top of page

พบผลการค้นหา 220 รายการ

  • เอ็มโอยู ๔๓ กับมรดกโลก–มรดกโลภ

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2553 เรื่องร้อนทางเศรษฐกิจ-การเมืองในเมืองไทยที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างคนในภาคประชาสังคมกับคนของรัฐในช่วงเวลานี้ก็คือ การขึ้นทะเบียนมรดกโลกปราสาทพระวิหาร ซึ่งคณะกรรมการมรดกโลกขององค์การยูเนสโกมีความโน้มเอียงที่จะขึ้นทะเบียนให้เป็นเอกสิทธิของกัมพูชา ทั้ง ๆ ที่พื้นที่โดยรอบของตัวปราสาทนั้นทางประเทศไทยยืนยันอ้างสิทธิตามสันปันน้ำในการตกลงปักปันเขตแดนกับฝรั่งเศสแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อ ค.ศ.๑๙๐๔ แต่การดำเนินการปักปันเขตแดนที่สืบต่อมาจนเสร็จสิ้นใน ค.ศ.๑๙๐๗ นั้น ฝรั่งเศสโกงอย่างหน้าด้าน ๆ ด้วยการถืออำนาจดังประเทศมหาอำนาจ สร้างแผนที่ ๑: ๒๐๐,๐๐๐ ด้วยการขีดเส้นเขตแดนลงบนแผนที่อย่างไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในเรื่องสันปันน้ำ เลยทำให้ปราสาทพระวิหารตกอยู่ในเขตแดนประเทศเขมร ซึ่งเป็นรัฐอารักขาของฝรั่งเศส แต่เมื่อเหตุการณ์ผ่านมาถึงสมัยสงครามอินโดจีนในสงครามโลกครั้งที่ ๒ ไทยเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ไทยก็อ้างสิทธิในการครอบครองดินแดนเสียมเรียบและพระตะบองในกัมพูชามาอยู่ในเขตแดนประเทศไทยอีกวาระหนึ่ง ครั้งเมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม ไทยก็จำต้องคืนดินแดนกลับคืนไปให้ฝรั่งเศสอีก แต่ก็ยังครอบครองพื้นที่บนเทือกเขาพนมดงเร็กแทบทั้งหมดไว้ ซึ่งรวมทั้งปราสาทพระวิหารที่ฝรั่งเศสโกงเอาไปด้วย เหตุที่ไทยอ้างสิทธิเช่นนี้ก็เพราะพื้นที่ในบริเวณสันปันน้ำแทบทั้งหมดอยู่บนที่ราบสูงโคราชในเขตไทย คนท้องถิ่นที่มีหลายชาติพันธุ์ซึ่งอาศัยตั้งถิ่นฐานชุมชนและแหล่งทำมาหากินในป่าและเขาก็ล้วนเป็นคนในพื้นที่ราบสูงโคราชแทบทั้งนั้น โดยผู้คนเหล่านี้มีการติดต่อกับคนในที่ราบต่ำเขมรโดยช่องเขาต่างๆ ในเทือกพนมดงเร็ก โดยไปมาหาสู่แลกเปลี่ยนสิ่งของและสร้างความสัมพันธ์ทางเครือญาติ โดยเฉพาะการกินดองกันทางการแต่งงาน รวมทั้งการเข้ามาใช้พื้นที่สาธารณะตามป่าเขาทั้งสองฟากของสันปันน้ำในการหาของป่า ทำมาหากินร่วมกัน คนทั้งสองฟากเขามักมีแหล่งศักดิ์สิทธิ์ในระบบความเชื่อมาประกอบพิธีกรรมด้วยกันควบคูไปกับพื้นที่ย่านตลาดและแหล่งที่อยู่อาศัยในลักษณะที่เป็นชุมชนร่วมกันตามช่องเขาต่าง ๆ อันเป็นเส้นทางขึ้นลงระหว่างที่ราบสูงโคราชและที่ราบเขมรต่ำ พื้นที่บนสันปันน้ำที่มีคนท้องถิ่นทั้งสองดินแดนใช้ร่วมกันมาอย่างไม่มีความขัดแย้งใด ๆ นั้น เริ่มกระทบกระเทือนขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ที่รัฐบาลเขมรของสมเด็จพระนโรดมสีหนุ ฟ้องศาลโลกอ้างสิทธิครอบครองปราสาทพระวิหารที่อยู่ในเขตสันปันน้ำของไทย โดยอาศัยสนธิสัญญาในการแบ่งเขตแดนที่ฝรั่งเศสทำกับไทยในปี ค.ศ. ๑๙๐๗ ครั้งเขมรยังเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นสนธิสัญญาที่สัมพันธ์กับแผนที่ ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ ที่ฝรั่งเศสทำไว้และบีบให้ไทยยอมรับในสมัยรัชกาลที่ ๕ ในความจริง สนธิสัญญาและแผนที่ ๑ : ๒๐๐ , ๐๐๐ ที่แสนชั่วของฝรั่งถ่อยนั้น ควรสิ้นสุดลงแล้วเมื่อเขมรเป็นเอกราช รวมทั้งไทยเองก็ไม่ควรรับมาพิจารณาและไปอ้างสิทธิเหนือบริเวณเสียมเรียบและพระตะบอง ดังเช่นรัฐบาลไทยสมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามร่วมเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นด้วย แต่เจ้าสีหนุนั้นกลับอ้างสนธิสัญญาและแผนที่สมัยอาณานิคมมาแสดง ดุจดังเคยเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศสเช่นเดิม ซึ่งก็ดูน่าประหลาดเป็นนักหนา ในการศึกษาประวัติศาสตร์สังคมทางมนุษย์วิทยาชาติพันธุ์ของข้าพเจ้าที่เกี่ยวกับที่ราบสูงโคราช และเขมรต่ำในลุ่มทะเลสาบนั้น ข้าพเจ้าพบว่าประชาชนที่อยู่ในประเทศกัมพูชา ประกอบด้วยคนสองกลุ่มในสองพื้นที่มาช้านาน คือ คนที่อยู่บนพื้นที่สูงและพื้นที่ชายทะเล พวกที่อยู่ในที่สูงเป็นมนุษย์ในตระกูลมอญ-เขมร อันเป็นตระกูลภาษาย่อย ๆ ของตระกูลใหญ่ที่เรียกว่า ออสโตร - เอเชียติก [Austro-Asiatic] คนเหล่านี้กระจายอยู่บนที่ราบสูงโคราชอันเป็นอนุภาคหนึ่งของลุ่มน้ำโขงตอนกลาง และที่ราบลุ่มรอบ ๆ ทะเลสาบเขมร ในจดหมายเหตุจีนเรียกคนเหล่านี้ว่า “ เจนละบก ” ส่วนคนที่อยู่ทางชายฝั่งทะเลคือแถวลุ่มน้ำโขงตอนล่างที่เป็นดินดอนสามเหลี่ยม [Mekong Delta] เป็นมนุษย์ในตระกูลมาเลย์-จาม ซึ่งเป็นตระกูลย่อยของตระกูลภาษาใหญ่ที่เรียกว่า ออสโตรนีเซียน [Austronesian] หรือ มาลาโยโพลีนีเซียน [Malayo Polynesian] คนพวกนี้หากินตามชายทะเลและบนท้องทะเล เป็น นักเดินทางทะเลระยะไกลที่เก่ง [Seafarer] มาแต่สมัยโลหะในยุคก่อนประวัติศาสตร์ คือ แต่ราว ๕๐๐ ปีก่อนคริสตกาลลงมา ราวต้นคริสตกาลการค้าระยะไกลทางทะเลระหว่างอินเดียและตะวันออกกลางกับจีนทางตะวันออกไกล ได้ทำให้เกิดกลุ่มรัฐชายทะเล [Port Polity] และ กลุ่มรัฐภายใน [Hinterland Polity] ขึ้น อันเนื่องมาจากการแลกเปลี่ยนสินค้าที่เป็นของป่า [Jungle products] และโลหะธาตุ [Mineral resource] ของดินแดนภายในกับผู้คนที่ทำการค้าขายทางชายฝั่งทะเล เป็นเหตุให้มีการแพร่อารยธรรมอินเดียและอารยธรรมจีนเข้ามาผสมผสานกับวัฒนธรรมพื้นเมือง โดยเฉพาะอารยธรรมอินเดียนั้น มีผลให้เกิดนครรัฐที่มีศาสนาการเมืองในระบบกษัตริย์แบบจักรพรรดิราชในศาสนาพุทธ ฮินดูและพุทธมหายานขึ้น ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ หรือคริสต์ศตวรรษที่ ๖-๗ เกิดกลุ่มนครรัฐที่มีลัทธิศาสนาทางราชการที่เป็นพุทธเถรวาท พุทธมหายาน และฮินดูขึ้นมาตามดินแดนต่าง ๆ ทั้งชายทะเลและภายใน ในเดลต้าแม่น้ำโขง มี รัฐฟูนัน อันเป็นรัฐของคนมาเลย์-จาม รวมสมัยกับรัฐจามปาทางเวียดนามกลาง รัฐเจนละ ที่อยู่ในที่ราบสูงโคราช รัฐทวารวดีและรัฐนครชัยศรี ในลุ่มน้ำเจ้าพระยาของประเทศไทย กินไปถึง รัฐศรีเกษตร ของชนชาติ พะยู่ หรือ ผิ่ว ในแอ่งอิระวดีของพม่า ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ เป็นต้นมา การเติบโตของการค้าระยะไกลทางทะเลมากขึ้น เกิดบ้านเมืองใหญ่ ๆ และรัฐใหม่ ๆ ที่เป็นนครรัฐมากมาย มีทั้งแยกอยู่อย่างเป็นเอกเทศ มีทั้งการรวมกับรัฐเก่าเป็นรัฐใหม่ขึ้นมา ในดินแดนเดลต้าของแม่น้ำโขงที่ที่ราบสูงโคราช การแผ่ขายของคนกลุ่มที่เรียกว่ามอญ-เขมร ลงมาทางเดลต้าแม่น้ำโขง ทำให้รัฐฟูนันหมดความสำคัญไป เกิดรัฐใหม่ขึ้นมาแทนที่คนจีนเรียกว่า รัฐเจนละน้ำ ทำให้เจนละแต่เดิมที่แบ่งออกเป็นสองเจนละคือ เจนละบก มีเมืองสำคัญอยู่ที่ เชิงเขาวัดพู ริมฝั่งแม่น้ำโขงในแคว้นจำปาสักของลาว กับ รัฐเจนละน้ำ ที่มีเมืองสำคัญอยู่ที่ เมืองสมโบร์ไพรกุก ในลุ่มน้ำโขงในเขตแขวงกัมปงจามในปัจจุบัน บริเวณที่เป็นเจนละน้ำเริ่มแต่ชายทะเลมาถึงพนมเปญและเรื่อยขึ้นไปตามลำน้ำโขงจนถึง สตึงเตรง นั้น เป็นพื้นที่ของการผสมผสานของชนกลุ่มมอญ-เขมรกับกลุ่มจาม-มาเลย์ มีความเชื่อและวัฒนธรรมแตกต่างไปจากพวกเจนละบกที่ขยายตัวจากที่ราบสูงโคราชลงมายังลุ่มทะเลสาบในเขตเสียมเรียบและพระตะบอง ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ลงมา เจนละน้ำมักมีการขัดแย้งกับพวกจามที่ถ่อยร่นขึ้นไปรวมอยู่ทางตอนกลางของเวียดนามเป็นประจำ เกิดสงครามกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองเกิดขึ้น คือ เกิดนครรัฐของพวกเจนละบกขึ้นมาใหม่ที่ริมของทะเลสาบ โดยอาศัย เขาพนมกุเลน เป็นศูนย์กลางของจักรวาล มี ลำน้ำโรราส และ ลำน้ำเสียมเรียบ ที่ไหลลงจากเขาพนมกุเลนหล่อเลี้ยง การสร้างบ้านแปงเมืองในบริเวณนี้ รัฐใหม่ที่เกิดขึ้นคือรัฐเมืองพระนครที่มีเมืองยโสธรปุระเป็นศูนย์กลางทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ การเกิดรัฐเมืองพระนครที่มีเมืองยโสธรปุระเป็นศูนย์กลางนี้ ดูคล้าย ๆ กับพระนครศรีอยุธยาที่ทำให้บรรดานครรัฐในเครือข่ายทั้งในพื้นที่เจนละบกในที่ราบสูงโคราช กับเจนละน้ำที่อยู่ทางเดลต้าแม่น้ำโขง พยายามแย่งชิงกันเข้ามาปกครองอยู่เนือง ๆ เกิดกษัตริย์ใหญ่ ๆ ที่พยายามบูรณาการรัฐและผู้คนทั้งสองเขตให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการปกครองและวัฒนธรรม ความเป็นหนึ่งเดียวของเมืองพระนครคือทั้งเจนละบกและเจนละน้ำนั้น เห็นเป็นรูปธรรมขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๑๖ เมื่อพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ ผู้มีเชื้อสายจาม-มาเลย์จากเจนละน้ำ เข้ามามีอำนาจในเมืองพระนคร ได้แบ่งวัฒนธรรมฮินดูของเมืองพระนครขึ้นไปยังดินแดนที่ราบสูงโคราช ทำให้เกิดปราสาทขอมในศิลปะแบบปาปวนขึ้นทั่วไป ทำให้ความคล้ายคลึงกันทางรูปแบบศิลปวัฒนธรรมกลายเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นอำนาจทางการเมืองไป ทั้งๆ ที่นัยซ่อนเร้นทางการเมืองนั้นน่าจะเป็นพระเจ้าสุริยวรมันต้องการสร้างความสัมพันธ์ในด้านกำลังคนจากที่ราบสูงโคราชเพื่อต่อต้านกับการรุกรามของพวกจามจากเวียดนามกลางมากกว่า รวมทั้งการที่ใช้เมืองพระนครที่อยู่ริมทะเลสาบเป็นที่มั่นในการสู้รบกับพวกจามด้วย แต่กระนั้นก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีและจู่โจมจากพวกจามได้ เพราะหลังรัชกาลสุริยวรมันที่ ๑ แล้ว อาณาจักรเมืองพระนครปั่นป่วนและแตกแยก เปิดโอกาสให้พวกเจนละบกในที่ราบสูงโคราชที่มีนครรัฐอยู่ที่พิมาย-พนมรุ้ง ในบริเวณที่เรียกว่า มูละเทศะ แต่เดิมเข้ามามีอำนาจแทน คือกษัตริย์ในราชวงศ์มหิธระปุระที่ทรงพระนามว่า สุริยวรมันที่ ๒ ในพุทธศตวรรษที่ ๑๗ พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ คือผู้ที่สร้างปราสาทนครวัดที่มีชื่อเรียกในศิลาจารึกว่า วิษณุโลก เป็นสถานที่เพื่อการพระบรมศพของพระองค์ที่มีพระนามคล้ายพระวิษณุ (แต่ไม่เหมือน) ว่า พระบรมวิษณุโลก ภาพสลักในพระราชพิธีสนาม ก็คือการสวนสนามแสดงแสนยานุภาพของกองทัพขอมในระเบียงคด ปราสาทนครวัด ที่ประกอบด้วยกองทัพจากบรรดาเมืองขึ้นและเมืองที่เป็นพันธมิตรมากมายที่อยู่ในที่ราบสูงโคราชและกินมาถึงแคว้นสยามและละโว้ของสยามประเทศในลุ่มน้ำเจ้าพระยาด้วย พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ สร้างเมืองนครธมทับที่เมืองพระนครเก่าขึ้นมาโดยมีป้อมปราการแข็งแรงก่อด้วยศิลาแลง พร้อมกันก็สร้างปราสาทบายนขึ้นเป็นศูนย์กลางศาสนาพุทธมหายานของราชอาณาจักร แล้วทรงเชื่อมความสัมพันธ์อันดีของเมืองพระนครไปตามบ้านเมืองต่าง ๆ ทั้งในที่ราบสูงโคราชและที่ราบลุ่มทะเลสาบเลยไปจนถึงลุ่มน้ำโขงในเขตแคว้นที่แต่เดิมเป็นเจนละน้ำ เป็นการบูรณาการบ้านเมืองที่ต่างภูมิภาคและชาติพันธุ์เข้าไว้เป็นอันหนึ่งเดียวกันในอาณาจักรเมืองพระนคร แต่ว่าการรวมกันทั้งการเมือง วัฒนธรรมและเศรษฐกิจดังกล่าวนี้ก็ไปได้พักหนึ่ง เพราะเมืองสิ้นรัชกาลแล้ว บ้านเมืองก็แตกแยก กษัตริย์เมืองพระนครหลังรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ หันมานับถือและอุปถัมภ์ศาสนาฮินดูแล้วทำลายล้างพุทธมหายานของชัยวรมันที่ ๗ ในที่สุดอาณาจักรเมืองพระนครก็แตกแยก พุทธศาสนาเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์จากรัฐในประเทศสยามแพร่เข้ามาเป็นศาสนาราชการใหม่ ในยุคนี้ศูนย์กลางความเจริญใหม่เช่นอยุธยาก็เข้ามาแทนที่ ทางอยุธยาขยายอำนาจมาผนวกเจนละบกที่เป็นคนชาติพันธุ์เดียวกันกับคนบนที่ราบสูงโคราชให้อยู่ภายในราชอาณาจักร โดยเฉพาะการตีเมืองพระนครหลวงและกวาดต้อนครัวเขมรมาเป็นคนสยามในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ เจ้าสามพระยานั้น ได้ทำให้ความสำคัญของรัฐกัมพูชาเคลื่อนจากริมทะเลสาบไปยังพื้นที่เจนละน้ำในบริเวณจัตุรมุข อันเป็นแหล่งสบกันของแม่น้ำ ทะเลสาบ คือ แม่น้ำบาสัคและแม่น้ำโขง เกิดเมืองสำคัญขึ้นมาแทนที่ ตั้งแต่เมืองอุดงมีชัย อันลองเวงและพนมเปญตามลำดับ ความเป็นหนึ่งเดียวของกัมพูชาแต่สมัยเมืองพระนครก็สิ้นสุดลง เข้าสู่สมัยหลังเมืองพระนครที่กัมพูชาแบ่งออกเป็นเจนละบกและเจนละน้ำเหมือนเดิม เจนละน้ำมีความเจริญกว่า เพราะอยู่ใกล้ทะเลมีพ่อค้าและชนต่างชาติ โดยเฉพาะคนจีนเข้ามาค้าขายตั้งหลักแหล่งรวมทั้งมีชนจามมุสลิมและอื่น ๆ ที่เข้ามาทางทะเลเป็นที่รู้จักรับรู้ของคนภายนอกทั่วไป ในทำนองตรงข้ามพวกเจนละบกที่เมืองพระนคร กลับไม่มีใครรู้จักและเชื่อว่าสูญหายไปหลังจากกองทัพไทยตีเมืองพระนครและกวาดต้อนผู้คนกลับไปเมืองไทย ก็เลยเป็นโอกาสของพวกฝรั่งเศสนักสำรวจล่าอาณานิคม เช่น อองเดร มูโอต์ อ้างตัวว่าเป็นผู้ค้นพบเมืองพระนครให้ทั่วโลกได้รับรู้ เรื่องเช่นนี้ถ้าเป็นคนท้องถิ่นที่อยู่กับความจริงแล้วก็คงนึกสมเพศในความโอ้อวดของฝรั่งที่พยายามแสดงตัวเองเป็นผู้ปลดปล่อยเสมอ ทั้งๆ ที่มีจิตใจที่โหดอำมหิตเสมอมา คนท้องถิ่นที่เป็นเจนละบกรู้ดีว่าแม้เมืองพระนครจะโรยร้างไปเช่นเดียวกับพระนครศรีอยุธยานั้นก็เพียงแต่สิ่งก่อสร้างปราสาทราชวัง แต่ประชาชนที่เป็นคนเมืองนั้นยังอยู่อย่างสืบเนื่อง เพียงเคลื่อนย้ายแหล่งที่อยู่อาศัยมาสองฝั่งของลำน้ำเสียมเรียบลงไปจนถึงทะเลสาบ เพราะเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและทำกิน ทำนา จับปลาอยู่แล้ว เมืองเก่าและศาสนสถานหลายแห่งก็ยังคงมีการดูแลอยู่ ดังเห็นจากหลักฐานทางโบราณคดีสมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ลงมา ว่าปราสาทหลายแห่งถูกแปลงให้เป็นพุทธสถาน รวมทั้งมีการสร้างพระอุโบสถ สร้างพระสถูปเจดีย์ อันแสดงให้เห็นความเป็นวัดวาอารามในทางพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์อย่างแจ่มแจ้ง โดยเฉพาะปราสาทนครวัดเองนั้น คนไทยสยามและพุทธศาสนิกชนอื่นๆ ก็รู้จักในนามของนครวัดแทนชื่อเก่าที่เรียกว่า วิษณุโลก มีการสร้างพระสถูปและปรับเปลี่ยนพื้นที่ห้องปราสาทและระเบียงคดให้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปนับเนื่องกันไปหมดมีหลายยุคหลายสมัย เพราะการสร้างพระพุทธรูปถวายวัดนั้นเป็นการทำบุญที่สำคัญในการสืบพระศาสนา นครวัดนั้นหาได้เป็นที่รู้จักกันแต่เพียงคนในเสียมเรียบเท่านั้น หากแทบทุกสารทิศ เพราะเป็นแหล่งจาริกแสวงบุญของคนทั่วภูมิภาค มีการสร้างตำนานขึ้นมาอธิบายต่าง ๆ นานา ยกเว้นไอ้พวกฝรั่งถ่อย ๆ เท่านั้นที่มองไม่เห็น พระมหากษัตริย์แห่งพระนครศรีอยุธยาเองก็หาได้ลืมนครวัดนครธมไม่ ยังคงเห็นว่าเป็นแหล่งอารยธรรมที่มีอิทธิพลในทางศิลปวัฒนธรรมเสมอมา ดังเช่นสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงตั้งชื่อเมืองสองแควอันเป็นเมืองสำคัญบนฝั่งน้ำน่านของสุโขทัยว่า “พิษณุโลก” ตามชื่อเมืองพระนครที่ชื่อ “วิษณุโลก” เป็นเมืองที่ประทับเกือบตลอดรัชกาล การสร้างพระบรมมหาราชวังและสถานที่สำคัญ ครั้งสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถในสมัยอยุธยาตอนกลางมาจนถึงสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองในยุคอยุธยาตอนปลาย ก็ได้รับอิทธิพลจากศิลปะสถาปัตยกรรมเมืองพระนคร โดยมีการรับช่างและผู้รู้ไปถ่ายแบบมาปรับปรุงตลอดเวลา คนเจนละบกเองก็มีการขยับขายแหล่งที่อยู่อาศัยขึ้นมายังที่ราบสูงโคราชโดยข้ามเทือกพนมดงเร็กมาตามช่องเขาต่าง ๆ เข้ามาหาถึงถิ่นฐานสัมพันธ์กับพวกญาติพี่น้องในเขตจังหวัดโคราช บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ จนแยกไม่ออกในด้านชาติพันธุ์ของคนสองฟากเขาพนมดงเร็กทั้งฟากไทยและกัมพูชา ดูเหมือนการดำรงอยู่อย่างสืบเนื่องของคนเจนละบกนั้นเป็นที่รู้จักกันในปัจจุบันว่าคนเสียมเรียบ ที่แตกต่างจากพวกเขมรพนมเปญ ความแตกต่างกันนี้คนสยามในแต่พุทธศตวรรษที่ ๒๐ ลงมารู้เป็นอย่างดี ดังเห็นจากการกล่าวถึงในตำนานพงศาวดารว่า ขอมแปรพักตร์ เมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างอยุธยากับเมืองพระนครนั้น คือ ทางไทยเรียกคนเสียมเรียบว่าเป็น ขอม ส่วนคำว่าเขมรนั้นปรากฏในเอกสารว่าเกิดขึ้นแต่สมัยกัมพูชาย้ายเมืองสำคัญมาอยู่ที่อุดงมีชัย และ ต่อมาละแวกเมื่อเกิดสงครามขึ้นระหว่างอยุธยากับกัมพูชา คนไทยสยามจะเรียกคนที่อยู่ทางเมืองละแวกหรือต่อมาคือพนมเปญว่าเป็นพวก เขมร คนเหล่านี้แต่พุทธศตวรรษที่ ๒๑ ลงมา คือพวกเขมรน้ำที่สืบถิ่นฐานมาจากเจนละน้ำ เป็นกลุ่มชนที่ผสมผสานกันของคนหลายชาติพันธุ์ทั้งจาม จีนและอื่น ๆ เพราะเป็นพื้นที่ซึ่งใกล้ทะเลติดต่อกับภายนอก มีความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ จนมีความสำคัญทั้งการเมือง เศรษฐกิจล้ำหน้าพวกเขมรบก หรือเสียมเรียบ ทำให้พวกเสียมเรียบเกือบถูกลืมไปพร้อม ๆ กับความรุ่งเรืองทางอารยธรรมในสมัยเมืองพระนคร ข้าพเจ้าได้รับความกระจ่างแจ้งในเรื่องนี้จากนักประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นที่ล่วงลับไปแล้ว คือศาสตราจารย์ เยเนโอะ อิชิอิ ครั้งพบกันในการประชุมสัมมนาได้บอกว่า พบเอกสารของชาวเสปนที่เข้าไปในกัมพูชาราวพุทธศตวรรษที่ ๒๓ ซึ่งระบุว่า กัมพูชาในช่วงเวลานั้นมีกษัตริย์ปกครองสองถิ่น คือ กษัตริย์ของกลุ่มคนที่อยู่ทางภูเขา [King of the mountain] กับ กษัตริย์ของคนที่อยู่ทางทะเล [King of the sea] ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างกันระหว่างเขมรเสียมเรียบกับเขมรพนมเปญดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เขมรทั้งสองพวก สองถิ่นนี้ยังมีความแตกต่างกันสืบมาจนปัจจุบันก็ว่าได้ เพราะอาจสังเกตได้โดยไม่ยากสำหรับผู้ที่สนใจในทางชาติพันธุ์ของคนกัมพูชาในปัจจุบัน โดยเหตุที่ยังมีความแตกต่างกันเช่นนี้ จึงเป็นความพยายามของผู้นำทางการเมืองที่มีอำนาจรวมศูนย์อยู่ที่พนมเปญในเขตเขมรน้ำที่จะสร้างการยอมรับอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรมของทางพนมเปญ ความต้องการเช่นนี้เห็นได้จากการกระทำของเจ้าสีหนุแต่สมัยกัมพูชาเป็นเอกราชจากฝรั่งเศส ได้ใช้การอ้างสิทธิในปราสาทพระวิหารเพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์เขมรโบราณว่าเหนือดินแดนประเทศไทยเพื่อสร้างความภักดีจากคนเสียมเรียบต่อพนมเปญ มาครั้งนี้ในกรณีมรดกโลกก็เช่นเดียวกัน นายกรัฐมนตรีฮุนเซนก็ต้องการเอาชนะใจคนเสียมเรียบและหาเสียงเพื่อสยบนักการเมืองฝ่ายค้านด้วยการประกาศศักดิ์ศรีในอดีตที่สูญหายไปแล้วของกัมพูชาเหนือดินแดนที่ราบสูงโคราชของประเทศไทยโดยอาศัยช่องว่างทางการเมือง-เศรษฐกิจในเรื่องเส้นแบ่งเขตแดน ซึ่งก็นับว่าได้ผลดี อันมาจากความไม่เอาใจใส่ของรัฐบาลและความไม่เอาไหนของหน่วยราชการที่รับผิดชอบอันได้แก่กระทรวงการต่างประเทศ และกรมแผนที่ทหารในปี พ . ศ . ๒๕๔๓ รัฐบาลที่ว่านี้คือรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ อันมีนายชวน หลีกภัยเป็นนายกรัฐมนตรี นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ และ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการ ซึ่งเป็นตัวแทนของประเทศไทยในการไปร่วมเซ็น MOU. ในการปันเส้นเขตแดนกับประเทศกัมพูชา ความผิดพลาดอย่างมหันต์ที่ไม่น่าให้อภัยในการเซ็น MOU. ครั้งนี้ก็คือการไปยอมรับข้อเสนอของทางฝ่ายกัมพูชาในการใช้แผนที่มาตราส่วน ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ แนบท้ายในการแบ่งเส้นเขตแดน เรื่องการใช้แผนที่นั้นเป็นเรื่องทางเทคนิค เจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบอย่างจริงจังก็คือ กรมแผนที่ทหารและหน่วยงานในกิจการด้านดินแดนของกระทรวงการต่างประเทศ หาได้เอาใจใส่อย่างรอบคอบแต่อย่างใดไม่ กลับทำความผิดพลาด ทำนองเดียวกันกับสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อครั้งมีข้อพิพาทขึ้นศาลโลกกับกัมพูชาเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารในปี พ.ศ.๒๕๐๕ เพราะครั้งนั้นก็ยอมรับในการใช้แผนที่ ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ ในการแบ่งเขตแดนที่ฝรั่งเศสทำขึ้นในปี พ.ศ.๒๔๕๐ (ค.ศ.๑๙๐๗) ซึ่งฝรั่งเศสขีดเส้นเขตแดนที่มีปราสาทพระวิหารเข้าไปอยู่ในเขตแดนกัมพูชาแล้ว ทั้งแผนที่ ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ และเส้นเขตแดนนั้นคือ ของการโกงที่ชั่วร้ายของฝรั่งเศส แต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ดันไปยอมรับแล้วยอมขึ้นศาลโลก ดังเป็นเรื่องที่มั่นใจว่าจะชนะกระมัง เพราะทางไทยมีทนายความที่ดีระดับโลก เรียนจบมาแต่ฝรั่งเศส จึงลงเอยด้วยการแพ้และเสียปราสาทพระวิหาร ซึ่งครั้งนั้นก็นับว่าทางฝ่ายทหารของรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ก็ยังไม่ยอมเสียดินแดนภายในเขตสันปันน้ำ เพราะถือว่าเขตแดนยังเป็นของไทย ซึ่งศาลโลกเองก็หาได้ระบุถึงพื้นที่รอบพระปราสาทพระวิหารให้เป็นของกัมพูชาแต่อย่างใด ข้อบกพร่องอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญของรัฐบาลและกรมแผนที่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ก็คือไม่คิดจะใช้แผนที่ ๑ : ๕๐,๐๐๐ เป็นหลักฐานสำคัญในการกำหนดเขตแดน เพราะครั้งนั้นแผนที่ ๑ : ๕๐,๐๐๐ ก็มีใช้กันอยู่แล้วเป็นแผนที่ซึ่งทหารอเมริกันทำขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง นั่นหมายถึงแผนที่ ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ ควรเป็นของล้าสมัยในความถูกต้องและชัดเจนไปแล้ว ความผิดพลาดที่ไม่อาจแก้ตัวได้โดยวิธีการอันใดก็ตาม ก็คือการเซ็น MOU. ๔๓ โดยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์นั้นก็ยังตะแบงใช้แผนที่มาตราส่วน ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ อย่างมองไม่ออกว่า เป็นสิ่งที่แยกไม่ออกจากเส้นเขตแดนครั้งที่ฝรั่งเศสทำไว้แต่ดึกดำบรรพ์อย่างไร ก็เลยเข้าทางเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของรัฐบาลยุคพ่อค้าข้ามชาติ ครองแผ่นดินในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ครั้งนั้นข้าพเจ้าได้ยินมาจากนายทหารรักชาติตัวเล็ก ๆ ที่ไม่ใช่พวกนายพลข้ามชาติ ว่ารัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาได้วางแผนร่วมกันในการประชุมกัน เข้าใจว่าที่อุบลราชธานีในเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจในบริเวณตะเข็บชายแดนบนเทือกพนมดงเร็ก แต่อุบลราชธานีที่มีเรื่อง สามเหลี่ยมมรกต ผ่านเขาพระวิหารและช่องเขาต่าง ๆ ลงไปถึงเขตชายทะเลเช่นถึงเกาะกง เป็นต้น เล่าว่าผู้เข้าร่วมประชุมก็มีทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทางรัฐบาล เช่น กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงกลาโหม เป็นต้น นัยว่าเป็นการประชุมลับเสียด้วย เขาพระวิหารและปราสาทพระวิหารนับเนื่องเป็นแหล่งสำคัญแหล่งหนึ่ง ซึ่งต่อมารัฐบาลกัมพูชาภายใต้จอมทรราชฮุนเซน หักหลังไปสมรู้ร่วมคิดกับคณะกรรมการมรดกโลกในการขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลกปราสาทพระวิหารให้เป็นของกัมพูชาแต่ฝ่ายเดียว ในเรื่องนี้เห็นอย่างโล่งโจ้งจากขั้นตอนขึ้นทะเบียนที่ยอมขึ้นตัวปราสาทพระวิหารก่อน ทั้ง ๆ ที่ความจริงในหลักการปกติเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีทางสมบูรณ์แบบ แต่คณะกรรมการมรดกโลกนั้นคาดผิด เพราะเคยชินต่อการจะเสนอแนะอะไรแล้วทางรัฐบาลไทยมักจะยอมตามตลอดเวลา โดยเฉพาะในด้านวิชาการที่บรรดานักวิชาการฝ่ายไทยยอมเป็นลูกไล่ฝรั่งแสมอมา นี่ถ้าหากไม่มีการที่ทางภาคประชาสังคมออกมาโวยวายต่อต้านกันอย่างต่อเนื่อง ดังเห็นกันในทุกวันนี้ แหล่งมรดกโลกพระวิหารก็คงเกิดขึ้นภายใต้คำว่า แหล่งมรดกโลกพระวิเหียร อันเป็นคำในภาษาเขมร ที่ศักดิ์ศรีอยู่ที่คนกัมพูชา ในขณะที่คนไทยเสียทั้งอำนาจอธิปไตยในเรื่องดินแดน ไร้ศักดิ์ศรีและผลประโยชน์ ส่วนผู้ที่มีส่วนได้ผลประโยชน์อย่างแท้จริงก็คือ กลุ่มคนข้ามชาติที่มีทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง นักวิชาการข้ามชาติและข้ามเพศ ทั้งที่เป็นคนไทย คนเขมรและคนฝรั่ง คนจีน คนญี่ปุ่นและอื่นๆ หาใช่คนไทยในท้องถิ่น ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และคนเขมรเสียมเรียบที่ควรจะเป็นผู้มีส่วนได้เสียอย่างแท้จริง [Local stakeholder] ในที่สุดความเป็นมรดกโลกอย่างแท้จริงก็คงหาบังเกิดไม่ แต่จะกลายเป็นมรดกโลกของคนข้ามชาติที่ทำให้เป็นมรดกแค้นที่นำไปสู่ความเป็นศัตรูกัน ระหว่างคนสองชาติคือ ไทยและเขมรอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในบทความนี้ ข้าพเจ้าไม่คิดเรียกร้องขออะไรจากรัฐบาลซื่อบื้อที่ปกครองบ้านเมืองอยู่ในขณะนี้ เพราะสิ่งที่แถลงมาในเรื่องการไม่ยกเลิกแผนที่มาตรา ๑: ๒๐๐,๐๐๐ ที่เป็นหลักฐานสนับสนุนเส้นเขตแดนที่ฝรั่งเศสทำไว้แต่ปางก่อนนั้น คือการแก้ตัวที่ขาดความกล้าหาญทางจริยธรรม คงจะต้องหันมายังภาคประชาชนที่ต้องรวมพลังกันอย่างมหาศาลในการยกเลิก MOU. อัปยศที่จะนำมาซึ่งความฉิบหายอย่างผ่อนส่งกับประเทศชาติในด้านดินแดน อำนาจอธิปไตย ทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งบนบกและในทะเลในช่วงเวลาที่ไม่นานเกินรอนี้ เมื่อมาถึงตอนนี้ข้าพเจ้าก็ใคร่เสนอข้อคิดใหม่ว่า ทำไมพวกเราที่เป็นคนไทยอันเป็นคนตะวันออกที่ก็นับว่ามีสติปัญญา มีศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ทัดเทียมกันกับคนตะวันตก ไม่ลองตั้งสติและทบทวนด้วยปัญญาแล้วพิจารณาว่า มรดกโลกที่กำลังเป็นมรดกโลภ และเส้นแบ่งเขตแดนที่เกี่ยวข้องกับ MOU. ๔๓ นั้น เนื้อแท้ก็เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นจากสติปัญญาที่ฉ้อฉลของคนตะวันตกทั้งสิ้น เป็นอกุศลกรรม กลลวงที่ทำให้คนในท้องถิ่นทั้งคนไทยในที่ราบสูงโคราช และคนเสียมเรียนในพื้นที่เขมรต่ำ เกิดความขัดแย้งที่นำไปสู่ความรุนแรงอยากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งผิดกับแต่ก่อน ๆ ที่เคยอยู่กันอย่างเป็นญาติพี่น้อง เป็นเสี่ยว เป็นสหายกัน คนทั้งสองฝ่ายต่างมีส่วนได้เสียในพื้นที่แห่งการเปลี่ยนผ่าน เช่น บริเวณสันปันน้ำ บริเวณท้องน้ำเช่นแม่น้ำโขงร่วมกัน แล้วยกให้เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ทั้งสองฝ่ายช่วยกันสร้างขึ้น เช่นปราสาทพระวิหารบนเทือกพนมดงเร็ก พระบรมธาตุพนม ที่แม่น้ำโขงให้เป็นที่ซึ่งคนทั้งสองฝ่าย และคนภายนอกที่มาจากที่อื่น ๆ ประเทศอื่น ๆ ได้มาสักการะ และมาเที่ยวมาชมมาพักแรม มาซื้อขายสิ่งของที่เป็นผลิตผลที่เกิดจากชีวิตวัฒนธรรมของคนท้องถิ่น อันนับเป็นการฟื้นฟูแหล่งประวัติศาสตร์วัฒนธรรม เช่นปราสาทพระวิหาร พระบรมธาตุพนมให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่มีชีวิตขึ้นมา แทนที่การเป็นมรดกโลก-มรดกโลภ บ้า ๆ บอ ๆ ของไอ้พวกฝรั่งตะวันตกที่ไม่มีประโยชน์อันใดแก่คนท้องถิ่นที่เป็นเจ้าของร่วมกันเลย เมื่อพิจารณาให้ดีแล้วจะเห็นว่า เส้นแบ่งเขตแดนก็ดี มรดกโลกก็ดี ล้วนเป็นสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นให้เป็นเครื่องมือของนักธุรกิจการเมืองข้ามชาติที่ตอบสนองโดยรัฐบาลทรราชจากกรุงเทพฯ และกัมพูชา โดยมีบรรดานักวิชาการไม่มีชาติที่ชอบตามฝรั่งหมาไม่กัดเป็นพวกสนับสนุน อ้างความชอบธรรมในการแย่งชิงพื้นที่และทรัพยากรของคนท้องถิ่นของทั้งสองประเทศ ที่กล่าวมานี้ก็เพื่อที่จะเสนอว่า ควรรวมพลังกันเลิกทั้ง MOU. ๔๓ ที่เป็นเรื่องของเขตแดน และแหล่งมรดกโลก ปราสาทพระวิหารเสีย แล้วคิดใหม่ทำใหม่ให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของคนท้องถิ่นทั้งสองชายแดนร่วมกัน อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • คนไทยจะเป็นทาสในยุคอำมาตย์ไพร่

