พบผลการค้นหา 220 รายการ
- สยามพ่ายเพราะไทยถ่อย
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2554 สถานการณ์ความขัดแย้งที่แผ่ซ่านทั่วสยามประเทศไม่ว่าทั้งบริเวณศูนย์กลางและชายขอบในทุกวันนี้ โดยรวมเป็นเหตุมาจากปัญหาทางเศรษฐกิจการเมือง ที่ทำให้เกิดผลกระทบมายังชีวิตวัฒนธรรมของผู้คนในสังคมอย่างต่อเนื่อง ดังแลเห็นได้จากขบวนการของคนในสังคมกลุ่มต่าง ๆ ระดับต่าง ๆ พากันมาเดินขบวนยึดพื้นที่ในกรุงเทพมหานคร เพื่อต่อต้านและเรียกร้องรัฐบาลหรือล้มล้างรัฐบาล คณะรัฐมนตรีในเครื่องแต่งกายเต็มยศ วิเคราะห์ได้เป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้คือ กลุ่มเสื้อแดงซึ่งมีทั้งแดงแท้และและแดงเทียม และทำกันอย่างอย่างเนื่อง แม้จะถูกรัฐบาลปราบปรามไปบ้างแล้วก็ตาม กลุ่มเสื้อเหลือง ที่เปลี่ยนมาเรียกร้องในเรื่องการเสียดินแดนรอบปราสาทเขาพระวิหารและชายแดนไทย-เขมรทางตะวันออก ส่วนกลุ่มสุดท้ายที่กำลังเคลื่อนเข้ามาจากหลาย ๆ ภาค คือ บรรดาราษฎรที่ได้รับการกดขี่จากรัฐและทุนในเรื่องที่ทำกิน ที่อยู่อาศัยและการแย่งทรัพยากร ในความคิดเห็นของข้าพเจ้าเชื่อว่า เหตุของความขัดแย้งที่ทำให้ผู้คนในสังคมทั้งสามกลุ่มใหญ่เหล่านี้มาเรียกร้องและต่อต้าน มีที่มาจากเหตุอันเดียวกัน คือ ความไม่เป็นธรรมที่รัฐและกลุ่มทุนทั้งในชาติและข้ามชาติใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมกดขี่ข่มเหงและแบ่งทรัพยากร ที่อยู่อาศัย และที่ทำกินของคนในชาติที่ยังมีชีวิตความเป็นอยู่และความคิดแบบสังคมชาวนา [Peasantry] เพราะสังคมสยามในปัจจุบันกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรุดหน้าจากสังคมเกษตรกรรมแต่ก่อนสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นรัฐบาล มาเป็นสังคมอุตสาหกรรมที่เต็มตัวอย่างต่อเนื่องแต่สมัยรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ จนมาถึงยุคโลกาภิวัตน์ในปัจจุบัน พื้นที่หลาย ๆ แห่งในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ โดยเฉพาะภาคใต้นั้น พื้นที่ในสังคมเกษตรกรรมแทบไม่เหลือและกำลังถูกปรับเปลี่ยนเป็นพื้นที่รองรับอุตสาหกรรมหนัก เช่น โรงไฟฟ้าถ่านหิน ที่จอดเรือน้ำลึก โรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งนอกจากทำลายสภาพแวดล้อมธรรมชาติทั้งในพื้นที่ทางทะเล ชายทะเลและป่าเขาแล้ว ยังทำให้เกิดนิคมอุตสาหกรรม อันเป็นชุมชนอุตสาหกรรมขึ้นมาแทนที่ชุมชนดั้งเดิมแบบชาวนาของคนในท้องถิ่น เช่น ชุมชนและชีวิตวัฒนธรรมของคนชาวเลพวกอุรักลาโว้ยและมอแกนในท้องทะเลและชายฝั่งทะเลในเขตจังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต ตรัง และสตูล ทางฝั่งอันดามัน เป็นต้น ความเป็นธรรมที่เกิดขึ้นในยุคนี้ อาจวิเคราะห์ได้เป็นส่วนลึกและส่วนพื้นผิว ส่วนลึกคือความล่มสลายของศีลธรรมและจริยธรรมที่เป็นผลของการอบรมจากสถาบันศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีมาแต่อดีต การศึกษาอบรมนับแต่อุดมศึกษาจนถึงระดับมัธยมศึกษาและประถมศึกษาแบบตะวันตก โดยเฉพาะจากอังกฤษและอเมริกันนั้น ได้ทำลายความรู้สึกนึกคิดในมิติทางจิตวิญญาณมาเป็นเรื่องของวัตถุนิยมและบริโภคนิยมของคนรุ่นใหม่คือ จากคนในรุ่นพ่อแม่กับลูกหลานนับเวลาร่วมครึ่งศตวรรษ ทำให้ความเป็นมนุษย์ในปัจจุบันถูกครอบงำอยู่กับเรื่องเศรษฐกิจการเมืองที่ว่าด้วยการปกครองแบบประชาธิปไตยและเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีอันเน้นความเป็นปัจเจกบุคคลจนสุดโต่ง เพราะทั้งสองอย่างนี้เป็นที่มาของเงินและอำนาจ ทำให้คนอยากเป็นนักการเมืองและเป็นนักลงทุนเพื่อจะได้มีทั้งอำนาจและความมั่งคั่ง จึงเป็นที่มาของการปรกครองแบบรวมศูนย์ การเลือกตั้งผู้แทนราษฎรที่ทำให้เกิดการซื้อเสียงขายเสียง รัฐสภาเต็มไปด้วยนักการเมืองที่เป็นพ่อค้าและนักธุรกิจที่เข้ามามีอำนาจเหนือรัฐและข้าราชการเพื่อดำเนินกิจการอันเป็นประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง มากกว่าการจัดการบริหารและการปกครองให้เป็นประโยชน์แก่ผู้คนในสังคมและบ้านเมือง จากการล่มสลายของศีลธรรมและจริยธรรมในส่วนลึก ได้ส่งผลขึ้นมายังพื้นผิวที่ปรากฏการณ์คือ คอร์รัปชั่นที่เป็นวิถีชีวิต [Way of Life] ของบุคคลที่เป็นนักการเมือง ขุนนาง และข้าราชการ แทบทุกกลุ่มทุกแหล่งและทุกอาชีพ แม้แต่บรรดาพวกครูอาจารย์ในสถาบันการศึกษา ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ที่ทุนข้ามชาติครอบครองโลก บรรดาอัปรีย์ชนเหล่านี้เห็นประเทศชาติเป็นสิ่ง For Sale คือมองทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าที่ดิน ที่อยู่อาศัย ที่ทำกินของราษฎร ทรัพยากรธรรมชาติและอะไรต่าง ๆ ล้วนเป็นสินค้าไปหมด เน้นการลงทุนของต่างชาติจากภายนอกให้เข้ามาลงทุนในกิจกรรมด้านอุตสาหกรรม นับแต่เกษตรอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงระบบการเกษตรแบบเดิมโดยมีเกษตรกรรายย่อยคือ ชาวบ้านและผู้คนในท้องถิ่นซึ่งมีที่ทำกินมาสู่เกษตรกรรายใหญ่ซึ่งมีทั้งนายทุนภายใน มีอิทธิพลเหนือรัฐและนายทุนจากภายนอก และในขณะนี้หลายท้องถิ่นในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ โดยเฉพาะภาคตะวันออกและภาคใต้ก็เกิดโครงการอุตสาหกรรมหนักที่เรียกว่า Eastern Sea Board และ Southern Sea Board ที่กำลังจะแย่งที่ทำกินและที่อยู่อาศัยของคนท้องถิ่นให้กลายเป็นนิคมอุตสาหกรรม อันเต็มไปด้วยคนกลุ่มใหม่จากถิ่นอื่นและต่างชาติเข้ามาแทนที่ ปัจจุบันความเดือดร้อนของคนท้องถิ่นทุกภูมิภาคกำลังคืบคลานเข้าสู่ภาวะถึงที่สุด เพราะถูกแย่งที่ทำกิน ที่อยู่อาศัยและทรัพยากร จึงเกิดการเคลื่อนไหวกันทั่วไป โดยคนหลายภาคส่วนที่เดือดร้อนต่างมุ่งเข้าสู่กรุงเทพมหานคร เพื่อยึดพื้นที่ในการเรียกร้อง ประท้วงและต่อต้านกันอย่างมากมายและต่อเนื่อง แต่การรวมกลุ่มประท้วงและต่อต้านซึ่งกำลังเกิดแนวร่วมและขยายตัวมากขึ้นในเวลานี้ ก็คือ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ ที่ออกมาถล่มรัฐบาลในเรื่องมรดกโลกปราสาทพระวิหารและการไม่ยกเลิก MOU. พ.ศ. ๒๕๔๓ จนทำให้เกิดการเสียดินแดนบริเวณตะเข็บชายแดนให้กับเขมร การเรียกร้องของคนกลุ่มนี้กำลังสะท้อนให้เห็นความขัดแย้งและความแตกแยกของคนในประเทศชาติอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะนอกจากจะแตกแยกออกเป็นหลายกลุ่มหลายเหล่าแล้ว ยังลามไปถึงความแตกแยกและความแตกต่างทางความคิดระหว่างคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่อีกด้วย คือ เกิดมีทั้งกลุ่มคนที่รักชาติรักแผ่นดินเกิดกับกลุ่มคนที่เป็นพวกข้ามชาติ ที่มองว่าโลกในปัจจุบันไร้พรมแดนตามกระแสโลกาภิวัตน์ อันเป็นวิธีคิดที่มาจากประเทศมหาอำนาจทางตะวันตก คนพวกนี้ไม่สนับสนุนและยินดีกับการเรียกร้องเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลของพวกรักชาติ รักแผ่นดิน และมักประณามพวกรักชาติรักแผ่นดินว่าเป็นพวกชาตินิยม คลั่งชาติ รวมทั้งบางคนยังมองเลยเถิดไปว่าเป็นพวกราชาชาตินิยมและเสนาอำมาตย์ชาตินิยมก็มี โดยเฉพาะคนกลุ่มหลังนี้มักเป็นพวกนักวิชาการและอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ที่กลุ่มคนรักชาติรักพระเจ้าอยู่หัวประณามว่าเป็นพวกไม่เอาเจ้าไม่เอาพระมหากษัตริย์ หรือเป็นพวกคนรุ่นใหม่ ไม่เอาการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข คนกลุ่มหลังนี้รวมทั้งคนไทยอีกเป็นจำนวนมากที่เป็นคนรุ่นใหม่ในช่วง ๔๐ ปีมานี้ เป็นพวกไม่สนใจเรื่องปัญหาการเสียดินแดน และแสดงการเพิกเฉยต่อการต่อสู้กดดันรัฐบาลของกลุ่มคนรักชาติรักแผ่นดิน แถมยังเห็นดีเห็นงามกับทางรัฐบาลที่แสดงอาการอ่อนข้อกับเขมร คนเหล่านี้คือกลุ่มที่นับอยู่ในจำนวนของคนในประเทศซึ่งแบบสำรวจวัดความนิยมของคนไทยต่อรัฐบาลในเรื่องคอร์รัปชั่นว่ายอมรับรัฐบาลคอร์รัปชั่นได้ ถ้าหากรัฐบาลนั้นทำให้พวกตนอยู่ดีกินดีได้อย่างไม่เดือดร้อน ข้าพเจ้าเป็นคนรุ่นเก่าที่เป็นคนรักชาติรักแผ่นดินเกิดและเป็นคนแรก ๆ หรือนักวิชาการรุ่นแรก ๆ ที่ได้ออกมาประณามความรู้สึกชาตินิยมที่มีมาแต่สมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นชาตินิยมที่สุดโต่งในลักษณะที่เป็น “เชื้อชาตินิยม” ซึ่งทำให้สังคมไทยเป็นสังคมแบบเอกลักษณ์ คือเป็นคนไทยจากสายเลือดที่สืบเชื้อสายกันมาแต่สุโขทัยและอยุธยา ข้าพเจ้าเห็นว่าโดยประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์สังคม ประเทศไทยที่แต่เดิมเรียกสยามประเทศนั้นเป็นสังคมพหุลักษณ์เช่นเดียวกันกับประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ ไม่ว่าเขมร ลาว พม่า และเวียดนาม รวมไปถึงมลายูบนคาบสมุทรและหมู่เกาะ ความเป็นพหุลักษณ์นั้นมาจากการที่แต่ละประเทศต่างก็มีคนหลายชาติพันธุ์หลายภาษาและศาสนาอยู่ด้วยกัน เกิดและตายอยู่ในประเทศเดียวกัน ทำให้มีสำนึกในชาติภูมิเดียวกัน “ชาติ” แปลว่า “เกิด” และ “ภูมิ” คือ “แผ่นดิน” กลายเป็น “แผ่นดินเกิด” เป็นสำนึกของคนที่เป็นมนุษย์ผู้เป็นสัตว์สังคมทั่วไปที่เรียกว่า Homo Sapiens สำนึกรักแผ่นดินเกิดนี้คือสิ่งที่เรียกว่า Patriotism ข้าพเจ้าร่วมความรู้สึกกับบรรดากลุ่มคนรักชาติรักแผ่นดินทั้งหลายที่ออกมาเรียกร้องกดดันรัฐบาลในเรื่องการจัดการกับเขมรในเรื่องดินแดนและเรื่องมรดกโลกปราสาทพระวิหารและ ข้าพเจ้าก็เป็นนักวิชาการคนหนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนคลั่งชาติ โดยบรรดานักวิชาการข้ามชาติและโลกไร้พรมแดน ที่ชอบนำเอาคำพูดและข้อเขียนในบทสนทนาและบทความทางวิชาการไปตัดต่อบิดเบือนเพื่อเป็นประโยชน์ของตนเป็นประจำ ในกรณีความขัดแย้งเกี่ยวกับเขตแดนและแหล่งมรดกโลกปราสาทพระวิหารเท่าที่ข้าพเจ้าได้รับรู้ ได้ศึกษาและติดตามตลอดมาตั้งแต่สมัย พ.ศ. ๒๕๐๕ ที่ศาลโลกตัดสินให้ปราสาทพระวิหารตกเป็นของเขมรมาจนถึงคณะกรรมการมรดกโลกขึ้นทะเบียนตัวปราสาทเป็นมรดกโลกเรื่อยมาจนถึงการจับคนไทยไปขึ้นศาลเขมรตัดสินจำคุกนั้น เมื่อประมวลและวิเคราะห์เหตุการณ์ตามขั้นตอนต่าง ๆ แล้ว อยากจะสรุปอย่างง่าย ๆ ให้บรรดาผู้รักชาติรักแผ่นดินเกิดทั้งหลายว่า “สยามพ่ายเพราะไทยถ่อย” เพราะการเสียเปรียบจนนำไปสู่การเสียเขตแดนและแหล่งมรดกโลกให้กับทางกัมพูชานั้น หาได้เป็นการกระทำของเขมรอันมีฮุนเซ็นเป็นผู้นำแต่อย่างใด หากเป็นการดำเนินงานที่บกพร่องในระยะแรกและฉ้อฉลขายประเทศขายดินแดนของบุคคลถ่อย ๆ ในคณะรัฐบาลไทยทั้งสิ้น โดยจะจารนัยให้เป็นออกเป็น ๒ ช่วงตอน ดังนี้ เรสสิเดนต์ กำปงธม และเมอซิเออร์ ปามังติเอร์ นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส รับเสด็จสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ โดยที่เชิงบันไดทางขึ้นปราสาทพระวิหารชักธงฝรั่งเศส ช่วงแรกต้องนับแต่ ค.ศ. ๑๙๐๔ ในการตกลงระบบเขตแดนระหว่างฝรั่งเศสกับไทยสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่ตกลงกันด้วยการใช้สันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งเขตแดน พอถึง ค.ศ. ๑๙๐๗ ที่มีการตกลงเรื่องแผนที่ซึ่งทำโดยฝรั่งเศส ผลปรากฏออกมาก็คือ ฝรั่งเศสโกงอย่างหน้าด้าน ๆ ในพื้นที่เขาพระวิหาร เพราะปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตสันปันน้ำฝ่ายไทย น้ำที่ไหลจากพื้นที่ลาดเขารอบ ๆ บริเวณปราสาทไหลไปลงลำห้วยสองห้วย คือ ห้วยตานีและห้วยตามาเรีย ผ่านบริเวณสระบารายที่เรียกว่าสระตราว ต่อลงตามลำตราวสู่พื้นที่ราบลุ่มในเขตจังหวัดศรีสะเกษ โดยฝรั่งเศสลากเส้นเขตแดนผ่านห้วยตามาเรียโดยแผนที่มาตราส่วน ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ ที่มองพื้นที่จากระดับสูงจนแลไม่เห็นรายละเอียด ฝรั่งเศสโกงได้สำเร็จ เพราะอาศัยการเป็นประเทศมหาอำนาจล่าอาณานิคมที่อาจจะใช้กำลังเข้ายึดครองประเทศไทยได้ทุกขณะ ไทยยอมตามแผนที่และกฎเกณฑ์ที่ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายกำหนดก็ด้วยสามัญสำนึก [Common Sense] เพียงไม่ให้ถูกยึดครองประเทศ แต่ในมุมกลับในทางสามัญสำนึกเช่นเดียวกับคนที่เป็นมนุษย์รักความเป็นธรรม การที่ฝรั่งเศสแย่งปราสาทพระวิหารไปจากพื้นที่ในสันปันน้ำนั้นคือ การโกงดื้อ ๆ อย่างไร้ยางอายของพวกมหาอำนาจทางตะวันตก การโกงโดยใช้แผนที่ ๑: ๒๐๐,๐๐๐ ที่แย่งปราสาทพระวิหารไปอย่างขัดความเป็นจริงทางสันปันน้ำนี้ กลายเป็นมรดกตกทอดมายังรัฐบาลเขมรอันเป็นรัฐอารักขาของฝรั่งเศส และเป็นเครื่องมือของเจ้าสีหนุผู้นำเขมรหลังการปลดแอกจากฝรั่งเศสสร้าง ความรู้สึกชาตินิยม ด้วยการนำเอาประวัติศาสตร์สมัยเมืองพระนครที่นักวิชาการฝรั่งเศสเขียนไว้ว่า “กัมพูชาเคยเป็นมหาอาณาจักรที่มีอำนาจรวมศูนย์อยู่ที่เมืองพระนคร ยุคนั้นดินแดนที่เป็นประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบทั้งในลาวและเวียดนามก็เคยตกเป็นเมืองขึ้นของกัมพูชา” การเรียกร้องสิทธิการเป็นเจ้าของปราสาทพระวิหารนั้น หมายถึงการแสดงอำนาจเหนือผู้คนในดินแดนประเทศไทยนั่นเอง นับเป็นวาทกรรมกับประวัติศาสตร์สมัยหลังเมืองพระนครที่กัมพูชาถูกยึดครองและเป็นเมืองขึ้นของสยามมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ เจ้าสีหนุทำเช่นนี้เพราะประจักษ์แก่ใจว่า อาณาบริเวณเขมรต่ำของเทือกเขาพนมดงเร็กจนถึงทะเลสาบเขมรนั้น เป็นพื้นที่ซึ่งทางสยามตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๙ ผนวกเข้าเป็นดินแดนของสยามประเทศที่ในระยะหลัง ๆ เรียกว่า เสียมราฐ หรือ เสียมรัฐ ซึ่งทางคนเขมรออกสำเนียงเป็น เสียมราบ ผู้คนในอาณาบริเวณเสียมราฐนั้นมีความใกล้ชิดสนิทกับคนในเขมรสูงคือพื้นที่ราบสูงโคราชมาแต่โบราณก่อนสมัยเมืองพระนครว่าเป็นพวก เจนละบก ร่วมกัน เขมรสีหนุนั้นคือพวกเจนละน้ำ หรือพวกเขมรต่ำ ซึ่งทำตัวเป็นปรปักษ์กับสยามมาแต่สมัยรัชกาลสมเด็จพระนเรศวร เพราะฉะนั้น ทั้งพระยาละแวก สีหนุและสุดท้ายเขมรฮุนเซ็นก็คือพวกเขมรน้ำที่ไทยเรียกว่า “เขมร” นั้นเอง หาใช่พวก “ขอม” ไม่ ดังข้าพเจ้าเคยเขียนบทความอธิบายถือ ความขัดแย้งระหว่างเขมรบกและเขมรน้ำไว้ในที่อื่น ๆ แล้ว พอมาถึงสมัยทรราชฮุนเซ็นเป็นผู้นำ จึงเอาเรื่องปราสาทพระวิหารมาปลุกระดมชาตินิยมเพื่อเอาใจเขมรเสียมเรียบหรือเขมรบกอีกทีหนึ่ง เหตุที่ไทยแพ้คดีศาลโลกเรื่องปราสาทพระวิหารครั้งพ.ศ.๒๕๐๕ นั้น เพราะทั้งเขลาและหลงตะวันตก หรืออีกนัยหนึ่งคือ “บ้าฝรั่ง” นั่นเอง เพราะผู้นำไทยทั้งนักวิชาการล้วนคิดว่าตนเองทันสมัยทันโลกมากกว่าเขมร โดยเฉพาะผู้ที่ออกไปทำหน้าที่ว่าความและการจัดการเรื่องกฎหมาย โดยไม่ระแวงว่าพวกฝรั่งเข้าข้างกัน โดยเฉพาะฝรั่งเศส แต่เมื่อแพ้คดีแล้วจึงได้สติ จัดการออกโรงในเรื่อง ยอมให้แต่ตัวปราสาทไม่ยอมให้ดินแดน เพราะยึดในเรื่องสันปันน้ำ ซึ่งเขมรสีหนุก็ไม่กล้า แต่ไทยในสมัยต่อมาก็ยังเลินเล่อและสะเพร่าอยู่เช่นเดิม เพราะความบ้าความเป็นสากลทันโลกแบบนิยมฝรั่ง จนได้ทำลายสามัญสำนึกในเรื่องการแบ่งเขตแดนด้วยสันปันน้ำ หันมายอมรับการแบ่งเขตแดนด้วยแผนที่ชุดที่ ฝรั่งเศสสร้างขึ้นมาเพื่อโกงปราสาทพระวิหารไปจากไทย การเซ็น MOU. พ.ศ.๒๕๔๓ โดยรัฐบาลที่ไม่เอาไหน เช่นรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์จึงเกิดขึ้น เพราะบ้าความคิดฝรั่งในเรื่องแผนที่ ๑: ๒๐๐,๐๐๐ ที่พวกฝรั่งเศสทำไว้ เลยเข้าทางรัฐบาล นักธุรกิจการเมืองยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ฮั้วกับทรราชฮุนเซ็นและนักธุรกิจข้ามชาติที่อยู่ทั้งในและนอกประเทศ ในการพัฒนาพื้นที่ตะเข็บชายแดนบริเวณสามเหลี่ยมมรกตในเทือกพนมดงเร็กตั้งแต่อุบลราชธานีลงไปถึงจังหวัดตราดชายทะเล พื้นที่ชายแดนเหล่านี้ล้วนเป็นพื้นที่เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกันของคนเหล่านี้ที่อยู่เหนือรัฐทั้งไทยและกัมพูชา การทำลายพื้นที่ตะเข็บชายแดนของทั้งสองประเทศเพื่อกลุ่มนักธุรกิจการเมืองทั้งสองชาติเห็นได้จาก การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน [Infra-structure] เช่น การตัดถนนหนทาง แหล่งธุรกิจการค้า แหล่งอุตสาหกรรม ย่านตลาดและชุมชน เช่นเส้นถนนที่ตัดข้ามช่องสะงำและต่อมาที่ช่องตาเฒ่า เป็นต้น เมื่อรัฐบาลทักษิณมีอันเป็นไป โครงการธุรกิจข้ามชาติดังกล่าวนี้ก็หาได้สลายไปไม่ ยังคงสานต่อโดยกลุ่มผลประโยชน์ที่อยู่ในคณะรัฐบาลหลังๆ ต่อมา ซึ่งก็รวมถึงรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ในยุคนี้ด้วย ที่ยังกอด MOU. พ.ศ.๒๕๔๓ อย่างเหนียวแน่น ทั้งยังไม่ยอมตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการลาออกจากการเป็นสมาชิกมรดกโลกและองค์กร UNESCO ปัญหาในเรื่องความขัดแย้งกรณีปราสาทพระวิหารและเขตแดนในทุกวันนี้ หาใช่พื้นที่ทับซ้อนหรือพื้นที่พิพาทอะไรไม่ หากเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างแท้จริง เพราะด้วย MOU. พ.ศ.๒๕๔๓ การรุกล้ำบริเวณตะเข็บชายแดนจนกลายเป็นการยั่วยุจนเกิดความรู้สึกชาตินิยมด้วยกันระหว่างคนไทยและคนเขมร แต่เขมรทำสำเร็จมากกว่า เพราะคนเขมรหือไม่ขึ้น เป็นประชาชนที่น่าสงสารภายใต้ทรราชฮุนเซ็นที่ประสบความสำเร็จทั้งในการครอบงำและกดขี่ แต่ทรราชฝ่ายไทยไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะความเป็นชาตินิยมแบบเชื้อชาตินิยม นั้นได้ตายไปจากคนไทยยุคใหม่หมดแล้ว คนไทยยุคใหม่แบ่งออกเป็นพวกไร้พรมแดน อันเป็นความคิดที่มาจากเรื่องโลกาภิวัตน์ของทางตะวันตก โดยมีหัวหอกเป็นพวกดอกเตอร์ที่เรียนมาจากตะวันตกโดยเฉพาะและกลุ่มที่มีแนวคิดแบบ Post Modernism บางกลุ่ม ที่กำลังถูกตรวจสอบและกล่าวหาโดยคนไทยที่มีสำนึกในเรื่องพรมแดนว่าเป็นพวกขายชาติ ข้าพเจ้าคือคนหนึ่งที่มีสำนึกในเรื่องพรมแดน เพราะเป็นสำนึกที่เรียกว่ารักแผ่นดินเกิด [Patriotism] เช่นมนุษย์ที่เป็น Homo sapiens ทั้งหลาย ข้าพเจ้าเรียกสำนึกนี้ว่า สำนึกชาติภูมิ หาใช่ความรู้สึกชาตินิยมแบบเชื้อชาตินิยม ที่นักวิชาการกลุ่มหนึ่งกล่าวหาและปลุกปั่นเพื่อประโยชน์ในการทำมาหากินของกลุ่มตน แต่ก่อนการมีพรมแดนระหว่างรัฐต่อรัฐหรือปัจจุบันกลายมาเป็นรัฐชาติในระหว่างประเทศต่อประเทศนั้น ไม่มีเส้นเขตแดน แต่เมื่อพวกฝรั่งนักล่าอาณานิคมมาทำขึ้น คนไทยก็ยอมรับแต่กลับโดนโกง ซึ่งข้าพเจ้าใคร่วิเคราะห์การแบ่งเขตแดนตะเข็บชายแดนระหว่างไทยและเขมรอย่างกว้าง ๆ ตามลักษณะภูมิประเทศต้องเป็นสองเขต คือบริเวณเทือกเขาพนมดงเร็ก ตั้งแต่จังหวัดอุบลราชธานีมาถึงจังหวัดบุรีรัมย์ กับบริเวณพื้นที่ราบลุ่มจนถึงชายทะเลตั้งแต่จังหวัดสระแก้ว จันทบุรีลงไปถึงจังหวัดตราด เขตแรกบนเทือกเขาพนมดงเร็กอันเป็นบริเวณที่มีปราสาทพระวิหารตั้งอยู่นั้น คือพื้นที่ซึ่งต้องใช้สันปันน้ำกำหนดเขตก็ปรากฏว่า ส่วนที่อยู่ปลายสุดแต่จังหวัดอุบลราชธานีมาถึงช่องสะงำในเขตจังหวัดศรีสะเกษนั้น เป็นบริเวณที่เห็นสันปันน้ำชัดเจน จึงไม่จำเป็นต้องปักเขตแดน ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในเขตนี้ แต่ว่าตั้งอยู่บนผาสูงที่เป็นจะงอยยื่นล้ำเข้าไปในพื้นที่เขมรต่ำ นั่นคือพื้นที่ซึ่งครอบคลุมทั้งตัวปราสาทและพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรที่อยู่รอบ ๆ ตัวปราสาท ฝรั่งเศสโกงโดยขีดเส้นเขตแดนตัดตรงห้วยตามาเรียที่ตอนปลายสุดของพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตร เพื่อให้ขนานกับแนวนอนอันเป็นเส้นตรงตามเทือกเขาด้วยการอ้างแผนที่ ๑: ๒๐๐,๐๐๐ ลำห้วยตามาเรียนี้คือลำห้วยที่รองรับน้ำที่ไหลลงจากผาชะง่อนที่ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ แต่ลำห้วยนี้ก็หาได้ไหลลงทางฟากเขมรต่ำไม่ กลับเป็นลำห้วย ๒ ห้วย คือ ห้วยตานีและห้วยตามาเรียที่ไหลผ่านสระตราวลงไปยังที่ราบลุ่มของจังหวัดศรีสะเกษ สันปันน้ำที่แลเห็นชัดนี้ทอดยาวตามแนวเขามาจนถึงช่องสะงำอันเป็นบริเวณที่แลไม่เห็นสันปันน้ำชัดเจนที่ต่อไปจนสิ้นสุดเขตจังหวัดบุรีรัมย์ เลยเป็นเขตให้ต้องมีการปักเขตแดนขึ้น และปักเรื่อยลงไปถึงพื้นที่ราบลุ่มในเขตจังหวัดสระแก้ว จันทบุรีและตราด รวมเป็นจำนวน ๗๓ หลัก ภาพถนนกำลังก่อสร้างทางขึ้นปราสาทพระวิหารทางฝั่งกัมพูชาในปัจจุบัน นับเป็นถนนอันลาดชันและรุกล้ำเข้าสู่พื้นที่ซึ่งยังไม่มีการตกลงปักปันเขตแดนโดยคณะกรรมการทั้งสองฝ่าย บริเวณเขตแดนที่มีหลักเขตแสดงไว้เหล่านี้ดูเป็นที่ยอมรับกันเรื่อยมาอย่างไม่มีปัญหา แม้จะมีการเคลื่อนย้ายอยู่ก็ตาม แต่ก็ไม่มีปัญหาเท่ากับพื้นที่บนชะง่อนผาของปราสาทพระวิหาร โดยประชาชนทั้งบนที่ราบสูงโคราชและพื้นที่เขมรต่ำทางกัมพูชารู้จักและขึ้นลงไปมาผ่านเขตแดนเป็นประจำ โดยเฉพาะพื้นที่ในเขตพรมแดนไทยนั้น มีชาวบ้านตั้งที่อยู่อาศัยและทำกินใกล้กับบริเวณเขตแดนเรื่อยมา แต่นับตั้งแต่เกิดโครงการพัฒนาตะเข็บชายแดนที่ร่วมมือกันระหว่างไทยและกัมพูชาสมัยรัฐบาลทักษิณ ก็ปรากฏว่ามีคนเขมรรุกเข้ามาตั้งที่อยู่อาศัยและที่ทำกินประชิดเส้นแบ่งเขตแดน และบางคนบางกลุ่มที่รุกพื้นที่ล้ำแดนเข้ามา โดยเฉพาะในสมัยการสู้รบระหว่างเขมรแดง เขมรเฮงสัมริน ซึ่งเมื่อสิ้นสงครามแล้วก็ไม่ได้ถอยหลังไปและทางฝ่ายไทยก็ไม่ได้ผลักดันกันอย่างจริงจัง การล้ำพื้นที่เขตแดนดังกล่าวนี้รวมทั้งบนเทือกพนมดงเร็ก โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรบนเขาพระวิหาร ครั้นมาถึงสมัยรัฐบาลทักษิณเมื่อมีโครงการพัฒนาตะเข็บชายแดนร่วมกันระหว่างทุนไทยกับทุนเขมรและทุนข้ามชาติก็เกิดการสมคบและการยินยอมในการใช้ประโยชน์ของพื้นที่และทรัพยากรร่วมกัน โดยหาคำนึงถึงความเดือดร้อนของคนในท้องถิ่นทั้งสองฟากคือ ฟากเขมรสูงและเขมรต่ำไม่ จึงแลเห็นได้จากการเอาปราสาทพระวิหารให้เป็นมรดกโลก รวมถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการลงทุนทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย โดยเฉพาะผิดกฎหมายว่า เป็นการแสวงหาผลประโยชน์ที่ขยายจากพื้นที่บนเทือกเขาที่มีสันปันน้ำไปจนถึงเขตชายทะเลฝั่งอ่าวไทยที่มีทรัพยากรทั้งสิ้น ช่วงเวลานี้แหละที่เห็นกระบวนการผิดกฎหมายที่ต้องพูดอย่างรวม ๆ ว่า คอรัปชั่นพื้นที่ป่าเขาตามชายแดนมีทั้งออกเขตอุทยานทับพื้นที่ทำกินของชาวบ้านและปล่อยให้คนเขมรเข้ามาแย่งที่ทำกิน เกิดการตัดไม้ทำลายป่าโดยเฉพาะป่าไม้พยุงอันเป็นไม่ชั้นดีราคาแพง ซึ่งหน่วยราชการทั้งพลเรือนและทหารจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ พื้นที่บนเทือกเขาสันปันน้ำนั้นเป็นพื้นที่ของกองกำลังสุรนารี ที่เคยมีทหารหาญรักชาติรักแผ่นดินดูแลก็ถูกแทนโดยทหารที่มีเอี่ยวในการหาผลประโยชน์แทน ในขณะที่บริเวณชายแดนในพื้นที่ราบลุ่ม เช่น สระแก้วและจันทบุรี อันไม่มีสันปันน้ำแต่มีการปักเขตแดนไว้แต่เดิมอย่างเป็นที่ยอมรับกัน ก็ถูกรุกล้ำโดยการอพยพเข้ามาของคนเขมรและเกิดแหล่งบ่อนการพนัน คาสิโน การลักลอบขนสิ่งของนอกกฎหมาย กองกำลังบูรพาที่เคยเข้มแข็งและห้าวหาญเป็นที่ยำเกรงของเขมรก็เปลี่ยนมาอ่อนข้ออ่อนน้อม ผลที่ตามมาก็คือคนในพื้นที่ถูกแย่งที่ทำกินให้ไปเป็นของคนเขมร การยอมรับ MOU. พ.ศ.๒๕๔๓ คือการใช้แผนที่ ๑: ๒๐๐,๐๐๐ เปลี่ยนเขตแดนแต่เดิมให้เป็นที่ของคนกัมพูชา จนนำไปสู่การเข้ามายึดครองแผ่นดินของเขมรฮุนเซ็น ความชัดเจนในเรื่องการรุกเขตแดนโดยการอ้าง MOU. พ.ศ.๒๕๔๓ เห็นชัดเจนในเหตุการณ์จับ ๗ คนไทยในเขตจังหวัดสระแก้ว คนพวกนี้ถูกเขมรจับในพื้นที่ใกล้กับหลักเขตแดนที่เคยปักปันไว้ในที่ทำกินของชาวบ้านที่มีเอกสารสิทธิ์ยืนยันว่าเป็นที่ทำกินในดินแดนประเทศไทย แต่ถูกเขมรอ้างว่าล้ำเข้าไปอยู่ในเขตแดนประเทศเขมร โดยที่ทหารไทยกองกำลังบูรพาปล่อยให้เขมรจับไปเข้าคุกต่อหน้าต่อตา มิหนำซ้ำรัฐมนตรีกลาโหมผู้เคยเป็นผู้บังคับบัญชากองกำลังบูรพา รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็ช่วยกันกล่าวหาและยืนยันว่าคนไทยทั้ง ๕ คนรุกเข้าไปในดินแดนเขมร แต่ในที่สุดได้มีผู้หาหลักฐานมายืนยันว่าเป็นพื้นที่ในเขตประเทศไทยอย่างพอเพียง ก็ไม่ได้ออกมาแก้ไขแต่อย่างใด การรุกเข้ามาของเขมรในเขตแดนไทยนี้เดือดร้อนไปถึงพื้นที่ทำกินในที่อื่น ๆ ของชาวบ้านอีกเป็นจำนวนมากตามตะเข็บชายแดนในจังหวัดสระแก้ว จันทบุรี และเลยขึ้นไปบนเทือกพนมดงเร็ก ข้าพเจ้าเห็นว่าในขณะที่รัฐบาลและทหารตอบคำถาม และการกล่าวหาของกลุ่มคนรักชาติรักแผ่นดินเกิดไม่ได้ว่า ทำไมไม่รู้และไปยอมรับการเข้ารุกที่เขตแดนและจับคนไทยในพื้นที่ของประเทศไทย ถ้าแม้ว่าจะเป็นพื้นที่พิพาทในกรณีที่อ้าง MOU. พ.ศ. ๒๕๔๓ ก็ย่อมแสดงให้เห็นว่า เขมรละเมิด MOU. ในการให้กองกำลังเข้ามาในพื้นที่พิพาทและจับคนไทยไปขังคุก ซึ่งนับเป็นการรุกล้ำอธิปไตยและสิทธิมนุษยชน การเข้ามาละเมิดพื้นที่ข้อพิพาทตาม MOU. พ.ศ.๒๕๔๓ นี้ไม่จำกัดอยู่แต่เพียงพื้นที่ในเขตจังหวัดสระแก้ว พื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหารที่นับเนื่องเป็นพื้นที่ข้อพิพาทซึ่งไม่ควรมีกองทหารเขมรและคนเขมรเข้าไปอยู่อาศัยและสร้างวัด แต่ทางไทยโดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศและทหารไม่ประท้วงและผลักดัน ที่น่าอัปยศและอดสูใจอย่างสุด ๆ ก็คือ ฝ่ายทหารไทยกลับปล่อยให้เขมรสร้างถนนขึ้นมายังพื้นที่ข้อพิพาทและเข้าไปยึดพื้นที่ในเขตภูมะเขือ อันเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ จนในที่สุดฝ่ายเขมรก็ใช้เป็นฐานกำลังยิงเข้ามาทำลายบ้านเรือนราษฎร แต่รัฐบาลไทยเพียงบอกว่าตอบโต้อย่างพอประมาณเพื่อมุ่งหวังการเจรจาแต่อย่างเดียว ทั้ง ๆ ที่ประชาชนเป็นจำนวนหมื่นต้องเดือดร้อนย้ายที่อยู่หนีตาย การละเมิด MOU. พ.ศ.๒๕๔๓ ของเขมรดังกล่าวนี้ ทางฝ่ายไทยสามารถใช้เป็นข้องอ้างยกเลิก MOU. และตอบโต้เพื่อปกป้องดินแดนและประชาชนได้สบายมาก รวมทั้งยกเลิกการเป็นสมาชิกมรดกโลกปราสาทพระวิหารอันเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งและเดือดร้อนได้อย่างสมเหตุสมผลเช่นกัน ทั้งหมดนี้คือหลักฐานข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ที่ชี้ให้เห็นว่า การเสียเปรียบในเรื่องดินแดนที่นำไปสู่ความเดือดร้อนของประชาชนในท้องถิ่นนั้น หาได้มาจากเขมรแต่ฝ่ายเดียวไม่ หากมีสาเหตุมาจากผลประโยชน์ทับซ้อนที่มาจากทุนข้ามชาติที่ทำให้คนในรัฐบาลและนักวิชาการบางกลุ่มเหล่าช่วยกันขายบ้านขายเมืองขายชีวิตประชาชนให้กับต่างชาติอย่างไม่ต้องสงสัย ข้าพเจ้าจึงให้ชื่อบทความนี้ว่า “สยามพ่าย เพราะไทยถ่อย” อย่าไปโทษเขมร อย่าไปโทษต่างชาติเลย หากสยามจะอยู่ยั้งยืนยง ก็ต้องขจัดกระบวนการคอรัปชั่นของคนเหล่านี้ที่เป็นนักการเมืองข้าราชการทั้งทหาร พลเรือนและนักวิชาการขายตัวเสียก่อน อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- พาราสาวะถี ไม่มีใครปรานีใคร
