ย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานใหม่ตามสองฝั่งถนนและทางรถไฟ ทั้งหมดนี้ทำให้ชุมชนชาวนาแต่เดิมต้องปรับตัวมาอยู่ในพื้นที่ใหม่และสภาพแวดล้อมใหม่ ซึ่งกระนั้นก็ดี รากเหง้าของความเป็นสังคมชาวนาในมิติทางวัฒนธรรมก็ยังไม่หมดสิ้นไป เพราะพื้นฐานเดิมเป็นสังคมเกษตรกรรม เป็นแต่เปลี่ยนจากเกษตรกรรมแบบชาวนามาสู่เกษตรกรรมแบบกสิกร [Farmer] กสิกรเป็นผู้ประกอบการด้วยตนเอง มีที่ดินมีเครื่องมือเครื่องใช้ของตัวเอง ต่างจากชาวนาเดิมที่ต้องอยู่กันเป็นกลุ่มช่วยเหลือเกื้อกูลกันในการดำรงอยู่และการทำมาหากินที่มีลักษณะเป็นปัจเจก ชุมชนเกษตรกรเห็นได้จากการตั้งบ้านเรือนอยู่ในลักษณะกระจายเป็นกลุ่มครอบครัว [Homestead] ติดกับที่ทำกินและที่ดินของตนเอง แต่ก็มีวัด โรงเรียน ป่าช้าและตลาดเป็นศูนย์กลางอย่างสังคมชาวนาและการรับรู้ชีวิตความเป็นอยู่ในสังคมท้องถิ่น [Local communities] ร่วมกัน โดยย่อสังคมท้องถิ่นยังคงดำรงอยู่แม้ว่าจะเปลี่ยนจากชาวนามาเป็นเกษตรกรหรือกสิกรแล้วก็ตาม การพัฒนาประเทศให้เป็นสังคมอุตสาหกรรม แต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้นมา ทำให้สังคมท้องถิ่นเริ่มสลายอันเนื่องมาจากการเคลื่อนย้ายของผู้คนจากที่ต่างทั้งภายในภายนอก เข้ามาอยู่และตั้งถิ่นฐาน ทำสถานที่ประกอบการธุรกิจ อุตสาหกรรม และการสร้างถนน สร้างเขื่อนพลังงานไฟฟ้าเกินขีดความสามารถของสังคมท้องถิ่น แต่เดิมจะบูรณาการทางสังคมและวัฒนธรรมให้คนที่เคลื่อนย้ายเข้ามามีสำนึกร่วมในการเป็นคนในท้องถิ่นเดียวกันได้ นับแต่รัฐบาลคึกฤทธิ์ ปราโมช รัฐบาลชาติชาย ชุณหวัณ ที่เอาเศรษฐกิจการเมืองมาเป็นตัวนำในการพัฒนาประเทศให้เป็นสังคมอุตสาหกรรม เช่น ระบบเงินผันและการปั่นที่ดิน รวมทั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจทุนนิยม ได้ทำให้สังคมท้องถิ่นเริ่มแตกสลาย [Delocalization] ดังเช่นการขยายตัวของบรรดาบ้านจัดสรรคอนโดมิเนียม นิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น ทำให้คนอยู่ในพื้นที่ใหม่อย่างไม่มีหัวนอนปลายตีน ต่างคนต่างอยู่ไม่อาทรแก่กัน และการตั้งถิ่นฐานใหม่เมืองใหม่ที่ทำลายลำน้ำลำคลอง หนองบึง และพื้นที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ได้ทำให้เกิดภาวะล่มสลายทางศีลธรรมและจริยธรรม ความเป็นมนุษย์ในฐานะสัตว์สังคมเริ่มเสื่อม และรับเอาค่านิยมและประเพณีทางโลกที่เป็นวัตถุนิยมบริโภคนิยมและความเป็นปัจเจกเยี่ยงเดรัจฉานเข้ามาแทนที่ นับแต่ยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร เป็นต้นมา เศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ที่มีพรมแดนเกิดทุนเหนือรัฐและเหนือตลาด เป็นโครงสร้างไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบทุนนิยมเสรีเข้าครอบงำเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศทั้งในเมืองและชนบท ภายใต้โครงสร้างของทุนข้ามชาติที่มีอำนาจเหนือรัฐและตลาด ได้ทำให้สังคมท้องถิ่นทั้งในเมืองและตามชนบทถูกบดขยี้ทั้งการถูกไล่ที่ หลอกลวงให้ขายที่อยู่อาศัยและทำกิน และการแย่งชิงทรัพยากรน้ำและเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมธรรมชาติที่ควรแก่การอยู่อาศัยของมนุษย์แทบทุกหนแห่ง กิจกรรมการอุตสาหกรรมทั้งหนักและเบาและการเกษตรอุตสาหกรรมได้รุกล้ำเปลี่ยนที่ทางการเกษตรแต่เดิมให้หมดไป โดยคนที่เคยเป็นเกษตรกรที่อยู่ติดที่บ้านเกิดเมืองนอน ต้องโยกย้ายไปเป็นแรงงานข้ามถิ่นข้ามบ้านข้ามเมือง จนเกิดภาวะ “สังคมบ้านแตก” ขึ้นแก่บรรดาลูกหลานที่เป็นเยาวชน ความคิดที่ชั่วร้ายของลัทธิทุนนิยมแบบไม่มีหัวนอนปลายเท้าที่ให้คำนิยามความเป็นมนุษย์ใหม่ว่า “ทรัพยากรมนุษย์” นั้น มีผลกระทบไปถึงการศึกษาอบรมตั้งแต่ระดับครอบครัว ชุมชนท้องถิ่น และบรรดาโรงเรียนและมหาวิทยาลัยทั่วทั้งประเทศ การแพร่หลายทางเทคนิคของบรรดาเครื่องมือในการศึกษา การสอน และการสื่อสารแบบทุกชนิดของคอมพิวเตอร์ที่นำเอาแนวคิดปรัชญาและความรู้ทางวัตถุ ได้ทำลายระบบทางศีลธรรม จริยธรรมและความเป็นมนุษย์ให้แก่ผู้คนในสังคมทุกระดับชั้น รวมทั้งระบบและกระบวนการทางยุติธรรมการออกกฎหมายก็กลับกลายเป็นเหยื่อและเครื่องมือของบรรดาผู้มีอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจในการสร้างความถูกต้องที่ปราศจากมโนธรรมให้แก่พวกตน สังคมท้องถิ่นแทบทุกภูมิภาคกำลังถูกทำลายในกระบวนการสลายพื้นที่ทางสังคมและวัฒนธรรม [Delocalization] โดยอำนาจรัฐและอำนาจทุนนิยมมีปรากฏการณ์ให้เห็นแทบทุกเมื่อชั่วยามในขณะนี้ ดังตัวอย่างไกลตัวในภาคเหนือในเขตจังหวัดแพร่และน่าน ที่รัฐยินยอมให้กลุ่มชาติพันธุ์ผสมนายทุนข้ามชาติ ทำการเพาะปลูก ทำไร่ข้าวโพดในพื้นที่ต้นน้ำยมและน้ำน่านที่อยู่บนภูเขาและที่สูง จนเกิดอาการเขาหัวโล้นไปทั่ว การต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิในที่อยู่อาศัยแต่เดิมของชาวชุมชนป้อมมหากาฬ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๙ การปลูกข้าวโพดอันเป็นเกษตรอุตสาหกรรมเชิงเดี่ยวได้ทำลายความหลากหลายของชีวภาพของนิเวศวัฒนธรรมบนเขาและที่สูงของกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในพื้นถิ่น ที่ทำการเพาะปลูกในระบบไร่หมุนเวียนที่เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในพื้นที่ทำมาหากินในลักษณะพอเพียง และไม่ทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ และเป็นการเกษตรที่ยั่งยืน เพราะการหมุนเวียนไปตามที่ต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ ทางราชการขาดความเข้าใจ ความหมายและระบบการทำไร่หมุนเวียนของกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในท้องถิ่นมาแต่เดิมไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ปีขึ้นไป และสร้างวาทกรรมโดยนักวิชาการโง่ว่าเป็นการทำไร่เลื่อนลอยที่ทำให้พื้นที่ป่าเขาทั้งหมดเตียนโล่ง เลยอ้างกฎหมายและใช้อำนาจยึดครองที่ดินที่อยู่อาศัยให้มาเป็นของรัฐ ขับไล่ชุมชนท้องถิ่นให้ดำรงอยู่ไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดหนทางให้กับบรรดานายทุนข้ามชาติที่นำเอาผลิตผลข้าวโพดเข้าสู่อุตสาหกรรมแปรรูปและส่งออกในการสนับสนุนกลุ่มชาติพันธุ์อื่น และคนจากพื้นราบเข้าทำไร่เลื่อนลอยด้วยการใช้เครื่องจักรเครื่องยนต์แทนการเพาะปลูกตามวิธีการธรรมชาติของคนในท้องถิ่นแต่เดิม ปัจจุบันการครอบงำของการทำไร่เลื่อนลอยของกลุ่มชนบนที่สูงนั้นก้าวไกลเกินสภาพความเป็นไร่เลื่อนลอยสู่ภาวการณ์เป็นไร่ถาวรในระบบเกษตรอุตสาหกรรมที่มีนายทุนข้ามชาติผู้มีอิทธิพลเหนือรัฐและตลาดอยู่เบื้องหลัง ผลที่ตามมาของการทำไร่ข้าวโพดถาวรดังกล่าวนี้ ได้ทำให้เกิดความวิบัติอย่างใหญ่หลวงแก่ชีวิตของผู้คนทั้งอยู่ในที่สูงและที่ลุ่มต่ำในขณะนี้ คือ เมื่อฝนตกเกิดดินถล่ม [Land slide] น้ำท่วมทำให้บ้านเรือนพังและที่ทำกินเสียหายไร้ที่อยู่เป็นประจำเกือบแทบทุกปีเท่านั้นยังไม่เพียงพอ เพราะในฤดูแล้งกลุ่มคนที่ปลูกข้าวโพดบนเขาและที่สูงเผาซางข้าวโพดเพื่อปรับที่ดินเพาะปลูกใหม่ ทำให้เกิดควันไฟและเขม่าไฟปกคลุมไปทั้งภูมิภาค เกิดมลภาวะทางอากาศที่เป็นภัยต่อระบบการหายใจของมนุษย์ ความชั่วร้ายและบาปของนายทุนก็ยังคงดำรงอยู่ ในพื้นที่เขตเมืองเช่นกรุงเทพมหานคร ทั้งทุนและรัฐเริ่มสุมหัวกันทำลายชุมชนท้องถิ่นที่มีรากเหง้ามาแต่สมัยการสร้างกรุงเทพฯ ครั้งรัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๓ โดยการอ้างการปรับปรุงผังเมืองและสร้างสถานที่ทางราชการและพื้นที่อยู่อาศัยและการพาณิชย์ใหม่ ให้ดูสวยงามเป็นเมืองประวัติศาสตร์เพื่อการท่องเที่ยว ผลที่ตามมาชุมชนมนุษย์ที่ยังฝังตัวอยู่ในบริเวณเมืองกรุงเทพมหานคร กำลังถูกคุกคาม รื้อถอน และขับไล่โดยไม่มีความชอบธรรมในแทบทุกย่านที่อยู่อาศัยและทำกิน การดำเนินการชั่วร้ายของการสลายท้องถิ่นทางสังคมและวัฒนธรรมที่กำลังจะเป็นการทุบตีทำร้ายผู้คนดั้งเดิมของเมืองกรุงเทพฯ ในขณะนี้ กำลังอยู่ที่ “ ชุมชนชานกำแพงเมืองหลังป้อมมหากาฬ ” เพราะกรุงเทพมหานครต้องการไล่ชุมชนมนุษย์ออกไป เพื่อเอาพื้นที่ไปทำสวนสาธารณะเพื่อคนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยวที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าแทนที่ชุมชนซึ่งเคยอยู่อาศัยในกรุงเทพมหานครมาแต่เดิม อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ประเทศสยามวันนี้ : เมืองสองฝ่ายฟ้าระหว่างอเมริกันกับจีน
เผยแพร่ครั้งแรก 1 เม.ย. 2559 สำหรับข้าพเจ้าในทุกวันนี้ ภาวะที่ทำให้เกิดความระเหี่ยใจก็คือ ความรู้สึกของคนปัญญาชนในสังคมที่สะท้อนออกมาจากทั้งการแสดงออกในโซเชียลมีเดียและข่าวสารตามหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ ที่เห็นว่าแผ่นดินไทยในขณะที่ถูกปิดล้อมและคุกคามจากต่างชาติภายนอกทั้งในด้านสังคม การเมือง และเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก โดยมีเหตุใหญ่มาจากความแตกแยกภายในทั้งรัฐและสังคมของผู้ที่เรียกว่าคนไทยนั่นเอง ประเทศไทยอยู่ในระหว่างอิทธิพลทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมระหว่างมหาอำนาจ อเมริกาและจีน ประเทศสยามอันมีกรุงเทพมหานครเป็นศูนย์กลางรุ่งเรืองทางสังคม วัฒนธรรม และการเมืองที่สุด คือ ในรัชสมัยของรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พอสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การคุกคามของมหาอำนาจตะวันตกนักล่าอาณานิคมก็แผ่เข้ามา และนับว่าโชคดีด้วยเหตุสองประการ เพราะอสุรกายใหญ่สองตนที่มีอำนาจมากที่สุดในขณะนั้น คือ อังกฤษและฝรั่งเศส ได้หลีกเลี่ยงการประจัญหน้าด้วยการปล่อยให้ “สยามเป็นประเทศกันชน” หลังจากได้บรรดาบ้านเมืองใหญ่น้อยที่เคยอยู่ในราชอาณาจักรทั้งทางเหนือ ทางใต้ ตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือไปเป็นประเทศในอาณานิคม ประเทศสยามแม้จะอยู่รอดมาในฐานะเป็นประเทศเอกราชทางการเมืองการปกครองแห่งเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ตาม แต่ในทางสังคมและวัฒนธรรมนั้นหาได้เป็นอิสระไม่ เพราะการรับอารยธรรมตะวันตกเพื่อมาสร้างความทันสมัย [Westernization] ให้ทัดเทียมกับบ้านเมืองทางตะวันตกนั้น กลับทำให้คนสยามตั้งแต่ชั้นสูงลงมาจนถึงชั้นล่าง กลายเป็นอาณานิคมทางปัญญาของฝรั่งตะวันตกไปสิ้น เพราะไปเห็นดีเห็นงามกับตะวันตกไปทั้งหมดทั้งในด้านวัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมือง และการปกครอง โดยเฉพาะระบบการปกครองที่เรียกว่าสมบูรณาญาสิทธิราช ที่ทำให้ประเทศสยามเป็นรัฐอำนาจรวมศูนย์แบบเด็ดขาด จนไม่มีช่องว่างให้การปกครองท้องถิ่น [Local government] อย่างที่เคยมีมาแต่สมัยอยุธยาและสุโขทัย ก็เป็นผลมาจากเอาโครงสร้างและวิธีการบริหารปกครองแบบตะวันตกเข้ามาใช้แทนในทางสังคม เกิดชนชั้นใหม่ขึ้นมาคือ “คนชั้นกลาง” ที่ส่วนใหญ่มาจากคนต่างชาติ ต่างชาติพันธุ์ที่มาจากภายนอกที่เป็นผู้ประกอบการกิจกรรมต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจ อาศัยการมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ซึ่งแต่เดิมไม่มีในหมู่ไพร่ฟ้าประชากรของรัฐก่อนสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อันได้มาจากการซื้อขายและการยึดครองจากประชาชนที่ด้อยโอกาสและด้อยปัญญามาเป็นของตน ของครอบครัว ของพรรคพวกและบริวาร กล่าวโดยย่อก็คือ “ระบบทุนและนายทุน” นั่นเอง ซึ่งมีผลทำให้ความขัดแย้งเกิดขึ้นในสังคมชาวนา [Peasant] แต่เดิมที่ชาวบ้านไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินในระบบเศรษฐกิจแบบยังชีพ มาเป็นสังคมกสิกร [Farmer] ที่มีผู้ประกอบการเป็นพ่อค้า นายทุน เจ้าของที่ดิน และปลูกข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจ ซึ่งรวมไปถึงการสัมปทานป่าไม้และอื่น ๆ เกิดการขยายตัวของสังคมเมือง [Urbanism] เป็นบ้านเมือง มีตึกรามบ้านช่องและถนนหนทางเป็นแบบตะวันตก รูปแบบการดำรงชีวิตของคนเมือง [Life style] ก็เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการแต่งกายตามแบบตะวันตกที่สร้างความเหลื่อมล้ำกับผู้คนในสังคมระหว่างคนชั้นสูงและคนชั้นกลางกับชาวบ้านที่เป็นชาวนาและแรงงาน แต่ที่สำคัญคือการศึกษาแบบตะวันตกทำให้เกิดปัญญาชนรุ่นใหม่ที่มีความคิดและการมองโลกเปลี่ยนไปจากเดิมมากมาย คือ เน้นความสำคัญทางวัตถุและความเจริญทางเศรษฐกิจที่ลดความสำคัญทางศาสนาและจริยธรรมในมิติทางจิตวิญญาณจนไม่ได้ดุลย์กับความเจริญทางวัตถุจนทำให้บรรดาเจ้านาย ขุนนางข้าราชการ รวมทั้งพ่อค้า นักธุรกิจ คนชั้นกลางกลายเป็น “คนหัวนอก” ไป แตกต่างจากปัญญาชน “คนใน” ที่มีมาแต่เดิมให้กลายเป็นคนคร่ำครึไม่ทันโลกที่เรียกว่า “เชย” เพราะประเทศไทยเป็นอิสระไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของตะวันตกนี่เองที่ทำให้คนไทยเกิดความภูมิใจว่า ดีกว่าประเทศเพื่อนบ้านที่ตกอยู่ในสภาพเป็นคนในอาณานิคมของตะวันตก คนไทยนอกจากไม่รู้สึกในความเจ็บปวดในสิ่งเหล่านี้แล้วยังดูถูกคนในประเทศเพื่อนบ้านว่าต่ำต้อยกว่าตน และในขณะเดียวกันก็พยายามทำคนให้มีความก้าวหน้าทัดเทียมกับคนตะวันตกเพื่อความศิวิไลซ์ [Civilized] เพื่อความมีหน้ามีตาเป็นชาติศิวิไลซ์ ทำให้ปัญญาชนไทยส่วนใหญ่คิดอะไรไม่เป็น ลืมความเป็นมาของบ้านเมืองในอดีต ตั้งหน้าตั้งตาแต่จะลอกเลียนแบบตะวันตก นับแต่การศึกษา การปกครอง การบริหารราชการ รวมทั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจ จนคนไทยกลายเป็นทาสทางปัญญาของคนตะวันตกที่ทำอะไรตามคำแนะนำหรือเอาแบบอย่างตะวันตกมาข่มคนชั้นล่างที่ด้อยโอกาส และคนในประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นอาณานิคมคนตะวันตกในทางการเมืองและเศรษฐกิจ จนกลายเป็นที่เกลียดชังของเพื่อนบ้านแทบทุกประเทศในภูมิภาคเดียวกัน ความเป็นทาสทางปัญญาของคนไทยต่อคนตะวันตกนี้ ได้เพิ่มพูนทวีคูณมาเป็นทาสทางการเมืองและเศรษฐกิจของคนตะวันตกในช่วงเวลาหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งรู้จักกันในนามว่า “ยุคสงครามเย็น” ที่โลกแบ่งออกเป็นสองขั้ว คือ ขั้วของระบบเศรษฐกิจการเมืองที่เรียกว่า “ทุนนิยมเสรีประชาธิปไตย” กับ “สังคมนิยมคอมมิวนิสต์” สังคมนิยมคอมมิวนิสต์นั้น แท้จริงคือการต่อสู้เรียกร้องของคนที่เคยเป็นเบี้ยล่างทางเศรษฐกิจการเมืองของคนตะวันตกที่เป็นมหาอำนาจในยุคการล่าอาณานิคม เป็นการต่อสู้ที่มาจากคนชั้นล่าง แต่คนไทยและรัฐไทยไม่เคยอยู่ในสภาพเช่นนั้นทางเศรษฐกิจและการเมือง อยู่กันอย่างสบายและประเทศมั่งคั่งด้วยทรัพยากรและอาหารการกิน จึงคิดว่าการเคลื่อนไหวต่อสู้ของบรรดาประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นคอมมิวนิสต์นั้นคือ ภัยร้ายแรงที่คุกคามรัฐไทยและคนไทย แต่ภัยนี้ใหญ่หลวงนักเกินกว่าที่คนไทยจะต่อสู้ได้ ต้องพึ่งมหาอำนาจทางฝ่ายทุนนิยมคืออเมริกาที่มีผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขคืออังกฤษและฝรั่งเศสที่เคยเป็นอสุรกายในการยึดครองและกดขี่บ้านเมืองที่เป็นคอมมิวนิสต์มาก่อน ในยุคสงครามเย็นนี้ไทยอ้างตนเองว่าเป็นทุนนิยมประชาธิปไตย แต่แท้จริงแล้วไทยไม่เคยเป็นประชาธิปไตยแบบตะวันตกเลย เพราะยังคงเป็นรัฐรวมศูนย์ที่ไม่มีการกระจายอำนาจตามอุดมคติของการเป็นประชาธิปไตย โดยแท้จริงแล้วไทยคือรัฐเผด็จการทุนนิยมตลอดมา บ้านเมืองยังคงอุดมสมบูรณ์และสามารถพึ่งพาตนเองได้ หากไม่มีแรงกระทบจากภายนอกมาทำให้เสียสมดุลย์ทางนิเวศวัฒนธรรมไป โดยเฉพาะในยุคสงครามเย็นที่เป็นรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่เป็นเผด็จการเต็มตัว ไทยกลายเป็นสาวกอเมริกันอย่างเต็มที่ ซึ่งนอกจากพลีแผ่นดินไทยให้เป็นฐานทัพสำคัญในการทำสงครามกับฝ่ายสังคมนิยมประชาธิปไตยที่เรียกว่าคอมมิวนิสต์แล้ว ไทยยังปรับปรุงการบริหารการเมืองการปกครอง การเศรษฐกิจ และการศึกษา รวมทั้งการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจสังคมให้เปลี่ยนสังคมเกษตรกรรมที่มีมาแต่ดึกดำบรรพ์ให้เป็นสังคมอุตสาหกรรม เกิดกระบวนการทำให้เป็นอเมริกัน [Americanization] ที่ทำให้ผู้คนในระดับสูง ระดับกลางที่เป็นนักการเมือง นักปกครอง บริหาร นักการศึกษา และนักวิชาการคิดอะไรเป็นอะไรไปเป็นแบบอเมริกันทั้งสิ้น จนกระทั่งในยุคปัจจุบันที่เรียกว่าโลกาภิวัตน์นั้น ความคลั่งไคล้อเมริกันกลายเป็นโรคขึ้นสมองในบรรดาคนชั้นสูง ข้าราชการ นักธุรกิจ นักวิชาการและนักศึกษาไปทั้งหมด ดังตัวอย่างเช่น การมีรัฐธรรมนูญและการปกครองแบบประชาธิปไตยของไทยต้องเป็นแบบรัฐสภา มีประธานาธิบดี และการเลือกตั้งจากคะแนนเสียงของคนส่วนใหญ่ที่มาเลือกตั้งผู้แทนเป็นสำคัญ จึงเกิดความขัดแย้งที่ยากจะหาข้อยุติได้ในเรื่องการเป็นประชาธิปไตยของคนไทย ซึ่งกำลังกลายเป็นเครื่องมือหากินและทำลายล้างสังคมไทยด้วยการพยายามล้มล้างสถาบันกษัตริย์และพระมหากษัตริย์ของบรรดานักการเมือง นักธุรกิจ นักศึกษา นักวิชาการที่ออกมาเคลื่อนไหว เรียกร้องความเป็นประชาธิปไตยแบบอเมริกัน คนไทยเกือบจะฆ่ากันตายอย่างนองเลือดเพราะความกระหายที่จะเป็นประชาธิปไตยแบบอเมริกันนี้ ซึ่งแท้จริงก็คือยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ของบรรดานักธุรกิจการเมืองและนายทุนข้ามชาติที่ชั่วร้ายเพื่อการยึดครองประเทศทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม แต่เคราะห์ดีที่ก่อนการนองเลือดเกิดขึ้นก็เกิดปรากฏการณ์ทางสังคมและการเมืองขึ้นสองอย่าง อย่างแรกคือการปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลคอรัปชั่นที่มาจากการเลือกตั้งและบูชาประชาธิปไตยแบบอเมริกันโดยนายทหารกลุ่มหนึ่งที่มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และประเทศชาติบ้านเมือง สามารถยุติความรุนแรงและนำประเทศชาติกลับเข้าสู่ภาวะที่สงบได้อย่างเป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ในสังคม ปรากฏการณ์อย่างหลังคือ การตื่นรู้ทางสติปัญญาของผู้คนส่วนใหญ่ในสังคม ที่มีทั้งคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ที่แสดงออกจากการเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมืองในนามของมวลมหาประชาชน คนเหล่านี้แต่ก่อนไม่ใคร่นำพาต่อปัญหาใด ๆ ที่เกิดจากการคอรัปชั่น การโกงกิน และการกดขี่หลอกลวงของกลุ่มทรราชที่ขึ้นมามีอำนาจเป็นรัฐบาลปกครองบ้านเมือง คนเหล่านี้คือพลังทางสังคมที่ชอบธรรมหนุนการดำเนินการของคณะปฏิวัติให้ปราบปรามทุจริตและปฏิรูปบ้านเมือง แต่ในขณะเดียวกันก็คอยเฝ้าดูการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ของรัฐบาลว่าเป็นไปโดยชอบธรรมและแก้ไขให้เกิดความเรียบร้อยและความมั่นคงทางสังคมและการเมืองได้สำเร็จหรือไม่ เวลาล่วงมาเกือบสองปีเต็มแล้ว การแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของบ้านเมืองก็ยังไม่ดูดีเท่าใด แม้ว่าความรุนแรงภายในจะค่อย ๆ หมดไปหรือน้อยลงก็ตาม แต่เกิดความกดดันจากภายนอกที่ทำให้ประเทศไทยตกอยู่ใน “สภาพของการเป็นเมืองสองฝ่ายฟ้า” ขึ้นในลักษณะที่เป็นไดเลมม่า [Dilemma] คือภาวะที่อยู่ท่ามกลางเขาควาย หนีเสือปะจระเข้ คือเป็นเมืองที่อยู่ระหว่างมหาอำนาจสองกลุ่มคือ “อเมริกัน” กับ “จีน” ซึ่งกลายเป็นแอกสองแอกที่ต้องได้รับการปลดปล่อย ข้าพเจ้ามองไม่เห็นว่ารัฐบาลปฏิวัติคณะนี้ จะสามารถปลดแอกทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศออกจากภาวะระหว่างเขาควาย [Dilemma] นี้ได้ เพราะขาดความเด็ดเดี่ยวและเชื่อมั่นในตนเองเป็นประการแรก กับประการที่สองขาด ความรอบรู้และเข้าใจชีวิตความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของผู้คนทั้งในระดับต่าง ๆ และท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศ ข้าพเจ้าคิดว่าสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศในขณะนี้อยู่ในภาวะวิกฤต เพื่อปลดปล่อยสังคมให้ดำรงอยู่ได้อย่างราบรื่นนั้น รัฐต้องเข้มแข็งและเป็นรัฐบาลเผด็จการอย่างเต็มตัว อย่าไปคาดหวังหรือตกอยู่ในกับดักของประชาธิปไตยแบบอเมริกันที่บรรดานักการเมืองนักวิชาการและนายทุนที่ชั่วร้ายนำมาเป็นข้ออ้างเพื่อให้เกิดการเลือกตั้งอย่างรวดเร็ว รัฐควรจัดการอย่างเด็ดขาดด้วยศาลทหารกับการปลุกผีและเคลื่อนไหวของฝ่ายที่ไม่หวังดีที่อ้างต่างชาติ เช่น อเมริกา และองค์กรต่าง ๆ ของสหประชาชาติที่อ้างอิงและกดดัน เพราะเท่าที่ดูในขณะนี้คนส่วนใหญ่ที่เป็นผลพวงมาจากการตื่นรู้ของมวลมหาประชาชนนั้นสนับสนุนรัฐบาลอยู่แล้ว ข้าพเจ้านึกถึงครั้งสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่แสดงความเป็นเผด็จการอย่างเฉียบขาดและแก้ไขประเทศชาติในยามวิกฤตด้วยการสร้างกฎหมายของรัฐบาลปฏิวัติขึ้นมาดูแลประเทศเป็นเวลานาน ก่อนที่จะเปิดโอกาสให้เป็นการปกครองแบบเลือกตั้งทุนนิยมประชาธิปไตยเข้ามาแทนที่ แต่จุดอ่อนของรัฐบาลเผด็จการสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เรื่อยมาถึงสมัยจอมพลถนอม กิตติขจรก็คือ ปัญหาเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมของบ้านเมืองเพื่อการเปลี่ยนสังคมเกษตรกรรมเป็นสังคมอุตสาหกรรมเพื่อเกิดความทันสมัยขึ้นมา ซึ่งเป็นการพัฒนาสังคมเศรษฐกิจแบบทุนนิยมตะวันตก ซึ่งเป็นที่มาของวัตถุนิยมและบริโภคนิยมที่ทำลายรากเหง้าทางศีลธรรมและความเชื่อในมิติทางจิตวิญญาณที่ทำให้คนกลายเป็นคนวัตถุนิยมและเป็นปัจเจกชนที่เห็นแก่ตัว แย่งชิงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างไร้ศีลธรรมและจริยธรรมในขณะนี้ ความล้มเหลวของบ้านเมืองในยุคเผด็จการทหารที่แล้วมา คือไม่สามารถสถาปนารัฐประชาธิปไตยในหลักการที่แท้จริงได้ เพราะทำให้การสืบเนื่องของการเปลี่ยนรัฐรวมศูนย์นี้เป็นหัวใจของเผด็จการมาจนกระทั่งปัจจุบัน แม้กระทั่งรัฐบาลปัจจุบันจะเป็นรัฐบาลเผด็จการที่หวังจะสร้างแนวทางไปสู่การเป็นประชาธิปไตยก็จะไม่สำเร็จ ตราบใดที่ยังมองไม่เห็นโครงสร้างและแผนการในการกระจายอาจลงสู่ท้องถิ่นและทำให้เกิดรัฐบาลท้องถิ่นขึ้น ซึ่งนอกจากความกล้า ๆ กลัว ๆ ไม่เด็ดขาดในการจัดการกับความขัดแย้งทางการเมืองจากฝ่ายตรงข้ามแล้ว ยังขาดความเข้าใจในเรื่องสังคมเศรษฐกิจ คือการจัดการเศรษฐกิจเพื่อสังคมเพื่อผู้คนในสังคมได้เกิดความมั่นคงในชีวิตวัฒนธรรม สิ่งที่รัฐในปัจจุบันไม่เข้าใจในเรื่องนี้เห็นได้จาก การแก้ไขทางเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดรายได้ประชาชาติ [GDP] แก่คนทั่วไปได้ บ้านเมืองยังคงอุดมสมบูรณ์และสามารถพึ่งพาตนเองได้ หากไม่มีแรงกระทบจากภายนอกมาทำให้เสียสมดุลย์ทางนิเวศวัฒนธรรมไป อันความคิดในเรื่องรายได้ต่อหัวประชาชาติที่ตัดสินกันด้วยตัวเลขเงินทองนั้น เป็นความเชื่อในทางมายาที่อุปโลกน์ว่ามีอยู่จริง เพราะรายได้ที่แท้จริงนั้นจะไปตกอยู่กับคนที่เป็นนายทุนหมด รัฐบาลโดยการชี้แนะของนักการเมืองและนักวิชาการฝ่ายเศรษฐกิจที่วางแผนการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมในรูปแบบประชารัฐที่เน้นแต่ GDP และการประกาศพื้นที่ทางเศรษฐกิจพิเศษนั้น ไม่มีทางที่จะพบความสำเร็จในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาชนที่อยู่เบื้องล่างตามท้องถิ่นต่าง ๆ ได้ ทั้งที่ในปัจจุบันหลายท้องถิ่นในหลายบ้านหลายเมืองภาวะทางสังคมเศรษฐกิจอยู่ในสภาพดีอยู่แล้วด้วยระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงที่แลเห็นชีวิตวัฒนธรรมของชุมชนกลับคืนมา และสะท้อนให้เห็นสิ่งที่หลายคนพร่ำกล่าวถึง ความสุขมวลรวมของประชาชาติ [GNH] ที่แท้จริงแล้วคือความสุขมวลรวมของผู้คนที่อยู่ในชุมชนนั่นเอง ทุกวันนี้รัฐบาลถูกกดดันบีบคั้นให้รับเป็นประชาธิปไตยแบบอเมริกันจากข้างนอกและข้างใน จากข้างในนั้นหลุดมาแล้ว แต่จากข้างนอกก็คือ ชาติอเมริกันและพรรคพวกทางตะวันตก ซึ่งที่แท้จริงต้องการทรัพยากรในด้านต่าง ๆ ของประเทศไทย ที่ทำให้ผู้นำทางรัฐบาลต้องหันไประวังการถ่วงดุลทางอำนาจกับมหาอำนาจทางตะวันออกโดยเฉพาะกับจีนและพรรคพวก เลยทำให้รัฐไทยและสังคมไทยกลายเป็นเมืองสองฝ่ายฟ้าไป เพราะอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจ และการตลาด ถูกถ่ายทอดโดยประเทศมหาอำนาจข้างนอก แต่อสุรกายจากตะวันออกที่รัฐไทยและนายทุนไทยกำลังลุ่มหลงอยู่ในขณะนี้ ดูราวกับว่าไม่เบาไปจากอเมริกันเลย เพราะไม่สนใจในรูปแบบทางการเมืองการปกครอง แต่สนใจในมิติทางสังคมเศรษฐกิจที่เคลื่อนด้วยการขยายตัวทางการลงทุนเข้ามายึดครองที่ทำกินและแย่งตลาดผลผลิตภายในประเทศด้วยการส่งสินค้าราคาถูกเข้ามาขาย แต่ที่สำคัญคือการอุดหนุนส่งเสริมคนของตนเข้ามาตั้งถิ่นฐาน แต่งงานกับคนท้องถิ่นที่ตกเป็นเหยื่อวัตถุนิยมและบริโภคนิยม นับเป็นการรุกคาดแบบยึดครองที่ทำให้ไทยที่มีมาแต่เดิมสูญพันธุ์ไปได้ในที่สุด ประเทศไทยนี้มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยความหลากหลายทางชีวภาพนานาชนิดที่สามารถเป็นแหล่งอาหารของคนได้ทั่วโลก ถ้าหากไม่ต้องการอุตสาหกรรมแบบทุนนิยมและประชาธิปไตยแบบอเมริกันแล้ว สามารถปิดประเทศได้นานกว่าห้าปีที่ทำให้ผู้คนในชุมชนมนุษย์มีความสุขมวลรวมด้วยระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียง แต่บรรดาอมนุษย์ทั้งหลายที่เป็นนายทุนน่าจะตายหมด อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- นิวกรุงเทพฯ นิวรัตนโกสินทร์ : การพัฒนาบ้านเมืองที่ไม่เห็นมนุษย์
เผยแพร่เมื่อ 28 ก.ย. 2559 ข้าพเจ้าพูดตอกย้ำมาตลอดเวลากว่า ๓๐ ปี ที่ผ่านมาว่า การพัฒนาเศรษฐกิจสังคมที่มีแผนพัฒนาแต่ครั้งรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้นมา ตั้งแต่แผนแรกจนแผนปัจจุบันนั้น เป็นการพัฒนาจากข้างบนลงล่างในลักษณะการบังคับให้มีการเปลี่ยนแปลง [Forced change] แบบแผนพัฒนาของประเทศที่เป็นสังคมนิยม หาเป็นการพัฒนาที่เป็นการวางแผน [Planned change] แบบประเทศเสรีประชาธิปไตยที่คำนึงถึงการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจของคนในท้องถิ่นที่เป็นพื้นที่ในการพัฒนาไม่ ตรอกพระยาเพชรปราณีฯ ชุมชนป้อมมหากาฬ กล่าวคือการพัฒนาเปลี่ยนแปลงใดทางเศรษฐกิจและสังคมนั้น ต้องได้ “ดุลยภาพต่อรองกันระหว่างการพัฒนาจากข้างบนกับการพัฒนาตนเองจากคนในพื้นที่ซึ่งอยู่ข้างล่าง” เพราะการพัฒนาคือการเปลี่ยนแปลงทั้งคนในพื้นที่และพื้นที่ จำเป็นต้องให้คนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ [Decision making] ด้วย แต่ที่ผ่านมา การพัฒนาในสังคมไทยนั้นเป็นการพัฒนาจากข้างบนที่การตัดสินใจมาจากคนข้างบนและคนข้างล่างโดยไม่เห็น “ คนใน ” ซึ่งเป็นการพัฒนาที่ตรงข้ามกับพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ว่า “ เข้าถึง เข้าใจ และพัฒนา ” นั่นคือการเข้าไม่ถึงคนและไม่เข้าใจคนในพื้นที่ซึ่งจะได้รับการเปลี่ยนแปลงนั่นเอง การพัฒนาแบบจากบนลงล่างที่ผ่านมาร่วมกึ่งศตวรรษแลไม่เห็นหัวคนในพื้นที่ดังกล่าวนี้ ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็น “การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม” อย่างที่เรียกกัน หากเป็น “การพัฒนาเศรษฐกิจและการเมือง” มากกว่า และทุกครั้งที่ผ่านมาทุกหนแห่งในประเทศ คือ การสร้างนิเวศทางเศรษฐกิจและการเมืองทับลงไปยังนิเวศทางสังคมวัฒนธรรมของคนในพื้นที่ของท้องถิ่นตลอดเวลา ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงล่มสลายของสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในสังคมเกษตรกรรมและความเป็นมนุษย์ของคนในท้องถิ่นที่อยู่กันมาเป็นครอบครัว เครือญาติ และชุมชนทั้งในระดับบ้านและเมือง ดังเห็นได้ว่า ก่อนยุคโลกาภิวัตน์อันเป็นยุคสงครามเย็นนั้น การพัฒนาเป็นเรื่องการเปลี่ยนประเทศและสังคมให้เป็นสังคมอุตสาหกรรมที่มีการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเข้าถึงแหล่งทรัพยากร มีการสร้างถนน การชลประทาน เขื่อนพลังงานไฟฟ้า และแหล่งเมืองใหม่ พร้อมกับการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานของคนในสังคมเกษตรกรรมที่อยู่ติดที่เป็นชุมชนบ้านและเมือง [Local communities] มาหากินเป็นแผนงานและผู้ประกอบการในเมือง เช่น แหล่งโรงงานอุตสาหกรรมแหล่งธุรกิจและสถานที่บริการ การพัฒนาทำให้เกิดสถานที่ทางอุตสาหกรรมและบ้านเมืองใหม่ในระยะแรกเริ่ม คือการพัฒนาแบบจากบนลงล่างโดยอำนาจของรัฐ อย่างเช่น การสร้างเขื่อนพลังงานไฟฟ้า ถนนหนทางที่ทำให้เกิดการเวนคืนจนเกิดความเดือดร้อนของคนในท้องถิ่น จนมีการออกมาเดินขบวนคัดค้านเรียกร้อง เป็นต้น โดยย่อก็คืออำนาจที่ใช้ในการเปลี่ยนแปลงพื้นพัฒนานั้นเป็นอำนาจของรัฐเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่มาถึงยุคโลกาภิวัตน์แต่สมัยรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นต้นมา เป็นยุคของการลงทุนที่มาจากภายนอก ซึ่งอำนาจในการเปลี่ยนแปลงเพื่อการพัฒนาหาได้มาจากอำนาจรัฐอย่างแต่เดิมไม่ หากมาจากอำนาจของทุนทั้งจากภายนอกและภายในที่เหนือทั้งตลาดและรัฐ สังคมไทยเปลี่ยนเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรมอย่างเต็มรูปแบบ มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาเพื่อการลงทุนทั้งด้านอุตสาหกรรมหนักและอุตสาหกรรมเบา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเบาที่หมายถึง “การท่องเที่ยว” เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดรายได้ประชาชาติ [GDP] แก่ประเทศชาติอย่างมากมาย เป็นผลให้เกิดการฟื้นฟูบ้านเมืองเก่าแก่และท้องถิ่นทางประวัติศาสตร์ให้ขานรับการท่องเที่ยวไปเกือบทุกทั่วภูมิภาคในประเทศ เมืองประวัติศาสตร์หลายเมืองถูกปรับปรุงใหม่ [Renovation] ที่ทำให้เกิดผังเมืองใหม่ ที่มีทั้งการอนุรักษ์และพัฒนา อย่างเช่น อยุธยา