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ย. 2553 บ้านเมืองไทยในสยามประเทศยุคนี้ อยู่ในขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกันกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก จากโลกาภิวัตน์เข้าสู่โลกาพิบัติ ซึ่งเห็นได้จากทั้งปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ทางสังคมเศรษฐกิจและการเมือง ปรากฏการณ์ธรรมชาตินั้นเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางดินฟ้าอากาศที่ทำให้เกิดพายุหมุนไม่ว่าจะเป็นเฮอริเคน ทอร์นาโด และไต้ฝุ่นต่างก็เป็นพายุที่มีอานุภาพในการพัดทำลายบ้านเรือนและสิ่งก่อสร้าง รวมทั้งการนำฝนและน้ำทะเลเข้าท่วมท้น พัดทำลายทำให้เกิดภาวะบ้านแตกและการเสียชีวิต การพลัดพรากของผู้คน ภัยพิบัติธรรมชาตินี้เพิ่มความรุนแรงและศักยภาพในการทำลายเพิ่มขึ้นในเรื่องสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคม ขาดการจัดการอย่างไม่มีดุลยภาพ เช่น การตัดไม้ทำลายป่า การทำเขื่อนพลังงาน และการชลประทาน การสร้างถนนหนทาง การขยายตัวทางอุตสาหกรรมแหล่งผลิตและการทำเกษตรอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีไม่เหมาะสม ภัยพิบัติที่เกิดจากสภาพแวดล้อมดังกล่าวนี้ สร้างความเสียหายมากในบรรดาประเทศที่มีความล้าหลังทางวัฒนธรรม เช่น ประเทศด้อยพัฒนาที่หลงตนเองว่าพัฒนาแล้ว เช่น ประเทศไทย [Modernization without development] ในส่วนปรากฏการณ์ทางสังคมเศรษฐกิจและการเมืองที่ยังความพิบัติมายังบ้านเมืองและผู้คนก็คือ การมีระบบการเมืองการปกครองในระบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาที่ทำให้การเลือกตั้งกลายเป็นเรื่องซื้อเสียงซึ่งเข้ากันได้ดีกับการเน้นระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีที่ให้ความสำคัญกับสิทธิของปัจเจกบุคคลจนทำให้มนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์สังคมกลายเป็นเดรัจฉาน ทั้งระบบการปกครองและระบบเศรษฐกิจดังกล่าวนี้ เป็นวัฒนธรรมตะวันตกที่สังคมไทยแต่สมัยรัฐบาลไทย แต่สมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๕ รับเข้ามาแทนที่ระบบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชที่มีมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ อันเป็นสมัยการปกครองแบบอำนาจรวมศูนย์อยู่ที่กรุงเทพมหานคร แม้ว่าพระมหากษัตริย์จะทรงมีพระราชอำนาจสูงสุดแต่ผู้เดียว แต่ในด้านบริหารราชการแผ่นดินเป็นระบบราชการที่เป็นอำมาตยาธิปไตย เพราะพระมหากษัตริย์ทรงมอบหมายอำนาจหน้าที่ต่าง ๆ ให้เป็นเรื่องของขุนนาง ข้าราชการรับผิดชอบดำเนินการกิจกรรมของแผ่นดินในลักษณะที่ลดหลั่นกันลงไป จากสูงลงต่ำ โดยมีประชาชนที่เรียกว่าไพร่เป็นผู้ถูกปกครอง อาจจะเรียกว่าบ้านเมืองถูกปกครองโดยกลุ่มของ “อำมาตย์ผู้ดี” ก็ได้ เพราะคำว่า “ผู้ดี” นั้นหมายถึงผู้ที่มีวิถีชีวิตและความประพฤติปฏิบัติอยู่ในกรอบของศีลธรรมและคุณธรรมทางศาสนา อันมีพระมหากษัตริย์ทรงบำเพ็ญบารมีเป็นผู้นำ แต่หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นต้นมานั้น เป็นการเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปไม่ว่าจะเป็นไพร่หรือผู้ดีที่มีการศึกษามีความรู้ดีแบบทางตะวันตกเข้าสู่ระบบราชการ ความคิดแบบประชาธิปไตยที่อำนาจมาจากประชาชนโดยผ่านการมีรัฐธรรมนูญก็เข้ามาแทนที่อำนาจจากเบื้องบนทางศาสนาและพระมหากษัตริย์แล้วก็ตาม แต่ระบบอำมาตยาธิปไตยแต่เดิมก็หาได้เปลี่ยนไปไม่ เพราะโครงสร้างการปกครองและการบริหารราชการยังมีลักษณะรวมศูนย์เช่นเดิม ความเหลื่อมล้ำในเรื่องอำนาจหน้าที่ก็ยังเหมือนเดิม ต่างกันแต่เพียงพวก “ อำมาตย์ผู้ดี ” ลดจำนวนลง มีพวก “ อำมาตย์ไพร่ ” เพิ่มขึ้นมาแทนที่ พวกอำมาตย์ไพร่แต่สมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามซึ่งนับอายุขัยได้จนถึงทุกวันนี้ก็คือ คนรุ่นปู่ รุ่นย่า รุ่นยายที่ยังมีคำนิยาม อุดมการณ์ การมองโลกแบบเดิม ๆ ของคนตะวันออกอยู่พอสมควร แต่ตั้งแต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๐๕ เป็นต้นมา การพัฒนาประเทศทั้งในระบบราชการ การบริหารและเศรษฐกิจที่ได้ส่งคนไปศึกษาอบรมทางตะวันตก โดยเฉพาะจากอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศสนั้น ได้ทำให้ผู้ที่เข้ามารับราชการเลื่อนขั้นเป็นอำมาตย์ไพร่รุ่นใหม่ถูกครอบงำด้วยการมองโลก ค่านิยมและอุดมคติแบบวัตถุนิยมอย่างโลกยวิสัยอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเห็นได้จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจสังคม ที่มีมาแต่ละยุคสมัยนั้น แทบไม่มีมิติทางจิตวิญญาณทางศาสนาและศีลธรรมเกี่ยวข้อง คำขวัญ งานคือเงิน เงินคืองานบันดาลสุข อันเป็นที่มาของ เงินและอำนาจ คือสิ่งเดียวกันและเป็นกระบวนทัศน์ของคนรุ่นใหม่ทั้งระดับบนคืออำมาตย์ไพร่ คือผู้ปกครองและพวกไพร่ที่เป็นประชาชน ซึ่งยังคงเป็นชนชั้นของผู้ถูกปกครองเช่นเดิม แต่อำมาตย์ไพร่ครั้งสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์เป็นต้นมา ก็ยังเป็นอำมาตย์ไพร่ที่มีพวกขุนศึกคือทหาร เป็นคณะบุคคลที่ทรงอำนาจในแผ่นดิน ที่มักมีเอี่ยวกับบรรดาพ่อค้า นายทุน ที่ร่วมกันแสวงหาอำนาจและเงินจากระบบราชการ ด้วยการกระทำที่เรียกว่า คอรัปชั่นแบบถูกกฎหมาย คือมีการทั้งออกกฎหมายไม่เป็นธรรม หลีกเลี่ยงกฎหมายและละเมิดกฎหมายรวมอยู่ด้วย ทำให้สังคมไทยพัฒนาเข้าสู่การเป็นสังคม ละเมิดกฎหมายอย่างเต็มตัว [Law violating society] กลไกของรัฐ เช่น ทหารที่มีไว้เพื่อป้องกันภัยจากข้างนอกกลายมาเป็นเครื่องมือในการปฏิวัติรัฐประหารแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องความต้องการของผู้มีอำนาจ ในขณะที่กลไกในด้านรักษาและบังคับด้วยกฎหมายเพื่อความสงบสุขและยุติธรรมภายใน อันได้แก่ ตำรวจ ก็กลายเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจในการกดขี่สร้างความไม่เป็นธรรมในสังคมจนในทุกวันนี้ ตั้งแต่รัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ของพรรคกิจสังคมเป็นต้นมา อำนาจของคณะบุคคลที่มีอำนาจในแผ่นดินที่เป็นขุนศึกก็แผ่วลง เพราะมีแรงต้านในแผ่นดินของปัญญาชนรุ่นใหม่ที่มีมาแต่สมัย ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๔ เพิ่มแรงขึ้น นักวิชาการทั้งด้านเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ผลักดันในด้านเศรษฐกิจ-การเมืองมากขึ้น เช่นการเน้นการเลือกตั้งลงสู่ท้องถิ่นเกิดระบบเงินผันเพื่อเพิ่มรายได้แก่ประชาชนที่ดูเหมือนเป็นต้นกำเนินของการแจกเงินแบบประชานิยมของรัฐบาลทักษิณและไทยเข้มแข็งของพรรคประชาธิปัตย์ในปัจจุบัน สิ่งที่สังเกตได้ค่อนข้างชัดในช่วงเวลานี้ ก็คือบทบาทและอำนาจของพวกขุนศึกค่อยๆ ลดลง โดยมีพวกนายทุน พ่อค้าค่อย ๆ เข้ามาแทนที่และมีความสัมพันธ์ในเชิงอุปถัมภ์ต่อกัน พอถึงรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวันก็มาถึงจุดเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ เกิดรัฐบาลพลเรือนที่มีพวกพ่อค้านายทุนอยู่เหนือทั้งรัฐและตลาด ขยายกิจกรรมทางด้านเศรษฐกิจ-การเมืองทั้งในระดับบนและล่างของประเทศรวมทั้งขยายตัวไปยังบรรดาประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว เขมร เวียดนาม “ เปลี่ยนสนามรบให้เป็นการค้า ” นับเป็นยุคของการเติบโตทางเศรษฐกิจด้านอุตสาหกรรมและเกษตรอุตสาหกรรมที่เน้นการส่งออก การเปิดรับการลงทุนจากภายนอกอย่างกว้างขวาง จนเกิดการเล่นหุ้น ปั่นหุ้น ขายที่ ปั่นที่ดิน เงินทองเป็นสิ่งที่หาได้เพราะเมืองไทยมีที่ดินอุดมสมบูรณ์ มีทรัพยากรมากมายที่คนท้องถิ่นรู้เท่าไม่ถึงการณ์ชักนำให้นำไปขาย นำไปจำนอง เกิดขบวนการนายหน้าหาซื้อที่ดิน จัดหาคนทำงานเป็นแรงงาน ในขณะที่ทางรัฐส่วนกลางและส่วนภูมิภาคก็ขยายกิจกรรมทางด้านโครงสร้างสาธารณะ เช่น ถนนหนทาง โรงงานไฟฟ้า เขื่อนพลังน้ำ ย่านชุมชนเมือง แหล่งอุตสาหกรรม แหล่งท่องเที่ยวอะไรต่าง ๆ นานา ในยุคของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรีก็เกิดสถาบันการปกครองท้องถิ่นใหม่เพิ่มขึ้นมา คือ อบต. และ อบจ. ที่สมาชิกขององค์กรมาจากการเลือกตั้งจากคนในท้องถิ่น สถาบันนี้เกิดขึ้นในความคิดว่าเป็นการกระจายอำนาจจากส่วนกลาง [Decentralization] ลงในท้องถิ่นที่มีความเจริญเป็นเมือง ต่างกับสถาบันผู้ใหญ่บ้านและกำนันที่เป็นการมอบอำนาจ [Delegation of authority] ลงสู่ท้องถิ่นที่ยังเป็นบ้านไม่ใช่เมือง แต่โดยพฤติกรรมและความเป็นจริงแล้ว การเกิด อบจ.และ อบต. หาใช่การกระจายอำนาจไม่ หากเป็นการมอบอำนาจเช่นเดียวกันกับสถาบันผู้ใหญ่บ้านและกำนัน เพราะทั้งสองสถาบันเมื่อมีการเลือกตั้งสมาชิกเข้าทำงานในองค์กรแล้ว ทางรัฐเป็นผู้กำหนดอำนาจหน้าที่และเงินงบประมาณลงมาให้จัดการใช้จ่าย โดยย่อก็ยังต้องพึ่งงบประมาณจากทางส่วนกลางหรือจากทางรัฐอยู่ดี และผู้ที่ดำรงตำแหน่งสำคัญขององค์กรก็มีอำนาจหน้าที่ เพราะถือว่าได้เข้ามาดำรงตำแหน่งจากการเลือกตั้งอย่างประชาธิปไตย แต่เท่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้พฤติกรรมของบรรดาผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และอบจ . อบต หรือระดับเทศบาลต่าง ๆ ก็คืออำมาตย์ไพร่ในระดับท้องถิ่น ที่ส่วนมากซื้อเสียงหาเสียงเข้ามาหลายแห่งก็หาใช้คนในท้องถิ่นไม่ หากเป็นพวกนักธุรกิจ นักก่อสร้างลงทุนจากที่อื่น เพื่อเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ ผลที่ตามมาสภาวะทางสังคมของท้องถิ่นเกิดความเดือดร้อนและขัดแย้ง โดยเฉพาะในเรื่องผลประโยชน์ เกิดคอรัปชั่นในเรื่องเงินทองที่ได้มาจากทางรัฐ มีการแบ่งพรรคพวกเป็นกลุ่มปรปักษ์เพื่อผลประโยชน์อย่างแพร่หลาย แต่ก่อนในสังคมเกษตรกรรมแบบชาวนา [Peasant society] ที่คนอยู่กันเป็นหมู่เหล่า มีเทือกเถาเหล่ากอก็มีการแบ่งเป็นกลุ่มย่อย ๆ ต่าง ๆ และมีความขัดแย้งกัน แต่ก็อาจปรองดองกันได้ด้วยสำนึกร่วมของคนที่อยู่ร่วมบ้านเกิดหรือชุมชนเดียวกัน [Sense of belonging] ไม่ว่าคนจนคนรวยหาได้แบ่งออกเป็นกลุ่มปรปักษ์ [Faction] ที่มีผู้นำมีพฤติกรรมที่เป็นมาเฟีย หรือผู้มีอิทธิพลไม่ แต่หลังจากเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรมและเกษตรอุตสาหกรรมดังเช่นทุกวันนี้ ชีวิตความเป็นอยู่ร่วมกันอย่างผ่อนผันและปรองดองกันแบบเก่าก่อนหามีไม่ คนส่วนใหญ่เน้นความเป็นปัจเจกเพื่อตัวเองและพวกพ้อง แลไม่เห็นความสำคัญของส่วนรวม หากมีแต่ส่วนตัวและแข่งขันทำลายกันตลอดเวลา ทุกวันนี้ในแทบทุกท้องถิ่นจะแลเห็นมาเฟียที่มาจากทางสายราชการหรือทางรัฐ เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้านก็ดี กับมาเฟียที่เป็นพวก อบจ. และอบต เทศบาลที่ล้วนแต่กลายเป็นเครือข่ายในระบบอุปถัมภ์ของบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคการเมืองที่มีสิทธิมีเสียงในรัฐสภาทั้งสิ้น ทำให้แลเห็นความเชื่อมโยงของผลประโยชน์ในเรื่องอำนาจและเงินจากสภาท้องถิ่นเข้าสู่รัฐสภาและผู้ที่คุมอำนาจเหนือรัฐสภาและรัฐก็คือ บรรดานักธุรกิจการเมืองนายทุนที่ล้วนมีความสัมพันธ์กับนายทุนข้ามชาติในยุคโลกาภิวัฒน์ ที่สอดคล้องกับนโยบายทางเศรษฐกิจแห่งชาติของแทบทุกรัฐบาลในเรื่องการให้ความสำคัญกับการส่งออกสินค้า จนเกิดการลงทุนข้ามชาติเข้ามากว้านซื้อและครอบครองที่ดินและทรัพยากรนานาชนิด ทั้งในการเข้ามาเป็นเจ้าของทั้งในทางตรงและทางอ้อม กลุ่มคนเหล่านี้คือพวกที่มีอำนาจเหนือรับและเหนือตลาดอย่างแท้จริง รัฐกลายเป็นเครื่องมืออย่างทรงพลังของบรรดาทุนข้ามชาติเหล่านี้ ดังเห็นได้จากโครงสร้างอำนาจที่รวมศูนย์อย่างเบ็ดเสร็จเกิดกระทรวง กรมกองและหน่วยราชการมากมายจากข้างบนลงล่าง ควบคุมกิจกรรมต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมอย่างชอบธรรม จากการสร้างกฎหมายขึ้นมารองรับและบังคับใช้ นี่คือลักษณะของรัฐทรราชย์ยุคโลกาภิวัตน์ที่แลเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านเมืองขายได้กินได้เพื่อเกิดรายได้มาแบ่งปันกันเองในหมู่ของพวกนายทุนเป็นนายทุนที่เป็นอำมาตย์ไพร่ เพราะแฝงอยู่ในคราบของอำมาตย์ผู้ดี แต่สมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง คราบของอำมาตย์ที่เห็นได้ก็คือ บรรดาเครื่องแบบ เครื่องแต่งกายและเครื่องอิสริยาภรณ์แสดงฐานะความสูงต่ำ ความมีหน้ามีตา มีอำนาจ ที่บรรดาขุนนาง ข้าราชการในสมัยสังคมศักดินาที่กว่าผู้ที่จะสวมใส่ได้นั้นต้องเป็นที่ประจักษ์ในเรื่องคุณธรรมและจริยธรรม พวกผู้ดีแต่สมัยศักดินาเคยปรารภให้ฟังเสมอว่าพวกอมาตย์ไพร่ในยุคนี้ ดูกริยาท่าทางและพฤติกรรมแล้ว เหมือนคางคกขึ้นวอ แต่ในขณะที่บรรดาอำมาตย์ไพร่ของทุกพรรคและทุกรัฐบาลของรัฐรวมศูนย์ที่มีอำนาจเดิมอย่างเป็นทรราชย์กำลังแย่งชิง แย่งอำนาจในเรื่องการยุบพรรคและแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญกันในขณะนี้ พวกที่เป็นไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน คือประชาชนทั่วไปนั้นกำลังอยู่ในภาวะที่มีความขัดแย้งและล่มจมมอยู่ทุกขณะ อันเป็นผลมาจากการรุกล้ำแย่งชิงที่ดินและทรัพยากรจากบรรดานายทุนที่มีทั้งพวกข้ามชาติและในชาติ ในการประเมินที่ดินของชาติที่ผู้มีสิทธิครอบครองได้ตามกฎหมายของคณะกรรมการปฏิรูป ชุดคุณอานันท์ ปันยารชุน พบว่าคนรวยที่เป็นนายทุนทั้งข้ามชาติและในชาติจำนวนสิบเปอร์เซ็นต์ ครองครองที่ดินจำนวน เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของชาติ ในขณะที่คนจนจำนวนเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ มีที่ดินเพียงสิบเปอร์เซ็นต์ของชาติ เพียงแค่นี้ก็เพียงพอจะอธิบายให้เห็นความล่มสลายของสังคมเกษตรกรรมแบบชาวนาที่เป็นสังคมพื้นฐานของประเทศมาแต่เดิมได้ชัดเจน นั่นคือบรรดาเกษตรกรรายย่อยที่พอมีที่ทำกินของตนเองแทบไม่เหลือ กลับมีเกษตรกรรายใหญ่ทำการเกษตรแบบคอนแทรกฟาร์มมิ่ง [Contracted farming] ของนายทุนเข้ามาแทนที่ อันเป็นลักษณะของสังคมอุตสาหกรรมที่ทำให้ชาวนาและชาวไร่เดิมลายเป็นแรงงาน มีการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานเดิมไปเป็นแรงงานในที่ต่าง ๆ ทั้งงานอุตสาหกรรม งานบริการในเมืองและงานเกษตรอุตสาหกรรมตามไร่ขนาดใหญ่ การเกษตรอุตสาหกรรมดังกล่าวนี้ไม่จำกัดอยู่เพียงการปลูกข้าวที่ทำในที่ลุ่มเท่านั้น แต่ขยายไปถึงพืชเศรษฐกิจนานาชนิดที่ทำกันในที่สูง อันเป็นแหล่งต้นน้ำ เช่น อ้อย มันสำปะหลัง ยูคาลิปตัส ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มีกระบวนการชลประทานขนาดใหญ่ที่แย่งน้ำจากชาวบ้านมาใช้ในการเกษตรที่ทำกันทุกฤดูกาล รวมทั้งการร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยราชการออกเอกสารสิทธิ์รุกป่าสงวน ออกเอกสารสิทธิทับที่ทำกินของชาวบ้าน จนเกิดเป็นคดีความไปทั่ว นอกจากการแย่งที่ทำกินในเรื่องที่ดินแล้ว ในพื้นน้ำและท้องน้ำก็โดนด้วย ในสังคมแบบชาวนานั้นได้จำกัดอยู่เพียงคนที่ทำนาทำไร่บนพื้นแผ่นดินเท่านั้น หากยังครอบคลุมไปยังบรรดาผู้คนที่มีการตั้งถิ่นฐานอยู่ริมแม่น้ำลำคลอง ชายหาดและท้องที่ในอ่าวในทะเล ที่มีอาชีพเป็นชาวประมงด้วย แต่เป็นประมงรายย่อยที่เรียกว่า ประมงพื้นบ้าน ที่ผู้คนใช้พื้นน้ำทำกินร่วมกันโดยไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของ แต่ในทุกวันนี้ ชาวประมงพื้นบ้านถูกบดขยี้จากการประมงพาณิชย์ของบรรดาพวกนายทุนทั้งข้ามชาติและในชาติที่มีอิทธิพลอยู่เหนือรัฐและเหนือตลาดทั้งหลาย การประมงแบบนี้นอกจากใช้เครื่องมือด้วยจักรกลและเทคโนโลยีที่ทันสมัยจับปลาและสัตว์ทำได้เป็นจำนวนมาก เช่น อวนรุน อวนลากอย่างแทบไม่มีเวลาให้พื้นน้ำหยุดหายใจบ้างแล้ว ยังเป็นการประมงที่จัดพื้นที่ท้องน้ำมาครอบครองเป็นของคนอย่างมีกฎหมายรองรับที่ชั่วช้าและโหดสุด ๆ ที่รัฐกระทำกับประชาชนก็คือ การให้เอกชนมีโฉนดน้ำไว้ครอบครอง ทำให้ชาวบ้านชาวประมงที่เคยใช้พื้นน้ำมาก่อนถูกขับไล่และถูกไล่ยิง ในทุกวันนี้ผลจากความร้ายที่สุดโหดของรัฐบาลทรราชย์อำมาตย์ไพร่ที่มีมาหลายสมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองมาจากรัฐอำมาตย์ผู้ดี ประชาชนตามท้องถิ่นเป็นจำนวนมากไม่เพียงแต่โดนแย่งที่ทำกินอย่างถูกกฎหมายแล้ว ยังถูกจับไปดำเนินความ ดำเนินคดีต้องโทษในคุกในตะรางกันเป็นระนาว ชาวบ้านหลายคนต้องตกเป็นจำเลยของรัฐในกรณีทำผิดกฎหมายในที่ทำกินของคนที่ครอบครองมาแต่รุ่นปู่ย่าตายาย อย่างเช่นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ชาวบ้านถูกขังคุกจนตายที่จังหวัดลำพูน เป็นต้น แต่ท่ามกลางความทุกข์ยากของแผ่นดิน บรรดาอำมาตย์ไพร่และนายทุนทั้งหลายของแต่ละพรรคการเมืองไม่เคยเดือดเนื้อร้อนใจ กลับมีแต่ทะเลาะกันแย่งชิงอำนาจกัน เช่นในกรณียุบพรรคและการแก้ไขรัฐธรรมนูญในขณะนี้ เพราะฉะนั้นก็ควรที่บรรดาวิญญูชนทั้งหลายควรทบทวนกันใหม่ว่า นับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองมาจนทุกวันนี้ ภายใต้การปกครองและการครอบงำของอมาตยาธิปไตยของพวกอำมาตย์ไพร่ ประชาชนได้อะไรนอกจากจะอยู่ในสภาพการไร้แผ่นดินที่อยู่อาศัย ไร้ที่ทำกิน อนาคตที่แลเห็นชัดเจนขึ้นทุกที คือการเป็นทาสติดที่ดินให้กับบรรดานายทุนข้ามชาติ ถ้าสังคมไทยกำลังกลายเป็นสังคมทาสยุคโลกาภิวัตน์ก็เป็นได้ ในสุดท้ายอยากใคร่เปรียบเทียบระหว่างกฎหมายรัฐธรรมนูญที่เป็นปรัชญาทางตะวันตกที่แก้กันอยู่หลายยุคหลายสมัยในขณะนี้กับกฎหมายตราสามดวงอันมีมาแต่สมัยอยุธยาที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงสังคายนาและใช้เป็นกฎหมายปกครองประเทศ ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑–รัชกาลที่ ๔ มีมาตราหนึ่งที่มีเนื้อความว่า “ แผ่นดินเป็นของพระมหากษัตริย์ ทรงพระราชทานให้แก่ราษฎรได้ทำกินตามศักยภาพ แต่ถ้าไม่ทำกินแล้วไม่ใช้ประโยชน์แล้วไม่อาจจะยึดเอาไว้เป็นกรรมสิทธิ์ได้ ต้องคืนกลับให้กับรัฐ ” อำมาตย์ผู้ดีแต่ก่อนเขารักษาที่ดินไว้ให้ลูกให้หลานทำกิน แต่อำมาตย์ไพร่สมัยปัจจุบันแย่งที่ดินของชาติไปให้ต่างชาติแทน ประชาชนที่เป็นคนไทยทุกวันนี้จะเป็นไพร่ก็คงไม่ได้เสียแล้ว นอกจากทาสแต่เพียงอย่างเดียว โอ้ โลกาพิบัติ! อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • สยามพ่ายเพราะไทยถ่อย

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2554 สถานการณ์ความขัดแย้งที่แผ่ซ่านทั่วสยามประเทศไม่ว่าทั้งบริเวณศูนย์กลางและชายขอบในทุกวันนี้ โดยรวมเป็นเหตุมาจากปัญหาทางเศรษฐกิจการเมือง ที่ทำให้เกิดผลกระทบมายังชีวิตวัฒนธรรมของผู้คนในสังคมอย่างต่อเนื่อง ดังแลเห็นได้จากขบวนการของคนในสังคมกลุ่มต่าง ๆ ระดับต่าง ๆ พากันมาเดินขบวนยึดพื้นที่ในกรุงเทพมหานคร เพื่อต่อต้านและเรียกร้องรัฐบาลหรือล้มล้างรัฐบาล คณะรัฐมนตรีในเครื่องแต่งกายเต็มยศ วิเคราะห์ได้เป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้คือ กลุ่มเสื้อแดงซึ่งมีทั้งแดงแท้และและแดงเทียม และทำกันอย่างอย่างเนื่อง แม้จะถูกรัฐบาลปราบปรามไปบ้างแล้วก็ตาม กลุ่มเสื้อเหลือง ที่เปลี่ยนมาเรียกร้องในเรื่องการเสียดินแดนรอบปราสาทเขาพระวิหารและชายแดนไทย-เขมรทางตะวันออก ส่วนกลุ่มสุดท้ายที่กำลังเคลื่อนเข้ามาจากหลาย ๆ ภาค คือ บรรดาราษฎรที่ได้รับการกดขี่จากรัฐและทุนในเรื่องที่ทำกิน ที่อยู่อาศัยและการแย่งทรัพยากร ในความคิดเห็นของข้าพเจ้าเชื่อว่า เหตุของความขัดแย้งที่ทำให้ผู้คนในสังคมทั้งสามกลุ่มใหญ่เหล่านี้มาเรียกร้องและต่อต้าน มีที่มาจากเหตุอันเดียวกัน คือ ความไม่เป็นธรรมที่รัฐและกลุ่มทุนทั้งในชาติและข้ามชาติใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมกดขี่ข่มเหงและแบ่งทรัพยากร ที่อยู่อาศัย และที่ทำกินของคนในชาติที่ยังมีชีวิตความเป็นอยู่และความคิดแบบสังคมชาวนา [Peasantry] เพราะสังคมสยามในปัจจุบันกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรุดหน้าจากสังคมเกษตรกรรมแต่ก่อนสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นรัฐบาล มาเป็นสังคมอุตสาหกรรมที่เต็มตัวอย่างต่อเนื่องแต่สมัยรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ จนมาถึงยุคโลกาภิวัตน์ในปัจจุบัน พื้นที่หลาย ๆ แห่งในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ โดยเฉพาะภาคใต้นั้น พื้นที่ในสังคมเกษตรกรรมแทบไม่เหลือและกำลังถูกปรับเปลี่ยนเป็นพื้นที่รองรับอุตสาหกรรมหนัก เช่น โรงไฟฟ้าถ่านหิน ที่จอดเรือน้ำลึก โรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งนอกจากทำลายสภาพแวดล้อมธรรมชาติทั้งในพื้นที่ทางทะเล ชายทะเลและป่าเขาแล้ว ยังทำให้เกิดนิคมอุตสาหกรรม อันเป็นชุมชนอุตสาหกรรมขึ้นมาแทนที่ชุมชนดั้งเดิมแบบชาวนาของคนในท้องถิ่น เช่น ชุมชนและชีวิตวัฒนธรรมของคนชาวเลพวกอุรักลาโว้ยและมอแกนในท้องทะเลและชายฝั่งทะเลในเขตจังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต ตรัง และสตูล ทางฝั่งอันดามัน เป็นต้น ความเป็นธรรมที่เกิดขึ้นในยุคนี้ อาจวิเคราะห์ได้เป็นส่วนลึกและส่วนพื้นผิว ส่วนลึกคือความล่มสลายของศีลธรรมและจริยธรรมที่เป็นผลของการอบรมจากสถาบันศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีมาแต่อดีต การศึกษาอบรมนับแต่อุดมศึกษาจนถึงระดับมัธยมศึกษาและประถมศึกษาแบบตะวันตก โดยเฉพาะจากอังกฤษและอเมริกันนั้น ได้ทำลายความรู้สึกนึกคิดในมิติทางจิตวิญญาณมาเป็นเรื่องของวัตถุนิยมและบริโภคนิยมของคนรุ่นใหม่คือ จากคนในรุ่นพ่อแม่กับลูกหลานนับเวลาร่วมครึ่งศตวรรษ ทำให้ความเป็นมนุษย์ในปัจจุบันถูกครอบงำอยู่กับเรื่องเศรษฐกิจการเมืองที่ว่าด้วยการปกครองแบบประชาธิปไตยและเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีอันเน้นความเป็นปัจเจกบุคคลจนสุดโต่ง เพราะทั้งสองอย่างนี้เป็นที่มาของเงินและอำนาจ ทำให้คนอยากเป็นนักการเมืองและเป็นนักลงทุนเพื่อจะได้มีทั้งอำนาจและความมั่งคั่ง จึงเป็นที่มาของการปรกครองแบบรวมศูนย์ การเลือกตั้งผู้แทนราษฎรที่ทำให้เกิดการซื้อเสียงขายเสียง รัฐสภาเต็มไปด้วยนักการเมืองที่เป็นพ่อค้าและนักธุรกิจที่เข้ามามีอำนาจเหนือรัฐและข้าราชการเพื่อดำเนินกิจการอันเป็นประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง มากกว่าการจัดการบริหารและการปกครองให้เป็นประโยชน์แก่ผู้คนในสังคมและบ้านเมือง จากการล่มสลายของศีลธรรมและจริยธรรมในส่วนลึก ได้ส่งผลขึ้นมายังพื้นผิวที่ปรากฏการณ์คือ คอร์รัปชั่นที่เป็นวิถีชีวิต [Way of Life] ของบุคคลที่เป็นนักการเมือง ขุนนาง และข้าราชการ แทบทุกกลุ่มทุกแหล่งและทุกอาชีพ แม้แต่บรรดาพวกครูอาจารย์ในสถาบันการศึกษา ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ที่ทุนข้ามชาติครอบครองโลก บรรดาอัปรีย์ชนเหล่านี้เห็นประเทศชาติเป็นสิ่ง For Sale คือมองทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าที่ดิน ที่อยู่อาศัย ที่ทำกินของราษฎร ทรัพยากรธรรมชาติและอะไรต่าง ๆ ล้วนเป็นสินค้าไปหมด เน้นการลงทุนของต่างชาติจากภายนอกให้เข้ามาลงทุนในกิจกรรมด้านอุตสาหกรรม นับแต่เกษตรอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงระบบการเกษตรแบบเดิมโดยมีเกษตรกรรายย่อยคือ ชาวบ้านและผู้คนในท้องถิ่นซึ่งมีที่ทำกินมาสู่เกษตรกรรายใหญ่ซึ่งมีทั้งนายทุนภายใน มีอิทธิพลเหนือรัฐและนายทุนจากภายนอก และในขณะนี้หลายท้องถิ่นในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ โดยเฉพาะภาคตะวันออกและภาคใต้ก็เกิดโครงการอุตสาหกรรมหนักที่เรียกว่า Eastern Sea Board และ Southern Sea Board ที่กำลังจะแย่งที่ทำกินและที่อยู่อาศัยของคนท้องถิ่นให้กลายเป็นนิคมอุตสาหกรรม อันเต็มไปด้วยคนกลุ่มใหม่จากถิ่นอื่นและต่างชาติเข้ามาแทนที่ ปัจจุบันความเดือดร้อนของคนท้องถิ่นทุกภูมิภาคกำลังคืบคลานเข้าสู่ภาวะถึงที่สุด เพราะถูกแย่งที่ทำกิน ที่อยู่อาศัยและทรัพยากร จึงเกิดการเคลื่อนไหวกันทั่วไป โดยคนหลายภาคส่วนที่เดือดร้อนต่างมุ่งเข้าสู่กรุงเทพมหานคร เพื่อยึดพื้นที่ในการเรียกร้อง ประท้วงและต่อต้านกันอย่างมากมายและต่อเนื่อง แต่การรวมกลุ่มประท้วงและต่อต้านซึ่งกำลังเกิดแนวร่วมและขยายตัวมากขึ้นในเวลานี้ ก็คือ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ ที่ออกมาถล่มรัฐบาลในเรื่องมรดกโลกปราสาทพระวิหารและการไม่ยกเลิก MOU. พ.