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2554 เมื่อใดก็ตามที่บ้านเมืองเกิดความขัดแย้งทั้งจากภายในและภายนอกอย่างรุนแรง ข้าพเจ้ามักนึกไปถึงเรื่องของกลียุคที่ยังความเดือดร้อนขึ้นแก่ผู้คนพลเมืองจนถึงขั้นเสียบ้านเสียเมือง อันเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้มาจากหนังสือและวรรณกรรมที่มาจากห้องสมุดประจำบ้านที่พ่อเคยรวบรวมและจัดไว้ เมื่อยังเป็นเด็กพ่อเคยแนะให้อ่านหนังสือเรื่อง จินดามณี อันเป็นหนังสือให้เรียนรู้ภาษาไทยของคนโบราณในเรื่องอักขระวิธี กลบทและกาพย์กลอนต่าง ๆ เป็นหนังสือค่อนข้างยากสำหรับข้าพเจ้าสักหน่อย เลยเลือกเรียน เลือกอ่านเฉพาะสิ่งที่สนใจ โดยเฉพาะกาพย์กลอนเรื่อง พระไชยสุริยา ที่ปราชญ์ทางการเรียนภาษาไทย ท่านแต่งไว้ให้เด็กเรียน คือทั้งเรียนรู้ทั้งเรื่องอักษรและภาษาที่ควบคู่ไปกับสุภาษิตและคติชน เนื้อความในเรื่องพระไชยสุริยากับความล่มจมของบ้านเมืองเป็นสิ่งที่ไม่ตายและอยู่เพียงแต่จินตนาการของคนโบราณ เพราะปัจจุบันเรากำลังได้เห็นและได้สัมผัสกับสถานการณ์บ้านเมืองในทางสังคม วัฒนธรรมและเศรษฐกิจการเมืองในขณะนี้ จึงคิดว่าควรนำมาบอกเล่าให้คนรุ่นใหม่ได้รับรู้และได้คิด เพื่อการร่วมกันแก้ไขและเปลี่ยนแปลงให้สังคมได้ดีขึ้น โดยจะคัดแต่ตอนที่เสมือนจริงกับเหตุการณ์บ้านเมืองมาเสนอและวิเคราะห์ไว้ ณ ที่นี้ จะร่ำคำต่อไป พอฬ่อใจกุมารา ธรณีมีราชา เจ้าพาราสาวะถี ชื่อพระไชยสุริยา มีสุดามะเหษี ชื่อว่าสุมาลี อยู่บูรีไม่มีไภย ข้าเฝ้าเหล่าเสนา มีกริยาอะฌาสัย พ่อค้ามาแต่ไกล ได้อาศัยในพารา ไพร่ฟ้าประชาชี ชาวบูรีก็ปรีดา ทำไร่เขาไถนา ได้เข้าปลาและสาลี อยู่มาหมู่ข้าเฝ้า ก็หาเยาวนารี ที่หน้าตาดีดี ทำมโหรีที่เคหา ค่ำเช้าเฝ้าสีซอ เข้าแต่หอล่อกามา หาได้ให้ภริยา โลโภพาให้บ้าใจ ไม่จำคำพระเจ้า เหไปเข้าภาษาไสย ถือดีมีข้าไท ฉ้อแต่ไพร่ใส่ขื่อคา คะดีที่มีคู่ คือไก่หมูเจ้าสุภา ใครเอาเข้าปลามา ให้สุภาก็ว่าดี ที่แพ้แก้ชนะ ไม่ถือพระประเวณี ขี้ฉ้อก็ได้ดี ไล่ด่าตีมีอาญา ที่ซื่อถือพระเจ้า ว่าโง่เง่าเต่าปูปลา ผู้เฒ่าเหล่าเมธา ว่าใบ้บ้าสาระยำ ภิกษุสะมะณะ เล่าก็ละพระสธรรม คาถาว่าลำนำ ไปเร่ร่ำทำเฉโก ไม่จำคำผู้ใหญ่ ศีรษะไม้ใจโยโส ที่ดีมีอะโข ข้าขอโมทนาไป พาราสาวะถี ใครไม่มีปรานีใคร ดุดื้อถือแต่ใจ ที่ใครได้ใส่เอาพอ ผู้ที่มีฝีมือ ทำดุดื้อไม่ซื้อขอ ใส่คว้าผ้าที่คอ อะไร่ล่อก็เอาไป ข้าเฝ้าเหล่าเสนา มิได้ว่าหมู่ข้าไทย ถือน้ำร่ำเข้าไป แต่น้ำใจไม่นำพา หาได้ใครหาเอา ไพร่ฟ้าเศร้าเปล่าอุรา ผู้ที่มีอาญา ไล่ตีด่าไม่ปรานี ผีป่ามากระทำ มรณกรรมชาวบูรี น้ำป่าเข้าธานี ก็ไม่มีที่อาไศรย ข้าเฝ้าเหล่าเสนา หนีไปหาพาราไกล ชีบาล่าลี้ไป ไม่มีใครในธานี กาพย์พระไชยสุริยา “บ้านเมืองวิบัติเพราะผู้คนไม่อยู่ในธรรม” ผลงานของสุนทรภู่ สุนทรภู่ เมืองไทยทุกวันนี้เหมือน สาระถี ไม่มีใครปรานีใคร ผู้คนพลเมืองเกือบทุกท้องถิ่นในทุกภูมิภาคถูกแย่งที่ทำกิน ที่อยู่อาศัย และทรัพยากรธรรมชาติจนสิ้นเนื้อประดาตัว เสาหลักทั้งสามของการปกครองที่เรียกว่า ประชาธิปไตย คือ อำนาจนิติบัญญัติ รัฐบาล และตุลาการ หมดสภาพ ระส่ำระสายไปตกอยู่ในเงื้อมมือของกลุ่มทรราช อันประกอบด้วยนักการเมืองที่ชั่วร้าย ข้าราชการที่ทุจริต นักวิชาการที่ขายตัวต่อทุนข้ามชาติที่เหนือรัฐและเหนือตลาด สถาบันทางศาสนาก็ไม่เหมือนเดิม เพี้ยนไปทางไสยศาสตร์และบริโภคนิยมในหมู่อลัชชีที่แข่งที่อยู่อาศัย และขับไล่ผู้คนในชุมชนที่อยู่มาแต่ดั้งเดิม สถาบันที่รักษาความมั่นคงภายในเช่นตำรวจก็เป็นมิจฉาชีพ ในขณะที่สถาบันทหารที่มีหน้าที่ปกป้องแผ่นดินและอำนาจอธิปไตยก็ขายแผ่นดิน ยินยอมให้ศัตรูเข้ามาครอบครองและจับผู้คนไปขังคุก ดังเช่นกรณีเขาพระวิหารและพื้นที่ในเขตจังหวัดทางภาคตะวันออก สถาบันศาลและตุลาการก็ขาดความรู้และความเข้าใจจนตัดสินเอาผู้คนที่รัฐออกเอกสารสิทธิ์ทับที่ทำกินไปขังคุกจนเจ็บป่วยล้มตาย “หาได้ใครหาเจ้า ไพร่ฟ้าเศร้าเปล่าอุรา ผู้ที่มาอาญา ไล่ตีด่าไม่ปรานี” ทุกวันนี้แทบทุกพื้นปฐพีของบ้านเมืองถูกทุนเหนือรัฐและเหนือตลาดเข้ามาครอบครอง จนผู้คนแทบไม่มีที่อยู่อาศัย เหมือนกับข้อความที่ว่า “ผีป่ามากระทำ มรณกรรมชาวบูรี น้ำป่าเข้าธานี ก็ไม่มีที่อาไศรย” ในขณะที่บรรดาเดรัจฉานทั้งหลายคือ “ข้าฟ้าเหล่าเสนา หนีไปหาพาราไกล ชีบาล่าลี้ไป ไม่มีใครในธานี” คงไม่นานเกินรอ โอ้! สยามประเทศ... อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- เหนือในหลวงยังมีพระแก้วมรกต
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2555 ท่ามกลางความขัดแย้งทางความคิดในเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจ รวมทั้งการแตกแยกทางสังคม เกิดการแบ่งกลุ่มออกเป็นหลายฝักฝ่าย [Factions] ที่ต่างก็มุ่งหวังประโยชน์ของส่วนตนและพวกพ้องที่กำลังนำไปสู่ความเกลียดชังและความแค้น อันจะทำให้เกิดการกระทำที่รุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั้น แต่ละกลุ่มที่เกี่ยวข้องมักโต้ตอบกันด้วยวาทกรรมในเรื่องการต่อสู้เพื่อความเป็นประชาธิปไตยแบบฝรั่งตะวันตก เช่น อเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส และการลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ด้วยการแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๑๒ อันเกี่ยวกับความมั่นคงของพระมหากษัตริย์ ก็ได้มีนักวิชาการหัวนอกที่เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศกลุ่มหนึ่งที่ถูกบรรดาอาจารย์ฝรั่งอบรมให้ไม่เอาเจ้าและล้มเจ้าขึ้นมาแสดงความกล้าหาญทางวิชาการแบบไม่มีกาลเทศะอย่างทะลึ่งและลำพองว่า “จะต้องให้พระมหากษัตริย์ต้องสาบานตนเองต่อรัฐสภาจึงจะเกิดภาวะความเป็นธรรมทางสังคมในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยได้” เพราะเท่าที่เป็นอยู่นั้น ไม่ใช่เป็นประชาธิปไตย หากเพราะอำนาจอยู่ในหมู่อำมาตย์ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่ในช่วงเวลาที่นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยออกมาแสดงการคุกคามต่อพระมหากษัตริย์ (ตามความรู้สึกของข้าพเจ้า) ก็มีสถานีวิทยุโทรทัศน์หลายช่องได้นำเทปวีดีโอเรื่อง “จิตวิญญาณของประเทศชาติ” [Soul of a Nation] ที่สถานี BBC ของอังกฤษทำไว้และเผยแพร่เมื่อราว ๒๐ ปีที่แล้วมา อันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ ๙ และพระราชจริยวัตรของพระองค์ในฐานะเป็นพระมหากษัตริย์ในการปกครองระบอบรัฐธรรมนูญของการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขออกมาแพร่ภาพ ทำให้ข้าพเจ้าพอฟื้นความจำได้เพราะอายุเข้ามาค่อนศตวรรษแล้ว นับเป็นยุคสมัยที่บรรดานักวิชาการหัวนอกรุ่นใหม่ ๆ ที่แสดงการก้าวร้าวนั้น อาจจะยังไม่เกิดหรือไม่ก็เป็นทารกที่ไร้เดียงสาอยู่ก็ว่าได้ เพราะภาพที่แพร่หลายในโทรทัศน์ที่จัดทำโดยสารคดี BBC นี้ เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกในเรื่องสถานภาพและบทบาทของพระมหากษัตริย์ไทย ภายใต้การปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญเป็นอย่างดี อีกทั้งแสดงให้เห็นถึงการบำเพ็ญพระบารมีที่ได้เสด็จไปช่วยเหลือและเยี่ยมเยียนอาณาประชาราษฎร์อย่างสม่ำเสมอและสืบเนื่องมาจนทุกวันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นนักศึกษาที่มีความต่อเนื่อง คือนำความรู้ทางวิชาการที่ทรงศึกษามา และความรู้ข้อเท็จจริงใหม่ ๆ จากการเสด็จออกไปตามท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศ ตั้งคำถามและหาแนวทางที่สามารถปฏิบัติได้และควบคุมได้มาช่วยเหลือราษฎรที่ประสบปัญหาในการทำมาหาเลี้ยงชีพในการเกษตรให้สามารถฟื้นฟูชีวิตความเป็นอยู่ในท้องถิ่นได้ดีตามอัตภาพ จนมีผู้รู้ทั้งภายในและนอกประเทศมักกล่าวขวัญให้ฟังว่า “พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์เพื่อการเกษตรในสังคมเกษตรกรรมโดยแท้” เหตุที่เป็นเช่นนี้ทรงตระหนักดีถึงรากเหง้าทางสังคมและวัฒนธรรมของบ้านเมืองที่เป็นสังคมเกษตรกรรมแบบยั่งยืนมาแต่ดำบรรพ์ และความขัดแย้งที่เดือดร้อนที่เกิดขึ้นในประเทศชาติก็คือ การที่รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยในระบอบรัฐธรรมนูญนั้น พยายามทำให้สังคมไทยเป็นสังคมอุตสาหกรรมเยี่ยงประเทศทางตะวันตกนั่นเอง พฤติกรรมที่ก้าวร้าวและทะลึ่งของนักวิชาการเด็กทารกที่แสดงออกที่สถานการศึกษาในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่เรียกร้องให้พระมหากษัตริย์ต้องสาบานตนต่อรัฐบาลนั้น ข้าพเจ้ายอมรับไม่ได้ในฐานะที่เป็นประชาชนคนหนึ่งภายใต้การปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ได้สะกิดใจให้เห็นภาพที่แพร่อยู่ในโทรทัศน์ที่สถานี BBC ของอังกฤษตอนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงนำบรรดาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และผู้น้อยในคณะรัฐบาลสาบานตนต่อพระแก้วมรกต โดยที่พระองค์เองก็ทรงเป็นหนึ่งในผู้ร่วมสาบานเช่นคนอื่น ๆ เลยทำให้ต้องขอบคุณนักวิชาการเด็กทารกนั้นที่ทำให้ได้เข้าใจว่า ขณะที่ใคร ๆ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ๆ ที่คิดว่าพระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจสูงสุดนั้น แท้จริงแล้วเหนือพระองค์ท่านยังมีอำนาจสูงสุดขึ้นไปอีก คืออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือธรรมชาติและเหนือความเป็นพระสมมติเทวราช อำนาจของกฎหมายรัฐธรรมนูญแบบตะวันตกนั้น คนตะวันออกเห็นว่าเป็นอำนาจสาธารณ์ที่สามารถแก้ไข โต้แย้งได้ด้วยการขึ้นโรงขึ้นศาลที่ไม่มีทางทำให้เกิดสำนึกในสิ่งที่เป็นมโนธรรมได้ ยิ่งในปัจจุบันในประเทศไทยหรือสยามประเทศด้วยแล้ว อำนาจรัฐธรรมนูญในขณะนี้เป็นยิ่งกว่า “อำนาจสาธารณ์” กลับกลายเป็น “อำนาจสามานย์” ที่บรรดานักการเมือง นักวิชาการ และข้าราชการใช้เป็นเครื่องมือให้แสวงหาความมั่งคั่งทางทรัพย์สินและเงินทองเพื่อตนเองและพรรคพวก จนเกิดความขัดแย้งและความรุนแรงดังเช่นทุกวันนี้ ในฐานะของคนค่อนศตวรรษเช่นข้าพเจ้า ได้รับการอบรมและบอกห้ามมาแต่เล็ก ๆ ว่าจะสาบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ก็ตาม แต่อย่าได้สาบานต่อพระแก้วมรกตอย่างเด็ดขาด เพราะถ้าเป็นการโกหกแล้วจะมีการเป็นไปไม่ช้าก็เร็ว คนรุ่นราวคราวเดียวกับข้าพเจ้าหลายคนที่เป็นคนกรุงเทพฯ ก็ได้รับการอบรมเช่นนี้มาเช่นกัน เคยจำได้ว่ามีนักการเมืองที่เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่ง เคยสบถสาบานต่อพระแก้วมรกตในยามที่มีความขัดแย้งกันทางการเมือง นักการเมืองท่านนั้นคือ คุณสมัคร สุนทรเวช ที่ต่อมาได้รับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีก่อนที่จะถึงแก่อนิจกรรม คุณสมัครเป็นคนที่ชอบสาบานอยู่เนือง ๆ แม้ตอนขึ้นศาลก่อนที่จะถูกตัดสินให้แพ้คดีความก็ได้สบถสาบานเช่นกัน คุณสมัครสิ้นชีวิตด้วยโรคมะเร็งเช่นเดียวกันกับนักการเมืองอีกหลายคนที่เคยเป็นใหญ่เป็นโต ซึ่งผู้รู้หลายคนวิจารณ์ให้ข้าพเจ้าฟังว่า น่าจะเกี่ยวข้องถึงการไปสาบานตนก่อนเข้าตำแหน่งต่อหน้าพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของประเทศชาติเข้า ความเชื่อในเรื่องการโกหกและผิดสาบานดังกล่าวนี้ ถ้าย้อนหลังไปถึงสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วก็จะเกี่ยวข้องกับการที่ขุนนาง ข้าราชการ ที่เข้ามารับใช้พระมหากษัตริย์และพระเทศชาตินั้นจะต้องเข้าพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาต่อหน้าพระแก้วมรกตและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของราชอาณาจักรที่มีขึ้นในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในลักษณะเช่นเดียวกันกับพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาในพระวิหารวัดพระศรีสรรเพชญดาญาณครั้งกรุงศรีอยุธยา พระราชพิธีนี้กระทำต่อหน้าพระศรีสรรเพชญดาญาณอันเป็นพระพุทธรูปประธานในพระวิหารเช่นกัน พระราชพิธีถือน้ําพระพิพัฒน์สัตยาหรือพระพิพัฒน์สัจจา เป็นพิธีสาบานตนในการรับราชการว่าจะซื่อตรงต่อแผ่นดินและปกป้องชาติ บ้านเมืองให้เกิดความสงบสุข โดยข้าราชการทั้งหลายจะต้องดื่มน้ําสาบานตนจําเพาะพระพักตร์ พระมหากษัตริย์และส่ิงศักดิ์สิทธ์ิท้ังปวง พระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยานี้หลายท่านให้ความเห็นว่ามีที่มาจากประเพณีของเมืองพระนคร แต่ข้าพเจ้าได้หลักฐานว่ามีมาแต่รัฐศรีวิชัยในเกาะสุมาตราแล้ว นับเป็นโบราณราชประเพณีของบ้านเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างแท้จริง ความเชื่อในเรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณนี้ยังมีผลมาถึงสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองในสมัย พ.ศ. ๒๔๗๕ เช่นกัน เพราะมีผู้กล่าวอ้างบ่อย ๆ ทั้งจากการเล่าขานและการตีพิมพ์เป็นบทความว่า คณะราษฏรที่มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นล้วนมีอันเป็นไปแทบทุกคน โดยเฉพาะคนส่วนใหญ่ที่ตายในต่างประเทศ ปัจจุบัน แม้ว่าการถือน้ำพิพัฒน์สัตยาคลายความสำคัญไป แต่ประเพณีการถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของราชอาณาจักรก่อนที่ผู้ได้รับตำแหน่งและแต่งตั้งให้รับราชการก็ยังดำรงอยู่ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มักทรงเตือนให้ผู้เข้ารับตำแหน่งดำรงตำแหน่งสำคัญเหล่านั้นต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเที่ยงตรงตามที่ได้สาบานไว้เสมอ สิ่งนี้นับเป็นการอบรมทางศีลธรรมและจริยธรรมแก่บรรดาขุนนางข้าราชการอย่างแท้จริง เพราะเป็นการควบคุมในจิตสำนึกและมโนธรรมได้เป็นอย่างดี และดูเป็นพระราชภารกิจที่สำคัญในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ผู้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้การปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญด้วย เพราะฉะนั้น ภาพที่ปรากฏในสื่อโทรทัศน์ของสถานี BBC ที่กล่าวมาแล้วแต่ข้างต้น ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ยังต้องทรงสาบานต่อพระแก้วมรกตร่วมกันกับหมู่ข้าราชการนั้น ย่อมสะท้อนให้เห็นเป็นอย่างดีว่า เหนือในหลวงก็ยังมีพระแก้วมรกต ในการจรรโลงศีลธรรมและจริยธรรมของผู้ที่มีหน้าที่ในการปกครองและบริหารบ้านเมือง การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นการปกครองระบอบรัฐธรรมนูญเพื่อให้เป็นประชาธิปไตย เช่นในสังคมตะวันตกโดยเฉพาะเช่นอเมริกานั้น มาถึงทุกวันนี้นับเวลาได้ ๘๐ ปีแล้ว แต่ความเป็นประชาธิปไตยที่ได้มาก็เหมือนลม ๆ แล้ง ๆ หาใกล้เคียงกับอุดมคติไม่ อันเนื่องเป็นประชาธิปไตยจากข้างบน [Top down] มากกว่าเป็นการเพรียกร้องจากเบื้องล่าง เพราะคณะราษฎรที่ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นล้วนแต่เป็นขุนนางข้าราชการรุ่นใหม่ที่ยังเป็นระดับชนชั้นปกครองทั้งนั้น ทั้งทหารและพลเรือน โครงสร้างทั้งการเมืองและการบริหารยังมีลักษณะรวมศูนย์เหมือนกันกับสมัยสมบูรณาญาสิทธิราช หาได้มีการกระจายอำนาจอย่างแท้จริงลงมายังข้างล่างในระดับท้องถิ่นไม่ จึงไม่มีสิ่งที่เรียกว่าการปกครองท้องถิ่น [Local government] มีแต่การบริหารส่วนท้องถิ่น [Local administration] เป็นสำคัญ ผลของการปกครองแบบรวมศูนย์ที่ทำให้เกิดความลดหลั่นและเหลื่อมล้ำในเรื่องอำนาจจากบนลงล่างเป็นแนวตั้งที่ธำรงค่านิยมในเรื่องสถานภาพทางสังคมนี้ เหลื่อมล้ำกันจนไม่เกิดสำนึกในเรื่องความเสมอภาคของมนุษย์ตามอุดมคติประชาธิปไตยได้ ทั้งประเทศอาจแบ่งออกได้เป็นกลุ่มคนชั้นปกครอง เช่นพวกทหารและข้าราชการที่มีชั้นและรูปแบบในความดำรงชีวิต กับชนชั้นที่ถูกปกครองคือราษฎร หรือในสมัยก่อนเรียกว่าไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงมาเป็นระบอบประชาธิปไตยแต่ พ.ศ.๒๔๗๐ จึงดูดีอยู่ในระยะต้น ๆ พอถึงสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ประชาธิปไตยแทบไม่มีเหลือ กลายเป็นเผด็จการในนามของประชาธิปไตยระบอบรัฐธรรมนูญไป สมัยต่อจากจอมพล ป. ก็มีการปฏิวัติรัฐประหารและแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญบ่อย ๆ และการปกครองก็ยังมีลักษณะเผด็จการอยู่ดี หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย ใน พ.ศ. ๒๔๗๕ ไม่มีการจัดพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาอีก จนกระทั่ง พ.ศ.๒๕๑๒ ทรงฟื้นฟูพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาตามแบบโบราณราชประเพณีผนวกเป็นการเดียวกันกับพระราชพิธีพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี รวมทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง “ประกอบพิธีสาบานตนต่อหน้าพระแก้วมรกต” วัดพระศรีรัตนศาสดารามด้วย ผู้ก่อการปฏิวัติและรัฐประหารต่างก็อ้างว่าทำเพื่อความเป็นประชาธิปไตย แต่โดยปฏิบัติก็คือเผด็จการที่เปลี่ยนแปลงจากขุนศึกมาเป็นนายทุน ซึ่งปัจจุบันผู้มีอำนาจของรัฐบาลคือพวกนักธุรกิจ นายทุนที่ส่วนใหญ่ใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้งเข้ามาเป็นผู้แทนราษฎรเป็นเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภา และแต่งตั้งพรรคพวกตนเป็นรัฐบาล กลายเป็นเผด็จการรัฐสภาในลักษณะที่เป็นธนาธิปไตยแทนประชาธิปไตย เพราะใช้เงินอันเป็นรายได้ของรัฐทั้งแจกและซื้อ การยอมรับและการสนับสนุนจากคนเบื้องล่างที่ไม่เคยได้รับการอบรมและอธิบายว่าประชาธิปไตยคืออะไร เมื่อใดที่ผู้นำของกลุ่มทรราชเหล่านี้ต้องการในสิ่งใด ๆ ก็ตามที่เป็นประโยชน์และความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการเมืองของพวกตน ก็มักจะใช้เงินมอมเมาผู้คนจากเบื้องล่างให้เข้ามาเคลื่อนไหว กดดันทั้งรัฐและสังคมให้ยอมตนเอยู่เสมอ ดูเหมือนความเลวร้ายของการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบรัฐธรรมนูญเพื่อเป็นประชาธิปไตย ในทุกวันนี้ รุนแรงกว่าสมัยใด ๆ ที่ผ่านมา เพราะกลุ่มทรราชธนาธิปไตยซื้อได้ทั้งอำนาจการบริหารในรัฐบาล และอำนาจนิติบัญญัติในรัฐสภา ยังอยู่เพียงอำนาจตุลาการเพียงโสดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสภาพง่อนแง่นและอ่อนล้า อันเกิดจากการถูกตามด้วยอำนาจการซื้อด้วยเงินของฝ่ายทรราชย์ ทำให้ความอยากและความปรารถนาที่จะเป็นประชาธิปไตยอย่างที่ควรจะเป็นนั้น เป็นเพียงแสงริบหรี่ที่กำลังจะดับสนิทในไม่ช้า อนิจจาแปดสิบปีประชาธิปไตยในสยามประเทศ อคติในปัจฉิมลิขิตของบทความนี้ของข้าพเจ้าก็คือ ทุกวันนี้คนไทยเป็นคนไร้พรมแดน ความเป็นไทยไม่ใช่อิสรเสรี หากมีแต่ความเป็นข้า คือข้าทาสติดที่ดินของคนอเมริกัน คนอังกฤษ คนฝรั่งเศส คนสิงคโปร์ คนเกาหลี คนญี่ปุ่น ซึ่งรวมทั้งคนมลายู คนฟิลิปปินส์ คนไต้หวัน คนจีน คนฮ่องกง คนเวียดนามและอื่น ๆ ยกเว้นคนเขมรที่เป็นผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขได้ในอนาคต อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- AEC : สัญญาณวิบัติประชาชาติ
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2556 ข้าพเจ้าจำได้ว่าหลายปีที่ผ่านมามีผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคมนำความคิดเชิงวาทกรรมชุดหนึ่งมาเผยแพร่ในสังคมเรื่อง รายได้ประชาชาติ [Gross Domestic Product : GDP] กับ ความสุขมวลรวมของประชาชาติ [Gross National Happiness : GNH] เนื่องจากสังคมไทยให้ความสำคัญกับการเพิ่มรายได้เพื่อความร่ำรวยในทางวัตถุที่เป็นรูปธรรมจนขาดความสุขทางจิตวิญญาณที่เป็นนามธรรมอันเป็นความสงบสุขที่แท้จริง สังคมที่ถูกนำมาอ้างอิงเป็นแบบอย่างในช่วงเวลานั้นก็คือ ภูฐาน อันเป็นประเทศเล็กบนเทือกเขาหิมาลัย ทำให้เกิดการสร้างสัมพันธ์ทางการทูตกับภูฐานและมีการนำทัวร์นำเที่ยวกันอย่างครึกโครมของหน่วยงานของรัฐและภาคเอกชนและต่างกลับมายกย่องกล่าวขวัญถึงการเป็นสังคมที่มีความสุขมวลชนของประชาชาติ ผลที่ตามมาก็คือทำให้มีการติดต่อแลกเปลี่ยนกันทางวัฒนธรรมมีทั้งทีมงานทีมวิชาการจากประเทศไทยไปภูฐานและจากภูฐานมาไทย ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างระหว่างกัน ข้าพเจ้าเคยมีโอกาสร่วมเดินทางไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเขาเหมือนกัน จนเกิดพัฒนาความเข้าใจไปในเชิงนอกรีตนอกรอยจากคนอื่น ๆ โดยคิดว่าบรรดาท่านทั้งหลายที่เข้าไปภูฐานนั้นยังมองอะไรที่ยังไม่ถนัดในเรื่องอะไรคือ ความสุขมวลชนของคนภูฐาน เพราะไม่ค่อยได้ไปซักถามเรียนรู้และสังเกตเห็นอะไรจากการที่เข้าไปในสังคมของคนภูฐาน แต่ดูยินดีในการเสวนาแลกเปลี่ยนเชิงสั่งสอนให้กับคนภูฐานในเรื่องเศรษฐกิจทุนนิยมและประชาธิปไตยแบบอเมริกาที่ทางไทยโอ่ว่าเป็นเรื่องสมัย ดูไปแล้วเคยคิดว่าแทนที่จะไปเรียนรู้อะไรคือความสุขเพื่อจะได้นำมาสร้างขึ้นบ้างในเมืองไทย กลับเป็นเรื่องการนำทุกข์ที่เกิดจากประชาธิปไตยสาธารณ์และทุนสามานย์ไปสอนเขา ในความเข้าใจของข้าพเจ้าภูฐานเป็นประเทศของผู้คนในโลกหิมาลัย [Himalayan world] เป็นโลกของผู้คนที่ต่างทั้งภพภูมิกับคนไทยและคนอื่นๆ ที่อยู่แต่เชิงเขาหิมาลัยลงไปถึงจดทะเลจดมหาสมุทร จากที่ได้เข้าไปเห็นและสัมผัส โลกหิมาลัยคือแดนหิมพานต์ที่หิมะสีขาวเงินยวงปกคลุมครึ่งปีและอีกครึ่งปีเป็นป่าเขาสีเขียวสดภายใต้ท้องฟ้าที่สดใสไร้มลทินจากเมฆและฝน เป็นดินแดนกึ่งโลกมนุษย์กับสวรรค์ที่อยู่เหนือยอดเขาหิมาลัยขึ้นไป ความเป็นมนุษย์ของคนในโลกหิมาลัยไม่ว่าภูฐาน เนปาล ทิเบตและที่อื่น ๆ นั้น แลเห็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสิ่งเหนือธรรมชาติอย่างชัดเจน ต่างกันกับบรรดามนุษย์โลกที่อยู่ใต้เขาหิมาลัยที่นับวันความสัมพันธ์กับสิ่งเหนือธรรมชาติและจักรวาลอยู่ในสภาพที่เลือนรางทุกวัน โดยเฉพาะมนุษย์โลกในสังคมไทยที่แต่ก่อนเคยโอ้อวดถึงความเป็นเมืองพุทธเป็นสยามเมืองยิ้ม เป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์และมีสันติสุข โดยเฉพาะสุขทั้งกายและใจในมิติของจิตวิญญาณ แต่หลังจากไปคบค้าสมาคมกัน อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศสที่เป็นอสุรกายของโลก ความเชื่อในพระศาสนาอันเป็นที่มาของศีลธรรม จริยธรรม และความสงบสุขทั้งการและใจในจิตวิญญาณก็สลายไปในหมู่คนรุ่นพ่อแม่และลูกหลานที่กลายเป็นทาสทางความคิดของบรรดาอสุรกายไป คนไทยทุกวันนี้ถูกความโลภความต้องการทางวัตถุแสวงหาอำนาจและเงินตราจนโงหัวไม่ขึ้น เกิดความขัดแย้งแย่งชิงกันจากความโลภ โมหะ และราคะที่ทำให้เกิดความโกรธเกลียดถึงขั้นมีการฆ่าล้างทำร้ายกันแล้ว ซึ่งก็นับวันจะทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ จึงดูเป็นเรื่องน่าขบขันสำหรับข้าพเจ้า ที่เกิดมีผู้โหยหาความสุขมวลรวมประชาชาติ [GNH] แบบอย่างภูฐานบ้าง แต่แทนที่จะไปเรียนรู้จากเขากลับไปเอาคัมภีร์ของอสุรกายเรื่องประชาธิปไตยสาธารณ์และเศรษฐกิจทุนนิยมสามานย์ไปเผยแพร่ ความสุขกายและสุขใจของคนภูฐานและคนในโลกหิมาลัยเกิดจากความเชื่อมั่นศรัทธาในพระพุทธศาสนามหายานที่เรียกว่า “วัชรยาน” ซึ่งเป็นลัทธิศาสนาแบบตันตริกที่มองว่ามนุษย์จะบรรลุความหลุดพ้นทางโลกเข้าสู่นิพพานได้ด้วยประสบการณ์ในเรื่องรูปรสกลิ่นเสียง โดยสร้างบุคคลาธิษฐานให้เกิดตัวตนขึ้นทั้งในสิ่งที่เป็นความชั่วและความดี เช่น ความชั่วจะแลเห็นในรูปของมารอสุรกาย อมนุษย์ สัตว์ร้าย ส่วนสิ่งที่เป็นความดีงามเป็นเทพเป็นพระและสัญลักษณ์ที่เป็นมงคล เป็นต้น บนสวรรค์ของคนในโลกหิมาลัยมีพระเทพพุทธเจ้าหลายพระองค์และพระเทพโพธิสัตว์หลายพระองค์ที่อุบัติมาแต่อดีต ปัจจุบัน และในอนาคต แต่พระเทพโพธิสัตว์ที่เป็นที่กราบไหว้วิงวอนของคนทั้งหลายองค์สำคัญก็คือ “พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร” เป็นพระเทพแห่งความกรุณาปราณีที่จะทรงช่วยเหลือมนุษย์ให้หลุดพ้นความโลกกิเลสและตัณหา คนในโลกหิมาลัยไม่ว่าภูฐานและทิเบตเพรียกหาด้วยมนตราและคาถาว่า “โอม มณี ปัทเม หุม” เพื่อทำให้เกิดสติปัญญาที่นำไปสู่ความหลุดพ้นได้ทุกขณะจิต เหตุนี้จึงมีคาถาที่ปรากฏในรูปของธงมนต์ ระฆังมนต์ ล้อมนต์และจารึกอยู่ในแทบทุกพื้นที่ของบ้านเมือง เป็นมนตราที่ท่องบนอยู่ในทุกขณะจิตที่เว้นว่างจากการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน อย่างเช่นในย่านตลาดและร้านค้าที่มีการซื้อขาย คนที่เป็นพ่อค้าและแม่ค้าจะมีระฆังมนต์ขนาดเล็กที่ถือและแกว่งได้เป็นประจำ จะแกว่งสวดมนต์แม้แต่ในขณะขายของเพื่อให้เกิดแสงสว่างแห่งความหลุดพ้นเสมือนมณีเพชรรัตน์ที่ทำให้เกิดสภาวะหลุดพ้นที่เบิกบานไร้มลทินเช่นดอกบัว สำหรับข้าพเจ้าคิดว่าคาถา “โอม มณี ปัทเม หุม” นี้คือสิ่งที่ให้คนสามารถกำหนดปัจจุบันอย่างมีสติปัญญาเพื่อเข้าถึงความสุขที่แท้จริงที่ทำให้เกิดภาพรวมที่ว่า ความสุขมวลรวมของประชาชาติ [GNH] ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นคนไทยรุ่นพ่อแม่ลูกและหลานในสังคมไทยปัจจุบันเข้าใจในสิ่งนี้เลย โดยเฉพาะพวกคนที่ได้รับการอบรมและถูกครอบงำด้วยระบบเศรษฐกิจ การเมือง จากอสุรกายอเมริกันที่มีอยู่ทั่วทุกระแหงในวงราชการ การค้าธุรกิจ และการศึกษาของประเทศ ปัจจุบันความต้องการเรื่องความสุขมวลรวมของประชาชาติดูซบเซาไปไม่มีใครใคร่พูดถึง มีแต่การส่งเสริมให้มีการไปท่องเที่ยวที่ภูฐานแทน ซึ่งก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการท่องเที่ยวเพื่อบริโภคความสนุกมากกว่าไปเรียนรู้ แต่ที่น่ากลัวก็คืออาจไปแพร่ความโลภความอยากทางวัตถุให้กับรัฐและประชาชนภูฐานเพื่อเชื้อเชิญความทุกข์มวลรวมประชาชาติ [Gross national suffering] เสียมากกว่า สังคมไทยเป็นสังคมที่ป่วยมานานแล้ว มักหาความหลุดพ้นใหม่ ๆ ด้วยการสร้างวาทกรรมอยู่เนืองๆ ไม่ใช่มีแต่เรื่องการแทน GDP ด้วย GNH เพื่อครั้งนี้เท่านั้น ครั้งก่อนๆ ก็มีเช่นเรื่องการอยากเป็นนิกส์ [Nicks] คือเป็นประเทศเศรษฐกิจใหม่ เป็นหนึ่งในเสือห้าตัวของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นต้น แต่ผลที่ตามมาของการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อการลงทุนก็ล่มจมทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ ทำให้บรรดาชนชั้นกลางและนายทุนใหญ่น้อยทั่วประเทศล่มจม ล้มละลาย และฆ่าตัวตายกันเป็นแถว ๆ ไป มาครั้งความอยากจะมี GNH แบบภูฐานก็กลายเป็นลมเป็นแล้งเพราะไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้ในสังคมทุนนิยมประชาธิปไตยแบบใช้เงินซื้อเสียงที่สร้างความโลภความอยากทางวัตถุอยู่ตลอดเวลา จึงไม่เกิดผลอะไรนอกจากดิ่งลงไปสู่ห้วงแห่งความทุกข์มวลรวมมากกว่า แต่เมื่อเรื่อง GNH หมดไปก็เกิดความหวังใหม่ขึ้นมาแทนคือ AEC [Asian Economic Community] ซึ่งดูเผิน ๆ ก็เหมือนกับว่าเป็นโครงการและกระบวนการที่คิดขึ้นและสร้างขึ้นโดยคนในกลุ่มประเทศอาเซียน [ASIAN] เพราะมีการร่วมคิดร่วมประชุมอยู่เนือง ๆ เช่นมีการประชุมสุดยอดอาเซียนระหว่างกัน เป็นต้น แต่มองให้ลึกแล้วก็จะเห็นได้ว่า มีมหาอำนาจใหญ่ทางการเมืองและเศรษฐกิจของโลกอยู่เบื้องหลัง ดังเห็นได้จากการมีผู้นำหรือผู้แทนสำคัญเข้ามาร่วมประชุมด้วยทุกครั้ง ซึ่งหนทางที่จะเจ้ามาครอบงำได้นั้นก็ต้องอาศัยการประชุมแบบจีทูจี คือประชุมกันระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาลในหมู่ประเทศอาเซียนด้วยกัน แต่มีประเทศมหาอำนาจเข้ามาร่วมในลักษณะ G บวกห้าหรือบวกหก เป็นต้น ซึ่งเมื่อมีการประชุมกันทุกครั้งแล้วก็พอมองเห็นได้ว่าในทางเศรษฐกิจและการเมืองประเทศอาเซียนซึ่งไทยเป็นสมาชิกหนึ่งนั้นล้วนเป็นประเทศสองฝ่ายฟ้าคืออยู่ระหว่างมหาอำนาจทางตะวันตกที่มีอเมริกาเป็นหัวหอก กับมหาอำนาจตะวันออกที่มีจีนเป็นหัวเรือใหญ่ แต่ในความรู้สึกของข้าพเจ้าคิดเฉพาะประเทศไทยว่า เป็นประเทศขี้ข้าสองฝ่ายฟ้าที่แย่ที่สุด เพราะขาดสติปัญญาและประสบการณ์ในการสร้างความรู้ความเข้าใจในการต่อสู้ต่อต้านและต่อรอง อันเนื่องมาจากเป็นขี้ข้าทางปัญญาของอสุรกายอเมริกันมาไม่ต่ำกว่าครึ่งศตวรรษ อาการของการเป็นทาสปัญญานั้นคือคิดไม่เป็น สังเกตและวิพากษ์วิจารณ์ไม่เป็น ท่องจำตะบัน และเชื่อตะบัน ลักษณะเช่นนี้ครอบคลุมไปถึงการศึกษาของเด็กและนักศึกษาในโรงเรียนและตามมหาวิทยาลัยด้วย หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นยุคสงครามเย็นที่โลกแบ่งออกเป็นสองค่าย คือค่ายคอมมิวนิสต์ที่รัสเซียและจีนเป็นผู้นำ กับค่ายประชาธิปไตยที่อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศสเป็นผู้นำ ไทยคือทาสที่ซื่อสัตย์และซื่อบื้อของอเมริกันโดยยืนหยัดในการเป็นประเทศประชาธิปไตยแบบมีพรรคการเมืองและรัฐสภาอย่างแข็งขันในโอวาทของอเมริกัน ทั้ง ๆ ที่เนื้องานในการปฏิบัติคือเผด็จการมาโดยตลอด เพราะโครงสร้างทางการเมืองการปกครองเป็นอำนาจรวมศูนย์ที่ไม่เคยคิดที่จะกระจายลงล่างตามอุดมคติของประชาธิปไตย แต่ที่สำคัญ เน้นระบบการเลือกตั้งที่ฉ้อฉลที่เป็นการซื้อเสียงกันเข้ามาเป็นผู้แทนในพรรคการเมือง เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากสามารถมีอำนาจในสภาและเข้ายึดครองอำนาจและงบประมาณในการปกครองและบริหารได้อย่างเต็มที่ เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งการทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวงในหมู่ข้าราชการ นักการเมือง พ่อค้า และนักธุรกิจอย่างกว้างขวาง คนเหล่านี้ที่มีอำนาจหน้าที่เป็นคนของรัฐแทบไม่มีความคิดอันใดในเรื่องผลประโยชน์ของประเทศชาติและความสงบสุข ความอยู่ดีกินดีของประชาชน แต่ตั้งหน้าตั้งตาโกงกิน มอมเมา และหลอกลวงประชาชนในรูปของประชานิยม ในรูปแบบและวิธีการต่าง ๆ นานา ซึ่งเป็นวิธีการแบบเดียวกันของทุกพรรคการเมืองที่ผลัดกันเข้ามามีอำนาจเป็นรัฐบาล “ประชานิยมคือฉิบหายนิยม” ที่รัฐบาลนำรายได้ของประเทศที่เป็นภาษีอากรจากประชาชนมาแจกจ่ายให้กับประชาชนตามท้องถิ่นต่าง ๆ เพื่อการหาเสียง ซื้อเสียงในการเลือกตั้งและในการสร้างการยอมรับเพื่อความชอบธรรมในการโกงชาติของพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลที่เป็นเผด็จการทางรัฐสภา ทำให้ประชาชนที่มีการศึกษาน้อยและตามไม่ทันรัฐบาล ตามไม่ทันโลกของทุนนิยม ชื่นชอบให้การสนับและยอมให้รัฐบาลและนักการเมืองสนตะพายเหมือนการล่ามควายและจูงควาย จึงเกิดปรากฏการณ์ของคนเสื้อแดงและโจรเสื้อแดงขึ้น ซึ่งกำลังสร้างความพินาศฉิบหายให้กับประเทศชาติบ้านเมืองในขณะนี้อย่างสุด ๆ คนเสื้อแดงกับโจรเสื้อแดงแม้จะอยู่ด้วยกันแต่ก็ต่างกันในเรื่องที่ว่า คนเสื้อแดงเป็นพลเมืองที่เกิดมาจากประชาชนคนเบื้องล่างที่มีการศึกษาน้อยอันเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศที่ได้รับการกดขี่และดูถูกจากบรรดาขุนนางและข้าราชการของรัฐรวมศูนย์มาเป็นเวลาช้านาน แต่ก็ถูกหลอกโดยคนที่เป็นโจรเสื้อแดงที่เป็นนักธุรกิจการเมืองให้มาเป็นพวกด้วยระบบประชานิยม ที่นอกจากจะลงทุนใช้เงินแจกแล้วยังหนุนให้มีอำนาจในการขัดขืนและข่มขู่บรรดาข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในการรักษาความสงบและความมีระเบียบและกฎหมายของบ้านเมือง โจรเสื้อแดงกลายเป็นคนมีอำนาจแบบถูกกฎหมาย เพราะทำอะไรก็ไม่ผิดกฎหมายภายใต้รัฐบาลโจรเสื้อแดงที่สามารถควบคุมตำรวจ อัยการ ทหาร ข้าราชการ และนักวิชาการได้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ จนทำอะไรก็ได้ก็ไม่ผิดถึงผิดก็ทำให้เป็นถูกได้ แต่ที่เลวร้ายที่สุดก็คือโจรเสื้อแดงและรัฐบาลเสื้อแดงก็คือลิ่วล้อและข้าข้า ประเทศมหาอำนาจทางตะวันตกและตะวันออกโดยเฉพาะอเมริกาผู้เป็นจอมอสุรกายแห่งโลก ซึ่งคอยเสริมอำนาจและการสร้างความชอบธรรมในเรื่องทางการเมืองและเศรษฐกิจให้แก่รัฐบาลทรราชทั้งทางตรงและทางอ้อม จนทำให้กลุ่มคนรักชาติและรักความยุติธรรมที่มีกองกำลังไม่กล้าออกมาต่อต้านและขับไล่ทรราช เพราะกลัวการแทรกแซงมหาอำนาจที่เป็นอสุรกายเหล่านี้ ความชั่วร้ายของอเมริกันมหาสกปรกในที่นี้นั้น ข้าพเจ้าหมายถึงรัฐบาลอเมริกันที่มีพรรคการเมืองทั้งเดโมแครตและริพับลิกันผลัดกันเข้ามาเป็นใหญ่ในรัฐบาล หาได้หมายถึงคนอเมริกันในลักษณะที่เป็นปัจเจกชนโดยทั่วไปไม่ เพราะคนเหล่านี้มีทั้งคนดีคนที่รักความยุติธรรม รักอุดมการณ์ประชาธิปไตย และมีสำนึกในเรื่องมนุษยธรรม แต่รัฐบาลกลับมีคืออสุรกายสองหน้า หน้าหนึ่งคือนักบุญที่ร่ายคาถาเผยแพร่ความเป็นประชาธิปไตยให้เห็นตัวอย่างที่ดีของโลก โดยใช้สื่อแทบทุกรูปแบบทั้งทางตรงและทางอ้อมเพื่อสร้างภาพพจน์ของอเมริกันที่เป็นเสาหลักของประชาธิปไตยและการเป็นตำรวจโลก แต่อีกหน้าหนึ่งคือปีศาจร้ายทางเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีที่หิวโหยและแสวงหาทรัพยากรและแห่งทรัพยากรของบรรดาประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศในดินแดนตะวันออกกลางที่มีแหล่งน้ำมันอุดมสมบูรณ์ และประเทศในกลุ่มอาเซียนที่ประเทศไทยและประเทศกัมพูชานับเนื่องเป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ในเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพและทรัพยากรทางพลังงาน เป็นที่ต้องการและแย่งชิงของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจหลาย ๆ ประเทศทั้งทางตะวันตกและตะวันออก รัฐบาลอเมริกันมีความก้าวหน้าล้ำหน้ามหาอำนาจอื่น ๆ ในการเข้าไปแทรกแซงและจัดการกับทั้งไทยและเขมรเป็นอย่างเห็นได้ชัด โดยใช้รัฐบาลไทยที่มีสภาวะเป็นขี้ข้าทางความคิดมาแต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ คือใช้ไทยเป็นฐานทางประชาธิปไตยต่อต้านฝ่ายคอมมิวนิสต์และโฆษณาความเชื่อในเรื่องประชาธิปไตยและเศรษฐกิจทุนนิยม โดยสร้างความเป็นประชาธิปไตยแต่เปลี่ยนภายนอกเท่านั้น หาได้เข้าไปสนับสนุนให้เกิดความเป็นภายในสังคมไทยไม่ ยังคงปล่อยให้เป็นเผด็จการมาแทบทุกยุคทุกสมัย นับแต่เผด็จการทหารมาจนเผด็จการพลเรือนที่เกิดจากนักธุรกิจการเมืองที่ขาดคุณธรรมในความเป็นนักการเมืองในอุดมคติของประชาธิปไตย แต่อาศัยการซื้อเสียง แจกเงิน และหาเสียงจากประชาชนที่ต้องการศึกษาและขาดความรู้ในเรื่องประชาธิปไตยเข้ามาเป็นผู้แทนราษฎรเพื่อโอกาสในการเข้ามาเป็นรัฐบาลมีอำนาจในการบริหาร และเพื่อมีเสียงในสภาที่มีอำนาจทางนิติบัญญัติ อเมริกันทำเฉยกับการปกครองแบบรวมศูนย์ของรัฐบาลไทยมาโดยตลอดทั้ง ๆ ที่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการปกครองแบบประชาธิปไตยในประเทศที่มีประชาชนกว่า ๖๐ ล้านคน และให้การรับรองพรรคการเมืองที่กว้านซื้อเสียง ชนะการเลือกตั้งเข้ามาเป็นรัฐบาลและมีเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภา ให้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในระบบทุนนิยมเสรี บรรดาพ่อค้า นักธุรกิจที่เข้ามาเป็นนักการเมืองเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมเศรษฐกิจที่เคยเป็นเกษตรกรรมแบบชาวนา [Peasant society] มาเป็นอุตสาหกรรมทุนนิยมที่เน้นการลงทุนจากทั้งภายนอกและภายใน โดยเฉพาะการเปิดเสรีให้ทุนข้ามชาติและนักธุรกิจข้ามชาติเข้ามาลงทุน ยึดครองที่ดินและครอบครองการผลิตทั้งสินค้าภายในและสินค้าส่งออก ส่งรายได้ออกไปนอกประเทศ ในทุกวันนี้ ในทุกพรรคการเมืองแทบไม่มีคนที่อยากมีอาชีพเป็นนักการเมืองที่เป็นนักประชาธิปไตยเลย เพราะไม่อาจหาเสียงเลือกตั้งเข้ามาเป็นผู้แทนราษฎรได้ ซึ่งบางครั้งก็มีเล็ดรอดเข้ามาได้ก็เป็นแต่พรรคเล็ก ๆ ที่ไม่มีเสียงได้ในสภา อยู่ได้ขณะหนึ่งก็ถูกดูดกลืนเข้าพรรคใหญ่ที่ล้วนเป็นพรรคของนักธุรกิจการเมืองที่มุ่งหวังเข้ามาเป็นรัฐบาล มีอำนาจรวมศูนย์และงบประมาณรวมศูนย์ในการจัดการขายทรัพยากรและที่ดินของประเทศเพื่อความมั่งคั่งและมีอำนาจยศถาบรรดาศักดิ์ของตนเองและพวกพ้อง เกิดการคอรัปชั่น การละเมิดกฎหมาย ละเมิดศีลธรรมและจริยธรรม และความรับผิดชอบในการทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ในแผ่นดินอยู่ดีกินดี ทุกวันนี้รัฐบาลเผด็จการกำลังทำทุกอย่างในการขายทรัพยากรและขายประเทศผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจข้ามชาติในนามของรัฐบาลประชาธิปไตยที่อเมริกาและมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกยอมรับและคอยปกป้อง ในส่วนประเทศเขมรก็คล้ายกันกับไทย มีรัฐทรราชฮุนเซ็นมีอำนาจเผด็จการขั้นเด็ดขาด เพราะสามารถกดขี่ประชาชนไว้ได้มานานแล้ว และเมื่อสิ้นสุดของสงครามเวียดนาม ฮุนเซ็นต้องการประกาศให้ทั่วโลกได้รับรู้ว่าเขมรกำลังเป็นประชาธิปไตยต้องการเลือกตั้ง แต่ก็ซื้อเสียงและโกยเสียงเลือกตั้งจนพรรคของตนได้เป็นรัฐบาลแบบประชาธิปไตยที่มีพรรคการเมืองตามแบบอย่างอเมริกัน แต่สิ่งที่ทั้งไทยและเขมรคล้ายกันมากและคล้ายกันอย่างสนิทแบบชิดเชื้อก็คือ ต่างก็เป็นรัฐบาลโจรเหมือนกันคือโจรฮุนเซ็น กับโจรเสื้อแดง มีกิจกรรมรวมกันคือการขายประเทศขายทรัพยากรเหมือนกัน รวมทั้งมีการรวมกันด้วยการแต่งงานระหว่างคนในครอบครัวของโจรฮุนเซ็นและโจรเสื้อแดง ยิ่งกว่านั้นตลอดเวลา ๕-๖ ปีที่ผ่านมา ก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้แลเห็นความสัมพันธ์แบบพึ่งพิงกันระหว่างผู้นำของโจรทั้งสองประเทศนี้บ่อย ๆ เช่นหัวหน้าโจรไทยที่หนีคุกลี้ภัยอยู่นอกประเทศแอบเข้าไปเยี่ยมเยียนและพึ่งพาโจรเขมรอยู่บ่อยครั้งเพื่อการขยายตัวในการขายทรัพยากรและขายประเทศร่วมกัน ดังเห็นได้จากกรณีการพิพาทในเรื่องเขตแดนที่ปราสาทพระวิหารบนเทือกเขาพนมดงเร็กที่มีแนวโน้มในการตัดสินขององค์กรโลกที่อเมริกันมีส่วนอยู่เบื้องหลัง อันจะทำให้ไม่ใช่เสียเฉพาะในบริเวณปราสาทพระวิหาร แต่จะกินพื้นที่ตะเข็บชายแดนจากเทือกเขาลงไปสู่ที่ราบและทะเลที่อุดมไปด้วยทรัพยากร โดยเฉพาะในที่ทะเลในอ่าวไทยที่บริษัทขุดเจาะน้ำมันของอเมริกันจะได้สัมปทาน แต่สิ่งที่จะฉิบหายอย่างสุด ๆ ก็คือ มหาอสุรกายอเมริกันกับประเทศที่เป็นลิ่วล้อหนุนให้เกิดภาคีร่วมมือกันทางเศรษฐกิจระหว่างกลุ่มประเทศอาเซียนในโครงการที่เรียกว่าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน [AEC] ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าเป็นหลุมพรางของอเมริกันและมหาอำนาจข้ามชาติ เป็นการเผยแพร่แนวคิดและดำเนินการเคลื่อนไหวมาช้านาน ที่เห็นชัดก็คือการเข้ามาเกี่ยวข้องของคนสำคัญอเมริกันที่เข้าไปเขมรและมาไทยอยู่บ่อยๆ เช่นรัฐมนตรีต่างประเทศไปเขมร ประธานาธิบดีอเมริกันมาไทย รวมทั้งการเคลื่อนไหวอย่างลับ ๆ จากเจ้าหน้าที่สถานทูตอเมริกันเข้ามาพบปะกับพรรคการเมืองโจรที่เป็นรัฐบาลบ่อย ๆ โดยเฉพาะบุคคลที่เป็นเอกอัครราชทูตอเมริกันในประเทศไทย ทั้งหมดนี้นำไปสู่การประชุมเศรษฐกิจอาเซียนที่จัดขึ้นที่ไทยและเขมรด้วย ประชุมกันหลายครั้งหลายระดับทั้งในไทยและในเขมร ซึ่งในที่สุดก็เผยร่างเปลือยกายของโครงการร่วมมือนี้ในรูปของจีทูจี คือระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาลและมีจีบวกแถมเข้ามาเป็น G+6 บ้าง G+5 บ้าง เพราะบรรดาจีบวกเหล่านั้นหมายถึงรัฐบาลของมหาอำนาจที่อยู่นอกกลุ่มประเทศอาเซียน ได้แก่ อเมริกา จีน ญี่ปุ่น เป็นต้น ซึ่งก็ส่งให้เห็นว่าโครงการพัฒนาเศรษฐกิจร่วมระหว่างกลุ่มประเทศอาเซียนนี้ น่าจะไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์ระหว่างกันของคนในสังคมอาเซียนร่วมกัน แต่น่าจะผ่องถ่ายไปอยู่กับนายทุนและคนรวยในประเทศมหาอำนาจทั้งทางตะวันตกและตะวันออกมากกว่า การผนวกเอาจีบวกทั้งหลายเข้ามานี้แหละที่ทำให้เห็นว่าเป็นโครงการพัฒนาเศรษฐกิจที่อยู่ระหว่างสองฝ่ายฟ้า ที่มีอเมริกันฟากหนึ่งและจีนฟากหนึ่งนั่นเอง แต่ผู้คนในประเทศสองฝ่ายฟ้าที่น่าจะย่ำแย่กว่าคนในประเทศอื่นในกลุ่มอาเซียนเดียวกันก็คือ คนไทยตาดำ ๆ ทั้งประเทศ เพราะคนในระดับล่างทั่วไปที่เป็นคนส่วนใหญ่มีความล้าหลังทางการศึกษา ขาดสติปัญญาและความรู้ที่จะทำให้ทันการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม และที่สำคัญก็คือขาดความเชื่อมั่นในตนเอง จึงถูกมอมเมาและครอบงำให้คล้อยตามและยอมตามความคิดความเห็นของบรรดาข้าราชการ พ่อค้า นายทุน นักวิชาการ นักการเมืองในพรรครัฐบาลที่มีอำนาจอย่างศิโรราบ รัฐบาลเผด็จการ ทรราชของโจรเสื้อแดงคือลูกกะโล่ของอเมริกัน โดยมีอเมริกันเป็นมาเฟียคุ้มกันอยู่ภายนอก จะทำอะไรก็ได้ ผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรมจริยธรรมและมนุษยธรรมก็ได้ ล้วนมีอำนาจจากภายนอกยอมรับและสร้างความชอบธรรมด้วยการใช้สื่อ และเอาสื่อเป็นเครื่องมือให้การสร้างการยอมรับและรับรู้ โดยปิดปากบรรดาสื่อที่เป็นธรรมหมด แต่ที่สำคัญตัวเกิดความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นให้มหาสุรกายเหล่านี้ก็เช่นแทรกแซงด้วยกำลังอาวุธและการฆ่าฟันดังแบบอย่างที่เกิดขึ้นที่ลิเบีย ซีเรีย อิรักและอียิปต์ในขณะนี้ ประเทศไทยและคนไทยเป็นเหยื่อของการขายทรัพยากร ขายคนขายแรงงานเพื่อประโยชน์ของนายทุนทั้งในชาติและข้ามชาติมาก่อนหน้าที่จะเกิด AEC ในรูปของการสร้างระบบคมนาคมขนส่งและเปิดพื้นที่การค้าเสรีที่เรียกว่า East west corridor หรือโครงการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเมืองใหญ่ ๆ ที่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศที่เป็นภาคี เช่น โครงการห้าเชียงระหว่างไทย ลาว พม่าในภาคเหนือ และที่สำคัญก็คือการทำให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานในเรื่องการคมนาคมและการขนส่งอย่างกว้างขวางไม่ว่าจะเป็นการสร้างถนน ขยายถนน สร้างแหล่งอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้า ท่าอากาศยาน ท่าเรือทะเลน้ำลึกที่ล้วนก่อให้เกิดการซื้อขายเวนคืนที่ดินที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนในชีวิตวัฒนธรรมของคนในสังคมท้องถิ่นทั้งสิ้น แต่ที่ขานรับ AEC อย่างน่ากลัวในโครงการขายประเทศขายแผ่นดินของรัฐบาลเผด็จการขี้ข้าอเมริกันก็คือ การสร้างและกำหนดผังเมืองใหม่แทบทุกบ้านเมืองของประเทศ โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ธนบุรี เชียงใหม่ เชียงราย นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานีและอุบลราชธานี เป็นต้น เป็นการกำหนดการเปลี่ยนแปลงจากข้างบน จากแผนที่ภาพถ่ายโดยไม่คำนึงถึงผู้คนในสังคมท้องถิ่นที่อยู่มาแต่ก่อน มีการไล่รื้อเวนคืนเพื่อทำถนน ทำศูนย์การค้า แหล่งอุตสาหกรรม เขื่อนพลังงานไฟฟ้า นิคมอุตสาหกรรมกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งเมื่อทำเสร็จแล้วก็มีคนกลุ่มใหม่เข้าครอบครองแทนที่ ซึ่งคนเหล่านั้นก็มีคนต่างบ้านต่างประเทศที่เป็นพ่อค้า นายทุนและคนมีฐานะจากภายนอก รวมทั้งแรงงานฝีมือที่มาจากภายนอกสำหรับคนไทยที่เป็นคนภายในที่ปรับตัวไม่ทัน โดยเฉพาะคนเสื้อแดงรวมทั้งโจรเสื้อแดงระดับล่างด้วยก็มีสภาพที่หมดตัวและค่อยๆ หมดตัวจนเป็นทาสติดที่ดิน แรงงานชั้นเลวของนายทุนจากภายนอกไป ในทัศนะนอกรีตของข้าพเจ้าจึงใคร่สรุปในที่นี้อย่างมีอคติ ในฐานะเป็นคนไทยที่รักชาติรักบ้านเกิดเมืองนอน AEC หรือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่เรียกว่า รัฐบาลกับรัฐบาล [G to G] และรัฐบาลผนวกที่มาจากนอกภูมิภาคอาเซียนที่เรียกว่า G+ จะเป็น G+4, +5, +6 อะไรทำนองนั้น ล้วนเป็นการจัดการพัฒนาเศรษฐกิจ การเมืองในยุคโลกาภิวัตน์ที่มาจากมหาอำนาจทางเศรษฐกิจข้ามชาติของโลกไร้พรมแดนที่ใช้รัฐบาลเผด็จการของโจรปล้นชาติขายแผ่นดิน ใช้อำนาจในการปกครอง และบริหารในระบบการเมืองที่เรียกว่าประชาธิปไตยขายเสียงและทุนนิยมเดรัจฉาน ทำลายบ้านเมืองและผู้คนให้สิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน อย่างที่บรรดาวิญญูชนทั้งหลายเห็นกันอยู่ในทุกวันนี้ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- กรณีอยุธยาและสุโขทัย : ภูมิวัฒนธรรมกับการจัดการน้ำในภาคประชาคม
เผยแพร่ครั้งแรก 17 มิ.ย. 2559 อนุสนธิจากการที่คณะวิชาการเมืองโบราณได้ทำแผนที่ภูมิวัฒนธรรมของเมืองประวัติศาสตร์ในประเทศไทยเพื่อประกอบการนำชมเมืองโบราณที่สมุทรปราการให้แก่นักเรียน นักศึกษา และผู้ที่มาชมได้เรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรม และได้นำภาพเมืองโบราณเหล่านั้นมาทยอยตีพิมพ์ในวารสารเมืองโบราณอย่างต่อเนื่องนั้น ได้เกิดผลดีเป็นประโยชน์ตามมาต่อการท่องเที่ยวเมืองประวัติศาสตร์ของนักเรียน นักศึกษา และผู้สนใจ ซึ่งทำให้สามารถไปท่องเที่ยวศึกษาด้วยตนเองได้ เพราะแผนที่นั้นได้สร้างจากแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศและแผนที่เก่า ๆ รวมทั้งตำแหน่งของสถานที่ซึ่งเป็นชื่อบ้านนามเมืองและสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่เป็นจริงในท้องถิ่น อาจารย์มานิต วัลลิโภดมและอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ที่สบกก สามเหลี่ยมทองคำ เชียงแสน โดยเฉพาะชื่อบ้านนามเมือง วัดและวังที่เติมเต็มความเข้าใจและการเข้าไปถึงตำแหน่งที่ตั้งให้แลเห็นภาพรวมที่มีชีวิตในอดีตได้ ซึ่งข้าพเจ้าเรียกสิ่งที่แลเห็นจากแผนที่เมืองโบราณดังกล่าวว่าเป็นภูมิวัฒนธรรมอันเป็นพื้นฐานของการศึกษาประวัติศาสตร์สังคมที่ทาง มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ เข้าไปช่วยอบรมและแนะนำให้คนในท้องถิ่นสร้างประวัติศาสตร์สังคมของตนขึ้น และเป็นประวัติศาสตร์ประชาสังคม [History of civil society] ที่แตกต่างไปจากประวัติศาสตร์ของรัฐที่สร้างโดยคนข้างนอกท้องถิ่น ไม่ใช่คนจากข้างใน จนกระทั่งเมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคมที่แล้วมา มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนครศรีอยุธยาได้จัดให้มีการเสวนากันถึงเรื่องการจัดการน้ำของเมืองอยุธยาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดน้ำท่วมขึ้นอีกดังในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่แล้ว เพราะปัญหาอยุธยาถูกคุกคามจากการมีน้ำท่วมแทบทุกปีในขณะนี้ อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติที่ทำให้เกิดอุทกภัยกว่าแต่ก่อน ข้าพเจ้าถูกเชิญให้เป็นวิทยากรคนหนึ่งในการเสวนาครั้งนี้ในฐานะนักประวัติศาสตร์และโบราณคดี ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด นายวิทยา ผิวผ่อง และวิทยากรผู้เชี่ยวชาญการจัดการน้ำของโครงการหลวงในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดร.รอยล จิตรดอน ผู้ว่าราชการจังหวัดพูดถึงงบประมาณในการจัดการน้ำของทางจังหวัดที่ผู้ว่าราชการจังหวัดรับผิดชอบว่า การจัดการน้ำในส่วนรวมที่มีนับแสนล้านบาทได้เจียดมาให้ทางจังหวัดจำนวนหนึ่ง ซึ่งรวมแล้วกว่าหมื่นล้านขึ้นไป แต่ที่อยู่ในการรับผิดชอบและสั่งการโดยผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นมีไม่กี่ร้อยล้านบาท และส่วนใหญ่เป็นเรื่องของหน่วยราชการและองค์กรที่เกี่ยวกับการจัดการน้ำในท้องถิ่นใช้ในการศึกษารวบรวมข้อมูล ในขณะที่ทางฝ่ายผู้เชี่ยวชาญจากโครงการหลวงในพระราชดำริ ก็เสนอให้เห็นปริมาณของมวลน้ำและความเร็วของน้ำที่ทำให้เกิดอุทกภัยขึ้นในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปัญหาและแนวทางในการแก้ไขป้องกัน ส่วนข้าพเจ้าพูดถึงการจัดการน้ำในอดีตของคนเมืองอยุธยาในภาคประชาสังคม โดยใช้หลักฐานข้อมูลทางเอกสารโบราณ ความทรงจำของคนในท้องถิ่นและประสบการณ์ในส่วนตัวข้าพเจ้าที่เคยอยู่ที่อยุธยาในวัยเด็กร่วม ๖ ปี ยุคสมัยก่อนที่จะมีการสร้างเขื่อนภูมิพลและเขื่อนเจ้าพระยา ซึ่งความรู้และภาพพจน์ของสิ่งเหล่านี้ได้นำมาสร้างเป็นภูมิวัฒนธรรมในแผนที่เมืองประวัติศาสตร์อยุธยาที่เมืองโบราณได้จัดทำขึ้น ข้าพเจ้าไม่มีข้อสงสัยและขัดแย้งกับการจัดการน้ำในโครงการหลวงเพราะเป็นสิ่งที่แลเห็นชัดเจนในทางเทคนิคและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ แต่มีข้อข้องใจและเห็นใจในเรื่องการจัดการน้ำในระดับจังหวัดของผู้ว่าราชการจังหวัดที่ว่า ทางจังหวัดได้เงินมาจัดการกว่าหมื่นล้านขึ้นไป แต่ผู้ว่าราชการจังหวัดมีสิทธิ์ใช้ได้ราวร้อยกว่าล้านบาทเท่านั้น นอกนั้นเป็นเรื่องของหน่วยราชการและท้องถิ่นไปจัดหาข้อมูลและนำมาดำเนินการ พระยาโบราณราชธานินท์ โดยย่อก็คือเป็นเรื่องของท้องถิ่นนั่นเอง ข้อข้องใจของข้าพเจ้าก็คือคำว่า “ท้องถิ่น” นั้นหมายถึงใคร คงไม่ใช่ คนท้องถิ่นเป็นแน่ เพราะน้ำที่บ่าเข้ามาท่วมและถล่มอยุธยาทั้งนอกเมืองและในเมืองนั้น คนในชุมชนท้องถิ่นที่อยู่ร่วมกันมา ๗๐-๘๐ ปีที่ผ่านมาย่อมรู้ทิศทางและระดับน้ำได้ดี เพราะกรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองที่อยู่กับแม่น้ำ ลำคลองมาร่วม ๖๐๐ กว่าปี จนชาวต่างประเทศเรียกว่าเป็นเวนิชตะวันออก บางคนก็บอกว่าเป็นเมืองลอยน้ำบ้าง หมู่บ้านลอยน้ำบ้าง ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนมีหลักฐานจากตำนานภูมิสถานอยุธยาจากคำให้การของคนอยุธยาที่ถูกพม่ากวาดต้อนไปเป็นเชลยร่วมกับสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ร่วม ๒๕๐ ปีที่แล้วมา ก็เพราะจดหมายของชาวกรุงเก่าที่เกี่ยวกับภูมิสถานพระนครศรีอยุธยานี้เองที่พระยาโบราณราชธานินท์ผู้เป็นผู้รื้อเมืองอยุธยาครั้งรัชกาลที่ ๕ ภายใต้การบังคับบัญชาของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ นำมาใช้เป็นหลักฐานในการค้นหาและขุดแต่งบรรดาโบราณสถานต่าง ๆ ทั้งพระราชวัง วัด กำแพงเมือง ถนนหนทางที่หักพังและจมอยู่ในกองอิฐมากมายออกมาได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งการศึกษาสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ อันได้แก่แม่น้ำ ลำคลองและคูต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนของผู้คน เส้นทางคมนาคมโดยรอบของเกาะเมืองอยุธยาอันเป็นผลให้มีการสร้างแผนที่บ้านเมืองอยุธยาได้อย่างชัดเจนทั้งในบริเวณเมืองและรอบ ๆ เมือง ข้าพเจ้าเรียกภาพรวมทางภูมิศาสตร์ทั้งในบริเวณเกาะเมืองและบริเวณโดยรอบทุกทิศตามแม่น้ำลำคลองที่มีการอยู่อาศัยและมีการคมนาคมว่า “ภูมิวัฒนธรรม” เพราะเต็มไปด้วยชื่อบ้านนามเมือง ชื่อสถานที่ ชื่อแม่น้ำลำคลองที่มีหลักฐานทางพงศาวดารและตำนานประกอบ คุณูปการอันยิ่งใหญ่อีกอย่างหนึ่งของพระยาโบราณราชธานินทร์ในฐานะปราชญ์ทางโบราณคดีประวัติศาสตร์ของแผ่นดินก็คือ การสอบค้นทางน้ำและเส้นทางคมนาคมของบรรดาแม่น้ำลำคลองที่เกี่ยวข้องกับเมืองอยุธยาและบรรดาบ้านเมืองต่าง ๆ ริมแม่น้ำในบริเวณตอนล่างของดินดอนสามเหลี่ยมเก่า [Old delta] ตั้งแต่จังหวัดสิงห์บุรี ลพบุรี สุพรรณบุรี อ่างทองลงมาจนถึงอยุธยา ซึ่งก็เป็นประโยชน์อย่างมากที่ทางราชการใช้ในการเตรียมการเสด็จประพาสต้นของรัชกาลที่ ๕ และบรรดาเจ้านายต่าง ๆ สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ทั้งรัชกาลที่ ๕ และบรรดาเจ้านายที่เสด็จประพาสหรือตรวจราชการตามเส้นทางน้ำเหล่านี้ ได้ทรงพระราชนิพนธ์และพระนิพนธ์เล่าเรื่องที่ได้ทรงเห็นความเป็นไปของทางน้ำ ทางคมนาคมที่สัมพันธ์กับการดำรงอยู่ของบ้านเมืองและผู้คนเป็นผลตามมา ข้าพเจ้าถือว่าพระราชนิพนธ์ พระนิพนธ์เหล่านี้คือหลักฐานสำคัญของประวัติศาสตร์สังคมอย่างหนึ่งสำหรับผู้ที่สนใจค้นคว้าในยุคนี้ ความรู้และความเข้าใจเรื่องแม่น้ำลำคลองที่เป็นโครงสร้างสำคัญของภูมิวัฒนธรรมเมืองพระนครศรีอยุธยาได้รับการสานต่อจากบิดาของข้าพเจ้าคือ อาจารย์มานิต วัลลิโภดม ในฐานะนักโบราณคดีผู้เป็นหัวหน้าแผนกสำรวจของกองโบราณคดี กรมศิลปากร อาจารย์มานิตถูกย้ายให้มาประจำเป็นหัวหน้าหน่วยอยู่ที่อยุธยาเพื่อควบคุมดูแลบรรดาโบราณสถานทั้งเมืองอยุธยา ลพบุรี อันเป็นเมืองเก่าที่สำคัญ แผนที่ลายเส้นก่อนการขุดคูขื่อหน้าและคูเมืองด้านทิศเหนือ ในการปฏิบัติราชการเกี่ยวกับสภาพบรรดาโบราณสถานภายในเมืองโบราณนั้นดูไม่เป็นปัญหา เพราะเข้าถึงได้ง่าย แต่บรรดาโบราณสถานนอกตัวเมืองนั้นเข้าถึงลำบากทั้งหน้าแล้งและหน้าน้ำ ช่วงหน้าแล้งเต็มไปด้วยป่าและพงหญ้าอีกทั้งไม่มีเส้นทาง ส่วนหน้าน้ำนั้นดูเผิน ๆ สะดวกแต่ก็ไม่ง่ายเพราะกระแสน้ำแรงเชี่ยวในยามเดินทางตามลำน้ำ แต่เมื่อเข้าทุ่งเข้าคลองเล็ก ๆ ก็มีสิ่งกีดขวางเช่นบรรดาผักตบชวาและกอหญ้าที่ลอยอยู่ตามน้ำ แต่การเข้าสำรวจแหล่งโบราณสถานนอกเมืองในหน้าน้ำนั้น มีผลดีทำให้ได้เห็นและได้เรียนรู้ว่าน้ำมาทางไหน ลำน้ำไหนหรือคลองไหนที่มีกระแสน้ำแรงและทำให้เกิดการท่วมหันเข้าบ้านเข้าเมือง รวมทั้งได้เรียนรู้ว่าชาวบ้านร้านถิ่นเขาจัดการป้องกันบ้านเรือนและชุมชนให้ไม่ประสบความลำบากในหน้าน้ำท่วมด้วย ข้าพเจ้าชอบติดตามพ่อไปตรวจโบราณสถานนอกเมืองที่อยู่ในทุ่งต่าง ๆ ลำน้ำลำคลองต่าง ๆ ในหน้าน้ำเพราะเป็นสิ่งที่ชอบมากในวัยเด็ก แลเห็นอยุธยาในฤดูน้ำว่าเป็นฤดูที่รื่นรมย์ น้ำท่วมบ้านไปทุกแห่งทุกทุ่งและแทบทุกบ้านเรือน แต่ชาวบ้านไม่เดือนร้อนเพราะล้วนปลูกบ้านเรือนบนเสาสูงเหนือระดับน้ำ และคมนาคมติดต่อกันด้วยเรือหลายขนาดทั้งเรือเล็กเรือใหญ่ที่ใช้ขนของ บรรดาวัวควายก็ถูกนำไปไว้บนบริเวณโคกเนินมีลอมฟางข้าวสร้างไว้เพื่อให้มีหญ้าแห้งได้ไว้กินอย่างเพียงพอ แผนที่ลายเส้นหลังจากปรับทางเดินน้ำและทำให้กลายเป็นเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาแล้ว น้ำที่ท่วมทุ่งท่วมบ้านนั้นสะอาดมีปลานานาชนิดแหวกว่าย และมีให้จับกินเป็นอาหารทั้งกุ้งปูปลา โดยเฉพาะท่วมทุ่งที่เป็นนาข้าวก็มีผักน้ำนานาชนิด เช่น ผักบุ้ง สายบัวและสันตะวาให้นำมาเป็นอาหาร โดยเฉพาะข้าวนั้นไม่เน่าตายเพราะเป็นพันธุ์ที่สู้น้ำปลูกพัฒนาปรับปรุงมากันเป็นศตวรรษ คนอยุธยาสมัยข้าพเจ้ายังเป็นเด็กไม่เป็นโรคกลัวน้ำแต่ชอบน้ำและเล่นกับน้ำ เพราะรู้ว่าน้ำมาทางไหนแรงเชี่ยวเป็นอย่างใด จะหลบหลีกและป้องกันอย่างไรเพราะน้ำมาเร็วมาแรงมาแล้วก็ไป ไม่ขังแช่วกันอย่างในปัจจุบัน จากประสบการณ์ที่ออกไปตามแม่น้ำลำคลองและท้องทุ่งรอบ ๆ อยุธยากับพ่อในวัยเด็กนั้น ทำให้ข้าพเจ้าได้เห็นได้รู้จักชื่อแม่น้ำลำคลองและย่านชุมชนท้องถิ่นต่าง ๆ ได้เห็นทั้งฤดูน้ำและฤดูแล้ง เมื่อมาทำผังเมืองและแผนที่ภูมิวัฒนธรรมของเมืองอยุธยาและบรรดาเมืองโบราณต่าง ๆ ในแทบทุกภูมิภาคของประเทศแล้ว ก็พอพูดได้อย่างเต็มปากว่าบรรดาผังเมืองในสมัยโบราณนั้นล้วนเป็นเรื่องการจัดการน้ำเป็นหลักใหญ่ทั้งสิ้น โดยมุ่งที่มีการจัดตั้งที่อยู่อาศัยร่วมกันเป็นชุมชนให้มีน้ำกินน้ำใช้ตลอดปี และการหาทางป้องกันอุทกภัยในฤดูน้ำและความแห้งแล้งในฤดูแล้งด้วยการกำหนดตำแหน่งที่ตั้งของบ้านเมืองในทางภูมิศาสตร์และสภาพแวดล้อมธรรมชาติให้เหมาะสม ลักษณะของภูมิวัฒนธรรม [Cultural landscape] ของกรุงศรีอยุธยาที่แลเห็นในปัจจุบันนั้นสะท้อนให้เห็นว่า อยุธยาเป็นเมืองที่เกิดขึ้นในบริเวณเปลี่ยนผ่านจากปลายสุดของดินดอนสามเหลี่ยมเก่า [Old delta] มาสู่ตอนบนสุดของดอนสามเหลี่ยมใหม่ [Young delta] ก่อนที่บรรดาลำน้ำลำแพรกต่าง ๆ จากเมืองลพบุรี สิงห์บุรี และอ่างทองคือลำน้ำเจ้าพระยา ลำน้ำลพบุรี และลำน้ำป่าสักจะไหลลงมารวมกันในบริเวณที่เกิดเมืองอยุธยา ที่แบ่งได้เป็นสองสมัยสองพื้นที่คือ อโยธยาศรีรามเทพนคร กับ กรุงพระนครศรีอยุธยา โครงสร้างที่แบ่งพื้นที่เมืองอโยธยาออกจากเมืองอยุธยาก็คือ คูขื่อหน้าที่เป็นคูเมืองด้านตะวันออกของเมืองอยุธยาที่มีลักษณะเป็นเกาะเมือง ซึ่งในขณะเดียวกันคูขื่อหน้านี้ก็เป็นคูเมืองด้านตะวันตกของเมืองอโยธยาซึ่งมีร่องรอยให้เห็นว่าเป็นเมืองรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าในบริเวณสองฝั่งน้ำของแม่น้ำหันตราหรือแม่น้ำป่าสัก พื้นที่ของเมืองอโยธยาเกิดขึ้นในบริเวณน้ำอ้อมของลำน้ำป่าสักที่ไหลลงมาจากบริเวณตำบลนครหลวง เมื่อถึงบริเวณบ้านเกาะก็โค้งอ้อมไปทางตะวันออกเฉียงใต้ไหลลงใต้บริเวณบ้านหันตรา ก่อนที่จะวกลงมาทางตะวันเฉียงใต้ไปสบกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่บริเวณปากน้ำแม่เบี้ย แผนที่แสดงบริเวณเมืองอโยธยาศรีรามเทพนครและกรุงพระนครศรีอยุธยา สภาพแม่น้ำอ้อมเช่นนี้ทำให้เมืองอโยธยามีลำน้ำธรรมชาติโอบรอบเมืองถึง ๓ ด้าน คือ ด้านเหนือ ด้านตะวันออก และด้านใต้ เพื่อให้เป็นเมืองสมบูรณ์ที่มีคูน้ำโอบรอบทางด้านตะวันตกอันเป็นที่ราบลุ่ม มีหนองโสนเป็นบึงใหญ่รับน้ำจากแพรกน้ำลพบุรี จึงได้มีการขุดคูเมืองที่มีชื่อว่า “คูขื่อหน้า” จากลำแม่น้ำป่าสักในบริเวณบ้านเกาะก่อนจะไหลอ้อมโค้งลงไปเป็นแม่น้ำหันตราลงมาทางใต้จนจดเขตวัดพนัญเชิง ต่อจากนั้นก็มีการขุดคูเมืองชั้นในทางด้านตะวันออกจากเหนือลงใต้ จากลำน้ำหันตราผ่านหน้าวัดอโยธยา วัดกุฎีดาวมาจนถึงบริเวณวัดใหญ่ชัยมงคลและวัดพนัญเชิง พื้นที่ภายในเมืองอโยธยาที่มีลำน้ำหันตราโอบรอบ และมีคูขื่อหน้าเป็นคูเมืองด้านตะวันตกนี้มีร่องรอยของคลองและคูขุดรอบเขตสถานที่วัง วัด และแหล่งที่อยู่อาศัยมากมาย สะท้อนให้เห็นถึงการนำเอาดินมาถมและยกที่ให้สูง ตลอดจนการใช้น้ำและระบายน้ำออกไปทางด้านตะวันตกเพื่อลงสู่ที่ราบลุ่มต่ำแต่เขตทุ่งหันตราไปถึงทุ่งพระอุทัย แต่ที่สำคัญก็คือมีการขุดคลองใหญ่เรือเดินได้บริเวณกลางเมือง จากคูขื่อหน้าซึ่งอยู่ทางตะวันตกผ่ากลางเมืองไปยังทุ่งหันตราและทุ่งพระอุทัยไปเชื่อมกับลำแม่น้ำป่าสักอีกแพรกหนึ่งที่ไหลแยกจากลำน้ำป่าสักในเขตตำบลพระแก้วลงมาเรียกว่า คลองบ้านสร้างและคลองโพ ที่ไปออกแม่น้ำเจ้าพระยาตรงท้ายเกาะพระเหนือเกาะบางปะอิน คลองใหญ่จากคูขื่อหน้าผ่ากลางเมืองอโยธยาไปยังทุ่งพระอุทัยไปออกคลองบ้านสร้างดังกล่าวนี้ มีชื่อเรียกเป็นช่วง ๆ ไปคือ คลองกะมัง คลองบ้านบาตร คลองหันตรา และคลองข้าวเม่าตามท้องถิ่นที่ลำคลองผ่านไป เป็นคลองที่มีชุมชนบ้านและวัดเรียงรายอยู่ทั้งสองฝั่งคลอง เป็นคลองที่แบ่งเขตเมืองอโยธยาออกเป็นสองส่วน ส่วนบนที่เป็นเขตวัดกุฎีดาว วัดมเหยงค์ วัดอโยธยา ส่วนตอนล่างมีวัดสำคัญเช่นวัดใหญ่ชัยมงคลและวัดพนัญเชิง ส่วนพื้นที่ของเมืองกรุงศรีอยุธยานั้นคือที่ราบลุ่มของแม่น้ำลพบุรีและแพรก เพราะเป็นพื้นที่มีบึงหนองโสนและบริเวณโดยรอบเป็นที่รับน้ำและมีลำน้ำลพบุรีและแพรกไหลผ่านจากทางเหนือลงไปทางตะวันออกไปรวมกับลำน้ำป่าสักในบริเวณบ้านเกาะอันเป็นจุดเริ่มต้นของคูขื่อหน้า ซึ่งเมื่อมีการขุดคูขื่อหน้าแล้วได้ทำให้น้ำจากแม่น้ำลพบุรีและแพรกกับแม่น้ำป่าสักไหลผ่านหัวรอทางมุมเมืองด้านตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองอยุธยาลงสู่คูขื่อหน้าจนทำให้กลายเป็นลำน้ำใหญ่ที่เป็นกระแสหลักของแม่น้ำป่าสักไป ซึ่งทุกวันนี้คนทั่วไปเรียกว่าแม่น้ำป่าสัก แต่ไม่รู้จักคูขื่อหน้าซึ่งเป็นคูเมืองร่วมกันระหว่างเมืองอโยธยาซึ่งเป็นเมืองเก่ากับเมืองอยุธยาซึ่งเป็นเมืองใหม่ ส่วนบริเวณเมืองอยุธยาเป็นพื้นที่ราบลุ่มมีบึงน้ำใหญ่อยู่ตรงกลาง ที่มีลำน้ำเจ้าพระยาไหลจากเหนือผ่านลงทางตะวันตกแล้ววกลงใต้ไปบรรจบกับคูขื่อหน้าบริเวณหน้าป้อมเพชรอันเป็นป้อมสำคัญของเมืองอยุธยา บริเวณอยุธยาจึงหามีน้ำล้อมรอบเป็นเกาะเมืองไม่ เมื่อมีการสร้างเมืองจึงต้องมีการขุดคลองคูเมืองด้านเหนือจากคูขื่อหน้าบริเวณหัวรอ ผ่านวัดแม่นางปลื้มไปพบกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่บริเวณหัวแหลม คลองคูเมืองที่ขุดขึ้นที่เข้าใจผิดกันมาแต่เดิมรวมทั้งข้าพเจ้าเองว่าเป็นลำน้ำลพบุรี จนกระทั่งได้มาทบทวนความจำและการลงพื้นที่เพื่อเขียนบทความเรื่องนี้ จึงได้พบความจริงว่า น่าจะเป็นคลองขุดมากกว่าเป็นคลองลำน้ำธรรมชาติ ลำคลองนี้มีความหมายกับการจัดการน้ำและป้องกันอุทกภัยให้แก่เมืองพระนครศรีอยุธยาเป็นอย่างมาก เพราะเป็นคลองที่ดึงกระแสน้ำที่ไหลลงมาจากทางทิศเหนือในเขตจังหวัดอ่างทองของแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนหนึ่งให้ไหลเข้ามายังเกาะเมืองตรงตำบลหัวแหลม ณ จุดนี้กระแสน้ำแยกออกเป็นสองส่วนใหญ่ไหลลงทางตะวันตกและทางใต้ไปสบกับคลองขื่อหน้าที่หน้าป้อมเพชรและวัดพนัญเชิง ทำให้เกิดน้ำวนใหญ่เรียกว่า น้ำวนบางกะจะ จนเกิดตำนานเพลงยาวว่า “ความรักลอยวนเหมือนน้ำวนบางกะจะ” ส่วนกระแสน้ำเจ้าพระยาส่วนน้อย ณ ตำบลหัวแหลมนั้นถูกดึงเข้าคลองคูเมืองที่คิดว่าเป็นลำน้ำลพบุรีผ่านไปทางตะวันออก คลองนี้เป็นคูเมืองด้านเหนือของพระนครศรีอยุธยา ผ่านท่าวาสุกรี และพระบรมมหาราชวัง วัดกุฎีทอง วัดวงษ์ฆ้องมายังวัดแม่นางปลื้ม มาสบกับลำน้ำลพบุรีที่มีสองแพรกไหลลงมาจากทางเหนือ แพรกหนึ่งเรียกแม่น้ำลพบุรีเก่า อีกแพรกหนึ่งคือแม่น้ำลพบุรีใหม่ มวลน้ำทั้งจากคูเมืองและแพรกน้ำลพบุรีทั้งสองแพรกรวมกันไหลลงสู่คลองคูขื่อหน้า ณ ตำบลหัวรอทำให้คูขื่อหน้าที่ขุดแบ่งน้ำมาจากแม่น้ำป่าสักหรือแม่น้ำหันตรากลายเป็นลำน้ำใหญ่ที่เรียกว่า “ลำน้ำป่าสัก” ที่ไปสบกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่ป้อมเพชรทำให้เกิดบริเวณที่เรียกว่า “แม่น้ำ” ขึ้น ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่านี้คือแม่น้ำเจ้าพระยาที่ฝรั่งมักใช้คำว่าแม่น้ำ [Menam] ที่ปรากฏในจดหมายเหตุของฝรั่ง ทั้งคลองคูเมืองด้านเหนือที่เรียกว่าลำน้ำลพบุรีและคลองคูขื่อหน้าทางด้านตะวันออกอันเป็นคลองขุดทั้งสองคลองนี้ คือสิ่งที่รังสรรค์ให้พระนครศรีอยุธยาเป็นเกาะเมืองและเป็นเกาะที่มนุษย์สร้างขึ้น [Manmade island] เมื่อในยามน้ำมากจนเป็นอุทกภัยทั้งคลองคูเมืองด้านเหนือและคูขื่อหน้ามีหน้าที่ระบายน้ำและกระจายน้ำเข้าทุ่งเพื่อไม่ให้น้ำเข้าไปยังข้างในพระนคร โดยกระจายน้ำผ่านคลองขุดที่แยกออกจากคูเมืองไปทางเหนือเข้าทุ่งภูเขาทอง ทุ่งขวัญและทุ่งแก้ว คลองเหล่านี้มีวัดอยู่บริเวณปากคลองทั้งสิ้น เช่น คลองสระบัวกับวัดหน้าพระเมรุ เป็นต้น ในขณะที่ทางคลองคูขื่อหน้าก็มีคลองใหญ่น้อยหลายคลองแยกออกไปทางด้านตะวันออก ผ่านบริเวณเมืองอโยธยาเก่าไปออกทุ่งหันตราและทุ่งพระอุทัยอันเป็นทุ่งรับน้ำที่สำคัญที่สุดของแม่น้ำป่าสัก โดยเฉพาะคลองกระมัง คลองบ้านบาตร คลองหันตรา และคลองข้าวเม่าที่เป็นคลองไขว่เดียวกันที่แยกออกจากคลองคูขื่อหน้าและแบ่งเมืองเก่าอโยธยาออกเป็นสองส่วนดังกล่าวแล้วในตอนต้น เหตุการณ์น้ำท่วมอยุธยาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ทำให้ข้าพเจ้าได้แลเห็นความหมายความสำคัญของคลองกระมังนอกเหนือไปจากการเป็นเส้นทางคมนาคมติดต่อกับของบรรดาชุมชนบ้านเมืองในเขตอยุธยา-อโยธยา จากแม่น้ำป่าสัก แม่น้ำหันตราไปยังแพรกน้ำป่าสักอีกแพรกหนึ่งที่ทุ่งพระอุทัย คือลำน้ำที่เรียกว่า “คลองบ้านสร้างและคลองโพ” ที่ไปออกแม่น้ำเจ้าพระยาที่เกาะพระเหนือเกาะบางปะอิน คลองกระมังและทุ่งพระอุทัยเกี่ยวข้องกับการเป็นสถานที่ประสูติของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ผู้เป็นพระมหากษัตริย์องค์สำคัญในสมัยตอนกลาง คือแต่ พ.ศ. ๒๐๐๐ ลงมา อันเป็นเวลาที่อยุธยาเป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเล คนอยุธยานอกจากอาศัยคลองกระมังเป็นคลองคมนาคมแล้วยังอาศัยในการระบายน้ำกระจายน้ำจากคูขื่อหน้า แม่น้ำหันตราไปออกทุ่งพระอุทัยไปยังแพรกน้ำป่าสักและพื้นที่รับน้ำทางตะวันออกที่ผ่านอำเภอวังน้อยลงไปทางใต้ สมัยข้าพเจ้ายังเด็กแลเห็นความกว้างใหญ่ไพศาลของทุ่งพระอุทัยและทุ่งใหญ่วังน้อย แต่มาในปัจจุบันและราวยี่สิบปีที่ผ่านมา ทุ่งพระอุทัยและทุ่งวังน้อยกลายเป็นอาณานิคมของแหล่งอุตสาหกรรมขนาดมหึมาในนามของนิคมอุตสาหกรรมโรจนะที่ประสบภาวะวิบัติอย่างมหาศาล เมื่อน้ำที่ไหลบ่าลงมาจากแพรกน้ำป่าสักทั้งจากทางเหนือ ทางตะวันตกและทางตะวันออกที่ผ่านคลองกระมังออกมา ข้าพเจ้ารู้สึกสบายใจหลังจากที่ข้าพเจ้าพูดถึงคลองกระมังและสภาพแม่น้ำลำคลองเก่า ๆ ของพระนครศรีอยุธยาจากความทรงจำในวัยเด็ก เพราะทำให้ข้าพเจ้าได้พบกับปัญญาชนคนเก่าอยุธยาหลายคนที่มาถึงบางอ้อ พร้อม ๆ กับข้าพเจ้าในเรื่องกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่สามและความพินาศของนิคมอุตสาหกรรมโรจนะในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และขณะนี้ปัญญาชนคนอยุธยาทั้งเก่าและใหม่กำลังรวมตัวกันในการจัดการน้ำด้วยตนเองของคนในท้องถิ่น อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- โรงเรียนวัดกับการปฏิรูปการศึกษาขั้นพื้นฐาน
เผยแพร่ครั้งแรก 18 ธ.ค. 2557 ทุกวันนี้มีการพูดถึงการปฏิรูปการศึกษากันบ่อยและทำมาหลายรัฐบาลแล้ว โดยเฉพาะรัฐบาลชุดปัจจุบันก็ดูจะให้ความสนใจเป็นอย่างมาก แต่เท่าที่ติดตามดูยังไม่เห็นเป็นผลแต่อย่างใด เพราะพูดกันและคิดกันแต่ในเรื่องแนวคิด ทฤษฎี และเทคนิคในลักษณะที่เป็น WHY คือทำไมมากกว่า HOW คืออย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องของการดำเนินการและปฏิบัติให้ได้ผลดีแก่ผู้มีส่วนได้เสียคือนักเรียน นักศึกษา การจัดแสดงแบบจำลองการก่อสร้างอาคารโรงเรียนนารรีรัตน์ จังหวัดแพร่ อันเป็นการสร้างโรงเรียนประจำจังหวัดมาแต่เดิม โดยมีชาวบ้านจากท้องถิ่นต่าง ๆ ข้าราชการ พ่อค้า กลุ่มองค์กรธุรกิจให้การสนับสนุนจนกลายเป็นอาคารโรงเรียนที่สร้างความรู้สึกร่วมในการเป็นเจ้าของและกลายเป็นอาคารอันควรแค่แก่การอนุรักษ์และมีความหมายอย่างยิ่งจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะในการวางแผนและการจัดการมักกระทำในหมู่ของผู้ที่เป็นนักวิชาการ แม้ว่าจะหลากหลายในความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านการศึกษาก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงพวก Technocrats ที่ทำอะไรในการเชื่อมโยงและบูรณาการไม่เป็น แถมยังไม่เห็นถึงความสำคัญและบทบาทของบรรดานักปฏิบัติที่เป็นครูผู้สอน ผู้ปกครอง นักเรียน และผู้รู้ในชุมชน ข้าพเจ้ามักได้ยินอย่างซ้ำ ๆ ซาก ๆ ที่นักการศึกษา นักวิชาการของรัฐโดยเฉพาะจากทางกระทรวงศึกษาและสถาบันการศึกษาและมหาวิทยาลัยพูดถึงเรื่องต้องจัดการเรียนการสอนให้มีเด็กเป็นศูนย์กลาง [Child center] หรือครูเป็นศูนย์กลาง ต้องจัดให้มีการสอนวิชาประวัติศาสตร์บ้าง จัดให้เด็กได้ใช้แท็บเลตบ้าง รวมไปถึงการยุบโรงเรียนเล็กๆ ที่เป็นโรงเรียนชุมชนให้มาเข้าสังกัดในการดูแลของกระทรวงบ้าง โดยไม่ใยดีต่อการเคลื่อนไหวคัดค้านของบรรดาโรงเรียนเอกชน โรงเรียนชุมชน ครูบาอาจารย์ และผู้รู้ผู้ปกครองที่เป็นคนในชุมชนแต่อย่างใด ข้าพเจ้าเคยมีส่วนร่วมกับสภาการศึกษาทางเลือกและสมาคมโรงเรียนราษฎร์ ในการเคลื่อนไหวเรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการครั้งรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยให้ “ยุติการยุบโรงเรียนขนาดเล็ก” ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนของชุมชนและในชุมชนซึ่งคนในชุมชนดูแลกันเอง ให้มารวมกับโรงเรียนใหญ่ในเขตการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับและยินยอมแต่อย่างใด อย่างดีก็ผลัดกันและโยนความรับผิดชอบและการตัดสินใจกันไปมาระหว่างคนในรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการเท่านั้น พอมาถึงรัฐบาลปัจจุบันคือรัฐบาล คสช. ที่มีอำนาจเผด็จการเพียงพอที่จะไม่ต้องทำอะไรแบบงี่เง่า เต็มไปด้วยกฎระเบียบข้อบังคับแบบเดิมได้ แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะเท่าที่มีการแถลงงานออกมาแต่ละคราวก็ดูไม่มีอะไรใหม่ในเรื่องกระจายอำนาจความรับผิดชอบให้กับโรงเรียนและหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องในท้องถิ่น โดยเฉพาะกับชาวบ้านชาวเมืองที่อยู่ในชุมชนซึ่งเรียกรวม ๆ คนในชุมชนท้องถิ่น เพราะแนวคิดและวิธีการในการจัดการศึกษาแต่ละท้องถิ่นนั้นล้วนมาจากคนนอกท้องถิ่นแทบทั้งสิ้น สิ่งที่น่าขบขันเป็นอย่างยิ่งของทางกระทรวงศึกษาธิการและผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญทางการศึกษาที่มักจะพร่ำพูดเสมอ ๆ และบ่อย ๆ ถึงเรื่อง “บวร” ซึ่งหมายถึง “ความสัมพันธ์ระหว่างบ้าน วัด และโรงเรียน” โดยหาได้สังวรว่า ลึก ๆ แล้วหมายถึงอะไร คงหมายถึงชุมชน [Community] ซึ่งดูแล้วไม่ใช่ เพราะแลไม่เห็นโครงสร้างสังคมและวัฒนธรรมของผู้คนในชุมชนที่อยู่ร่วมกันมาหลายชั่วคนภายในพื้นที่วัฒนธรรมที่มีสำนึกร่วมในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หากเป็นแต่เพียงพื้นที่ในการบริหารของทางรัฐบาลและหน่วยราชการเช่นกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงศึกษาธิการ ที่ทางกระทรวงทบวงกรมเข้าไปจัดการเรื่องการศึกษาในรูปแบบของโรงเรียน ดูเป็นคนละเรื่องกับ วัด โรงเรียนและชุมชนท้องถิ่นอย่างที่เคยมีมาแต่โบราณที่ประกอบด้วย “บ้านกับวัด” บ้านคือพื้นที่ทางวัฒนธรรมของคนที่อยู่รวมกันมานานไม่ต่ำกว่า ๓ ชั่วคน คือ ปู่ ย่า ตายาย พ่อ แม่และลูกหลาน โดยมีวัดเป็นศูนย์กลางทางสังคมและวัฒนธรรม โดยทั่วไปชื่อของชุมชนกับชื่อวัดนั้นเป็นชื่อเดียวกัน และความสัมพันธ์ของทั้งสองสถาบันนี้แยกกันไม่ออก ถ้ามีเฉพาะบ้านแต่ไม่มีวัด ก็ไม่มีชุมชน ชุมชนบ้านเป็นชุมชนระดับเล็กที่สุดของสังคมมนุษย์ ภาวะความเป็นสัตว์สังคมของมนุษย์นั้นในเบื้องต้นต้องอยู่รวมกันเป็นครอบครัวและกลุ่มเครือญาติที่เกิดจากความสัมพันธ์กันทางสายเลือด หรือกินดองกันในการแต่งงาน เหนือระดับครอบครัวและกลุ่มเครือญาติก็คือชุมชนบ้าน ซึ่งเป็นพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่สร้างขึ้นโดยคนในชุมชนที่มีความหลากหลายของครอบครัวและเครือญาติโยกย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่เดียวกัน และสร้างวัดให้เป็นศูนย์กลางชุมชนที่คนในทุกคนมาใช้ร่วมกันในกิจกรรมต่าง ๆ ทางวัฒนธรรม ซึ่งก็เพื่อการมีชีวิตรอดร่วมกันใน ๓ มิติของความเป็นมนุษยชาติคือ “ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน” ที่ทำให้เกิดองค์กรการปกครองและบริหารของชุมชนโดยคนในชุมชน โดยเฉพาะการเลือกผู้ที่เป็นหัวหน้าของชุมชนเช่นผู้ใหญ่บ้านนั้นคือ “คนใน” ที่คนในชุมชนเลือกเห็นว่าเหมาะสม ซึ่งภายในองค์กรนี้ก็มีผู้นำทางศีลธรรม เช่น พระสงฆ์ ผู้อาวุโส คนที่เป็นครู และบุคคลที่มีความสามารถเฉพาะทางในการดำเนินการของชุมชน “ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติ” ที่เกิดจากการเรียนรู้ร่วมกันในเรื่องการตั้งที่อยู่อาศัย การทำมาหากิน อาหาร และยารักษาโรคที่มาจากความหลากหลายทางชีวภาพในสภาพแวดล้อมของท้องถิ่น และ “ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ” ซึ่งเป็นเรื่องของระบบความเชื่อทางศาสนาและไสยศาสตร์ ก่อนสมัยรัชกาลที่ ๕ วัดคือสถาบันการศึกษาที่ไม่เพียงแต่สอนให้คนรู้หนังสือและอ่านออกเขียนได้เท่านั้น หากยังเป็นสถานที่อบรมให้ผู้คนในชุมชนได้เรียนรู้ทางศาสนา จริยธรรม การงาน การช่าง ศิลปและวิชาชีพเพื่อการดำรงชีวิตในลักษณะที่เป็นองค์รวม ซึ่งก็พอสรุปได้ว่า เป็นการสอนและอบรมให้คนเป็นคนที่จะอยู่ร่วมกับมนุษย์ ธรรมชาติ และสิ่งเหนือธรรมชาติได้ ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อมีการตั้งโรงเรียนขึ้นเพื่อให้เป็นไปตามแนวทางของประเทศแบบตะวันตก โรงเรียนก็กลายเป็นสถานที่เกิดขึ้นภายในพื้นที่ของวัด และกำหนดให้มีครูทำหน้าที่รับผิดชอบและสอนหนังสือเป็นอาชีพ มีเงินเดือนประจำเช่นเดียวกันกับพวกข้าราชการ ครูโรงเรียนวัดเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็คือคนในชุมชนท้องถิ่นที่มีความสัมพันธ์ทางสังคม เช่น เป็นญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านที่ทำให้คนที่เป็นครูเท่ากับเป็นตัวแทนของพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ที่สามารถอบรมสั่งสอนสิ่งต่าง ๆ ในเรื่องสภาพแวดล้อมวัฒนธรรมและแนวทางในการดำรงชีพอย่างเหมาะสมแก่เด็กนักเรียนได้ อนึ่ง การที่โรงเรียนยังอยู่ในเขตวัดก็ยังคงสภาพความสัมพันธ์กับวัดและพระภิกษุสงฆ์ในเรื่องความรู้ทางศาสนาศีลธรรม รวมทั้งความคุ้นเคยได้แลเห็นบรรดาประเพณี พิธีกรรมที่เกิดขึ้นที่วัด ทั้งบรรดาประเพณีเกี่ยวกับชีวิตประเพณีทางศาสนา และประเพณีเกี่ยวกับการเกษตรกรรมที่เกิดขึ้นในรอบปี สรุปแล้วก็คือ การศึกษาเล่าเรียนที่เกิดขึ้นในโรงเรียนวัดประจำชุมชนนั้น ทำให้เด็กได้มีชีวิตอยู่ในชุมชนอย่างเต็มที่ ไม่มีความเดือดร้อนในเรื่องการเดินทางออกไปห่างไกลจากบ้านแต่อย่างใด เด็กที่มีบ้านเรือนอยู่ใกล้วัดใกล้โรงเรียนสามารถเดินทางไปกลับจากโรงเรียนมากินข้าวกลางวันที่บ้านตนเองได้ แต่ที่สำคัญก็คือเด็กได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นเทคโนโลยีพื้นบ้านจากญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านและผู้รู้ผู้อาวุโสที่เป็นภูมิปัญญาในด้านต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำรงชีพไม่ว่าการทำนา ทำไร่ อาหารยารักษาโรค ตลอดจนดินฟ้าอากาศ น้ำท่า น้ำฝนตามฤดูกาลทั้งในฤดูน้ำและฤดูแล้ง โดยเฉพาะในเรื่องการจัดการน้ำที่เป็นการร่วมมือกันของทุกคนในท้องถิ่น สมัยเด็กข้าพเจ้าย้ายตามพ่อไปอยู่ที่อยุธยา เข้าเรียนในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งของจังหวัด มีเพียงเด็กนักเรียนท้องถิ่นที่เรียนโรงเรียนวัดของชุมชน สังเกตว่าครูโรงเรียนวัดนั้นส่วนมากเป็นครูที่มีอายุ ในท้องถิ่นไม่จำเป็นต้องมีการศึกษาที่จบหลักสูตรการศึกษาได้ใบประกาศปริญญาจากรัฐบาล แต่ก็สอนให้เด็กได้อ่านออกเขียนได้ดี รวมทั้งคิดเลขผานาทีเป็น และใช้ภาษาได้ดีเพราะมีการท่องอ่านอาขยานและวรรณคดีไทยที่เป็นบทกลอน ซึ่งนับว่าเป็นพื้นฐานการศึกษาสำคัญของโรงเรียนวัดและเทศบาลที่สอนในระดับประถมศึกษาจากประถมปีที่ ๑ ถึงประถม ๔ การศึกษาตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการเด็กดูใช้ความจำและท่องจำเป็นสำคัญ ไม่ค่อยมีโอกาสที่เด็กจะได้คิดและตั้งคำถามด้วยตัวเอง ซึ่งก็เหมือนกันกับเด็กของโรงเรียนรัฐบาลโดยทั่วไป แต่เด็กโรงเรียนวัดมักมีโอกาสเพราะมีการศึกษาทางเลือกอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้คิดเป็นและค้นคว้าหาคำตอบเป็น ซึ่งก็อาจกล่าวได้ว่าฉลาดกว่าเด็กโรงเรียนรัฐบาล การศึกษาทางเลือกที่ทำให้คิดเป็น ตั้งคำถามเป็น และค้นคว้าเป็นดังกล่าวนี้คือการศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่นจากครูและผู้รู้ในชุมชนที่มีความรู้ในด้านต่าง ๆ ในการดำรงชีวิตนั่นเอง เด็กในชุมชนในชนบทส่วนใหญ่เรียนจบแค่ ป.