เชียงใหม่ สุโขทัย กำแพงเพชร และกรุงเทพฯ - ธนบุรี ซึ่งเป็นผลให้เกิดการกระทบกระเทือนกับผู้คนในชุมชนบ้านเมืองที่อยู่กันมาช้านาน โดยเฉพาะกรุงเทพฯ และธนบุรี อันเป็นเมืองราชธานีที่ตั้งอยู่สองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีผลกระทบเรื่อยมาไม่ต่ำกว่า ๒๐ ปีที่ผ่านมา เริ่มแต่การตัดถนนหนทางใหม่ทั้งสองฝั่งน้ำ สร้างคอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร โรงแรม ภัตตาคาร อาคารร้านค้าขึ้นมาตลอดเวลา เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรม [Culture landscape] ของบ้านเมืองสองฝั่งน้ำที่ใช้แม่น้ำเจ้าพระยาและบรรดาคลองขุดที่เป็นคลองซอยสองฝั่งน้ำที่มีมาแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ อย่างแทบไม่แลเห็นรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ ทางสังคมและวัฒนธรรมของบ้านเมืองแต่สมัยอยุธยาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ กระแสการพัฒนาบ้านเมืองในทางเศรษฐกิจแบบจากบนลงล่างเพื่อให้มีรายได้ทางเศรษฐกิจดีให้มี GDP มาก ๆ นั้น มีสองอย่างที่สำคัญในขณะนี้คือ ๑) การเปิดพื้นที่แหล่งทรัพยากรในแทบทุกภูมิภาคของประเทศให้มีนักลงทุนจากภายในและภายนอกประเทศเข้ามาลงทุนทางอุตสาหกรรม เกษตรอุตสาหกรรม สถานที่ประกอบธุรกิจย่านการค้า ซุปเปอร์มาเก็ต และแหล่งที่อยู่อาศัยที่เป็นคอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร แหล่งรื่นรมย์บริการต่าง ๆ ในรูปของ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่มีผลทำให้เกิดการเวนคืนที่ดินไล่รื้อชุมชนบ้านเมืองแต่เดิมในสังคมเกษตรกรรม ทำให้คนในท้องถิ่นที่อยู่กันอย่างเป็นชุมชนมาช้านานต้องบ้านแตกสาแหรกขาด โยกย้ายถิ่นฐานไปเป็นแรงงาน ประกอบอาชีพทำมาหากินในเมืองทั้งแหล่งอุตสาหกรรมหนักและแหล่งอุตสาหกรรมเบา ๒) การพัฒนาแหล่งเมืองประวัติศาสตร์และแหล่งประวัติศาสตร์โบราณคดีให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวจนเกิดตัณหาความอยากของคนในท้องถิ่น อยากทำให้เป็น “แหล่งมรดกโลก” กันอย่างแพร่หลาย กระแสการพัฒนาบ้านเมืองเก่าให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวนี้ดูรุนแรงกว่าการพัฒนาในเรื่องอื่น ๆ ขณะนี้ ทำให้ผู้คนชาวบ้านชาวเมืองที่อยู่กันอย่างเป็นชุมชนมาแต่เดิมได้รับความเดือดร้อน โดยที่ทางรัฐและผู้มีอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ หาเคยสำเหนียกไม่ เป็นการพัฒนาเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเห็นคนและความเป็นมนุษย์ของคนที่เป็นไพร่บ้านพลเมืองอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติ บ้านเรือนริมคลองเมือง คลองโอ่งอ่าง-บางลำพู ที่ยังพบว่าเป็นชุมชนชานพระนครแห่งสุดท้ายของกรุงเทพฯ กรุงเทพมหานคร - ธนบุรี และบ้านเมืองริมสองฝั่งน้ำเจ้าพระยาและลำคลองใหญ่น้อยที่เป็นบริวาร ของบ้านเมือง พื้นที่และผู้คนที่เป็นเป้าหมายของการพัฒนาจากข้างบนโดยอำนาจรัฐและอำนาจทุน โดยเฉพาะภายในเกาะเมืองกรุงเทพฯ ที่เป็นราชธานีมีคูน้ำที่เป็นคลองเมืองและกำแพงเมืองล้อมรอบ ได้รับการคุกคามเรื่อยมาแต่ครั้งรัฐบาลประชาธิปไตยเผด็จการรัฐสภาของพรรคการเมืองหนึ่ง เสนอให้มีการพัฒนาถนนราชดำเนินให้เป็นแบบถนนชองเอลิเซ่ของฝรั่งเศสที่จะทำให้เกิดการรื้อไล่บ้านเรือนราษฎรและร้านค้าทั้งสองฝั่งถนนให้เป็นแบบใหม่เพื่อการท่องเที่ยว ตามไปด้วยการที่จะขุดไชรอบกำแพงเมืองและถนนรอบเมืองให้เป็นเส้นทางรถไฟฟ้าใต้ดิน รวมทั้งการทำรถไฟฟ้าผ่าเมืองไปยังฝั่งธนบุรี แต่ที่รุนแรงก็คือการทำทางรถไฟฟ้าและสถานีผ่านบ้านไชน่าทาวน์ตามแนวถนนเยาวราช ราชวงศ์ไปข้ามฝั่งน้ำเจ้าพระยาในเขตคลองสานฝั่งธนบุรี ที่จะมีผลให้เกิดย่าน ศูนย์การค้า การท่องเที่ยวและสถานที่ใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาแทนที่บ้านช่องที่คนกรุงเทพฯ ย่านไชน่าทาวน์ เช่น เวิ้งนครเขษมเป็นต้น ต้องมีอันบ้านแตกมาถึงทุกวันนี้ ในยุครัฐบาล คสช . ( คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ) ที่ข้าพเจ้าเห็นว่าดีกว่ารัฐบาลประชาธิปไตยของนักธุรกิจการเมืองที่แล้วมา การคุกคามไล่รื้อชุมชนบ้านเมืองของคนกรุงเทพฯ ก็หาได้ลดราไปไม่ ทำนองตรงข้ามกลับมากมายและซับซ้อนกว่าแต่เดิม เพราะมีหน่วยงานของทางรัฐไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพมหานคร กรมศิลปากร องค์กรอิสระ เช่น สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พระคลังข้างที่ ราชพัสดุ กลุ่มทุน และกลุ่มนักวิชาการไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรมผังเมืองจากหลายมหาวิทยาลัย สร้างโครงการต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงกรุงเทพมหานครและบริเวณโดยรอบในลักษณะคล้ายกันกับการสร้างใหม่ [Renovation] ด้วยเหตุผลนานาประการ โดยอ้างเหตุผลความชอบธรรมจากหลักฐานทางกฎหมายบ้าง การอ้างการดำริเห็นชอบจากผู้นำรัฐบาลและบุคคลสำคัญในคณะ คสช. ด้วยการออกข่าวทางสื่อหลาย ๆ ทาง การดำเนินการตามโครงการเหล่านี้ทั้งออกหน้าและเบื้องหลัง ถ้าสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีแล้ว คนไทยทั้งประเทศคงได้แลเห็นความเป็นบ้านเมืองเก่าแก่ของกรุงเทพมหานคร สภาพแวดล้อม และทิวทัศน์ทางวัฒนธรรมสองฝั่งน้ำเจ้าพระยาของกรุงรัตนโกสินทร์ในส่วนรวมกลายเป็น “นิวกรุงเทพฯ” และ “นิวรัตนโกสินทร์” อย่างแน่นอน และที่เลวร้ายอย่างสุด ๆ ก็คือการถูกขับไล่ออกไปของคนกรุงเทพฯ คนเก่าสองฝั่งน้ำเจ้าพระยา และตามลำคลองหลายแหล่ที่เคยเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของชุมชนบ้านเมืองมากว่าสามร้อยปี ในความคิดเห็นของข้าพเจ้า การดำเนินการตามโครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานของรัฐ องค์กรอิสระ กลุ่มทุน และกลุ่มนักวิชาการผังเมืองและประวัติศาสตร์ที่จะบันดาลให้เกิด “นิวกรุงเทพฯ” และ “นิวรัตนโกสินทร์” นี้ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบธรรม เพราะแลไม่เห็นคนกรุงเทพฯ คนรัตนโกสินทร์ที่อยู่กันอย่างเป็นชุมชนบ้านเมืองมาไม่ต่ำกว่า ๓๐๐ ปี ถ้าหากสำเร็จเป็นประสิทธิผลจะกลายเป็นตราบาปของประเทศชาติในเรื่องมนุษยธรรม เหตุที่การพัฒนาเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองแต่ละครั้งนับแต่อดีตมายังเป็นเช่นนี้ล้วนเป็นการพัฒนาและการดำเนินการที่แลไม่เห็นความเป็นมนุษย์และผู้คนในพื้นที่ และก็เพราะการให้การศึกษาทางประวัติศาสตร์บ้านเมืองที่มีมาแต่อดีตจนปัจจุบันเป็นประวัติศาสตร์ของบ้านเมืองในเรื่องสถานที่ เศรษฐกิจ การเมืองและศิลปวัฒนธรรม ดังเห็นได้จากการอ้างเหตุผลหรือความคิดของนักวิชาการโดยเฉพาะพวกสถาปัตยกรรมที่มีแต่โครงสร้าง รูปแบบ และวัตถุที่ดูสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาดหมดจดเหมือนกันกับการสร้างบ้านเมืองเนรมิต โดยหามีมิติของความสกปรกไม่เรียบร้อยของบ้านเรือนและชุมชนที่คนทั่วไปหลายระดับชั้นอยู่ไม่ ตัวอย่างที่เป็นอุทาหรณ์ได้ในเรื่องนี้ก็คือ เรื่อง “ชุมชนป้อมมหากาฬ” และชุมชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ซึ่งทางกรุงเทพมหานครกำลังดำเนินการอย่างเด็ดขาดในการไล่รื้อให้หมดไป โดยอ้างอำนาจความถูกต้องตามกฎหมายที่ล้วนสร้างขึ้นมาหลังการเกิดของชุมชนเป็นร้อยปี ในการศึกษาของข้าพเจ้าเรื่องผังเมืองกรุงเทพฯ เมื่อแรกสร้างในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น กรุงเทพฯ มีลักษณะเป็นเกาะเมืองเหมือนพระนครศรีอยุธยา คือเป็นเมืองที่มีแม่น้ำลำคลองล้อมรอบ ใช้แม่น้ำลำคลองเป็นเส้นทางคมนาคมและการใช้น้ำในการอุปโภคบริโภค มีลำน้ำเจ้าพระยาเป็นคูเมืองด้านตะวันตก ทางด้านตะวันออกเป็นคูขุดให้เรือเดินเข้าออกได้ ซึ่งข้าพเจ้าเรียกว่า “คลองเมือง” เพราะใหญ่กว่าการเป็นคูน้ำธรรมดา การมีลำน้ำล้อมรอบที่ใช้ประโยชน์ในการคมนาคมขนส่ง ทำให้ทั้งกรุงศรีอยุธยาและกรุงเทพฯ มีพื้นที่ว่างริมตลิ่งเป็นที่เรือแพมาจอดเทียบได้ เป็นที่มีผู้คนพลเมืองมาตั้งเรือนแพและบ้านเสาสูงอยู่อาศัย พื้นที่ล่างระหว่างริมตลิ่งน้ำและกำแพงเมืองดังกล่าวนี้เรียก “ชานกำแพงพระนคร” เป็นเช่นเดียวกันกับเมืองอยุธยาและเมืองใหญ่ ๆ อื่น ๆ ในสมัยอยุธยา จากชานกำแพงมาถึงกำแพงเมืองที่มีทั้งประตูใหญ่ตามทิศสำคัญและประตูช่องกุดที่มีถึง ๑๖ ประตู เพื่อให้คนในเมืองผ่านออกไปลงเรือขึ้นเรือริมฝั่งน้ำได้สะดวกโดยไม่ต้องรอใช้การเข้าออกทางประตูใหญ่ ก่อนการรื้อกำแพงเมืองพระนครเลียบคลองเมืองด้านตะวันออกนี้ ภายในเมืองเป็นที่ตั้งของวัดและวังของเจ้านายที่ทรงกรมมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๔-๕ บรรดาเจ้านายเหล่านี้ออกจากวังมาที่ลำคลองเมืองเพื่อการเดินทางโดยประตูใหญ่และประตูช่องกุดกันทุกวัง และมีบรรดาข้าราชบริพารและประชาชนมาสร้างที่อยู่อาศัยเป็นชุมชนเรียงรายอยู่ตามชานกำแพงเมืองที่มีทางเดินจากประตูเมืองและประตูช่องกุดตัดผ่านไปลงลำน้ำ ชุมชนตามชานกำแพงเหล่านี้จึงมีทั้งบุคคลที่เป็นข้าราชบริพาร ขุนนาง ของพวกเจ้านายและประชาชนจากที่ต่าง ๆ ที่มาตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัย ชุมชนเหล่านี้จึงเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ เป็นต้นมา แต่ดูเป็นปึกแผ่นที่แลเห็นความสัมพันธ์ทางสังคมและวัฒนธรรมระหว่างกันมาแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว อันเป็นสมัยเวลาที่มีการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ภูเขาทองขึ้น ณ วัดสระเกศ ยิ่งกว่านั้นบริเวณชานกำแพงเมืองตรงป้อมมหากาฬเป็นท่าจอดเรือสำหรับเจ้านายและคนภายในกำแพงเมืองผ่านประตูช่องกุดมาขึ้นเรือจากคลองเมืองไปคลองมหานาค ที่ผ่านวัดสระเกศไปทางตะวันออก ผ่านคลองเมืองผดุงกรุงเกษมที่ขุดครั้งรัชกาลที่ ๔ ออกไปติดต่อกับชุมชนตามสองฝั่งคลอง ผ่านปทุมวันไป ไปผสานกับคลองแสนแสบ ชุมชนป้อมมหากาฬเป็นชุมชนที่อยู่ต่อกันอย่างสืบเนื่องมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ ดังเห็นได้จากความสัมพันธ์ทางสังคมของคนรุ่นแรก ผ่านครอบครัวและตระกูลในรุ่นลูกหลานลงมาอย่างสืบเนื่อง ความเป็นปึกแผ่นแลเห็นได้ชัดจากบรรดาบ้านเรือนที่เป็นไม้ทั้งชั้นเดียวและสองชั้นที่มีทั้งบ้านไทยแบบเดิมหลังคาทรงหน้าจั่ว และเรือนรุ่นหลังหลังคาทรงปั้นหยาและบังกะโลตามลำดับ ทุกครัวเรือนอยู่กันอย่างมีพื้นที่ มีถนนติดต่อถึงกันด้วยการเป็นตรอก นับเป็นชุมชนชาวตรอกที่สะท้อนให้เห็นความเป็นชุมชนแบบเดิมได้เป็นอย่างดี ภายในบริเวณชุมชนมีศาลเจ้าพ่อป้อมพระกาฬ อันเป็นแหล่งพิธีกรรมในเรื่องความเชื่อของคนในชุมชน สิ่งที่โดดเด่นของการเป็นชุมชนคนกรุงเทพฯ ที่เก่าแก่ของเมืองกรุงเทพมหานครก็คือ การที่ยังรักษาต้นไม้ใหญ่ ๆ แต่เดิมนานาชนิดที่คนสมัยก่อนนิยมปลูกไว้ได้ดีกว่าพื้นที่ทุกแห่งภายในพระนครในทุกวันนี้ โดยย่อก็คือเป็นพื้นที่สีเขียวธรรมชาติที่ดีกว่าการจัดสวน การจัดสภาพแวดล้อมเป็นสวนของนักวิชาการผังเมืองที่ดีแต่อวดอ้างกันอยู่ในขณะนี้ ในการศึกษาของข้าพเจ้าเห็นว่าชุมชนป้อมมหากาฬคือชุมชนที่แท้จริงของคนกรุงเทพฯ ที่ควรแก่การอนุรักษ์ให้เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่มีชีวิต เพื่อให้ทั้งคนไทยและคนต่างประเทศที่เป็นนักท่องเที่ยวได้มาเห็นและได้เรียนรู้ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่คุณค่าความสำคัญของป้อมมหากาฬในลักษณะที่เป็นหลักฐานป้อมปราการกำแพงเมืองประตูช่องกุดและชานกำแพงที่ยังเหลืออยู่อย่างสมบูรณ์ที่สัมพันธ์กับชุมชนคนกรุงเทพฯ ที่ดีที่สุดกว่าแห่งอื่น ๆ ของเมืองกรุงเทพฯ ในขณะนี้ หน่วยราชการที่มีหน้าที่ดูแลและอนุรักษ์หาได้เข้าใจไม่ ทำนองตรงข้ามกลับพยายามเปลี่ยนแปลงรื้อถอนแล้วทำสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมาแทน หน่วยงานราชการที่ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ กรมศิลปากร กรุงเทพมหานคร และคณะกรรมการกรุงรัตนโกสินทร์ฯ ความบกพร่องของกรมศิลปากรอยู่ที่ความคับแคบในการขึ้นทะเบียนโบราณสถานที่เน้นเฉพาะตำแหน่งของโบราณสถานแต่เพียงอย่างเดียว ไม่คำนึงถึงพื้นที่สภาพแวดล้อมทางศิลปวัฒนธรรมที่สัมพันธ์กับตัวโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียน นั่นคือขึ้นทะเบียนแต่กำแพงเมืองและป้อมมหากาฬ โดยไม่คำนึงถึงว่าป้อมกำแพงเมือง ประตูช่องกุดล้วนสัมพันธ์กับพื้นที่ชานกำแพงเมืองที่มีผู้คนสร้างที่อยู่อาศัยเป็นชุมชนมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ และปล่อยให้ทางกรุงเทพมหานครมีสิทธิเป็นเจ้าของจะไปใช้ทำอะไรก็ได้ ความบกพร่องนี้เป็นเช่นเดียวกันกับการขึ้นทะเบียนกำแพงเมืองและประตูเมืองพระนครที่เหลืออยู่แห่งเดียวที่หน้าวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณคดีที่สำคัญเช่นเดียวกับป้อมมหากาฬและป้อมพระอาทิตย์ การขึ้นทะเบียนรักษาแต่เพียงประตูเมืองและกำแพงเมืองโดยไม่คำนึงถึงพื้นที่ชานกำแพงจากประตูเมืองไปยังฝั่งคลองเมือง (คลองบางลำพู) ทำให้ชานกำแพงตกเป็นของเอกชน แต่พื้นที่ชานกำแพงตรงประตูเมืองแห่งนี้เผอิญไม่มีชุมชนอาศัยอยู่แต่ก่อน มีเพียงโรงเลื่อยโรงไม้ที่ขนถ่ายสิ่งของจากลำคลองเท่านั้น จึงนำไปสร้างอาคารที่พักอาศัยและสถานที่ประกอบการค้าเป็นตึกขนาดใหญ่หลายชั้นคลุมพื้นที่ชานกำแพงเมืองอันเป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ บดบังประตูเมืองและกำแพงเมืองที่เป็นทางลงสู่ลำคลองเมืองจนเป็นทัศนอุจาดไป หน่วยงานอันดับสองที่มีความบกพร่องไม่ด้อยไปกว่ากรมศิลปากรก็คือ คณะกรรมการกรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า ที่ประกอบด้วยนักวิชาการสถาปัตยกรรมผังเมือง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกรมศิลปากรที่ส่วนใหญ่เกษียณราชการ เป็นผู้มีความรู้และเชี่ยวชาญทางโบราณคดี เป็นอาทิ ผู้ที่เป็นกรรมการที่รับผิดชอบเหล่านี้ไม่เคยสำเหนียกแม้แต่น้อยในเรื่องการมีอยู่ของชานกำแพงเมืองและไม่เคยนำเอามาพิจารณา เช่น ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของผังเมืองกรุงเทพมหานคร แต่ที่สำคัญอย่างสุด ๆ ก็คือ คณะกรรมการกรุงรัตนโกสินทร์ฯ เหล่านี้คิดว่า ผังเมืองและความเป็นเมืองของกรุงเทพมหานครนั้นมีแต่สิ่งที่เป็นพื้นที่และสถานที่ทางประวัติศาสตร์เท่านั้น หาได้คิดหรือไม่ว่ากรุงเทพมหานครก็เป็นเมืองที่มีมนุษย์อยู่ และรัชกาลที่ ๑ ไม่ได้ทรงสร้างเมืองให้เป็นเมืองเทพเมืองสวรรค์ที่ไม่มีคนอยู่ แต่ข้อบกพร่องในการพัฒนาบ้านเมืองทางประวัติศาสตร์ใด ๆ ในขณะนี้ก็คงไม่ต้องตกอยู่กับคณะกรรมการฯ ชุดนี้แต่เพียงฝ่ายเดียว หากยังรวมไปถึงนักประวัติศาสตร์และวงการประวัติศาสตร์ของบ้านเมือง ที่เวลาศึกษาประวัติศาสตร์ใด ๆ ก็ตาม มักเป็นประวัติศาสตร์การเมือง เศรษฐกิจ โบราณคดีและศิลปวัฒนธรรมไม่หมด