ศ. ๒๕๔๓ จนทำให้เกิดการเสียดินแดนบริเวณตะเข็บชายแดนให้กับเขมร การเรียกร้องของคนกลุ่มนี้กำลังสะท้อนให้เห็นความขัดแย้งและความแตกแยกของคนในประเทศชาติอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะนอกจากจะแตกแยกออกเป็นหลายกลุ่มหลายเหล่าแล้ว ยังลามไปถึงความแตกแยกและความแตกต่างทางความคิดระหว่างคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่อีกด้วย คือ เกิดมีทั้งกลุ่มคนที่รักชาติรักแผ่นดินเกิดกับกลุ่มคนที่เป็นพวกข้ามชาติ ที่มองว่าโลกในปัจจุบันไร้พรมแดนตามกระแสโลกาภิวัตน์ อันเป็นวิธีคิดที่มาจากประเทศมหาอำนาจทางตะวันตก คนพวกนี้ไม่สนับสนุนและยินดีกับการเรียกร้องเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลของพวกรักชาติ รักแผ่นดิน และมักประณามพวกรักชาติรักแผ่นดินว่าเป็นพวกชาตินิยม คลั่งชาติ รวมทั้งบางคนยังมองเลยเถิดไปว่าเป็นพวกราชาชาตินิยมและเสนาอำมาตย์ชาตินิยมก็มี โดยเฉพาะคนกลุ่มหลังนี้มักเป็นพวกนักวิชาการและอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ที่กลุ่มคนรักชาติรักพระเจ้าอยู่หัวประณามว่าเป็นพวกไม่เอาเจ้าไม่เอาพระมหากษัตริย์ หรือเป็นพวกคนรุ่นใหม่ ไม่เอาการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข คนกลุ่มหลังนี้รวมทั้งคนไทยอีกเป็นจำนวนมากที่เป็นคนรุ่นใหม่ในช่วง ๔๐ ปีมานี้ เป็นพวกไม่สนใจเรื่องปัญหาการเสียดินแดน และแสดงการเพิกเฉยต่อการต่อสู้กดดันรัฐบาลของกลุ่มคนรักชาติรักแผ่นดิน แถมยังเห็นดีเห็นงามกับทางรัฐบาลที่แสดงอาการอ่อนข้อกับเขมร คนเหล่านี้คือกลุ่มที่นับอยู่ในจำนวนของคนในประเทศซึ่งแบบสำรวจวัดความนิยมของคนไทยต่อรัฐบาลในเรื่องคอร์รัปชั่นว่ายอมรับรัฐบาลคอร์รัปชั่นได้ ถ้าหากรัฐบาลนั้นทำให้พวกตนอยู่ดีกินดีได้อย่างไม่เดือดร้อน ข้าพเจ้าเป็นคนรุ่นเก่าที่เป็นคนรักชาติรักแผ่นดินเกิดและเป็นคนแรก ๆ หรือนักวิชาการรุ่นแรก ๆ ที่ได้ออกมาประณามความรู้สึกชาตินิยมที่มีมาแต่สมัยรัฐบาลจอมพล ป . พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นชาตินิยมที่สุดโต่งในลักษณะที่เป็น “ เชื้อชาตินิยม ” ซึ่งทำให้สังคมไทยเป็นสังคมแบบเอกลักษณ์ คือเป็นคนไทยจากสายเลือดที่สืบเชื้อสายกันมาแต่สุโขทัยและอยุธยา ข้าพเจ้าเห็นว่าโดยประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์สังคม ประเทศไทยที่แต่เดิมเรียกสยามประเทศนั้นเป็นสังคมพหุลักษณ์เช่นเดียวกันกับประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ ไม่ว่าเขมร ลาว พม่า และเวียดนาม รวมไปถึงมลายูบนคาบสมุทรและหมู่เกาะ ความเป็นพหุลักษณ์นั้นมาจากการที่แต่ละประเทศต่างก็มีคนหลายชาติพันธุ์หลายภาษาและศาสนาอยู่ด้วยกัน เกิดและตายอยู่ในประเทศเดียวกัน ทำให้มีสำนึกในชาติภูมิเดียวกัน “ ชาติ ” แปลว่า “ เกิด ” และ “ ภูมิ ” คือ “ แผ่นดิน ” กลายเป็น “ แผ่นดินเกิด ” เป็นสำนึกของคนที่เป็นมนุษย์ผู้เป็นสัตว์สังคมทั่วไปที่เรียกว่า Homo Sapiens สำนึกรักแผ่นดินเกิดนี้คือสิ่งที่เรียกว่า Patriotism ข้าพเจ้าร่วมความรู้สึกกับบรรดากลุ่มคนรักชาติรักแผ่นดินทั้งหลายที่ออกมาเรียกร้องกดดันรัฐบาลในเรื่องการจัดการกับเขมรในเรื่องดินแดนและเรื่องมรดกโลกปราสาทพระวิหารและ ข้าพเจ้าก็เป็นนักวิชาการคนหนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนคลั่งชาติ โดยบรรดานักวิชาการข้ามชาติและโลกไร้พรมแดน ที่ชอบนำเอาคำพูดและข้อเขียนในบทสนทนาและบทความทางวิชาการไปตัดต่อบิดเบือนเพื่อเป็นประโยชน์ของตนเป็นประจำ ในกรณีความขัดแย้งเกี่ยวกับเขตแดนและแหล่งมรดกโลกปราสาทพระวิหารเท่าที่ข้าพเจ้าได้รับรู้ ได้ศึกษาและติดตามตลอดมาตั้งแต่สมัย พ.ศ. ๒๕๐๕ ที่ศาลโลกตัดสินให้ปราสาทพระวิหารตกเป็นของเขมรมาจนถึงคณะกรรมการมรดกโลกขึ้นทะเบียนตัวปราสาทเป็นมรดกโลกเรื่อยมาจนถึงการจับคนไทยไปขึ้นศาลเขมรตัดสินจำคุกนั้น เมื่อประมวลและวิเคราะห์เหตุการณ์ตามขั้นตอนต่าง ๆ แล้ว อยากจะสรุปอย่างง่าย ๆ ให้บรรดาผู้รักชาติรักแผ่นดินเกิดทั้งหลายว่า “ สยามพ่ายเพราะไทยถ่อย ” เพราะการเสียเปรียบจนนำไปสู่การเสียเขตแดนและแหล่งมรดกโลกให้กับทางกัมพูชานั้น หาได้เป็นการกระทำของเขมรอันมีฮุนเซ็นเป็นผู้นำแต่อย่างใด หากเป็นการดำเนินงานที่บกพร่องในระยะแรกและฉ้อฉลขายประเทศขายดินแดนของบุคคลถ่อย ๆ ในคณะรัฐบาลไทยทั้งสิ้น โดยจะจารนัยให้เป็นออกเป็น ๒ ช่วงตอน ดังนี้ เรสสิเดนต์ กำปงธม และเมอซิเออร์ ปามังติเอร์ นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส รับเสด็จสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ โดยที่เชิงบันไดทางขึ้นปราสาทพระวิหารชักธงฝรั่งเศส ช่วงแรกต้องนับแต่ ค.ศ. ๑๙๐๔ ในการตกลงระบบเขตแดนระหว่างฝรั่งเศสกับไทยสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่ตกลงกันด้วยการใช้สันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งเขตแดน พอถึง ค.ศ. ๑๙๐๗ ที่มีการตกลงเรื่องแผนที่ซึ่งทำโดยฝรั่งเศส ผลปรากฏออกมาก็คือ ฝรั่งเศสโกงอย่างหน้าด้าน ๆ ในพื้นที่เขาพระวิหาร เพราะปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตสันปันน้ำฝ่ายไทย น้ำที่ไหลจากพื้นที่ลาดเขารอบ ๆ บริเวณปราสาทไหลไปลงลำห้วยสองห้วย คือ ห้วยตานีและห้วยตามาเรีย ผ่านบริเวณสระบารายที่เรียกว่าสระตราว ต่อลงตามลำตราวสู่พื้นที่ราบลุ่มในเขตจังหวัดศรีสะเกษ โดยฝรั่งเศสลากเส้นเขตแดนผ่านห้วยตามาเรียโดยแผนที่มาตราส่วน ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ ที่มองพื้นที่จากระดับสูงจนแลไม่เห็นรายละเอียด ฝรั่งเศสโกงได้สำเร็จ เพราะอาศัยการเป็นประเทศมหาอำนาจล่าอาณานิคมที่อาจจะใช้กำลังเข้ายึดครองประเทศไทยได้ทุกขณะ ไทยยอมตามแผนที่และกฎเกณฑ์ที่ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายกำหนดก็ด้วยสามัญสำนึก [Common Sense] เพียงไม่ให้ถูกยึดครองประเทศ แต่ในมุมกลับในทางสามัญสำนึกเช่นเดียวกับคนที่เป็นมนุษย์รักความเป็นธรรม การที่ฝรั่งเศสแย่งปราสาทพระวิหารไปจากพื้นที่ในสันปันน้ำนั้นคือ การโกงดื้อ ๆ อย่างไร้ยางอายของพวกมหาอำนาจทางตะวันตก การโกงโดยใช้แผนที่ ๑: ๒๐๐,๐๐๐ ที่แย่งปราสาทพระวิหารไปอย่างขัดความเป็นจริงทางสันปันน้ำนี้ กลายเป็นมรดกตกทอดมายังรัฐบาลเขมรอันเป็นรัฐอารักขาของฝรั่งเศส และเป็นเครื่องมือของเจ้าสีหนุผู้นำเขมรหลังการปลดแอกจากฝรั่งเศสสร้าง ความรู้สึกชาตินิยม ด้วยการนำเอาประวัติศาสตร์สมัยเมืองพระนครที่นักวิชาการฝรั่งเศสเขียนไว้ว่า “ กัมพูชาเคยเป็นมหาอาณาจักรที่มีอำนาจรวมศูนย์อยู่ที่เมืองพระนคร ยุคนั้นดินแดนที่เป็นประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบทั้งในลาวและเวียดนามก็เคยตกเป็นเมืองขึ้นของกัมพูชา ” การเรียกร้องสิทธิการเป็นเจ้าของปราสาทพระวิหารนั้น หมายถึงการแสดงอำนาจเหนือผู้คนในดินแดนประเทศไทยนั่นเอง นับเป็นวาทกรรมกับประวัติศาสตร์สมัยหลังเมืองพระนครที่กัมพูชาถูกยึดครองและเป็นเมืองขึ้นของสยามมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ เจ้าสีหนุทำเช่นนี้เพราะประจักษ์แก่ใจว่า อาณาบริเวณเขมรต่ำของเทือกเขาพนมดงเร็กจนถึงทะเลสาบเขมรนั้น เป็นพื้นที่ซึ่งทางสยามตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๙ ผนวกเข้าเป็นดินแดนของสยามประเทศที่ในระยะหลัง ๆ เรียกว่า เสียมราฐ หรือ เสียมรัฐ ซึ่งทางคนเขมรออกสำเนียงเป็น เสียมราบ ผู้คนในอาณาบริเวณเสียมราฐนั้นมีความใกล้ชิดสนิทกับคนในเขมรสูงคือพื้นที่ราบสูงโคราชมาแต่โบราณก่อนสมัยเมืองพระนครว่าเป็นพวก เจนละบก ร่วมกัน เขมรสีหนุนั้นคือพวกเจนละน้ำ หรือพวกเขมรต่ำ ซึ่งทำตัวเป็นปรปักษ์กับสยามมาแต่สมัยรัชกาลสมเด็จพระนเรศวร เพราะฉะนั้น ทั้งพระยาละแวก สีหนุและสุดท้ายเขมรฮุนเซ็นก็คือพวกเขมรน้ำที่ไทยเรียกว่า “ เขมร ” นั้นเอง หาใช่พวก “ ขอม ” ไม่ ดังข้าพเจ้าเคยเขียนบทความอธิบายถือ ความขัดแย้งระหว่างเขมรบกและเขมรน้ำไว้ในที่อื่น ๆ แล้ว พอมาถึงสมัยทรราชฮุนเซ็นเป็นผู้นำ จึงเอาเรื่องปราสาทพระวิหารมาปลุกระดมชาตินิยมเพื่อเอาใจเขมรเสียมเรียบหรือเขมรบกอีกทีหนึ่ง เหตุที่ไทยแพ้คดีศาลโลกเรื่องปราสาทพระวิหารครั้งพ.ศ.๒๕๐๕ นั้น เพราะทั้งเขลาและหลงตะวันตก หรืออีกนัยหนึ่งคือ “ บ้าฝรั่ง ” นั่นเอง เพราะผู้นำไทยทั้งนักวิชาการล้วนคิดว่าตนเองทันสมัยทันโลกมากกว่าเขมร โดยเฉพาะผู้ที่ออกไปทำหน้าที่ว่าความและการจัดการเรื่องกฎหมาย โดยไม่ระแวงว่าพวกฝรั่งเข้าข้างกัน โดยเฉพาะฝรั่งเศส แต่เมื่อแพ้คดีแล้วจึงได้สติ จัดการออกโรงในเรื่อง ยอมให้แต่ตัวปราสาทไม่ยอมให้ดินแดน เพราะยึดในเรื่องสันปันน้ำ ซึ่งเขมรสีหนุก็ไม่กล้า แต่ไทยในสมัยต่อมาก็ยังเลินเล่อและสะเพร่าอยู่เช่นเดิม เพราะความบ้าความเป็นสากลทันโลกแบบนิยมฝรั่ง จนได้ทำลายสามัญสำนึกในเรื่องการแบ่งเขตแดนด้วยสันปันน้ำ หันมายอมรับการแบ่งเขตแดนด้วยแผนที่ชุดที่ ฝรั่งเศสสร้างขึ้นมาเพื่อโกงปราสาทพระวิหารไปจากไทย การเซ็น MOU. พ.ศ.๒๕๔๓ โดยรัฐบาลที่ไม่เอาไหน เช่นรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์จึงเกิดขึ้น เพราะบ้าความคิดฝรั่งในเรื่องแผนที่ ๑: ๒๐๐,๐๐๐ ที่พวกฝรั่งเศสทำไว้ เลยเข้าทางรัฐบาล นักธุรกิจการเมืองยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ฮั้วกับทรราชฮุนเซ็นและนักธุรกิจข้ามชาติที่อยู่ทั้งในและนอกประเทศ ในการพัฒนาพื้นที่ตะเข็บชายแดนบริเวณสามเหลี่ยมมรกตในเทือกพนมดงเร็กตั้งแต่อุบลราชธานีลงไปถึงจังหวัดตราดชายทะเล พื้นที่ชายแดนเหล่านี้ล้วนเป็นพื้นที่เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกันของคนเหล่านี้ที่อยู่เหนือรัฐทั้งไทยและกัมพูชา การทำลายพื้นที่ตะเข็บชายแดนของทั้งสองประเทศเพื่อกลุ่มนักธุรกิจการเมืองทั้งสองชาติเห็นได้จาก การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน [Infra-structure] เช่น การตัดถนนหนทาง แหล่งธุรกิจการค้า แหล่งอุตสาหกรรม ย่านตลาดและชุมชน เช่นเส้นถนนที่ตัดข้ามช่องสะงำและต่อมาที่ช่องตาเฒ่า เป็นต้น เมื่อรัฐบาลทักษิณมีอันเป็นไป โครงการธุรกิจข้ามชาติดังกล่าวนี้ก็หาได้สลายไปไม่ ยังคงสานต่อโดยกลุ่มผลประโยชน์ที่อยู่ในคณะรัฐบาลหลังๆ ต่อมา ซึ่งก็รวมถึงรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ในยุคนี้ด้วย ที่ยังกอด MOU. พ.ศ.๒๕๔๓ อย่างเหนียวแน่น ทั้งยังไม่ยอมตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการลาออกจากการเป็นสมาชิกมรดกโลกและองค์กร UNESCO ปัญหาในเรื่องความขัดแย้งกรณีปราสาทพระวิหารและเขตแดนในทุกวันนี้ หาใช่พื้นที่ทับซ้อนหรือพื้นที่พิพาทอะไรไม่ หากเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างแท้จริง เพราะด้วย MOU. พ.ศ.๒๕๔๓ การรุกล้ำบริเวณตะเข็บชายแดนจนกลายเป็นการยั่วยุจนเกิดความรู้สึกชาตินิยมด้วยกันระหว่างคนไทยและคนเขมร แต่เขมรทำสำเร็จมากกว่า เพราะคนเขมรหือไม่ขึ้น เป็นประชาชนที่น่าสงสารภายใต้ทรราชฮุนเซ็นที่ประสบความสำเร็จทั้งในการครอบงำและกดขี่ แต่ทรราชฝ่ายไทยไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะความเป็นชาตินิยมแบบเชื้อชาตินิยม นั้นได้ตายไปจากคนไทยยุคใหม่หมดแล้ว คนไทยยุคใหม่แบ่งออกเป็นพวกไร้พรมแดน อันเป็นความคิดที่มาจากเรื่องโลกาภิวัตน์ของทางตะวันตก โดยมีหัวหอกเป็นพวกดอกเตอร์ที่เรียนมาจากตะวันตกโดยเฉพาะและกลุ่มที่มีแนวคิดแบบ Post Modernism บางกลุ่ม ที่กำลังถูกตรวจสอบและกล่าวหาโดยคนไทยที่มีสำนึกในเรื่องพรมแดนว่าเป็นพวกขายชาติ ข้าพเจ้าคือคนหนึ่งที่มีสำนึกในเรื่องพรมแดน เพราะเป็นสำนึกที่เรียกว่ารักแผ่นดินเกิด [Patriotism] เช่นมนุษย์ที่เป็น Homo sapiens ทั้งหลาย ข้าพเจ้าเรียกสำนึกนี้ว่า สำนึกชาติภูมิ หาใช่ความรู้สึกชาตินิยมแบบเชื้อชาตินิยม ที่นักวิชาการกลุ่มหนึ่งกล่าวหาและปลุกปั่นเพื่อประโยชน์ในการทำมาหากินของกลุ่มตน แต่ก่อนการมีพรมแดนระหว่างรัฐต่อรัฐหรือปัจจุบันกลายมาเป็นรัฐชาติในระหว่างประเทศต่อประเทศนั้น ไม่มีเส้นเขตแดน แต่เมื่อพวกฝรั่งนักล่าอาณานิคมมาทำขึ้น คนไทยก็ยอมรับแต่กลับโดนโกง ซึ่งข้าพเจ้าใคร่วิเคราะห์การแบ่งเขตแดนตะเข็บชายแดนระหว่างไทยและเขมรอย่างกว้าง ๆ ตามลักษณะภูมิประเทศต้องเป็นสองเขต คือบริเวณเทือกเขาพนมดงเร็ก ตั้งแต่จังหวัดอุบลราชธานีมาถึงจังหวัดบุรีรัมย์ กับบริเวณพื้นที่ราบลุ่มจนถึงชายทะเลตั้งแต่จังหวัดสระแก้ว จันทบุรีลงไปถึงจังหวัดตราด เขตแรกบนเทือกเขาพนมดงเร็กอันเป็นบริเวณที่มีปราสาทพระวิหารตั้งอยู่นั้น คือพื้นที่ซึ่งต้องใช้สันปันน้ำกำหนดเขตก็ปรากฏว่า ส่วนที่อยู่ปลายสุดแต่จังหวัดอุบลราชธานีมาถึงช่องสะงำในเขตจังหวัดศรีสะเกษนั้น เป็นบริเวณที่เห็นสันปันน้ำชัดเจน จึงไม่จำเป็นต้องปักเขตแดน ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในเขตนี้ แต่ว่าตั้งอยู่บนผาสูงที่เป็นจะงอยยื่นล้ำเข้าไปในพื้นที่เขมรต่ำ นั่นคือพื้นที่ซึ่งครอบคลุมทั้งตัวปราสาทและพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรที่อยู่รอบ ๆ ตัวปราสาท ฝรั่งเศสโกงโดยขีดเส้นเขตแดนตัดตรงห้วยตามาเรียที่ตอนปลายสุดของพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตร เพื่อให้ขนานกับแนวนอนอันเป็นเส้นตรงตามเทือกเขาด้วยการอ้างแผนที่ ๑: ๒๐๐,๐๐๐ ลำห้วยตามาเรียนี้คือลำห้วยที่รองรับน้ำที่ไหลลงจากผาชะง่อนที่ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ แต่ลำห้วยนี้ก็หาได้ไหลลงทางฟากเขมรต่ำไม่ กลับเป็นลำห้วย ๒ ห้วย คือ ห้วยตานีและห้วยตามาเรียที่ไหลผ่านสระตราวลงไปยังที่ราบลุ่มของจังหวัดศรีสะเกษ สันปันน้ำที่แลเห็นชัดนี้ทอดยาวตามแนวเขามาจนถึงช่องสะงำอันเป็นบริเวณที่แลไม่เห็นสันปันน้ำชัดเจนที่ต่อไปจนสิ้นสุดเขตจังหวัดบุรีรัมย์ เลยเป็นเขตให้ต้องมีการปักเขตแดนขึ้น และปักเรื่อยลงไปถึงพื้นที่ราบลุ่มในเขตจังหวัดสระแก้ว จันทบุรีและตราด รวมเป็นจำนวน ๗๓ หลัก ภาพถนนกำลังก่อสร้างทางขึ้นปราสาทพระวิหารทางฝั่งกัมพูชาในปัจจุบัน นับเป็นถนนอันลาดชันและรุกล้ำเข้าสู่พื้นที่ซึ่งยังไม่มีการตกลงปักปันเขตแดนโดยคณะกรรมการทั้งสองฝ่าย บริเวณเขตแดนที่มีหลักเขตแสดงไว้เหล่านี้ดูเป็นที่ยอมรับกันเรื่อยมาอย่างไม่มีปัญหา แม้จะมีการเคลื่อนย้ายอยู่ก็ตาม แต่ก็ไม่มีปัญหาเท่ากับพื้นที่บนชะง่อนผาของปราสาทพระวิหาร โดยประชาชนทั้งบนที่ราบสูงโคราชและพื้นที่เขมรต่ำทางกัมพูชารู้จักและขึ้นลงไปมาผ่านเขตแดนเป็นประจำ โดยเฉพาะพื้นที่ในเขตพรมแดนไทยนั้น มีชาวบ้านตั้งที่อยู่อาศัยและทำกินใกล้กับบริเวณเขตแดนเรื่อยมา แต่นับตั้งแต่เกิดโครงการพัฒนาตะเข็บชายแดนที่ร่วมมือกันระหว่างไทยและกัมพูชาสมัยรัฐบาลทักษิณ ก็ปรากฏว่ามีคนเขมรรุกเข้ามาตั้งที่อยู่อาศัยและที่ทำกินประชิดเส้นแบ่งเขตแดน และบางคนบางกลุ่มที่รุกพื้นที่ล้ำแดนเข้ามา โดยเฉพาะในสมัยการสู้รบระหว่างเขมรแดง เขมรเฮงสัมริน ซึ่งเมื่อสิ้นสงครามแล้วก็ไม่ได้ถอยหลังไปและทางฝ่ายไทยก็ไม่ได้ผลักดันกันอย่างจริงจัง การล้ำพื้นที่เขตแดนดังกล่าวนี้รวมทั้งบนเทือกพนมดงเร็ก โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรบนเขาพระวิหาร ครั้นมาถึงสมัยรัฐบาลทักษิณเมื่อมีโครงการพัฒนาตะเข็บชายแดนร่วมกันระหว่างทุนไทยกับทุนเขมรและทุนข้ามชาติก็เกิดการสมคบและการยินยอมในการใช้ประโยชน์ของพื้นที่และทรัพยากรร่วมกัน โดยหาคำนึงถึงความเดือดร้อนของคนในท้องถิ่นทั้งสองฟากคือ ฟากเขมรสูงและเขมรต่ำไม่ จึงแลเห็นได้จากการเอาปราสาทพระวิหารให้เป็นมรดกโลก รวมถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการลงทุนทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย โดยเฉพาะผิดกฎหมายว่า เป็นการแสวงหาผลประโยชน์ที่ขยายจากพื้นที่บนเทือกเขาที่มีสันปันน้ำไปจนถึงเขตชายทะเลฝั่งอ่าวไทยที่มีทรัพยากรทั้งสิ้น ช่วงเวลานี้แหละที่เห็นกระบวนการผิดกฎหมายที่ต้องพูดอย่างรวม ๆ ว่า คอรัปชั่นพื้นที่ป่าเขาตามชายแดนมีทั้งออกเขตอุทยานทับพื้นที่ทำกินของชาวบ้านและปล่อยให้คนเขมรเข้ามาแย่งที่ทำกิน เกิดการตัดไม้ทำลายป่าโดยเฉพาะป่าไม้พยุงอันเป็นไม่ชั้นดีราคาแพง ซึ่งหน่วยราชการทั้งพลเรือนและทหารจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ พื้นที่บนเทือกเขาสันปันน้ำนั้นเป็นพื้นที่ของกองกำลังสุรนารี ที่เคยมีทหารหาญรักชาติรักแผ่นดินดูแลก็ถูกแทนโดยทหารที่มีเอี่ยวในการหาผลประโยชน์แทน ในขณะที่บริเวณชายแดนในพื้นที่ราบลุ่ม เช่น สระแก้วและจันทบุรี อันไม่มีสันปันน้ำแต่มีการปักเขตแดนไว้แต่เดิมอย่างเป็นที่ยอมรับกัน ก็ถูกรุกล้ำโดยการอพยพเข้ามาของคนเขมรและเกิดแหล่งบ่อนการพนัน คาสิโน การลักลอบขนสิ่งของนอกกฎหมาย กองกำลังบูรพาที่เคยเข้มแข็งและห้าวหาญเป็นที่ยำเกรงของเขมรก็เปลี่ยนมาอ่อนข้ออ่อนน้อม ผลที่ตามมาก็คือคนในพื้นที่ถูกแย่งที่ทำกินให้ไปเป็นของคนเขมร การยอมรับ MOU. พ.ศ.๒๕๔๓ คือการใช้แผนที่ ๑: ๒๐๐,๐๐๐ เปลี่ยนเขตแดนแต่เดิมให้เป็นที่ของคนกัมพูชา จนนำไปสู่การเข้ามายึดครองแผ่นดินของเขมรฮุนเซ็น ความชัดเจนในเรื่องการรุกเขตแดนโดยการอ้าง MOU. พ.ศ.๒๕๔๓ เห็นชัดเจนในเหตุการณ์จับ ๗ คนไทยในเขตจังหวัดสระแก้ว คนพวกนี้ถูกเขมรจับในพื้นที่ใกล้กับหลักเขตแดนที่เคยปักปันไว้ในที่ทำกินของชาวบ้านที่มีเอกสารสิทธิ์ยืนยันว่าเป็นที่ทำกินในดินแดนประเทศไทย แต่ถูกเขมรอ้างว่าล้ำเข้าไปอยู่ในเขตแดนประเทศเขมร โดยที่ทหารไทยกองกำลังบูรพาปล่อยให้เขมรจับไปเข้าคุกต่อหน้าต่อตา มิหนำซ้ำรัฐมนตรีกลาโหมผู้เคยเป็นผู้บังคับบัญชากองกำลังบูรพา รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็ช่วยกันกล่าวหาและยืนยันว่าคนไทยทั้ง ๕ คนรุกเข้าไปในดินแดนเขมร แต่ในที่สุดได้มีผู้หาหลักฐานมายืนยันว่าเป็นพื้นที่ในเขตประเทศไทยอย่างพอเพียง ก็ไม่ได้ออกมาแก้ไขแต่อย่างใด การรุกเข้ามาของเขมรในเขตแดนไทยนี้เดือดร้อนไปถึงพื้นที่ทำกินในที่อื่น ๆ ของชาวบ้านอีกเป็นจำนวนมากตามตะเข็บชายแดนในจังหวัดสระแก้ว จันทบุรี และเลยขึ้นไปบนเทือกพนมดงเร็ก ข้าพเจ้าเห็นว่าในขณะที่รัฐบาลและทหารตอบคำถาม และการกล่าวหาของกลุ่มคนรักชาติรักแผ่นดินเกิดไม่ได้ว่า ทำไมไม่รู้และไปยอมรับการเข้ารุกที่เขตแดนและจับคนไทยในพื้นที่ของประเทศไทย ถ้าแม้ว่าจะเป็นพื้นที่พิพาทในกรณีที่อ้าง MOU. พ.ศ. ๒๕๔๓ ก็ย่อมแสดงให้เห็นว่า เขมรละเมิด MOU. ในการให้กองกำลังเข้ามาในพื้นที่พิพาทและจับคนไทยไปขังคุก ซึ่งนับเป็นการรุกล้ำอธิปไตยและสิทธิมนุษยชน การเข้ามาละเมิดพื้นที่ข้อพิพาทตาม MOU. พ.ศ.๒๕๔๓ นี้ไม่จำกัดอยู่แต่เพียงพื้นที่ในเขตจังหวัดสระแก้ว พื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหารที่นับเนื่องเป็นพื้นที่ข้อพิพาทซึ่งไม่ควรมีกองทหารเขมรและคนเขมรเข้าไปอยู่อาศัยและสร้างวัด แต่ทางไทยโดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศและทหารไม่ประท้วงและผลักดัน ที่น่าอัปยศและอดสูใจอย่างสุด ๆ ก็คือ ฝ่ายทหารไทยกลับปล่อยให้เขมรสร้างถนนขึ้นมายังพื้นที่ข้อพิพาทและเข้าไปยึดพื้นที่ในเขตภูมะเขือ อันเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ จนในที่สุดฝ่ายเขมรก็ใช้เป็นฐานกำลังยิงเข้ามาทำลายบ้านเรือนราษฎร แต่รัฐบาลไทยเพียงบอกว่าตอบโต้อย่างพอประมาณเพื่อมุ่งหวังการเจรจาแต่อย่างเดียว ทั้ง ๆ ที่ประชาชนเป็นจำนวนหมื่นต้องเดือดร้อนย้ายที่อยู่หนีตาย การละเมิด MOU. พ.ศ.๒๕๔๓ ของเขมรดังกล่าวนี้ ทางฝ่ายไทยสามารถใช้เป็นข้องอ้างยกเลิก MOU. และตอบโต้เพื่อปกป้องดินแดนและประชาชนได้สบายมาก รวมทั้งยกเลิกการเป็นสมาชิกมรดกโลกปราสาทพระวิหารอันเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งและเดือดร้อนได้อย่างสมเหตุสมผลเช่นกัน ทั้งหมดนี้คือหลักฐานข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ที่ชี้ให้เห็นว่า การเสียเปรียบในเรื่องดินแดนที่นำไปสู่ความเดือดร้อนของประชาชนในท้องถิ่นนั้น หาได้มาจากเขมรแต่ฝ่ายเดียวไม่ หากมีสาเหตุมาจากผลประโยชน์ทับซ้อนที่มาจากทุนข้ามชาติที่ทำให้คนในรัฐบาลและนักวิชาการบางกลุ่มเหล่าช่วยกันขายบ้านขายเมืองขายชีวิตประชาชนให้กับต่างชาติอย่างไม่ต้องสงสัย ข้าพเจ้าจึงให้ชื่อบทความนี้ว่า “ สยามพ่าย เพราะไทยถ่อย ” อย่าไปโทษเขมร อย่าไปโทษต่างชาติเลย หากสยามจะอยู่ยั้งยืนยง ก็ต้องขจัดกระบวนการคอรัปชั่นของคนเหล่านี้ที่เป็นนักการเมืองข้าราชการทั้งทหาร พลเรือนและนักวิชาการขายตัวเสียก่อน อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • พาราสาวะถี ไม่มีใครปรานีใคร

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2554 เมื่อใดก็ตามที่บ้านเมืองเกิดความขัดแย้งทั้งจากภายในและภายนอกอย่างรุนแรง ข้าพเจ้ามักนึกไปถึงเรื่องของกลียุคที่ยังความเดือดร้อนขึ้นแก่ผู้คนพลเมืองจนถึงขั้นเสียบ้านเสียเมือง อันเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้มาจากหนังสือและวรรณกรรมที่มาจากห้องสมุดประจำบ้านที่พ่อเคยรวบรวมและจัดไว้ เมื่อยังเป็นเด็กพ่อเคยแนะให้อ่านหนังสือเรื่อง จินดามณี อันเป็นหนังสือให้เรียนรู้ภาษาไทยของคนโบราณในเรื่องอักขระวิธี กลบทและกาพย์กลอนต่าง ๆ เป็นหนังสือค่อนข้างยากสำหรับข้าพเจ้าสักหน่อย เลยเลือกเรียน เลือกอ่านเฉพาะสิ่งที่สนใจ โดยเฉพาะกาพย์กลอนเรื่อง พระไชยสุริยา ที่ปราชญ์ทางการเรียนภาษาไทย ท่านแต่งไว้ให้เด็กเรียน คือทั้งเรียนรู้ทั้งเรื่องอักษรและภาษาที่ควบคู่ไปกับสุภาษิตและคติชน เนื้อความในเรื่องพระไชยสุริยากับความล่มจมของบ้านเมืองเป็นสิ่งที่ไม่ตายและอยู่เพียงแต่จินตนาการของคนโบราณ เพราะปัจจุบันเรากำลังได้เห็นและได้สัมผัสกับสถานการณ์บ้านเมืองในทางสังคม วัฒนธรรมและเศรษฐกิจการเมืองในขณะนี้ จึงคิดว่าควรนำมาบอกเล่าให้คนรุ่นใหม่ได้รับรู้และได้คิด เพื่อการร่วมกันแก้ไขและเปลี่ยนแปลงให้สังคมได้ดีขึ้น โดยจะคัดแต่ตอนที่เสมือนจริงกับเหตุการณ์บ้านเมืองมาเสนอและวิเคราะห์ไว้ ณ ที่นี้ จะร่ำคำต่อไป พอฬ่อใจกุมารา ธรณีมีราชา เจ้าพาราสาวะถี ชื่อพระไชยสุริยา มีสุดามะเหษี ชื่อว่าสุมาลี อยู่บูรีไม่มีไภย ข้าเฝ้าเหล่าเสนา มีกริยาอะฌาสัย พ่อค้ามาแต่ไกล ได้อาศัยในพารา ไพร่ฟ้าประชาชี ชาวบูรีก็ปรีดา ทำไร่เขาไถนา ได้เข้าปลาและสาลี อยู่มาหมู่ข้าเฝ้า ก็หาเยาวนารี ที่หน้าตาดีดี ทำมโหรีที่เคหา ค่ำเช้าเฝ้าสีซอ เข้าแต่หอล่อกามา หาได้ให้ภริยา โลโภพาให้บ้าใจ ไม่จำคำพระเจ้า เหไปเข้าภาษาไสย ถือดีมีข้าไท ฉ้อแต่ไพร่ใส่ขื่อคา คะดีที่มีคู่ คือไก่หมูเจ้าสุภา ใครเอาเข้าปลามา ให้สุภาก็ว่าดี ที่แพ้แก้ชนะ ไม่ถือพระประเวณี ขี้ฉ้อก็ได้ดี ไล่ด่าตีมีอาญา ที่ซื่อถือพระเจ้า ว่าโง่เง่าเต่าปูปลา ผู้เฒ่าเหล่าเมธา ว่าใบ้บ้าสาระยำ ภิกษุสะมะณะ เล่าก็ละพระสธรรม คาถาว่าลำนำ ไปเร่ร่ำทำเฉโก ไม่จำคำผู้ใหญ่ ศีรษะไม้ใจโยโส ที่ดีมีอะโข ข้าขอโมทนาไป พาราสาวะถี ใครไม่มีปรานีใคร ดุดื้อถือแต่ใจ ที่ใครได้ใส่เอาพอ ผู้ที่มีฝีมือ ทำดุดื้อไม่ซื้อขอ ใส่คว้าผ้าที่คอ อะไร่ล่อก็เอาไป ข้าเฝ้าเหล่าเสนา มิได้ว่าหมู่ข้าไทย ถือน้ำร่ำเข้าไป แต่น้ำใจไม่นำพา หาได้ใครหาเอา ไพร่ฟ้าเศร้าเปล่าอุรา ผู้ที่มีอาญา ไล่ตีด่าไม่ปรานี ผีป่ามากระทำ มรณกรรมชาวบูรี น้ำป่าเข้าธานี ก็ไม่มีที่อาไศรย ข้าเฝ้าเหล่าเสนา หนีไปหาพาราไกล ชีบาล่าลี้ไป ไม่มีใครในธานี กาพย์พระไชยสุริยา “บ้านเมืองวิบัติเพราะผู้คนไม่อยู่ในธรรม” ผลงานของสุนทรภู่ สุนทรภู่ เมืองไทยทุกวันนี้เหมือน สาระถี ไม่มีใครปรานีใคร ผู้คนพลเมืองเกือบทุกท้องถิ่นในทุกภูมิภาคถูกแย่งที่ทำกิน ที่อยู่อาศัย และทรัพยากรธรรมชาติจนสิ้นเนื้อประดาตัว เสาหลักทั้งสามของการปกครองที่เรียกว่า ประชาธิปไตย คือ อำนาจนิติบัญญัติ รัฐบาล และตุลาการ หมดสภาพ ระส่ำระสายไปตกอยู่ในเงื้อมมือของกลุ่มทรราช อันประกอบด้วยนักการเมืองที่ชั่วร้าย ข้าราชการที่ทุจริต นักวิชาการที่ขายตัวต่อทุนข้ามชาติที่เหนือรัฐและเหนือตลาด สถาบันทางศาสนาก็ไม่เหมือนเดิม เพี้ยนไปทางไสยศาสตร์และบริโภคนิยมในหมู่อลัชชีที่แข่งที่อยู่อาศัย และขับไล่ผู้คนในชุมชนที่อยู่มาแต่ดั้งเดิม สถาบันที่รักษาความมั่นคงภายในเช่นตำรวจก็เป็นมิจฉาชีพ ในขณะที่สถาบันทหารที่มีหน้าที่ปกป้องแผ่นดินและอำนาจอธิปไตยก็ขายแผ่นดิน ยินยอมให้ศัตรูเข้ามาครอบครองและจับผู้คนไปขังคุก ดังเช่นกรณีเขาพระวิหารและพื้นที่ในเขตจังหวัดทางภาคตะวันออก สถาบันศาลและตุลาการก็ขาดความรู้และความเข้าใจจนตัดสินเอาผู้คนที่รัฐออกเอกสารสิทธิ์ทับที่ทำกินไปขังคุกจนเจ็บป่วยล้มตาย “ หาได้ใครหาเจ้า ไพร่ฟ้าเศร้าเปล่าอุรา ผู้ที่มาอาญา ไล่ตีด่าไม่ปรานี ” ทุกวันนี้แทบทุกพื้นปฐพีของบ้านเมืองถูกทุนเหนือรัฐและเหนือตลาดเข้ามาครอบครอง จนผู้คนแทบไม่มีที่อยู่อาศัย เหมือนกับข้อความที่ว่า “ ผีป่ามากระทำ มรณกรรมชาวบูรี น้ำป่าเข้าธานี ก็ไม่มีที่อาไศรย ” ในขณะที่บรรดาเดรัจฉานทั้งหลายคือ “ ข้าฟ้าเหล่าเสนา หนีไปหาพาราไกล ชีบาล่าลี้ไป ไม่มีใครในธานี ” คงไม่นานเกินรอ โอ้! สยามประเทศ... อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • “ต้องสร้างพลังประชาสังคมต่อรองอำนาจรัฐและทุนเหนือรัฐ” เพื่อการอยู่รอดของสังคมไทย