๔ ก็ออกมาทำมาหากินได้ ประกอบอาชีพจนเป็นคนมีเงินมีทองได้ ผิดกับเด็กที่เรียนในโรงเรียนรัฐบาลที่ทำอะไรไม่เป็น ต้องเรียนต่อเรียนเพิ่มอยู่เรื่อย ๆ หลายคนเรียนจบมหาวิทยาลัยก็คิดอะไรไม่เป็น ที่เจ็บปวดก็คือบางคนได้คะแนนดี ได้เกียรตินิยมแต่ก็ได้มาจากการท่องจำมากกว่าการใช้ความคิด นี้คือส่วนของเด็กนักเรียนที่เล่าเรียนตามหลักสูตรกระทรวง ทีนี้มาถึงส่วนคนที่เป็นครูบ้าง ครูโรงเรียนรัฐบาลสอนตามหลักสูตรกระทรวงศึกษานั้นส่วนมากเป็นคนนอกชุมชนที่ทางราชการส่งเข้ามา หรือไม่ก็ย้ายตามสามีหรือภรรยาเข้ามา คนเหล่านี้ไม่มีความสัมพันธ์ทางสังคมกับครอบครัวของเด็กและคนในชุมชน เป็นเสมือนคนอื่นที่ทำหน้าที่ไปตามอาชีพที่เป็น “คนนอก” ไม่ใช่ “คนใน” เช่นครูที่อยู่ในชุมชนที่แลเห็นเด็กเหมือนลูกหลาน มาถึงสมัยนี้ที่ข้าพเจ้าอายุเข้าค่อนศตวรรษแล้วพบว่า มีเพื่อนร่วมรุ่นของข้าพเจ้าที่เป็นเด็กวัดในโรงเรียนชุมชนหลายคนกลายเป็นคนใหญ่คนโตในวงราชการ หรือไม่ก็เป็นพ่อค้านักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เมื่อพบปะสังสรรค์ปรารภกันถึงการศึกษาเล่าเรียนของคนรุ่นลูกหลานแล้วก็เห็นพ้องกันว่า การศึกษาของโรงเรียนรัฐบาลทั้งระดับประถมและมัธยมเป็นการศึกษาตามสั่ง ที่มีกรอบกฎเกณฑ์และหลักสูตรที่มีการปรับปรุงแก้ไขและเพิ่มเติมอยู่เรื่อย เสมือนกับทำให้เด็กนักเรียนเป็นหนูทดลอง มีเนื้อหาและวิธีการที่หลากหลายแออัดจนเด็กแทบไม่มีเวลาว่างพอที่จะคิดอะไรได้ แต่ที่สำคัญเป็นการเรียนแต่สิ่งที่ไกลตัวที่ไม่แลเห็นได้และปฏิบัติได้ นอกจากการอ่านหนังสือและจากสื่อทางวีดีทัศน์ ซึ่งเป็นเรื่องเสมือนจริง เด็กจึงคิดอะไรไม่เป็น นอกจากอ่านและจดจำจากคำสอนคำบรรยายของครู อาจารย์และวิทยากร เด็กที่เรียนดี เรียนเก่งกลายเป็นเด็กโง่ เพราะคิดอะไรไม่เป็น ไม่มีเวลาคิด ต้องท่องต้องจำจนไม่มีเวลาคิด ต้องแข่งขันกันสอบให้ได้คะแนนดีเพราะเป็นหนทางเดียวที่จะวัดได้ว่าใครเก่งหรือไม่เก่ง จนกลายเป็นค่านิยมที่พ่อแม่และผู้ปกครองเด็กถือว่าจะทำให้มีหน้ามีตานำไปโอ่อ้างได้ ความโง่ของเด็กยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเมื่อมีการกวดวิชาเพิ่มขึ้น เพราะทำให้เด็กไม่มีเวลาและเครียด การกวดวิชากลายเป็นประเพณีที่มาจากการเห็นพ้องกับทั้งพ่อแม่เด็กและผู้ปกครองกับครูผู้สอน ฝ่ายผู้ปกครองก็อยากให้เด็กเรียนเก่งได้คะแนนดีเป็นที่หนึ่งที่สอง ส่วนครูผู้สอนก็ยินดีเพราะต้องการได้เงินเพิ่มจากรายได้ประจำ เลยกลายเป็นสัมโมทนียนัยกถาธรรมสวัสดิ์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่เด็กแย่ เพราะแทบไม่มีเวลาว่างที่จะพักผ่อนสมอง การกวดวิชานั้นเริ่มมาแต่สมัยข้าพเจ้าเป็นเด็กนักเรียนชั้นมัธยมที่ ๑ ในโรงเรียนในเมืองของชนชั้นกลาง ต่อมาได้บานปลายไปใหญ่โตจนถึงกวดวิชาเข้ามหาวิทยาลัย ทำให้ครูกวดวิชารวยกว่าครูประจำหลายเท่า กวดวิชากลายเป็นประเพณีจนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการสมัยหนึ่งที่ฉลาดแกมโกงไร้สามัญสำนึกกล่าวว่า “การกวดวิชาเป็นธรรมชาติ” อีกสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าและเพื่อน ๆ ปรารภกันก็คือสมัยที่เราเรียนกันในโรงเรียนมัธยมนั้น ยังไม่มีระบบการเรียนการสอนแบบปรนัย [Objective] ที่เวลาสอบใช้วิธีเลือกขีดถูกขีดผิดในคำตอบที่ผู้ออกข้อสอบเตรียมไว้แล้ว โดยไม่ต้องเขียนตอบและอธิบายในลักษณะที่ ๑ เป็นอัตนัย [Subjective] เลย การเปลี่ยนวิธีการสอนและการสอบมาเป็นปรนัยนี้มีข้ออ้างว่า ถ้าเรียนและสอบแบบเดิมเกิดความล่าช้าเพราะจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้น ทั้งอีกเป็นแบบอย่างที่ประเทศที่ก้าวหน้าในสังคมโลกเขาทำกัน ผลที่ตามมาก็คือเด็กนักเรียนเริ่มเรียนอะไรที่เป็นเรื่อง ๆ เป็นชิ้น ๆ ที่เชื่อมโยงอะไรไม่ได้ อ่านหลายอย่างหลายสิ่งแล้วจำเอา เวลาสอบก็เพียงเลือกข้อถูกและผิดเท่านั้น เลยเขียนคำตอบในเชิงพรรณาและบรรยายไม่เป็น ต่างกันกับการเรียนแบบอัตนัยที่นักเรียนรู้สิ่งที่เป็นชิ้นเป็นอัน และสามารถเรียบเรียงเชื่อมโยงเป็นถ้อยคำเป็นเรื่องราวได้ นักเรียนในสมัยข้าพเจ้าถูกสอนให้เขียนเรียงความซึ่งทำให้เขียนหนังสือเป็นเรื่องราวได้ แต่ปัจจุบันเด็กนักเรียนเขียนภาษาไทยเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้ เชื่อมโยงความคิดและวิเคราะห์แล้วร้อยเป็นเรียงความไม่ได้ สิ่งที่น่าขบขันอย่างหนึ่งก็คือ เวลาครูอาจารย์หรือใคร ๆ ที่เป็นผู้รู้บอกว่า ต้องสอนให้นักเรียนรู้จัก การบูรณาการและองค์รวม แต่แทบไม่เห็นเลยว่าเด็กนักเรียนรุ่นใหม่ ๆ นี้จะทำได้ เพราะการเรียนแต่สิ่งที่เป็นเรื่อง ๆ แยกส่วนนั้น ไม่มีทางที่จะวิเคราะห์และเชื่อมโยงได้ เมื่อเชื่อมโยงไม่ได้ก็บูรณาการให้เห็นเป็นองค์รวมไม่ได้ จนกลายเป็นคนดีแต่พูดพร่อย ๆ แบบคนอวดรู้แต่ทำไม่ได้เท่านั้นเอง ความต่างกันอย่างหน้ามือเป็นหลังมือของระบบการเรียนแบบปรนัยกับอัตนัยนั้น แบบแรกให้ความสำคัญอยู่ที่เทคนิคและวิธีการที่บรรดานักการศึกษาถนัดในการไปลอกเลียนจากต่างประเทศ ในขณะที่แบบอัตนัยเน้นความสำคัญที่เนื้อหาและความหมายซึ่งเป็นระบบการเรียนรู้ที่เป็นธรรมชาติโดยให้ความสำคัญทางเทคนิคและวิธีการเป็นเรื่องรองลงมา เหตุที่พรรณนาสรรพคุณของโรงเรียนวัดมาอย่างยืดยาวนี้ นักการศึกษาและครูสมัยใหม่ก็คงเยาะเย้ยได้ว่าเป็นการโหยหาอดีตในลักษณะที่ถอยหลังเข้าคลองแบบอนุรักษ์นิยม ก็ต้องขอตอบว่า อดีตนั้นไม่มีทางหวนกลับไปได้ดอก แต่สิ่งที่ต้องเรียนรู้ความหมายของโรงเรียนวัดนั้นคือ การเป็นโรงเรียนของชุมชน [Community] ชุมชนคือความเป็นมนุษย์ในฐานะเป็นสัตว์สังคม [Social animal] การปฏิรูปการศึกษานั้นหาใช่ดูแต่เทคนิค วิธีการ ทฤษฎีและหลักสูตรแต่เพียงอย่างเดียวไม่ ต้องเข้าใจว่าจะไปสอนใครที่ไหนเมื่อใดในลักษณะปัจเจกหาได้ไม่ ต้องเข้าถึงคนและเด็กที่มีชีวิตร่วมกันอยู่ในชุมชนจึงจะกำหนดเนื้อหา วิธีการ และหลักสูตรได้เหมาะสม ข้าพเจ้าได้ความคิดเมื่อครั้งเป็นกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) ที่มีคุณอนันต์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อหาแนวทางแก้ไขความขัดแย้งและความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ประมาณ ๑๐ ปีมาแล้ว เมื่อสอบถามความเห็นของคนมุสลิมที่เป็นปราชญ์ของท้องถิ่นก็ได้คำตอบของท่านเหล่านั้นว่า “อยากได้ซูรอกลับคืนมา” ซูรอคือองค์กรของชุมชนบ้านที่มีมัสยิดเป็นศูนย์กลางเช่นเดียวกับองค์กรประชาคมของชาวบ้านที่มีวัดเป็นศูนย์กลาง เป็นองค์กรทางภาคประชาสังคม [Civil society] ข้าพเจ้าเลยถึงบางอ้อในเรื่องที่หาคำอธิบายว่า ทำไมผู้ก่อความไม่สงบในสามจังหวัดภาคใต้ชอบเผาโรงเรียนที่รัฐบาลจัดตั้งบ่อย ๆ แต่ในระยะแรกก็เพียงเผาทำลายโดยไม่ปรากฏมีการทำร้ายผู้คนถึงแก่ชีวิตเช่นในปัจจุบัน การศึกษาของคนมุสลิมในสามจังหวัดนั้น ถ้าเป็นเด็กเล็กของคนในชุมชนก็เรื่องโรงเรียนตาดีกาที่อยู่ในบริเวณมัสยิดที่มีโต๊ะอิหม่ามเป็นผู้ปกครอง เด็กโตก็เรียนที่ปอเนาะอันเป็นโรงเรียนที่มีผู้รู้เป็นปราชญ์เป็นโต๊ะครูจัดตั้งขึ้น การเรียนการสอนมีลักษณะเป็นองค์รวมที่มีเรื่องศาสนาเป็นหลัก คือเด็กนักเรียนต้องเรียนรู้คัมภีร์อัลกุรอาน ถัดมาก็เป็นวิชาชีพที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในวิถีชีวิตของชุมชนชาวบ้านชาวเมือง ทั้งโรงเรียนตาดีกาและโรงเรียนปอเนาะเป็นโรงเรียนชุมชนที่เนื้อหาของการเรียนการสอนเป็นสิ่งกำหนดโดยคนในท้องถิ่นและชุมชน เหตุที่มีการเผาโรงเรียนนั้นพูดอย่างคร่าว ๆ ได้ว่า ก็เพราะรัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการเข้าไปเกี่ยวข้องยุบโรงเรียนชุมชนหรือไม่ก็จำกัดสิทธิในการเรียนการสอนของคนมุสลิมแล้วพยายามนำโรงเรียนแบบกระทรวงศึกษาธิการที่เป็นทางโลกมากกว่าทางธรรมเข้าไปแทนที่ นำเรื่องราวหลักฐานและวิธีการแบบสากลตามฉบับกระทรวงศึกษาเข้าไปใช้ และที่สำคัญจัดตั้งโรงเรียนของรัฐที่ล้วนแต่เป็นครูของรัฐของกระทรวงศึกษาเข้าแทนที่ หรือไม่ก็จำกัดสิทธิและโอกาสของครูท้องถิ่นแต่เดิมจึงเป็นเรื่องขึ้นและบานปลาย วิธีการจัดการศึกษาของรัฐบาลนั้น คือกระบวนการทำลายโรงเรียนชุมชนท้องถิ่นอย่างชัดเจน และไม่ได้กระทำเพียงกับคนมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้แต่เพียงเท่านั้น หากเป็นมาพร้อม ๆ กับบรรดาโรงเรียนชุมชนท้องถิ่นในทุกภูมิภาคของประเทศ เพียงแต่ไม่มีการเคลื่อนไหวต่อต้านออกมาเท่านั้น โรงเรียนชุมชนที่รัฐบาลโดยผ่านกระทรวงศึกษาธิการได้ทำมากว่าครึ่งศตวรรษแล้วก็คือ “โรงเรียนวัด” นั่นเอง ความต่างกันบางอย่างกับโรงเรียนชุมชนและคนมุสลิมก็คือ ความเป็นชุมชนของคนไทยได้ล่มสลายไปพร้อม ๆ กับโรงเรียนวัดด้วย เพราะรัฐไทยเป็นรัฐประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์ตั้งแต่สมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นต้นมา อำนาจในการจัดการศึกษาและวัฒนธรรมถูกดึงเข้าสู่ศูนย์กลางให้ไปรวมอยู่ที่กระทรวง ทบวง กรมที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษา กระทรวงวัฒนธรรม และกรมศิลปากร เป็นต้น ชุมชนบ้านและเมืองที่เคยมีอิสระในการปกครองตนเองจัดการศึกษาและวัฒนธรรมของตนเอง โดยเฉพาะองค์กรชุมชน เช่นซูรอของคนมุสลิมก็ถูกทำให้หมดความสำคัญไป พื้นที่ทางวัฒนธรรมที่รองรับความเป็นชุมชนแต่เดิมก็ล่มสลายและถูกแทนที่ด้วยพื้นที่ทางการบริหาร เช่น หมู่บ้าน ตำบล อำเภอที่มีการปกครองดูแล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนที่รัฐแต่งตั้งเข้ามา ยิ่งมาถึงสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์เป็นต้นมา มีการพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองให้สังคมไทยเปลี่ยนเป็นสังคมอุตสาหกรรม พื้นที่วัฒนธรรมท้องถิ่น บ้าน และเมืองก็ยิ่งถูกล่มหายไปด้วยกระบวนการทำให้เป็นเมือง [Urbanization] การสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางอุตสาหกรรมและการขนส่งคมนาคมก็ทำให้บรรดาชุมชนมนุษย์ที่เคยมีมาก่อนหมดสิ้นไป ถูกแทนที่ด้วยบ้านจัดสรร คอนโดมีเนียม ทาวเฮ้าส์อะไรทำนองนั้น ซึ่งล้วนเป็นสถานที่อยู่อาศัยที่ยังไม่มีความเป็นชุมชนแต่อย่างใด ทั้งหลายแหล่เหล่านี้ล้วนทำให้โรงเรียนชุมชนเช่นโรงเรียนวัดหมดไปด้วย เมื่อมาถึงตรงนี้ก็อาจมีคนคัดค้านได้ว่า ปัจจุบันโรงเรียนวัดก็ยังมีอยู่แถมยังได้รับการพัฒนาจากรัฐบาลให้เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ เป็นโรงเรียนมัธยมหรือสถาบันการศึกษาในด้านต่าง ๆ มากมาย ข้าพเจ้าก็ไม่เพียงแต่ขอตั้งคำถามว่าโรงเรียนเหล่านั้นเป็นโรงเรียนของชุมชนที่คนในชุมชนเกี่ยวข้องและจัดการได้ดังเดิมหรือไม่ อนึ่ง ต้องเข้าใจด้วยว่าแม้แต่วัดเองก็หาได้เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่คนในชุมชนถือว่าเป็นของคนเช่นเดิมหรือไม่ เท่าที่เห็นเป็นส่วนมากวัดกลายเป็นสิทธิ์ของเจ้าอาวาสตามกฎหมาย จะนำพื้นที่ของวัดอันเป็นพื้นที่วัฒนธรรมของชุมชนไปทำกิจการอื่น ๆ เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ไม่เกิดประโยชน์แก่คนในชุมชนแต่อย่างใด ยิ่งกว่านั้นยังแถมใช้สิทธิ์ทางกฎหมายปัจจุบันไล่รื้อโรงเรียนที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน และสิ่งที่เคยเป็นโครงสร้างทางวัฒนธรรมที่เคยมีมาแต่เดิมดังเป็นเรื่องเป็นข่าวอยู่บ่อย ๆ ในปัจจุบัน จากประสบการณ์ของข้าพเจ้าในเรื่องความสำคัญของโรงเรียนชุมชนกับการพัฒนาการศึกษานั้น อยากจะอ้างประเทศเวียดนามเป็นตัวอย่าง เมื่อ ๒๐ ปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้ามีโอกาสเข้าไปเวียดนามซึ่งในขณะนั้นอยู่สภาพที่ถูกมหาอสุรกายอเมริกันระเบิดทำลายบ้านเมืองเสียเรียบเป็นหน้ากลอง คนเวียดนามมีชีวิตอยู่ด้วยความยากลำบากและขัดสนในเรื่องอาหารการกินและที่อยู่อาศัย แต่ความเป็นครัวเรือน ครอบครัวและชุมชนยังคงอยู่ เพราะเป็นฐานของพลังประชาชนที่ขับเคลื่อนไปสู่การต่อสู้เพื่อการอยู่รอดในความเป็นมนุษย์ คนเวียดนามฟื้นตัวเองจากระดับครัวเรือน ครอบครัว และชุมชน โดยใช้พื้นที่ภายในบ้านและรอบบ้านเลี้ยงสัตว์ ปลูกผักสวนครัวเพื่อการกินอยู่ในชีวิตประจำวัน รวมทั้งร่วมแรงกับเครือญาติและพี่น้องร่วมบ้านในการเพาะปลูก ทำไร่ทำนาบนพื้นที่แปลงเล็ก ๆ ไม่กี่ไร่ โดยปลูกพืชพันธ์หลาย ๆ ชนิดตามความเหมาะสมของพื้นดินจนแทบจะหาพื้นที่ว่างไม่ได้ ผลผลิตที่ได้มากินกันก่อนในครอบครัวและผู้เกี่ยวข้องในชุมชน ส่วนที่เหลือก็เอาไปขายในตลาดของชุมชนท้องถิ่น ทำให้ไม่ช้าก็เกิดตลาดสดขึ้นเป็นดอกเห็ด มีสินค้าเกษตรมากมายหลายชนิดที่ส่วนใหญ่มาจากสภาพแวดล้อมธรรมชาติที่เป็นทุ่งเป็นนาเป็นป่า หนองน้ำ ลำคลอง เท่าที่ได้สังเกตคนเวียดนามให้ความสนใจกับธรรมชาติและสภาพแวดล้อมของท้องถิ่นและเรียนรู้ร่วมกันในการจัดการให้เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะในเรื่องการจัดการน้ำธรรมชาติไม่ว่าลำห้วย ลำคลองและลำน้ำจะไม่ทำลายหรือจัดการให้มีโครงสร้างใหญ่ อย่างเช่นการสร้างเขื่อนชลประทานและอ่างน้ำขนาดใหญ่ หากเน้นขนาดเล็กที่พอเหมาะพอดีกับผู้คนในชุมชนท้องถิ่น โดยที่มีการศึกษาเรียนรู้สร้างขึ้นเป็นภูมิปัญญาที่ถ่ายทอดกันจากคนรุ่นเก่าสู่คนรุ่นใหม่ เหนือระดับครอบครัวและกลุ่มเครือญาติก็เป็นชุมชนที่มีวัดหรือโบสถ์คาทอลิคหรือมัสยิดเป็นศูนย์กลาง มีตลาดสด และมีโรงเรียน และป่าช้าเป็นโครงสร้างกายภาพของชุมชน โดยเฉพาะโรงเรียนนั้นสังคมและรัฐให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในกระบวนการฟื้นฟูประเทศชาติ บ้านเมือง โรงเรียนกลายเป็นโครงสร้างหลักของชุมชนท้องถิ่นในสมัยหลังสงครามกับอเมริกัน สร้างให้มีขนาดใหญ่กว่าแต่เดิมมากจากอาคารชั้นเดียวมาเป็นสองชั้น ขนาดใหญ่กว่าบรรดาอาคารของสถานที่ทำการรัฐบาลแทบทุกแห่ง สะท้อนให้เห็นถึงคนรุ่นใหม่เข้ามาอยู่ในชุมชนมากกว่าเดิม ซึ่งก็หมายถึงการรวมคนที่บ้านแตกสาแหรกขาดในสงครามกลับเข้ามาในชุมชน ทำให้เด็กรุ่นใหม่ที่หลากหลายในเรื่องความเป็นมามีโอกาสเข้าเรียนในโรงเรียนเดียวกันอย่างเสมอภาค การสอนการเรียนก็ยกระดับให้ดีกว่าแต่ก่อน โดยเฉพาะการมีเครื่องมือเครื่องใช้และอุปกรณ์การสอนที่เป็นไอทีด้วยที่มีราคาแพงแต่ถูกนำให้ใช้ร่วมกันอย่างเสมอภาค ความเป็นโรงเรียนชุมชนนั้นไม่มีหอพักไม่มีสถานที่อยู่อื่น ๆ ให้กับเด็กจากภายนอก เพราะมุ่งเพื่อเด็กภายในที่สามารถเดินมาเรียนได้ ขี่รถจักรยานก็มาเรียนได้ ซึ่งเด็กบางคนสามารถเดินทางจากโรงเรียนมากินอาหารกลางวันที่บ้านและกลับไปเรียนทันในเวลาบ่าย แต่ที่สำคัญที่สุดของโรงเรียนชุมชนท้องถิ่นของเวียดนามก็คือ ทั้งนักเรียนและครูผู้สอนส่วนใหญ่เป็นคนในชุมชนเดียวกันที่มีวัฒนธรรมเดียวกัน และเรียนรู้จากสิ่งใกล้ตัวเองทั้งในและโดยรอบของชุมชนร่วมกัน ความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนที่อยู่ในชุมชนเดียวกัน ทำให้นักเรียนสร้างการเรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มได้ โดยเฉพาะเวลาเรียนที่เกี่ยวกับเรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่น อันเป็นวิชาที่ต่างคนต่างช่วยกันตั้งคำถามและแบ่งงานกันทำเป็นกลุ่ม ๆ ตามสิ่งที่ถนัด แล้วนำผลงานมาเชื่อมโยงให้เห็นผลงานร่วมกันในที่สุด การศึกษาเล่าเรียนที่แบ่งเป็นกลุ่ม ๆ เรียนร่วมกัน และทำงานร่วมกันดังกล่าวนี้ แตกต่างจากการเรียนแบบเป็นปัจเจกของเด็กนักเรียนในโรงเรียนของรัฐไทยที่วัดจากความเก่งและความสำเร็จในการศึกษาจากการสอบได้คะแนนดีที่มาจากการท่องจำและคิดอะไรไม่เป็น อีกสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญของโรงเรียนชุมชนในเวียดนามหลังสงครามกับอสุรกายอเมริกันก็คือ การให้เด็กนักเรียนของชุมชนได้เรียนประวัติศาสตร์ที่จะสร้างสำนึกในความรักประเทศชาติบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่น ประวัติศาสตร์ที่ว่านี้หาใช่ประวัติศาสตร์การเมือง การปกครองในอดีตที่ห่างไกลไม่ หากเป็น “ประวัติศาสตร์สังคม” ที่เน้นเหตุการณ์ในอดีตที่ไม่ห่างไกลและใกล้ตัว หากเป็นอดีตที่ยังอยู่ในความทรงจำของผู้คนรุ่นปู่ย่าตายายที่สามารถถ่ายทอดให้รับรู้ได้อย่างใกล้ความจริงและเป็นรูปธรรม นั่นคือ “เหตุการณ์สงครามกับอเมริกัน” ที่เป็นผลให้บ้านเมือง ผู้คนถูกทำลายนับเป็นล้าน ๆ คนเพื่อปลูกฝังให้เกิดสำนึกที่ว่านี้ ทางรัฐบาลเวียดนามได้สร้างอนุสาวรีย์วีรชนขึ้นในแทบทุกท้องถิ่นให้มีลักษณะเป็นโครงสร้างทางกายภาพอย่างหนึ่งของชุมชนในปัจจุบัน ซึ่งเป็นอนุสาวรีย์ที่สร้างท่ามกลางบรรดาหลุมศพของผู้คนที่ร่วมกันต่อสู้กับอสุรกายอเมริกันจนเสียชีวิต คนเหล่านั้นคือผู้คนในท้องถิ่นที่ไม่จำกัดว่าเป็นคนนับถือศาสนาใดและชาติพันธุ์ใด หากเป็นคนเวียดนามเหมือนกันที่ตายเพื่อบ้านเกิดเมืองนอน ข้าพเจ้าได้รับคำอธิบายจากผู้รู้ของเวียดนามที่ทำนายว่า รัฐบาลท้องถิ่นหลายแห่งกำหนดให้เด็กนักเรียนและครูในโรงเรียนชุมชนดูแลอนุสาวรีย์วีรชนดังกล่าวนี้ โดยให้มีวันและเวลาว่างที่เด็กนักเรียนและครูไปช่วยทำความสะอาดบรรดาหลุมศพของวีรชนด้วยการขัดชื่อและคำจารึกของผู้ตายให้เด่นชัดและไม่หมอง ทุกวันนี้ผู้ที่เข้าไปท่องเที่ยวเวียดนามอาจแลเห็นอนุสาวรีย์ที่มีฐานสูงเทิดดวงสีแดงไว้บนยอด ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในสมัยโบราณได้อย่างเด่นชัด ข้าพเจ้าเลยอดนึกไปถึงไม่ได้ว่า ที่ทางรัฐบาลไทยหลายสมัยและพรรคการเมืองต่างพ่นออกมาเป็นวาทะเดียวกันว่า โรงเรียนต้องสอนประวัติศาสตร์ให้เด็กนักเรียนได้เรียนรู้ แต่ไม่เคยวิสัชนาว่าประวัติศาสตร์ที่เด็กต้องเรียนรู้นั้นคืออย่างไร เพราะประวัติศาสตร์หลายเรื่องที่เด็กรับรู้กันในทุกวันนี้ส่วนมากเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์เสียส่วนมาก ทั้งนี้โดยไม่ต้องมโนว่าจะสอนกันอย่างไรด้วย
- สังคมมีศาสนา V.S สังคมเดรัจฉาน
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2558 เหตุการณ์สำคัญของโลกในยุควิกฤตทางศีลธรรมและจริยธรรมที่อุบัติขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ก็คือการที่คนมุสลิมหัวรุนแรง ที่โลกเสรีประณามว่าเป็นพวกก่อการร้ายฆาตกรทำลายล้างชีวิตมนุษย์จำนวนหนึ่งได้บุกเข้ายิงบรรณาธิการและคนทำงานในสำนักพิมพ์การ์ตูนเสียดสีสังคมและศาสนาชาร์ลี เอบโด [Charlie Hebdo] กลางกรุงปารีสของฝรั่งเศส ก่อให้เกิดความโกรธแค้นจากทางรัฐและประชาชนที่ตามล่าจนเอาชีวิตได้ในที่สุด กระนั้นยังไม่พอ ยังมีการรวมตัวกันอย่างมโหฬารของผู้คนหลายล้านคนที่มีผู้นำของรัฐบาลในยุโรปเกือบทุกประเทศเข้าร่วมการเคลื่อนไหวและประณามการกระทำอันหฤโหดของผู้ก่อการร้ายมุสลิมอย่างถ้วนหน้ากัน ธุดงค์ธรรมชัย ภาพจากเพจ http://picturesofday.blogspot.com/2014/01/14-2557.html แต่ในประเทศไทย คนในสังคมส่วนใหญ่ดูไม่บ้าจี้ไปตามสังคมส่วนใหญ่ในโลกยุโรป เพราะคนทั่วไปที่ไม่ใช่ปัญญาชนไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นนอกประเทศ ซึ่งก็เป็นปกติวิสัยเช่นนี้มาช้านาน ยกเว้นแต่บรรดาผู้ที่เป็นปัญญาชนที่พูดได้อย่างฟันธงในที่นี้ว่า มีสองประเภท คือคนมีศาสนาประเภทหนึ่ง กับคนไม่มีศาสนาอีกประเภทหนึ่ง คนมีศาสนาไม่ค่อยสะเทือนใจแบบบ้าจี้กับการกระทำของผู้ก่อการร้ายมุสลิมเท่าใด แต่ก็ไม่สนับสนุนการรุนแรงที่ฆ่าฟันผู้คนอย่างโหดร้าย เพราะเห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมีผลสืบเนื่องมาจากการกระทำของสำนักพิมพ์การ์ตูนเสียดสีของฝรั่งเศสนั่นเอง ธุดงค์ธรรมชัย ภาพจากเพจ http://picturesofday.blogspot.com/2014/01/14-2557.html การเสียดสีผู้นำทางการเมืองนั้นดูธรรมดา ไม่มีใครเดือดร้อน แต่การเสียดสีและดูหมิ่นศาสนาและผู้นำศาสนานั้น เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในจิตสำนึกของคนมีศาสนาในสังคมไทยที่มีศาสนาหลายศาสนา และผู้คนที่ต่างศาสนาอยู่ร่วมกันมาหลายศตวรรษอย่างมีสันติสุข เพราะผู้นำของประเทศในอดีตคือ ‘พระมหากษัตริย์’ เป็นองค์อัครศาสนูปถัมภกที่ทรงให้ความเป็นธรรม ยกย่องทุกศาสนาโดยเสมอกัน ถึงแม้ว่าจะทรงเป็นพุทธศาสนิกก็ตาม หาเคยทรงลำเอียงในการทะนุบำรุงศาสนาอื่นและไพร่ฟ้าประชาชนที่นับถือศาสนานั้น ๆ ไม่ ทรงให้ที่ดินสร้างวัด สร้างชุมชนอยู่สืบทอดกันมาเป็นเวลาหลาย ๆ ชั่วคน จนคนเหล่านั้นกลายเป็นคนสยามหรือคนไทยโดยทั่วหน้ากัน จนทำให้การไม่รังเกียจเดียดฉันท์ศาสนาอื่นและผู้นับถือที่เป็นประชาชนของประเทศที่เป็นที่รับรู้กันของบรรดานานาชาติในโลกมาช้านาน แม้กระทั่งสมัยเมื่อบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขแล้วก็ตาม จนกระทั่งเมื่อราวสิบปีที่ผ่านมานี้ จึงได้แลเห็นการเปลี่ยนแปลงในเรื่องความเชื่อทางศาสนาของบรรดาคนไทยหรือคนสยามในยุคใหม่พวกหนึ่งที่มองอเมริกันและยุโรปเป็นเสมือนบิดาบังเกิดเกล้าที่แลไม่เห็นความหมายความสำคัญของศาสนาในฐานะสถาบันสากลของมนุษยชาติ อาจแบ่งได้เป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกยังนับถือศาสนาอยู่แต่ต้องเป็นศาสนาพุทธเท่านั้น ศาสนาอื่นไม่สำคัญเลยพาลไปไม่ชอบคนไทยอื่นที่ไม่นับถือศาสนาพุทธไปด้วย โดยเฉพาะคนมุสลิมมลายูในสามจังหวัดภาคใต้ ซึ่งเป็นการเดียดฉันท์ทางศาสนาและชาติพันธุ์ และเคยมีการเคลื่อนไหวให้มีการประกาศพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติแต่เพียงศาสนาเดียวในกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่เคราะห์ดีที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย แถมยังตำหนิว่าไม่ควรที่จะเอาพระพุทธศาสนาเข้ามาอยู่ในร่มเงาของอำนาจรัฐธรรมนูญ ซึ่งในสำนึกของข้าพเจ้าเห็นว่า พระบวรศาสนาทุกศาสนาเป็นของบริสุทธิ์ หาใช่ของสาธารณ์ เช่น กฎหมายรัฐธรรมนูญแบบลัทธิประชาธิปไตยของอเมริกันและยุโรป การประท้วงในกรุงปารีส ฝรั่งเศส ภาพจาก http://blog.fitzcarraldoeditions.com/?p=406 การประท้วงของนักศึกษามหาวิทยาลัยในโซมาเลีย กรณีชาร์ลี เอบโด ภาพจากสำนักข่าว (Feisal Omar/Reuters) เมื่อความมาถึงตรงนี้ ก็อดนึกและทอดอาลัยกับคนไทยยุคใหม่อีกกลุ่มหนึ่งที่ยังอ้างตัวว่าเป็นพุทธศาสนิก แต่ยึดมั่นในลัทธิหนึ่งที่ใช้การสะกดจิตเป็นเครื่องมือในการอบรมสอนสั่งแก่คนที่เป็นสาวก คนพวกนี้คิดว่าลัทธิที่ตนนับถืออยู่นี้คือพุทธศาสนาหนึ่งเดียวในโลกและจักรวาล ที่อาจแลเห็นได้ด้วยการโครงสร้างศาสนสถานวัตถุให้เหมือนกับจานบินและลานจอดจานบินของมนุษย์ต่างดาว อีกทั้งวันดีคืนดีก็ยกขบวนแห่กันไปธุดงค์ปักกลดกันกลางพระมหานครให้การสัญจรไปมาของผู้คนเป็นอัมพาตอยู่บ่อย ๆ ถึงอย่างไรก็ตาม กลุ่มคนไทยรุ่นใหม่ที่ว่านี้ก็ยังมีลัทธิศาสนานับถืออยู่แม้ว่าจะเพี้ยนไปมากแล้วก็ตาม แต่มีคนไทยรุ่นใหม่อีกกลุ่มหนึ่งที่นับได้ว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นกำลังจะกลายเป็นผู้ไม่นับถือศาสนาและไม่มีศาสนา คนเหล่านี้มักเป็นผู้มีการศึกษาดี เป็นคนชั้นกลางที่ได้รับการศึกษาจบมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ เช่นจากอเมริกา ยุโรป และออสเตรเลีย ได้รับการอบรมด้วยแนวคิดและตรรกทางวิทยาศาสตร์ ไม่เชื่อความเชื่อทางจิตวิญญาณและศาสนาเห็นว่าเป็นสิ่งงมงาย แต่ได้รับการอบรมจากตะวันตก เช่น อเมริกาและยุโรปให้เห็นและเชื่อว่าประชาธิปไตยในระบบเศรษฐกิจเสรีทุนนิยมเป็นเสมือนลัทธิที่จะทำให้สังคมมนุษย์สมบูรณ์พูนสุขและราบรื่น เป็นสังคมที่ไร้พรมแดนและไม่จำเป็นต้องมีศาสนาและพรมแดน คนเหล่านี้แหละที่ออกมาปฏิเสธการมีชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์อย่างออกหน้าออกตา รวมทั้งคลั่งไคล้ในวัฒนธรรมและแสงเสียงของอเมริกันและยุโรปตลอดเวลา และไม่ว่าอเมริกันหรือฝรั่งเศส อังกฤษจะทำอะไรก็เป็นเรื่องถูกต้องมีเหตุมีผล เพราะมนุษย์ในโลกที่ของประเทศใดหรือสังคมใดที่ไม่เห็นสอดคล้องหรือคล้อยตาม อเมริกัน ฝรั่งเศส และอังกฤษแล้วกลายเป็นคนผิด คนล้าหลังไม่ทันโลกไปหมด อีกทั้งพร้อมที่จะปิดหูปิดตาไม่ฟังไม่เห็นความระยำตำบอนที่อเมริกา ฝรั่งเศส และอังกฤษได้ทำกับสังคมมนุษย์อื่น ๆ ในโลกเหล่านั้น ดังเช่นที่แล้วมาได้ทำแก่สังคมประชาธิปไตย สังคมนิยมเวียดนาม และในทุกวันนี้กับสังคมมุสลิมที่ประชาชนมีศรัทธามั่นคงในพระศาสนา ที่เวียดนามอเมริกันรุกรานด้วยการทิ้งระเบิดปูพรมคนตายไปหลายล้าน