ไม่มีพื้นที่ว่างกับประวัติศาสตร์ทางสังคมที่เป็นเรื่องของผู้คนในชุมชนและชีวิตวัฒนธรรมแต่อย่างใด โดยย่อก็คือขาดมิติทางสังคมที่เป็นเรื่องของคนในชุมชนและชีวิตวัฒนธรรมนั่นเอง บาปของการไม่มีมิติทางสังคมและชุมชนนี้จึงไปตกอยู่กับบรรดาหน่วยงานและองค์กรที่ต้องการพัฒนาบ้านเมือง โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครที่จะต้องรับผิดชอบเป็นอันดับสามในที่นี้ กรุงเทพมหานครไม่มีความรู้ความเข้าใจในพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ เช่น ชานกำแพงพระนครและการมีอยู่ของชุมชนประวัติศาสตร์อย่างเช่น ชุมชนป้อมมหากาฬในขณะนี้ จึงเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการไล่รื้อขึ้น สภาพบ้านเรือนส่วนหนึ่งที่ยินยอมให้รื้อถอนออกไปรั้ว ในความทรงจำของข้าพเจ้าเรื่องเกี่ยวกับป้อมมหากาฬนี้มีมานาน ครั้งแรกก็มีนายทุนทำภัตตาคารอาหาร เสนอขอเช่าใช้ป้อมมหากาฬให้เป็นสถานที่ขายอาหารและมีการแสดงมหรสพ แต่ถูกคัดค้านเลยยุติไป ต่อมาในสมัยที่นายสมัคร สุนทรเวช เป็นผู้ว่ากรุงเทพมหานครก็เริ่มด้วยโครงการเวนคืนที่ดินและให้ชุมชนออกไปเพื่อเอาพื้นที่ให้เป็นสถานที่ออกกำลัง เต้นแอโรบิคของคนเมือง จึงเกิดการขัดแย้งขึ้น แต่ก็สามารถชักนำให้คนส่วนใหญ่ในชุมชนยอมให้เวนคืนที่อยู่อาศัยและรับเงินค่าชดใช้ไปอยู่ในที่ใหม่ทางถนนฉลองกรุง แถบเขตลาดกระบังที่ทางกรุงเทพมหานครจัดหาไว้ แต่ก็อยู่ไม่ได้ก็เลยกลับมาที่ป้อมมหากาฬแบบเดิม ซึ่งทางกรุงเทพมหานครไม่ยินยอมและดำเนินการจัดการในการไล่ที่ต่อมาอย่างสืบเนื่องด้วยกระบวนการทางกฎหมาย และอ้างว่าสภาพของพื้นที่อยู่อาศัยในขณะนี้ไม่มีความเป็นชุมชน มีคนนอกจากที่อื่นที่ไม่มีสิทธิ์ในที่ดินและที่อยู่เข้ามาอยู่เป็นส่วนมาก การกระทำของกรุงเทพมหานครได้รับการขานรับจากบรรดาหน่วยงานทางกฎหมายและคนบางส่วนบางกลุ่มของสังคม โดยเฉพาะสื่อมวลชน นักวิชาการผู้ออกแบบสถาปัตยกรรมและผังเมืองที่มีส่วนได้เสียในการออกแบบสิ่งก่อสร้างใหม่ ๆ ของกรุงเทพมหานคร แต่บรรดานักวิชาการในหลาย ๆ สถาบันและคนกรุงเทพฯ ทั่วไปรวมทั้งข้าพเจ้าด้วยไม่เห็นด้วยกับการกระทำของกรุงเทพมหานครที่ไม่ชอบธรรมมาโดยตลอด กรุงเทพมหานครและหน่วยงานราชการทางกฎหมายและผู้สนับสนุนไม่เข้าใจคำว่า “ชุมชนและความเป็นชุมชน” จึงทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ตั้งแต่เริ่มเวนคืนที่ดินและชดใช้ค่าเสียหาย เพราะผิดกติกาในการรื้อย้ายชุมชน ในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยทั้งหลายที่เป็นอารยะนั้น การโยกย้ายชุมชนไม่ใช่การให้เงินชดใช้ค่าเสียหายเป็นรายทั่วไปในลักษณะปัจเจก เช่นให้ไปอยู่ตามลำพังแต่อย่างเดียวในพื้นที่ซึ่งไม่อาจเป็นชุมชนได้ จำเป็นต้องหาพื้นที่จัดโครงสร้างให้เป็นชุมชนใหม่ขึ้นมาทดแทน แล้วติดตามดูการตั้งถิ่นฐานใหม่ของคนที่ย้ายมาจากชุมชนเก่าจนกระทั่งความเป็นอยู่ที่เป็นชุมชนจะเกิดขึ้นมาคล้าย ๆ กันกับชุมชนเดิมก่อนที่จะย้ายมา แต่กรุงเทพมหานครไม่ทำในสิ่งที่เป็นกติกาแบบนี้ คนที่ย้ายออกไปจึงกลับเข้ามาอยู่ในชุมชนเดิมและรวมตัวกันอย่างมีสำนึกร่วมที่แสดงให้เห็นว่าชุมชนป้อมมหากาฬยังมีตัวตนอยู่ หาได้เป็นไปตามที่กรุงเทพมหานครกล่าวไม่ สิ่งที่ดูเป็นตลกร้ายในส่วนตัวข้าพเจ้าก็คือ กรุงเทพมหานครยังดื้อแพ่งอย่างสม่ำเสมอว่า “คนที่อยู่ที่ป้อมมหากาฬในทุกวันนี้ไม่เป็นชุมชน” เพราะมีคนขายที่ออกไปอยู่ที่อื่นและมีคนใหม่เข้ามา ผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจถึงความเป็นชุมชนนั้นย่อมทราบดีว่า ความเป็นชุมชนไม่ได้อยู่ที่เพียงคนเก่าออกไปอยู่ที่อื่นคนใหม่มาแทน หากความเป็นชุมชนอยู่ที่คนที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันมาหลายชั่วคน อย่างเช่นกลุ่มก้อนที่มีความสัมพันธ์ทางสังคมเป็นครอบครัว เครือญาติและเหล่าตระกูลที่มีสำนึกร่วมในพื้นที่บ้านเกิดเดียวกันมาหลายชั่วคน และอยู่กินกันอย่างมีแบบแผน ประเพณีวัฒนธรรมร่วมกันอย่างสืบเนื่อง การมีคนย้ายออกย้ายเข้านั้นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะคนที่ยังอยู่อย่างสืบเนื่องทางวัฒนธรรมนั้นสามารถบูรณาการให้คนใหม่คนนอกที่เข้ามาใหม่ให้เป็นคนป้อมมหากาฬ หรือคนในชุมชนป้อมมหากาฬอันเดียวกันได้ ท้ายสุดการที่กรุงเทพมหานครยังยืนยันความถูกต้องทางกฎหมายนั้น คือไม่ถูกต้อง เพราะชุมชนป้อมมหากาฬมีตัวตนอยู่เรื่อยมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ ก่อนการออกกฎหมายต่าง ๆ ที่กรุงเทพมหานครอ้างมาใช้นั้นทั้งสิ้น ซึ่งในสายตาของคนที่เป็นวิญญูชนทั่วไป กรุงเทพมหานครกำลังใช้อำนาจรัฐอย่างไม่ชอบธรรมแก่ผู้คนในชุมชนเก่าแก่ของกรุงเทพมหานคร การต่อสู้คัดค้านการขับไล่ชุมชนของคนป้อมมหากาฬครั้งนี้ คือ “ การแสดงประชาขัดขืน ” [Civil disobedience] อย่างแท้จริง และเมื่อกรุงเทพมหานครใช้อำนาจความถูกต้องตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด ความรุนแรงอาจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะจะนำไปสู่การไล่รื้อขับไล่ชุมชนคนกรุงเทพฯ ในย่านต่าง ๆ ทั่วทั้งพระนคร โดยกรุงเทพมหานครและองค์กรอื่น ๆ รวมทั้งการหวังผลประโยชน์ของกลุ่มทุนที่มีบรรดานักวิชาการทั้งด้านกฎหมาย ด้านผังเมือง ด้านเศรษฐกิจการท่องเที่ยวรวมอยู่ด้วย ดังเช่นโครงการขนาดใหญ่ที่ถ้าสำเร็จก็คือการทำลายทั้งชุมชนคนกรุงเทพฯ และภูมิวัฒนธรรมบ้านเมืองสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาของฝั่งพระนครและธนบุรี โครงการมหาวิบัติดังกล่าวนี้มีโครงการพัฒนาสร้างถนนขนาบน้ำสองฝั่งน้ำเจ้าพระยาที่นอกจากจะทำให้แม่น้ำเจ้าพระยามีสภาพเป็นคลองชลประทานขนาดใหญ่ขนาบด้วยเขื่อนคั่นถนนสองฝั่งน้ำที่ต้องไล่รื้อชุมชนที่เป็นบ้าน เป็นบาง มีวัดวาอารามเป็นศูนย์กลาง จนความเป็นกรุงเทพมหานครเมืองสองฝั่งน้ำที่มีแม่น้ำและลำคลองเป็นเส้นชีวิตให้หมดไป แล้วมีการสร้างบ้านเมืองแบบใหม่ ๆ ที่ไม่มีชุมชน ไม่มีมนุษย์ที่มีหัวนอนปลายเท้าจากที่ต่าง ๆ จากภายนอกทั้งในเมืองไทยและต่างชาติเข้ามาสิงสู่แทน เมื่อนั้นเราคงได้เห็น “นิวกรุงเทพฯ นิวรัตนโกสินทร์” เป็นแน่แท้ แต่สำหรับข้าพเจ้าผู้เป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิดและตระกูล การพัฒนาบ้านเมืองแบบที่เป็นอยู่นี้คือ “It’s the doom of Bangkok” -- (การลงทัณฑ์แก่เมืองกรุงเทพฯ) อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงใช้แผนที่อย่างหนอน
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ต.ค. 2559 บารมีคืออำนาจที่เกิดจากการกระทำดีที่แล้วเสร็จ เป็นผลให้ผู้รับเกิดความเลื่อมใสและเคารพรัก เป็นอำนาจที่มาจากเบื้องล่าง ขณะที่อำนาจจากเบื้องสูงคืออำนาจตามกฎหมาย หรือกติกา เป็นอำนาจของรัฐที่เป็นพระเดช แต่อำนาจบารมีเป็นอำนาจทางพระคุณ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ กับแผนที่ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ จึงไม่ทรงมีอำนาจในการจัดการบ้านเมืองใด ๆ เพราะเป็นอำนาจของทางรัฐบาลที่ทำให้พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะผู้นำทางสัญลักษณ์ที่ไม่ต้องทรงทำอะไรก็ได้ แต่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ เพราะทรงเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมของความรัก เมตตากรุณาต่อประชาชนที่มีความทุกข์ยาก หลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์ได้ทรงตระเวนไปทั่วทุกแห่งของบ้านเมือง ได้ทรงพบเห็นสภาพความล้าหลังของประเทศ และความยากจนเหลื่อมล้ำของผู้คนในสังคมที่บอกว่าเป็นประชาธิปไตยที่ได้คืนอำนาจในการปกครองและบริหารประเทศมาจากพระมหากษัตริย์ รัฐบาลประชาธิปไตยตั้งแต่สมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประชาธิปไตยแบบทุนนิยมตามแบบฝรั่งเศส อังกฤษ และอเมริกา ซึ่งเป็นรัฐบาลที่มองโลกจากคนชั้นกลางที่อยู่ดี กินดี มีเงินใช้ มีที่อยู่อาศัยอย่างเป็นบ้านเมืองที่มีตึกรามบ้านช่อง ถนนหนทางและเครื่องอำนวยความสะดวกแบบตะวันตกที่ต้องใช้ทุนเงินในการสร้างสรรค์ขึ้นมา หาได้สำเหนียกถึงความสุขและความทุกข์ยากของคนชั้นล่างที่เป็นชาวนาและกรรมกรแรงงานไม่ จึงเป็นรัฐบาลที่มองแต่เพียงการยกระดับบ้านเมืองใหม่ มีสภาพอยู่ดีกินดีตามมาตรฐานทางะตะวันตก ที่หัวใจในการพัฒนาประเทศอยู่ที่การมีเงินเป็นหัวใจ “ งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข ” ความทุกข์และความสุขของประชาชนจึงเป็นเรื่องทางเศรษฐกิจที่ใช้เงินเป็นตัวกำหนดที่จะทำให้แลเห็นความจนและความรวย ตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นต้นมา มีแผนพัฒนาบ้านเมืองอย่างสืบเนื่องและมั่นคงที่มีมาจากความเชื่อแบบอเมริกันครอบงำว่า ความยากจนเหลื่อมล้ำนั้นมาจากลัทธิคอมมิวนิสต์ที่กำลังคุกคามสวัสดิภาพของประชาชนทั่วไปในประเทศ การทำสงครามกับคอมมิวนิสต์นั้นคือ การป้องกันความมั่นคงของบ้านเมืองที่ต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรม [Industrialization] และการยกระดับความเป็นเมือง [Urbanization] ให้มากกว่าการเป็นชนบท โดยเฉพาะการพัฒนาทางเศรษฐกิจนั้นก็เพื่อให้มีการผลิตที่ทำให้คนมีรายได้กับหัวเพิ่มขึ้น [GDP] จึงทำให้ในทุกวันนี้การเพิ่ม GDP จึงเป็นสิ่งที่แสดงถึงความสุขมวลรวมผู้คนในสังคม อันเป็นความสุขทางวัตถุโดยแท้ แต่ก็เป็นความสุขของคนชั้นกลางและนายทุนที่มีผลกระทบทางทำลายสภาพแวดล้อมธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งสังคมของคนชั้นล่างที่ยากจนและด้อยโอกาส เกิดการล่มสลายของครอบครัวและความเป็นมนุษย์ ซึ่งคนที่เป็นวิญญูชนอาจแลเห็นและสำเหนียกได้ในทุกวันนี้ ในขณะที่รัฐแทบทุกยุคทุกสมัยแม้ปัจจุบันก็ยังพัฒนาบ้านเมืองด้วยอำนาจและเงินที่มีสิทธิตามกฎหมายในด้านเศรษฐกิจที่ไม่เห็นทุกข์สุขที่แท้จริงของประชาชน ตามแบบตามตำราและทฤษฎีที่มาจากตะวันตก ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงพัฒนาบ้านเมืองในส่วนพระองค์ด้วยเป้าหมายที่แตกต่างไป คือไม่ทรงมองที่เศรษฐกิจที่จะนำทางไปสู่การมีเงินทองในทางเพิ่มพูน GDP แต่ทรงมองที่คนชั้นล่างที่ด้อยโอกาส และอยู่ในสภาพของความยากจน โดยย่อก็คือมองที่ตนเป็นตัวตั้งและความยากจนด้อยโอกาสก็ไม่ใช่ความยากจนที่เกิดจากการขาดแคลนในเรื่องเงินทอง แต่เป็นความยากจนขาดแคลนในสภาวะที่ไม่มีความสุขกายและใจในการดำรงชีวิต สภาพความยากจนดังกล่าวนี้ทรงพบเห็นจากการที่ได้เสด็จตระเวนไปยังท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักรที่เป็นผลให้มีประชาชนเพรียกร้องไม่ให้พระองค์ทอดทิ้งประชาชน สืบเนื่องจากประสบการณ์ดังกล่าว ได้ทำให้พระองค์ได้บำเพ็ญพระกรณียกิจในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ เพื่อช่วยให้ประชาชนผู้ด้อยโอกาสพ้นจากความยากจนและอยู่ดีกินดีทั้งกายและใจในรูปแบบที่เรียกว่า ความสุขมวลรวมมวลรวมประชาชาติ GNH [Gross National Happiness] ที่ไม่ใช่ผลผลิตมวลรวมประชาชาติ GDP [Gross domestic product] พระราชกรณียกิจในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจทรงทำตลอดพระชนม์ชีพแทบจะไม่ทรงมีเวลาในส่วนพระองค์ตราบจนเสด็จดับขัณฑ์นี้ คือพระบารมีที่มาจากอำนาจของความรักและความเมตตาต่อประชาราษฎร์ของพระองค์ ทรงใช้ทุนทรัพย์และพระสติปัญญาและเวลาในส่วนพระองค์เป็นพื้นฐานโดยมีคนเป็นเป้าหมายไม่ใช่เงินที่ทำให้เกิด GDP ผลของพระราชกรณียกิจในการช่วยเหลือและดูแลทุกข์สุขของคนคือประชาชนทั้งประเทศดังกล่าวนี้ คือพระบารมีที่แผ่ไพศาลที่เห็นกันอย่างแจ่มชัดในทุกวันนี้ จากภาพบันทึกพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจที่สื่อทั้งหลาย ทั้งของรัฐและเอกชนนำมาปะติดปะต่อให้เห็นเป็นภาพรวมทั้งหมดที่ปรากฏทุกวันหลังวันสวรรคต ซึ่งข้าพเจ้าได้นำมาเขียนวิเคราะห์เชิงมนุษยวิทยาไว้ ณ ที่นี้ การพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่มีมิติทางสังคมที่ผ่านมาโดยเน้นรายได้ทางเศรษฐกิจด้วยปรัชญาแบบ “งานคือเงิน เงินคืองานบันดาลสุข” เพื่อให้เกิดรายได้ต่อหัวที่เรียกว่า GDP คือสิ่งที่ทำลายชีวิตวัฒนธรรมของผู้คนในชุมชนท้องถิ่นที่เคยอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว เครือญาติ เหล่าตระกูล และชุมชนที่สัมพันธ์กับการจัดการทรัพยากรทั้งดิน น้ำ และพืชพันธุ์ สิ่งที่มีชีวิตในนิเวศวัฒนธรรมที่เคยมีอยู่ร่วมกันอย่างมีดุลยภาพ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบล่มสลาย และผลที่ตามมาก็คือความทุกข์ยากของประชาชนทั่วไปในระดับล่าง ทำให้สังคมไทยทั่วประเทศอยู่ในสภาพความเหลื่อมล้ำในชีวิตความเป็นอยู่ระหว่างคนรวยและคนจนที่ส่วนใหญ่อยู่ในภาวะยากจน หิวโหยและเดือดร้อน แต่การพัฒนาตามแนวคิดและแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น ทรงพัฒนาจากข้างล่างจากคนในท้องถิ่นที่ประสบความเดือดร้อนให้มาเชื่อมโยงกับการพัฒนาจากข้างบนหรือจากข้างนอก เพื่อให้เกิดดุลยภาพระหว่างกัน ทรงมุ่งให้คนในที่อยู่รวมกันเป็นชุมชนมีชีวิตอยู่รวมกันในท้องถิ่น เป็นการพัฒนาที่มีมิติทางสังคม และเป็นพัฒนาเศรษฐกิจซึ่งอยู่ในบริบททางสังคมและสภาพแวดล้อมที่เป็นนิเวศวัฒนธรรม ในความคิดเชิงมานุษยวิทยาที่ข้าพเจ้าได้เล่าเรียนมา คือการพัฒนาแบบองค์รวมทั้งโลกธาตุที่แลเห็นทุกธาตุส่วนที่เป็นองค์ประกอบของโลก มี ๖ ธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ และวิญญาณธาตุ ที่หมายถึงสิ่งที่มีชีวิต อันได้แก่คน สัตว์ ต้นไม้ เป็นต้น การมีชีวิตรอดอยู่ของสิ่งที่มีชีวิตโดยเฉพาะมนุษย์ที่เป็นสัตว์สังคมจะดำรงอยู่ได้นั้น ทุกสิ่งที่เป็นธาตุต่าง ๆ ทั้ง ๖ ธาตุนี้จะต้องสัมพันธ์กันอย่างได้ดุลยภาพ แต่การจะพัฒนาได้นั้นจะทำไม่ได้ผลดี โดยการพัฒนาจากข้างบนหรือจากภายนอกที่ทำตามตำรา แม่บท และแนวคิดทฤษฎี แต่ต้องเป็นเรื่องของการลงไปศึกษาเก็บข้อมูลกันในพื้นที่หรือท้องถิ่นที่มีชุมชนมนุษย์อยู่ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องทรงทรมานพระวรกายตรากตรำลงไปศึกษาเก็บข้อมูลข้อเท็จจริงด้วยพระองค์ตามท้องถิ่นที่ประชาชนประสบความเดือดร้อน แล้วนำมาวิเคราะห์ตีความเพื่อกำหนดเป็นแนวคิด แนวทางและวิธีการแก้ไขเพื่อการขจัดทุกข์ยากและความเดือดร้อนของประชาชน ถ้าธาตุใดที่เป็นสาเหตุไม่ว่าจะเป็นดินน้ำลมไฟ อากาศ มนุษย์ สัตว์และต้นไม้ หรือสิ่งที่มีชีวิตอื่นๆ ก็จะทรงพยายามแก้ไขให้ เพราะฉะนั้นเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมจากข้างล่าง หรือจากคนในชุมชน ในท้องถิ่นตามที่กล่าวมานี้ พระองค์ต้องทรงริเริ่มและทำทุกอย่างด้วยพระองค์เอง ด้วยทุนทางสติปัญญาและทุนทรัพย์ในส่วนพระองค์ โดยไม่คาดหวังจากความร่วมมือจากทางรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาจากข้างบนและจากข้างนอก