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2554 ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาตราบจนปัจจุบัน อิทธิพลของโลกาภิวัตน์ที่ครอบงำและมีผลกระทบอย่างร้ายแรงแก่ผู้คนในสังคมไทยก็คือ อำนาจของทุนเหนือรัฐและเหนือตลาดของกลุ่มนักธุรกิจข้ามชาติ อำนาจทุนดังกล่าวนี้เป็นอำนาจของเงินตัวเดียว หาได้มีตัวอื่นไม่ และเป็นอำนาจที่ใช้ได้กับรัฐไทย โดยผ่านรัฐไทยลงสู่สังคมข้างล่างได้ดีกว่ารัฐอื่น ๆ ในโลก เพราะรัฐไทยเป็นรัฐรวมศูนย์ที่ทำให้การจัดการทุกอย่างในด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและการเมือง การปกครอง กำหนดมาจากศูนย์กลางแต่ฝ่ายเดียว รัฐไทยนับว่าเป็นรัฐในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยเช่นเดียวกับหลาย ๆ ประเทศในโลก โดยเฉพาะประเทศทางตะวันตก แต่ความเป็นประชาธิปไตยของรัฐไทยนั้นเป็นประชาธิปไตยจากข้างบนแบบผูกขาด โดยผู้ที่มีอำนาจและมีความรู้จากศูนย์กลางเป็นผู้กำหนด ตามความเคยชินของคนจากข้างบนที่ได้รับการยอมรับจากคนข้างล่างมาแต่สมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงต่างกันกับสังคมในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยในที่อื่นๆ ที่ความเป็นประชาธิปไตยนั้น เริ่มมาจากข้างล่างจากการประสบการณ์ในความสัมพันธ์กันทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองของผู้คนหลายท้องถิ่น หลายชาติพันธุ์และหลายศาสนา เป็นประชาธิปไตยที่อุบัติขึ้นในลักษณะที่เป็นเอกภาพท่ามกลางความหลากหลายและความขัดแย้ง แต่ที่สำคัญเป็นประชาธิปไตยที่เปิดโอกาสและพื้นที่ให้คนจากข้างล่างในภาคประชาชนมีอำนาจในการต่อรองและตรวจสอบอำนาจรัฐที่มาจากเบื้องบนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยพลังประชาสังคม [Civil society] ที่เป็นกลุ่มก้อนและเครือข่าย อำนาจต่อรองของกลุ่มประชาสังคมนั้น โดยหลักการหาได้เป็นอำนาจในการบังคับใช้ [Authoritative power] เช่นของรัฐไทยไม่ หากเป็นอำนาจของการต่อรองและตรวจสอบ [Sanction] รวมทั้งการต่อต้านด้วยสันติวิธี เช่นการเดินขบวนเรียกร้องและที่เข้มข้นก็คือ อารยะขัดขืน [Civil disobedience] เช่น การไม่ยอมเสียภาษี ถ้าหากทางรัฐไม่รับฟังและใช้อำนาจบังคับจนขาดความชอบธรรมก็อาจเป็นเหตุให้เกิดการจลาจลและสงครามกลางเมือง อันเป็นการปฏิวัติจากข้างล่าง [Civil war] ในที่สุด หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นยุคของสงครามเย็นที่มีการแบ่งขั้วกันระหว่างประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยทุนนิยมเสรีกับประเทศประชาธิปไตยสังคมนิยมที่คนทั่วไปเรียกว่า คอมมิวนิสต์ อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส คือกลุ่มแกนนำของฝ่ายระบอบประชาธิปไตยทุนนิยมเสรี ในขณะที่รัสเซียและจีน คือแกนนำของฝ่ายคอมมิวนิสต์ เป็นการขับเคี่ยวกันระหว่างชั้วประชาธิปไตย ขั้วคอมมิวนิสต์ ได้แบ่งประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ออกเป็นฝ่ายประชาธิปไตย เช่น ไทยและมาเลเซียกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ ได้แก่ เวียดนาม ลาว และเขมร ส่วนพม่าเป็นการปกครองแบบเผด็จการทหาร อเมริกาใช้ประเทศไทยเป็นปราการสำคัญในการต้านคอมมิวนิสต์จากทางจีน รัสเซียและเวียดนาม โดยการให้ความช่วยเหลือทั้งด้านเศรษฐกิจ การทหารและการศึกษาที่จะอบรมบ่มสอนให้ไทยเป็นประเทศประชาธิปไตย อเมริกาประสบความสำเร็จในการอบรมความเป็นประชาธิปไตยให้แก่ไทยได้อย่างสำเร็จเบ็ดเสร็จ เพราะทำให้เกิดคนไทยรุ่นใหม่ขึ้นที่แตกต่างไปจากคนไทยรุ่นเก่าอย่างสิ้นเชิง เป็นคนไทยรุ่นที่เป็นพ่อแม่คนและรุ่นลูกในขณะนี้ที่รับรู้และยกย่องประชาธิปไตยแบบอเมริกัน ความคิดและวัฒนธรรมอเมริกันอย่างสุดโต่ง จนเรียกว่าถูกทำให้เป็นคนอเมริกัน [Americanization] ก็ว่าได้ โดยหาตระหนักถึงความเป็นจริงไม่ว่า เป็นเพียงอเมริกันแบบต่อยอดเท่านั้น หาได้มาจากกระบวนการอบรมทางประสบการณ์ที่มาจากรากฐานทางสังคมและวัฒนธรรมไม่ เพราะฉะนั้น ความเป็นประชาธิปไตยแบบต่อยอดที่รับเข้ามา จึงเป็นประชาธิปไตยข้างบนที่ห่างไกลกับความเข้าใจและประสบการณ์ของคนจากข้างล่าง ประชาธิปไตยของคนจากข้างบนจึงเป็นประชาธิปไตยของกลุ่มปัญญาชน เช่น พวกนักวิชาการที่เป็นด๊อกเตอร์ด๊อกตีน ลูกศิษย์ลูกหาที่ได้รับการอบรมปลูกฝังมาจากอเมริกาพวกหนึ่ง กับพวกนักธุรกิจการเมืองร้อยพ่อพันแม่ที่มุ่งหวังจะเข้ามาหาผลประโยชน์เพื่อตนเองและพรรคพวกในการเป็นนักการเมือง โดยผ่านการเลือกตั้งเพื่อให้เข้าไปมีสิทธิ์มีเสียงในสภาและเป็นรัฐบาลคุมอำนาจในการบริหารประเทศในลักษณะธุรกิจ การเมือง การตลาด แล้วก็แบ่งออกเป็นฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านพลัดถิ่นเข้ามาทำมาหากินกันในการเป็นรัฐบาล ข้าพเจ้าเรียกประชาธิปไตยจากข้างบนนี้ว่า “ ประชาธิปไตยสามานย์ ” ตามอย่างทุนนิยมสามานย์ของอาจารย์ณรงค์ เพชรประเสริฐ นักเศรษฐศาสตร์ที่ริเริ่มคำว่า “ทุนสามานย์” เพราะเป็นประชาธิปไตยจากข้างบนที่เกิดจากอำนาจทุนของพวกนักธุรกิจข้ามชาติ ข้ามพรมแดน ถ้ามองย้อนทางประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยแบบนี้ ฟักตัวขึ้นเป็นรูปเป็นร่างแต่สมัยรัฐบาลของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นต้นมา เพราะเป็นยุคที่มีนักธุรกิจและนักวิชาการที่เป็นพลเรือนเข้ามาบริหารประเทศแทนกลุ่มเผด็จการทหาร และเป็นรัฐบาลเริ่มต้นของสิ่งที่เรียกว่า “ ประชานิยม ” ที่เห็นได้จากการผันเงินลงสู่ชนบท จนทำให้ชุมชนไม่อยากจะพึ่งตนเองอย่างแต่ก่อน หันมาหวังเงินผันจากทางรัฐแทน สืบเนื่องมาจนถึงรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่มุ่งเปลี่ยนสนามรบเป็นการค้า และทุนรับโครงการทางอุตสาหกรรมและการลงทุนจากภายนอก เป็นผลให้คนข้างล่างขายที่ดิน เลิกทำการเกษตร หันมาขายที่ตนเองเป็นแรงงาน ทิ้งถิ่นฐานไม่อยู่และไปทำงานในที่ต่าง ๆ เกิดสภาวะบ้านแตกขึ้นในหลายท้องถิ่นแทบทุกภูมิภาค ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสินค้าหมดแม้แต่ลูกเมียและตนเอง การสิ้นสุดของสงครามเย็นในสมัยประธานาธิบดีบุช ผู้พ่อ เป็นเหตุให้เปลี่ยนระเบียบโลก [World order] เข้าสู่ยุคเศรษฐกิจทุนนิยมข้ามชาติทำให้อเมริกามีอำนาจทางเศรษฐกิจการเมืองอย่างล้นหลาม ที่จะดลบันดาลให้ประเทศใด ๆ ร่ำรวยหรือยากจนก็ได้ด้วยเล่ห์กระเท่ทางเศรษฐกิจและการทหาร การสงครามและการค้าอาวุธ หลายๆ ประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์แต่ไม่ทันโลกก็อาจเป็นเหยื่อของการเข้ามาแย่งทรัพยากรธรรมชาติของชาติมหาอำนาจเช่น ประเทศไทยยุคฟองสบู่แตกที่ทำให้นักธุรกิจและนักลงทุนชาวต่างประเทศเข้ามาลงทุนทำกิจการ ใช้ทรัพยากรของประเทศไปเป็นสินค้าเพื่อเอากำไรส่วนใหญ่เป็นของตนเอง ในที่สุดยุคของการจัดระเบียบโลกก็เข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ อันเป็นยุคของประเทศมหาอำนาจและบรรษัทลงทุนข้ามชาติครอบครองโลกด้วยการสื่อสาร ด้วยการเทียบระบบคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ตนี้สามารถเข้าถึงแหล่งทรัพยากรได้แทบทุกมุมโลกอย่างไร้พรมแดน ทำให้เกิดอำนาจทุนเหนือรัฐเหนือตลาดขึ้นอันเป็นยุคใหม่ที่เรียกว่า ยุคโลกาภิวัตน์ (โลกาพิบัติ?) อย่างแท้จริง ทุนเหนือรัฐดังกล่าวคือระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีที่ไปผูกติดกับการปกครองแบบประชาธิปไตย เลยทำให้เกิดระบบประชาธิปไตยในระบบทุนนิยมเสรีขึ้น เพราะฉะนั้น ประชาธิปไตยในลักษณะนี้ จึงสามารถนิยามได้ว่าเป็นประชาธิปไตยสามานย์ เป็นประชาธิปไตยแบบซื้อเสียงขายเสียงที่สร้างขึ้น และกำหนดมาจากกลุ่มทุนเหนือตลาดที่ไม่มีพรมแดนนั่นเอง ประเทศไทยเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงในยุคโลกภิวัตน์ เมื่อเกิดรัฐบาลใหม่ขึ้นในสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นสมัยที่มีนักธุรกิจข้ามชาติเข้ามาบริหารประเทศ ได้นำเอาความคิดประชานิยมมาพัฒนาอย่างสุดโต่งในลักษณะที่เป็นการตลาด เปิดรับการลงทุนจากภายนอกที่ให้โอกาสคนต่างประเทศเข้ามาดำเนินกิจกรรมได้อย่างกว้างขวาง เปลี่ยนโครงสร้างทางกายภาพของบ้านเมือง ไม่ว่าการคมนาคม แหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งอุตสาหกรรมและแหล่งทรัพยากรเพื่อการลงทุน ที่ทำให้เกิดการเติบโตของอุตสาหกรรมทั้งหนักและเบาขึ้นทั้งประเทศ อันทำให้พื้นฐานการเป็นสังคมเกษตรกรรมแบบเดิมแทบหมดไป ประเทศไทยเป็นสังคมอุตสาหกรรมอย่างเต็มตัว การเคลื่อนย้ายของผู้คนทั้งภายนอก ภายในเข้าไปทำงานและอยู่อาศัยตามแหล่งทรัพยากรของท้องถิ่นในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศอย่างรวดเร็ว และไม่เคยคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมและวัฒนธรรมนั้นได้ทำลายชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในสังคมเดิม ตั้งแต่ครอบครัว ชุมชน และสภาพแวดล้อมทางนิเวศวัฒนธรรมของท้องถิ่นจนเกิดสภาพบ้านแตกสาแหรกขาดอย่างสิ้นเชิง รวมทั้งการสร้างสำนึกการมองโลกและค่านิยมที่เน้นความเป็นปัจเจกบุคคลที่มองและแสวงหาในเรื่องของความต้องการทางวัตถุเพื่อตนเองและพวกพ้อง แทนการอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มทางสังคม เช่น การรวมกลุ่มแบบครอบครัวและชุมชนในลักษณะเป็นสังคมมนุษย์แต่เดิม สังคมไทยในยุคโลกาภิวัตน์จึงเป็นสังคมที่เจ็บปวด เพราะกำลังขาดความเป็นมนุษย์ อาจวิเคราะห์ออกได้เป็นสองระดับ ระดับบนคือระดับของพวกนักการเมือง นักธุรกิจ ข้าราชการ นักวิชาการและคนในสังคมเมืองส่วนใหญ่ เป็นระดับที่กำลังขาดความเป็นมนุษย์ เพราะถูกครอบโดยกระแสโลกาภิวัตน์ คนเหล่านี้นอกจากเน้นตัวตนที่เป็นปัจเจกแล้ว ยังขาดสำนึกในเรื่องบ้านเกิดเมืองนอน เพราะถูกทำให้กลายเป็นคนของโลกเดียวกันที่ไร้พรมแดน ส่วนคนระดับล่างแม้ว่าจะอยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาดจากอิทธิพลทางเศรษฐกิจการเมืองในกระแสโลกาภิวัตน์ก็ตาม ก็ยังมีหลายกลุ่มหลายแห่งในหลายๆ ท้องถิ่นที่ยังคงความเป็นมนุษย์อยู่ คือยังมีความคิดที่จะอยู่ติดที่เป็นกลุ่มเหล่า ให้ความสำคัญกับการทำเกษตรกรรมแบบพอเพียงที่ทำเพื่อกินก่อนขาย ยังรักษาบ้านเรือนและถิ่นฐานไว้ได้ ตลอดจนยังให้ความสำคัญกับวัดวาอารามและระบบความเชื่อ คือยังคงเป็นคนมีศาสนาอยู่และมีสำนึกในเรื่องชาติภูมิ ที่คนไร้ชาติจากข้างบนมักจะกล่าวหาว่าเป็นพวกคลั่งชาติอะไรทำนองนั้น คนเหล่านี้ยังมีอยู่และทวนกระแสต่อรองกับโลกาภิวัตน์ แต่การดำรงอยู่ของคนเหล่านี้มักถูกมองข้ามไปจากคนระดับบนที่สยบกับโลกาภิวัตน์ และมักถูกกล่าวหาว่าการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิทางการเมืองและสังคมของคนเหล่านี้จัดเป็นการกระทำของชนชั้นกลาง อันมีคนเสื้อเหลืองที่เคลื่อนไหวล้มล้างรัฐบาลเผด็จการรัฐสภาของนายกรัฐมนตรีทักษิณให้พ้นอำนาจ แต่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่เข้ามามีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินต่อจากรัฐบาลทักษิณและนอมินีก็หาได้มีแนวคิดและพฤติกรรมในการปกครองประเทศแตกต่างไปจากรัฐบาลทักษิณไม่ กลับเป็นรัฐบาลของคนระดับบนที่ขาดความเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับรัฐบาลทักษิณและดูจะเลวร้ายกว่าเพราะแทนที่จะทำให้บ้านเมืองดีขึ้นกลับเลวลงจนเกิดความแตกแยกมากกว่าเดิม ก็เพราะนอกจากเป็นรัฐบาลที่รวบอำนาจไว้ศูนย์กลางแล้วตามแบบรัฐบาลเดิมในเรื่องประชานิยม มอมเมาชาวบ้านชาวเมืองด้วยทุนอุดหนุนและการคอรัปชั่นนานาประการ ดูเหมือนความเลวร้ายของทั้งสองรัฐบาลที่ผ่านมาที่ใช้ลัทธิประชานิยมเหมือนกันก็คือ การแย่งและแข่งกัน มอมเมาประชาชนเพื่อการขายทรัพยากรและขายประเทศ ได้เกิดการแตกแยกออกเป็นก๊กเป็นเหล่าของกลุ่มผลประโยชน์ [Factions] ที่ต่างอ้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่เน้นเสียงข้างมากว่าเป็นสิ่งชอบธรรม โดยไม่ยี่หระกับการซื้อเสียงขายเสียงแม้แต่น้อย ใครมีเงินมากแจกมาก ซื้อมากก็มีสิทธิ์ชนะการเลือกตั้ง อีกทั้งถ้าหากมีการกระทำใดที่ตนต้องเสียประโยชน์และเสียอำนาจก็มักมีการออกมาคุกคามประณามความยุติธรรมและแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนรัฐธรรมนูญกลายเป็นกฎหมายสามานย์ไปกับประชาธิปไตยสามานย์ เพราะพอใครได้มามีอำนาจก็แก้กฎหมายเพิ่มกันไม่หยุดหย่อนหลายตระหลบ มาบัดนี้ รัฐบาลนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชนะเลือกตั้งและกำลังจะกลับมามีอำนาจก็ยังคงใช้นโยบายประชานิยมอย่างเดิม แต่ดูเข้มข้นกว่า เพราะสามารถมอมเมาคนให้เป็นพวกอมนุษย์ได้มากกว่า อีกทั้งดูเหมือนจะได้รับการสนับสนุนจากบรรดาประเทศมหาอำนาจ เช่น อเมริกาและพันธมิตรที่มุ่งหวังจะครอบครองดินแดนและทรัพยากร ด้วยกระบวนการเศรษฐกิจทุนนิยมข้ามชาติ ดังเห็นได้จากการศึกษาเพื่อการปฏิรูปการปกครองของคณะกรรมการปฏิรูปที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน สังคมเกษตรแบบเดิมที่ประกอบด้วยเกษตรรายย่อย ที่มีที่ทำกินเป็นของตนเอง ปลูกพืชนานาชนิดแบบ กินก่อน เหลือขาย มาเป็นเกษตรกรรมแบบพันธะสัญญาที่ปลูกพืชเชิงเดียวเพื่อขายอย่างเดียว โดยมีนายทุนเป็นผู้กำหนด จนปัจจุบันคนไทยในประเทศที่เป็นเกษตรกรจำนวน ๙๐ เปอร์เซ็นต์มีที่ทำกินเพียง ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือ ๙๐ เปอร์เซ็นต์บรรดานายทุนทั้งในชาติและข้ามชาติถือครอบครองหมด นอกจากนั้นแล้ว ในตามท้องถิ่นต่างๆ แทบทุกภูมิภาคของประเทศ คนท้องถิ่นที่อยู่ในชุมชนมาแต่เดิมก็ถูกคุกคามแย่งที่ทำกิน ที่อยู่อาศัยและทรัพยากรจากคนข้างนอกที่เป็นนายทุน เกิดแหล่งที่อยู่อาศัยและทำกินแบบใหม่ที่ไม่เป็นชุมชนมนุษย์ขึ้นมากมาย เช่น คอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร ทาวน์เฮ้าส์และนิคมอุตสาหกรรม การรุกล้ำและคุกคามของกลุ่มทุนที่มีต่อคนข้างล่างที่เป็นเกษตรกรมาแต่เดิม ในขณะนี้รุนแรงถึงขั้นกดขี่ [Oppression] ทำให้คนไร้ที่อยู่อาศัย ไร้ที่ทำกินและถูกจองจำในคุกตะราง จนถึงภายในคุกก็มีมาก โดยที่กระบวนการยุติธรรมไม่สามารถช่วยอะไรได้ ดังเช่นชาวบ้านในเขตจังหวัดลำพูนที่มีเอกสารสิทธิ์ในที่ทำกินมากว่าชั่วคน ถูกรัฐออกเอกสารสิทธิ์ทับที่ให้นายทุนมีสิทธิ์ตามกฎหมาย ถูกจับและศาลตัดสินลงโทษให้จำคุกจนตายไปหลายคน ซึ่งบางคนมีอายุถึง ๗๐ และ ๘๐ ปี รวมทั้งในเขตจังหวัดลำพูนก็มีการปล่อยให้นายทุนได้สิทธิ์ครอบครองพื้นที่เพื่อทำโรงงานอุตสาหกรรมราว ๔,๐๐๐-๓,๐๐๐ ไร่ก็มี ลักษณะเช่นนี้แผ่ซ่านไปทั่วราชอาณาจักร จนกล่าวได้ว่าทั่วทั้งประเทศเต็มไปด้วยราษฎรที่ถูกกดขี่ข่มเหงจากอำนาจรัฐและทุนเหนือรัฐ จนกลายเป็นคนเสื้อแดงไปหมด การกลายเป็นคนเสื้อแดงนั้นเพราะคนเหล่านี้ไม่มีที่พึ่ง ต้องหนีไปพึ่งอำนาจนอกรัฐเช่นเดียวกันกับเมื่อครั้งสงครามเย็นที่ชาวบ้านหันไปเป็นคอมมิวนิสต์ เพราะเป็นระบบการปกครองที่เป็นทางเลือกได้ดีกว่าระบบประชาธิปไตยสามานย์รวมศูนย์ของรัฐบาลในยุคนั้น ปัจจุบันประวัติศาสตร์กำลังซ้ำรอยที่ประชาชนขาดที่พึ่งจึงหันไปหารัฐบาลทักษิณ ซึ่งฉลาดแกมโกง ใช้เล่ห์กลมอมเมาชาวบ้านด้วยโครงการประชานิยม จนทำให้เกิดความเชื่อมั่นใน พ.ต.ท.ทักษิณสืบมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้ง ๆ ที่พ.ต.ท.ทักษิณและรัฐบาลนอมินีก็คือตัวแทนของรัฐบาลทุนนิยมสามานย์และประชาธิปไตยรวมศูนย์ รวมอำนาจ และเป็นเผด็จการรัฐสภายิ่งกว่าสมัยใด ๆ ในระบบประชาธิปไตยของประเทศไทย เพราะคนเสื้อแดงที่เป็นสมุนและผู้ตามทักษิณ ได้มอมเมาหลอกลวงชาวบ้านชาวเมืองที่ถูกกดขี่โดยอำนาจรัฐให้มาเป็นพวก ระดมคนเหล่านี้ก่อความจลาจลวุ่นวาย เผาบ้านเผาเมืองถึงสองปีซ้อนในสมัยที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์บริหารแผ่นดิน ขณะนี้รัฐบาลประชาธิปัตย์ได้สิ้นสุดลง และรัฐบาลนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณก็กำลังเข้ามาแทนที่ ก็ยังใช้นโยบายประชานิยม (ฉิบหายนิยม) มอมเมาประชาชนอีก โดยประเดิมแต่แรกการหาเสียงจะขึ้นค่าแรงงานให้กรรมกรเป็นวันละ ๓๐๐ บาท นักศึกษาที่เรียนจบปริญญาตรีจะได้เงินเดือนขั้นแรก ๑๕,๐๐๐ บาท และประกันข้าวเกวียนละ ๑๕,๐๐๐ บาท เป็นต้น การให้คำมั่นสัญญาตั้งแต่การหาเสียงและซื้อเสียงเช่นนี้ คือการจุดประกายแห่งความหวังให้กับคนที่ขาดความรู้และสติปัญญาและมักง่ายมักได้โดยแท้ เพราะดูดีและโน้มน้าวได้พวกปัญญาชนที่เห็นใจประชาชนในเรื่องความไม่เป็นธรรมในเรื่องเงินค่าจ้างและเงินเดือน เห็นพ้องด้วยในลักษณะเข้าข้างคนด้อยโอกาส โดยหาคำนึงถึงความรู้สึกนึกคิดของบรรดากลุ่มบุคคลที่เป็นนายทุนผู้จ้างไม่ ซึ่งถ้าหากให้ค่อยเป็นค่อยไปแล้วก็จะเกิดการยอมรับด้วยกันทั้งสองฝ่าย คือฝ่ายนายจ้างและลูกจ้าง อันเป็นความสมดุลในความสัมพันธ์ทางสังคมและเศรษฐกิจของคนทั้งสองกลุ่มที่เกี่ยวข้อง แต่ดูเหมือนนโยบายประชานิยมในเรื่องค่าจ้างและแรงงานดังกล่าวนี้ น่าจะมีสิ่งซ้อนเร้นมากไปกว่านั้นในเรื่องที่จะเป็นการปิดทางให้กับการลงทุนจากภายนอก ที่มีกำลังเงินทุนในการให้ค่าจ้างแรงงานได้มากกว่าคนที่เป็นนายทุนภายในประเทศ ซึ่งนั่นก็จะเป็นการนำไปสู่การขายประเทศ ขายที่ทำกิน ที่อยู่อาศัยและทรัพยากรให้แก่ต่างชาติโดยตรง เพราะฉะนั้น สภาพการทางเศรษฐกิจ การเมืองของสังคมไทยในยุคโลกาภิวัตน์ โดยรัฐบาลประชาธิปไตยสามานย์ที่รวมศูนย์อำนาจ ทั้งอำนาจบังคับใช้และใช้เงินงบประมาณของทุกรัฐบาลมาจนถึงสมัยนี้ จึงกำลังเดินหน้าในการทำลายชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคมแทบทุกท้องถิ่นในระดับล่างอย่างโหดร้าย เร่งสร้างภาวะของความไร้ศีลธรรม จริยธรรมและมนุษยธรรม [Demoralization] ขึ้นแก่ผู้คนในสังคมส่วนรวม ดังเห็นได้จากโพลที่ออกมาว่าคนส่วนใหญ่ไม่รังเกียจคนชั่วครองแผ่นดิน ถ้าหากว่าคนชั่วเหล่านั้นให้คนอยู่ดีกินดีได้ ข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งที่เรียกว่า ประชานิยมนั้นคือฉิบหายนิยม ที่เป็นเครื่องมือของทุนและรัฐที่ฉ้อฉลกำลังสร้างความแตกแยก และความไม่เป็นธรรม รวมทั้งความเหลื่อมล้ำที่กำลังนำพาไปสู่การทำลายร้างชีวิตมนุษย์ด้วยกันเอง [Dehumanization] ในสังคมในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน และประเทศชาติในส่วนรวมก็จะกลายเป็นอาณานิคมทางเศรษฐกิจและปัญญาของพวกมหาอำนาจข้ามชาติทางเศรษฐกิจอย่างไม่ต้องสงสัย ในฐานะที่ข้าพเจ้าเคยเป็นคนหนึ่งในคณะกรรมการปฏิรูป ที่มีคุณอานันท์ ปันยารชุนเป็นประธาน ที่เห็นพ้องต้องกันว่า การแก้ไขให้เกิดความเป็นธรรมทางสังคมของประเทศนั้น ความจำเป็นที่ยิ่งยวดก็คือรัฐต้องจัดการให้มีการกระจายอำนาจการปกครองลงสู่ท้องถิ่น โดยให้องค์บริหารท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการให้ในการบริหารท้องถิ่นแทน ตัดหรือลดความสำคัญของส่วนภูมิภาคลง มติและความเห็นเช่นนี้ไม่ได้รับการขานรับทั้งรัฐบาลประชาธิปัตย์และรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่กำลังจะเข้ามามีอำนาจ แถมยังเลือกปฏิบัติด้วยการสนับสนุน แต่คณะกรรมการปรองดองโดยมีนายคณิต ณ นครเป็นประธาน เพราะดูมีประโยชน์แก่คนเสื้อแดงที่ออกมาเผาบ้านเผาเมืองและทำความผิด การไม่ยอมกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่นให้กับ อปท. เช่นนี้ คือการแสดงออกของความต้องการที่จะใช้ความเป็นศูนย์กลางในการใช้อำนาจและเงินอย่างไม่มีทางโปร่งใสได้ในการบริหารประเทศ และขณะเดียวกันก็ยอมสยบต่ออำนาจของทุนเหนือรัฐที่จะมาจากประเทศมหาอำนาจและบรรษัทข้ามชาติ ในขณะนี้ก็มีปรากฏการณ์บางอย่างทางเศรษฐกิจ การเมืองระหว่างประเทศที่ส่งให้เห็นการสมยอมหลาย ๆ อย่างในการที่จะทำให้มหาอำนาจทางเศรษฐกิจและเครือข่ายเข้ามาครอบครองประเทศไทยนับแต่เรื่องศาลโลกตัดสินให้มีการถอนกำลังทหารของทั้งไทยและเขมรออกจากพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร ซึ่งทางฝ่ายไทยเสียเปรียบนานาประการ เช่นกำหนดให้ทางฝ่ายไทยยอมให้ฝ่ายพลเรือนของเขมรไปทำการบูรณะจัดการปราสาทพระวิหารและพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรที่อยู่ในเขตประเทศไทยได้ แถมยังกำหนดให้พื้นที่ถัดจากบริเวณ ๔.๖ ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นบริเวณสระตราว ผามออีแดง และภูมะเขือเป็นพื้นที่ปลอดทหารเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ทางฝ่ายมรดกโลกเคลื่อนขยับเข้าผนวกเป็นเขตพื้นที่มรดกโลกปราสาทพระวิหารได้ในอนาคต ทั้งๆ ที่ทางไทยได้ถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกคณะกรรมการมรดกโลกแล้ว เพราะเบื้องหลังของคณะกรรมการชุดนี้นั้น ล้วนมีฝรั่งเศส อเมริกาและประเทศมหาอำนาจอื่น ๆ ล้วนหนุนหลังอยู่ทั้งสิ้น แต่ประการสำคัญที่เห็นในเวลานี้ก็คือ การที่รัฐบาลเยอรมันนียกเลิกการประกาศห้ามไม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษของรัฐบาลไทยเข้าประเทศเยอรมันได้ นับเป็นการทำลายและท้าทายอำนาจตุลาการอันเป็นเสาหลักที่สำคัญของการปกครองของประเทศอย่างชัดเจน และในขณะเดียวกันก็สนับสนุนให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเซลล์แมนในการขายแผ่นดินและทรัพยากรของประเทศไทยแทน ข้าพเจ้าคิดว่า ประเทศไทยและสังคมไทยกำลังอยู่ในภาวะที่โดดเดี่ยว พึ่งภาครัฐก็ไม่ได้ พึ่งภาคธุรกิจก็ไม่ได้ พึ่งความยุติธรรมจากต่างประเทศก็ไม่ได้ ก็คงต้องพึ่งตนเองเพื่อความอยู่รอด นั่นคือในหมู่ภาคประชาชน หรือภาคสังคมนั่นเองที่จะต้องมีการจัดตั้งกลุ่มที่เป็นองค์กรประชาสังคมขึ้น [Civic group] ที่ไม่เกี่ยวข้องกับทางรัฐและ อปท .( องค์กรปกครองท้องถิ่น ) แต่เดิมกลุ่มเหล่านี้มีอยู่ในรูปขององค์กรเอกชนที่เรียกว่า NGO กลุ่มเหล่านี้มีอยู่ในรูปมูลนิธิ และกลุ่มอิสระที่ได้รับทุนอุดหนุนจากองค์กรต่าง ๆ ทางธุรกิจ หรือสมาคมเงินบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา องค์กรเอกชนเหล่านี้ประกอบด้วยคนรุ่นหนุ่มสาวเป็นส่วนใหญ่ที่มีความรักมนุษย์ อยากหาความรู้และสนใจในการทำงานอย่างเสียสละเพื่อสังคม การดำเนินงานขององค์กรอิสระเหล่านี้ ที่ผ่านมาเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ประสบทั้งผลสำเร็จและล้มเหลว แม้ว่าในระยะหลังจะถูกอิทธิพลทางการเมืองเข้ามาแทรกก็ตาม แต่ก็ได้วางรากฐานของการเคลื่อนไหวเพื่อสังคมไม่น้อย แต่ที่สำคัญนั้นได้มีบุคคลที่ทำงานเป็นจำนวนไม่น้อยที่ขณะนี้อยู่ในวัยกลางคนและบางคนก็กลายเป็นผู้อาวุโสนั้น มีประสบการณ์ที่ดีทางสังคม เป็นผู้รู้จริงและมีจิตใจที่เสียสละและไม่ท้อถอยที่จะดำเนินการต่อไป คนเหล่านี้ได้ทำการผลักดันและขับเคลื่อนกระบวนการทางสังคม เพื่อให้มีการต่อรองกับอำนาจรัฐและอำนาจทุนในภาคประชาชน ในหลาย ๆ ท้องถิ่นอยู่แล้ว แต่ที่ยังไม่ได้ผลดีเท่าที่ควรนั้น เพราะเมื่อเวลามีการรวมตัวกันของคนในภาคประชาชนในการต่อสู้และต่อรองกับอำนาจรัฐและอำนาจทุนนั้น กลุ่ม NGO มักถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกมือที่สาม ที่เข้าไปยุแหย่ชาวบ้านให้มีการแตกแยก และทำให้ความเข้มแข็งและพลังต่อรองทางภาคประชาชนอ่อนแอไป ดังนั้นเพื่อความเข้มแข็งของภาคประชาชนในการที่จะต้องช่วยตนเองเพื่อต่อรองกับอำนาจรัฐและอำนาจทุนนั้น ก็มีการเคลื่อนไหวกันขึ้นใหม่ในการจัดตั้งกลุ่มประชาสังคม คือต้องประกอบด้วย กลุ่มหรือองค์กรที่เป็นตัวแทนของคนในชุมชนท้องถิ่นที่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากผลกระทบจากการเข้ามารุกล้ำและจัดการในทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองของท้องถิ่น กลุ่มหรือองค์กรนี้ต้องเป็นตัวยืน โดยมีกลุ่มอื่น ๆ เช่น กลุ่มองค์กรอิสระ [NGO] และมูลนิธิต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นเครือข่ายที่จะร่วมกันสร้างพลังต่อรอง ข้าพเจ้าเห็นว่าการเคลื่อนไหวทางสังคมของกลุ่มประชาสังคมที่มีอยู่แล้วนี้ ยังขาดความชัดเจนในเรื่องกลุ่มองค์กรที่เป็นตัวแทนของคนในชุมชนท้องถิ่น เพราะเท่าที่เข้าใจกันนั้นเห็นว่า องค์กรของชุมชนนั้นอยู่ในพื้นที่ทางการบริหารที่เรียกว่า หมู่บ้าน และตำบลภายใต้การควบคุมของอำเภอ รวมทั้งในหลาย ๆ แห่งก็อยู่ภายใต้ อบต. และ อบจ. ในปัจจุบัน องค์กรชุมชนดังกล่าวนี้ไม่อาจนับได้ว่าเป็นองค์กรทางประชาสังคม เพราะเป็นการจัดตั้งโดยอำนาจรัฐ เรื่ององค์กรชุมชนในพื้นที่การบริหารเช่นนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่แม้แต่คณะกรรมการปฏิรูปการปกครองก็ยังเข้าใจสับสน เพราะยังหยุดอยู่กับการกระจายอำนาจจากส่วนกลางมายังองค์กรปกครองท้องถิ่น หรือ อปท.แต่เพียงอย่างเดียว โดยคิดว่า อปท. คือตัวแทนของประชาชนในการบริหารปกครองตนเองและต่อรองกับอำนาจรัฐ ดังเห็นได้จากการแสดงความคิดเห็นของศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี ที่ให้ความสำคัญกับปลัด อบต.เป็นอย่างมาก ในความคิดเห็นของข้าพเจ้าและผู้หลักผู้ใหญ่หลายท่านคิดว่า อปท.ก็คือองค์กรของรัฐท้องถิ่นที่มีอำนาจในการบริหารและปกครอง ถ้าหากบุคคลที่ดำรงหน้าที่ต่างๆ ในองค์กรนี้ รวมทั้งผู้ที่เป็นกำนันและผู้ใหญ่บ้านที่ได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชนก็ตาม เป็นคนฉ้อฉลมาทำงานเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ก็คงไม่ต่างอะไรกันกับบรรดานักการเมืองและข้าราชการในรัฐบาลกลางปัจจุบัน เพราะเท่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ในคณะกรรมการของ อบต. และ อบจ. เอง ในหลายๆ ท้องถิ่นก็อยู่ในลักษณะที่เต็มไปด้วยการทุจริตเป็นประจำ เช่นรายได้ก็ใช้ไปในงานกับสร้างที่ทำการ หรือกิจกรรมเพื่อให้มีค่าตอบแทนเพื่อประโยชน์ส่วนตัวและพรรคพวก เพราะฉะนั้น ถ้ายังปล่อยให้สภาพการเช่นนี้ดำรงอยู่ การกระจายอำนาจจากส่วนกลางลงสู่ส่วนท้องถิ่นก็คงไม่บังเกิดประโยชน์ในเรื่องความเป็นธรรมและความมั่นคงทางสังคมแต่อย่างใด แต่ถ้าผลทำให้เกิดมีองค์กรประชาสังคมของชุมชนที่ผู้คนในชุมชนท้องถิ่นจัดตั้งขึ้นมาทำหน้าที่ต่อรองและตรวจสอบการดำเนินงานของทางฝ่าย อบต. และ อบจ.