ผู้คนหนีรอดด้วยการขุดรู ขุดอุโมงค์หลับอาศัย ที่เมืองสาละวันประเทศลาวที่เป็นพันธมิตรกับเวียดนามในหลาย ๆ ท้องถิ่น อเมริกันได้ระเบิดชีวภาพทำลายพืชพันธุ์ที่เป็นอาหารและยารักษาโรคของชาวบ้าน จนทำให้พื้นที่ปลูกอะไรเต็มไปด้วยสารพิษก่อมะเร็งจนกระทั่งบัดนี้ แต่ความโหดร้ายสุด ๆ ผิดมนุษยชาติก็คือ กรณีทหารอเมริกันสังหารหมู่คนเวียดนามทั้งคนแก่ เด็กและผู้หญิงอย่างโหดเหี้ยม แต่คนไทยที่เป็นสาวกลัทธิประชาธิปไตยทุนนิยมของอเมริกันไม่เห็นว่าอะไรและไม่รู้สึกอะไร เช่นเดียวกันกับกรณีเขมรแดงฆ่าล้างโคตรคนกัมพูชาเป็นจำนวนล้าน คนไทยและคนทั่วโลกรุมด่าเขมรแดง แต่ไม่เคยด่าอเมริกัน ทิ้งระเบิดคนเวียดนามตายมากกว่าการด่าหมู่ในเขมร เหนื่อยและพ่ายแพ้จากเวียดนาม อเมริกันและพันธมิตรคู่ใจ เช่น อังกฤษและฝรั่งเศสที่กำลังจนด้วยทรัพยากร โดยเฉพาะน้ำมัน หันมาเล่นงานโลกมุสลิมในตะวันออกกลาง รุกรานประเทศที่ไม่เข้าเป็นพวกพ้องด้วยข้อหามีอาวุธนิวเคลียร์ที่เป็นภัยแก่มนุษยชาติ เช่น อิรัก และอิหร่าน อิหร่านยังหักหาญไม่ได้จึงเล่นงานอิรักก่อน ทิ้งระเบิดยึดครองประเทศ ผู้คนล้มตายและแบ่งแยกจนบัดนี้ก็ยังอยู่ในสภาพเป็นนรก แต่ประเทศไหนที่ยังทำอะไรไม่ถนัดก็ยุแหย่ให้เกิดการแตกแยกล้มล้างกันเอง เช่น อียิปต์ ซีเรีย ลิเบีย เป็นต้น ก่อให้เกิดความโกรธแค้นของคนมุสลิมหัวรุนแรง จนทำให้เกิดขบวนการต่อสู้ด้วยลัทธิและวิธีการจีฮัจญ์อย่างโหดเหี้ยมที่อเมริกันและพันธมิตรเรียกว่า ‘การก่อการร้าย’ ที่ดูเหมือนการตอบโต้ที่รุนแรงและดังสะท้านไปทั่วโลกก็คือ กรณีจีฮัจญ์ของคนมุสลิมจี้และบังคับเครื่องบินโดยสารชนระเบิดตึกเวิลด์เทรดที่เมืองนิวยอร์ก ทำให้คนตายไปเกือบหมื่นคนในพริบตาเดียว ทำให้อเมริกันอัปยศอดสูและเจ็บแค้นไปจนปรภพก็ว่าได้ สงครามที่ทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่สุดครั้งหนึ่ง “สงครามเวียดนาม” เหตุการณ์ระเบิดเวิลด์เทรดครั้งนั้นในทัศนะของข้าพเจ้าก็คือการเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๓ สองครั้งที่แล้วเป็นสงครามของความโลภทางวัตถุและอำนาจทางการเมือง เช่น ลัทธิการเมืองและการปกครองและระบบเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน แต่ครั้งนี้โลกกำลังแบ่งออกเป็น ๒ ขั้ว คือ ทางวัตถุขั้วหนึ่ง กับจิตวิญญาณอีกขั้วหนึ่ง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ขั้วของมนุษย์ที่ไม่มีศาสนา กับมนุษย์ที่มีศาสนาขั้วหนึ่ง เป็นสงครามที่ยากจะยุติและน่าสะพรึงกลัว เพราะเป็นเรื่องไม่มีเวลาและสถานที่ (กาลเทศะ) หากกำลังแผ่ซ่านไปแทบทุกอณูของพื้นพิภพ เพราะทั้งสองฝ่ายต่อเติมยั่วยุและตอบโต้อยู่ตลอดเวลา ดังเห็นได้จากกรณีสำนักพิมพ์ชาลีย์ แอ๊ปโด ที่แสดงความยิ่งใหญ่และอำนาจของเสรีภาพในลัทธิประชาธิปไตยแบบอเมริกัน ฝรั่งเศสและอังกฤษที่คนไทยผู้ไร้ศาสนานิยมชมชอบ ข้าพเจ้าจึงอยากให้คนไทย คนสยามทั้งที่มีชาติ ศาสนา และไม่มี ควรได้เรียนรู้และทบทวนประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่แล้วมานั้น ไม่มีอะไรในโลกที่ทำให้มนุษย์ต้องฆ่าพันกันได้มากเท่ากับการรบและต่อสู้เพื่อปกป้องพระศาสนาและแผ่นดินเกิดซึ่งหมายถึงชาติ (ภูมิ) แต่สำหรับคนไม่มีศาสนาและมองเห็นว่าความเชื่อเป็นสิ่งไม่เป็นวิทยาศาสตร์และเรื่องงมงายนั้น ก็หาได้หลุดพ้นเป็นอิสระจากความเชื่อไปได้ เพราะเป็นมิติหนึ่งในความเป็นมนุษย์ เพราะการปกครองระบอบเสรีทุนนิยมประชาธิปไตยที่ตนยึดมั่นถือมั่นนั้นก็เป็นลัทธิความเชื่อชนิดหนึ่ง แม้จะไม่ใช้ความเชื่อในสิ่งที่เป็นศาสนาก็ตาม ศาสนาคือสถาบันสากล [Universal institution] ของมนุษยชาติ เป็นสถาบันความเชื่อที่ดีที่จรรโลงมนุษยธรรม ศีลธรรม และจริยธรรม แม้ผู้ใดที่คิดว่าตนเป็นคนไม่มีศาสนาแล้ว ก็อย่านึกว่าหลุดพ้นจากเรื่องความเชื่อไปได้ เพราะจะมีความเชื่อในเรื่องลัทธิทางการเมือง เศรษฐกิจ แลไสยศาสตร์เข้ามาแทนที่และครอบงำจนกลายเป็นเดรัจฉาน คือ ‘ไม่ใช่มนุษย์ไปได้’ สังคมไทยขณะนี้กำลังเป็นบ้านเมืองว่างพระศาสนาแต่เต็มไปด้วยคนที่นับถือลัทธิการเมือง เศรษฐกิจ และไสยศาสตร์ที่แลเห็นได้ทุกเมื่อเชื่อวัน อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- การขายวัฒนธรรมเพื่อการท่องเที่ยว คือ การขายความเป็นมนุษย์
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ต.ค. 2558 สมัยยังรับราชการอยู่ ข้าพเจ้ามีโอกาสเข้าไปสัมพันธ์กับองค์การยูเนสโกในเรื่องการจัดการทางวัฒนธรรม ตั้งแต่สมัยการจัดตั้งอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยกว่ายี่สิบปีมาแล้ว องค์การยูเนสโกได้ส่งนักวิชาการทางด้านพัฒนาศิลปวัฒนธรรมจากชาติต่าง ๆ ให้เข้ามาดูงานและร่วมงานที่ดูเหมือนจะหักเหไปจากการสร้างแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมให้เป็นมรดกโลกเพื่อการเรียนรู้ ที่จะนำไปสู่การเข้าใจในความเป็นมนุษย์ที่จะต้องอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขในโลก มาเป็นเพื่อการจัดการแหล่งมรดกโลกเพื่อการท่องเที่ยว ดังแลเห็นกันอยู่ในทุกวันนี้ เมืองหลวงพระบางที่กลายเป็นเมืองมรดกโลก ข้าพเจ้าได้พบปะกับนักวิชาการชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งที่เป็นตัวแทนองค์การยูเนสโกเข้ามาทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของโครงการอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย คน ๆ นี้พยายามจะเสนอให้มีการจัดระเบียบแบบแผนอุทยานเพื่อการท่องเที่ยวให้คล้ายกันกับเมืองโบราณในเม็กซิโก ทำให้นักวิชาการกรมศิลปากรคล้อยตามด้วยพักหนึ่ง แต่แล้วก็เลิกล้มไป แต่สิ่งที่กินใจข้าพเจ้ามาจนทุกวันนี้คือ การมองแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมและประเพณีวัฒนธรรมว่าเป็น “ทุนวัฒนธรรม” ซึ่งมุ่งให้เกิดรายได้จากการท่องเที่ยว โดยใช้วัฒนธรรมเป็นทุน คำศัพท์ใหม่ที่มองวัฒนธรรมเป็นเรื่องเศรษฐกิจนี้ ติดตามมาด้วยทรัพยากรมนุษย์ที่เห็นชีวิตมนุษย์เป็นแรงงานทางเศรษฐกิจ เฉกเช่น ช้าง ม้า วัว ควาย และเครื่องจักรยนต์ ปัจจุบันทั้งคำว่า “ทุนทางวัฒนธรรม” และ “ทรัพยากรมนุษย์” นี้ใช้กันอย่างเกลื่อนกลาด พร้อมกันกับเกิดสถาบันการศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เรียนกันเป็นขั้นปริญญาตามมหาวิทยาลัย ข้าพเจ้าได้รับการศึกษาทางวิชามานุษยวิทยาสังคมแบบเก่า ๆ ที่เน้นแนวคิดและทฤษฎีทางวัฒนธรรมในเรื่องโครงสร้างและหน้าที่ [Structural / Functional] ที่มองโลกและมองมนุษย์ว่า เป็นสัตว์สังคมที่ต้องสร้างวัฒนธรรมขึ้นมาเพื่อการมีชีวิตรอดร่วมกัน วัฒนธรรมไม่ใช่เป็นทุนทางเศรษฐกิจและมนุษย์ก็หาใช่ทรัพยากรไม่ แต่เป็นจุลจักรวาล [Microscopic of universe] การศึกษาทางสังคมและวัฒนธรรมคือสิ่งที่ทำให้เกิดความเข้าใจในความเป็นมนุษย์เพื่อที่มนุษย์ทุกชาติทุกภาษาและเผ่าพันธุ์ในพื้นพิภพนี้ได้เข้าใจกันและอยู่ร่วมกันอย่างมีสันติสุข นักมานุษยวิทยาต้องศึกษาให้รู้จักคำว่าสังคมวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลง การเหมือนกัน และการแตกต่างทางสังคมวัฒนธรรม จึงจะเข้าใจในความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะวัฒนธรรมนั้นไม่อาจศึกษาในลักษณะลอยโดดโดยไม่เกี่ยวข้องกับสังคมได้ ต้องสัมพันธ์กับโครงสร้างสังคมอันเป็นบริบท [Social context] จึงจะแลเห็นความแตกต่างกันหรือคล้ายคลึงกันของความเป็นมนุษย์ได้ วัฒนธรรมที่คนที่อยู่ในสังคมสร้างขึ้นเพื่อการมีชีวิตรอดร่วมกันนั้นมีหน้าที่และความหมายสำคัญ ๆ ๔ อย่างคือ ๑. เพื่อการมีชีวิตรอดร่วมกัน [Survival] ๒. เพื่อการอบรม [Orientation] ๓. เพื่อการสื่อสารและการสังสรรค์ [Communication] ๔. เพื่อทางบูรณาการ [Integration] เพราะฉะนั้น ในการรับรู้ของนักมานุษยวิทยาและสังคมวิทยารุ่นก่อน ๆ วัฒนธรรมไม่เคยถูกมองว่าเป็นทุน คงมีแต่นักวิชาการมานุษยวิทยารุ่นใหม่ ๆ ที่เป็นพวกหลังสมัยใหม่เท่านั้นที่ไปผสมพันธุ์กับเศรษฐศาสตร์และอีกหลายศาสตร์ในยุคโลกาภิวัฒน์ที่เห็นว่าวัฒนธรรมเป็นทุน เพราะเมื่อเข้าใจและรับรู้ว่าเป็นทุน ก็สามารถนำไปเป็นต้นทุนในการผลิตเพื่อขายได้เลย สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลทุนนิยม เช่น ประเทศไทยที่หารายได้เข้าประเทศ ต้องการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่สนับสนุนการอนุรักษ์และพัฒนามรดกทางวัฒนธรรมเพื่อการค้าขาย ซึ่งในที่นี้ขอพูดย่อ ๆ ว่า วัฒนธรรมเพื่อขาย [Culture for sale] หรือการขายวัฒนธรรมนั่นเอง ดูสอดคล้องกันกับการพัฒนาแหล่งมรดกโลกให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวนานาชาติขององค์การยูเนสโก ด้วยการสนับสนุนขององค์การยูเนสโกที่กำหนดให้คณะกรรมการมรดกโลกดำเนินการช่วยเหลือในการอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งมรดกโลกในที่ต่าง ๆ ทั่วโลก โดยมีเป้าหมายเพื่อการท่องเที่ยวมากกว่าการเรียนรู้ ทำให้เกิดแหล่งมรดกโลกที่รับรองโดยองค์การยูเนสโกขึ้นแทบทุกประเทศที่ขานรับการท่องเที่ยวเพื่อให้มีรายได้เข้าประเทศ เพิ่มรายได้ต่อหัว [GDP)] ให้แก่ประชาชน ผลที่ตามมาก็คือ การขายวัฒนธรรมเกิดขึ้นที่มีอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยเป็นแหล่งมรดกโลกเพื่อขายเกิดขึ้นมาเป็นแห่งแรก แล้วต่อมาก็เป็นหลวงพระบางที่ประเทศลาว เมืองฮอยอันในประเทศเวียดนาม ทำให้เกิดความกำหนัดเกิดขึ้นกับรัฐบาลและหน่วยงานทางวัฒนธรรมของบ้านเมืองที่ต่างก็เสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นและของจังหวัดให้เป็นมรดกโลกกับเขาบ้าง แหล่งมรดกโลกเพื่อขายที่แสดงให้เห็นถึงความชั่วร้ายขององค์การยูเนสโกที่ต้องนำมาเสนอให้เห็นเป็นอุทาหรณ์ในที่นี้ก็คือ “หลวงพระบาง” และ “ปราสาทพระวิหาร” หลวงพระบางคือผลของความชั่วร้ายที่สำเร็จแล้วและกระทำแล้วในขณะที่ปราสาทพระวิหารยังไม่สำเร็จดี ภูโลง สัญลักษณ์ที่บอกเล่าตำนานบ้านเมืองในภูมิวัฒนธรรมของหลวงพระบางและบ้านเมืองในเขตแม่น้ำโขงภายใน ความชั่วที่ทำให้สำเร็จแล้วด้วยดี เช่น หลวงพระบาง สุโขทัย และแหล่งอื่น ๆ เช่น อยุธยา และอีกหลายแห่งที่ตามมาก็คือ สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและประวัติศาสตร์ของแหล่งวัฒนธรรมที่มาแต่เดิมถูกปรับเปลี่ยนด้วยแผนผังบริเวณใหม่ให้มีถนนหนทางและโครงสร้างทางกายภาพ เช่น ร้านค้า ภัตตาคาร โรงแรม รีสอร์ท แหล่งสันทนาการเข้ามาจัดตั้ง เกิดย่านตลาดนานาชาติเข้ามาแทนที่ อาคารบ้านเรือน แหล่งศักดิ์สิทธิ์ของบ้านเมืองแต่ก่อน ช่นหลวงพระบางที่มีแต่เปลือก คือมีการอนุรักษ์อาคารต่าง ๆ ในรูปแบบของเดิม แต่ผู้คนในสังคมที่เคยอยู่อาศัยเป็นชาวบ้านชาวเมืองแทบไม่เหลืออยู่ ต่างให้เช่าที่หรือขายที่ขายบ้านเรือนให้กับพ่อค้านานาชาติเข้าไปตั้งหลักแหล่งค้าขาย ในขณะที่ครอบครัวของคนหลวงพระบางย้ายออกไปอยู่ที่อื่น ทุกวันนี้ทั้งหลวงพระบางและฮอยอันคือตลาดค้าขายนานาชาติ ส่วนปราสาทพระวิหารนั้นยังอยู่ในสถานที่เป็นแหล่งมรดกโลกขององค์การยูเนสโกที่ยังไม่สำเร็จสมบูรณ์ที่สร้างความขัดแย้งกันในเรื่องดินแดนระหว่างไทยและกัมพูชา จนทำให้เกิดการสู้รบล้มตายกันขึ้น ข้าพเจ้าเคยตั้งคำถามว่าถ้าหากความขัดแย้งในเรื่องดินแดนยุติลง และองค์กรมรดกโลกเข้ามากำหนดและจัดการมรดกโลก ปราสาทพระวิหารที่มีพื้นปริมณฑลทั้งในเขตแดนไทยและกัมพูชาแล้ว คนไทยและคนกัมพูชาจะได้ประโยชน์อันใดจากแหล่งมรดกโลกแห่งนี้ เพราะคำตอบที่เห็นอยู่รำไร ๆ ก็คือ แหล่งมรดกโลกจะกลายเป็นพื้นที่สัมปทานที่นายทุนคนต่างชาติจะแย่งแข่งขันกันเข้ามาจัดการท่องเที่ยว การค้าขายและบริการ เปลี่ยนแปลงโบราณสถานให้เป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่เหมือนจริง เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้ามาแสวงหาความเพลิดเพลินมากกว่าการเรียนรู้และรายได้ก็จะไปตกแก่นักการเมืองนายทุนผู้มีอำนาจทั้งข้างชาติและในชาติ ดังเช่นแหล่งมรดกโลกนครวัดนครธมในทุกวันนี้ นอกจากแหล่งโบราณคดีประวัติศาสตร์ที่เป็นมรดกโลกเพื่อขายดังที่กล่าวมาแล้ว องค์กรมรดกโลกและองค์การยูเนสโกยังทำมากไปกว่านี้ด้วยการเสนอให้มีการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ [Intangible cultural heritage] เพื่อขายแนวคิดแนวทางและวิธีการให้กับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานทางวัฒนธรรมของหลาย ๆ ประเทศไปทั่ว ซึ่งรวมทั้งประเทศไทยด้วยโดยเฉพาะกระทรวงวัฒนธรรม ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร และมหาวิทยาลัยทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ทำให้เกิดการศึกษาวิจัยเพื่อการอนุรักษ์และการจดทะเบียนเพื่อป้องกันการลอกเลียนและการขโมยไปอ้างกรรมสิทธิ์ ทำให้มีการให้ทุนแก่นักวิชาการ นักวิจัย ทำการศึกษาไปทั่ว แต่เท่าที่ติดตามผลมาก็ยังไม่รู้ว่ามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้นั้นคืออะไรกันแน่ คนที่รับกรรมมากที่สุดคือ คนธรรมดาสามัญชนทั่วไปที่เมื่อแลเห็นผลการวิจัยเผยแพร่แล้วคืออะไร และมีความหมายความสำคัญแก่เขาเหล่านั้นอย่างไรบ้าง นับเป็นผลงานที่สื่อไม่ได้แก่คนธรรมดา นอกจากเก็บไว้ตามหลังสมุดและศูนย์วิจัยที่รอเวลาให้บรรดานักวิชาการ นักออกแบบ การทำกิจกรรมทางวัฒนธรรมเพื่อการท่องเที่ยวนำไปใช้เพื่อสร้างสิ่งใหม่ ๆ เพื่อการท่องเที่ยว ในความเข้าใจของข้าพเจ้า ความหมายของมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้นี้คือ ประเพณีวัฒนธรรม เช่นประเพณีเกี่ยวกับชีวิต ประเพณีสิบสองเดือน และประเพณีพิธีกรรมในเรื่องอื่น ๆ เพราะล้วนแล้วแต่เป็นกระบวนการในการกระทำและเห็นอะไรเป็นรูปธรรม เช่นสิ่งที่เป็นศิลปวัฒนธรรม อีกทั้งมีลักษณะเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงรูปแบบไปตามบริบททางสังคมของท้องถิ่น นั่นก็หมายความว่ามรดกทางวัฒนธรรมดังกล่าวนี้หาได้อยู่ลอย ๆ อย่างจับต้องไม่ได้ ตามคำนิยามขององค์การยูเนสโก บาปกรรมขององค์การยูเนสโกอยู่ในลักษณะที่ว่า ไม่พูดถึงบริบททางสังคม ซึ่งหมายความถึงชุมชนหรือสังคมที่เป็นเจ้าของวัฒนธรรมนั้น ในแนวคิดทางมานุษยวิทยานั้น อาจแลเห็นความหมายความสำคัญของวัฒนธรรมได้นั้น สิ่งที่เป็นวัฒนธรรมต้องมีบริบททางสังคมจึงจะเรียกว่าเป็นวัฒนธรรม เพราะวัฒนธรรมคือสิ่งที่มนุษย์ในสังคมสร้างขึ้นเพื่อดำรงชีวิตรอดร่วมกัน ผิดไปจากนี้แล้ววัฒนธรรมทั้งที่เป็นศิลปวัตถุและประเพณีวัฒนธรรมก็เป็นแต่เพียงสิ่งของหรือสินค้าเพื่อการแลกเปลี่ยนกลายเป็น “วัฒนธรรมเพื่อขาย” [Culture for sale] เท่านั้นเอง แต่ในกระแสของการท่องเที่ยวที่มีการขายประเพณีวัฒนธรรมตามท้องถิ่นต่างนั้น ในที่นี้ข้าพเจ้าจำต้องขยายความหมายถึงวัฒนธรรมและบริบททางสังคมเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจของคนทั่วไปนั้นคือ เพื่อทำให้เป็นรูปธรรมขึ้น คำว่า “สังคม” ในที่นี้ก็คือ “ชุมชน” [Community] นั่นเอง สังคมหมายถึงการอยู่รวมกันของกลุ่มชนอย่างมีโครงสร้าง แต่ชุมชนนั้นหมายถึงกลุ่มคนที่อยู่เป็นกลุ่มและมีโครงสร้างสัมพันธ์กับพื้นที่ [Space] และเวลา [Time] อย่างที่เรียกสั้น ๆ ตามสำนวนไทยว่า “กาละเทศะ” นั่นเอง เมื่อทำความเข้าใจในเรื่องนี้ได้ก็พอจะเห็นได้ว่า การเอาวัฒนธรรมลอย ๆ ไม่ว่าจะเป็นศิลปวัตถุหรือประเพณีวัฒนธรรมมาปรุงแต่งหรือสร้างสรรค์ [Creative economy] เพื่อการท่องเที่ยวอย่างที่ ททท. หรือทางจังหวัดและอำเภอตามการกำหนดของผู้มีอำนาจของบ้านเมืองนั้น คือการกระทำที่ขายวัฒนธรรม [Commodity action of cultural heritage] เมืองมรดกโลกที่กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ไร้การสืบทอดความหมายของบ้านเมืองแบบโบราณ การขายวัฒนธรรมของสังคมหรือชุมชน ก็คือการขายความเป็นมนุษย์กันเอง ในหลาย ๆ บทความของข้าพเจ้าที่ผ่านมา ได้กล่าวถึงบรรดาแหล่งมรดกโลกและแหล่งโบราณคดีประวัติศาสตร์หลายแห่งที่มีการพัฒนาขึ้นเพื่อขายศิลปวัฒนธรรมและประเพณีวัฒนธรรมให้แก่การท่องเที่ยว อย่างเช่นการจุดเทียนเผาไฟเพื่อลอยกระทงของอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยที่ผ่านมาไม่นานนี้ ที่เป็นการขายวัฒนธรรมก็เพราะ จากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์การลอยกระทงเป็นของชุมชนบ้านเมืองในลุ่มน้ำ เช่นอยุธยาและกรุงเทพฯ ที่พอเชื่อได้ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อเป็นงานนักขัตฤกษ์ให้แก่ผู้คนที่เป็นประชาชนได้รื่นเริงกัน “.....นักขัตฤกษ์ประชาราษฎร์สโมสร สว่างไสวไปทั่วทั้งพระนคร ทิฆัมพรแจ่มแจ้งแสงจันทร์เอย” แต่สุโขทัยก็ยังเปรียบไม่เท่ากับเทศกาลผีตาโขน อำเภอด่านซ้าย ของจังหวัดเลย ที่เปลี่ยนประเพณีศักดิ์สิทธิ์บุญพระเวสของคนในชุมชนและสังคม มาเป็นการเล่นแห่ผีตาโขนที่เป็นของอัปมงคลและสาธารณ์ที่ไม่เคยอยู่ในสารบบการมองโลกในความเป็นมนุษย์ของคนด่านซ้ายแต่ดั้งเดิม อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ประวัติพระเมรุมาศ และพระโกศ เพื่อการถวายพระเพลิงพระบรมศพ
เผยแพร่ครั้งแรก 1 พ.ย. 2560 เนื่องในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลย-เดชมหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ ในวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๐ นี้ จะเป็นการออกพระเมรุที่ใหญ่โตมโหฬารที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยของกรุงรัตนโกสินทร์ จึงมีผู้สนใจอยากรู้ความหมายความสำคัญของพระเมรุมาศมากมายทั้งคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ข้าพเจ้าจึงอยากเขียนเรื่องราวความเป็นมาของพระเมรุมาศและพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระมหากษัตริย์ ตามความรู้ที่ได้ศึกษาและค้นคว้ามาทางมานุษยวิทยาดังนี้ พระเมรุมาศพระบาทสมเด็จสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ ท้องสนามหลวง ประเพณีการออกพระเมรุมาศเพื่อการถวายพระเพลิงพระบรมศพนั้นเริ่มมีมาแต่สมัยอยุธยาตอนปลายในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองและสมเด็จพระนารายณ์มหาราชในพุทธศตวรรษที่ ๒๓ เป็นการสร้างพระเมรุมาศขึ้นถวายพระเพลิงในพื้นที่กำหนดให้เป็น “ทุ่งพระเมรุกลางกรุงศรีอยุธยา” ทางด้านตะวันออกของพระบรมมหาราชวังซึ่งปัจจุบันนี้คือ ที่ตั้งพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นสถานที่ตั้งของวิหารพระมงคลบพิตรที่สร้างมาแต่สมัยอยุธยาตอนต้นตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระไชยราชาธิราช โดยย้ายวิหารพระมงคลบพิตรมาสร้างใหม่ทางด้านใต้ของพระบรมมหาราชวังในตำแหน่งปัจจุบัน ก่อนรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง การถวายพระเพลิงพระมหากษัตริย์กำหนดไว้อย่างกว้าง ๆ เพียงภายในกำแพงพระนคร ส่วนการเผาศพ ปลงศพ ของขุนนางข้าราชการและคนในเมืองต้องนำศพไปออกประตูผีเพื่อทำกันนอกเกาะเมือง ดังเช่น พระบรมศพของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) นั้นถวายพระเพลิงที่ “วัดพระราม” อันเป็นวัดที่สร้างขึ้นภายหลังการถวายพระเพลิงแล้ว พระบรมศพของสมเด็จพระนครินทราชาธิราชถวายพระเพลิงที่ “วัดราชบูรณะ” รวมทั้งพระศพของเจ้าอ้ายพระยาและเจ้ายี่พระยาผู้เป็นพระราชโอรส หรือพระบรมศพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ก็ถวายพระเพลิงที่ “วัดวรเชษฐาราม” อันเป็นวัดที่สมเด็จพระเอกาทศรถสร้างถวาย ณ บริเวณที่ถวายพระเพลิง เป็นต้น และยังมีวัดอื่น ๆ ภายในเมืองอีกหลายวัดที่สร้างขึ้นภายในบริเวณที่ถวายพระเพลิงพระมหากษัตริย์องค์อื่น ๆ ที่ไม่ได้ระบุไว้ในพระราชพงศาวดาร ลานท้องสนามไชยหน้าพลับพลาฐานจตุรมุข เป็นแนวยาวราว ๓๕๐ เมตร สูงจากพื้น ๓ เมตร ผนังสลักเป็นรูปช้างและครุฑ มีมุขยื่นออกมาทั้งสองด้าน ใช้เป็นสถานที่สำหรับพระมหากษัตริย์นั่งทอดพระเนตรพระราชพิธีสนามและการเฉลิมฉลองต่างๆ ภาพถ่ายเมื่อกว่า ๕๐ ปีมาแล้ว ภาพของอาจารย์มานิต วัลลิโภดม การถวายพระเพลิงพระบรมศพพระมหากษัตริย์ดังกล่าวนี้ ไม่มีหลักฐานว่าเป็นการออกพระเมรุแบบที่ทำกันต่อมาจากสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง และสมเด็จพระนารายณ์ฯ จนกระทั่งสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ อีกทั้งก็ไม่รู้ว่ามีการสร้างพระเมรุมาศหรือไม่ อาจจะเป็นการสร้าง “พระจิตกาธาน” หรือที่ตั้งศพเพื่อเผาบนฐานยกพื้นเช่นที่พบในเขตวัดเจ็ดยอดเชียงใหม่ ที่รู้จักกันในภาคเหนือว่า “เมรุพระพิลก” อันเชื่อว่าเป็นที่ถวายพระเพลิงสมเด็จพระเจ้าติโลกราชแห่งล้านนาในตอนต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ และเมรุเช่นเดียวกันนี้อีกหลายแห่งในลำปาง ข้าพเจ้าเชื่อว่า การถวายพระเพลิงพระบรมศพพระมหากษัตริย์ตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้นลงมา ถึงรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองไม่มีคติทั้งความเชื่อและการสร้างพระเมรุมาศ รวมไปถึงการสร้างพระโกศขึ้นในการประดิษฐานพระศพ และการนำไปถวายพระเพลิง หลักฐานในเรื่องการสร้างพระโกศไม่มีเช่นเดียวกันกับพระเมรุมาศ คงมีแต่โลงหรือหีบพระศพที่น่าจะสร้างด้วยไม้หอมเท่านั้น การสร้างพระโกศขึ้นมาคงมาพร้อมกันกับการสร้างพระเมรุมาศนั่นเอง เป็นการเปลี่ยนแปลงประเพณีการบรรจุศพในโลงแบบนอนเหยียดยาวมาเป็นท่านั่งในแนวตั้งเพื่อให้เข้ากันกับความสูงส่งของบุคคลที่อยู่ใน วิมาน หรือปราสาท เช่น พระมหากษัตริย์และเทวดา พระยมบริเวณที่เรียกว่าลานพระเจ้าขี้เรือน ซึ่งจะเป็นพื้นที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพกษัตริย์ อันการบรรจุศพแบบแนวตั้งนี้ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จะพบเห็นแต่เพียงในประเพณีการฝังศพครั้งที่สองที่มีการนำเอากระดูกคนตายที่เนื้อหนังมังสาเปื่อยเน่าหลุดไปแล้ว มาบรรจุใน หม้อ หรือผอบ อย่างเช่นที่ทุ่งไหหินในประเทศลาว และแหล่งก่อนประวัติศาสตร์ในที่ราบสูงแอ่งโคราช เป็นต้น สมัยก่อนประวัติศาสตร์การปลงศพด้วยการเผามีน้อยมาก แต่เมื่อเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์ที่มีการนับถือพุทธศาสนาและศาสนาฮินดู-พราหมณ์แล้ว ก็เกิดประเพณีการนำเอากระดูกและอังคารที่มีการเผาแล้วไปเก็บไว้ในภาชนะที่เรียกว่า “ผอบ” ที่มีการปรุงแต่งให้มียอดฝาผอบสูงเป็นทรงปราสาทอะไรทำนองนั้น พัฒนาการของพระโกศน่าจะมาจากเรื่องผอบที่บรรจุพระอัฐิของพระมหากษัตริย์หรือกระดูกของบุคคลที่มีฐานะสูงกว่าคนธรรมดา ผอบบรรจุสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ เช่น อัฐิธาตุ หรือเครื่องประดับของกษัตริย์และคนชั้นสูง จะพบมากในสังคมฮินดูของกัมพูชาแต่สมัยเมืองพระนคร ดังเห็นได้จากรูปร่างลักษณะของเครื่องปั้น ดินเผาเคลือบของขอมที่พบในกัมพูชา และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย แต่ผอบที่บรรจุอัฐิธาตุก็เป็นของขนาดเล็กไม่ใหญ่ เช่น พระโกศที่บรรจุพระศพที่ยังไม่ได้ถวายพระเพลิง แต่ตั้งไว้ในปราสาทเพื่อทำพิธีกรรม และเก็บไว้รอเวลาถวายพระเพลิง ซึ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่ตอนต้นลงมาจนถึงรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองนั้น เมื่อมีการถวายพระเพลิงของกษัตริย์และเจ้านายแล้ว ก็จะสร้างวัดขึ้นอุทิศถวายไว้ ณ บริเวณที่ถวายพระเพลิงนั้น อย่างเช่นที่วัดพระรามและวัดวรเชษฐารามที่กล่าวมาแล้ว กรุงศรีอยุธยาแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นสมัยเวลาที่มีการนำเอาคติความเชื่อทางจักรวาลของฮินดูแบบขอมมาผสมผสานกับลัทธิความเชื่อของศาสนาพุทธเถรวาทมากกว่าสมัยใด ๆ โดยเฉพาะในเรื่องทางพระมหากษัตริย์และสถาบันกษัตริย์ ที่ได้รับอิทธิพลลัทธิเทวราชาเข้ามาทำให้เกิดการสร้างสถาปัตยกรรมและศิลปะสถาปัตยกรรมแบบขอมขึ้น จนคนไทยส่วนใหญ่ในปัจจุบันยังเชื่อว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทวราชาแบบขอมคือเป็น อวตารของพระผู้เป็นเจ้า เช่น พระวิษณุลงมาเกิดเพื่อปราบยุคเข็ญ แต่หลักฐานทางโบราณคดีที่เป็นศิลปสถาปัตยกรรมและศิลปวัฒนธรรมอื่นๆ หาได้แสดงให้เห็นว่า ขอมในสมัยเมืองพระนครไม่ได้แสดงว่ากษัตริย์ขอมทรงเป็นอวตารของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าพระวิษณุและพระศิวะ หากความเป็นเทวราชานั้นหมายเพียงการจุติของผู้ที่เป็นเทพเจ้าลงมาเกิดมากกว่า แผนผังแสดงบริเวณลานสนามไชยหน้าพระราชวังเมืองพระนคร ดังเห็นได้จากพระนามของพระมหากษัตริย์องค์สำคัญ เช่น พระเจ้าอินทรวรมันที่ ๑ ผู้สร้างนครหริหราลัย ที่มีปราสาทบากองเป็นศูนย์กลาง และสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้พระองค์หลังพระชนม์แล้ว มีรูปเคารพศิวลึงค์เป็นตัวแทนในพระนามของพระองค์หลังสวรรคตแล้วว่า “อินทเรศวร” หรือในสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ ที่มีการถวายพระนามว่า “พระนิพพานบท” (พระบาทบรมนิพพานบท-วฺรบาทบรมนิวฺวานบท) และที่สำคัญก็คือ พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ที่มีพระนามว่า “พระบรมวิษณุโลก” ที่มีการสร้างปราสาทนครวัดขึ้นมาอุทิศถวาย เป็นปราสาทที่แลเห็นชันเจนว่าสร้างถวายพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ หลังสวรรคตแล้ว เพราะเป็นปราสาทที่หันหน้าไปทางตะวันตก และตัวปราสาทเองคือรูปจำลองของพระเมรุมาศที่เป็นปราสาทห้าหลังที่เปรียบเหมือนเขาพระสุเมรุที่มีเขาสำคัญรายรอบสี่ทิศ ปราสาทนครวัดนี้มีนามแต่ครั้งนั้นว่า “วิษณุโลก” ที่สัมพันธ์กับ “กมรเตงอัญปรมวิษณุโลก” อันเป็นพระนามของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ปราสาทหลังนี้แสดงความหมายของพระราชพิธีสำคัญของลัทธิเทวราชาที่เรียกว่า “อินทราภิเษก” ที่หมายถึงพระราชพิธีราชาภิเษกพระมหากษัตริย์ที่สวรรคตแล้วคืนเข้าวิมานที่เขาพระสุเมรุ สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเป็นพระราชพิธีอินทราภิเษก ก็คือภาพแกะสลักการกวนเกษียรสมุทร บนผนังรอบปราสาทนครวัดนั่นเอง สังคมราชสำนักสยามในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้นำเอาแนวความคิดในเรื่องการสร้างปราสาทราชวังและพิธีกรรมดังกล่าวของลัทธิเทวราชาที่อยู่ในศาสนาฮินดูแบบขอมเข้ามาผสมผสานกับความเป็นพระมหากษัตริย์ในพุทธเถรวาทในกรุงศรีอยุธยาที่มีการสร้างพระราชวังใหม่ให้เป็นศูนย์กลางของราชอาณาจักรสยามที่เกิดขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ จึงสามารถพูดได้ว่า พระราชวังหลวง ปราสาท สถานที่สำคัญทางศาสนาและสถาบันกษัตริย์นั้น เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งนำเอาแนวคิด รูปแบบ และแผนผังมาจากพระราชวังหลวงเมืองพระนครอันเป็นพระราชวังที่เกิดขึ้นราวสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ ลงมา ที่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้คือ พระราชวังหลวงซึ่งอยู่ติดกันกับวัดพระศรีสรรเพชญ กับพระราชวังขอมที่ติดกับปราสาทบาปวน หรือปราสาททองของขอม ที่มีฉนวนต่อถึงกันกับพระราชวังชั้นใน พระราชพิธีอินทราภิเษกของขอมได้รับการนำมาปรุงแต่งให้เป็นพระราชพิธีอินทราภิเษกของไทยที่เน้นไปถึงการปราบดาภิเษก ที่แสดงออกโดย “พิธีกรรมชักนาคดึกดำบรรพ์” หรือกวนเกษียรสมุทร ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ การเอาชื่อปราสาทนครวัดที่เรียกว่า “วิษณุโลก” มาเป็นชื่อเมืองสองแควใหม่ที่สร้างขึ้นเมื่อครั้งสงครามกับอาณาจักรล้านนาในนามของ “พิษณุโลก” นับเป็นราชธานีทางเหนือของกรุงศรีอยุธยาที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถไปประทับเพื่อการทำสงครามและเสด็จลงมาผนวช ณ เมืองนี้ แต่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถไม่ทรงมองว่าพิษณุโลกเป็นเมืองที่เกี่ยวกับการตายอย่างของขอม แต่เป็นเมืองในทางพระพุทธศาสนาที่สะท้อนให้เห็นจากการให้นามของวังที่เสด็จออกผนวชว่า “วัดจุฬามณี” เพื่อตอกย้ำให้เห็นในคติจักรวาลของทางพุทธศาสนาที่หมายถึงยอดเขาพระสุเมรุ คือ พระมหาสถูปจุฬามณีที่พระมหากษัตริย์ไทยและลาวให้ความสำคัญ เมื่อเสด็จสวรรคตจะต้องไปไหว้พระจุฬามณีที่ยอดเขาพระสุเมรุ ความต่างกันทางจักรวาลของพุทธเถรวาทแบบไทยกับฮินดูแบบขอมก็คือ ทางไทยถือว่ายอดเขาพระสุเมรุ คือ “พระเจดีย์จุฬามณี” แต่ขอมให้ความสำคัญกับปราสาทที่เรียกว่า “ไพชยนต์ปราสาท” อันเป็นที่ประทับของพระอินทร์ในการดูแลโลก แต่แนวความคิดให้เรื่องพระสุเมรุแบบขอมนี้ได้ส่งอิทธิพลกับไทยสมัยอยุธยาอีกครั้งหนึ่งในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ผู้ทรงฟื้นฟูและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ทางศิลปวัฒนธรรมด้านศาสนาและราชสำนักแบบใหม่ๆ ขึ้นมา ทรงรับเอาความคิดทางจักรวาลแบบฮินดู และเทวราชาของขอมสมัยเมืองพระนครเข้ามาปรุงแต่งให้เป็นศิลปวัฒนธรรมไทยของยุคกรุงศรีอยุธยาตอนปลายนี้ โดยเฉพาะความคิดให้เรื่องสร้างศิลปสถาปัตยกรรมให้ได้สัดส่วนตามเรขาคณิตแบบอินเดียและขอม แผนผังบริเวณแสดงลานสนามไชยหน้าพระที่นั่งจักรวรรดิ์ไพชยนต์และบริเวณทุ่งพระเมรุกลางเมือง พระบรมมหาราชวัง กรุงศรีอยุธยา โดยเฉพาะผังพระสุเมรุที่นำมาใช้ในการสร้างพระมหาธาตุเจดีย์วัดชัยวัฒนาราม อันเป็นบริเวณที่ปลงพระศพพระราชมารดา ทำให้ผังของพระมหาธาตุเจดีย์ที่เป็นทรงพระปรางค์แบบเดียวกันกับบรรดาพระปรางค์ในสมัยอยุธยาตอนต้น ดูได้สัดส่วนทางเรขาคณิต เป็นรูปแบบพระสุเมรุมาศที่แวดล้อมไปด้วยปรางค์สี่ทิศ ซึ่งไม่เคยมีปรากฏในกรุงศรีอยุธยามาก่อน และรูปแบบพระบรมธาตุทรงพระปรางค์มีเมรุรายสี่ทิศดังกล่าวนี้ก็สืบทอดมายังพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามที่ รัชกาลที่ ๓ ทรงสร้างขึ้น ภาพสลักรูปครุฑที่ประดับลานพลับพลาโถงทรงจตุรมุข เมืองพระนครหลวง กัมพูชา แต่สิ่งที่เป็นนวัตกรรมใหม่ของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองก็คือ การสร้างพระราชพิธีที่เกี่ยวกับพระบรมศพของพระมหากษัตริย์ให้มีรูปแบบและกระบวนการที่โอ่อ่าและวิจิตรกว่าสมัยใด ๆ การตั้งพระศพบนพระจิตกาธานหมดไป แต่ก่อสร้างพระเมรุมาศที่หมายถึงเขาพระสุเมรุมาตั้งแทน เป็นรูปปราสาทที่มีเมรุรายสี่ทิศเทียบได้กับปราสาทนครวัด ต่างกันแต่เพียงปราสาทนครวัดเป็นเพียงที่ประดิษฐานพระบรมศพเพื่อการประกอบพระราชพิธีอินทราภิเษก ไม่เป็นที่ถวายพระเพลิงเฉกเช่นพระเมรุมาศของไทย อีกสิ่งหนึ่งที่ขอมเมืองพระนครไม่มีก็คือ “พระโกศ” บรรจุพระบรมศพ ขอมไม่มีพระโกศแต่มีหีบพระศพที่ทำด้วยหิน ไม่พบที่ปราสาทนครวัดแต่พบเห็นในที่อื่น เช่นที่ปราสาทบึงมาลาอันเป็นปราสาทร่วมสมัยกับนครวัด เป็นต้น พระเมรุมาศใช้เพื่อการถวายพระเพลิง แต่การตั้งพระบรมศพนั้นไปตั้งที่ “ปราสาทสุริยาศน์อัมรินทร์” อันเป็นปราสาทจตุรมุขที่สร้างขึ้นภายในกำแพงพระราชวังชั้นนอก ไม่ได้อยู่ในพระราชวังชั้นที่ ๒ เหมือนกับ “พระที่นั่งสรรเพชญ” และ “พระที่นั่งวิหารสมเด็จ” อันเป็นพระที่นั่งเพื่อออกว่าราชการ รับแขกเมืองและพระราชพิธีสำคัญต่าง ของราชอาณาจักร แต่พระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์นั้น สร้างเพื่อการตั้งพระบรมศพเป็นสำคัญ เพื่อให้คนทั้งภายนอกและภายในเข้าถวายบังคมพระบรมศพได้ทั่วถึงกัน และเป็นสถานที่ซึ่งสัมพันธ์กับการอัญเชิญพระบรมศพออกมาตั้งขบวนแห่มาตามสนามไชยภายในกำแพงพระราชวังชั้นแรก จากพระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์มาทางตะวันออกผ่านปราสาทตรีมุขที่อยู่บนกำแพงพระราชวังชั้นที่ ๒ ชื่อ “พระที่นั่งจักรวรรดิ์ไพชยนต์” เป็นพระที่นั่งโถงที่ประทับของพระมหากษัตริย์ในพระราชพิธีสนามตามฤดูกาลต่าง ๆ แต่ในงานถวายพระเพลิงนั้นพระมหากษัตริย์เสด็จออกเป็นประธาน เมื่อริ้วขบวนพระบรมศพเคลื่อนผ่านหน้าพระที่นั่งออกยังประตูพระราชวังทางทิศตะวันออกสู่พื้นที่ซึ่งกำหนดให้เป็น “ทุ่งพระเมรุ” ยังบริเวณซึ่งกำหนดให้เป็นพื้นที่เพื่อการถวายพระเพลิงโดยเฉพาะ ภาพปูนปั้นรูปครุฑที่ประดับฐานพระที่นั่งจักรวรรดิไพชยนต์ของพระราชวังกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแบบแผนที่รับมาจากเมืองพระนครหลวง การมีท้องสนามไชยและประเพณีการเชิญพระบรมศพผ่านพระที่นั่งโถงที่พระมหากษัตริย์ประทับทอดพระเนตรนั้น มีรูปแบบอยู่แล้วที่พระราชวังเมืองพระนคร ที่แลเห็นจากปราสาทจัตุรมุข โถงหน้าพระราชวังที่ตั้งอยู่บนฐานยกพื้นเหนือบริเวณสนามไชย ปราสาทตั้งอยู่ตรงกลาง ทางปีกขวาของฐานมีภาพสลักช้างเป็นช่อง ๆ ไป บริเวณนี้คงเป็นที่รับแขกเมืองที่มาร่วมพระราชพิธี ในขณะที่ทางปีกซ้ายเป็นฐานยาวที่ตอนปลายฐานมีร่องรอยของฐานจิตกาธาน แต่สิ่งที่บ่งได้ว่าน่าจะเป็นตำแหน่งที่ถวายพระเพลิงพระมหากษัตริย์ ก็คือการมีรูปปั้นศิลาของพระยมในลักษณะที่เปลือยเปล่านั่งอยู่ ในคติทางฮินดูพระยมคือพระธรรมราชาผู้ที่จะมานำพระวิญญาณของกษัตริย์ไปสรวงสวรรค์ ขอมเมืองพระนครไม่มีการสร้างพระเมรุมาศเพื่อถวายพระเพลิงแน่นอน แต่ขบวนการแห่พระบรมศพจากปราสาทที่ตั้งพระศพคือสิ่งที่ทางไทยได้รับความคิดมา คือมีขบวนแห่พระบรมศพผ่านหน้าพระที่นั่งจตุรมุขจากทางปีกขวาของฐานยกพื้น อันเป็นที่ชุมนุมของแขกเมือง เจ้านายและขุนนางผ่านพระที่นั่งจตุรมุขไปทางปีกซ้ายของฐานยกพื้นที่เป็นที่ประกอบพระราชพิธีถวายพระเพลิงบนฐานจิตกาธานที่มีรูปปั้นพระยมเป็นสัญลักษณ์ เทวปฎิมากรรมรูปนี้คือสิ่งที่คนทั่วไปเรียกว่า “พระเจ้าขี้เรื้อน” แต่สิ่งที่ยืนยันได้เห็นได้ว่าสมเด็จพระเจ้าปราสาททองเอาแนวคิด และรูปแบบการมีขบวนแห่พระบรมศพผ่านหน้าพระที่นั่งจตุรมุข ก็คือภาพสลักรูปครุฑที่ประดับรอบฐานที่พบเห็นเช่นเดียวกันที่ปราสาทพระที่นั่งจักรวรรดิไพชยนต์ของพระราชวังกรุงศรีอยุธยา เมื่อมาถึงท้ายสุดนี้ใคร่สรุปว่า พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพที่แลเห็นในกรุงรัตนโกสินทร์ทุกวันนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลายคือราวรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองและสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยได้อิทธิพลความคิดทางด้านจักรวาลที่มีเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลางจากปราสาทนครวัด หรือวิษณุโลกของขอม แต่ขอมไม่มีการตั้งพระเมรุมาศ รวมทั้งไม่มีพระโกศบรรจุพระบรมศพ ทั้ง ๒ อย่างนี้จึงเป็นนวัตกรรมของไทยโดยเฉพาะ เป็นสัญลักษณ์และเกียรติภูมิของพระมหากษัตริย์ไทยที่ได้รับการรักษาอนุรักษ์และต่อเนื่องมาจนสมัยปัจจุบัน ปีกขวาของฐานพระที่นั่งโถงของพลับพลาฐานจตุรมุขแกะสลักภาพช้าง ซึ่งพระที่นั่งจักรวรรดิ์ไพชยนต์รับมาในรูปแบบเดียวกัน ในทางสังคมและวัฒนธรรมทั้งพระเมรุมาศและพระโกศคือสัญลักษณ์ของความสูงต่ำทางบรรดาศักดิ์ของสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำที่เป็นค่านิยมเรื่อยมาจนปัจจุบัน เพราะหาได้หมดสิ้นไปกับการหมดไปของสังคมศักดินาสมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่ ในสังคมสมัยใหม่ที่มีชนชั้นกลางมากมายนั้น ทุกคนต้องการเผาศพตนเองอย่างมีเกียรติ จึงเกิดการสร้างเมรุหรือพระเมรุมาศเผาศพแทนการเผาที่เชิงตะกอนตามป่าช้าของวัดกันไปทุกแห่งทุกวัด จนเมรุเผาศพกลายเป็นจุดเด่นจุดสูงของวัดแทนหลังคาโบสถ์ และพระสถูปเจดีย์กัน เมรุเผาศพจึงกลายเป็นนวัตกรรมใหม่ของวัดไทยหลังยุคสังคมศักดินา ในส่วนโกศนั้นยังไม่แพร่หลายทั่วไป ยังคงสงวนไว้สำหรับเจ้านายและขุนนางข้าราชการที่ได้สายสะพาย โดยเฉพาะบรรดาขุนนางพ่อค้าที่เป็นนักธุรกิจมั่งคั่ง และนักการเมือง อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- จากประวัติศาสตร์ท้องถิ่นสู่ประวัติศาสตร์แบบท้องถิ่นนิยม
เผยแพร่ครั้งแรก 15 ธ.ค. 2560 คนเมืองแพร่กำลังอยู่ในสังคมที่เปลี่ยนแปลงซึ่งโหยหาอัตลักษณ์และการถวิลหาอดีต อันเป็นส่วนหนึ่งของกระแสท้องถิ่นนิยม [Localism] ในภูมิภาคต่าง ๆ โดยเฉพาะในภาคเหนือทุกวันนี้ เมื่อพบว่าอดีตของพวกตนและเจ้าหลวงเมืองแพร่ถูกมองว่ามีความบกพร่องทางการเมืองในรัฐที่กำลังเปลี่ยนแปลงหัวเมืองประเทศราชให้กลายเป็นเพียงเมืองแห่งหนึ่ง ในสภาพสังคมของรัฐมีเป็นราชอาณาจักรเพียงหนึ่งเดียว คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่ปัจจุบัน ซึ่งถูกรัฐสยามยึดและกลายเป็นจวนหรือบ้านพักผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ อยู่ในความดูแลของกระทรวงมหาดไทยเป็นสถานที่ราชการ ความเป็นท้องถิ่นนิยมหรือชุมชนนิยมในที่นี้ไม่ได้หมายตามคำนิยามของนักวิชาการที่ศึกษาเรื่องข้ามรัฐข้ามท้องถิ่นไปด้วยเสียทั้งหมด เพราะการกล่าวโดยสรุปว่ากระแสท้องถิ่นนิยมนั้นก็เหมือนกับกระแสชาตินิยมแต่เพียงย่อยให้มีขนาดเล็กลงมาและอาจทำให้เกิดผลร้าย เช่น การคลั่งท้องถิ่นหรือการใช้ความรุนแรงจัดการกับผู้ที่ตนไม่เห็นชอบด้วยได้ หากความเป็น “ท้องถิ่นนิยม” และกระบวนการที่เป็นการศึกษาชุมชนเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน สามารถเปลี่ยนมุมมองเพื่อสร้างความปรองดองในสังคม วัฒนธรรม สภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ การเมืองได้เช่นกัน ผู้คนจำนวนมากที่มีสังคมวัฒนธรรมอันหลากหลายและแตกต่างกันจึงพยายามสร้าง เอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์ [Ethnic Identity] ขึ้นมาใหม่ ท่ามกลางสังคมประเทศไทยที่เน้นศูนย์รวมความเป็นเชื้อชาติ “ไทย” เน้นวัฒนธรรมแบบศูนย์กลาง และการปกครองที่รวมศูนย์ ซึ่งไม่เปิดโอกาสให้ความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์และวัฒนธรรมในท้องถิ่นเติบโตและพัฒนาไปในแนวทางที่อยู่บนพื้นฐานดั้งเดิมของตนเองอย่างที่ควรจะเป็น ความสัมพันธ์ระหว่างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ในเมืองแพร่และความเป็นคนไทยที่รัฐส่วนกลางพยายามสร้างขึ้น ลักษณะเช่นนี้อยู่ในภาวะ ชาติพันธุ์สัมพันธ์ [Ethnicity] ซึ่งเป็นนิยามที่อธิบายลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ในยุคสมัยที่เกิดระบบรัฐสมัยใหม่หรือรัฐชาติ [Modern state/Nation state] แล้ว โดยเฉพาะหลังช่วงยุคที่ตะวันตกแสวงหาอาณานิคม ในขณะที่มีการพัฒนาระบบการค้าและระบบทุนแพร่กระจายไปทั่วโลก ในลักษณะที่เป็นโลกาภิวัตน์ที่มาพร้อมกับอำนาจทางการเมืองที่ต้องการแสวงหาทุนและกำไรในทางการค้าในสมัยยุคอาณานิคม การเข้าไปเป็นเจ้าอาณานิคมก็ทำให้เกิดความชัดเจนของพรมแดนมากขึ้นตามลำดับ เกิดการแบ่งแยกพื้นที่ของรัฐที่แน่นอนมากขึ้นจนกลายเป็นประเทศต่าง ๆ ในยุคปัจจุบัน รัฐสมัยใหม่โดยทั่วไปมักจะใช้อำนาจความชอบธรรมอ้างความเป็นตัวแทนของความเป็นชาติ โดยรวมเอาประชาชนที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เข้ามารวมอยู่ด้วยกัน แต่กลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้ต้องการอยู่ด้วยกันบนพื้นฐานของความเท่าเทียม หรือไม่ก็หาหนทางเพื่อเป็นตัวของตัวเองหรือปกครองตนเอง บางครั้งก็เป็นการเรียกร้องเพื่อแบ่งแยกทางการเมืองเพื่อแยกออกมาเป็นรัฐชาติอิสระของตน ภายใต้สภาพเช่นนี้ กลุ่มทางชาติพันธุ์ [Ethnic group] จึงก่อตัวขึ้นโดยผู้คนซึ่งอ้างหรือแสดงอัตลักษณ์ความเป็นกลุ่มคนชาติหนึ่ง แต่ต้องอาศัยอยู่ในรัฐชาติอื่นนั่นเอง แม้ประเทศไทยจะได้ชื่อว่าไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของผู้ใด และไม่เคยตระหนักในเรื่องการแสวงหาอัตลักษณ์ของชาติหรือกลุ่มชาติพันธุ์ในทางวัฒนธรรม ภาษา ศาสนา หรือการเมือง คุณค่าทางวัฒนธรรมต่าง ๆ ซึ่งมีลักษณะของการต่อต้านกลุ่มเจ้าอาณานิคม ทำให้ไม่คุ้นเคยหรือพยายามศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์หรือ Ethnicity นัก แต่ในทางตรงกันข้าม วัฒนธรรมไทยซึ่งเป็นอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของกลุ่มการเมืองผู้ปกครองจากส่วนกลางก็เข้าไปครอบงำ และมีอิทธิพลทางการเมืองและเศรษฐกิจต่อกลุ่มชาติพันธุ์หรือกลุ่มวัฒนธรรมย่อยในภูมิภาคต่างๆ ซึ่งก็เป็นการใช้อำนาจเข้าไปครอบครองในหัวเมืองประเทศราชและหัวเมืองชั้นนอกต่าง ๆ ในอดีตจนสามารถเรียกได้ว่าเป็นกรณีของการเป็น อาณานิคมภายใน ซึ่งทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ย่อยในท้องถิ่นต่าง ๆ นั้นรู้สึกต่อต้านและเรียกร้องความเท่าเทียมทั้งทางการเมืองและวัฒนธรรม แม้ในปัจจุบัน ความแตกต่างและการเรียกร้องเพื่อขอความเสมอภาคในภูมิภาคต่าง ๆ เช่นทางเหนือและอีสานจะถูกบูรณาการจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐชาติไทยไปอย่างไม่มีปัญหาเท่ากับในระยะเริ่มแรกนัก แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคใต้ก็คงพอมองเห็นได้ว่า ความแตกต่างของกลุ่มชาติพันธุ์และความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ [Ethnicity] ที่ไม่เท่าเทียมกันนั้นนำไปสู่ปัญหาความรุนแรงได้เช่นไร การมีมุมมองจากผู้ปกครองถูกนำไปอธิบายถึงประวัติศาสตร์เมืองแพร่เพียงมุมมองเดียวทำให้เกิดการต่อต้าน ปฏิกิริยานี้ก่อรูปมากขึ้นตามลำดับและส่งผลกระทบต่อสังคมเมืองแพร่ที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน แม้จะมีการบูรณาการจากรัฐไทยทางสังคมวัฒนธรรม การศึกษา และการเมืองมาโดยตลอดเวลาในช่วงร้อยปีที่ผ่านมาก็ตาม คนเมืองแพร่กำลังอยู่ในสังคมที่เปลี่ยนแปลงซึ่งโหยหาอัตลักษณ์และการถวิลหาอดีต อันเป็นส่วนหนึ่งของกระแส ท้องถิ่นนิยม [Localism] ในภูมิภาคต่าง ๆ โดยเฉพาะในภาคเหนือทุกวันนี้ เมื่อพบว่าอดีตของพวกตนและเจ้าหลวงเมืองแพร่ถูกมองว่ามีความบกพร่องทางการเมืองในรัฐที่กำลังเปลี่ยนแปลงหัวเมืองประเทศราชให้กลายเป็นเพียงเมืองแห่งหนึ่ง ในสภาพสังคมของรัฐมีเป็นราชอาณาจักรเพียงหนึ่งเดียว ความเป็นท้องถิ่นนิยมหรือชุมชนนิยมในที่นี้ไม่ได้หมายตามคำนิยามของนักวิชาการที่ศึกษาเรื่องข้ามรัฐข้ามท้องถิ่นไปด้วยเสียทั้งหมด เพราะการกล่าวโดยสรุปว่ากระแสท้องถิ่นนิยมนั้นก็เหมือนกับกระแสชาตินิยมแต่เพียงย่อยให้มีขนาดเล็กลงมาและอาจทำให้เกิดผลร้าย เช่น การคลั่งท้องถิ่นหรือการใช้ความรุนแรงจัดการกับผู้ที่ตนไม่เห็นชอบด้วยได้ หากความเป็น “ท้องถิ่นนิยม” และกระบวนการที่เป็นการศึกษาชุมชนเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน สามารถเปลี่ยนมุมมองเพื่อสร้างความปรองดองในสังคม วัฒนธรรม สภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ การเมืองได้เช่นกัน ผู้คนจำนวนมากที่มีสังคมวัฒนธรรมอันหลากหลายและแตกต่างกันจึงพยายามสร้างเอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์ [Ethnic Identity] ขึ้นมาใหม่ ท่ามกลางสังคมประเทศไทยที่เน้นศูนย์รวมความเป็นเชื้อชาติ “ไทย” เน้นวัฒนธรรมแบบศูนย์กลาง และการปกครองที่รวมศูนย์ ซึ่งไม่เปิดโอกาสให้ความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์และวัฒนธรรมในท้องถิ่นเติบโตและพัฒนาไปในแนวทางที่อยู่บนพื้นฐานดั้งเดิมของตนเองอย่างที่ควรจะเป็น ความสัมพันธ์ระหว่างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ในเมืองแพร่และความเป็นคนไทยที่รัฐส่วนกลางพยายามสร้างขึ้น ลักษณะเช่นนี้อยู่ในภาวะ ชาติพันธุ์สัมพันธ์ [Ethnicity] ซึ่งเป็นนิยามที่อธิบายลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ในยุคสมัยที่เกิดระบบรัฐสมัยใหม่หรือรัฐชาติ [Modern state/Nation state] แล้ว โดยเฉพาะหลังช่วงยุคที่ตะวันตกแสวงหาอาณานิคม ในขณะที่มีการพัฒนาระบบการค้าและระบบทุนแพร่กระจายไปทั่วโลก ในลักษณะที่เป็นโลกาภิวัตน์ที่มาพร้อมกับอำนาจทางการเมืองที่ต้องการแสวงหาทุนและกำไรในทางการค้าในสมัยยุคอาณานิคม การเข้าไปเป็นเจ้าอาณานิคมก็ทำให้เกิดความชัดเจนของพรมแดนมากขึ้นตามลำดับ เกิดการแบ่งแยกพื้นที่ของรัฐที่แน่นอนมากขึ้นจนกลายเป็นประเทศต่าง ๆ ในยุคปัจจุบัน รัฐสมัยใหม่โดยทั่วไปมักจะใช้อำนาจความชอบธรรมอ้างความเป็นตัวแทนของความเป็นชาติ โดยรวมเอาประชาชนที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เข้ามารวมอยู่ด้วยกัน แต่กลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้ต้องการอยู่ด้วยกันบนพื้นฐานของความเท่าเทียม หรือไม่ก็หาหนทางเพื่อเป็นตัวของตัวเองหรือปกครองตนเอง บางครั้งก็เป็นการเรียกร้องเพื่อแบ่งแยกทางการเมืองเพื่อแยกออกมาเป็นรัฐชาติอิสระของตน ภายใต้สภาพเช่นนี้ กลุ่มทางชาติพันธุ์ [Ethnic group] จึงก่อตัวขึ้นโดยผู้คนซึ่งอ้างหรือแสดงอัตลักษณ์ความเป็นกลุ่มคนชาติหนึ่ง แต่ต้องอาศัยอยู่ในรัฐชาติอื่นนั่นเอง แม้ประเทศไทยจะได้ชื่อว่าไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของผู้ใด และไม่เคยตระหนักในเรื่องการแสวงหาอัตลักษณ์ของชาติหรือกลุ่มชาติพันธุ์ในทางวัฒนธรรม ภาษา ศาสนา หรือการเมือง คุณค่าทางวัฒนธรรมต่าง ๆ ซึ่งมีลักษณะของการต่อต้านกลุ่มเจ้าอาณานิคม ทำให้ไม่คุ้นเคยหรือพยายามศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์หรือ Ethnicity นัก แต่ในทางตรงกันข้าม วัฒนธรรมไทยซึ่งเป็นอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของกลุ่มการเมืองผู้ปกครองจากส่วนกลางก็เข้าไปครอบงำ และมีอิทธิพลทางการเมืองและเศรษฐกิจต่อกลุ่มชาติพันธุ์หรือกลุ่มวัฒนธรรมย่อยในภูมิภาคต่างๆ ซึ่งก็เป็นการใช้อำนาจเข้าไปครอบครองในหัวเมืองประเทศราชและหัวเมืองชั้นนอกต่าง ๆ ในอดีตจนสามารถเรียกได้ว่าเป็นกรณีของการเป็น อาณานิคมภายใน ซึ่งทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ย่อยในท้องถิ่นต่าง ๆ นั้นรู้สึกต่อต้านและเรียกร้องความเท่าเทียมทั้งทางการเมืองและวัฒนธรรม แม้ในปัจจุบัน ความแตกต่างและการเรียกร้องเพื่อขอความเสมอภาคในภูมิภาคต่าง ๆ เช่นทางเหนือและอีสานจะถูกบูรณาการจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐชาติไทยไปอย่างไม่มีปัญหาเท่ากับในระยะเริ่มแรกนัก แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคใต้ก็คงพอมองเห็นได้ว่า ความแตกต่างของกลุ่มชาติพันธุ์และความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ [Ethnicity] ที่ไม่เท่าเทียมกันนั้นนำไปสู่ปัญหาความรุนแรงได้เช่นไร การมีมุมมองจากผู้ปกครองถูกนำไปอธิบายถึงประวัติศาสตร์เมืองแพร่เพียงมุมมองเดียวทำให้เกิดการต่อต้าน ปฏิกิริยานี้ก่อรูปมากขึ้นตามลำดับและส่งผลกระทบต่อสังคมเมืองแพร่ที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน แม้จะมีการบูรณาการจากรัฐไทยทางสังคมวัฒนธรรม การศึกษา และการเมืองมาโดยตลอดเวลาในช่วงร้อยปีที่ผ่านมาก็ตาม เจ้าพิริยะเทพวงศ์ฯ ผู้นิราศเมืองแพร่ท่ามกลางทหารกองเกียรติยศ โดย เสรี ชมภูมิ่ง “....