ซึ่งเป็นสิ่งที่ทรงพระราชดำริว่า “ ต้องระเบิดจากข้างในก่อน ” และการเข้าถึงด้วยแนวทาง “ เข้าใจ เข้าถึงและพัฒนา ” ในเรื่องนี้ทรงละไว้ให้เข้าใจกันเองว่าการเข้าถึงคือถึงอะไร ซึ่งในแนวปฏิบัติของพระองค์ก็คือ “เข้าถึงคน” แต่ไม่ใช่เป็นคนในฐานะปัจเจก หากเป็นคนที่อยู่ร่วมกันในครอบครัวเป็นตระกูล หมู่เหล่าที่แม้จะหลากหลายทางชาติพันธุ์ ภาษา และศาสนา แต่อยู่กันอย่างเป็นชุมชนในพื้นที่หรือท้องถิ่นเดียวกัน แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ พระองค์เองได้แสดงการเข้าถึงอย่างไร เป็นตัวอย่างด้วยการเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาทลงไปยังท้องถิ่นเป้าหมายด้วยแผนที่แผ่นทาง สมุดบันทึก และกล้องถ่ายรูปออกไปเก็บข้อมูล ที่เห็นได้จากการสังเกตการณ์ได้ยินได้ฟังจากการสังสรรค์กับผู้คนในท้องถิ่นอย่างเป็นกันเองอย่างคนธรรมดาที่ไม่แสดงอาการเหลื่อมล้ำในลักษณะต่ำสูง ที่ทำให้ผู้คนเกิดความไว้วางใจเคารพรัก และให้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงน่าเชื่อถือได้ อันที่จริงในการใช้แผนที่แผ่นทางในการเป็นเครื่องมือเก็บข้อมูลดังกล่าวนี้ ก็มีนักวิชาการ นักพัฒนาทำกันอย่างกว้างขวาง แต่มีความแตกต่างกันกันอย่างสิ้นเชิงในการปฏิบัติ คนทั่วไปส่วนใหญ่ใช้แผนที่แผ่นทางในลักษณะแบบนก [Bird eyes view] คือกางแผนที่แล้ววางแผน หรือถ้าหากจะต้องลงพื้นที่ก็ทำอย่างเคร่า ๆ แบบขี่ม้าเลียบค่ายเลียบเมืองอะไรทำนองนั้น แต่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นทรงทำแบบหนอน [Worm eyes view] ที่ทรงดำเนินด้วยพระบาทเข้าไปในพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ยากลำบากและทุรกันดารอย่างไรเพื่อเข้าไปให้เห็นคน เห็นสัตว์กันได้ และสิ่งที่มีชีวิตที่สัมพันธ์กับดินน้ำลมและอากาศที่มีระดับสูงต่ำ และระดับอุณหภูมิที่เป็นจริง จึงทำให้ได้ทรงเข้าถึงเข้าใจในปัญหาของความเดือดร้อนที่จะต้องนำไปวางแผนแก้ไขในการพัฒนา ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นจากการดำเนินการแก้ไขในเรื่องการจัดการน้ำทั้งเพื่อการเกษตรกรรม การป้องกันน้ำท่วม ฝนแล้งและการส่งเสริมพืชพันธุ์ต่าง ๆ รวมทั้งการสนับสนุนเลือกเฟ้น เน้นใช้และประดิษฐ์เทคโนโลยีเหมาะสมให้แก่คนในชุมชนที่จะต้องพัฒนา ความต่างกันในแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจสังคมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นการพัฒนาจากข้างในกับการพัฒนาจากข้างนอก โดยทางรัฐและเอกชนทั่วไปก็คือ การพัฒนาที่ทำให้คนช่วยตัวเองและทำเองในลักษณะการเป็นพี่เลี้ยง แนะนำแนวคิดแนวทางและวิธีการที่เป็นไปได้ รวมทั้งการช่วยเหลือลงทุนค่าใช้จ่ายบ้างในด้านการลงทุนทางเทคนิคโดยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ และการทรงคิดประดิษฐ์เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เหมาะสม โดยเสด็จพระราชดำเนินไปทรงแนะนำให้ความรู้ด้วยพระองค์เองตามท้องถิ่นต่างๆ พระราชทานแนวคิดและแนวทางตลอดมา วิธีการดังกล่าวนี้เรียกว่า การสร้างพลังทางสติปัญญาและความรู้ให้แก่ผู้คนให้สามารถพัฒนาด้วยตนเอง ดังในภาษาอังกฤษเรียกว่า Empowerment การเสด็จฯ ลงไปถึงผู้คนที่จะต้องพัฒนาในท้องถิ่นด้วยพระองค์เองก็คือ การเข้าถึง เข้าใจ ในความต้องการของความรู้กับศักยภาพ ความรู้ และสติปัญญาได้อย่างเด่นชัด อีกทั้งได้ทรงเข้าถึงในเรื่องโลกทัศน์และค่านิยมของผู้คนที่เป็นเหยื่อของวัตถุนิยมที่แพร่หลายจากชนชั้นปกครอง ชนชั้นกลางในโลกของทุนนิยมเสรีแบบทางตะวันตก ได้ทำให้ต้องทรงพระราชทานแนวคิดและปรัชญาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงขึ้นเพื่อให้เป็นรากฐานในการดำรงชีวิตอย่างพอเพียงและมีคุณภาพ ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน โดยความเข้าใจของข้าพเจ้าคือ ปรัชญาของความพอเพียงในชีวิตของปัจเจกบุคคลที่มีทั้งความพอเพียงในทางวัตถุที่ได้ดุลยภาพกับความพอเพียงทางจิตใจอันเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ ซึ่งในภาษาอังกฤษเรียกว่า Self sufficiency เพราะความพอเพียงของแต่ละบุคคลนั้นไม่เท่ากัน เป็นความพอเพียงตามอัตภาพของแต่ละบุคคล อันนี้เป็นพื้นฐานที่จะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงในระดับส่วนรวมหรือในระดับชุมชน เพราะมนุษย์คือสัตว์สังคมต้องอยู่รวมกันจึงจะมีชีวิตรอด การพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงจึงเป็นการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชนร่วมกันที่ทำให้เกิดความพอเพียงและยั่งยืน หรือเรียกว่า Sustainable economy หรือ Sustainable development คือพอเพียงและยั่งยืนของคนในชุมชนร่วมกัน อีกสิ่งหนึ่งในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันมุ่งการพัฒนาจากข้างในที่แตกต่างไปจากการพัฒนาจากข้างบนหรือจากข้างนอกของคนในโลกวัตถุนิยมแบบตะวันตกก็คือ “การพัฒนาจิตใจในมิติทางจิตวิญญาณ” เป็นเรื่องของความเชื่อศาสนาและประเพณีพิธีกรรม ซึ่งแสดงออกให้เห็นจากการสร้างวัด สร้างโรงเรียนที่พระองค์ได้พระราชทานทุนทรัพย์ และเสด็จฯ ไปพบปะประชาชนและร่วมในประเพณีพิธีกรรมควบคู่กันไป เสด็จฯ ไปนมัสการบรรดาพระอริยสงฆ์และแสดงพระองค์เองเป็นพุทธมามกะ ในเรื่องสมาธิและวิปัสสนา และทั้งหมดนี้ แลเห็นจากการให้ความสำคัญกับโครงสร้างความเป็นชุมชนในสมัยใหม่ คือ บ้าน วัดและโรงเรียนที่เรียกกันย่อ ๆ ว่า “บวร” ที่ต้องทำให้เกิดขึ้นได้ด้วยการเชื่อมโยงบูรณาการให้สัมพันธ์กับการมีชีวิตรวมกันของคนในชุมชนด้วยการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจในการพัฒนาสังคมเศรษฐกิจด้วยการตรากตรำพระวรกายออกไปพบปะประชาชนที่เดือดร้อนในทุกแห่งหนของประเทศ และทรงคิดโครงการช่วยเหลือต่างๆ เป็นจำนวนมากเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ประชาราษฎรด้วยพระสติปัญญาและทุนทรัพย์ส่วนพระองค์นั้น ได้เกิดบารมีที่ทำให้ทางรัฐและเอกชนขานรับโครงการพระราชดำริ เพื่อการพัฒนาให้เข้าถึงประชาชนรวมกว่า ๔,๕๐๐ โครงการตลอดเวลา ๗๐ ปี ที่ครองราชย์ เกิดหน่วยงานที่เป็นองค์การรองรับเป็นจำนวนมาก โดยพระองค์ทรงเฝ้าดูแลติดตามอยู่ตลอดเวลา บรรดาโครงการใหญ่ ๆ ที่พระองค์ทรงริเริ่มและได้ดำเนินการให้เป็นผลดีแก่ประชาราษฎร์ ที่สำคัญคือ การพัฒนาดิน น้ำ ลม และอากาศ เช่นการเปลี่ยนแปลงพื้นที่แห้งแล้ง ดินเค็ม ดินเปรี้ยวขาดน้ำให้กลับฟื้นขึ้นมาเป็นป่าเขาที่หลากหลายด้วยชีวภาพเป็นไร่ เป็นนา เป็นเรือกสวนแหล่งประมงน้ำจืดและน้ำเค็มที่สามารถเพาะเลี้ยงพันธุ์ปลา สัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย และพืชพันธุ์ที่มีทั้งเป็นของในท้องถิ่นตามธรรมชาติและนำเข้ามาจากต่างประเทศภายนอก โดยเฉพาะพืชและไม้ผลฤดูหนาวที่นำมาให้คนบนที่สูง เช่นทางภาคเหนือที่เป็นเผ่าพันธุ์อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน และปลูกฝิ่นเป็นอาจินต์ ผลสัมฤทธิ์ก็คือ คนต่างชาติพันธุ์เหล่านั้นกลายเป็นคนไทยที่มีอาชีพทำมาหากินอย่างสุจริต ณ ที่ใดที่ประชาชนทุกข์ร้อนในประเทศจะทรงดั้นด้นไปทรงดูแลช่วยเหลือและฟื้นฟูให้มีชีวิตที่ดี มีสุขภาพและสวัสดิภาพ สิ่งที่ทำให้พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ไม่เหมือนใครในโลกก็คือ “พระราชวังที่ประทับหาได้มีความโอ่อ่าตระการตาไม่ หากกลายเป็นที่อยู่อาศัยของผู้บำเพ็ญกรณีธรรมดา” ที่เต็มไปด้วยพื้นที่ทดลองพันธุ์พืช ต้นไม้และปศุสัตว์ รวมทั้งโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์สิ่งของจากการเกษตรปลอดสารและปลอดภัยออกมาจำหน่ายอย่างมีมาตรฐานในด้านความปลอดภัยและคุณภาพ ในสุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าใคร่จบด้วยเรื่องของการใช้แผนที่แบบหนอนเพื่อเป็นเครื่องมือในการพัฒนาที่ “เข้าถึงคน เข้าใจ และพัฒนา” นั้น จะมีผลต่อไปในอนาคต จะเกิดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นอนุสรณ์แห่งการเสด็จไปของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ในแทบทุกท้องถิ่น และบางแห่งก็จะกลายเป็นศาลของเทพารักษ์ที่จะให้การดูแลปกป้องภัยและเป็นที่พึ่งของคนในชุมชนท้องถิ่น ดังเช่นศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน และสมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรือ ของผู้นำวัฒนธรรม [Culture hero] อื่น ๆ ที่จะเป็นที่ประกอบประเพณีพิธีกรรมในรอบปีของแต่ละท้องถิ่นต่อไป อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ในหลวงรัชกาลที่ ๙ กับการพัฒนาจาก “ข้างใน”
เผยแพร่ครั้งแรก 10 เม.ย. 2560 การพัฒนาเศรษฐกิจสังคมตามแผนพัฒนาแต่ละยุคแต่ละสมัยของรัฐที่ผ่านมา นับแต่สมัยต้น พ.ศ. ๒๕๐๐ ที่นับเนื่องกว่าครึ่งศตวรรษแล้วนั้น เป็นการพัฒนาที่มักประกาศเสมอว่า เป็นการพัฒนาแบบวางแผน [Planned change] ที่ประชาชนมีส่วนร่วม แต่โดยการปฏิบัติและการกระทำ เป็นการพัฒนาจากบนลงล่าง [Top down] แบบบังคับให้เปลี่ยนแปลง [Forced change] ในทำนองเดียวกับประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ และเป็นการพัฒนาทางเศรษฐกิจล้วน ๆ แม้ว่ามีคำว่า “สังคม” พ่วงท้ายอยู่ก็ตาม เป็นการพัฒนาตามตำรา แนวคิด ทฤษฎีที่ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศมหาอำนาจในระบบทุนนิยมเสรี ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากการจัดองค์กรการดำเนินการเป็นสภา ทบวง กรม กองต่าง ๆ ที่บุคลากรได้รับการอบรมมาจากตะวันตก รวมทั้งกระบวนการในการดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ จนถึงการประเมินผล การพัฒนาคือการเปลี่ยนแปลงที่เป็นการปะทะสังสรรค์กันของคนสองกลุ่ม กลุ่มที่จะไปเปลี่ยนแปลงนับเป็นคนจากข้างนอก คือ จากข้างบนในระดับการกำหนดวัตถุประสงค์ การวางนโยบายและยุทธศาสตร์ให้กับข้าราชการผู้ออกไปปฏิบัติตามหน้าที่ของกรม กอง หรือหน่วยงานที่ทางรัฐจัดตั้ง เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตทางเศรษฐกิจ คนอีกกลุ่มที่อยู่ข้างล่างคือประชาชนและผู้คนในชุมชนท้องถิ่นที่เรียกกันว่า “คนใน” การพัฒนาของรัฐบาลแบบนี้แทบไม่แลเห็น “คนใน” ที่เป็นเป้าหมายแท้จริงในการพัฒนาเลย แม้ว่าจะมีการอ้างการมีส่วนร่วมของคนในท้องถิ่นก็ตาม แต่เป็นการนำเข้ามาเกี่ยวข้องโดยไม่ให้อำนาจในการตัดสินใจ [Decision making] โดยย่อก็คือการพัฒนาโดย “คนนอก” ที่จะไปเปลี่ยนแปลงโดยไม่แลเห็นคนใน เพื่อการยกระดับชีวิตวัฒนธรรมให้อยู่ดีกินดี และมีความสุขทั้งด้านกายและใจ การพัฒนาที่มุ่งแต่เนื้อหาทางเศรษฐกิจเพื่อการมีเงิน มีรายได้เป็นสำคัญนั้น สะท้อนให้เห็นจากนโยบายการเศรษฐกิจเพื่อการส่งออก เพื่อทำให้เกิดรายได้ประชาชาติต่อหัว [GDP] ที่ทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมกันดำเนินการมาจนทุกวันนี้ เป็นการพัฒนามิติทางเศรษฐกิจที่มีคำว่า “สังคม” เป็นคำประดับให้สวยงาม เมื่อไม่สนใจในมิติทางสังคมที่หมายถึงชีวิตวัฒนธรรมของคนในชุมชนท้องถิ่นซึ่งเคยอยู่กันมาช้านาน แต่สมัยสังคมเกษตรกรรมแบบชาวนา [Peasant society] และสังคมเกษตรกรรมแบบกสิกร [Farmer] ที่มีการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนผ่านมาโดยธรรมชาติ สังคมชาวนาคือสังคมของคนในท้องถิ่นที่มีชีวิตร่วมกันในชุมชนแบบที่มีมาแต่ดั้งเดิมนับพันปี เป็นสังคมที่คนอยู่กันด้วยความสัมพันธ์ทางครอบครัว เหล่าตระกูลและเครือญาติของคนในหลายชาติพันธุ์ ต่างศาสนาและที่มาทางประวัติศาสตร์ ซึ่งพากันมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ต่างใช้ทรัพยากรร่วมกันในการอยู่อาศัยและทำกินอย่างมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ดูแลทุกข์สุขกันเพื่อการมีชีวิตรอดร่วมกันของมนุษย์ ในฐานะที่เป็นสัตว์สังคม ไม่ใช่สัตว์เดี่ยว เช่น สัตว์เดรัจฉานที่เป็นปัจเจก ทั้งหมดนี้คือการมีชีวิตร่วมกันในชุมชน เป็นชีวิตวัฒนธรรมแบบพอเพียง [Self contain] การพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่มีมิติทางสังคมที่ผ่านมา เน้นรายได้ทางเศรษฐกิจด้วยปรัชญาแบบ “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข” เพื่อให้เกิดรายได้ต่อหัวที่เรียกว่า GDP คือสิ่งที่ทำลายชีวิตวัฒนธรรมของผู้คนในชุมชนท้องถิ่นที่เคยอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว เครือญาติ เหล่าตระกูลและชุมชน ที่สัมพันธ์กับการจัดการทรัพยากรทั้งดิน น้ำ และพืชพรรณ สิ่งมีชีวิตในนิเวศวัฒนธรรมที่เคยมีอยู่ร่วมกันอย่างมีดุลยภาพ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบล่มสลาย และผลที่ตามมาก็คือความทุกข์ยากของประชาชนทั่วไปในระดับล่าง ทำให้สังคมไทยอยู่ในสภาพความเหลื่อมล้ำในชีวิตความเป็นอยู่ระหว่างคนรวยกับคนจน ที่ส่วนใหญ่อยู่ในภาวะยากจน หิวโหยและเดือดร้อน แต่การพัฒนาตามแนวคิดและแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ นั้น ทรงพัฒนาจากข้างล่าง จากคนในท้องถิ่นที่ประสบความเดือดร้อนให้มาเชื่อมโยงกับการพัฒนาจากข้างบนหรือจากข้างนอก เพื่อให้เกิดดุลยภาพระหว่างกัน ทรงมุ่งที่คนในซึ่งอยู่รวมกันเป็นชุมชนในท้องถิ่น เป็นการพัฒนาที่มีมิติทางสังคม และเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจที่อยู่ในบริบททางสังคมและสภาพแวดล้อมที่เป็นนิเวศวัฒนธรรม ในความคิดเชิงมานุษยวิทยาที่ข้าพเจ้าได้เล่าเรียนมา คือ การพัฒนาแบบองค์รวมทั้งโลกธาตุ ที่แลเห็นทุกธาตุส่วนที่เป็นองค์ประกอบของโลก มี ๖ ธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ และวิญญาณ ธาตุที่หมายถึงสิ่งที่มีชีวิต อันได้แก่ คน สัตว์ ต้นไม้ ฯลฯ การมีชีวิตรอดของสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะมนุษย์ที่เป็นสัตว์สังคมจะดำรงอยู่ได้นั้น ทุกสิ่งที่เป็นธาตุต่าง ๆ ทั้ง ๖ ธาตุนี้จะต้องสัมพันธ์กันอย่างมีดุลยภาพ แต่การจะพัฒนาได้นั้น จะทำไม่ได้ผลดีโดยการพัฒนาจากข้างบน หรือจากภายนอกที่ทำตามตำราแม่บทและแนวคิดทฤษฎี แต่ต้องเป็นเรื่องของการลงไปศึกษาเก็บข้อมูลกันในพื้นที่ หรือท้องถิ่นที่มีชุมชนมนุษย์อยู่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ต้องทรงตรากตรำพระวรกายในการศึกษาเก็บข้อมูล ข้อเท็จจริง ด้วยพระองค์ ในท้องถิ่นที่ประชาชนประสบความเดือดร้อน แล้วนำมาวิเคราะห์เพื่อกำหนดเป็นแนวคิด แนวทาง และวิธีการแก้ไข เพื่อขจัดทุกข์ยากและความเดือดร้อนของประชาชน ถ้าธาตุใดที่เป็นสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ หรือมนุษย์ สัตว์ ต้นไม้ และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ก็จะทรงพยายามแก้ไขให้ เพราะฉะนั้นเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมจากข้างล่าง หรือจากคนในชุมชนในท้องถิ่นตามที่กล่าวมา พระองค์ต้องทรงริเริ่มและทำทุกอย่างด้วยพระองค์เอง ด้วยทุนทางพระสติปัญญาและพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ โดยไม่คาดหวังความร่วมมือจากทางรัฐบาล ซึ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาจากข้างบนและข้างนอก ซึ่งเป็นสิ่งที่ทรงมีพระราชดำรัสว่า “ต้องระเบิดจากข้างในก่อน” และการเข้าถึงด้วยแนวทาง เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา ในเรื่องนี้ทรงละไว้ให้เข้าใจกันเองว่า การเข้าถึงคือถึงอะไร ซึ่งในแนวปฏิบัติของพระองค์ก็คือ เข้าถึงคน แต่ไม่ใช่เป็นคนในฐานะปัจเจก หากเป็นคนที่อยู่ร่วมกันในครอบครัว เป็นตระกูล หมู่เหล่า ที่แม้จะหลากหลายทางชาติพันธุ์ ภาษา และศาสนา แต่อยู่กันอย่างเป็นชุมชนในพื้นที่หรือท้องถิ่นเดียวกัน ที่สำคัญที่สุดก็คือพระองค์ได้แสดงการเข้าถึงอย่างไร เป็นตัวอย่าง ด้วยการเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาทลงไปยังท้องถิ่นเป้าหมาย ด้วยแผนที่ สมุดบันทึก และกล้องถ่ายรูปออกไปเก็บข้อมูล ที่เห็นได้จากการสังเกต ได้ยินได้ฟังจากการสังสรรค์กับผู้คนในท้องถิ่นอย่างเป็นกันเอง อย่างคนธรรมดาที่ไม่แสดงอาการเหลื่อมล้ำในลักษณะต่ำสูง ทำให้ผู้คนเกิดความไว้วางใจ เคารพรักและให้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงน่าเชื่อถือได้ อันที่จริงในการใช้แผนที่ในการเป็นเครื่องมือเก็บข้อมูลดังกล่าว ก็มีนักวิชาการและนักพัฒนาทำกันอย่างกว้างขวาง แต่มีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงในการปฏิบัติ คนทั่วไปส่วนใหญ่ใช้แผนที่ในลักษณะแบบนก [Bird eyes view] คือกางแผนที่แล้ววางแผน หรือถ้าหากจะต้องลงพื้นที่ก็ทำอย่างคร่าว ๆ แบบขี่ม้าเลียบค่ายเลียบเมืองอะไรทำนองนั้น แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงใช้แบบหนอน [Worm eyes view] โดยเสด็จพระราชดำเนินเข้าไปในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ทุรกันดารอย่างไร เพื่อเข้าไปให้เห็นผู้คนและสิ่งมีชีวิตที่สัมพันธ์กับดิน น้ำ ลม และอากาศ ที่มีระดับสูงต่ำและระดับอุณหภูมิที่เป็นจริง จึงทรงเข้าถึงและเข้าใจในปัญหาของความเดือดร้อนที่จะต้องนำไปวางแผนแก้ไขในการพัฒนา ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นจากการดำเนินการแก้ไขในเรื่องการจัดการน้ำ ทั้งเพื่อการเกษตรกรรม การป้องกันน้ำท่วม ฝนแล้ง และการส่งเสริมพืชพรรณต่าง ๆ รวมทั้งการสนับสนุน เลือกเฟ้น เน้นใช้ และประดิษฐ์เทคโนโลยีที่เหมาะสมให้แก่คนในชุมชนที่จะต้องพัฒนา ความต่างกันในแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจสังคมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ซึ่งเป็นการพัฒนาจากข้างใน กับการพัฒนาจากข้างนอกโดยรัฐและเอกชนก็คือ การพัฒนาที่ทำให้คนช่วยตัวเองและทำเอง ในลักษณะการเป็นพี่เลี้ยง แนะนำแนวคิด แนวทาง และวิธีการที่เป็นไปได้ รวมทั้งการช่วยเหลือลงทุนทางเทคนิคและค่าใช้จ่ายบ้าง โดยใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ตลอดจนทรงคิดประดิษฐ์เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เหมาะสม โดยเสด็จไปแนะนำให้ความรู้ด้วยพระองค์เองตามท้องถิ่นต่าง ๆ แนวคิดและแนวทาง ตลอดจนวิธีการดังกล่าวเรียกว่า การสร้างพลังทางสติปัญญาและความรู้ให้แก่ผู้คน ให้สามารถพัฒนาด้วยตนเอง ดังที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Empowerment การเสด็จลงไปถึงผู้คนที่จะต้องพัฒนาในท้องถิ่นด้วยพระองค์เอง ก็คือการเข้าถึงและเข้าใจในความต้องการของคน รู้ถึงศักยภาพ ความรู้และสติปัญญา และความขัดข้องได้อย่างแจ่มชัด อีกทั้งได้ทรงเข้าถึงในเรื่องโลกทัศน์และคำนิยมของผู้คนที่เป็นเหยื่อของวัตถุนิยมที่แพร่หลายจากชนชั้นปกครอง ชนชั้นกลาง ในโลกของทุนนิยมเสรีแบบทางตะวันตก ทำให้ต้องทรงพระราชทานแนวคิดและปรัชญาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงขึ้น เพื่อให้เป็นรากฐานในการดำรงชีวิตอย่างพอเพียงและมีคุณภาพ ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน โดยความเข้าใจของข้าพเจ้าคือ ปรัชญาของความพอเพียงในชีวิตของปัจเจกบุคคล ซึ่งมีทั้งความพอเพียงในทางวัตถุที่ได้ดุลยภาพ กับความพอเพียงทางจิตใจ อันเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ ซึ่งในภาษาอังกฤษเรียกว่า Self-sufficiency เพราะความพอเพียงของแต่ละบุคคลนั้นไม่เท่ากัน เป็นความพอเพียงตามอัตภาพของแต่ละบุคคล อันนี้เป็นพื้นฐานที่จะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงในระดับส่วนรวมหรือในระดับชุมชน เพราะมนุษย์คือสัตว์สังคม ต้องอยู่ร่วมกัน จึงจะมีชีวิตรอด การพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงจึงเป็นการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชนร่วมกัน ที่ทำให้เกิดความพอเพียงและยั่งยืน หรือเรียกว่า sustainable economy หรือ sustainable development คือ พอเพียงและยั่งยืนของคนในชุมชนร่วมกัน และตัวอย่างที่เป็นเลิศในความพอเพียงก็อาจแลเห็นได้จากวิถีทางในการดำรงพระชนม์ชีพของพระองค์จากสื่อวิดีโอและภาพยนตร์ อีกสิ่งหนึ่งในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ที่มุ่งการพัฒนาจากข้างใน แตกต่างไปจากการพัฒนาจากข้างบนหรือจากข้างนอกของคนในโลกวัตถุนิยมแบบตะวันตก ก็คือการพัฒนาทางศีลธรรม จริยธรรม ในมิติทางจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นเรื่องของความเชื่อ ศาสนา ประเพณีและพิธีกรรม ที่แสดงออกให้เห็นจากการสร้างวัด สร้างโรงเรียนที่พระองค์ทรงพระราชทานทุนทรัพย์ เสด็จไปเยี่ยมประชาชนและร่วมในประเพณีพิธีกรรมควบคู่กันไป ตลอดจนเสด็จนมัสการพระอริยสงฆ์และแสดงพระองค์เป็นพุทธมามกะในเรื่องสมาธิและวิปัสสนา ทั้งหมดนี้แลเห็นจากการให้ความสำคัญกับโครงสร้างความเป็นชุมชนสมัยใหม่ คือ บ้าน วัด และโรงเรียน ที่เรียกกันย่อ ๆ ว่า “บวร” ที่ต้องทำให้เกิดขึ้นได้ด้วยการเชื่อมโยง บูรณาการให้สัมพันธ์กับการมีชีวิตร่วมกันของคนในชุมชน ด้วยการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจในการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ เสด็จเยี่ยมประชาชนที่เดือดร้อนทุกแห่งหนของประเทศ เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎรด้วยพระสติปัญญาและพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์นั้น ส่งผลให้ทางรัฐและเอกชนขานรับโครงการพระราชดำริ เพื่อการพัฒนาให้เข้าถึงประชาชนกว่า ๔,๕๐๐ โครงการ ตลอดระยะเวลา ๗๐ ปีที่ทรงครองราชย์ เกิดหน่วยงานที่เป็นองค์การรองรับมากมาย โดยทรงเฝ้าดูและทรงติดตามตลอดเวลา บรรดาโครงการใหญ่ ๆ ที่ทรงริเริ่มและได้ดำเนินการให้เป็นผลดีแก่ประชาราษฎร์ ที่สำคัญคือการพัฒนาดิน น้ำ ลม และอากาศ เช่น การเปลี่ยนแปลงพื้นที่แห้งแล้ง ดินเค็ม ขาดน้ำ ให้กลับฟื้นขึ้นมาเป็นป่าเขาที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นไร่ เป็นนา เป็นเรือกสวน แหล่งประมงน้ำจืดและน้ำเค็มที่สามารถเพาะเลี้ยงพันธุ์ปลา สัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย และพันธุ์พืชที่มีทั้งในท้องถิ่นตามธรรมชาติและนำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะพืชและไม้ผลฤดูหนาวที่นำมาให้คนบนที่สูงทางภาคเหนือ ซึ่งเป็นชนเผ่าที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานและปลูกฝิ่นเป็นอาจิณ ผลสัมฤทธิ์ก็คือคนต่างชาติพันธุ์เหล่านั้น กลายเป็นคนไทยที่มีอาชีพและทำมาหากินอย่างสุจริต ณ พื้นที่ใดที่ประชาชนทุกข์ร้อน จะเสด็จพระราชดำเนินไปช่วยเหลือและฟื้นฟูให้มีชีวิตที่ดี มีสุขภาพและสวัสดิภาพ สิ่งที่ทำให้พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ไม่เหมือนใครในโลกก็คือ พระราชวังอันเป็นที่ประทับหาได้มีความโอ่อ่าตระการตาไม่ หากเป็นที่อยู่อาศัยของผู้บำเพ็ญกรณีย์ที่เต็มไปด้วยพื้นที่ทดลองพันธุ์พืช ต้นไม้ และปศุสัตว์ รวมทั้งโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์สิ่งของจากการเกษตรปลอดสารพิษ ออกมาจำหน่ายอย่างมีมาตรฐานในด้านคุณภาพและความปลอดภัย ชพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงเป็นทั้งผู้นำและผู้ปฏิบัติ ในความคิดที่ประเทศไทยต้องเป็นสังคมเกษตรกรรมด้วยเศรษฐกิจพอเพียง จึงจะอยู่รอดในโลกที่กำลังถูกทำลาย ด้วยการเป็นสังคมอุตสาหกรรมที่มุ่งการผลิตจนเกินกำลังของดิน น้ำ อากาศ และทรัพยากรที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ ดังทรงเคยมีพระราชดำรัสว่า “ไม่จำเป็นต้องเป็นเสือ” ให้กับคนในวงการของรัฐและธุรกิจเอกชนที่มุ่งความเป็นเสือ ซึ่งเรียกกันว่า นิกส์ [NIC] อย่างเป็นแฟชั่นนิยม จนประสบความล่มจมหมดตัวเมื่อเกิดเศรษฐกิจฟองสบู่ใน พ.ศ. ๒๕๔๐ พระองค์ทรงสังเกตว่าก่อน พ.ศ. ๒๕๔๑ คนไทยพอมีพอกิน แต่หลังปี พ.ศ. ๒๕๔๑ แล้วไม่พอกินพอเพียง ซึ่งในช่วงเวลาของการพอมีพอกินนั้น ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นช่วงเวลาหลังทรงขึ้นครองราชย์ที่พระองค์เสด็จไปพัฒนาเศรษฐกิจพื้นฐานตามท้องถิ่นต่าง ๆ เพราะก่อนหน้านี้ บ้านเมืองแต่สมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองเรื่อยมาอยู่ในสภาพความเหลื่อมล้ำระหว่างชนบทกับเมือง ระหว่างชนชั้นกลางกับชนชั้นล่าง ความยากจนจึงเป็นเรื่องของการด้อยโอกาสและไม่พอมีพอกิน ในขณะที่รัฐบาลแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พัฒนาเศรษฐกิจเพื่อความร่ำรวยทางวัตถุและเงินตรา เพราะเงินคือความปรารถนาสูงสุด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงพัฒนา “คนใน” ที่เป็นรากหญ้าให้มีชีวิตที่พอมีพอกินในเรื่องอาหารและสิ่งจำเป็นในการบริโภคอุปโภค ไม่เน้นความร่ำรวยในเรื่องเงินตราและวัตถุ แต่ยุคหลังฟองสบู่ที่คนชั้นกลางซึ่งร่ำรวยเงินตราประสบความหายนะ ภาวะความยากจนอันเนื่องจากการไม่มีเงินก็ระบาดทั่วไปในบรรดาคนชั้นกลาง และเมื่อเศรษฐกิจดีขึ้นเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ ที่ทุนนิยมข้ามชาติครอบงำประเทศไทย คนรวยที่เป็นชนชั้นกลางกลับฟื้นคืนใหม่ ประเทศไทยก็เข้าสู่การเป็นสังคมอุตสาหกรรมอย่างเต็มตัว ความเจริญเติบโตเป็นบ้านเมืองทันสมัยทางวัตถุ แต่ไร้ศีลธรรมและจริยธรรมก็เข้ามาแทนที่การเกษตรกรรม ซึ่งบรรดาอุตสาหกรรมหนักและเบาทั้งหลาย ทำให้คนในสังคมเกษตรกรรมแต่เดิมไร้ที่ทำกิน ผันตัวเป็นแรงงานเข้าไปทำงานในเมืองและแหล่งนิคมอุตสาหกรรมที่แพร่หลายไปแทบทุกท้องถิ่นทั่วประเทศ ทำลายสภาพแวดล้อมธรรมชาติ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำอย่างซับซ้อน จนเกิดความขัดแย้งและความไม่พอเพียงไปทั่ว อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- การศึกษาผลกกระทบสภาพแวดล้อมทางสังคม, ESIA [Environmental Social Impact Assessment] กับการสร้างถนนขนาบน้ำเจ้าพระยา กรุงเทพ-นนทบุรี
เผยแพร่ครั้งแรก 7 ก.ค. 2506 ในช่วงรัฐบาล คสช . ร่วมสามปีมานี้ เกิดสิ่งใหม่ที่สะดุดความคิดเป็นอย่างมากก็คือคำว่า “ ประชารัฐ ” กับ “ การสร้างถนนขนาบน้ำเจ้าพระยา กรุงเทพฯ - นนทบุรี ” อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ประชารัฐไม่เคยพบมาก่อนที่ไหนในโลก แต่ที่มีคือความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับสังคม คือ รัฐก็อยู่ด้านหนึ่ง สังคมอยู่อีกด้านหนึ่ง ไม่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างที่เรียกว่าประชารัฐ รัฐเป็นองค์กรคล้ายกันกับสมาคมที่ทำหน้าที่เพื่อความมั่นคงและอยู่รอดอย่างราบรื่นร่วมกันของคนในสังคม ถ้าหากรัฐไม่ทำหน้าที่นี้และแปลกแยกกับแตกแยกกับสังคม ในตำราทางสังคมวิทยาบอกว่า รัฐนั้นเป็นรัฐทรราชย์ คำว่าสังคมดูครอบจักรวาล เพราะคนทุกกลุ่มเหล่าไม่ว่าคนชั้นล่าง ชั้นบน ชั้นกลาง เป็นขุนนาง ข้าราชการ และพ่อค้านายทุนที่อยู่ในพื้นที่ของรัฐเดียวกันล้วนเป็นคนในสังคมเดียวกัน จึงต้องจำแนกรายละเอียดให้ชัดเจนขึ้น คือ “สังคม” ไม่ได้หมายถึงครอบครัวและชุมชน [community] ชุมชนจึงกลายเป็นตัวแทนของคนทุกหน่วยเหล่าทางชาติพันธุ์ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน มีความสัมพันธ์กัน จนมีสำนึกร่วมว่าเป็นผู้คนในพื้นที่เดียวกัน สังคมไทยในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง อันเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำลำคลอง เป็นสังคมเกษตรกรรมที่ผู้คนส่วนใหญ่ทำนาทำสวน ล้วนตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนเป็นชุมชนเรียงรายอยู่สองฝั่งแม่น้ำลำคลอง หันหน้าบ้านลงน้ำที่เป็นเส้นทางคมนาคม เพราะเดิมก่อนสมัยรัชกาลที่ ๔ ราว ๑๒๐ ปีขึ้นไป ไม่มีถนน มีแต่ทางน้ำ ต้องใช้เรือแพเป็นพาหนะ โดยโครงสร้างทางกายภาพของแหล่งที่อยู่อาศัย แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นทางน้ำสายใหญ่ เป็นเส้นทางคมนาคมหลักผ่านบริเวณที่เป็นบ้านเมืองตั้งแต่ปากแม่น้ำขึ้นไปจนถึงพระนครศรีอยุธยาอันเป็นราชธานีของสยามประเทศ สองฝั่งแม่น้ำจะมีคลองขุดแยกจากลำน้ำที่ไหลจากเหนือลงใต้ไปยังทุ่งกว้างทางตะวันตกและตะวันออก ตามสองฝั่งของลำคลองที่ขุดแยกจากแม่น้ำใหญ่ก็เป็นถิ่นฐานที่ตั้งของชุมชนบ้านและเมือง เป็นการกระจายจากฝั่งแม่น้ำไปทั้งทางฝั่งตะวันตกและตะวันออก การตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนและชุมชนจากฝั่งแม่น้ำไปตามลำคลองดังกล่าวนี้ เรียกชื่อเป็นที่รับรู้ของคนแต่โบราณว่า “บาง” คือหมายถึงการตั้งถิ่นฐานของผู้คนริมน้ำ ชุมชนหมู่บ้านเรียงรายอยู่สองฝั่งคลองตั้งแต่ตรงปากคลองที่สบกับแม่น้ำ มักจะเป็นชุมชนใหญ่ที่เรียกว่า “เมือง” มีตลาดและศาสนสถานทั้งศาสนาพุทธ มุสลิม คริสต์ และลัทธิอื่น ๆ เป็นศูนย์กลาง ผู้ใดก็ตามที่ลงเรือล่องขึ้นหรือลงตามลำแม่น้ำเจ้าพระยา จะสังเกตได้ว่าเรือที่นั่งมานั้นผ่านบรรดาคลองขุดทั้งหลายสองฝั่งแม่น้ำที่มีชื่อขึ้นต้นด้วยคำว่าบางทั้งนั้น เช่น คลองบางพูด คลองบางขวาง คลองบางกรวย คลองบางใหญ่อะไรทำนองนี้ ดังเห็นตัวอย่างจากวรรณคดีของสุนทรภู่ เช่น นิราศภูเขาทอง ที่ผ่านบรรดาชุมชนตามลำคลองที่เรียกว่าบางมากมายหลายที่เป็นระยะ ๆ ไป ตามที่พรรณนามานี้ก็เพื่ออธิบายว่า บางแต่ละบางที่เป็นลำน้ำและถิ่นที่อยู่อาศัยนั้นคือกลุ่มของชุมชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกันที่เรียกว่า “บาง” และบางก็คือท้องถิ่นอันมีชุมชนตั้งถิ่นฐานร่วมกันในลักษณะเป็นเครือข่ายที่คนมีสำนึกร่วมกันว่าเป็นพื้นที่บ้านเกิดเมืองนอนของตน เครือข่ายของชุมชนแต่ละถิ่นแต่ละบางดังกล่าวนี้ คือสิ่งที่เรียกว่า “ประชาสังคม” [Civil society] เพราะแลเห็นสังคมในลักษณะที่เป็นรูปธรรมมากกว่าคำว่าสังคมลอย ๆ เท่าที่กล่าวมานี้ก็เพื่อทำความเข้าใจว่า รัฐกับสังคมหรือประชาสังคมนั้น ไม่ได้อยู่รวมกันเป็นประชารัฐอย่างที่มีคนมโนขึ้นมาในขณะนี้ รัฐคือองค์กรที่ทำหน้าที่ในการปกครองและบริหารสังคมให้อยู่กันอย่างมีระเบียบเรียบร้อยและราบรื่น หากมีเรื่องการขัดแย้งกันเกิดขึ้นก็มีกระบวนการทางยุติธรรมและศีลธรรมขึ้นมาก็ต้องจัดการเพื่อให้เกิดความสงบสุข แต่ถ้ากระบวนการยุติธรรมนั้นไม่มีน้ำหนักพอ ประชาสังคมก็สามารถรวมตัวกันออกมาคัดค้านแสดงพลังต่อรองและขัดขืนอย่างมีสำนึกในทางศีลธรรมที่ไม่อาศัยความรุนแรงเป็นสิ่งที่เรียกว่า “ประชาขัดขืน” [Civil disobedience] ที่มีผู้ไปแปลไปเรียกว่าอารยะขัดขืนอะไรทำนองนั้น เพราะดูเหมือนจะมีความคิดจินตนาการไปเรื่องของอารยะชนกับอนารยะชนมากไปหน่อย ในความนึกคิดของข้าพเจ้าเห็นว่าคนในเมืองส่วนใหญ่ยังมีพฤติกรรมและความคิดแบบอนารยชนอยู่ โดยเฉพาะคนเมืองที่อยากจะเรียกว่าเป็นอนารยชนคนเมือง [Urban barbarian] ทีเดียว เพราะไปเอา “ ประชาชน ” มาบวกกับ “ รัฐ ” เพื่อให้เป็นหนึ่งเดียวเช่นนี้ ประชาสังคมจึงหมดไปและดูห่างไกลกับความเข้าใจของผู้มีอำนาจในรัฐเพิ่มขึ้น ในการพัฒนาสังคมให้อยู่ดีกินดีมีสันติสุข ในความคิดของข้าพเจ้าอีกเช่นกันว่า ประชารัฐนั้นดูไม่เห็นประชาชนที่เป็นคนธรรมดา เห็นเป็นเพียงแต่ผู้ถูกปกครอง ไม่มีอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจไปต่อรองอะไรกับรัฐในยามเกิดความขัดแย้งและเดือดร้อน เพราะประชารัฐคือการปกครองสมานฉันท์ของกลุ่มคนที่มีอำนาจทางการเมืองและของเศรษฐกิจเท่านั้น โดยย่อก็คือพวกขุนนาง ข้าราชการ และนายทุนซึ่งอาจจะรวมทั้งบรรดาปัญญาชนที่เป็นนักเรียนนอกที่ได้เล่าเรียนมาจากบรรดาประเทศทุนนิยมของประชาธิปไตยทางตะวันตก คนเหล่านี้คือคนที่แลเห็นว่าบ้านเมืองต้องมีการพัฒนาให้สวยงามและมั่งคั่งที่มีมาแต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๕ ลงมา ที่มีการสร้างแผนพัฒนาบ้านเมืองให้เป็นอารยะแบบตะวันตก โดยชื่อของแผนเป็นแผนทางสังคม เศรษฐกิจ แต่โดยปฏิบัติในทางสังคมไม่มี กลับมีแต่เรื่องเศรษฐกิจที่ตามมากับการเมืองและการพัฒนาก็เป็นเรื่องของความรู้สึกนึกคิด เห็นดีเห็นประโยชน์ของคนภายนอกผู้มีอำนาจเหล่านี้ไป โดยที่คนในที่อยู่รวมกันเป็นชุมชนในท้องถิ่นไม่อาจหรือกล้าที่จะเรียกร้องการเข้ามามีส่วนร่วมได้ ภาพจำลองแนวคิดการสร้างทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาในอุดมคติที่เปิดเผยต่อสาธารณะแล้วส่วนหนึ่ง การพัฒนาที่เริ่มมาแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นั้น คือการเปลี่ยนสังคมเกษตรกรรมชาวนาของประชาชนที่อยู่กันเป็นถิ่นฐานบ้านเมืองและบ้านเรือน ที่ส่วนใหญ่ตั้งหลักแหล่งอยู่สองฝั่งแม่น้ำลำคลองที่อาศัยลำน้ำเป็นเส้นทางคมนาคม บ้านเรือนเหล่านั้นรวมทั้งบรรดาวัดวาอารามทางศาสนาก็หันหน้าลงแม่น้ำลำน้ำเป็นมาชั่วนาตาปี พอมาเกิดเป็นสังคมอุตสาหกรรมตามแบบอย่างตะวันตก สังคมเกษตรกรรมก็เริ่มสลายอันเนื่องมาจากการสร้างเส้นทางถนนขึ้นมาแทน ทำให้ทิศทางของบ้านเรือนของชุมชนต่างหันหลังให้แม่น้ำ ลำน้ำแล้วเอาหน้าบ้านรับถนน แม่น้ำลำน้ำในสังคมเกษตรกรรมนั้น เป็นยิ่งกว่าเส้นทางคมนาคมเดินเรือ หากเป็นเส้นชีวิตในการใช้น้ำอุปโภคบริโภคที่ผู้คนทั้งในท้องถิ่นและนอกถิ่นต่างใช้ประโยชน์ร่วมกันและแต่ละถิ่นก็ต้องรับผิดชอบในการดูแลความสะอาดสวยงาม ต่างถิ่นต่างช่วยกันดูแลจากต้นน้ำถึงท้ายน้ำเป็นระยะ ๆ ไป ก่อให้เกิด “ทัศนทางวัฒนธรรม” [Cultural landscape] ที่หลากหลายและต่อเนื่องของชุมชนในแต่ละท้องถิ่น ที่ล้วนมีความแตกต่างทางวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ โดยเฉพาะสองฝั่งน้ำเจ้าพระยาตั้งแต่เมืองพระนครศรีอยุธยามาจนถึงกรุงเทพฯ-ธนบุรี ไปออกปากแม่น้ำที่เมืองสมุทรปราการ บริเวณสองฝั่งน้ำล้วนเป็นที่ตั้งของบ้านเมืองที่มีมาแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๙ เกิดอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพฯ-ธนบุรี พระประแดง และสมุทรปราการ ปากน้ำที่บรรดาเรือใหญ่น้อยทั้งจากโพ้นทะเลและจากท้องถิ่นต่าง ๆ ภายใน ต่างใช้เป็นเส้นทางคมนาคมขึ้นล่องเป็นประจำ จนทิวทัศน์ที่เห็นของบ้านเมืองและชีวิตวัฒนธรรมของผู้คนทั้งสองฝั่งน้ำซึมซับอยู่ในความทรงจำของผู้ที่ผ่านไปมา ที่เป็นปราชญ์เป็นกวีได้เขียนบทกวีและเรื่องราวเชิงสังวาสที่เรียกว่านิราศมาหลายยุคหลายสมัย อาทิ กำศรวลสมุทรที่ผู้รู้รุ่นเก่า ๆ เรียกว่า กำศรวลศรีปราชญ์ แต่ในสมัยรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ฯ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นนิราศเริ่มแรกของแม่น้ำเจ้าพระยาแต่รัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๒๑ ลงมา จนถึงสมัยธนบุรี กรุงเทพฯ ในพุทธศตวรรษที่ ๒๔ บรรดากวีในราชสำนักที่สำคัญ เช่น สุนทรภู่ก็ได้เขียนบรรยายภาพพจน์ของชุมชนริมแม่น้ำลำคลองสองฝั่งน้ำเจ้าพระยาได้อย่างละเอียด กล่าวถึงถิ่นฐานของแต่ละท้องถิ่นแต่ละย่านลำคลองที่มีประชาชนที่หลากหลายทางชาติพันธุ์ และชีวิตความเป็นอยู่อย่างนับได้ว่าเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์สังคมได้ชัดเจน ซึ่งกวีนิพนธ์เหล่านี้เป็นที่รับทราบและเรียนรู้ของคนรุ่นหลัง ๆ ลงมาจนปัจจุบัน มีผลตามมาทำให้เกิดการท่องเที่ยวทิวทัศน์บ้านเมืองและชุมชนทั้งสองฝั่งน้ำเจ้าพระยาจากกรุงเทพฯ ถึงนนทบุรี และอยุธยากันเรื่อยมา สิ่งที่สร้างขึ้นทางวัฒนธรรมแลสังคมทั้งสองฝั่งของแม่น้ำที่สะสมและเปลี่ยนแปลงกันเรื่อยมาตลอดเวลากว่า ๕๐๐ ปีดังกล่าวนี้ ก่อให้เกิดทิวทัศน์ของความศักดิ์สิทธิ์ [Sacred landscape] ขึ้น จนเป็นที่รับรู้ของผู้คนในท้องถิ่นและคนจากภายนอกทั้งคนไทยและคนต่างชาติว่าเป็นบ้านเมืองทางน้ำที่เก่าแก่และมีอัตลักษณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ความพยายามของรัฐบาล คสช. ที่จะก่อสร้างถนนขนาบน้ำสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาจากเมืองกรุงเทพฯ-ธนบุรี ไปจนถึงเมืองนนทบุรีนั้น ได้กลายเป็นสิ่งที่ทำให้คนเป็นจำนวนมากตื่นตระหนกและเศร้าใจว่า รัฐบาลคิดได้อย่างไร เกิดอะไรขึ้นมา เพราะหลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านมารัฐบาล คสช. เป็นเผด็จการที่ดี ได้ช่วยทำให้บ้านเมืองดีขึ้นหลาย ๆ อย่างจากความพินาศฉิบหายที่ทำโดยนักการเมืองชั่วร้ายที่อ้างการปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือเพื่อความชอบธรรมถูกกฎหมายต่าง ๆ นานา รัฐบาล คสช. กู้วิกฤติของสังคมและบ้านเมืองอย่างสอบผ่านมาโดยตลอด แต่พอมาถึงโครงการสร้างถนนขนาบน้ำดังกล่าวนี้กำลังทำให้สอบตกขนาด D- ก็ว่าได้ ก็เพราะว่าการดำเนินการดังกล่าวที่จะสร้างถนนขนาบน้ำนั้นส่งผลกระทบอย่างมหาศาลในทางลบ ภูมิวัฒนธรรมและทิวทัศน์ของความศักดิ์สิทธิ์แห่งราชธานีสยามอันเป็นเมืองของน้ำให้มลายไป แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือการทำลายบรรดาชุมชนบ้านเมืองและชีวิตวัฒนธรรมของผู้คนทั้งสองฝั่งแม่น้ำให้เกิดภาวะบ้านแตกสาแหรกขาด โดยเฉพาะการไร้ที่อยู่อาศัย จึงอยากทำความเข้าใจแก่ผู้มีส่วนได้เสียในเรื่องนี้ว่า มนุษย์นั้นหาใช่สัตว์เดรัจฉานที่เป็นปัจเจก [Individual] ที่จะไปอยู่ที่ไหน ๆ ก็ได้ เช่นอยู่กันตามคอนโดมีเนียม หรือบ้านจัดสรรกันอย่างไม่มีหัวนอนปลายตีนและร้อยพ่อพันแม่อย่างที่ทั้งทางรัฐและทางทุนจัดสรรให้แบบไม่เป็นชุมชนในขณะนี้ เพราะชุมชนหาได้สร้างหรือบันดาลได้ในพริบตาตามใจของผู้มีอำนาจทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง ชุมชนบ้านเมืองแต่ละแห่งล้วนมีพัฒนาการทางโครงสร้างสังคมและวัฒนธรรม อันเนื่องจากการอยู่ร่วมกันในท้องถิ่นเดียวกันอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า ๓ - ๔ ชั่วคนจึงเกิดขึ้นได้ และชุมชนทั้งสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาก็มีอายุเกินกว่าชั่ว ๓ - ๔ อายุคนตามที่กล่าวมา หากมีมากว่า ๕๐๐ ปีแล้ว การสร้างถนนขนาบน้ำมีผลทั้งการเปลี่ยนแปลงทิวทัศน์ของความศักดิ์สิทธิ์และการไล่รื้อชุมชนบ้านเรือนที่อยู่อาศัยรวมทั้งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางความเชื่อและศาสนาอีกมากมาย จะเกิดอันตรายอย่างแน่นอนในโลกนี้ ความพินาศทางสังคมบ้านเมืองมีสองสาเหตุใหญ่ ๆ คือ จากความอดอยากในเรื่องอาหารการกิน และกับการไร้ที่อยู่อาศัย ซึ่งล้วนจะทำให้เกิดความโกรธแค้นและความเกลียดชังที่นำไปสู่ความรุนแรงถึงฆ่าฟันกันเองภายในสังคมไทย ไม่มีภัยอันเกิดจากการอดอยากในเรื่องอาหารการกิน ปิดประเทศห้าปีคนก็อยู่ได้ แต่พวกนายทุนมีสิทธิ์ล่มจม แต่ถ้าผู้มีอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจทำให้เกิดคนไร้ชุมชนที่อยู่อาศัยแล้ว บ้านเมืองคงหนีความพินาศไม่พ้นเป็นแน่ เท่าที่ทราบมาโครงการสร้างถนนขนาบน้ำเจ้าพระยาครั้งนี้ ยังไม่มีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เรียกว่า EIA [Environmental Impact Assessment] เลย แต่เริ่มการก่อสร้างแล้วอย่างค่อนข้างเร่งรีบ ทำให้เกิดความกังวลและกังขาในการดำเนินการเป็นอย่างยิ่ง เพราะโครงการของรัฐบาลในอดีตจำต้องมีการศึกษาผลกระทบ ซึ่งดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่ก็ยังมี พอมาในสมัยหนึ่งก็มีโครงการศึกษาผลกระทบทางสุขภาพอนามัย หรือ EHIA [Environmental Health Impact Assessment] เพิ่มขึ้น เข้าใจว่าเป็นโครงการที่ริเริ่มและเกิดการเคลื่อนไหวทางฝ่ายนายแพทย์ประเวศ วะสี จึงทำให้ต้องมีการศึกษาผลกระทบทาง EHIA เพิ่มขึ้น ก็นับว่าเป็นผลดีแก่ผู้คนที่ได้รับผลกระทบอย่างหนึ่ง แต่ก็ยังไม่พอจึงมีผู้เสนอให้มีการศึกษาผลกระทบทางสังคม ESIA [Environmental Social Impact Assessment] เพิ่มขึ้น ผู้ที่ทำการเคลื่อนไหวก็คือ ดร.สุรพล สุดารา ซึ่งข้าพเจ้าก็เป็นหนึ่งที่เคยเข้าร่วมหารือกัน แต่โครงการดังกล่าวนี้เงียบไปและดูเหมือนจะถูกปฏิเสธในทางพฤตินัย เพราะอาจมีผลกระทบกับผลประโยชน์ของรัฐและทุนผู้เป็นเจ้าของโครงการ เพราะในการทำการศึกษาในเรื่องนี้หลีกเลี่ยงการเข้ามามีส่วนร่วมของผู้คนในภาคประชาสังคมผู้ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดูเหมือนทุกรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยหรือเผด็จการในประเทศไทยนี้ ไม่สนใจ ESIA แต่รัฐบาลไทยในยุคนี้กลับไม่ทำทั้ง EIA, EHIA และ ESIA ซึ่งดูหนักเข้าไปใหญ่ บ้านและเรือนแพ ธรรมชาติของการอยู่อาศัยริมแม่น้ำเจ้าพระยาในอดีตและเป็นพื้นฐานรากเหง้าของการอยู่อาศัยใช้แม่น้ำเจ้าพระยามากว่า ๕๐๐ ปี ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนแปลงในโครงการที่กำลังสร้างขึ้นในยุคปัจจุบัน การทำการศึกษาผลกระทบทางสังคมคือสิ่งเดียวเท่านั้นที่ทางรัฐและผู้เกี่ยวข้องที่เป็นเจ้าของโครงการจะเข้าถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้คนในชุมชนท้องถิ่น ผู้ที่จะต้องได้รับผลกระทบไม่ใช่สิ่งที่หลีกเลี่ยงและถูกอ้างโดยรัฐว่าได้สอบถามความคิดเห็นของคนท้องถิ่นแล้ว โครงการอ้างบรรดานักวิจัย นักวิชาการ และนักศึกษาตามมหาวิทยาลัยได้สำรวจและสอบถามความคิดเห็น สร้างภาพโน้มน้าวให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ในชุมชนเห็นพ้องด้วยกับโครงการ สิ่งเช่นนี้คือการจัดฉากเป็นประจำของรัฐที่อ้างประชาธิปไตย ESIA คือเครื่องมือต่อรองที่สำคัญในโครงการพัฒนาใด ๆ ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เป็นเครื่องมือที่จะทำให้ประชารัฐที่ประกอบไปด้วยผู้มีอำนาจทางการเมืองเศรษฐกิจของรัฐและบรรดานายทุน นักวิชาการ ข้าราชการ พบและต่อรองกับคนที่มีส่วนได้เสียที่เป็นประชาสังคม ในสุดท้ายใคร่อ้างความคิดเห็นของอาจารย์ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ผู้เป็นบุตรชายของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี ถึงความล้มเหลวของโครงการเส้นทางรถไฟฟ้าที่เรียกว่า โฮปเวล [Hope well] เมื่อหลายปีที่ผ่านมาว่า นอกจากทำไม่สำเร็จแล้ว ยังคงเหลือแต่ซากตอหม้อไว้ให้เป็นอนุสรณ์ของความโง่จนในทุกวันนี้ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ยศพระขุนนางพ่อค้าในสังคมปัจจุบัน
เผยแพร่ครั้งแรก 22 ก.ย. 2560 ข้าพเจ้าเคยเขียนบทความที่สะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมในความเหลื่อมล้ำทางสังคมของไทยมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อราวยี่สิบปีที่ผ่านมาคือ “ยศพระขุนนางพ่อค้า” ในสมัยรัชกาลที่ ๙ อันเป็นสังคมไทยสมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตกที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ อันเป็นกฎหมายที่มีอำนาจสูงสุดในการบริหารและปกครองประเทศ แตกต่างจากสังคมยุคก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองที่เรียกว่าสังคมศักดินา ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจสูงสุดในสังคมศักดินา ความเหลื่อมล้ำทางสังคมสะท้อนให้เห็นจากความต่างกันของระดับชั้นทางศักดินาที่เป็นยศถาบรรดาศักดิ์และราชทินนามที่ลดหลั่นกันลงมาจากพระมหากษัตริย์ เจ้านาย ขุนนาง ข้าราชการในลำดับของหมื่น ขุน หลวง พระ พระยา เจ้าพระยาและเจ้านายที่ทรงกรมในระดับต่าง ๆ ลงมาจนถึงไพร่ฟ้าประชาชนและข้าทาส ภายใต้พระราชอำนาจสูงสุดของพระมหากษัตริย์ แม้แต่สัตว์เลี้ยงที่ทำคุณประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองก็มียศถาบรรดาศักดิ์ เช่นเดียวกันกับพระสงฆ์จนมีคำพังเพยออกมาว่า “ยศช้างขุนนางพระ” แต่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ แล้ว ยศช้างหายไปเพราะช้างเปลี่ยนสถานภาพจากการเป็นขุนนางมาเป็นข้าทาสทางแรงงานแทน เช่นถูกใช้ให้ลากซุง เป็นต้น ส่วนขุนนางข้าราชการยศถาบรรดาศักดิ์แต่เดิมหมดไป แต่ความเหลื่อมล้ำในสถานภาพยังดำรงอยู่ในลำดับชั้น เช่น ชั้นตรี โท เอก และชั้นพิเศษ ซึ่งมีเครื่องแบบมีขีดขั้นเป็นเครื่องแสดงออก เช่นเดียวกันกับยศชั้นของพวกที่เป็นทหารและตำรวจ โดยมีสัญลักษณ์ของความสูงต่ำที่มาจากสังคมศักดินาที่เป็นเหรียญตราและสายสะพายแสดงออกในงานพระราชพิธีต่าง ๆ จนถึงงานศพที่มีโกศเกียรติยศประดับไว้ใกล้โลงศพ แต่ทางฝ่ายขุนนางพระไม่เปลี่ยนแม้จะไม่มีเครื่องแบบเหรียญตราและสายสะพายแสดงเกียรติภูมิ แต่ก็มีบรรดาพัดยศตามลำดับชั้นขุนนางที่ยังไม่เปลี่ยนเช่นกัน เช่น ชั้นพระครู พระธรรม พระเทพ และสมเด็จที่มีราชทินนามกำกับ ขุนนางพระเหล่านี้ตามลำดับชั้นมีหน้าที่ควบคุมดูแลวัดและพระสงฆ์ เพื่อการปฏิบัติหน้าที่และการงานในทางพระพุทธศาสนา เพื่อพุทธศาสนิกชนในสังคมทั่วราชอาณาจักร ในนามขององค์กรสงฆ์ที่รู้จักกันว่ามหาเถรสมาคม อันมีสมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด รองลงมาจากพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก สมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง องค์กรสงฆ์และขุนนางสงฆ์ไม่ค่อยมาเกี่ยวข้องกับวัดและพระสงฆ์ในเรื่องของทางโลก เช่น ทรัพย์สินที่ดินและสมบัติวัด ตามท้องถิ่นต่าง ๆ เมืองต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพราะบรรดาวัดทั้งหลายเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน วัดแต่ละวัดจะมีคณะบุคคลที่เป็นฆราวาสในท้องถิ่นเข้ามาบริหารจัดการในเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของพระและสมบัติวัดในนามของมรรคทายกแทน ขุนนางพระแต่ระดับเจ้าอาวาสก็จะไม่มาเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางโลกเหล่านี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของมรรคทายก ขุนนางพระเริ่มเข้ามามีบทบาทเกี่ยวข้องกับสมบัติวัดเมื่อมีการออกกฎหมายสงฆ์ขึ้นโดยทางรัฐบาลสมัยประชาธิปไตย ที่ทำให้ขุนนางพระในระดับเจ้าอาวาสเข้ามามีสิทธิ์ในการรับผิดชอบอย่างเต็มที่ เลยเบียดหน้าที่ของมรรคทายกชิดซ้ายไป การเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เกิดเป็นปัญหาภายในชุมชนก็เกิดขึ้น ความเป็นชุมชนท้องถิ่นแต่เดิมแต่โบราณกาลก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองที่ผู้คนยังไม่มีกรรมสิทธิ์ที่ดินนั้น วัดเกิดขึ้นจากที่ผู้คนมีอันจะกินในท้องถิ่น หรือพระมหากษัตริย์ เจ้านาย หรือขุนนาง ข้าราชการ พระราชทานที่ดินหรือวัดหาที่ดินสร้างวัด และกัลปนาผู้คนในท้องถิ่น เครื่องมือเครื่องใช้ พาหนะ เช่น วัว ควายให้กับวัด เพื่อผู้คนเหล่านั้นจะกลายเป็นข้าพระ อาศัยที่ดินของวัดสร้างที่อยู่อาศัยและทำกิน ทำงานให้แก่พระและวัด โดยมีคณะบุคคลที่เรียกว่ามรรคทายกเป็นผู้ดำเนินการ แต่เมื่อเกิดกฎหมายสงฆ์ขึ้นมา เจ้าอาวาสกลายเป็นผู้มีสิทธิในสมบัติต่าง ๆ รวมทั้งที่ดินของวัดไป จึงเกิดการขัดแย้งขึ้นบ่อย ๆ เช่นการที่เจ้าอาวาสไล่ที่อยู่อาศัยของบุคคลและครอบครัวที่อยู่ในที่ดินของวัดมาแต่แรกเริ่มให้ออกไปไร้ที่อยู่อาศัยจนถึงมีการฟ้องร้องกันขึ้น การมีสิทธิ์ในเรื่องที่ดินและสมบัติวัดดังกล่าวนี้ มีผลทำให้เกิดเป็นประเพณีและศีลธรรมขึ้นกับบรรดาขุนนางพระตั้งแต่ชั้นเจ้าอาวาสขึ้นไปที่ไล่ที่อยู่อาศัยของชาวบ้านในชุมชนเพื่อการขยายวัด สร้างสถานที่อาคารใหม่ ๆ รวมทั้งให้ที่ดินของวัดเช่าซื้อแก่บรรดาผู้ประกอบการที่เป็นนายทุนทั้งในชุมชนและนอกชุมชนเดิมการก่อสร้างใด ๆ ดังกล่าวนี้พระจะไม่เกี่ยวข้อง เพราะเป็นเรื่องของทางโลก แต่พอเปลี่ยนมาถึงสมัยนี้พระเกี่ยวข้องมากถึงขนาดเปลี่ยนผลประโยชน์ของวัดเป็นของส่วนตัว พระที่มีหน้าที่และอำนาจทางการบริหารถึงขนาดมีสมุดธนาคารส่วนตัวก็มาก นับวันพระก็ไม่เป็นพระ มีแต่ “ขุนนางพระ” และวัดก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนตั้งแต่ก่อนวัดหลายวัดเกิดขึ้นจากคนชั้นกลางที่มาจากภายนอกชุมชน จากบุคคลที่เป็นนายทุนพ่อค้าและนักการเมืองที่กลายเป็นชนชั้นศักดินาในสมัยใหม่ที่เรียกว่า “ขุนนางพ่อค้า” แต่ก่อนขุนนางพ่อค้าไม่มี เพราะชนชั้นกลางเพิ่งเกิดขึ้นแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ลงมา เมื่อมีการให้กรรมสิทธิ์ที่ดินเกิดขึ้น ก่อนหน้านี้มีเพียงพวกกระฎุมพีที่ไม่มีอาชีพทางเกษตรเป็นชาวนาหรือชาวไร่ แต่เป็นพวกค้าขายและพ่อค้าจากภายนอกที่เข้ามาสัมพันธ์กับบรรดาเจ้านาย ขุนนาง ข้าราชการเพื่อการประกอบอาชีพการงานจนเกิดมีฐานะทางเศรษฐกิจและมีหน้ามีตาทางสังคม โดยย่อส่วนใหญ่ก็หากินกับบรรดาขุนนางข้าราชการที่มีอำนาจ หลังสมัยรัชกาลที่ ๕ ลงมาจนถึงสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง คนเหล่านี้กลายเป็นกลุ่มคนที่มีที่ดิน มีกิจกรรมทางการค้าขาย มีบริษัทร้านค้า รวมทั้งกลายเป็นเจ้าของที่ดิน แต่หลังจากสัมพันธ์ทางเครือญาติกับชนชั้นปกครอง เช่น เจ้านาย ขุนนาง ข้าราชการแล้วก็กลายเป็นคนมีเหล่ามีสกุล ช่วยกิจกรรมของแผ่นดินจนได้รางวัลเหรียญตราสายสะพายและเครื่องแบบที่เรียกได้ว่าเป็นขุนนาง มีทั้งขุนนาง พ่อค้า รุ่นก่อนสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี อันเป็นยุคของประชาธิปไตยแบบเผด็จการทหาร กับขุนนางที่เป็นนายทุนใหม่หลังสมัยจอมพลสฤษดิ์ ความสำคัญของสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อย่างหนึ่งก็คือ การขับเคลื่อนเปลี่ยนแปลงให้สังคมไทยที่เป็นสังคมเกษตรกรรม เปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรมอย่างแบบตะวันตก เปิดประเทศให้มีการลงทุนจากภายนอก มีคนรุ่นใหม่ที่เป็นนักธุรกิจ พ่อค้าและนักวิชาการต่างชาติเข้ามาลงทุนและตั้งถิ่นฐาน เกิดการขยายบ้านเมือง [Urbanization] และโรงงานอุตสาหกรรม [Industrialization] และการนำมาทรัพยากรธรรมชาติที่เคยอุดมสมบูรณ์มาผลิตเป็นสินค้าส่งออกที่ทำให้นักลงทุนทั้งในประเทศและที่มาจากภายนอกเกิดความมั่งคั่งและยั่งยืนเป็นลำดับ ประชากรเพิ่มขึ้นมากกว่าแต่เดิมครั้งสังคมเกษตรกรรมถึง ๓ เท่าตัว มีทั้งผู้คนที่เป็นนายทุนข้ามชาติ และแรงงานที่เป็นชาติพันธุ์ต่าง ๆ เคลื่อนย้ายเข้ามาเป็นพลเมือง เกิดนายทุนรุ่นใหม่ ตระกูลใหม่ ๆ มากมายที่มีความมั่งคั่งเข้ามาเล่นการเมืองเพื่อประโยชน์ส่วนตัวและพรรคพวก โดยอาศัยการเป็นประชาธิปไตยแบบเสรีทุนนิยมแบบยุโรปและอเมริกา แต่โครงสร้างทางการบริหารปกครองเป็นแบบรวมศูนย์อย่างเดิมแต่สมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทำให้สังคมไทยกลายเป็นสังคมเผด็จการของกลุ่มนายทุนรุ่นใหม่ที่ลงแรงลงทุนสร้างพรรคการเมืองขึ้นมาเพื่อได้เสียงส่วนใหญ่ในรัฐบาล และมีอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองในการปกครองประเทศ สังคมไทยภายใต้เผด็จการนายทุนนักธุรกิจการเมืองคือ สิ่งที่ผลักดันให้เกิดขุนนางพ่อค้าขึ้นตั้งแต่ระดับบนจนระดับล่างในตามท้องถิ่น เมืองไทยในยุคสังคมอุตสาหกรรมในทุกวันนี้ เปลี่ยนผ่านจากสังคมเกษตรกรรมเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรมในยุคใหม่อย่างเต็มตัว ด้วยคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดเป็นปัจเจกเพื่อตัวเองมากกว่าส่วนรวม มีความต้องการทางวัตถุนิยมและบริโภคนิยมสูง แต่ยังคงค่านิยมของความเหลื่อมล้ำและความมีหน้ามีตาที่เป็นมรดกตกทอดมาแต่สมัยสังคมศักดินา เหตุนี้จึงเกิดสิ่งที่เรียกว่าขุนนางพ่อค้าขึ้นมาอย่างแพร่หลาย ที่อาศัยเครื่องแบบและสัญลักษณ์ของความสูงต่ำในสังคมศักดินาเป็นเครื่องแสดงออก ในวาระที่เป็นงานประเพณีพิธีกรรมตามสถานที่ซึ่งเป็นสถาบัน เช่น วัด วัง และสถานที่ทางศิลปวัฒนธรรมที่มีทั้งใหม่และเก่า โดยเฉพาะสถาบันทางความเชื่อและพิธีกรรม เช่น วัดวาอารามที่อยู่ในการดูแลของขุนนางพ่อค้า ทำให้เกิดกิจกรรมที่เป็นระบบอุปถัมภ์กันระหว่างขุนนางพ่อค้าและขุนนางพระอย่างที่เห็นในทุกวันนี้ เป็นกิจกรรมและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่นำไปสู่การกระทำที่เรียกว่าทุจริตคอรัปชั่น ยกตัวอย่างเช่น นักการเมืองใช้วัดและพระสงฆ์เพื่อการหาเสียงในการเลือกตั้ง ติดสินบนให้ขุนนางช่วยขอเครื่องราชย์ให้เป็นต้น หรือมีวัดใหม่ๆ เป็นจำนวนมากที่เกิดขึ้นโดยขุนนางพ่อค้าเป็นผู้สร้างเพื่อเกียรติภูมิของครอบครัวและวงศ์ตระกูล ซึ่งวัดเหล่านี้มักใหญ่โตโอ่อ่าสวยงามกว่าบรรดาวัดในอดีตที่เจ้านาย ขุนนาง คหบดี และผู้คนในชุมชนสร้างขึ้น วัดเกิดใหม่หลายแห่งมีรูปแบบและขนาดที่ผิดแผกไปจากวัดของชุมชนของบ้านเมืองที่มีมาแต่เดิม เกิดความไขว้เขวขึ้นในเรื่องเขตพุทธาวาส สังฆาวาส และพื้นที่เอนกประสงค์ มีสถานที่เกิดใหม่ที่ไม่เคยมีในพื้นที่ของวัดมาก่อนในสมัยสังคมศักดินา คือกุฏิพระที่เป็นขุนนางดูใหญ่โตรโหฐาน มีช่อฟ้าใบระกายิ่งกว่าตำหนักของเจ้านายสมัยก่อน และเมรุเผาศพ ศาลาสวดศพ และอาคารเอนกประสงค์เพื่ออุทิศให้ผู้วายชนม์ที่เป็นนายทุน ปัจจุบันเมรุเผาศพ ศาลาสวดศพและลานประกอบพิธีกรรมได้กลายเป็นอัตลักษณ์ทางศิลปวัฒนธรรมของวัดใหญ่ ๆ เกือบแทบทุกวัด เพราะเป็นแหล่งที่มาของรายได้เลี้ยงวัดที่อยู่ในการดูแลของขุนนางพระผู้เป็นเจ้าอาวาส ต่างเหมือนจะแบ่งกันว่าเมรุเผาศพใครจะใหญ่โต สวยงามกว่ากัน จนความสูงและความอลังการของสถานที่เผาศพเป็นสิ่งที่แลเห็นได้แต่ไกลแทนโบสถ์ วิหาร และพระสถูปเจดีย์ไป ยิ่งไปกว่านั้นยังเกิดวัดใหม่แบบไฮเทคที่ดูอลังการใหญ่โต มีสิ่งก่อสร้างสลับซับซ้อนด้านรูปแบบและลวดลายสัญลักษณ์แบบใหม่ที่พระและนักศิลปะคิดขึ้นและสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อในลัทธิสมัยใหม่ที่ระคนไปด้วยไสยศาสตร์ คัมภีร์และตำนานใหม่ ๆ อีกมากมาย จนในที่สุดแล้วทำให้คิดได้ว่า บรรดาวัดทางพุทธศาสนาในปัจจุบันเป็นเพียงแต่สถานที่ประกอบประเพณีพิธีกรรมเพื่อการบริการให้กับคนในสังคมยุคใหม่เท่านั้นเอง โดยเฉพาะพิธีกรรมเผาศพที่แสดงสถานภาพสูงมาทางสังคมของชนชั้นนายทุนและชนชั้นกลางเท่านั้น ในรอบขวบปีที่ผ่านมาสังคมไทยได้แลเห็นความขัดแย้งทางสังคมที่เกิดจากขุนนางพระและขุนนางพ่อค้าเพิ่มขึ้นหลายเรื่อง ที่สำคัญก็คือ กรณีลัทธิธรรมกายกับการคอรัปชั่นเงินอุดหนุนของรัฐที่ให้กับวัดต่าง ๆ ในประเทศ เรื่องแรกเป็นการสร้างลัทธิศาสนาใหม่ที่อ้างว่าเป็นลัทธิในทางพุทธศาสนาที่ไม่อาจยอมได้ว่าเป็นพระพุทธศาสนาที่นับถือกันทั่วไปในสังคม คณะผู้ก่อตั้งเป็นพระสงฆ์ที่มีสมณศักดิ์เป็นขุนนางพระ ที่นอกจากแพร่ลัทธิใหม่ให้แพร่หลายแล้ว ยังมีการเรี่ยรายและบริจาคจากชนชั้นกลางภายใต้การอุปถัมภ์ของขุนนางพ่อค้าที่เป็นนักธุรกิจสำคัญๆ ของประเทศ แต่ที่สำคัญก็คือ ผู้ก่อตั้งลัทธินี้เป็นที่ยอมรับของพระสงฆ์สำคัญ ๆ ที่มีอำนาจหน้าที่ในองค์กรปกครองสงฆ์ของประเทศ จนมีการแสดงออกที่ท้าทายต่อกฎหมายของบ้านเมือง จนถึงมีการปราบปรามและติดภาพจับกุมเพื่อนำมาลงโทษที่ยังค้างคาอยู่จนบัดนี้ ความผิดของลัทธิความเชื่อใหม่นี้ก็คือ การอ้างและอวดตัว อวดอุตริว่าเป็นสถาบันทางพระพุทธศาสนาซึ่งคนที่เป็นพุทธศาสนิกทั่วไปไม่ยอมรับ แต่ถ้าแสดงว่าเป็นลัทธิความเชื่อใหม่ที่ไม่ใช่พระพุทธศาสนาก็คงจะไม่มีใครขัดข้อง เพราะบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยที่ประชาชนสามารถเลือกนับถือลัทธิศาสนาของตนได้ ความผิดอย่างมหันต์ของขุนนางพระรูปนี้และพวกสาวกก็คือ การละเมิดกฎหมายบ้านเมืองและมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เป็นคอรัปชั่นที่ศาลตัดสินให้เห็นว่าผิด เมื่อทางบ้านเมืองจะเข้าไปจับกุมมาดำเนินการก็ได้รับการดูแลคุ้มครองจากบรรดาขุนนางพระ และขุนนางพ่อค้าหลายกลุ่มหลายหมู่เหล่า จนทั้งการจับกุมผู้ทำผิดท่านนี้ไม่ประสบความสำเร็จและการกระทำและแสดงออกของขุนนางพระในองค์กรสงฆ์ก็ส่อไปในทางแสดงอำนาจบารมีที่อยู่เหนือกฎหมายและสังคม กรณีที่สองที่แสดงอำนาจบารมีของขุนนางพระอันเป็นข่าวใหญ่ในสังคมเป็นเวลานานพอสมควรก็คือ เรื่องทุจริตคอรัปชั่นเงินงบประมาณของรัฐที่รัฐบาลจัดให้ไปช่วยบำรุงและพัฒนาวัด โดยผ่านสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีวัดหลายวัดไม่ได้รับเงินอุดหนุนอย่างเต็มที่ตามจำนวนเงินงบประมาณ เกิดพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องที่ทางสื่อเรียกว่า “เงินทอน” คือเมื่อทางสำนักงานพระพุทธศาสนาส่งเงินงบประมาณช่วยเหลือให้เต็มจำนวนแล้ว ขอให้ทางวัดที่ได้รับเงินอุดหนุนส่วนหนึ่งกลับไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนา เงินที่ต้องส่งกลับคืนไปนี้เรียกว่า “เงินทอน” ซึ่งไม่มีระบุในทางการว่าเพื่ออะไร และไปให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ใด ซึ่งในกรณีนี้ทั้งพระสงฆ์ของวัดที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาจะต้องรับรู้ระหว่างกัน ถ้าไม่ยอมกันก็จะต้องร้องเรียนกับทางรัฐบาล จึงมีเหตุการณ์ที่วัดบางวัดไม่เห็นด้วยกับการทอนเงิน แต่บางวัดก็เงียบอยู่โดยที่น่าจะมีการรู้เห็นเป็นใจด้วยกันทั้งพระและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทางองค์กรสงฆ์ที่มีอำนาจเต็มดูเหมือนละเลยกับการที่จะตรวจสอบเอาผิดพระสงฆ์ที่เกี่ยวข้องในการคอรัปชั่นนี้ ในขณะที่ทางฝ่ายรัฐบาลได้สอบสวนเอาผิดเจ้าหน้าที่ของสำนักพระพุทธศาสนาที่ทำผิดด้วยการย้ายผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญในการบริหารออกไป โดยเฉพาะผู้รับผิดชอบสูงสุดและได้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่จากกรมการสืบสวนคดีพิเศษมาทำหน้าที่แทน ท่านผู้ดำรงตำแหน่งใหม่ท่านนี้เข้มแข็งและเอาจริงกับบรรดาผู้ที่กระทำผิดที่แม้ว่าจะจำกัดอยู่ในหมู่ข้าราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาในสังกัดก็ตาม แต่ก็ดูกระทบกระเทือนไปถึงบรรดาขุนนางพระและบุคลากรของทางวัดและองค์กรสงฆ์ด้วย ทำให้เกิดความขัดเคืองและไม่พอใจแก่บรรดาขุนนางพระที่มีทั้งได้กระทำผิดและไม่ได้กระทำ แต่มีความรู้สึกเสียหน้าเสียตาและศักดิ์ศรีของพระสงฆ์ผู้ควรเป็นที่เคารพบูชาของฆราวาสทุกคน โดยเฉพาะขุนนางสงฆ์ในระดับผู้ใหญ่ขององค์กรสงฆ์ที่ออกมาประกาศว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่รับผิดชอบที่เป็นสุจริตชนในองค์กรของรัฐบาล ดูหมิ่นทำลายเกียรติภูมิของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะพระสงฆ์ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของประชาชน มิใยดีต่อคำรับรองสนับสนุนของนายกรัฐมนตรีผู้เป็นหัวหน้ารัฐบาลที่ออกมารับรองและเห็นชอบในการปฏิบัติงานที่กล้าแข็งของผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติคนใหม่ ได้เรียกร้องให้ทางรัฐบาลย้ายผู้อำนวยการท่านนี้ออกไปให้พ้นตำแหน่ง ด้วยการแสดงออกด้วยถ้อยวาจาของขุนนางสงฆ์ผู้ใหญ่ที่ทำหน้าที่คล้าย ๆ จะเป็นโฆษกขององค์กรสงฆ์ทั่วประเทศ ได้ทำให้เกิดปฏิกิริยาของบรรดาวิญญูชนในสังคมที่ออกมาตำหนิและโต้ตอบขุนนางพระผู้มากด้วยอำนาจบารมีในลักษณะที่รุนแรงและเหยียดหยาม ในส่วนตัวของข้าพเจ้าคิดว่า ปรากฏการณ์ความขัดแย้งทางสังคมที่มีเหตุมาแต่ขุนนางพระทั้งในกรณีธรรมกาย และวัดกับสำนักงานพระพุทธศาสนาตามที่กล่าวมาแล้วนั้นคือ สิ่งที่สะท้อนให้เห็นภาวการณ์มีรัฐซ้อนรัฐในสังคมไทย ซึ่งสมัยก่อนไม่มี เพราะทั้งศาสนจักรและอาณาจักรต่างต้องอยู่ภายใต้ผู้มีอำนาจสูงสุดผู้เดียวกัน คือพระมหากษัตริย์ แต่ในปัจจุบันแม้ว่าโดยองค์กรสงฆ์และขุนนางสงฆ์จะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของรัฐตามรัฐธรรมนูญก็ตาม แต่ขุนนางข้าราชการของรัฐก็ยังไม่มีอำนาจบารมีพอที่จะจัดการกับขุนนางพระและพระสงฆ์ที่มีอิทธิพลได้ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:








![การศึกษาผลกกระทบสภาพแวดล้อมทางสังคม, ESIA [Environmental Social Impact Assessment] กับการสร้างถนนขนาบน้ำเจ้าพระยา กรุงเทพ-นนทบุรี](https://static.wixstatic.com/media/9512c9_87e53b4896bc4d8b87e89dd3b583defe~mv2.jpg/v1/fit/w_176,h_124,q_80,usm_0.66_1.00_0.01,blur_3,enc_auto/9512c9_87e53b4896bc4d8b87e89dd3b583defe~mv2.jpg)