แล้ว ก็จะทำให้มีการควบคุมจากภาคประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สมัยก่อนการปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นในสมัยรัชกาลที่ ๕ ยังไม่มีการแบ่งเขตการบริหารออกเป็นหมู่บ้าน ตำบลและอำเภอดังเช่นทุกวันนี้ แต่มีแต่ชุมชนธรรมชาติที่เรียกกันว่า บ้านและเมือง เป็นชุมชนสองระดับที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่นหนึ่ง ๆ ทั้งบ้านและเมืองเป็นสองสิ่งที่แยกกันไม่ออก เพราะสังคมในภูมิภาคนี้พัฒนาขึ้นจากกระบวนการสร้างบ้านแปงเมือง คือในท้องถิ่นหนึ่งซึ่งเป็นนิเวศวัฒนธรรมนั้นจะมีหลายบ้าน [Village] แต่ละบ้านก็จะมีวัดเป็นศูนย์กลาง ซึ่งวัดและชื่อบ้านมักมีชื่อเดียวกัน คนในชุมชนเท่านั้นที่จะรู้ว่าบ้านของตนเองมีขอบเขต และขนาดของชุมชนเป็นอย่างใด บ้านเป็นชุมชนที่คนเกิด โต และตาย อีกทั้งคนในชุมชนต่างมีความสัมพันธ์กันทางการแต่งงาน หรือการเป็นพี่น้องร่วมบ้าน แม้ว่าคนเหล่านั้นอาจจะตีความเป็นมาทางเผ่าพันธุ์และศาสนาที่แตกต่างกันก็ตาม บ้านเป็นชุมชนที่ผู้อยู่อาศัยอยู่ร่วมกันมาไม่น้อยกว่า ๓ ชั่วคน ซึ่งอาจเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า บ้านเกิด ความเป็นบ้านเกิดในทางโครงสร้างกายภาพ แลเห็นได้จากการมีอยู่ของบ้าน วัด และแหล่งเผาศพหรือฝังศพ ชื่อบ้านและวัดเป็นชื่อเดียวกัน ตั้งขึ้นกำหนดขึ้นโดยคนในชุมชน โดยดูตามลักษณะภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมธรรมชาติเป็นสำคัญ วัดเป็นของคนในชุมชนช่วยกันสร้าง อนุรักษ์และพัฒนาปฏิสังขรณ์ ในขณะที่แหล่งฝังศพ ป่าช้าและเชิงตะกอนเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นว่าคนในชุมชนอยู่อาศัยได้จนถึงตาย อย่างเช่นชุมชนบ้านหลายแห่งในภาคเหนือ ภาคอีสานและภาคใต้ยังมีการรักษาสถานที่และประเพณีการฝังศพและเผาศพของคนในบ้านเกิดของคนอยู่ หลายคนที่ออกไปทำงานข้างนอกอยากจะกลับมาตายและเผาศพที่บ้านเกิดของตน ดูเหมือนชุมชนอิสลามแทบทุกแห่งยังคงรักษาโครงสร้างของชุมชนในเรื่องวัดหรือมัสยิดกับแหล่งฝังศพที่เรียกว่า กูร์โบ ได้ดีกว่าที่อื่น ๆ นอกจากโครงสร้างทางกายภาพดังกล่าว ก็ยังมีขนบธรรมเนียมและประเพณีและกฎข้อห้ามต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กับเวลาและสถานที่ ซึ่งเรียกรวมๆ ว่า จารีต เป็นกลไกที่สร้างความเกาะเกี่ยวให้คนในชุมชนต้องปฏิบัติร่วมกันและรู้สึกว่าเป็นเจ้าของร่วมกัน ดังเช่นประเพณีเกี่ยวกับชีวิตและประเพณีสิบสองเดือนเป็นต้น คนในชุมชนได้รับการเรียนรู้ในเรื่องจารีตและประเพณีเหล่านี้จากการอยู่ร่วมกัน และจากการถ่ายทอดของคนรุ่นเก่าสู่รุ่นใหม่ในรูปแบบที่เรียกว่า การปลูกฝังทางวัฒนธรรม [Enculturation] อันนับเป็นการศึกษาอย่างหนึ่งเพื่อให้รู้จักความเป็นมนุษย์ เป็นการศึกษาทางด้านสังคมวัฒนธรรม ที่ทำให้คนได้รู้จักตนเอง รู้จักครอบครัว เครือญาติ เพื่อนบ้าน ก่อนที่จะไปเรียนรู้เรื่องราวจากภายนอกทางเศรษฐกิจและการเมือง การอยู่ร่วมกันมาหลายชั่วคนและการรับรู้ในเรื่องความเป็นมาของชุมชนและการยอมรับกติกาในการอยู่ร่วมกันนี้ จะทำให้เกิดสำนึกร่วมกันว่าเป็นคนเกิดในบ้านเดียวกันและเป็นพวกเดียวกัน [Consciousness of the kind] และความผูกพันในท้องถิ่น [Sense of belonging] ที่เรียกว่า เมืองนอน ท้องถิ่นเป็นพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่แลเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนในท้องถิ่นเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติในนิเวศธรรมชาติเดียวกัน และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ ความสัมพันธ์ทั้งสามมิตินี้ทำให้ท้องถิ่นกลายเป็นนิเวศวัฒนธรรมที่ในทางสังคมและการเมืองเรียกว่า บ้านและเมือง หรือพูดย่อ ๆ ว่า บ้านเมือง แต่ถ้าพูดได้มีความหมายลึกลงไปก็เป็น บ้านเกิดเมืองนอน นั่นเอง บ้านและเมืองเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออกในกระบวนการบูรณาการทางสังคมและวัฒนธรรมขึ้นเป็นรัฐและประเทศชาติ เพราะแต่ละท้องถิ่นหรือในนิเวศวัฒนธรรมหนึ่ง ๆ นั้นจะมีชุมชนที่เรียกว่าบ้านหลายชุมชน ซึ่งอาจจะมีการเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ได้ตามสถานการณ์ทางสังคมในแต่ละสมัยเวลา แต่จะมีชุมชนที่เป็นเมืองอยู่เพียงแห่งเดียวเพื่อรวมศูนย์ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและวัฒนธรรม เพราะชุมชนบ้านแต่ละแห่งไม่อาจอยู่ได้ตามลำพัง หากมีความสัมพันธ์กันทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมตลอดเวลา ซึ่งก็ต้องอาศัยเมืองเป็นศูนย์กลาง โดยเฉพาะสถานที่และย่านที่เป็นตลาดที่ทำให้ชุมชนเมืองมีขนาดใหญ่ มีคนหลายชาติพันธุ์ หลายภาษาหลายศาสนาและหลายอาชีพ ที่อาจมีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์แตกต่างกัน บ้านและเมืองเป็นชุมชนที่ต้องพึ่งพิงกันเพื่อการอยู่รอด ความต่างกันระหว่างบ้านกับเมืองในเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนก็คือ บ้านเป็นชุมชนที่ผู้คนมีความใกล้ชิดสนิทกัน เช่น เป็นญาติพี่น้องกันหรือเป็นเพื่อนบ้านเดียวกัน มีอาชีพไม่ต่างกัน เช่นเป็นคนชาวนา ชาวสวน ชาวไร่ ทำให้มีวิถีชีวิตและความคิดเห็นที่เหมือนกันคล้องจองกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นสำนึกร่วมกันคล้าย ๆ กับกลไกของเครื่องจักรเครื่องยนต์ [Mechanical solidarity] ในขณะที่เมืองเป็นชุมชนที่มีคนหลายอาชีพหลายที่มาหลายชาติพันธุ์แต่ต้องอยู่ร่วมกันเพื่อมีชีวิตรอดร่วมกันในลักษณะที่ต้องพึ่งพิงกัน เสมือนอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทำให้มีสำนึกร่วมกันในลักษณะที่เป็นอินทรีย์ของสิ่งมีชีวิต [Organic solidarity] โครงสร้างและความสัมพันธ์ทางสังคมของชุมชนบ้านและเมืองดังกล่าวคือ โครงสร้างพื้นฐานในความเป็นมนุษย์อันเป็นสัตว์สังคมที่พัฒนาขึ้นในสังคมเกษตรกรรมที่เรียกว่า สังคมชาวนา [Peasant society] อันมีเวลายาวนานมากว่าพันปีในดินแดนประเทศไทยและประเทศใกล้เคียง เป็นโครงสร้างที่บูรณาการคนที่หลากหลายทางชาติพันธุ์และความเป็นมา ทั้งจากข้างนอกและข้างในให้เป็นกลุ่มเหล่าเดียวกันหลายยุคหลายสมัย ปัจจุบันกำลังอยู่ในสภาพเปลี่ยนแปลง อันเนื่องมาจากอิทธิพลทางเศรษฐกิจ การเมืองที่มาจากภายนอก โดยเฉพาะจากทางตะวันตกที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านเป็นสังคมอุตสาหกรรมมาในยุคโลกาภิวัตน์ของทุกวันนี้ ความเป็นชุมชนบ้านและเมืองอันเป็นชุมชนทางธรรมชาติและวัฒนธรรมกำลังอยู่ในสภาพล่มสลาย เพราะการครอบงำจากอำนาจในการบริหารและการปกครองของรัฐในเรื่องการปกครองท้องถิ่นที่มีมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ที่ต่อมาจนถึงสมัยปัจจุบันในรัฐบาลประชาธิปไตยสามานย์ที่รวมศูนย์ และทุกสิ่งทุกอย่างต้องมาจากศูนย์กลางและเบื้องบน ในระบบอำมาตย์เจ้า มาถึงอำมาตย์ไพร่ในรัฐบาลนอมินีของ พ . ต . ท . ทักษิณ การล่มสลายของสังคมชาวนาอันเป็นสังคมมนุษย์มาเปลี่ยนสภาพ [Transform] เป็นสังคมอุตสาหกรรมทุนนิยมอันเป็นสังคมเดรัจฉานนั้น เหตุใหญ่มาจากการเคลื่อนย้ายและโยกย้ายถิ่นบ้านเกิดเมืองนอนไปสู่แหล่งทำงาน เช่นโรงงานอุตสาหกรรม แหล่งธุรกิจ แหล่งท่องเที่ยว บริการเขตเมืองและแหล่งเกษตรอุตสาหกรรมอยู่ตลอดเวลา โดยแทบไม่มีโอกาสปักหลักให้อยู่ติดที่เป็นหลักแหล่ง ผู้ที่เคลื่อนย้ายถิ่นฐานเหล่านี้แทบไม่มีหัวนอนปลายตีน และไม่ยอมรับกติกาทางจารีตประเพณีของชุมชนในท้องถิ่นที่ตนเข้าไปอยู่ บางคนเป็นนายทุน เป็นคนมีเงินกว้านซื้อที่อยู่อาศัย แย่งทรัพยากรและที่ทำกินของคนที่อยู่มาก่อน เกิดเป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ เป็นกำนัน อบต. จนกลายเป็นนักธุรกิจการเมืองในท้องถิ่นไป กล่าวได้ว่ามาในปัจจุบันนี้แทบไม่มีชุมชนเก่าแก่ในท้องถิ่นใดเลยที่สามารถบูรณาการให้คนที่มาจากข้างนอกกลายเป็นคนในท้องถิ่นได้เลย แถมยังถูกเบียดเบียนให้ออกไปอยู่ในที่อื่น ๆ เสียด้วย โดยเฉพาะคนในท้องถิ่นที่ขายไร่นาและที่ดิน เลิกทำเกษตรกรรมแล้วผันตัวมาเป็นแรงงานให้กับแหล่งอุตสาหกรรมและแหล่งประกอบการของบรรดานายทุนในท้องถิ่นใดที่มีอุตสาหกรรมหนักเข้าไปดำเนินการก็จะมีการจัดการสร้างแหล่งที่อยู่ใหม่กับคนทำงานร้อยพ่อพันแม่เหล่านี้ในนามของนิคมอุตสาหกรรม รวมทั้งการเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ดของบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม อะไรต่ออะไรอีกมากมายภายใต้สังคมอุตสาหกรรม มนุษย์กลายเป็นปัจเจกชนมีตัวตนหรืออัตตาสูง เน้นความสำคัญทางวัตถุ เห็นอะไรก็อยากได้อยากเอา ถึงแม้จะมีการรวมกลุ่มก็เป็นเพียงเพื่อหาผลประโยชน์ร่วมกัน และมีการขัดแย้งกันจนเป็นปรปักษ์ (faction) และไม่เห็นความสำคัญระหว่างคนกับคน และไม่เห็นคนกับธรรมชาติ เพราะมุ่งหน้าทำลายสภาพแวดล้อมแต่เพียงอย่างเดียว และไม่เห็นคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติในทางที่ดีงาม เช่น การยึดมั่นและสยบในอำนาจความเชื่อทางพระศาสนา อันเป็นสถาบันที่จรรโลงมนุษยธรรม ศีลธรรมและจริยธรรม นอกจากการพึ่งแต่เพียงความเชื่อทางไสยศาสตร์ เพื่อเอาตัวรอดแต่เพียงอย่างเดียว สังคมอุตสาหกรรมที่เป็นอยู่ในขณะนี้คือ สังคมไร้ราก ไร้แผ่นดินเกิด กำลังอบรมสั่งสอนให้คนรุ่นใหม่ที่เป็นเยาวชนถูกครอบงำไปด้วย ไม่ว่าการศึกษาตั้งแต่เด็กชั้นประถมถึงมัธยม และขั้นอุดมศึกษาตามมหาวิทยาลัยก็กำลังผลิตคนรุ่นใหม่ที่ไร้พรมแดนและไร้รากเช่นนี้ เพราะฉะนั้นการอยู่รอดของสังคมมนุษย์ในประเทศไทยจึงหลีกเลียงไม่ได้ที่จะต้องหันกลับไปทบทวนพื้นฐานความเป็นมนุษย์ในสังคมที่มีมาในอดีตก่อน [Go back to the basic] นั่นคือหันกลับไปทบทวนสังคมชาวนาและชีวิตวัฒนธรรมของผู้คนในชุมชนว่าเคยมีความราบรื่นและมีดุลยภาพในการต่อรองกับอำนาจทางเศรษฐกิจ การเมืองที่มาจากภายนอกอย่างไร ชุมชนที่ว่านั้นคือชุมชน บ้านและเมือง ซึ่งตั้งขึ้นโดยคนในสังคมท้องถิ่น เป็นพื้นที่ทางวัฒนธรรม ไม่ใช่พื้นที่การบริหารที่กำหนดโดยรัฐในรูปแบบหมู่บ้าน ตำบลและอำเภอ ชุมชนบ้านจะต้องมีองค์กรชุมชนที่คนในจัดตั้งขึ้นประกอบด้วยบุคคลอาวุโสที่มีความรู้ มีคุณธรรมเห็นโลกมามาก ผู้นำทางศาสนา เช่นพระเจ้าอาวาส บุคคลที่เป็นผู้ใหญ่บ้านที่ชาวบ้านเลือกกันเองโดยอาศัยพื้นฐานของการเป็นคนภายในที่มีความประพฤติและมาจากครอบครัวหรือตระกูลที่คนยอมรับ รวมทั้งบุคคลที่ดีมีความเสียสละ มีพฤติกรรมที่เห็นได้ เช่น ครู และคนที่มีความสามารถในกิจกรรมต่างๆ มาเป็นกรรมการชุมชน องค์กรดังกล่าวนี้ในสังคมมุสลิมเรียกว่า สุเหร่า มีสถานที่พบปะประชุมกันที่มัสยิด ในขณะที่องค์กรของชุมชนทางพุทธประชุมกันที่วัด เช่นที่ศาลาการเปรียญ เป็นต้น หลายบ้านกลายเป็นเมือง เพราะต้องอยู่ในภูมินิเวศและนิเวศวัฒนธรรมเดียวกัน การจัดการเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างราบรื่นก็จะมีสภาผู้อาวุโส อันประกอบด้วยผู้อาวุโสของแต่ละบ้านมาพบปะหารือกันในเรื่องการใช้ทรัพยากรร่วมกัน การจัดการกิจกรรมสาธารณะ การป้องกันอุทกภัย พายุ อัคคีภัย โรคระบาดรวมไปถึงความขัดแย้งพิพาทระหว่างกัน สภาอาวุโสดังกล่าวนี้ในสังคมมุสลิมเรียกสภาซูรอ เป็นสิ่งที่ชาวบ้านชาวเมืองให้ความเคารพและแลเห็นคุณค่า ทั้งองค์กรชุมชนบ้านและสภาผู้อาวุโสของเมืองดังกล่าวนี้คือกลุ่มประชาสังคม อันเป็นพลังในการจัดการชีวิตความเป็นอยู่ร่วมกันของคนในสังคมเกษตรกรรม กลุ่มพลังดังกล่าวนี้จะต้องได้รับการฟื้นฟูจนมีการยอมรับ [Institutionalization] ให้เป็นสถาบันที่มีอำนาจแทรกแรง [Sanction] ในการต่อรองจากอำนาจทางเศรษฐกิจการเมืองที่มาจากรัฐและจากทุนเหนือรัฐ องค์กรประชาสังคมทั้งบ้านและเมืองดังกล่าวนี้ คือพื้นฐานของการสร้างขึ้นโดยประชาชนภายในชุมชนเพื่อการอยู่รอดร่วมกันอย่างเสมอภาคที่มีการจัดการการเลือกตั้งโดยคนภายในร่วมกัน นับเป็นองค์กรแบบประชาธิปไตยโดยธรรมชาติ ข้าพเจ้าสังเกตว่าในการประชุมหารือกันในเรื่องการกระจายอำนาจจากศูนย์กลางมายังท้องถิ่นนั้น ดูเหมือนจะไม่เห็นและไม่ยอมรับในองค์กรประชาสังคมที่ว่านี้ แต่มักจะมองว่าเป็นสิ่งเบ็ดเสร็จที่มีอยู่ใน อบต. และ อบจ. หมดแล้ว เพราะคิดว่าบุคคลที่เข้ามาปฏิบัติการใน อปท. นั้น คือบุคคลที่คนในชุมชนเลือกเข้ามาเป็นกรรมการก็พอแล้ว ปัญหาจึงมีอยู่ว่าถ้าคนที่เลือกเข้ามา เป็นคนไม่ดีได้รับเลือกมาจากการหาเสียงจากสมัครพรรคพวกที่มีอิทธิพลหรือการซื้อเสียงก็จะได้คนที่ทุจริตเข้ามาทำงาน และเบียดเบียนประชาชนอย่างที่แลเห็นอยู่ใน อบต. หรือในคณะกรรมการตำบลที่มีกำนันเป็นผู้มีอำนาจอย่างในขณะนี้ แล้วใครหรือองค์กรใด ๆ ในภาคสังคมจะควบคุมและต่อรองกับ อบต. หรือกำนันในขณะนี้เล่า เพราะแม้แต่อำนาจรัฐที่มาจากส่วนกลางก็ไม่อาจจะจัดการได้ อันเนื่องมาจากคนที่เป็น อบต. และกำนันผู้ใหญ่บ้าน ล้วนเป็นฐานเสียงสำคัญของนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยสามานย์ของทุกวันนี้ องค์กรบ้านและเมืองอันเป็นพลังของภาคประชาชนหรือภาคสังคม มักถูกมองข้ามไปจากบรรดานักวิชาการและนักการเมืองที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่ได้รับการอบรมมาจากทางตะวันตก โดยเฉพาะจากอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส คนเหล่านี้เห็นว่าเป็นสิ่งล้าหลังหมดยุคไปแล้ว มักเป็นการปฏิเสธที่ควบคู่ไปกับการไม่ยอมรับเศรษฐกิจเพียงพอของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทีเดียว แต่คนเหล่านี้ก็ไม่เคยสนใจว่า คนในท้องถิ่นอีกหลายแห่งที่หันมาทบทวนและทำการเคลื่อนไหว อย่างเช่นชุมชนท้องถิ่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จัดการให้มีเบี้ยกุดชุมขึ้นมาใช้ในการจัดการเศรษฐกิจภายในของตนเอง จนเจ้าหน้าที่ของรัฐและนักวิชาการแบบตะวันตกมีการวิพากษ์วิจารณ์ไปในทำนองไม่ดี ในทุกวันนี้ องค์กรบ้านและเมืองอันเป็นการจัดตั้งขึ้นโดยคนในท้องถิ่นจะยังไม่เป็นที่ตระหนักของคนในชุมชน อันเนื่องมาจากการครอบงำของความคิดที่ว่า ชุมชนคือหมู่บ้าน ตำบลและอำเภอก็ตาม แต่ก็มีการเคลื่อนไหวจากกลุ่มคนผู้รู้ในภาคประชาชน หรือภาคสังคมอีกมากมาย เช่นกลุ่มของ NGO และบรรดามูลนิธิต่าง ๆ ทั้งจากภายในประเทศและนอกประเทศ ก็ได้ทำให้เกิดการตื่นตัวขึ้นของคนในชุมชนในหลาย ๆ ท้องถิ่นเกือบแทบทุกภูมิภาค ส่วนมากก็เป็นชุมชนที่มีรากเหง้ามาแต่เดิม ที่ยังแลเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนในสังคม คนกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติในทางศาสนาและพิธีกรรม แต่ที่สำคัญยังสืบเนื่องทางภูมิปัญญาท้องถิ่นที่คนรุ่นใหม่ ๆ ยังรับรู้และเห็นคุณค่า การเคลื่อนไหวและตื่นตัวของคนในท้องถิ่นที่ว่านี้ คนระดับขุนที่เป็นฝ่ายปกครอง ฝ่ายบริหาร นักวิชาการและนักธุรกิจมักมองข้ามไปว่าล้าหลัง ด้อยพัฒนา แต่มองออกไปในระดับข้ามชาติ สนับสนุนให้คนจากภายนอกเข้ามาลงทุนมาตั้งหลักแหล่งอันเป็นการนำคนจากภายนอกทั้งระดับชนชั้นกลางและระดับแรงงานเข้ามา ทำให้การเพิ่มประชากรในประเทศหาได้มาจากการเกิดไม่ หากเป็นการโยกย้ายถิ่นฐานจากภายนอกเข้ามา ซึ่งมีมานานไม่ต่ำกว่า ๒๐ ปีที่ผ่านมา จนทำให้ประชากรรุ่นใหม่ เด็กรุ่นใหม่ไม่ได้เรียนรู้หรือรับรู้ความเป็นมาของบ้านเมืองแต่อย่างใด ขาดความรู้ทางสังคมและวัฒนธรรม มุ่งแต่เรียนรู้สิ่งที่ห่างตัวในทางเศรษฐกิจ การเมือง จนมีสำนึกเป็นปัจเจกเดรัจฉาน ผิดแผกความเป็นมนุษย์ไป ความจำเป็นอย่างยิ่งยวดในทุกวันนี้ก็คือ ทำอย่างไรจะฟื้นความเป็นมนุษย์ที่เคยอยู่ร่วมกันในชุมชนแบบบ้านและเมืองที่เคยมีกลับมา โดยไม่จำเป็นต้องถอยหลังเข้าคลองเป็นแบบเดิมแบบเก่า แต่เป็นแบบใหม่ที่ยังคงความเป็นมนุษย์ในฐานะสัตว์สังคมอยู่ เพราะแม้แต่บรรดาประเทศทางตะวันตกไม่ว่าอเมริกาและอังกฤษก็ยังมีชุมชนท้องถิ่นดังกล่าวนี้อยู่เป็นชุมชนทางวัฒนธรรมที่แลเห็นทั้งในเขตเมืองและชนบท แต่ประเทศไทยมีแต่เพียงชุมชนทางราชการ หรือชุมชนแบบบ้านจัดสรร และคอนโดมิเนียมเท่านั้น จากประสบการณ์ของข้าพเจ้าในการทำงานทางด้านมานุษยวิทยาโบราณคดีและประวัติศาสตร์ท้องถิ่น การฟื้นฟูชุมชนธรรมชาติในท้องถิ่นท่ามกลางความล่มสลายของชุมชน ครอบครัวและสิ่งแวดล้อมในขณะนี้ไม่ยาก เพราะยังมีรากเหง้าของอดีตอยู่ในแทบทุกภูมิภาค แต่ต้องเริ่มต้นด้วยการปลุกสำนึกร่วมของความเป็นคนที่เกิดในท้องถิ่น คือบ้านเกิดเมืองนอนกลับมา โดยใช้การขับเคลื่อนให้มีการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น การจัดการให้มีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นโดยคนในท้องถิ่นเองเพื่อนำไปสู่การถ่ายทอดความรู้และสำนึกร่วมไปยังเด็กที่เป็นเยาวชนรุ่นใหม่ด้วยการทำให้เกิดหลักสูตรขั้นพื้นฐานของท้องถิ่นและการอบรมยุวมัคคุเทศก์ให้กับเยาวชนเพื่อเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นโดยคนท้องถิ่นคือการถ่ายทอดความรู้ทางชีวิตวัฒนธรรม อันเป็นชีวิตร่วมของคนในบ้านเกิดเมืองนอนเดียวกัน จากคนรุ่นเก่า รุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตายายมายังคนขั้นลูกหลานและเหลน เป็นประวัติสังคมที่มีชีวิตที่สร้างให้เกิดสำนึกร่วม จะเป็นสิ่งนำไปสู่การจัดตั้งองค์กรชุมชนที่เป็นพลังของประชาสังคมโดยคนใน ทำให้เกิดการเลือกเฟ้นและเลือกตั้งคนที่ดีมีความรู้และการเสียสละในชุมชนเข้ามาทำงานในองค์กร โดยเฉพาะบุคคลที่ทำหน้าที่ปกครองเป็นผู้ใหญ่บ้าน จะต้องเป็นคนที่สังคมท้องถิ่น รู้จักและแลเห็นคุณสมบัติเหมาะสม ไม่ใช่คนจากที่อื่นที่เข้ามาหาเสียง ซื้อเสียงและผ่านการเลือกตั้งเข้ามาเป็นผู้นำ เพราะถ้าหากไม่ได้คนในที่ดีแล้ว ก็อาจเป็นพิษเป็นภัยได้ เมื่อคนเหล่านี้ถูกคัดเลือกเข้าไปเป็นตัวแทนทำงานในองค์การบริหารท้องถิ่น เป็น อบต. และ อบจ. เป็นต้น การทำให้เกิดองค์กรชุมชนทางวัฒนธรรมดังกล่าวนี้ จะทำให้เกิดกลุ่มพลังจากภายใน อันเนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงจากผลกระทบทางเศรษฐกิจและการเมืองจากภายนอก กลุ่มพลังนี้จะรวมพลังกับกลุ่มประชาสังคมที่เป็นเครือข่าย ร่วมมือและประสานกันกับกลุ่มอื่น ๆ ในท้องถิ่นอื่นกับกลุ่ม NGO และบรรดามูลนิธิต่าง ๆ เพื่อให้เกิดอำนาจต่อรองกับฝ่ายบริหาร ไม่ว่าจะเป็น อปท . หรือจากรัฐ หรือจากทุนขนาดใหญ่ เพื่อความอยู่รอดของผู้คนในแต่ละท้องถิ่น อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • การขาดสติทางวัฒนธรรม (culture shock) ในสังคมไทยหลังน้ำท่วมใหญ่

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ต.ค. 2554 ในฐานะนักมานุษยวิทยาสังคม (social anthropologist) ข้าพเจ้าคิดว่าเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในประเทศครั้งนี้ เกิดภาวะหนึ่งที่ทำให้ผู้คนในสังคมเป็นจำนวนมากแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เกิดภาวะสติแตกที่นักมานุษยวิทยาเรียกว่า การขาดสติทางวัฒนธรรม (culture shock) ขึ้น โดยเฉพาะคนกลุ่มใหม่ ยุคใหม่ของสังคมอุตสาหกรรมที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานบ้านช่องและเข้ามาทำงานในสถานที่ในแหล่งอุตสาหกรรม แหล่งบริการธุรกิจในเขตเมืองและชานเมือง เช่นคนที่มาอยู่ตามคอนโดมีเนียม บ้านจัดสรร และแหล่งนิคมอุตสาหกรรม คนเหล่านี้ถูกครอบงำทางความคิด ค่านิยมและโลกทัศน์แบบตะวันตกที่เป็นวัตถุนิยม ความเป็นปัจเจกเชื่อมั่นในประสิทธิภาพและประสิทธิผลของความรู้ทางเทคนิควิทยาและเทคโนโลยีที่เน้นปัจจุบันและอนาคต แต่ที่สำคัญก็คือถูกอบรมให้อหังการแบบฝรั่งตะวันตกที่เชื่อว่าจักรวาลนี้จะควบคุมได้ด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อันแตกต่างไปจากการมองโลกของคนตะวันออกแต่เดิมที่เห็นว่ามนุษย์ต้องอยู่อย่างสยบและกลมกลืนกับจักรวาล เพราะไม่มีพลังอำนาจใด ๆ ที่จะต่อต้านและควบคุมจักรวาลได้ กลุ่มเก่าคือคนที่สยบต่อจักรวาล คือบรรดาผู้คนที่อยู่ในท้องถิ่นแต่เดิมที่เป็นสังคมเกษตรกรรม คนเหล่านี้ไม่กลัวน้ำและไม่หนีน้ำ มีการปรับชีวิตและที่อยู่อาศัยให้ไปกับน้ำได้ และเมื่อเกิดอุทกภัยขึ้นในครั้งนี้ก็ไม่ตระหนกตกใจจนขาดสติ ดังเช่นชาวบ้านชาวเมืองในเขตลุ่มน้ำนครชัยศรีหลายท้องถิ่นที่บอกว่า น้ำมาแล้วก็ไปตามธรรมชาติ เพราะคนเหล่านี้อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเหล่าทางสังคมไม่แปลกแยกเป็นปัจเจก ช่วยเหลือกันในการจัดการที่อยู่อาศัย เมื่อเกิดน้ำท่วมดูแลความปลอดภัยระหว่างกัน รวมทั้งการจัดหาที่หลบภัยพักพิงชั่วคราวระหว่างกัน หลายคนที่ข้าพเจ้าพูดคุยด้วยเห็นว่าปีต่อๆ ไปน้ำอาจจะมามากกว่านี้และรุนแรงกว่านี้ แต่จะไม่อพยพเคลื่อนย้ายไปไหน แต่จะปรับโครงสร้างท้องถิ่นที่อยู่อาศัยให้ไม่กีดขวางทางน้ำ มีการสร้างบ้านเรือนให้สูงขึ้น ต่อเรือและสร้างแพขึ้นเพื่อการคมนาคมและเป็นที่อยู่อาศัยชั่วคราว รวมทั้งพัฒนาการเพาะปลูกพืชพันธุ์ต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับนิเวศลุ่มน้ำลำคลองขึ้นมาใหม่ โดยไม่ต้องพึ่งพิงอาหารอุตสาหกรรมประเภทแดกด่วนหรือสะดวกแดกที่แปะเปื้อนด้วยมลพิษและสารก่อมะเร็ง ชาวบ้านรุ่นใหม่หลายคนคิดไหมว่า การใช้พื้นที่ริมลำน้ำหรือหนองน้ำตามหน้าวัดให้เป็นเขตอภัยทานเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาธรรมชาติแทนกระชังของพวกนายทุนที่เลี้ยงปลาด้วยอาหารเคมี และสร้างมลภาวะให้กับพื้นน้ำธรรมชาติ เมื่อปลาโตแพร่พันธุ์และออกไปจากเขตอนุรักษ์ ชาวบ้านก็จะได้จับไปกินไปขายได้ ข้าพเจ้าแลเห็นสติปัญญาบังเกิดขึ้นกับผู้ประสบอุทกภัยที่มีรากเหง้ารู้จักอดีตและรู้จักตนเองเหล่านี้ ทำนองตรงข้ามบรรดากลุ่มคนที่ถูกครอบงำด้วยความเป็นอยู่สมัยใหม่ในสังคมอุตสาหกรรมที่คิดว่าจะควบคุมจักรวาลด้วยเทคโนโลยีกลายเป็นคนสติแตกจากอุทกภัยครั้งนี้ เพราะเวลาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่มีเทคโนโลยีอันใดที่จะต่อต้านพลังน้ำที่ท่วมบ่ามาอย่างมหาศาลได้ คนเหล่านี้มักเป็นคนที่ลืมอดีตไม่สนใจอดีต โดยเฉพาะพวกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานตามแหล่งอุตสาหกรรมและในเมืองสมัยใหม่เหล่านี้ มักเคลื่อนย้ายมาจากท้องถิ่นต่าง ๆ แบบร้อยพ่อพันแม่ ไม่ใส่ใจและสนใจที่จะรู้ภูมิหลังของถิ่นฐานใหม่นี้อย่างไร อีกทั้งอยู่กันอย่างเป็นปัจเจกไม่เป็นกลุ่มเหล่าทางสังคม (social groups) เป็นชุมชนท้องถิ่นแต่อย่างใด ภาวะดังกล่าวแลเห็นได้จากเมื่อภัยพิบัติมาถึงก็รอแต่พึ่งรัฐและส่วนกลาง หรือไม่ก็หลบหนีเอาตัวรอด เกิดขโมยขโจรลักทรัพย์สิน สร้างความเสียหาย เกิดความอดอยากและถูกทอดทิ้ง ที่น่าสังเวชก็คือบรรดาคนมีเงินมีทองที่อยู่ตามบ้านจัดสรรราคานับหลายล้านและรถราพาหนะล้วนราคาแพงจมน้ำเสียหายหมด หลายแห่งมีการรวมกลุ่มกันป้องกันน้ำไม่ให้เข้าแหล่งที่อยู่อาศัยของตน เลยทำให้น้ำไปท่วมบ้านคนอื่นก็เกิดทะเลาะวิวาทกัน เกิดมีกลุ่มปรปักษ์ (factions) ขึ้นมากมาย เลยไม่เกิดสำนึกร่วมที่จะรวมพลังกันป้องกันน้ำเพื่อส่วนรวมของท้องถิ่น ปรกกฎการณ์เช่นนี้เป็นสิ่งแสดงให้เห็นว่าผู้คนในสังคมอุตสาหกรรมเหล่านี้ต่างคนต่างอยู่กันอย่างไม่มีความเป็นชุมชน (------) เพราะไม่มีโครงสร้างสังคมและสำนึกร่วมแต่อย่างใด การที่จะคิดทำอะไรเพื่อช่วยตัวเองและพึ่งพิงกันก็ไม่มี รอแต่ความช่วยเหลือจากทางรัฐและภายนอกแต่อย่างเดียว คนเหล่านี้คือผู้ขาดสติทางวัฒนธรรมที่คิดว่าน้ำท่วมครั้งนี้เกิดความเสียหายจนอยู่ไมได้แล้ว และอยากที่จะทิ้งถิ่นย้ายไปอยู่ที่อื่น ดังเช่นในช่วงเวลาวิกฤติพากันหนีน้ำไปเช่าคอนโด หรือโรงแรมตามแหล่งท่องเที่ยวที่คนรู้จัก เช่นที่ปากช่อง หัวหิน ชะอำ พัทยากันอย่างมากมาย บางคนก็พากันไปหาที่ซื้อที่กันตามจังหวัดต่าง ๆ โดยเฉพาะทางภาคเหนือ เป็นต้น ดูเหมือนว่าความตระหนกแตกตื่นดังกล่าวนี้เข้าทางบรรดานักธุรกิจการเมืองที่มีสิทธิเสียงและอำนาจอยู่ในรัฐบาลที่ไปเที่ยวกว้านซื้อที่ในต่างจังหวัดไว้เก็งกำไร แล้วสร้างกระแสความคิดในการย้ายเมืองหลวงขึ้น เพราะเห็นว่ากรุงเทพฯ อยู่ไม่ได้แล้ว โดยเสนอให้ย้ายไปอยู่ที่นครนายกแทน เรื่องความคิดที่จะย้ายกรุงเทพฯ ไปอยู่ที่อื่นนั้น เคยมีมาแล้วครั้งหนึ่งราว ๑๕-๑๖ ปีมานี้ ที่มีพวกนักวิชาการ นักการเมือง นักธุรกิจเห็นว่ากรุงเทพฯ เป็นมหานครที่แออัด จราจรติดขัด เกิดมลภาวะทั้งอากาศและขยะจนเกินแก้ ควรปล่อยให้น่าไปเองโดยการย้ายไปตั้งหลักแหล่งเมืองใหม่ในที่อื่น แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะกรุงเทพฯ ก็ยังเป็นเมืองที่แออัดและยิ่งเน่าเสียกว่าแต่เดิม และกลายเป็นแหล่งสะสมของคนร้อยพ่อพันแม่ในสังคมเมืองแบบอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น คอนโดมีเนียม บ้านจัดสรร ศูนย์การค้าแหล่งเริงรมย์ขึ้นมากมาย คนเพิ่มขึ้นกว่าแต่เดิมหลายเท่า เกิดโครงสร้างทางการคมนาคมเพิ่มขึ้น เช่น ทางยกระดับ รถไฟฟ้า รถใต้ดิน ถนนหนทางที่เบื้องหลังคือโครงการที่เกิดจากคอรัปชั่นของนักการเมืองที่มีอำนาจในรัฐบาลทั้งสิ้น ในทัศนะของข้าพเจ้า กรุงเทพฯ ได้เปลี่ยนจากกรุงเทพมหานครมาเป็นกรุงเทพมหานรกแทน เป็นเมืองที่ห่อหุ้มไปด้วยป่าคอนกรีต อันเป็นที่อยู่ของพวกอนารยชนเมืองที่ไม่มีศีลธรรมและจริยธรรม (Urban barbarian) ความเป็นเมืองของกรุงเทพฯ ในสังคมอุตสาหกรรมนั้น แตกต่างอย่างสิ้นเชิงไปจากกรุงเทพฯ ในอดีตที่คนตะวันตกเรียกว่าเมืองลอยน้ำ และเวนิสตะวันออก เพราะไม่ได้เป็นเมืองที่อยู่กับน้ำอีกต่อไป เกิดถนนหนทางขึ้นมากมาย ถมคูคลอง ลำน้ำ ลำราง ที่เคยมีความหมายในการคมนาคม การระบายน้ำและชักน้ำเพื่อเอาพื้นที่สร้างถนน สร้างแหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งเศรษฐกิจ แหล่งอุตสาหกรรมกันไปแทนทุกแห่งอย่างไม่มีระเบียบ และไม่มีแบบแผนและโซนนิ่ง ความต่างกันระหว่างกรุงเทพฯ ครั้งยังเป็นเวนิสตะวันออกที่เป็นศูนย์กลางของสังคมเกษตรกรรมนั้น แลเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติ และคนกรับสิ่งเหนือธรรมชาติในการจัดพื้นที่อยู่อาศัยและทำกิน ความเป็นเมืองคลุมทั้งสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาคือทั้งฝั่งธนบุรีและกรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ทางสังคม เศรษฐกิจที่ไม่มีทางแยกกันเป็นสองเมือง แต่เวลาเรียนประวัติศาสตร์คนรับรู้แต่เพียงว่ากรุงเทพฯ ธนบุรีเป็นคนละเมืองกัน เพราะไปพิจารณาจากพื้นที่ทางการบริหารและปกครอง ดังเช่นสมัยรัชกาลที่ ๑ ทรงย้ายเมืองหลวงมาตั้งที่กรุงเทพฯ เป็นต้น แต่ความเป็นจริงเพียงย้ายศูนย์อำนาจในการปกครองมาอยู่ทางฝั่งกรุงเทพฯ เท่านั้น คือการย้ายพระราชวังจากเมืองธนบุรีมาสร้างพระบรมมหาราชวังเท่านั้น พร้อมทั้งขุดคูพระนครสร้างกำแพงเมืองขึ้นมาเพื่อเป้องกันข้าศึกศัตรู และการจัดการน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วมและเพื่อการคมนาคมเป็นสำคัญ อีกทั้งเป็นฐานในการขยายเขตบ้านเมืองที่เป็นพื้นที่ทางสังคม – เศรษฐกิจมาทางฝั่งตะวันตกที่เป็นทีลุ่มต่ำกว่าทางฝั่งธน การสร้างกรุงเทพฯ ขึ้นมาในระยะแรกของรัชกาลที่ ๑ มาจนถึงรัชกาลที่ ๔ การคมนาคมก็ยังคงใช้เส้นทางน้ำที่เป็นแม่น้ำลำคลองอยู่ ยกตัวอย่างเช่นการขยายคูเมืองจากคลองโอ่งอ่างออกไปเป็นคลองผดุงกรุงเกษม การขุดคลองมหาสวัสดิ์ คลองภาษีเจริญเชื่อมการคมนาคมขนส่งระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำท่าจีน ประชาชนส่วนใหญ่ล้วนแต่ตั้งถิ่นฐานอยู่ริมลำน้ำทั้งสองฝั่งน้ำแทบทั้งสิ้น ดังมีรายงานของฝรั่งว่า สมัยรัชกาลที่ ๔ เมืองไทยมีประชากรรวมสี่ล้านหกแสนคน ล้วนอยู่ริมแม่น้ำลำคลอง โดยเฉพาะคนเมืองทางฝั่งธนบุรีส่วนมากเป็นชาวสวนผลไม้ และตั้งบ้านเรือนอยู่ตามลำคลองลำน้ำแทบทั้งสิ้น บ้านเมืองหนาแน่นอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนฝั่งตะวันออกเป็นที่ลุ่มต่ำเป็นป่าชายเลน และเป็นท้องทุ่งที่น้ำท่วมถึง มีการขุดคลองเพื่อขยายที่อยู่อาศัยและขุดคลองคมนาคมไปเชื่อมกับแม่น้ำบางปะกงก็เพียงคลองสำโรงที่มีมาแต่สมัยอยุธยาตอนต้นเท่านั้น เพราะคลองส่วนใหญ่มักเป็นคลองเพื่อขยายแหล่งที่อยู่อาศัย ขุดแยกจากแม่น้ำใหญ่ไปลงทุ่งทางตะวันออก ซึ่งคลองเหล่านี้ยังมีหน้าที่ระบายน้ำที่ไหลลงจากทางเหนือที่มาตามลำน้ำเจ้าพระยาเพื่อไปออกทะเลตั้งแต่เขตอำเภอบางพลีจนถึงอำเภอบางปะกง อาณาบริเวณดังกล่าวมีรอยลำรางทั้งเก่าและใหม่ที่รับน้ำมาออกทะเลมากมาย โดยเฉพาะคลองบางเหี้ย คลองเทิน เป็นต้น สมัยรัชกาลที่ ๕ ลงมานั้น อยากเรียกว่าเป็นกรุงเทพฯใหม่ หรือสยามใหม่ เพราะมีการสร้างถนนหนทางและตั้งหลักแหล่งชุมชนเป็นแบบทางตะวันตกเป็นส่วนมาก ซึ่งพิจารณาจากรูปแบบของสถาปัตยกรรมที่เป็นพระราชวัง วังเจ้านาย คฤหาสน์ของขุนนางคหบดี สถานที่ราชการ ร้านค้าและบ้านเรือที่อยู่อาศัยเป็นยุคที่ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมตะวันตกในยุคอาณานิคมแทบทั้งสิ้น ความเป็นคนกรุงหรือคนกรุงเทพฯที่มีตัวตนที่เหลื่อมล้ำกับคนจากเมืองอื่นเกิดขึ้นแต่ยุคนี้ สังคมไทยสมัยรัชกาลที่ ๕ แม้ว่ายังมีสภาพเป็นสังคมเกษตรกรรมก็ตาม แต่หาได้เป็นเกษตรกรรมแบบกสิกร (Farmer) บนฐานเดิมของสังคมเกษตรกรรมแบบชาวนา (peasant society) ที่มีมาแต่สมัยอยุธยาหรือก่อนหน้านั้น ลักษณะของการเป็นสังคมเกษตรกรรมกสิกร (farmer) ของสมัยนี้ก็คือ คนมีกรรมสิทธิ์ที่ดิน เกิดคนชั้นกลางและการปลูกข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจ (cash crops) ทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของภูมิวัฒนธรรมให้เกิดเป็นแบบใหม่ขึ้น ซึ่งเห็นได้จากการเปลี่ยนป่าให้เป็นนา ปรับที่สูงต่ำให้เป็นท้องนา ทุ่งนา เพื่อปลูกข้าวและมีการขุดคลองชลประทานขึ้น ซึ่งหมายถึงการขุดคลองเพื่อการเกษตรนั่นเอง เพราะการขุดคลองแต่ก่อน ๆ นั้นเป็นเพียงการคมนาคมล้วนๆ การปลูกข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจเพื่อการส่งออกแพร่หลายไปตามที่ราบลุ่มทั่วประเทศ และภูมิวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไปก็แลเห็นจากการกระจายของชุมชนหมู่บ้านแบบชาวนา (บ้านและวัดเป็นอันหนึ่งเดียวกัน) ออกจากริมน้ำลำคลองไปกลางทุ่ง ชายทุ่งชายดงมากมาย ทุ่งนาเพื่อปลูกข้าวมีการทดน้ำระบายน้ำมีทั้งนาหว่านและนาดำ และสัญลักษณ์ที่แปลกใหม่ในทางภูมิวัฒนธรรมก็คือโรงสีข้าวที่มีปล่องโรงสีสี่เหลี่ยมก่อด้วยอิฐแลเห็นแต่ไกล โรงสีข้าวเป็นนิวาสสถานของคนชั้นกลาง ที่ส่วนใหญ่เป็นคนจีนหรือเชื้อสายคนจีนที่รับซื้อข้าว สีข้าวและจำนำข้าว คนจีนกลายเป็นนายทุนและเจ้าของที่ดินในสมัยต่อ ๆ มาหลาย ๆ แห่งกลายเป็นย่านตลาดและศูนย์กลางของตำบลและอำเภอ สมัยรัชกาลที่ ๕ แหล่งปลูกข้าวขยายตัวทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่อยุธยาลงมาถึงกรุงเทพฯ โดยเฉพาะตั้งแต่เชียงรากน้อยในเขตจังหวัดปทุมธานีลงมา มีการขุดคลองเชื่อมระหว่างแม่น้ำท่าจีนกับแม่น้ำเจ้าพระยาทางตะวันตก และระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยากับบางปะกงเพิ่มขึ้น คลองเหล่านี้เป็นคลองแนวนอนที่ใช้ในการคมนาคมด้วย แต่ขณะเดียวกันก็มีคลองในแนวตั้งเหนือลงใต้ตัดผ่านมากมาย เพื่อการกระจายน้ำกระจายแหล่งที่อยู่อาศัยทำกินและระบายน้ำลงสู่ทะเล ความต่างกันระหว่างการขุดคลองชลประทานและการคมนาคมระหว่างซีกตะวันตกกับซีกตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาก็คือ ทางซีกตะวันออกมีโอกาสขยายตัวได้มากกว่า เพราะเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำมีแหล่งชุมชนน้อยไม่หนาแน่น คลองเดิมก่อนสมัยรัชกาลที่ ๕ นั้น ที่สำคัญก็คือคลองรังสิต และคลองแสนแสบขุดแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ เพื่อเชื่อมต่อกับลำน้ำนครนายก คลองรังสิตมีความสำคัญในทางยุทธศาสตร์ในการรบกับเขมรและญวน ในขณะที่คลองแสนแสบที่เริ่มตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ มาจนถึงรัชกาลที่ ๓ และรัชกาลที่ ๔ นั้น นอกจากเพื่อการคมนาคมแล้ว ยังเป็นการกระจายการตั้งหลักแหล่งของผู้คนที่มีทั้งกวาดต้อนเข้ามา หรือเคลื่อนย้ายมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์และต่างศาสนา เช่นคนมุสลิมจากทางใต้และกลุ่มจามมุสลิมที่เรียกว่าแขกครัว เป็นต้น ครั้งรัชกาลที่ ๕ มีการเพิ่มเติมคลองเหล่านี้ทั้งเพื่อการเกษตรและการคมนาคม เช่นการขุดคลองระพีพัฒน์ทั้งตะวันตกและใต้ คลองนครเที่ยงเขตคลองประเวศบุรีรมย์และคลองในแนวตั้งอีกมากมาย แต่พื้นที่ซึ่งโดดเด่นเป็นที่รู้จักกันทั่วไปก็คือ ทุ่งรังสิตเป็นพื้นที่ชลประทานที่ทางรัฐให้กรรมสิทธิ์ที่ดินตอบแทนแก่บรรดาขุนนางเจ้านายและคหบดีที่รับอาสาขุดคลองเพื่อการชลประทาน สิ่งที่มาพร้อมกับโครงการชลประทานสมัยรัชกาลที่ ๕ ก็คือ การสร้างประตูน้ำปิดเปิดเพื่อการระบายน้ำเพื่อการทดน้ำในการปลูกข้าว การขุดคลองชลประทานและการสร้างประตูระบายน้ำทดน้ำแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ดังกล่าวนี้ต้องถือได้ว่าเป็นโครงการที่เรียกว่า ชลประทานหลวง อย่างแท้จริง และแต่เดิมการชลประทานเพื่อการเกษตรในแทบทุกหนแห่งในเมืองไทย ล้วนเป็นชลประทานราษฎร์ทั้งสิ้น ดังเช่นการทำเหมืองฝายในภาคเหนือเป็นต้น ถึงแม้ว่าสังคมและบ้านเมืองในสมัยรัชกาลที่ ๕ การเมืองการปกครองและเศรษฐกิจจะเปลี่ยนแปลงไปแล้วก็ตาม แต่ในส่วนสังคมความเป็นมนุษย์ที่ต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเหล่าเป็นชุมชนท้องถิ่นที่มีความหลากหลายทางชีวิตวัฒนธรรมก็ยังคงดำรงอยู่ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนที่เห็นได้จากโครงสร้างสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติที่เห็นได้จากนิเวศวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่น และความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ อันเห็นได้จากการดำรงอยู่ของวัดวาอาราม และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนมาประกอบพิธีกรรมร่วมกันจนเกิดสำนึกร่วมในหลาย ๆ อย่างที่เป็นอัตลักษณ์ทางสังคมและวัฒนธรรม คนในชนบทมีชีวิตวัฒนธรรมร่วมกันในชุมชนบ้านและเมืองแต่ละถิ่น ในขณะที่ในสังคมเมืองผู้คนหลายชาติพันธุ์หลายศาสนาและอาชีพอยู่ร่วมกันในพื้นที่วัฒนธรรมที่เรียกว่า ย่าน คนในย่านแต่ละย่านรู้จักกันหมดว่าใครเป็นใคร ใครเป็นคนนอกและคนใน มีกลไกต่าง ๆ ในการสร้างความเกาะเกี่ยวทางสังคมที่จะนำไปสู่ความเป็นปึกแผ่นทางสังคมของแต่ละบ้านร่วมกัน ดูแลกันพึ่งพิงกันโดยที่รัฐไม่จำเป็นต้องเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างใด แต่สังคมในปัจจุบันที่เปลี่ยนเข้าสู่การเป็นอุตสาหกรรมอย่างสุดโต่งในทุกวันนี้ การอยู่รวมกันของผู้คนในท้องถิ่นหนึ่ง ไม่มีชุมชนเพราะไม่มีโครงสร้างสังคมที่ทำให้เกิดคนในขึ้นมาได้ เพราะต่างคนต่างอยู่ดูแลรับผิดชอบตัวเอง แทบจะไม่ได้มีการพึ่งพิงกันแม้แต่น้อย ความเป็นบ้านเป็นเมืองอย่างแต่ก่อนหมดไป มีแต่หมู่บ้านที่เกิดจากการบริหารของรัฐหลากหลายภายใต้การปกครองของผู้ใหญ่บ้าน กำนันและ อ.บ.ต. ล้วนในสังคมเมืองนั้นความเป็นย่านกำลังหมดไปมีแต่เขตการปกครองของ อ.บ.ท.เช่นในกรุงเทพมหานครก็เป็นเขตของก,ท,ม.ไป เป็นต้น การปราศจากความเป็นชุมชนและคนในทั้งในพื้นที่ชนบทและพื้นที่เมืองตามที่กล่าวมานี้ ได้ทำให้ผู้คนในแทบทุกท้องถิ่นมีชีวิตความเป็นอยู่แบบนั่งรอมือ รอตีนให้คนนอกโดยเฉพาะทางรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐมาจัดการให้แต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งก็เห็นเป็นประจักษ์จากเหตุน้ำท่วมในครั้งนี้ แม้ว่าจะประสบความลำบากยากแค้นอย่างที่แลเห็นอยู่ในขณะนี้ก็ยังมีคนเป็นจำนวนมากที่ไม่คิดทำอะไรในการรวมกลุ่มกัน พึ่งพิงกันและช่วยตัวเองก่อนที่จะให้คนนอกเช่นทางรัฐมาช่วย ซึ่งยิ่งเข้ามาช่วยก็ยิ่งทำให้ไปกันใหญ่ ดังเห็นได้จากการดำเนินงานป้องกันน้ำท่วมครั้งนี้ของทางรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งความช่วยเหลือต่าง ๆ จากต่างประเทศที่มุ่งแต่จะใช้เพียงเทคโนโลยีและความรู้ทางเทคโนโลยีแต่เดียงอย่างเดียวเพื่อเอาชนะน้ำ แทบไม่นำเอาภูมิปัญญาและความรู้ของท้องถิ่นในอดีตขึ้นมาทบทวนและปรับใช้เป็นการสะท้อนให้เห็นชัดเจนในแนวคิดและวิธีคิดที่จะควบคุมจักรวาลด้วยเทคโนโลยีแบบคนตะวันตก ข้าพเจ้าคิดว่าการดำเนินการของรัฐบาลนี้และรัฐบาลก่อนที่มีมาแต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๐๕ เป็นต้นมา ในการจัดการน้ำและการพัฒนากายภาพของบ้านเมืองและผังเมือง คือจุดเริ่มต้นของการสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้เกิดสังคมอุตสาหกรรมขึ้นแทนที่สังคมเกษตรกรรมที่มีมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ หรือแต่สมัยอยุธยา นับเป็นเวลากึ่งศตวรรษ คือกว่า ๕๐ ปีเข้านี้แล้ว พอที่ทำให้เกิดคนรุ่นใหม่ รุ่นพ่อแม่และลูกที่มีความรู้สำนึกคิดอย่างทางตะวันตกมากมาย ในขณะนี้หลายคนดัดจริตเรียกว่า สยามใหม่ แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นสยามมั่วมากกว่า เหมือนครั้งหนึ่งรัฐบาลก่อนเคยใช้คำว่าคิดใหม่ ทำใหม่ แต่แท้จริงเป็นการคิดใหม่แต่ทำมั่วเช่นกัน เหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯครั้งนี้ทั้งรัฐสยามมั่วกับกลุ่มคนสยามมั่วต่างคิดเหมือนกันในทางเทคโนโลยีเพื่อต่อต้านและควบคุมน้ำหรือธรรมชาติเพียงอย่างเดียว ทั้งรัฐบาลและกรุงเทพมหานครก็ทำเหมือนกัน เน้นการสู้น้ำด้วยการสร้างพนังกั้นน้ำให้สูง เช่น ถึงระดับ ๒.๕๐ เมตรเพื่อพื้นที่ ก.ท.ม. ในขณะที่คนทั่วไปเน้นการใช้กระสอบทรายกั้นน้ำไม่ให้ท่วมบ้านเรือน ร้านค้าและแหล่งกิจกรรมของคน พอระดับน้ำสูงก็ใช้เครื่องสูบน้ำ ปั๊มน้ำสูบไล่น้ำออกไป จากถิ่นหนึ่งแต่ไปท่วมถิ่นหนึ่ง หรือจากบ้านหนึ่งไปท่วมบ้านอื่น เมื่อน้ำมาพบถนนที่มีการสร้างทั้งระดับ high way และ local roads มาแทนที่ลำน้ำลำคลองแต่เดิมก็ปะทะวนเวียนจนเกิดพลังและเมื่อทำลายไม่ได้ ออกไม่ได้ก็เลยกลายเป็นน้ำขังเน่าเกิดโรคระบาดขึ้น รัฐมั่วและสังคมสยามมั่งอันเป็นสังคมอุตสาหกรรมเหล่านี้ก็ยังหาสำนึกในอดีตไม่ หากยังคงขาดสติเดินหน้าแก้ไขตามครรลองที่ทำมา คือตั้งเงินงบประมาณเพื่อแจกประชาชนแบบประชานิยมดังเดิม รวมทั้งสนับสนุนและอุดหนุนในเรื่องการลงทุนทางอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น นั่นก็คือยังคงคิดที่จะทำให้กรุงเทพฯกลายเป็นสังคมอุตสาหกรรมต่อไป ก็ดูน่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลและคนนิยมอุตสาหกรรมต่างโง่อ้างว่าจะแก้ไขเหตุน้ำท่วมตามกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะสิ่งที่อยู่ในพระราชดำริและพระราชดำรัสนั้นมีพื้นฐานมาจากสังคมเกษตรกรรมที่คนต้องอยู่กับน้ำ กับธรรมชาติทั้งสิ้น อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • ผู้มีบารมี – ผู้แพ้บารมี

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2555 ในช่วงเวลา ๖–๗ ปีที่ผ่านมานี้ คนไทยทั่วไปมักได้ยินคำกล่าวที่คุ้นๆในเรื่อง ผู้มีบารมี อันเป็นผลมาจากความขัดแย้งทางการเมือง โดยเฉพาะผู้ที่กำลังสูญเสียอำนาจทางการเมืองของรัฐบาลในสมัยหนึ่ง มักกล่าวหาว่าเหตุที่ตนต้องเดือดร้อนนั้นมีที่มาจากการกระทำของผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ภาพสลักรูปจักรวาทิน [Cakravartin] สันนิษฐานว่าอาจจะเป็นพระเจ้าอโศกมหาราชอายุราวพุทธศตวรรษที่๓ศิลปอมราวดีจากอันทรประเทศปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์กีเมต์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส พระมหากษัตริย์ในคติแบบเถรวาทจะอยู่ในฐานะพระราชาธิราชหรือจักรวาทินซึ่งเป็นผู้จรรโลงธรรมทั้งปวง ข้าพเจ้าคิดว่านี่เป็นเรื่องของ การกล่าวหา [Accusation] เพราะไม่มีหลักฐานข้อเท็จจริงมาพิสูจน์ และที่สำคัญก็คือผู้กล่าวหาไม่กล้าที่จะระบุว่าใครคือผู้มีบารมี เลยทำให้เรื่องบานปลาย มีการตีความไปต่าง ๆ นานาว่าใครคือผู้มีบารมี ข้าพเจ้าเห็นว่าในการรับรู้ของคนไทยส่วนใหญ่นั้น รู้ว่าผู้ที่จะมีบารมีได้ในทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการกล่าวหาดังกล่าวนี้ มีอยู่สองท่านที่โดดเด่น ท่านแรกคือ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ท่านที่สองคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นพระประมุขของประเทศชาติ ผู้กล่าวหาซึ่งข้าพเจ้าขอฟันธงในที่นี้ว่า ผู้แพ้บารมี เพราะเมื่อมีผู้มีบารมีก็ควรมีผู้ไม่มีบารมีเป็นคู่ต่อรองกัน ผู้ไม่มีบารมีคือผู้แพ้ได้กล่าวหาในเชิงกล้า ๆ กลัว ๆ เลยเกิดความคลุมเครือในเรื่องว่าจะเป็นท่านใดแน่ เพราะจะโดนเอาผิดมิได้ แต่ในความคิดของผู้ที่เป็นวิญญูชนแล้วตระหนักว่า ผู้มีบารมีนั้นหมายถึงองค์พระประมุขอย่างไม่ต้องสงสัย แต่สร้างความคลุมเครือให้เห็นว่าเป็นท่านประธานองคมนตรี แล้วเติมให้เต็มไปถึงองคมนตรีทั้งคณะ ซึ่งแต่งตั้งโดยองค์พระประมุข จึงคิดเห็นว่าควรเลิกล้มไม่ให้มีคณะองคมนตรีเสีย เพื่อบ้านเมืองจะได้เป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ การเคลื่อนไหวของผู้แพ้บารมีและบริวารครั้งนี้ ดูเข้าทางบรรดานักวิชาการและนักศึกษาที่เรียกว่า กลุ่มไม่เอาเจ้า ที่มีการเคลื่อนไหวแบบกล้า ๆ กลัว ๆ มานานแล้ว มูลเหตุที่มาก็คือ คนเหล่านี้คือผู้ที่ได้รับทุนรัฐบาลรวมทั้งทุนพระราชทานจากพระมหากษัตริย์ให้ไปศึกษาต่อในต่างประเทศทางตะวันตก โดยเฉพาะจากทางอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส เช่นเดียวกันกับครั้ง ร.๕ ที่ส่งออกไป ได้ถูกวิธีการคิดทางการเมือง เศรษฐกิจแบบประชาธิปไตยจากบ้านเมืองเหล่านั้นมาครอบงำจนมองไม่เห็นอดีตรากเหง้าของบ้านเมือง ความคิดทางการเมืองและเศรษฐกิจแบบตะวันตกของประเทศดังกล่าวนี้คือ เห็นว่าสถาบันกษัตริย์นั้นเป็นสิ่งล้าสมัยไม่ก้าวหน้าและไม่เสมอภาคตามอุดมคติในเรื่องประชาธิปไตยที่ตนได้เล่าเรียนมา กลุ่มนักเรียนนอกที่ถูกส่งไปเรียนตั้งแต่สมัย ร.๗ แต่ก็ยังดำรงสถานภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์ในลักษณะที่เป็นประชาธิปไตยแบบที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ซึ่งตามกฎหมายรัฐธรรมนูญนั้นก็ได้กำหนดให้พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและไม่ทรงมีพระราชอำนาจทางการบริหาร ซึ่งนับว่าเป็นประชาธิปไตยแบบไทย [Localization Democracy] ในเรื่องนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเองก็ทรงปฏิบัติตามและไม่เคยแสดงพระองค์เองว่าอยู่เหนือกฎหมายแต่อย่างใด แต่ความต่างกันระหว่างนักเรียนนอกรุ่นก่อนคือสมัย ร.๕ กับนักเรียนนอกดอกเตอร์ด๊อกตีนในสมัยนี้ก็คือ นักเรียนนอกรุ่นใหม่กลุ่มหนึ่งไม่เอาสถาบันกษัตริย์และการเป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขเป็นกลุ่มที่ไม่ใหญ่โตเท่าใด แต่มีอิทธิพลในเรื่องการถ่ายทอดและส่งต่อความคิดไปให้คนรุ่นเด็ก โดยเฉพาะบรรดานักศึกษาในมหาวิทยาลัยทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เหตุที่คนเหล่านี้มีอิทธิพลทางความคิดก็คือ มักเป็นผู้ที่เป็นอาจารย์ นักเขียน นักคิด ที่มีเครือข่ายสัมพันธ์กับนักวิชาการและนักศึกษาตามมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ ในต่างประเทศ เช่น อังกฤษ อเมริกา และฝรั่งเศส แถมบางคนยังมีอาจารย์ชาวต่างประเทศที่มีชื่อเสียงหลายคนเป็นพ่อทูนหัวสนับสนุนอบรมและเชื่อมโยงในการเป็นเครือข่ายให้ในต่างประเทศ ทำให้บรรดานักวิชาการและนักศึกษากลุ่มไม่เอาเจ้านี้ดูเป็นคนทันสมัยและหัวก้าวหน้า และมีบทบาทในทางสื่อเป็นประจำ ข่าวคราวที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของนักวิชาการกลุ่มไม่เอาเจ้านี้ เห็นจะเป็นกลุ่มนิติราษฎร์ที่ออกมาเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายมาตรา ๑๑๒ อันเป็นกฎหมายที่ควบคุมในเรื่องการหมิ่นพระมหากษัตริย์และสถาบัน โดยมีรายละเอียดหลายประการที่ทำให้สังคมสงสัยเคลือบแคลง คนเหล่านี้อ้างสิทธิความเป็นประชาธิปไตยแบบตะวันตกที่ตนเล่าเรียนมาซึ่งก็ถูกต้องในอุดมคติแบบตะวันตกที่ทำให้ผู้คนเป็นจำนวนมากเห็นคล้อยตามเเล้วเข้าทางของกลุ่มนักการเมืองและบริวารของผู้แพ้บารมี ผลที่ตามมา ถ้าหากสังคมขาดสติก็อาจกลายเป็นเรื่องขัดแย้งใหญ่ที่รุนแรงได้ ถ้าหากคิดไตร่ตรองให้ดีแล้ว พวกนักวิชาการเด็กๆปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเหล่านี้คือ ผู้ที่มีอัตตาแรงและไม่รู้กาลเทศะ แต่กล้าๆกลัวๆ เพราะการเอาสิ่งที่เป็นอุดมคติในเรื่องมาพูดในยามที่มีความขัดแย้งนั้น ก็เท่ากับเป็นการสนับสนุนค้ำจุนกลุ่มคนอีกขั้วหนึ่งที่จะล้มเจ้า แต่เมืองไทยที่ผ่านมาประชาธิปไตยไม่เป็นแบบตะวันตก เพราะถูกปรับเปลี่ยนให้เข้ากันกับสภาพแวดล้อมทางสังคมและวัฒนธรรม เป็นประชาธิปไตยที่เกิดการปรับเปลี่ยนให้เป็นแบบท้องถิ่น [Localization] คือ ประชาธิปไตยแบบที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ข้าพเจ้าสะใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อมีการสนทนาถกกันของนักวิชาการกลุ่มไม่เอาเจ้ากับคนที่เป็นกลางและไม่เห็นด้วยในรายการสถานีโทรทัศน์ช่องไทยพีบีเอส ครั้งหนึ่งที่ว่า กลุ่มตนเองก็เป็นเช่นเดียวกันกับคณะรัฐประหารสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ ที่ยังคงการเป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข แต่กลับไม่ยอมรับว่าการเคลื่อนไหวในการล้ม ก.ม. ๑๑๒ นั้น คือการกระทำเพื่อไม่เอาการเป็นองค์พระประมุขของพระมหากษัตริย์อย่างที่วิญญูชนทั้งหลายเข้าใจกัน ที่น่าสมเพชก็คือต่อหน้าสื่อสาธารณะดูกล้า ๆ กลัว ๆ แต่พอลับหลังในการเสวนาทางวิชาการตามสถาบันการศึกษากลับแสดงความกร่างและโอหังถึงขนาดออกมาจาบจ้วงว่า จะต้องไม่ให้มีการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสในเรื่องเกี่ยวกับความเป็นไปของบ้านเมืองและประชาชนอย่างที่เคยทางปฏิบัติมา โดยภาพรวมที่ข้าพเจ้าเห็นในขณะนี้ก็คือ กลุ่มนักวิชาการวิชาเกินที่ไม่เอาเจ้าเหล่านี้คือผู้ที่กำลังล้มเจ้าเข้าด้วยกับบรรดานักการเมืองผู้พ่ายบารมี เพราะทำหน้าที่เป็นนกต่อสองสถาน สถานแรกเป็นการสนับสนุนและให้แรงใจ [Empowerment] แก่บรรดานักการเมืองว่าดำเนินการถูกต้องตามหลักประชาธิปไตยแบบตะวันตกแล้ว โดยเฉพาะการที่ผ่านการเลือกตั้งที่ได้เสียงจากประชาชนส่วนใหญ่ในสังคม โดยไม่ยอมรับรู้และรับฟังว่าการได้เสียงจากการเลือกตั้งดังกล่าวมาจากการซื้อเสียงขายเสียงเป็นส่วนใหญ่ สถานที่สองนักวิชาการเหล่านี้เป็นพวกคิดอะไรข้ามชาติเป็นพวกนิยมโลกาภิวัตน์ คือคิดอะไรทำอะไรมักคล้อยตามอเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ และประเทศใหญ่ๆ ที่เป็นทุนนิยมที่มุ่งหวังเข้ามาแย่งทรัพยากรในประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทยที่ยังมีทรัพยากรธรรมชาติอยู่มาก ซึ่งนักการเมืองและพรรคการเมืองผู้แพ้บารมีกำลังขายทรัพยากรและประเทศให้กับประเทศนายทุนเหล่านั้น การเคลื่อนไหวในกระบวนการล้มเจ้าของบรรดานักการเมือง นายทุนข้ามชาติ และนักวิชาการข้ามชาติเหล่านี้กำลังใช้สื่อแทบทุกรูปแบบในการที่จะสร้างมวลชนมาสนับสนุนหาความชอบธรรม จึงเกิดการต่อต้านขึ้นโดยผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมที่รักชาติ (แผ่นดินเกิด) และเห็นชอบในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข และเชื่อมั่นในพระบารมีเป็นหลักความมั่นคงทางสังคมของบ้านเมือง พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระมหากษัตริย์แม้ว่าจะไม่มีพระราชอำนาจในการสั่งการบริหารราชการแผ่นดินภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญก็ตาม แต่ยังทรงอำนาจทางบารมีที่เกิดขึ้นจากศรัทธาของประชาชนผู้เห็นว่าพระองค์เป็นผู้มีบุญและเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์อยู่เหนือสภาวะความเป็นบุคคลธรรมดาทั้งหลาย การกระทำใด ๆ ที่เป็นการจาบจ้วงและมุ่งร้ายต่อพระองค์ถือเป็นความชั่วร้ายและอัปมงคลที่นำความวิบัติมาสู่ผู้คนในส่วนรวม โดยเฉพาะคนรุ่นเก่าที่ยังมองว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก ถ้าหากทำร้ายพระมหากษัตริย์ก็เท่ากับเป็นการทำร้ายพระพุทธศาสนา จึงทำให้สถาบันกษัตริย์และสถาบันศาสนาเป็นสิ่งแยกกันไม่ออก และสถาบันทั้งสองนี้ก็แยกกันไม่ออกจากสถาบันชาติ ซึ่งหมายถึงแผ่นดินเกิดที่มักเรียกว่า มาตุภูมิ ปิตุภูมิ ชาติแปลว่าเกิด ที่ทำให้เกิดสำนึกชาติภูมิร่วมกัน หาได้หมายถึงเรื่องชาติพันธุ์ เชื้อชาติ และชาตินิยมอย่างใดไม่ ความรักในแผ่นดินเกิดจนเกิดสำนึกร่วมกันนี้ฝรั่งเรียกว่า Patriotism เป็นสำนึกอย่างหนึ่งในความเป็นมนุษย์ ซึ่งดูตรงข้ามกันกับพฤติกรรมของกลุ่มคนข้ามชาติและขายชาติในกระแสโลกาภิวัตน์ขณะนี้

  • อนิจจาสยามประเทศ : ร่ำรวยวัฒนธรรมเพื่อขาย แต่ล้มละลายในชีวิตวัฒนธรรม

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 เม.ย. 2555 สยามประเทศนี้มีกรรม เพราะคนที่อ้างคนเป็นคนไทยในปัจจุบันได้ขุดค้นและขุดคุ้ยเอาศิลปวัฒนธรรม อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษได้สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อการดำรงชีวิตร่วมกันอย่างมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ มาจัดการและปรุงแต่งเพื่อขายให้มาซึ่งรายได้จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ไม่ให้ความสำคัญแก่คุณค่า แต่มุ่งเพียงมูลค่าอันเป็นที่มาของรายได้แต่เพียงอย่างเดียว ข้าพเจ้ากำหนดเรียกวัฒนธรรมที่สร้างขึ้น และทำให้เกิดมูลค่าเป็นเงินเป็นทองเป็นรายได้ดังกล่าวนี้ว่า ศิลปวัฒนธรรม เพราะเป็นการขายรูปแบบสวยงามเป็นของที่ระลึก [Souvenir] และสามารถแยกส่วนออกจากความสัมพันธ์กับความหมายที่เป็นสัญลักษณ์แต่เดิมได้ แต่เป็นการทำลายคุณค่าและความหมายของสิ่งที่ข้าพเจ้าเรียกว่า ชีวิตวัฒนธรรม ซึ่งมีสภาวะเป็นองค์รวมแยกส่วนไม่ได้ เป็นวัฒนธรรมที่แยกไม่ออกจากสังคม อันหมายถึงกลุ่มคนในพื้นที่ใดที่หนึ่งในช่วงเวลาหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ร่วมกัน เพราะความหมายที่แท้จริงของคำว่าวัฒนธรรมทางมานุษยวิทยาและสังคมวิทยานั้น คือทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ ประเพณีพิธีกรรมและความเชื่อที่คนในกลุ่มสังคมสร้างขึ้นเพื่อมีชีวิตรอดร่วมกัน ดังนั้น วัฒนธรรมแต่ละด้านไม่ว่าเศรษฐกิจ หรือความเชื่อและประเพณีพิธีกรรม เป็นต้น แยกไม่ออกจากความสัมพันธ์ทางสังคมของคนในกลุ่มนั้น ๆ อีกทั้งมีความหมายในการจรรโลงการอยู่ร่วมกันทางสังคม ทำให้เกิดสำนึกร่วมของการเป็นกลุ่มชนเดียวกัน ความเป็นประเทศชาติของสยามนั้นมีวัฒนธรรมสองระดับ ระดับบนหรือระดับชาติ ที่เป็นของส่วนรวม เรียกว่า ประเพณีหลวง [Great tradition] มีหน้าที่บูรณาการ [Integration] ให้ วัฒนธรรมท้องถิ่นในระดับล่าง ซึ่งเรียกว่า ประเพณีราษฎร์ [Little tradition] ที่มีความหลากหลายและแตกต่างกันทางวัฒนธรรม ให้มีสำนึกร่วมเป็นคนในชาติภูมิเดียวกันในนามของ คนไทย หรือ คนสยาม ร่วมกัน วัฒนธรรมหลวงในระดับบนนั้นมักมองไม่เห็นคน หากมีลักษณะที่สร้างขึ้นเป็นสัญลักษณ์ คือแลเห็นเป็นรูปแบบทางศิลปวัฒนธรรมที่สื่อสารให้คนในชาติมีปฏิสัมพันธ์กัน รวมทั้งสื่อให้คนภายนอกได้เห็นอัตลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศชาติ เป็นวัฒนธรรมที่มีรูปแบบที่เห็นได้เป็นรูปธรรมและนามธรรม อย่างเช่นรูปแบบของ พระสุเมรุมาศ ที่ถวายพระเพลิงพระศพเจ้าเมื่อเร็ว ๆ นี้ เห็นเป็นรูปธรรม แต่ประเพณีแนวคิดและขั้นตอนต่างๆ และความหมายเป็นนามธรรมที่พวก UNESCO ดัดจริตเรียกว่า วัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ [Untouchable culture] ส่วนวัฒนธรรมราษฎร์ในระดับล่าง เป็นวัฒนธรรมที่แลเห็นคนที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ศาสนา ที่มาและประวัติศาสตร์ เป็นวัฒนธรรมที่มีพลวัตร คือเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเทศะของคนที่อยู่รวมกันเป็นชุมชนท้องถิ่น วัฒนธรรมราษฎร์ดังกล่าวนี้ ข้าพเจ้าเรียกว่า ชีวิตวัฒนธรรม หรืออีกนัยหนึ่ง สังคมวัฒนธรรม เพราะเป็นวัฒนธรรมที่ผูกติดอยู่กับกลุ่มคนในชุมชนที่สร้างวัฒนธรรมนั้นขึ้นมาเพื่อการอยู่ร่วมกัน และมีชีวิตรอดร่วมกัน ดังนั้นจะเรียกอีกนัยหนึ่งได้ว่า ชีวิตวัฒนธรรมก็คือ วิถีชีวิตของคนในชุมชนใดชุมชนหนึ่งร่วมกัน แต่ความเป็นชุมชนนั้นหาได้อยู่ที่การเห็นจากภายนอกว่ามีการสร้างบ้านเรือเคียงอยู่เป็นกลุ่ม เช่นบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม ตึกแถวอะไรต่าง ๆ นานา แล้วแบ่งเป็นหมู่บ้าน ตำบล อำเภอไม่ หากการที่จะเป็นชุมชนนั้นขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ทางสังคมของคนที่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน [Social และ Cultural space] ตั้งแต่ระดับครอบครัว กลุ่มเครือญาติทั้งจากทางสายเลือดและจากการกินดอง (จากการแต่งงาน) มาถึงการอยู่รวมกันเป็นชุมชนซึ่งเป็นพื้นที่ให้คนหลายเหล่าหลายตระกูลและหลายชาติพันธุ์มาอยู่รวมกัน มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมไม่ต่ำกว่า ๓ ชั่วคน พอที่จะสร้างรูปแบบในการดำรงชีวิต ภาษา ระบบความเชื่อ ประเพณีพิธีกรรม รวมทั้งกติกาต่างในการดำรงชีวิตร่วมกันซึ่งเรียกว่า จารีตประเพณี เกิดการอบรมและถ่ายทอดขนบธรรมเนียมประเพณีและภูมิปัญญาในการอยู่ร่วมกัน และแก้ปัญหาความขัดแย้งร่วมกันจากคนรุ่นเก่าสู่คนรุ่นใหม่ ปรับเปลี่ยนพื้นที่อันเป็นระบบนิเวศธรรมชาติให้เป็นนิเวศวัฒนธรรม ผลที่ตามมาทำให้เกิดสิ่งที่เป็นโครงสร้างทางกายภาพขึ้นแก่ชุมชน โดยไม่ต้องมีใครมากำหนดจากภายนอก ความเป็นชุมชนจึงอยู่ที่การรู้จักและรับรู้ว่าใครคือคนใน และใครเป็นคนนอกนั่นเอง ชุมชนท้องถิ่น [Local communities] ของเมืองไทย ว่าตามหลักฐานและข้อมูลทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมและโบราณคดีแล้ว มีพัฒนาการมาเป็นสังคมชาวนา [Peasant society] มากว่าพันปีทีเดียว คือเป็นสังคมที่ก้าวผ่านสังคมแบบเผ่าพันธุ์ [Tribal society] มาแล้วช้านาน จนปัจจุบันกำลังกลายพันธุ์เป็นสังคมอุตสาหกรรมในยุคโลกาภิวัตน์อย่างรวดเร็ว ที่ว่าเป็นสังคมที่ก้าวผ่านสังคมเผ่าพันธุ์นั้น เพราะมีบูรณาการทางวัฒนธรรมเกิดขึ้นที่สามารถสลายความเป็นเผ่าพันธุ์ให้อ่อนลงและหมดสิ้นไปได้ สังคมแบบชาติพันธุ์มีศูนย์รวมอยู่ความเป็นชาติพันธุ์ เช่น เป็นไทย เป็นมอญ เขมร ลาว อะไรทำนองนั้น แต่ว่าสังคมชาวนา ความเป็นศูนย์รวมอยู่ที่แผ่นดินเกิดหรือบ้านเกิด สังคมชาวนาในสยามประเทศที่มีความสมบูรณ์ด้วยความหลากหลายทางชีวภาพนั้น เริ่มขึ้นด้วยการที่คนมากกว่าหนึ่งชาติพันธุ์เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่เดียวกัน อีกทั้งมีการเคลื่อนย้ายเข้ามาผสมกลมกลืนกันตามช่วงเวลาต่างๆ ทางประวัติศาสตร์ แต่การเข้ามาอยู่ร่วมกันของคนต่างชาติพันธุ์ดังกล่าวในประวัติศาสตร์สังคมชาวนานั้น หาได้เข้ามาแบบรุกล้ำอ้างสิทธิ์และอำนาจเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องไม่ คนจากข้างนอกต้องได้รับการยินยอมจากคนในท้องถิ่นที่อยู่มาก่อน ต้องยอมรับกติกาในทางสังคมและวัฒนธรรม เพื่อที่จะกลายเป็นคนในท้องถิ่นเดียวกัน และทำความเจริญมาให้กับท้องถิ่น เมื่อได้รับการยอมรับคนที่เข้ามาอยู่ใหม่ก็ถือว่า ท้องถิ่นนั้นตนต้องอยู่ไปจนตายและกลายเป็นบ้านเกิดของลูกหลานตน และเกิดสำนึกว่าตนเป็นคนของบ้านนี้เมืองนี้ร่วมกับคนที่เป็นชาติพันธุ์อื่น ท้องถิ่นหนึ่ง ๆ เป็นพื้นที่ธรรมชาติที่กว้างขวางที่รอปรับชีวิตความเป็นอยู่ของคนหลาย ๆ ชุมชนได้ คนในทุกชุมชนปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมธรรมชาติร่วมกัน โดยการเปลี่ยนแปลงให้เป็นนิเวศวัฒนธรรม ที่มีการแบ่งพื้นที่และทรัพยากรว่าอะไรบ้างที่เป็นของส่วนตัวและของส่วนรวม ของส่วนรวมคือ สมบัติร่วม [Common property] อันได้แก่ พื้นที่สาธารณะ เช่น หนองบึง ลำน้ำ ลำห้วย ป่าเขา ท้องทุ่ง ซึ่งไม่เป็นของส่วนตัวของใครของเหล่ากอใด หากใช้ประโยชน์ร่วมกันอย่างมีกติกา และมีการพัฒนาบำรุงรักษาให้เป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจและสังคม มีการกำหนดชื่อ สถานที่พื้นที่ผูกด้วยเหตุผลทางตำนานให้เป็นที่รับรู้ นอกจากพื้นทางเศรษฐกิจและสังคม ก็เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นศูนย์รวมทางศาสนา ความเชื่อ ประเพณีพิธีกรรม เช่น พื้นที่เป็นวัดเป็นแหล่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนในชุมชนท้องถิ่นรับทราบและเข้ามาใช้พื้นที่เป็นเจ้าของร่วมกัน สังคมท้องถิ่นที่เป็นสังคมชาวนาในสยามประเทศนั้น ประกอบด้วยบ้านและเมือง บ้านเป็นชุมชนขนาดเล็กที่กระจายอยู่ในปริมณฑลของท้องถิ่น บ้านบางบ้านอาจจะมีชาติพันธุ์ใดชาติพันธุ์หนึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ก็ได้ ส่วนบ้านอื่นก็เป็นของชาติพันธุ์อื่น แต่ทุกบ้านต้องมีการใช้พื้นที่ร่วมกันและแบ่งปันกัน จึงเกิดประเพณีพิธีกรรมทางศาสนา ความเชื่อและวิธีการและเทคนิคทางเทคโนโลยีที่พัฒนาร่วมกัน และการอยู่รวมกันโดยมีสมบัติร่วมกันดังกล่าวนี้ คือการมีชีวิตรอดร่วมกันจนเกิดสำนึกในเรื่องการเป็นคนท้องถิ่นที่เป็นแผ่นดินเกิดร่วมกัน ศิลปกรรม เครื่องมือเครื่องใช้ รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีพิธีกรรมที่สร้างขึ้นนั้น ล้วนมีหน้าที่ที่จะทำให้โครงสร้างสังคมของคนแม้ว่าจะมีที่มาจากชาติพันธุ์ที่หลากหลายกลายเป็นคนพวกเดียวกัน เป็นคนถิ่นเดียวกัน ส่วนเมืองนั้นก็หมายถึงพื้นที่และชุมชนที่เป็นศูนย์กลาง [Central place] ของบรรดาชุมชนบ้าน ชุมชนเมืองมีขนาดใหญ่มีคนหลายชาติพันธุ์และหลายอาชีพ และมีตลาดอันเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนสินค้าทางเศรษฐกิจ รวมทั้งสถานที่อันเป็นแหล่งทำพิธีกรรมและศูนย์กลางในระบบความเชื่อ ยกตัวอย่างเช่น ศูนย์กลางความเชื่อและกิจกรรมทางสังคมของชุมชนบ้าน คือ วัดที่มีโบสถ์ ซึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่า สิม แต่วัดที่เป็นศูนย์กลางของเมืองหรือของท้องถิ่นนั้น นอกจากจะมีโบสถ์แล้วยังมี ธาตุ ซึ่งหมายถึงพระธาตุเจดีย์ที่ผู้คนจากชุมชนบ้านต้องมาทำพิธีกรรมร่วมกัน นอกจากนั้น ชุมชนที่เป็นเมืองยังเป็นศูนย์กลางในการปกครองและบริหารโดยมักจะเป็นที่อยู่อาศัยและที่ทำการของบุคคลที่เป็นหัวหน้าหรือเจ้าเมืองอีกด้วย สังคมท้องถิ่น หรือประกอบด้วยบ้านและเมืองอันเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออกนี้ คือพื้นฐานของความเป็นอยู่ที่พอเพียงยั่งยืนและอยู่ได้โดยลำพัง [Self contained] ของผู้คนในสังคมชาวนาที่มีทั้งสมบัติส่วนตัว เช่น พื้นที่อยู่อาศัยทำกิน และพื้นที่สาธารณะอันเป็นสมบัติร่วม คนในสังคมท้องถิ่นเหล่านี้รู้จักดีว่าใครเป็นคนกลุ่มไหน ชาติพันธุ์ไหน มีเหล่ากอเป็นมาอย่างใด และรู้ว่าใครเป็นคนนอกที่รุกล้ำเข้ามาที่ดีหรือไม่ดี แต่ที่สำคัญคนในเหล่านี้มีประวัติศาสตร์ของตนเองและมีสำนึกร่วมของแผ่นดินเกิดร่วมกัน จึงมักจะทักทายกันว่าเป็นคนบ้านไหน เมืองไหนเป็นสำคัญ คนในสังคมท้องถิ่นอันประกอบด้วยบ้านและเมืองดังกล่าวนี้ สร้างศิลปวัฒนธรรมขึ้นมาเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความหมาย และมีกาลเทศะ ศิลปวัฒนธรรมที่จับต้องได้เป็นรูปธรรมนั้นเห็นได้ เช่น สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมของวัดวาอาราม และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในระบบความเชื่ออื่น ๆ ในขณะที่ศิลปวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้นั้นคือ ประเพณีพิธีกรรม เช่น ประเพณีเกี่ยวกับชีวิตและประเพณีสิบสองเดือนที่ทำกันทั้งในบ้านและวัดตามกาลเทศะที่กำหนดไว้ บรรดาประเพณีพิธีกรรมเหล่านี้คือกลไกในการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมให้คนอยู่ร่วมกันอย่างเป็นปึกแผ่น ทำให้เกิดความมั่นคงทางสังคมและจิตใจที่นำไปสู่ความมั่นคงของมนุษย์ ในส่วนระบบประเพณีพิธีกรรมเหล่านี้สร้างขึ้นโดยคนท้องถิ่นจึงมีรูปแบบ ขั้นตอน วิธีการและความหมายทางสัญลักษณ์ที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะแต่ละถิ่นมากมาย และแต่ละท้องถิ่นก็ให้ความสำคัญของประเพณีพิธีกรรมแต่ละเรื่องไม่เท่ากัน ดังเช่นประเพณีขึ้นธาตุและชิงเปรตที่พระบรมธาตุเมืองนครฯ มีความสำคัญในลักษณะที่เป็นอัตลักษณ์ของคนในท้องถิ่นภาคใต้ ในขณะที่ประเพณีจุดบั้งไฟมีความสำคัญกับคนในท้องถิ่นหลาย ๆ ถิ่นในภาคอีสาน หรือประเพณีเทศน์มหาชาติที่มีการแห่ผีตาโขนเป็นอัตลักษณ์ของคนด่านซ้ายในจังหวัดเลย เป็นต้น เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๒ ข้าพเจ้าทำการศึกษาชุมชนอยู่ที่บ้านม่วงขาวในเขตตำบลโคกปีบ อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งเป็นชุมชนของคนลาวพวนในท้องถิ่นดงศรีมหาโพธิ์ ที่มี ต้นโพธิศรีมหาโพธิ์เป็นต้นไม้เก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ของคนท้องถิ่นที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ อาทิ คนลาวพวน ลาวอีสาน ลาวเวียง คนมอญ คนเขมร คนไทยและคนจีน อยู่ผสมผสานกันตามหมู่บ้านต่าง ๆ มาราวเกือบ ๒๐๐ ปี กลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ในระยะแรกที่เคลื่อนย้ายเข้ามานั้น มีลักษณะต่างคนต่างอยู่และเข้ากันไม่ได้ แต่ทุกกลุ่มให้ความสำคัญกับต้นโพธิศรีมหาโพธิเหมือนกัน จะพากันมาไหว้ต้นโพธิศรีมหาโพธิในเดือนหกอันตรงกับประเพณีวิสาขบูชาทางพุทธศาสนา จากการมาพบปะทำบุญร่วมกัน ความสัมพันธ์ทางสังคมก็พัฒนาขึ้น ทำให้ทุกหมู่บ้านของท้องถิ่นรู้จักกัน สัมพันธ์กันในการแต่งงานและกิจกรรมแลกเปลี่ยนสิ่งของและแรงงานในชีวิตทางเศรษฐกิจ คนลาวอีสานคิดจุดบั้งไฟขึ้น ณ ลานวัดต้นโพธิในยามเทศกาล เลยเกิดเป็นประเพณีและศิลปวัฒนธรรมขึ้น เป็นของทุกหมู่บ้านในท้องถิ่น พร้อมกันสร้างบั้งไฟทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ในนามของวัดประจำหมู่บ้านมาแห่มาเซิ้ง และนำมาจุดแข่งขันกันที่ลานวัดต้นโพธิ์ ทำให้ผู้คนในท้องถิ่นได้พบปะกัน ทำบุญร่วมกันและเกิดสำนึกในการเป็นคนดงศรีมหาโพธิร่วมกัน แต่ที่สำคัญอย่างมากก็คือ วันจุดบั้งไฟและประเพณีวิสาขบูชานี้ เป็นวันรวมญาติ พ่อแม่ปู่ย่าตายายและลูกหลาน ทำให้คนรุ่นลูกและหลานที่จากบ้านเกิดไปทำงานในเมืองและต่างจังหวัดจะเดินทางกลับมาพบพ่อแม่ ปู่ย่าตายายและทำบุญร่วมกัน สนุกสนานร่วมกัน เป็นประเพณีที่ทุกคนคาดหมายและเตรียมตัวเตรียมใจเป็นอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าได้สังเกตการณ์และร่วมสนุกสนานในชีวิตวัฒนธรรมของคนเหล่านี้ แต่ในปัจจุบันกลับซบเซาและขาดความหมายทางชีวิตวัฒนธรรม เพราะนับเป็นสิบปีมาแล้วที่ทางรัฐและการท่องเที่ยว (ททท.) เข้ามาเกี่ยวข้อง นั่นคือกรมศิลปากรประกาศต้นโพธิศรีมหาโพธิและบริเวณโดยรอบเป็นหลักฐานทางโบราณคดี กำหนดเขตหวงห้ามไม่ให้ชาวบ้านชาวเมืองเข้าไปใช้สถานที่ดังแต่ก่อน และในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวในช่วงเวลาจุดบั้งไฟ มีการกำหนดและสร้างกฎเกณท์ต่าง ๆ รวมทั้งทำให้เกิดรายได้จากการท่องเที่ยวแก่บรรดาผู้ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยว ประเพณีจุดบั้งไฟของคนในท้องถิ่น ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นประเพณีพิธีกรรมและศิลปวัฒนธรรมของคนในที่คิดขึ้นทำขึ้นในพื้นที่อย่างมีกาลเทศะก็สิ้นสุดลง กลายเป็นของคนนอกที่เข้ามากำหนดรูปแบบและบทบาท รวมทั้งแสวงหาผลประโยชน์อย่างไม่ต้องตามกาลเทศะไป ทุกวันนี้ ประเพณีบั้งไฟท้องถิ่นศรีมหาโพธิจึงกลายเป็นศิลปวัฒนธรรมเพื่อขายไป ซึ่งก็เหมือนกับประเพณีพิธีกรรมอันเป็นอัตลักษณ์ของท้องถิ่นอีกมากมายหลายแห่งทั่วประเทศ ประเพณีจุดบั้งไฟของท้องถิ่นศรีมหาโพธินี้ คือสมบัติร่วมของคนในท้องถิ่นที่มีความหมายต่อชีวิตวัฒนธรรมเป็นอย่างยิ่ง ได้ถูกทั้งรัฐและการท่องเที่ยวจากส่วนกลางแย่งยื้อและช่วงชิงไปขายให้กับนักท่องเที่ยวทั้งจากต่างประเทศและในประเทศ ซึ่งก็คือคนนอกนั่นเองทำให้ผู้ประกอบการเหล่านั้นมีรายได้ที่รัฐสามารถนำไปโอ่ถึง GDP. จนทำให้เกิดเป็นนโยบายที่ต่อเนื่องอยู่ในปัจจุบัน อีกแห่งหนึ่งที่ดังกว่าศรีมหาโพธิ์คือ ด่านซ้ายในเขตจังหวัดเลยที่มีเทศกาลบุญพระเวส อันมีการจัดขบวนผีตาโขนของคนท้องถิ่นร่วมพิธีและสร้างความสนุกสนาน โดยความหมายผีตาโขนคือพวกผีป่าผีร้ายที่ตามพระเวสสันดรมากรุงสีพีเพื่อเอาบุญเอากุศลเป็นบุคคลในพระพุทธศาสนา เมื่อมาถึงวัดโพนชัยอันเป็นสถานที่เทศมหาชาติก็ปลดเปลื้องบรรดาหน้ากากและหัวโขนที่ทำด้วยเศษผ้าเศษกระดาษอันเป็นสัญลักษณ์ของความอัปมงคลทิ้งลงลำน้ำหมันที่ผ่านกลางเมืองไป แต่ทางรัฐ ททท. และบรรดานายทุนที่หากินกับการท่องเที่ยวก็แย่งชิงการแสดงผีตาโขนของคนท้องถิ่นให้เกิดเป็นจุดเด่นของการท่องเที่ยวไม่ให้ความสำคัญกับการเทศน์มหาชาติ เช่น เน้นเรื่องผีตาโขน พัฒนาหน้ากากหัวโขนให้สวยงามเป็นรูปแบบศิลปกรรมที่ซื้อและเอากลับไปเป็นของที่ระลึกได้ ทำให้ความหมายของหน้ากากหัวโขนที่เป็นสัญลักษณ์ของความอัปมงคล มีมูลค่าเป็นเงินเป็นทองและเป็นของดีที่ระลึกไป นี้คือการนำวัฒนธรรมมาขายแต่ทำลายสิ่งที่เป็นคุณค่าในชีวิตวัฒนธรรมโดยแท้ เมืองด่านซ้ายกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวเมื่อฤดูกาลมาถึง ผู้ที่ได้รับประโยชน์คือคนจากภายนอก ในขณะที่คนในเกิดการแตกแยกเพราะเกิดคนที่เห็นแก่ได้และยินดีที่จะทำทุกอย่างเพื่อการขายวัฒนธรรมของคน แต่การขายวัฒนธรรมที่เลวร้ายอย่างสุด ๆ เห็นจะเป็นการแห่เทียนเข้าพรรษาของเมืองอุบลฯ ที่เพียงอ้างแต่ชื่อ แต่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างหมดเพื่อการท่องเที่ยว และความอุบาทว์ที่เกิดขึ้นก็คือ การแห่เทียนเข้าไปแข่งขันและแสดงกันอย่างมโหฬารที่ทุ่งศรีเมืองแทนการแห่เทียนเข้าพรรษาที่วัดอย่างที่เคยมีมาแต่ก่อน กระนั้นก็ดี ประเพณีทางศิลปวัฒนธรรมที่อัปมงคลสุดๆ และอุบาทว์สุด ๆ เห็นจะไม่มีอะไรเกินประเพณีสงกรานต์และลอยกระทง ทั้งสองเป็นประเพณีของการเปลี่ยนผ่านในรอบปี จากปีเก่าสู่ปีใหม่ซึ่งมนุษย์ชาติแทบทุกเผ่าพันธุ์ให้ความสำคัญคล้ายคลึงกัน หากแตกต่างกันทางรูปแบบ สงกรานต์เป็นเรื่องช่วงเวลาที่เกี่ยวกับพระอาทิตย์ในขณะที่ลอยกระทงเป็นเรื่องของพระจันทร์ เป็นประเพณีที่มีความหมายทางสังคมเป็นอย่างยิ่ง คือสร้างความสัมพันธ์ ฟื้นความสัมพันธ์และผ่อนคลายความขัดแย้งของตนตั้งแต่ครอบครัว กลุ่มเครือญาติมาถึงชุมชนและระหว่างชุมชนท้องถิ่นที่อยู่ใกล้เคียงกัน ทั้งสองประเพณีนี้ รัฐ การท่องเที่ยวและนายทุนก็แย่งยื้อจากชีวิตวัฒนธรรมของคนที่เคยอยู่รวมกันเป็นครอบครัว มีเครือญาติ มีชุมชน มาเป็นการละเล่นเพื่อปลดปล่อยและระบายอารมณ์ที่เป็นตัณหาราคะของผู้คนร้อยพ่อพันแม่ไม่มีหัวนอนปลายตีนทั้งในประเทศและจากต่างประเทศ ประเพณีทั้งสองนี้เล่นกันอย่างไม่มีกาละเทศทั้งประเพณี [Nationwide] ที่รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยซึ่งล้วนมีสติปัญญาในทางลบ มักออกแถลงการณ์คาดคะเนว่า ปีนี้จะมีสถิติการตายและบาดเจ็บเป็นจำนวนเท่าใด แต่ที่น่าทุเรศในเรื่องของความคิดและวิธีคิดก็คือ เรื่อง “เจ็ดวันอันตราย” นี่หรือคือช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของประเพณีสงกรานต์เพื่อความเป็นสวัสดิมงคล อนิจจาสยามประเทศ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • เหนือในหลวงยังมีพระแก้วมรกต

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2555 ท่ามกลางความขัดแย้งทางความคิดในเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจ รวมทั้งการแตกแยกทางสังคม เกิดการแบ่งกลุ่มออกเป็นหลายฝักฝ่าย [Factions] ที่ต่างก็มุ่งหวังประโยชน์ของส่วนตนและพวกพ้องที่กำลังนำไปสู่ความเกลียดชังและความแค้น อันจะทำให้เกิดการกระทำที่รุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั้น แต่ละกลุ่มที่เกี่ยวข้องมักโต้ตอบกันด้วยวาทกรรมในเรื่องการต่อสู้เพื่อความเป็นประชาธิปไตยแบบฝรั่งตะวันตก เช่น อเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส และการลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ด้วยการแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๑๒ อันเกี่ยวกับความมั่นคงของพระมหากษัตริย์ ก็ได้มีนักวิชาการหัวนอกที่เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศกลุ่มหนึ่งที่ถูกบรรดาอาจารย์ฝรั่งอบรมให้ไม่เอาเจ้าและล้มเจ้าขึ้นมาแสดงความกล้าหาญทางวิชาการแบบไม่มีกาลเทศะอย่างทะลึ่งและลำพองว่า “ จะต้องให้พระมหากษัตริย์ต้องสาบานตนเองต่อรัฐสภาจึงจะเกิดภาวะความเป็นธรรมทางสังคมในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยได้ ” เพราะเท่าที่เป็นอยู่นั้น ไม่ใช่เป็นประชาธิปไตย หากเพราะอำนาจอยู่ในหมู่อำมาตย์ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่ในช่วงเวลาที่นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยออกมาแสดงการคุกคามต่อพระมหากษัตริย์ (ตามความรู้สึกของข้าพเจ้า) ก็มีสถานีวิทยุโทรทัศน์หลายช่องได้นำเทปวีดีโอเรื่อง “จิตวิญญาณของประเทศชาติ” [Soul of a Nation] ที่สถานี BBC ของอังกฤษทำไว้และเผยแพร่เมื่อราว ๒๐ ปีที่แล้วมา อันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ ๙ และพระราชจริยวัตรของพระองค์ในฐานะเป็นพระมหากษัตริย์ในการปกครองระบอบรัฐธรรมนูญของการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขออกมาแพร่ภาพ ทำให้ข้าพเจ้าพอฟื้นความจำได้เพราะอายุเข้ามาค่อนศตวรรษแล้ว นับเป็นยุคสมัยที่บรรดานักวิชาการหัวนอกรุ่นใหม่ ๆ ที่แสดงการก้าวร้าวนั้น อาจจะยังไม่เกิดหรือไม่ก็เป็นทารกที่ไร้เดียงสาอยู่ก็ว่าได้ เพราะภาพที่แพร่หลายในโทรทัศน์ที่จัดทำโดยสารคดี BBC นี้ เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกในเรื่องสถานภาพและบทบาทของพระมหากษัตริย์ไทย ภายใต้การปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญเป็นอย่างดี อีกทั้งแสดงให้เห็นถึงการบำเพ็ญพระบารมีที่ได้เสด็จไปช่วยเหลือและเยี่ยมเยียนอาณาประชาราษฎร์อย่างสม่ำเสมอและสืบเนื่องมาจนทุกวันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นนักศึกษาที่มีความต่อเนื่อง คือนำความรู้ทางวิชาการที่ทรงศึกษามา และความรู้ข้อเท็จจริงใหม่ ๆ จากการเสด็จออกไปตามท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศ ตั้งคำถามและหาแนวทางที่สามารถปฏิบัติได้และควบคุมได้มาช่วยเหลือราษฎรที่ประสบปัญหาในการทำมาหาเลี้ยงชีพในการเกษตรให้สามารถฟื้นฟูชีวิตความเป็นอยู่ในท้องถิ่นได้ดีตามอัตภาพ จนมีผู้รู้ทั้งภายในและนอกประเทศมักกล่าวขวัญให้ฟังว่า “ พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์เพื่อการเกษตรในสังคมเกษตรกรรมโดยแท้ ” เหตุที่เป็นเช่นนี้ทรงตระหนักดีถึงรากเหง้าทางสังคมและวัฒนธรรมของบ้านเมืองที่เป็นสังคมเกษตรกรรมแบบยั่งยืนมาแต่ดำบรรพ์ และความขัดแย้งที่เดือดร้อนที่เกิดขึ้นในประเทศชาติก็คือ การที่รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยในระบอบรัฐธรรมนูญนั้น พยายามทำให้สังคมไทยเป็นสังคมอุตสาหกรรมเยี่ยงประเทศทางตะวันตกนั่นเอง พฤติกรรมที่ก้าวร้าวและทะลึ่งของนักวิชาการเด็กทารกที่แสดงออกที่สถานการศึกษาในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่เรียกร้องให้พระมหากษัตริย์ต้องสาบานตนต่อรัฐบาลนั้น ข้าพเจ้ายอมรับไม่ได้ในฐานะที่เป็นประชาชนคนหนึ่งภายใต้การปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ได้สะกิดใจให้เห็นภาพที่แพร่อยู่ในโทรทัศน์ที่สถานี BBC ของอังกฤษตอนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงนำบรรดาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และผู้น้อยในคณะรัฐบาลสาบานตนต่อพระแก้วมรกต โดยที่พระองค์เองก็ทรงเป็นหนึ่งในผู้ร่วมสาบานเช่นคนอื่น ๆ เลยทำให้ต้องขอบคุณนักวิชาการเด็กทารกนั้นที่ทำให้ได้เข้าใจว่า ขณะที่ใคร ๆ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ๆ ที่คิดว่าพระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจสูงสุดนั้น แท้จริงแล้วเหนือพระองค์ท่านยังมีอำนาจสูงสุดขึ้นไปอีก คืออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือธรรมชาติและเหนือความเป็นพระสมมติเทวราช อำนาจของกฎหมายรัฐธรรมนูญแบบตะวันตกนั้น คนตะวันออกเห็นว่าเป็นอำนาจสาธารณ์ที่สามารถแก้ไข โต้แย้งได้ด้วยการขึ้นโรงขึ้นศาลที่ไม่มีทางทำให้เกิดสำนึกในสิ่งที่เป็นมโนธรรมได้ ยิ่งในปัจจุบันในประเทศไทยหรือสยามประเทศด้วยแล้ว อำนาจรัฐธรรมนูญในขณะนี้เป็นยิ่งกว่า “อำนาจสาธารณ์” กลับกลายเป็น “อำนาจสามานย์” ที่บรรดานักการเมือง นักวิชาการ และข้าราชการใช้เป็นเครื่องมือให้แสวงหาความมั่งคั่งทางทรัพย์สินและเงินทองเพื่อตนเองและพรรคพวก จนเกิดความขัดแย้งและความรุนแรงดังเช่นทุกวันนี้ ในฐานะของคนค่อนศตวรรษเช่นข้าพเจ้า ได้รับการอบรมและบอกห้ามมาแต่เล็ก ๆ ว่าจะสาบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ก็ตาม แต่อย่าได้สาบานต่อพระแก้วมรกตอย่างเด็ดขาด เพราะถ้าเป็นการโกหกแล้วจะมีการเป็นไปไม่ช้าก็เร็ว คนรุ่นราวคราวเดียวกับข้าพเจ้าหลายคนที่เป็นคนกรุงเทพฯ ก็ได้รับการอบรมเช่นนี้มาเช่นกัน เคยจำได้ว่ามีนักการเมืองที่เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่ง เคยสบถสาบานต่อพระแก้วมรกตในยามที่มีความขัดแย้งกันทางการเมือง นักการเมืองท่านนั้นคือ คุณสมัคร สุนทรเวช ที่ต่อมาได้รับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีก่อนที่จะถึงแก่อนิจกรรม คุณสมัครเป็นคนที่ชอบสาบานอยู่เนือง ๆ แม้ตอนขึ้นศาลก่อนที่จะถูกตัดสินให้แพ้คดีความก็ได้สบถสาบานเช่นกัน คุณสมัครสิ้นชีวิตด้วยโรคมะเร็งเช่นเดียวกันกับนักการเมืองอีกหลายคนที่เคยเป็นใหญ่เป็นโต ซึ่งผู้รู้หลายคนวิจารณ์ให้ข้าพเจ้าฟังว่า น่าจะเกี่ยวข้องถึงการไปสาบานตนก่อนเข้าตำแหน่งต่อหน้าพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของประเทศชาติเข้า ความเชื่อในเรื่องการโกหกและผิดสาบานดังกล่าวนี้ ถ้าย้อนหลังไปถึงสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วก็จะเกี่ยวข้องกับการที่ขุนนาง ข้าราชการ ที่เข้ามารับใช้พระมหากษัตริย์และพระเทศชาตินั้นจะต้องเข้าพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาต่อหน้าพระแก้วมรกตและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของราชอาณาจักรที่มีขึ้นในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในลักษณะเช่นเดียวกันกับพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาในพระวิหารวัดพระศรีสรรเพชญดาญาณครั้งกรุงศรีอยุธยา พระราชพิธีนี้กระทำต่อหน้าพระศรีสรรเพชญดาญาณอันเป็นพระพุทธรูปประธานในพระวิหารเช่นกัน พระราชพิธีถือน้ําพระพิพัฒน์สัตยาหรือพระพิพัฒน์สัจจา เป็นพิธีสาบานตนในการรับราชการว่าจะซื่อตรงต่อแผ่นดินและปกป้องชาติ บ้านเมืองให้เกิดความสงบสุข โดยข้าราชการทั้งหลายจะต้องดื่มน้ําสาบานตนจําเพาะพระพักตร์ พระมหากษัตริย์และส่ิงศักดิ์สิทธ์ิท้ังปวง พระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยานี้หลายท่านให้ความเห็นว่ามีที่มาจากประเพณีของเมืองพระนคร แต่ข้าพเจ้าได้หลักฐานว่ามีมาแต่รัฐศรีวิชัยในเกาะสุมาตราแล้ว นับเป็นโบราณราชประเพณีของบ้านเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างแท้จริง ความเชื่อในเรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณนี้ยังมีผลมาถึงสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองในสมัย พ.ศ. ๒๔๗๕ เช่นกัน เพราะมีผู้กล่าวอ้างบ่อย ๆ ทั้งจากการเล่าขานและการตีพิมพ์เป็นบทความว่า คณะราษฏรที่มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นล้วนมีอันเป็นไปแทบทุกคน โดยเฉพาะคนส่วนใหญ่ที่ตายในต่างประเทศ ปัจจุบัน แม้ว่าการถือน้ำพิพัฒน์สัตยาคลายความสำคัญไป แต่ประเพณีการถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของราชอาณาจักรก่อนที่ผู้ได้รับตำแหน่งและแต่งตั้งให้รับราชการก็ยังดำรงอยู่ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มักทรงเตือนให้ผู้เข้ารับตำแหน่งดำรงตำแหน่งสำคัญเหล่านั้นต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเที่ยงตรงตามที่ได้สาบานไว้เสมอ สิ่งนี้นับเป็นการอบรมทางศีลธรรมและจริยธรรมแก่บรรดาขุนนางข้าราชการอย่างแท้จริง เพราะเป็นการควบคุมในจิตสำนึกและมโนธรรมได้เป็นอย่างดี และดูเป็นพระราชภารกิจที่สำคัญในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ผู้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้การปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญด้วย เพราะฉะนั้น ภาพที่ปรากฏในสื่อโทรทัศน์ของสถานี BBC ที่กล่าวมาแล้วแต่ข้างต้น ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ยังต้องทรงสาบานต่อพระแก้วมรกตร่วมกันกับหมู่ข้าราชการนั้น ย่อมสะท้อนให้เห็นเป็นอย่างดีว่า เหนือในหลวงก็ยังมีพระแก้วมรกต ในการจรรโลงศีลธรรมและจริยธรรมของผู้ที่มีหน้าที่ในการปกครองและบริหารบ้านเมือง การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นการปกครองระบอบรัฐธรรมนูญเพื่อให้เป็นประชาธิปไตย เช่นในสังคมตะวันตกโดยเฉพาะเช่นอเมริกานั้น มาถึงทุกวันนี้นับเวลาได้ ๘๐ ปีแล้ว แต่ความเป็นประชาธิปไตยที่ได้มาก็เหมือนลม ๆ แล้ง ๆ หาใกล้เคียงกับอุดมคติไม่ อันเนื่องเป็นประชาธิปไตยจากข้างบน [Top down] มากกว่าเป็นการเพรียกร้องจากเบื้องล่าง เพราะคณะราษฎรที่ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นล้วนแต่เป็นขุนนางข้าราชการรุ่นใหม่ที่ยังเป็นระดับชนชั้นปกครองทั้งนั้น ทั้งทหารและพลเรือน โครงสร้างทั้งการเมืองและการบริหารยังมีลักษณะรวมศูนย์เหมือนกันกับสมัยสมบูรณาญาสิทธิราช หาได้มีการกระจายอำนาจอย่างแท้จริงลงมายังข้างล่างในระดับท้องถิ่นไม่ จึงไม่มีสิ่งที่เรียกว่าการปกครองท้องถิ่น [Local government] มีแต่การบริหารส่วนท้องถิ่น [Local administration] เป็นสำคัญ ผลของการปกครองแบบรวมศูนย์ที่ทำให้เกิดความลดหลั่นและเหลื่อมล้ำในเรื่องอำนาจจากบนลงล่างเป็นแนวตั้งที่ธำรงค่านิยมในเรื่องสถานภาพทางสังคมนี้ เหลื่อมล้ำกันจนไม่เกิดสำนึกในเรื่องความเสมอภาคของมนุษย์ตามอุดมคติประชาธิปไตยได้ ทั้งประเทศอาจแบ่งออกได้เป็นกลุ่มคนชั้นปกครอง เช่นพวกทหารและข้าราชการที่มีชั้นและรูปแบบในความดำรงชีวิต กับชนชั้นที่ถูกปกครองคือราษฎร หรือในสมัยก่อนเรียกว่าไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงมาเป็นระบอบประชาธิปไตยแต่ พ.ศ.๒๔๗๐ จึงดูดีอยู่ในระยะต้น ๆ พอถึงสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ประชาธิปไตยแทบไม่มีเหลือ กลายเป็นเผด็จการในนามของประชาธิปไตยระบอบรัฐธรรมนูญไป สมัยต่อจากจอมพล ป. ก็มีการปฏิวัติรัฐประหารและแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญบ่อย ๆ และการปกครองก็ยังมีลักษณะเผด็จการอยู่ดี หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย ใน พ.ศ. ๒๔๗๕ ไม่มีการจัดพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาอีก จนกระทั่ง พ.ศ.๒๕๑๒ ทรงฟื้นฟูพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาตามแบบโบราณราชประเพณีผนวกเป็นการเดียวกันกับพระราชพิธีพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี รวมทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง “ประกอบพิธีสาบานตนต่อหน้าพระแก้วมรกต” วัดพระศรีรัตนศาสดารามด้วย ผู้ก่อการปฏิวัติและรัฐประหารต่างก็อ้างว่าทำเพื่อความเป็นประชาธิปไตย แต่โดยปฏิบัติก็คือเผด็จการที่เปลี่ยนแปลงจากขุนศึกมาเป็นนายทุน ซึ่งปัจจุบันผู้มีอำนาจของรัฐบาลคือพวกนักธุรกิจ นายทุนที่ส่วนใหญ่ใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้งเข้ามาเป็นผู้แทนราษฎรเป็นเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภา และแต่งตั้งพรรคพวกตนเป็นรัฐบาล กลายเป็นเผด็จการรัฐสภาในลักษณะที่เป็นธนาธิปไตยแทนประชาธิปไตย เพราะใช้เงินอันเป็นรายได้ของรัฐทั้งแจกและซื้อ การยอมรับและการสนับสนุนจากคนเบื้องล่างที่ไม่เคยได้รับการอบรมและอธิบายว่าประชาธิปไตยคืออะไร เมื่อใดที่ผู้นำของกลุ่มทรราชเหล่านี้ต้องการในสิ่งใด ๆ ก็ตามที่เป็นประโยชน์และความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการเมืองของพวกตน ก็มักจะใช้เงินมอมเมาผู้คนจากเบื้องล่างให้เข้ามาเคลื่อนไหว กดดันทั้งรัฐและสังคมให้ยอมตนเอยู่เสมอ ดูเหมือนความเลวร้ายของการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบรัฐธรรมนูญเพื่อเป็นประชาธิปไตย ในทุกวันนี้ รุนแรงกว่าสมัยใด ๆ ที่ผ่านมา เพราะกลุ่มทรราชธนาธิปไตยซื้อได้ทั้งอำนาจการบริหารในรัฐบาล และอำนาจนิติบัญญัติในรัฐสภา ยังอยู่เพียงอำนาจตุลาการเพียงโสดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสภาพง่อนแง่นและอ่อนล้า อันเกิดจากการถูกตามด้วยอำนาจการซื้อด้วยเงินของฝ่ายทรราชย์ ทำให้ความอยากและความปรารถนาที่จะเป็นประชาธิปไตยอย่างที่ควรจะเป็นนั้น เป็นเพียงแสงริบหรี่ที่กำลังจะดับสนิทในไม่ช้า อนิจจาแปดสิบปีประชาธิปไตยในสยามประเทศ อคติในปัจฉิมลิขิตของบทความนี้ของข้าพเจ้าก็คือ ทุกวันนี้คนไทยเป็นคนไร้พรมแดน ความเป็นไทยไม่ใช่อิสรเสรี หากมีแต่ความเป็นข้า คือข้าทาสติดที่ดินของคนอเมริกัน คนอังกฤษ คนฝรั่งเศส คนสิงคโปร์ คนเกาหลี คนญี่ปุ่น ซึ่งรวมทั้งคนมลายู คนฟิลิปปินส์ คนไต้หวัน คนจีน คนฮ่องกง คนเวียดนามและอื่น ๆ ยกเว้นคนเขมรที่เป็นผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขได้ในอนาคต อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • AEC : สัญญาณวิบัติประชาชาติ

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2556 ข้าพเจ้าจำได้ว่าหลายปีที่ผ่านมามีผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคมนำความคิดเชิงวาทกรรมชุดหนึ่งมาเผยแพร่ในสังคมเรื่อง รายได้ประชาชาติ [Gross Domestic Product : GDP] กับ ความสุขมวลรวมของประชาชาติ [Gross National Happiness : GNH] เนื่องจากสังคมไทยให้ความสำคัญกับการเพิ่มรายได้เพื่อความร่ำรวยในทางวัตถุที่เป็นรูปธรรมจนขาดความสุขทางจิตวิญญาณที่เป็นนามธรรมอันเป็นความสงบสุขที่แท้จริง สังคมที่ถูกนำมาอ้างอิงเป็นแบบอย่างในช่วงเวลานั้นก็คือ ภูฐาน อันเป็นประเทศเล็กบนเทือกเขาหิมาลัย ทำให้เกิดการสร้างสัมพันธ์ทางการทูตกับภูฐานและมีการนำทัวร์นำเที่ยวกันอย่างครึกโครมของหน่วยงานของรัฐและภาคเอกชนและต่างกลับมายกย่องกล่าวขวัญถึงการเป็นสังคมที่มีความสุขมวลชนของประชาชาติ ผลที่ตามมาก็คือทำให้มีการติดต่อแลกเปลี่ยนกันทางวัฒนธรรมมีทั้งทีมงานทีมวิชาการจากประเทศไทยไปภูฐานและจากภูฐานมาไทย ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างระหว่างกัน ข้าพเจ้าเคยมีโอกาสร่วมเดินทางไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเขาเหมือนกัน จนเกิดพัฒนาความเข้าใจไปในเชิงนอกรีตนอกรอยจากคนอื่น ๆ โดยคิดว่าบรรดาท่านทั้งหลายที่เข้าไปภูฐานนั้นยังมองอะไรที่ยังไม่ถนัดในเรื่องอะไรคือ ความสุขมวลชนของคนภูฐาน เพราะไม่ค่อยได้ไปซักถามเรียนรู้และสังเกตเห็นอะไรจากการที่เข้าไปในสังคมของคนภูฐาน แต่ดูยินดีในการเสวนาแลกเปลี่ยนเชิงสั่งสอนให้กับคนภูฐานในเรื่องเศรษฐกิจทุนนิยมและประชาธิปไตยแบบอเมริกาที่ทางไทยโอ่ว่าเป็นเรื่องสมัย ดูไปแล้วเคยคิดว่าแทนที่จะไปเรียนรู้อะไรคือความสุขเพื่อจะได้นำมาสร้างขึ้นบ้างในเมืองไทย กลับเป็นเรื่องการนำทุกข์ที่เกิดจากประชาธิปไตยสาธารณ์และทุนสามานย์ไปสอนเขา ในความเข้าใจของข้าพเจ้าภูฐานเป็นประเทศของผู้คนในโลกหิมาลัย [Himalayan world] เป็นโลกของผู้คนที่ต่างทั้งภพภูมิกับคนไทยและคนอื่นๆ ที่อยู่แต่เชิงเขาหิมาลัยลงไปถึงจดทะเลจดมหาสมุทร จากที่ได้เข้าไปเห็นและสัมผัส โลกหิมาลัยคือแดนหิมพานต์ที่หิมะสีขาวเงินยวงปกคลุมครึ่งปีและอีกครึ่งปีเป็นป่าเขาสีเขียวสดภายใต้ท้องฟ้าที่สดใสไร้มลทินจากเมฆและฝน เป็นดินแดนกึ่งโลกมนุษย์กับสวรรค์ที่อยู่เหนือยอดเขาหิมาลัยขึ้นไป ความเป็นมนุษย์ของคนในโลกหิมาลัยไม่ว่าภูฐาน เนปาล ทิเบตและที่อื่น ๆ นั้น แลเห็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสิ่งเหนือธรรมชาติอย่างชัดเจน ต่างกันกับบรรดามนุษย์โลกที่อยู่ใต้เขาหิมาลัยที่นับวันความสัมพันธ์กับสิ่งเหนือธรรมชาติและจักรวาลอยู่ในสภาพที่เลือนรางทุกวัน โดยเฉพาะมนุษย์โลกในสังคมไทยที่แต่ก่อนเคยโอ้อวดถึงความเป็นเมืองพุทธเป็นสยามเมืองยิ้ม เป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์และมีสันติสุข โดยเฉพาะสุขทั้งกายและใจในมิติของจิตวิญญาณ แต่หลังจากไปคบค้าสมาคมกัน อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศสที่เป็นอสุรกายของโลก ความเชื่อในพระศาสนาอันเป็นที่มาของศีลธรรม จริยธรรม และความสงบสุขทั้งการและใจในจิตวิญญาณก็สลายไปในหมู่คนรุ่นพ่อแม่และลูกหลานที่กลายเป็นทาสทางความคิดของบรรดาอสุรกายไป คนไทยทุกวันนี้ถูกความโลภความต้องการทางวัตถุแสวงหาอำนาจและเงินตราจนโงหัวไม่ขึ้น เกิดความขัดแย้งแย่งชิงกันจากความโลภ โมหะ และราคะที่ทำให้เกิดความโกรธเกลียดถึงขั้นมีการฆ่าล้างทำร้ายกันแล้ว ซึ่งก็นับวันจะทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ จึงดูเป็นเรื่องน่าขบขันสำหรับข้าพเจ้า ที่เกิดมีผู้โหยหาความสุขมวลรวมประชาชาติ [GNH] แบบอย่างภูฐานบ้าง แต่แทนที่จะไปเรียนรู้จากเขากลับไปเอาคัมภีร์ของอสุรกายเรื่องประชาธิปไตยสาธารณ์และเศรษฐกิจทุนนิยมสามานย์ไปเผยแพร่ ความสุขกายและสุขใจของคนภูฐานและคนในโลกหิมาลัยเกิดจากความเชื่อมั่นศรัทธาในพระพุทธศาสนามหายานที่เรียกว่า “ วัชรยาน ” ซึ่งเป็นลัทธิศาสนาแบบตันตริกที่มองว่ามนุษย์จะบรรลุความหลุดพ้นทางโลกเข้าสู่นิพพานได้ด้วยประสบการณ์ในเรื่องรูปรสกลิ่นเสียง โดยสร้างบุคคลาธิษฐานให้เกิดตัวตนขึ้นทั้งในสิ่งที่เป็นความชั่วและความดี เช่น ความชั่วจะแลเห็นในรูปของมารอสุรกาย อมนุษย์ สัตว์ร้าย ส่วนสิ่งที่เป็นความดีงามเป็นเทพเป็นพระและสัญลักษณ์ที่เป็นมงคล เป็นต้น บนสวรรค์ของคนในโลกหิมาลัยมีพระเทพพุทธเจ้าหลายพระองค์และพระเทพโพธิสัตว์หลายพระองค์ที่อุบัติมาแต่อดีต ปัจจุบัน และในอนาคต แต่พระเทพโพธิสัตว์ที่เป็นที่กราบไหว้วิงวอนของคนทั้งหลายองค์สำคัญก็คือ “พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร” เป็นพระเทพแห่งความกรุณาปราณีที่จะทรงช่วยเหลือมนุษย์ให้หลุดพ้นความโลกกิเลสและตัณหา คนในโลกหิมาลัยไม่ว่าภูฐานและทิเบตเพรียกหาด้วยมนตราและคาถาว่า “ โอม มณี ปัทเม หุม ” เพื่อทำให้เกิดสติปัญญาที่นำไปสู่ความหลุดพ้นได้ทุกขณะจิต เหตุนี้จึงมีคาถาที่ปรากฏในรูปของธงมนต์ ระฆังมนต์ ล้อมนต์และจารึกอยู่ในแทบทุกพื้นที่ของบ้านเมือง เป็นมนตราที่ท่องบนอยู่ในทุกขณะจิตที่เว้นว่างจากการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน อย่างเช่นในย่านตลาดและร้านค้าที่มีการซื้อขาย คนที่เป็นพ่อค้าและแม่ค้าจะมีระฆังมนต์ขนาดเล็กที่ถือและแกว่งได้เป็นประจำ จะแกว่งสวดมนต์แม้แต่ในขณะขายของเพื่อให้เกิดแสงสว่างแห่งความหลุดพ้นเสมือนมณีเพชรรัตน์ที่ทำให้เกิดสภาวะหลุดพ้นที่เบิกบานไร้มลทินเช่นดอกบัว สำหรับข้าพเจ้าคิดว่าคาถา “ โอม มณี ปัทเม หุม ” นี้คือสิ่งที่ให้คนสามารถกำหนดปัจจุบันอย่างมีสติปัญญาเพื่อเข้าถึงความสุขที่แท้จริงที่ทำให้เกิดภาพรวมที่ว่า ความสุขมวลรวมของประชาชาติ [GNH] ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นคนไทยรุ่นพ่อแม่ลูกและหลานในสังคมไทยปัจจุบันเข้าใจในสิ่งนี้เลย โดยเฉพาะพวกคนที่ได้รับการอบรมและถูกครอบงำด้วยระบบเศรษฐกิจ การเมือง จากอสุรกายอเมริกันที่มีอยู่ทั่วทุกระแหงในวงราชการ การค้าธุรกิจ และการศึกษาของประเทศ ปัจจุบันความต้องการเรื่องความสุขมวลรวมของประชาชาติดูซบเซาไปไม่มีใครใคร่พูดถึง มีแต่การส่งเสริมให้มีการไปท่องเที่ยวที่ภูฐานแทน ซึ่งก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการท่องเที่ยวเพื่อบริโภคความสนุกมากกว่าไปเรียนรู้ แต่ที่น่ากลัวก็คืออาจไปแพร่ความโลภความอยากทางวัตถุให้กับรัฐและประชาชนภูฐานเพื่อเชื้อเชิญความทุกข์มวลรวมประชาชาติ [Gross national suffering] เสียมากกว่า สังคมไทยเป็นสังคมที่ป่วยมานานแล้ว มักหาความหลุดพ้นใหม่ ๆ ด้วยการสร้างวาทกรรมอยู่เนืองๆ ไม่ใช่มีแต่เรื่องการแทน GDP ด้วย GNH เพื่อครั้งนี้เท่านั้น ครั้งก่อนๆ ก็มีเช่นเรื่องการอยากเป็นนิกส์ [Nicks] คือเป็นประเทศเศรษฐกิจใหม่ เป็นหนึ่งในเสือห้าตัวของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นต้น แต่ผลที่ตามมาของการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อการลงทุนก็ล่มจมทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ ทำให้บรรดาชนชั้นกลางและนายทุนใหญ่น้อยทั่วประเทศล่มจม ล้มละลาย และฆ่าตัวตายกันเป็นแถว ๆ ไป มาครั้งความอยากจะมี GNH แบบภูฐานก็กลายเป็นลมเป็นแล้งเพราะไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้ในสังคมทุนนิยมประชาธิปไตยแบบใช้เงินซื้อเสียงที่สร้างความโลภความอยากทางวัตถุอยู่ตลอดเวลา จึงไม่เกิดผลอะไรนอกจากดิ่งลงไปสู่ห้วงแห่งความทุกข์มวลรวมมากกว่า แต่เมื่อเรื่อง GNH หมดไปก็เกิดความหวังใหม่ขึ้นมาแทนคือ AEC [Asian Economic Community] ซึ่งดูเผิน ๆ ก็เหมือนกับว่าเป็นโครงการและกระบวนการที่คิดขึ้นและสร้างขึ้นโดยคนในกลุ่มประเทศอาเซียน [ASIAN] เพราะมีการร่วมคิดร่วมประชุมอยู่เนือง ๆ เช่นมีการประชุมสุดยอดอาเซียนระหว่างกัน เป็นต้น แต่มองให้ลึกแล้วก็จะเห็นได้ว่า มีมหาอำนาจใหญ่ทางการเมืองและเศรษฐกิจของโลกอยู่เบื้องหลัง ดังเห็นได้จากการมีผู้นำหรือผู้แทนสำคัญเข้ามาร่วมประชุมด้วยทุกครั้ง ซึ่งหนทางที่จะเจ้ามาครอบงำได้นั้นก็ต้องอาศัยการประชุมแบบจีทูจี คือประชุมกันระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาลในหมู่ประเทศอาเซียนด้วยกัน แต่มีประเทศมหาอำนาจเข้ามาร่วมในลักษณะ G บวกห้าหรือบวกหก เป็นต้น ซึ่งเมื่อมีการประชุมกันทุกครั้งแล้วก็พอมองเห็นได้ว่าในทางเศรษฐกิจและการเมืองประเทศอาเซียนซึ่งไทยเป็นสมาชิกหนึ่งนั้นล้วนเป็นประเทศสองฝ่ายฟ้าคืออยู่ระหว่างมหาอำนาจทางตะวันตกที่มีอเมริกาเป็นหัวหอก กับมหาอำนาจตะวันออกที่มีจีนเป็นหัวเรือใหญ่ แต่ในความรู้สึกของข้าพเจ้าคิดเฉพาะประเทศไทยว่า เป็นประเทศขี้ข้าสองฝ่ายฟ้าที่แย่ที่สุด เพราะขาดสติปัญญาและประสบการณ์ในการสร้างความรู้ความเข้าใจในการต่อสู้ต่อต้านและต่อรอง อันเนื่องมาจากเป็นขี้ข้าทางปัญญาของอสุรกายอเมริกันมาไม่ต่ำกว่าครึ่งศตวรรษ อาการของการเป็นทาสปัญญานั้นคือคิดไม่เป็น สังเกตและวิพากษ์วิจารณ์ไม่เป็น ท่องจำตะบัน และเชื่อตะบัน ลักษณะเช่นนี้ครอบคลุมไปถึงการศึกษาของเด็กและนักศึกษาในโรงเรียนและตามมหาวิทยาลัยด้วย หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นยุคสงครามเย็นที่โลกแบ่งออกเป็นสองค่าย คือค่ายคอมมิวนิสต์ที่รัสเซียและจีนเป็นผู้นำ กับค่ายประชาธิปไตยที่อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศสเป็นผู้นำ ไทยคือทาสที่ซื่อสัตย์และซื่อบื้อของอเมริกันโดยยืนหยัดในการเป็นประเทศประชาธิปไตยแบบมีพรรคการเมืองและรัฐสภาอย่างแข็งขันในโอวาทของอเมริกัน ทั้ง ๆ ที่เนื้องานในการปฏิบัติคือเผด็จการมาโดยตลอด เพราะโครงสร้างทางการเมืองการปกครองเป็นอำนาจรวมศูนย์ที่ไม่เคยคิดที่จะกระจายลงล่างตามอุดมคติของประชาธิปไตย แต่ที่สำคัญ เน้นระบบการเลือกตั้งที่ฉ้อฉลที่เป็นการซื้อเสียงกันเข้ามาเป็นผู้แทนในพรรคการเมือง เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากสามารถมีอำนาจในสภาและเข้ายึดครองอำนาจและงบประมาณในการปกครองและบริหารได้อย่างเต็มที่ เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งการทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวงในหมู่ข้าราชการ นักการเมือง พ่อค้า และนักธุรกิจอย่างกว้างขวาง คนเหล่านี้ที่มีอำนาจหน้าที่เป็นคนของรัฐแทบไม่มีความคิดอันใดในเรื่องผลประโยชน์ของประเทศชาติและความสงบสุข ความอยู่ดีกินดีของประชาชน แต่ตั้งหน้าตั้งตาโกงกิน มอมเมา และหลอกลวงประชาชนในรูปของประชานิยม ในรูปแบบและวิธีการต่าง ๆ นานา ซึ่งเป็นวิธีการแบบเดียวกันของทุกพรรคการเมืองที่ผลัดกันเข้ามามีอำนาจเป็นรัฐบาล “ประชานิยมคือฉิบหายนิยม” ที่รัฐบาลนำรายได้ของประเทศที่เป็นภาษีอากรจากประชาชนมาแจกจ่ายให้กับประชาชนตามท้องถิ่นต่าง ๆ เพื่อการหาเสียง ซื้อเสียงในการเลือกตั้งและในการสร้างการยอมรับเพื่อความชอบธรรมในการโกงชาติของพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลที่เป็นเผด็จการทางรัฐสภา ทำให้ประชาชนที่มีการศึกษาน้อยและตามไม่ทันรัฐบาล ตามไม่ทันโลกของทุนนิยม ชื่นชอบให้การสนับและยอมให้รัฐบาลและนักการเมืองสนตะพายเหมือนการล่ามควายและจูงควาย จึงเกิดปรากฏการณ์ของคนเสื้อแดงและโจรเสื้อแดงขึ้น ซึ่งกำลังสร้างความพินาศฉิบหายให้กับประเทศชาติบ้านเมืองในขณะนี้อย่างสุด ๆ คนเสื้อแดงกับโจรเสื้อแดงแม้จะอยู่ด้วยกันแต่ก็ต่างกันในเรื่องที่ว่า คนเสื้อแดงเป็นพลเมืองที่เกิดมาจากประชาชนคนเบื้องล่างที่มีการศึกษาน้อยอันเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศที่ได้รับการกดขี่และดูถูกจากบรรดาขุนนางและข้าราชการของรัฐรวมศูนย์มาเป็นเวลาช้านาน แต่ก็ถูกหลอกโดยคนที่เป็นโจรเสื้อแดงที่เป็นนักธุรกิจการเมืองให้มาเป็นพวกด้วยระบบประชานิยม ที่นอกจากจะลงทุนใช้เงินแจกแล้วยังหนุนให้มีอำนาจในการขัดขืนและข่มขู่บรรดาข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในการรักษาความสงบและความมีระเบียบและกฎหมายของบ้านเมือง โจรเสื้อแดงกลายเป็นคนมีอำนาจแบบถูกกฎหมาย เพราะทำอะไรก็ไม่ผิดกฎหมายภายใต้รัฐบาลโจรเสื้อแดงที่สามารถควบคุมตำรวจ อัยการ ทหาร ข้าราชการ และนักวิชาการได้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ จนทำอะไรก็ได้ก็ไม่ผิดถึงผิดก็ทำให้เป็นถูกได้ แต่ที่เลวร้ายที่สุดก็คือโจรเสื้อแดงและรัฐบาลเสื้อแดงก็คือลิ่วล้อและข้าข้า ประเทศมหาอำนาจทางตะวันตกและตะวันออกโดยเฉพาะอเมริกาผู้เป็นจอมอสุรกายแห่งโลก ซึ่งคอยเสริมอำนาจและการสร้างความชอบธรรมในเรื่องทางการเมืองและเศรษฐกิจให้แก่รัฐบาลทรราชทั้งทางตรงและทางอ้อม จนทำให้กลุ่มคนรักชาติและรักความยุติธรรมที่มีกองกำลังไม่กล้าออกมาต่อต้านและขับไล่ทรราช เพราะกลัวการแทรกแซงมหาอำนาจที่เป็นอสุรกายเหล่านี้ ความชั่วร้ายของอเมริกันมหาสกปรกในที่นี้นั้น ข้าพเจ้าหมายถึงรัฐบาลอเมริกันที่มีพรรคการเมืองทั้งเดโมแครตและริพับลิกันผลัดกันเข้ามาเป็นใหญ่ในรัฐบาล หาได้หมายถึงคนอเมริกันในลักษณะที่เป็นปัจเจกชนโดยทั่วไปไม่ เพราะคนเหล่านี้มีทั้งคนดีคนที่รักความยุติธรรม รักอุดมการณ์ประชาธิปไตย และมีสำนึกในเรื่องมนุษยธรรม แต่รัฐบาลกลับมีคืออสุรกายสองหน้า หน้าหนึ่งคือนักบุญที่ร่ายคาถาเผยแพร่ความเป็นประชาธิปไตยให้เห็นตัวอย่างที่ดีของโลก โดยใช้สื่อแทบทุกรูปแบบทั้งทางตรงและทางอ้อมเพื่อสร้างภาพพจน์ของอเมริกันที่เป็นเสาหลักของประชาธิปไตยและการเป็นตำรวจโลก แต่อีกหน้าหนึ่งคือปีศาจร้ายทางเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีที่หิวโหยและแสวงหาทรัพยากรและแห่งทรัพยากรของบรรดาประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศในดินแดนตะวันออกกลางที่มีแหล่งน้ำมันอุดมสมบูรณ์ และประเทศในกลุ่มอาเซียนที่ประเทศไทยและประเทศกัมพูชานับเนื่องเป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ในเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพและทรัพยากรทางพลังงาน เป็นที่ต้องการและแย่งชิงของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจหลาย ๆ ประเทศทั้งทางตะวันตกและตะวันออก รัฐบาลอเมริกันมีความก้าวหน้าล้ำหน้ามหาอำนาจอื่น ๆ ในการเข้าไปแทรกแซงและจัดการกับทั้งไทยและเขมรเป็นอย่างเห็นได้ชัด โดยใช้รัฐบาลไทยที่มีสภาวะเป็นขี้ข้าทางความคิดมาแต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ คือใช้ไทยเป็นฐานทางประชาธิปไตยต่อต้านฝ่ายคอมมิวนิสต์และโฆษณาความเชื่อในเรื่องประชาธิปไตยและเศรษฐกิจทุนนิยม โดยสร้างความเป็นประชาธิปไตยแต่เปลี่ยนภายนอกเท่านั้น หาได้เข้าไปสนับสนุนให้เกิดความเป็นภายในสังคมไทยไม่ ยังคงปล่อยให้เป็นเผด็จการมาแทบทุกยุคทุกสมัย นับแต่เผด็จการทหารมาจนเผด็จการพลเรือนที่เกิดจากนักธุรกิจการเมืองที่ขาดคุณธรรมในความเป็นนักการเมืองในอุดมคติของประชาธิปไตย แต่อาศัยการซื้อเสียง แจกเงิน และหาเสียงจากประชาชนที่ต้องการศึกษาและขาดความรู้ในเรื่องประชาธิปไตยเข้ามาเป็นผู้แทนราษฎรเพื่อโอกาสในการเข้ามาเป็นรัฐบาลมีอำนาจในการบริหาร และเพื่อมีเสียงในสภาที่มีอำนาจทางนิติบัญญัติ อเมริกันทำเฉยกับการปกครองแบบรวมศูนย์ของรัฐบาลไทยมาโดยตลอดทั้ง ๆ ที่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการปกครองแบบประชาธิปไตยในประเทศที่มีประชาชนกว่า ๖๐ ล้านคน และให้การรับรองพรรคการเมืองที่กว้านซื้อเสียง ชนะการเลือกตั้งเข้ามาเป็นรัฐบาลและมีเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภา ให้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในระบบทุนนิยมเสรี บรรดาพ่อค้า นักธุรกิจที่เข้ามาเป็นนักการเมืองเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมเศรษฐกิจที่เคยเป็นเกษตรกรรมแบบชาวนา [Peasant society] มาเป็นอุตสาหกรรมทุนนิยมที่เน้นการลงทุนจากทั้งภายนอกและภายใน โดยเฉพาะการเปิดเสรีให้ทุนข้ามชาติและนักธุรกิจข้ามชาติเข้ามาลงทุน ยึดครองที่ดินและครอบครองการผลิตทั้งสินค้าภายในและสินค้าส่งออก ส่งรายได้ออกไปนอกประเทศ ในทุกวันนี้ ในทุกพรรคการเมืองแทบไม่มีคนที่อยากมีอาชีพเป็นนักการเมืองที่เป็นนักประชาธิปไตยเลย เพราะไม่อาจหาเสียงเลือกตั้งเข้ามาเป็นผู้แทนราษฎรได้ ซึ่งบางครั้งก็มีเล็ดรอดเข้ามาได้ก็เป็นแต่พรรคเล็ก ๆ ที่ไม่มีเสียงได้ในสภา อยู่ได้ขณะหนึ่งก็ถูกดูดกลืนเข้าพรรคใหญ่ที่ล้วนเป็นพรรคของนักธุรกิจการเมืองที่มุ่งหวังเข้ามาเป็นรัฐบาล มีอำนาจรวมศูนย์และงบประมาณรวมศูนย์ในการจัดการขายทรัพยากรและที่ดินของประเทศเพื่อความมั่งคั่งและมีอำนาจยศถาบรรดาศักดิ์ของตนเองและพวกพ้อง เกิดการคอรัปชั่น การละเมิดกฎหมาย ละเมิดศีลธรรมและจริยธรรม และความรับผิดชอบในการทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ในแผ่นดินอยู่ดีกินดี ทุกวันนี้รัฐบาลเผด็จการกำลังทำทุกอย่างในการขายทรัพยากรและขายประเทศผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจข้ามชาติในนามของรัฐบาลประชาธิปไตยที่อเมริกาและมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกยอมรับและคอยปกป้อง ในส่วนประเทศเขมรก็คล้ายกันกับไทย มีรัฐทรราชฮุนเซ็นมีอำนาจเผด็จการขั้นเด็ดขาด เพราะสามารถกดขี่ประชาชนไว้ได้มานานแล้ว และเมื่อสิ้นสุดของสงครามเวียดนาม ฮุนเซ็นต้องการประกาศให้ทั่วโลกได้รับรู้ว่าเขมรกำลังเป็นประชาธิปไตยต้องการเลือกตั้ง แต่ก็ซื้อเสียงและโกยเสียงเลือกตั้งจนพรรคของตนได้เป็นรัฐบาลแบบประชาธิปไตยที่มีพรรคการเมืองตามแบบอย่างอเมริกัน แต่สิ่งที่ทั้งไทยและเขมรคล้ายกันมากและคล้ายกันอย่างสนิทแบบชิดเชื้อก็คือ ต่างก็เป็นรัฐบาลโจรเหมือนกันคือโจรฮุนเซ็น กับโจรเสื้อแดง มีกิจกรรมรวมกันคือการขายประเทศขายทรัพยากรเหมือนกัน รวมทั้งมีการรวมกันด้วยการแต่งงานระหว่างคนในครอบครัวของโจรฮุนเซ็นและโจรเสื้อแดง ยิ่งกว่านั้นตลอดเวลา ๕-๖ ปีที่ผ่านมา ก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้แลเห็นความสัมพันธ์แบบพึ่งพิงกันระหว่างผู้นำของโจรทั้งสองประเทศนี้บ่อย ๆ เช่นหัวหน้าโจรไทยที่หนีคุกลี้ภัยอยู่นอกประเทศแอบเข้าไปเยี่ยมเยียนและพึ่งพาโจรเขมรอยู่บ่อยครั้งเพื่อการขยายตัวในการขายทรัพยากรและขายประเทศร่วมกัน ดังเห็นได้จากกรณีการพิพาทในเรื่องเขตแดนที่ปราสาทพระวิหารบนเทือกเขาพนมดงเร็กที่มีแนวโน้มในการตัดสินขององค์กรโลกที่อเมริกันมีส่วนอยู่เบื้องหลัง อันจะทำให้ไม่ใช่เสียเฉพาะในบริเวณปราสาทพระวิหาร แต่จะกินพื้นที่ตะเข็บชายแดนจากเทือกเขาลงไปสู่ที่ราบและทะเลที่อุดมไปด้วยทรัพยากร โดยเฉพาะในที่ทะเลในอ่าวไทยที่บริษัทขุดเจาะน้ำมันของอเมริกันจะได้สัมปทาน แต่สิ่งที่จะฉิบหายอย่างสุด ๆ ก็คือ มหาอสุรกายอเมริกันกับประเทศที่เป็นลิ่วล้อหนุนให้เกิดภาคีร่วมมือกันทางเศรษฐกิจระหว่างกลุ่มประเทศอาเซียนในโครงการที่เรียกว่าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน [AEC] ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าเป็นหลุมพรางของอเมริกันและมหาอำนาจข้ามชาติ เป็นการเผยแพร่แนวคิดและดำเนินการเคลื่อนไหวมาช้านาน ที่เห็นชัดก็คือการเข้ามาเกี่ยวข้องของคนสำคัญอเมริกันที่เข้าไปเขมรและมาไทยอยู่บ่อยๆ เช่นรัฐมนตรีต่างประเทศไปเขมร ประธานาธิบดีอเมริกันมาไทย รวมทั้งการเคลื่อนไหวอย่างลับ ๆ จากเจ้าหน้าที่สถานทูตอเมริกันเข้ามาพบปะกับพรรคการเมืองโจรที่เป็นรัฐบาลบ่อย ๆ โดยเฉพาะบุคคลที่เป็นเอกอัครราชทูตอเมริกันในประเทศไทย ทั้งหมดนี้นำไปสู่การประชุมเศรษฐกิจอาเซียนที่จัดขึ้นที่ไทยและเขมรด้วย ประชุมกันหลายครั้งหลายระดับทั้งในไทยและในเขมร ซึ่งในที่สุดก็เผยร่างเปลือยกายของโครงการร่วมมือนี้ในรูปของจีทูจี คือระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาลและมีจีบวกแถมเข้ามาเป็น G+6 บ้าง G+5 บ้าง เพราะบรรดาจีบวกเหล่านั้นหมายถึงรัฐบาลของมหาอำนาจที่อยู่นอกกลุ่มประเทศอาเซียน ได้แก่ อเมริกา จีน ญี่ปุ่น เป็นต้น ซึ่งก็ส่งให้เห็นว่าโครงการพัฒนาเศรษฐกิจร่วมระหว่างกลุ่มประเทศอาเซียนนี้ น่าจะไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์ระหว่างกันของคนในสังคมอาเซียนร่วมกัน แต่น่าจะผ่องถ่ายไปอยู่กับนายทุนและคนรวยในประเทศมหาอำนาจทั้งทางตะวันตกและตะวันออกมากกว่า การผนวกเอาจีบวกทั้งหลายเข้ามานี้แหละที่ทำให้เห็นว่าเป็นโครงการพัฒนาเศรษฐกิจที่อยู่ระหว่างสองฝ่ายฟ้า ที่มีอเมริกันฟากหนึ่งและจีนฟากหนึ่งนั่นเอง แต่ผู้คนในประเทศสองฝ่ายฟ้าที่น่าจะย่ำแย่กว่าคนในประเทศอื่นในกลุ่มอาเซียนเดียวกันก็คือ คนไทยตาดำ ๆ ทั้งประเทศ เพราะคนในระดับล่างทั่วไปที่เป็นคนส่วนใหญ่มีความล้าหลังทางการศึกษา ขาดสติปัญญาและความรู้ที่จะทำให้ทันการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม และที่สำคัญก็คือขาดความเชื่อมั่นในตนเอง จึงถูกมอมเมาและครอบงำให้คล้อยตามและยอมตามความคิดความเห็นของบรรดาข้าราชการ พ่อค้า นายทุน นักวิชาการ นักการเมืองในพรรครัฐบาลที่มีอำนาจอย่างศิโรราบ รัฐบาลเผด็จการ ทรราชของโจรเสื้อแดงคือลูกกะโล่ของอเมริกัน โดยมีอเมริกันเป็นมาเฟียคุ้มกันอยู่ภายนอก จะทำอะไรก็ได้ ผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรมจริยธรรมและมนุษยธรรมก็ได้ ล้วนมีอำนาจจากภายนอกยอมรับและสร้างความชอบธรรมด้วยการใช้สื่อ และเอาสื่อเป็นเครื่องมือให้การสร้างการยอมรับและรับรู้ โดยปิดปากบรรดาสื่อที่เป็นธรรมหมด แต่ที่สำคัญตัวเกิดความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นให้มหาสุรกายเหล่านี้ก็เช่นแทรกแซงด้วยกำลังอาวุธและการฆ่าฟันดังแบบอย่างที่เกิดขึ้นที่ลิเบีย ซีเรีย อิรักและอียิปต์ในขณะนี้ ประเทศไทยและคนไทยเป็นเหยื่อของการขายทรัพยากร ขายคนขายแรงงานเพื่อประโยชน์ของนายทุนทั้งในชาติและข้ามชาติมาก่อนหน้าที่จะเกิด AEC ในรูปของการสร้างระบบคมนาคมขนส่งและเปิดพื้นที่การค้าเสรีที่เรียกว่า East west corridor หรือโครงการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเมืองใหญ่ ๆ ที่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศที่เป็นภาคี เช่น โครงการห้าเชียงระหว่างไทย ลาว พม่าในภาคเหนือ และที่สำคัญก็คือการทำให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานในเรื่องการคมนาคมและการขนส่งอย่างกว้างขวางไม่ว่าจะเป็นการสร้างถนน ขยายถนน สร้างแหล่งอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้า ท่าอากาศยาน ท่าเรือทะเลน้ำลึกที่ล้วนก่อให้เกิดการซื้อขายเวนคืนที่ดินที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนในชีวิตวัฒนธรรมของคนในสังคมท้องถิ่นทั้งสิ้น แต่ที่ขานรับ AEC อย่างน่ากลัวในโครงการขายประเทศขายแผ่นดินของรัฐบาลเผด็จการขี้ข้าอเมริกันก็คือ การสร้างและกำหนดผังเมืองใหม่แทบทุกบ้านเมืองของประเทศ โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ธนบุรี เชียงใหม่ เชียงราย นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานีและอุบลราชธานี เป็นต้น เป็นการกำหนดการเปลี่ยนแปลงจากข้างบน จากแผนที่ภาพถ่ายโดยไม่คำนึงถึงผู้คนในสังคมท้องถิ่นที่อยู่มาแต่ก่อน มีการไล่รื้อเวนคืนเพื่อทำถนน ทำศูนย์การค้า แหล่งอุตสาหกรรม เขื่อนพลังงานไฟฟ้า นิคมอุตสาหกรรมกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งเมื่อทำเสร็จแล้วก็มีคนกลุ่มใหม่เข้าครอบครองแทนที่ ซึ่งคนเหล่านั้นก็มีคนต่างบ้านต่างประเทศที่เป็นพ่อค้า นายทุนและคนมีฐานะจากภายนอก รวมทั้งแรงงานฝีมือที่มาจากภายนอกสำหรับคนไทยที่เป็นคนภายในที่ปรับตัวไม่ทัน โดยเฉพาะคนเสื้อแดงรวมทั้งโจรเสื้อแดงระดับล่างด้วยก็มีสภาพที่หมดตัวและค่อยๆ หมดตัวจนเป็นทาสติดที่ดิน แรงงานชั้นเลวของนายทุนจากภายนอกไป ในทัศนะนอกรีตของข้าพเจ้าจึงใคร่สรุปในที่นี้อย่างมีอคติ ในฐานะเป็นคนไทยที่รักชาติรักบ้านเกิดเมืองนอน AEC หรือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่เรียกว่า รัฐบาลกับรัฐบาล [G to G] และรัฐบาลผนวกที่มาจากนอกภูมิภาคอาเซียนที่เรียกว่า G+ จะเป็น G+4, +5, +6 อะไรทำนองนั้น ล้วนเป็นการจัดการพัฒนาเศรษฐกิจ การเมืองในยุคโลกาภิวัตน์ที่มาจากมหาอำนาจทางเศรษฐกิจข้ามชาติของโลกไร้พรมแดนที่ใช้รัฐบาลเผด็จการของโจรปล้นชาติขายแผ่นดิน ใช้อำนาจในการปกครอง และบริหารในระบบการเมืองที่เรียกว่าประชาธิปไตยขายเสียงและทุนนิยมเดรัจฉาน ทำลายบ้านเมืองและผู้คนให้สิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน อย่างที่บรรดาวิญญูชนทั้งหลายเห็นกันอยู่ในทุกวันนี้ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page