ชาวเมืองแพร่จำนวนมากเชื่อว่าเจ้าหลวงพิริยะฯ เป็นกบฏจริง แต่ไม่ได้หลบหนีออกจากเมืองแพร่แต่อย่างใด การจากไปของท่านเป็นไปอย่างสมพระเกียรติ มีขบวนนำส่งจนพ้นเขตจังหวัดแพร่ เรื่องราวเหล่านี้เป็นการบอกเล่าของผู้ที่น่าเชื่อถือได้เท่านั้น เช่น แม่เจ้าพลอยเก้า อุตรพงษ์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลาวสาว แท้ ๆ ของเจ้าหลวงพิริยะฯ แม่เจ้าพลอยแก้วเป็นลูกสาวของเจ้ากาบคำ ธิดาคนหนึ่งของเจ้าหลวง เจ้ากาบคำเป็นน้องสาวเจ้าอินทรแปลง บิดาของยาขอบ หรือ โชติ แพร่พันธ์ สมัยที่เงี้ยวปล้น แม่เจ้าพลอยแก้วก็เริ่มเข้าสู่วัยรุ่นแล้ว รู้เห็นเหตุการณ์เป็นอย่างดี ว่าพวกเจ้าหลวงคงจะร่วมมือกับพวกเงี้ยวแน่นอน เพราะคืนก่อนที่เงี้ยวจะเข้าปล้นเมืองนั้น เจ้าหลวงได้ให้คนไปรับท่านจากจวนของพระยาไชยบูรณ์ให้กลับไปที่คุ้ม เพราะพระยาไชยบูรณ์และคุณหญิงมักจะขอเจ้าพลอยแก้วไปค้างคืนอยู่ด้วยที่คุ้มเป็นประจำ พอรุ่งเช้าเหตุการณ์จลาจลก็เกิดขึ้น จากนั้นทางกรุงเทพฯ ก็ได้ส่งพระยาสุรศักดิ์มนตรีเข้ามาปราบพวกเงี้ยวแล้วจับพวกที่สมรู้ร่วมคิดไปยิงเป้า แต่เจ้าหลวงก็ไม่ยอมหนีไป สุดท้ายจึงใช้วิธีเชิญออกจากเมือง ผู้เล่าท่านที่สอง คือ พ่ออ่อง เล่าว่าพ่อของท่านเป็นทหารสังกัดกองทัพเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีที่ยกทัพมาปราบกบฏเงี้ยว ต่อมาก็ได้ภรรยาที่บ้านมหาโพธิ์และก็มีพ่ออ่องขึ้นมา แม่ของพ่ออ่องก็ได้เล่าให้พ่ออ่องฟังว่า การหลบหนีของเจ้าเมืองแพร่นั้นไม่เป็นความจริงอย่างที่ใคร ๆ เชื่อกัน วันที่เจ้าหลวงเสด็จออกจากเมืองแพร่นั้น แม่ของพ่ออ่องได้ตามไปดูด้วย ท่านเล่าว่าเจ้าหลวงได้เดินคู่กับเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีออกไป และได้รับการเคารพจากกองทหารด้วย ท่านที่สามเป็นลูกชายคนโตของขุนอนุกูลราชกิจ คือ นายวงศ์ ชมภูมิ่ง ขุนอนุกูลราชกิจซึ่งเป็นพ่อของท่านเล่าให้ฟังว่า ในขณะนั้นบรรดาเจ้าหลวงหรือเจ้าผู้ครองเมืองทางเหนือกำลังถูกลิดรอนสิทธิ์ต่าง ๆ จากทางรัฐบาลจนเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมาก ซึ่งเจ้าหลวงเมืองแพร่นั้นดูจะออกหน้ากว่าเพื่อน อาจจะเป็นเพราะเจ้าหลวงมีสายสัมพันธ์เกี่ยวข้องเป็นญาติวงศ์กับเจ้าฟ้าเชียงตุง พวกเงี้ยวหรือไทใหญ่ที่เข้ามาก่อการจลาจลในครั้งนั้นก็คิดว่าน่าจะมาจากเชียงตุงที่ได้เข้ามาอยู่ในเมืองแพร่ก่อนแล้วในการอุปถัมภ์ของเจ้าหลวง โดยได้ตั้งเป็นกองตระเวน ทำเป็นขุดหาพลอยอยู่ที่บ่อแก้ว ซึ่งปัจจุบันอยู่ในท้องที่อำเภอเด่นชัย สาเหตุการเกิดกบฏขึ้นน่าจะมาจากรัฐได้สั่งให้พระยาไชยบูรณ์ซึ่งเป็นข้าหลวงเร่งรัดเก็บภาษีจากราษฎรที่บรรลุนิติภาวะแล้ว คนละ ๔ บาทต่อปี ซึ่งในขณะนั้นคงเป็นเงินจำนวนไม่น้อย เจ้าหลวงได้พบและเจรจากับพระยาไชยบูรณ์ ขอให้ขยายเวลาไปอีกระยะหนึ่ง เพราะขณะนั้นเศรษฐกิจเมืองแพร่ไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ได้รับการปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงจากข้าหลวง จึงเกิดการกบฏขึ้น ซึ่งต่อมาพระยาสุรศักดิ์มนตรีก็ถูกส่งมาจากกรุงเทพฯ เพื่อทำการปราบปราม แต่ท่านก็ได้วางแผนให้เจ้าหลวงหลบหนีไปจากเมืองแพร่เพื่อให้พ้นอาญาแผ่นดิน ที่ท่านทำเช่นนี้มีบางท่านอธิบายไว้ว่า น่าจะเป็นเพราะนโยบายจากทางรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจากกรุงเทพฯ ที่คงเกรงว่าถ้าต้องเอาโทษกับเจ้าหลวง อาจจะเกิดการกระทบกระเทือน และเกิดการแทรกแซงจากต่างชาติ ที่จ้องจะเข้ามาหาผลประโยชน์ ถึงกระนั้นเจ้าหลวงก็ไม่ได้หลบหนีไปแต่อย่างใด จนสุดท้ายพระยาสุรศักดิ์มนตรีต้องยอมเจรจาให้เจ้าหลวงออกไปจากเมือง และจัดให้ไปอย่างสมเกียรติ ซึ่งก็ได้มีผู้เล่าอีกว่า เรื่องนี้น่าจะเป็นความลับ จึงไม่มีหนังสือเล่มไหนหรือมีใครบันทึกอะไรไว้เลย” ต่อมาเมื่อกลุ่มลูกหลานเมืองแพร่จัดกิจกรรมโครงการศึกษาอย่างมีส่วนร่วมเพื่อสร้างเสริมสุขภาพชุมชนในเขตกำแพงเมืองแพร่เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๖ ซึ่งในงานนี้เป็นการประกาศอย่างชัดเจนว่า มีคนกลุ่มหนึ่งในเมืองแพร่เชื่อว่าเจ้าหลวงพิริยะเทพวงศ์ฯ ไม่ได้เป็นกบฏ โดยนายรัตน์ วังซ้าย ซึ่งเป็นลูกหลานของเชื้อสายเจ้านายเมืองแพร่คนหนึ่ง เมื่อลุงรัตน์เสนอเรื่องราวของเจ้าหลวงจากประสบการบอกเล่าโดยตรงจากคนรุ่นนั้น จึงมีคนเชื่อถือจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่เป็นลูกหลานของเจ้าหลวง และบทความเรื่อง “เจ้าหลวงไม่ได้เป็นกบฏ” ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ก็กลายเป็นบทความที่ถูกคัดลอกต่อ ๆ กัน และเป็นเอกสารยืนยันอย่างเป็นทางการในการสัมภาษณ์นายรัตน์ วังซ้าย ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว ได้กล่าวว่าเมื่ออายุประมาณ ๓๐ ปีเศษ เจ้าแสงแก้ว มารดาได้บอกความลับนี้เมื่ออายุ ๗๗ ย่าง ๗๘ ปี และห้ามว่าอย่าบอกใคร เพราะกลัวจะโดนอาถรรพณ์เหมือนพ่อ แต่ท่านกลัวเรื่องนี้จะตายไปกับตัว เจ้าพิริยเทพวงศ์ เจ้านครแพร่ เจ้าหลวงแพร่ไม่ได้เป็นกบฏ (ยุวดี มณีกุล, กรุงเทพธุรกิจ, ๓ เมษายน ๒๕๔๖.) ชายชราวัย ๗๘ ปี ผู้คงบุคลิกกระฉับกระเฉงและมีความทรงจำแจ่มชัด นั่งอยู่เบื้องหน้าคนกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง ซึ่งแกเชื่อเหลือเกินว่าคนเหล่านี้ 'ถูกเลือก'ให้เป็นผู้เปิดเผยความลับสำคัญของตระกูล และเป็นความลับสำคัญของแผ่นดิน ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นความลับที่คุณลุงรัตน์ วังซ้าย ทายาทคนสุดท้องในบรรดา ๑๒ คนของเจ้าน้อยหมวก (บุตรของเจ้าวังซ้าย) และเจ้าแสงแก้ว เก็บงำมาตลอดเพราะหวั่นอาถรรพณ์น้ำสาบานที่พระมหากษัตริย์รับสั่งให้ผู้รู้ความดื่มร่วมกัน สยามประเทศยุคนั้นมีผู้ร่วมดื่มน้ำสาบานและรู้ความลับนี้เพียง ๘ คน ยังสัญญาใจที่มารดากำชับไม่ให้บอกใคร จนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม แม้แกไม่ใช่ผู้ร่วมดื่มน้ำสาบานโดยตรง แต่อาถรรพณ์ที่เกิดกับบุพการีเป็นประจักษ์ อย่างไรก็ตามในวัยขนาดนี้แกไม่กลัวความตายอีกแล้ว ๒๔ มีนาคม ๒๕๔๖ คือเวลาเหมาะสมที่ชายชราเมืองแพร่ตัดสินใจเผยความลับนั้น ก่อนที่สังขารจะพรากความทรงจำไป "เจ้าหลวงเมืองแพร่ไม่ได้เป็นกบฏ" "ท่านเป็นคนทันสมัย ท่านอยากพัฒนาเมืองแพร่ให้เจริญ ตอนแรกท่านไม่รู้หนังสือภาษาไทย เขียนได้แต่ภาษาพื้นเมือง แต่ท่านคุ้นเคยใกล้ชิดกับสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ท่านก็พาเจ้าหลวงไปเรียนภาษาไทยที่พระนคร เรียนรู้ระบบการปกครองแบบใหม่จนท่านเห็นดีงาม สมัยนั้นรัชกาลที่ ๕ เริ่มเปลี่ยนการปกครองเป็นแบบเทศาภิบาล เลิกระบบเจ้าหลวง มีแต่ข้าหลวงไปทำงาน เจ้าหลวงท่านเต็มใจทำตามรับสั่งนี้ ยอมสละยศตำแหน่งทุกอย่างเพื่อความเจริญของบ้านเมือง" "เรื่องกบฏเงี้ยวเกิดเพราะอังกฤษกับฝรั่งเศสต้องการเฉือนแผ่นดินสยาม อังกฤษเฉือนภาคใต้กับอีสาน แล้วสมคบจะมาเอาทางเหนือจากเชียงรายไปสุดเขตแดนพม่า ภาคอีสานก็ข้ามโขงมาสมคบตั้งกองบัญชาการที่หลวงพระบาง สองชาตินี้หาเรื่อง ใช้วิธีหมาป่ากับลูกแกะ" "หลังเจ้าหลวงตัดสินใจเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัชกาลที่ ๕ ก็ส่งเจ้าหน้าที่จากบางกอก คือพระยาไชยบูรณ์ ในนามข้าหลวงประจำจังหวัดมาฝึกงานให้ แล้วในปีหนึ่ง ๆ จะมีการตรวจเงินแผ่นดิน วันหนึ่งปรากฏว่าเขาเปิดประตูเซฟบนศาลากลางจังหวัดปรากฏว่าเงินขาดไป ๕๕,๐๐๐ บาท คนตรวจก็สั่งอายัดตัวเจ้าหลวงไปขัง เป็นเหตุให้อังกฤษเห็นเป็นช่องทางจะมาบังคับเรา ตอนหลังลูกหลานก็หาเงินมาใช้ให้ เจ้าหลวงจึงถูกปล่อยตัว คนแพร่โกรธกันมากเพราะเป็นการลงโทษโดยไม่ฟังความใด ๆ" "อังกฤษเอาปมนี้เป็นเหตุทำให้คนแตกสามัคคี เพราะคนเมืองแพร่ทั้งหมดเกลียดคนกรุงเทพฯ อังกฤษส่งเงี้ยวชื่อพะกาหม่องมาเกลี้ยกล่อมเจ้าหลวงว่าท่านโดนรังแก อังกฤษจะช่วยยึดแผ่นดินคืนให้ จะให้เงี้ยวมาก่อการกบฏ สมัยนั้นเงี้ยวอยู่ในความปกครองของอังกฤษ เพราะเป็นลูกจ้างทำไม้ให้ มีการตกลงกันว่าจะไม่ให้เจ้าหลวงเดือดร้อน เสบียง อาวุธ จะหามาเองทั้งหมด แผนของอังกฤษคือจะให้เราฆ่าเงี้ยวแล้วเรียกค่าเสียหาย" "แต่เจ้าหลวงรายงานให้รัชกาลที่ 5 ทรงทราบ ท่านก็เรียกเจ้าหลวงไปพบ แล้วท่านก็สั่งเจ้าหลวงให้ยอมรับเงื่อนไขของอังกฤษ เป็นแผนซ้อนแผน บอกให้เจ้าหลวงยอมเป็นกบฏ เพื่อที่จะเป็นข้ออ้างปราบเงี้ยว เพราะถ้าไม่ยอมรับเป็นกบฏก็ไม่มีเหตุปราบ" "พอตกลงกันดีแล้ว เจ้าหลวงกลับมาบอกอังกฤษขอเวลาสามเดือน อ้างว่าจะต้องตรวจสอบกำลัง ที่จริงก็เพื่อในหลวงจะได้เตรียมจัดกำลังสำรอง" "ข้อตกลงร่วมกันในการก่อกบฏ อังกฤษมีข้อแม้ว่าจะไม่ทำอันตรายชีวิตและทรัพย์สินของคนเมือง จะทำเฉพาะคนไทยจากเมืองใต้ เจ้าหลวงเสนอกลับไปว่าตกลง แต่เพิ่มอีกข้อว่าห้ามฆ่าผู้หญิงกับเด็กไทยที่มาฝึกงาน ห้ามฆ่าตำรวจ ก่อนเงี้ยวปล้น คืนนั้นไม่ได้นอนกันทั้งคืนเพราะเตรียมรับมือ เจ้าหลวงก็วางแผนจัดกำลังไปซ่อนในป่า แล้วรัชกาลที่ ๕ ท่านบอกให้จัดคนที่ไว้ใจได้ประมาณ ๕-๖ คนมาร่วมงาน ให้ปิดเป็นความลับ หากความลับรั่วไหล เหตุจะอ้างว่าปราบเงี้ยวเพราะเป็นกบฏจะไม่เป็นผล" "เจ้าหลวงท่านรับเป็นกบฏ แต่รัชกาลที่ ๕ ไม่ค่อยไว้ใจ ท่านให้เจ้าหลวงดื่มน้ำสาบานว่าไม่คิดคดทรยศ และให้นำน้ำสาบานนี้ติดตัวมาเมืองแพร่ด้วย ให้ทุกคนที่รู้เรื่องร่วมดื่ม แล้วกำชับว่าถ้าหากคนเหล่านี้ถูกจับไปข่มขู่ถึงตายก็ให้ยอมตาย ถ้าไม่ทำตามนี้หรือไปบอกใคร ขอให้ตายด้วยคมหอกคมดาบ คมเขี้ยวคมงา" "เจ้าหลวงรับคำมาปรึกษากับเจ้าราชบุตร หรือบุตรเขยของท่าน ตกลงกันว่าจะเอาเจ้าวังซ้ายมาร่วมงานด้วย เรียกเจ้าวังซ้ายมาบอกว่าถ้าจะร่วมงานต้องดื่มน้ำสาบาน ถึงตอนนี้มีคนรู้แผนนี้ ๖ คน ที่กรุงเทพฯ มี ๓ คน คือ รัชกาลที่ ๕ กรมดำรงราชานุภาพ และกรมหมื่นพิชิตปรีชากร ที่แพร่มี ๓ คน คือ เจ้าหลวงพิริยะเทพวงศ์ เจ้าราชบุตร ซึ่งเป็นโอรสของพระเจ้าสุริยพงศ์ผริตเดช เจ้าเมืองน่าน และเจ้าวังซ้าย "อังกฤษบอกให้เจ้าหลวงอยู่เฉย ๆ ไม่เอาอาวุธด้วย แต่ขอกำลังคนเมืองแพร่ เจ้าหลวงเลยหารือว่าให้เอาชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธไปซ่อนในป่า ป้องกันไม่ให้เงี้ยวมาขอกำลังเสริม ท่านก็หารือกันว่าต้องมีคนคุมกำลังในป่า เจ้าวังซ้ายเสนอชื่อไปว่ามีสองคนคือไม่ลูกก็เมีย ในที่สุดท่านเลือกลูก คือเจ้าน้อยหมวกมาคุมกำลังรบ เจ้าน้อยหมวกนี้คือพ่อของผมเอง ท่านก็เรียกเจ้าน้อยหมวกไปดื่มน้ำสาบาน" "เจ้าน้อยหมวกคิดเรื่องคนดูแลเสบียง เลยเลือกเมียคือเจ้าแสงแก้ว ก็กลับมาบอกสามคนแรกว่าได้ปรึกษาเมียแล้ว เขายอม ทางนี้จะยอมไหม เลยเรียกเจ้าแสงแก้วมาดื่มน้ำสาบานอีกที ตอนนี้มีคนรู้ความลับทั้งหมด ๘ คน" "แต่การบอกเมียถือเป็นการเปิดเผยความลับแม้จะไม่ตั้งใจ พ่อผมเลยโดนอาถรรพณ์เป็นคนแรก คือพอแม่คลอดผมได้เพียง ๘ เดือน พ่อก็ถูกช้างเหยียบตาย ทั้งที่พ่อเป็นผู้เชี่ยวชาญการจับช้างตกมัน พ่อยังบอกว่ากลัวควายมากกว่าช้าง" "เจ้าแสงแก้วรวบรวมลูกเมียข้าราชการไทยมาไว้ที่คุ้มของเจ้าวังซ้าย ซ่อนไว้บนเพดาน คืนนั้นก็เกณฑ์คนกับอาวุธมาเก็บไว้ในคุ้ม ป้องกันไม่ให้ทั้งสู้เงี้ยวและสู้ไทย ประมาณตีสองตีสาม เจ้าแสงแก้วจัดคนไปบ้านข้าราชการไทย เอาผู้หญิงที่เคยรับใช้บ้านข้าราชการมาเพื่อให้คนไทยเมืองใต้ไว้ใจ แต่มีจำนวนหนึ่งไม่มาเพราะพวกนี้ไม่ค่อยชอบเจ้าหลวง พวกที่มาก็เป็นห่วงสามียอมตายด้วยกัน" "พอเงี้ยวปล้นโรงพัก ปล้นไปรษณีย์ ยึดศาลากลางจังหวัด ก็ยึดได้สบายเพราะไม่มีการต่อต้าน พวกเงี้ยวออกสำรวจทุกบ้านว่ามีคนไทยเท่าไร จะจับมาฆ่าให้หมด" "จนไปถึงบ้านเจ้าวังซ้าย ซึ่งเจ้าแสงแก้วกำลังทำกับข้าวให้คนไทยที่หลบซ่อนตัวอยู่ มันก็ถามว่าทำให้ใครกินมากมาย แม่ผมบอกว่าตอนแรกก็ตกใจ แต่ทำใจดีสู้เสือ เพราะมันจะขอค้นว่ามีคนไทยไหม แม่บอกค้นไม่ได้ เจ้าหลวงกับเจ้าวังซ้ายสั่งห้ามค้น แล้วแม่ก็พูดไปว่าทำอาหารให้พวกสูกินนั่นละ เจ้าหลวงให้ทำ ถ้าพวกสูเสร็จธุระให้ไปรอที่ศาลากลางเดี๋ยวเอาไปให้ แล้วแม่ก็เรียกกำลังออกมา แกล้งพูดว่าจะเลี้ยงอาหารแล้วมันยังมาข่มขู่ ถ้าจะค้นบ้านก็ให้จัดการสู้กัน เงี้ยวฟังแล้วจึงยอมไป เจ้าแสงแก้วรีบส่งคนไปบอกเจ้าหลวง ท่านบอกให้ทำอาหารเพิ่มแล้วเอาไปเลี้ยงมันอย่างที่บอก" "ในเอกสารจดหมายเหตุที่ว่ามีการส่งเสบียงให้พวกเงี้ยว สาเหตุที่แท้จริงเป็นอย่างนี้" "ปรากฏว่าพวกเงี้ยวฆ่าผู้หญิงกับเด็กคนไทยที่ไม่ได้มาอยู่กับเรา เจ้าหลวงโกรธมาก เรียกหัวหน้าเงี้ยวมาคุย ชื่อพะกาหม่อง มาบอกว่าผิดสัญญา ท่านก็มีกำลังอยู่นะ พะกาหม่องขอโทษขอโพย พอรู้ว่าเจ้าหลวงพูดว่ามีกำลังก็เริ่มกลัว มันเลยเรียกเจ้าหลวงกับเจ้าวังซ้ายไปทำสัญญาร่วมรบกัน บอกเจ้าหลวงว่าถ้าเราทำตามที่ตกลงก็จะไม่มีอะไร แต่ถ้าเจ้าหลวงเอากำลังมาสู้เมื่อไร เงี้ยวจะเอาสัญญานี้ไปแฉให้รัชกาลที่ ๕ ทรงทราบ ซึ่งเจ้าหลวงได้บอกกับรัชกาลที่ ๕ ว่าเงี้ยวบังคับทำ จำเป็นต้องทำ รัชกาลที่ ๕ ก็รู้" "หลายวันต่อมากรุงเทพฯ ส่งกำลังมาปราบกบฏ โดยที่ได้เตรียมกำลังแถวอุตรดิตถ์ พิษณุโลก ไว้แล้ว จึงปราบได้ภายใน ๓-๔ วัน" "รัชกาลที่ ๕ เอาประกาศนียบัตรกบฏของเจ้าหลวงไปอ้างกับอังกฤษ ตามกฎแล้วผู้เป็นกบฏต้องถูกประหารเจ็ดชั่วโคตร แต่มีการช่วยเหลือทางลับ คือรัชกาลที่ ๕ สั่งแม่ทัพว่าห้ามตั้งข้อหากับเจ้าหลวงและลูกหลานว่าเป็นกบฏ แต่ไม่บอกเหตุผล ท่านยังกำชับว่าการพิจารณาโทษกบฏต้องส่งเรื่องให้ท่านสั่งการเอง แล้วท่านยังให้นำลูกหลานของเจ้าหลวงไปเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ ในบรรดานี้มีคนสกุลศรุตานนท์ด้วย" "ในสัญญาที่อังกฤษทำกับเจ้าหลวงระบุว่าถ้าทำการกบฏไม่สำเร็จจะพาเจ้าหลวงหนีไปที่กองบัญชาการใหญ่ของเงี้ยวที่หลวงพระบาง เมืองลาว ถ้าเจ้าหลวงไม่ยอมเป็นกบฏก็คงได้ตำแหน่งนายพล เพราะว่าตอนหลังเจ้าหลวงทางตอนเหนือได้เป็นนายพลกันหมดทุกคน" "รัชกาลที่ ๕ ตอบแทนเจ้าหลวงในทางลับ นอกจากนี้ท่านยังเลี่ยงอาญาให้คนคุมตัวเจ้าหลวงไปส่งนอกประเทศ คือหลวงพระบาง ซึ่งนี่ก็เป็นแผนอีกข้อหนึ่ง รัชกาลที่ ๕ ต้องการให้เจ้าราชบุตรผูกสัมพันธ์กับเงี้ยว เพื่อเป็นตัวกลางสื่อสารระหว่างเจ้าหลวงกับรัชกาลที่ 5 ท่านให้เจ้าราชบุตรเอาเงินเดือนไปจ่ายให้เจ้าหลวงทุกเดือน แต่เป็นในนามว่าเจ้าราชบุตรเอาเงินไปให้พ่อตาใช้" "อยู่ทางโน้นเจ้าหลวงก็ทำบันทึกใส่สมองเจ้าราชบุตรกลับมารายงานรัชกาลที่ ๕ เพราะรัชกาลที่ ๕ กำชับว่าอย่าบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เจ้าหลวงคอยรายงานแผนการของเงี้ยวที่จะพยายามไปเกลี้ยกล่อมเจ้าหลวงล้านนาอื่น ๆ พอรู้ข่าวก่อนว่าจะไปจังหวัดไหนก็เตรียมการรับทัน ทำให้ไม่มีเหตุการณ์เงี้ยวกบฏได้สำเร็จ และเจ้าหลวงจังหวัดอื่น ๆ ก็ได้เป็นนายพล" "ผมยังมีหลักฐานบันทึกของพันตำรวจเอกชาวฝรั่งชื่อ พ.ต.อ.พระแผลงสะท้าน หรือ C.N Springer เขาแปลกใจว่าทำไมเห็นเจ้าหลวงเดินจากคุ้มหนีออกไปทางประตูศรีชุมคนเดียว บันทึกนี้ลูกของตำรวจฝรั่งผู้นี้เอามาให้ผม เป็นอดีตผู้อำนวยการโรงเรียนป่าไม้ ชื่อ อ.เทิด สุขปรีชากร" "ตัวผมเองยังมีปืนสำคัญ ๒ กระบอกที่ ร.ต.ตาดกับภรรยาคือนางคำใช้ยิงต่อสู้กับพวกเงี้ยวจนตัวตาย เดี๋ยวนี้ทางจังหวัดก็ทำประตูตาดคำเป็นอนุสรณ์ให้ท่าน ปืนนี้เป็นมรดกตกทอดมาถึงผม และผมก็ได้ส่งมอบให้กับผู้ว่าฯ เพราะทราบมาว่าท่านมีโครงการบูรณะคุ้มเจ้าหลวงให้เป็นพิพิธภัณฑ์ ผมจึงอยากมอบเป็นสมบัติของส่วนรวม" "เรื่องปืนนี่ก็มีที่มาเบื้องลึก เพราะเจ้าหลวงท่านขอให้ไม่ฆ่าตำรวจ แต่ท่านรู้นิสัยของ ร.ต.ตาด ว่าจะไม่ยอมหนี ปืนยาวนี้เจ้าหลวงมอบให้เจ้าวังซ้าย แล้วเจ้าวังซ้ายทำทีมามอบให้ ร.ต.ตาด ไว้ป้องกันตัว แต่จะบอกตรง ๆ ไม่ได้ เลยบอกว่าปืนเสียให้ ร.ต.ตาด ช่วยซ่อมและให้ทดลองยิงดูจนแน่ใจว่าใช้การได้แล้ว คือให้กระสุนมาอีกเป็นย่าม ร.ต.ตาดก็ได้ใช้ปืนยาวนี้สู้เงี้ยว แล้วเอาปืนสั้นของตัวเองให้นางคำไว้ป้องกันตัว ในที่สุดเงี้ยวยิงถูก ร.ต.ตาด ตาย นางคำวิ่งหนีก็ถูกเงี้ยวไล่เอาดาบฟันตาย" "ตามเอกสารจดหมายเหตุบอกว่าพระยาไชยบูรณ์ที่เป็นข้าหลวงวิ่งไปหาเจ้าหลวงให้ช่วย แต่เจ้าหลวงช่วยไม่ได้ ความจริงก็คือเจ้าหลวงส่งตัวลงเรือไปฝากไว้ที่บ้านกำนันบ้านร่องกาศ กลางคืนนอนบนบ้าน กลางวันลงไปซ่อนในป่า จนเงี้ยวประกาศล่าตัวให้ค่าหัว ๔๐ บาท นายวงศ์คนบ้านร่องกาศไปพบโดยบังเอิญเลยแจ้งพวกเงี้ยว พระยาไชยบูรณ์เลยถูกจับตัวไปตัดหัวที่บ้านร่องคาว...” บทความดังกล่าวกลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของเมืองแพร่ในหมู่ผู้นิยมศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น โดยเฉพาะคนในท้องถิ่นเอง เพราะเป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือจากบุคคลที่ได้รับการนับถือเป็นอย่างยิ่งในเมืองแพร่คนหนึ่ง และเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อไม่นานมานี้ ชาวเมืองแพร่หลายท่านเชื่อบทความและเรื่องเล่าของนายรัตน์ วังซ้าย มากกว่า และสิ่งเหล่านี้ถูกบอกเล่าปากต่อปากสู่กันฟังในเมืองแพร่ จนกลายเป็นความเคลื่อนไหวทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่นบทใหม่ โดยเฉพาะคนชั้นกลางในเมืองผู้มีเชื้อสายเจ้านายเก่าในเมืองแพร่ และผู้ที่สนใจประวัติศาสตร์บาดแผลของตนเอง อันเป็นปฏิกิริยาตอบโต้การเขียนประวัติศาสตร์ของรัฐอย่างชัดเจน และถูกนำมาตอกย้ำเรื่องราวของเจ้าหลวงไม่ได้เป็นกบฏอีกหลายครั้งในงานประชุมหรืองานชุมนุมต่าง ๆ เพราะเชื่อว่าเป็นความจริงของผู้เล่าก่อนที่จะสิ้นใจ เจ้าราชวงศ์นครแพร่ รับเสด็จสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยที่วัดพระธาตุลำปางหลวง พ.ศ.๒๔๔๓ อาจารย์ผู้ศึกษาเรื่องราวของท้องถิ่นท่านหนึ่งกล่าวว่า “การเกิดเหตุกบฏเงี้ยวเพราะรัฐบาลทางกรุงเทพฯ ส่งข้าหลวงเข้ามาปกครองเมืองแพร่ คนแพร่และชนกลุ่มน้อย เช่น เงี้ยวที่ไม่สามารถรับข้อบังคับที่กดดันและเข้มงวดไหวจึงได้ลุกขึ้นต่อต้าน เชื่อว่าเจ้าหลวงน่าจะสนับสนุนให้เงี้ยวมาปล้น เพื่อที่ตนเองจะได้เป็นอิสระ มีอำนาจเหมือนเดิม เพราะเมื่อข้าหลวงจากภาคกลางเข้ามาปกครอง เจ้าหลวงก็ถูกลิดรอนอำนาจ แต่กระแสของคนในเมืองแพร่ก็มีบางกลุ่มที่เชื่อว่าเจ้าเมืองแพร่ไม่ได้เป็นกบฏ เพราะเมื่อเจ้าหลวงจะไปอยู่ที่หลวงพระบางได้มีกองทหารส่งเสด็จ และเจ้าหลวงก็เดินคู่ไปกับเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี จึงทำให้เชื่อกันว่าถ้าเจ้าหลวงเป็นกบฏจริง ทำไมถึงต้องมีกองทหารส่งเสด็จ และสามารถเดินคู่ไปกับเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีได้ เรื่องเล่าที่ว่าทางกรุงเทพฯ ได้รับแม่เจ้าบัวไหลไปอยู่ด้วยที่กรุงเทพฯ นั้นก็แบ่งเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายที่เชื่อว่าเจ้าหลวงไม่ได้เป็นกบฏ หากเจ้าหลวงเป็นกบฏจริง ทำไมทางกรุงเทพฯ จึงรับแม่เจ้าบัวไหลไปอยู่ด้วย คนเมืองแพร่บางท่านเห็นว่าเป็นกุศโลบายของทางกรุงเทพฯ เพราะเมืองแพร่มีทรัพยากรที่สำคัญมาก คือ ไม้สักทอง ซึ่งเป็นที่ต้องการของต่างชาติ หากตัดสินประหารเจ้าเมืองแพร่ก็อาจจะทำให้ต่างชาติที่รออยู่สามารถเข้าแทรกแซงได้ง่าย จึงต้องการเอาใจเพื่อทรัพยากรที่มีค่ามหาศาล ชาวเมืองบางท่านกล่าวว่า “ปัจจุบันมีการตื่นตัวกันมากในปัญหานี้ ทั้งหาข้อมูลหลักฐานต่าง ๆ มาพิสูจน์ว่าเจ้าหลวงพิริยะเทพวงศ์ฯ ไม่ได้เป็นกบฏ ในกรณีของลุงรัตน์ที่เป็นลูกหลานของเจ้าหลวงนั้น เปิดเผยคำพูดที่ว่าท่านไม่ได้เป็นกบฏอย่างที่ประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้ เป็นการกู้ศักดิ์ศรีของเมืองแพร่ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ เพราะการเป็นกบฏลึก ๆ แล้วก็เหมือนกับเป็นการคิดไม่ดีกับประเทศชาติ และถ้ามีหลักฐานที่ว่าเจ้าหลวงไม่ได้เป็นกบฏก็คงจะทำให้เป็นศักดิ์ศรีของเมืองแพร่ถูกกู้กลับคืนได้” แต่ชาวบ้านบางคนคิดว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างภาษา เพราะทางกรุงเทพฯ ต้องการกลืนชาติหรือต้องการรวมเอาเมืองแพร่เป็นส่วนหนึ่งของรัฐสยาม “เจ้าหลวงท่านยังคงรักษาไว้ซึ่งภาษา แต่ก่อนทางในเมืองบังคับให้ท่านเรียนเขียนภาษาไทย แต่ท่านคิดว่าเมืองแพร่มีภาษาของตนเองอยู่แล้ว จึงมีความรู้สึกว่าเป็นการกลืนภาษาคือกลืนชาติ จึงเป็นสาเหตุหนึ่งของปัญหา โดยขณะนั้นก็มีปัญหาเรื่องเงี้ยวกบฏเมืองแพร่ขึ้นมา เพราะเงี้ยวได้สัมปทานป่าไม้ และถ้ามีปัญหากับเงี้ยวจะไม่สามารถเอาผิดได้ ต้องไปขึ้นศาลที่อังกฤษเพราะเป็นเมืองขึ้นอยู่ จึงเอาเรื่องกบฏเงี้ยวเมืองแพร่มาเป็นข้อพิพาท” จากความรู้สึกของคนที่เป็นลูกหลานที่สืบเชื้อสายมาจากเจ้าหลวง ที่ประวัติศาสตร์ถือว่าท่านเป็นกบฏนั้น “เมื่อก่อนไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าตนเป็นลูกหลาน เพราะมีความรู้สึกว่า อดีตหรือประวัติความเป็นมาของบรรพบุรุษเป็นสิ่งที่คลุมเครือ เพราะประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้แล้วว่าเจ้าหลวงที่เป็นบรรพบุรุษของเรานั้นเป็นกบฏ แต่ในปัจจุบันก็ได้มีลูกหลานหรือคนที่อยู่ในเหตุการณ์กบฏเงี้ยวเมืองแพร่นำเรื่องราวของตนมาตีแผ่ให้ลูกหลานได้รับรู้ จึงทำให้ลูกหลานในปัจจุบันมีความรู้สึกที่ดีขึ้น เมื่อเชื่อว่าบรรพบุรุษของตนไม่ได้เป็นกบฏ เพราะอย่างไรเสียประวัติศาสตร์ก็บอกไว้ว่าเจ้าหลวงเป็นกบฏ เพียงแค่ชาวแพร่มีความรู้สึกว่าเจ้าหลวงพิริยะฯ ไม่ได้เป็นกบฏก็เพียงพอแล้ว แต่ไม่ใช่คนเมืองแพร่ทั้งหมดที่มีความคิดเห็นไปในทางเดียวกับปรากฏการณ์ความเชื่อถือในข้อมูลเรื่องเจ้าหลวงเมืองแพร่ไม่ได้เป็นกบฏดังคำสัมภาษณ์ของนายรัตน์ วังซ้าย แต่ก็มีอีกหลายคนที่เห็นว่า “เรื่องราวของกบฏเงี้ยวเมืองแพร่ไม่ค่อยมีผลกระทบกับคนที่นี่เท่าไหร่ แต่จะมีคำถามอยู่ในใจเท่านั้นว่า ทำไมเมืองแพร่ถึงไม่มีนามสกุล ณ แพร่ เพราะเมืองอื่นที่มีเชื้อสายของเจ้าก็มีกันหมด ผลกระทบที่ว่าเจ้าหลวงเป็นกบฏเงี้ยวน่าจะมีผลกับลูกหลานของเจ้าหลวงมากกว่า ภาพรวมที่มองหรือความรู้สึกของคนทางเหนือก็ไม่แตกต่างกัน เพียงแค่มีความรู้สึกที่ว่า ณ แพร่ หายไปไหนเท่านั้น ในขณะนั้นทางกรุงเทพฯ ได้ส่งข้าหลวง คือพระยาไชยบูรณ์มาปกครองเมืองแพร่ คนภาคกลางจึงเข้ามากันเยอะ มีหลายคนที่เป็นลูกหลานของข้าราชการจากภาคกลางที่แต่งงานกับสาวชาวเมืองแพร่และกลายเป็นคนแพร่ไปในที่สุด จึงไม่ได้รู้สึกมากมายกับเรื่องเจ้าหลวงนัก” เมื่อพระยาไชยบูรณ์หนีไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าพิริยะเทพวงศ์ฯ เจ้าหลวงเมืองแพร่ที่คุ้มแต่ก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือ ข้อมูลจากกวี ศรีวิไจย โข้ ที่แต่ง ค่าวเรื่องประวัติเงี้ยวปล้นเมืองแพร่ ในปีต่อมาหลังจากเกิดเหตุและเป็นบุคคลร่วมสมัยที่เห็นเหตุการณ์ก็ยืนยันว่า เจ้าหลวงพิริยะเทพวงศ์ฯ ไม่ได้ช่วยพระยาไชยบูรณ์ที่คิดจะสู้รบกับโจรแต่อย่างใด ทั้งยังบ่ายเบี่ยงและหนีหน้าหายไปจากคุ้มเจ้าหลวง ค่าวของศรีวิไจย โข้ เป็นเอกสารร่วมสมัยที่เขียนขึ้นภายหลังเหตุการณ์เงี้ยวปล้นเมืองแพร่ประมาณหนึ่งปี กล่าวถึงเจ้าหลวงพิริยะเทพวงศ์ฯ ว่าไม่ช่วยเหลือพระยาไชยบูรณ์จริง ซึ่งก็มีข้อเท็จจริงตรงกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ แต่ค่าวเรื่องนี้ผู้แต่งหนังสือ “เล่าเรื่องเมืองแพร่ในอดีต พระยาพิริยวิไชยอุดรวิไสยวิปผาระเดช บรมนฤเบศร์สยามมินทร์สุจริตภักดีฯ เจ้าหลวงผู้ครองนครเมืองแพร่” พระครูวิทิตพิพัฒนาภรณ์ (มนตรี ธมมฺเมธี) เห็นว่า ศรีวิไจย โข้ “แต่งโดยห่างความจริงและไม่ใคร่ครวญเหตุผลความเป็นไป ตอนท้ายซอค่าวยิ่งพูดทับถมหนักยิ่งขึ้น” การที่กวีผู้นี้เป็นผู้มีชื่อเสียงมากทำให้คนทั่วไปเชื่อว่าเจ้าหลวงพิริยะเทพวงศ์ฯ เป็นกบฏ กระบวนการทางสังคมในเมืองแพร่มีแนวโน้มเป็นไปในทาง “ท้องถิ่นนิยม” มากขึ้นในช่วงราวเกือบสิบปีที่ผ่านมา แม้ว่าเหตุการณ์เงี้ยวปล้นเมืองแพร่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองอย่างฉับพลัน และเป็นหัวเมืองประเทศราชแรกในล้านนาที่ถูกยกเลิกตำแหน่งเจ้าเมืองใน พ.ศ. ๒๔๔๕ ทำให้เชื้อสาย “เจ้านาย” ในเมืองแพร่ต้องสิ้นสุดลง แต่สิ่งเหล่านี้มิได้ทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านลุกลามไปในหมู่เจ้านายชั้นสูงในหัวเมืองเหนืออื่น ๆ หรือภายในกลุ่มชาวบ้านแต่อย่างใด ทั้งนี้เป็นเพราะกระบวนการดึงอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองให้หัวเมืองต่าง ๆ มีลักษณะไม่ต่างจากกระบวนการทำให้เป็นอาณานิคมของชาวตะวันตก เจ้าประเทศราชหัวเมืองต่าง ๆ มีกำลังหรืออิทธิพลในการต่อรองไม่มาก เพราะถูกบั่นทอนอำนาจในการจัดการบ้านเมืองแบบสมัยใหม่ที่รัฐสยามส่งคนและเครื่องมือในการจัดการการปกครองแบบใหม่เข้าสู่หัวเมืองเหล่านั้นอย่างรวดเร็วและฉับพลัน ทำให้กลุ่มเจ้านายผู้ปกครองต้องทนอยู่ในภาวะจำยอม เหตุผลอีกประการหนึ่งก็คือ สังคมในท้องถิ่นเองก็แบ่งกลุ่มคนของตนเองไว้เป็น ๒ ระดับ คือ เจ้านายหรือกลุ่มเชื้อสายเจ้านายของเมืองซึ่งเป็นกลุ่มคนชั้นสูงและมีสถานภาพกับชาวบ้านทั่วไปที่เป็นไพร่บ้านพลเมือง ทำมาหากินอยู่กับการเกษตรเพื่อเลี้ยงตนเอง และส่งผลิตผลหรือภาษีเพื่อสนับสนุนกลุ่มคนชั้นสูงและกิจการของบ้านเมือง ทำให้เกิดช่องว่างของกลุ่มคนที่จะเชื่อมโยงกับระบบเศรษฐกิจที่เข้ามาใหม่จากการทำไม้ที่ต้องใช้เงินทุน กลุ่มบริษัทต่างชาติจึงนำคนกลุ่มใหม่ที่เป็นพ่อค้าและผู้ชำนาญการเข้ามาสู่เมืองแพร่ ทั้งที่เป็นไทใหญ่ พม่า จีน ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับคนท้องถิ่น มีทั้งอิสระและความชำนาญในการติดต่อค้าขายคนกลุ่มต่าง ๆ มากกว่า ในภายหลังเจ้านายเมืองแพร่หลายตระกูลก็ปรับตัวให้เข้ากับระบบทุนเหล่านี้ และกลายเป็นกลุ่มผู้ทำการค้าหรือธุรกิจรับจ้างเหมากับบริษัทของชาวยุโรปเช่นเดียวกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ที่เข้ามาสู่เมืองแพร่ในฐานะผู้ชำนาญการ เมื่อสิ้นสุดระบบเจ้าหลวงผู้ครองนครไปแล้ว ส่วนชาวบ้านที่เป็นคนเมืองแพร่เกือบทั้งหมดไม่ได้เข้าสู่ระบบแรงงานในการทำไม้เมืองแพร่ในระยะแรกแต่อย่างใด และวิถีชีวิตก็แทบจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจหลักของเมืองแพร่ในเรื่องไม้สักเลย จนถึงช่วงระยะหลังที่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้และบริษัทผู้รับเหมาสัมปทานของไทยเข้าไปทำไม้ แรงงานรับจ้างจากภาคอื่น ๆ โดยเฉพาะภาคอีสานจึงเข้ามา ส่วนชาวบ้านท้องถิ่นก็ลักลอบนำไม้สัมปทานออกมาขายเท่านั้น เศรษฐกิจภายในตัวเมืองแพร่จึงขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ที่คนชั้นสูงได้รับจากการทำรับเหมาช่วง เช่น นำช้างไปรับลากไม้ออกจากป่า และกิจกรรมทำไม้ที่ต้องอาศัยขั้นตอนและแรงงานจำนวนมาก ผู้ที่สืบเชื้อสายเจ้านายในเมืองแพร่ที่ได้รับการศึกษาดีและสามารถเข้าถึงกลุ่มคนที่เป็นผู้บริหารในบริษัทของชาวยุโรปจึงมีฐานะดีเข้าขั้นเศรษฐีหลายคน และเป็นที่เล่าขานลือเลื่องกันมาจนถึงปัจจุบัน หลักฐานที่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบันคือบ้านเรือนจำนวนมากทั้งที่มีการบูรณะและทรุดโทรมลงแล้ว รวมถึงภาพถ่ายบ้านเรือนของคหบดีอีกหลายคนที่ถูกไฟไหม้หรือรื้อทิ้งไปแล้ว แสดงถึงฐานะอันมั่งคั่งของคนชั้นสูงที่ส่วนใหญ่เป็นเชื้อสายเจ้านายเมืองแพร่เก่าในยุคหนึ่งจากผลประโยชน์ในการทำสัมปทานป่าไม้ของบริษัทชาวยุโรปที่รุ่งเรืองในเมืองแพร่กว่าห้าสิบปี แต่ในปัจจุบันมรดกทรัพย์สินที่ถูกแบ่งและใช้จ่ายกันในกลุ่มสายตระกูลที่มีฐานะเหล่านี้ก็แทบจะไม่พบเห็นร่องรอยของความเจริญรุ่งเรืองหรือสืบต่อมากลายเป็นหลักฐานทางทรัพย์สมบัติหรือสร้างความเจริญให้บ้านเมืองอย่างมั่นคง นอกจากอาคารบ้านเรือนเก่า ๆ ที่ยังพอเห็นอยู่บ้าง รวมถึงผู้คนที่เริ่มย้ายออกจากเมืองด้วยเหตุผลต่าง ๆ ทำให้เมืองแพร่ในปัจจุบันกลายเป็นเมืองที่แทบจะไม่หลงเหลือกลุ่มคนชั้นสูงในอดีตที่อยู่อาศัยในเมืองเท่าใดนัก จนมาถึงวันนี้เมืองแพร่ที่เคยได้ชื่อว่ามีป่าไม้อุดมสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งในหัวเมืองเหนือต้องพบกับสภาพของป่าไม้ที่แทบไม่มีต้นไม้ใหญ่หลงเหลืออยู่ เหลือเพียงผลกระทบต่อชีวิตของชาวบ้านและสภาพแวดล้อมที่ไม่อาจเรียกกลับคืนได้ในเร็ววัน คนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งกลายมาเป็นผู้มีบทบาททางการเมืองอย่างสูงในเมืองแพร่ทุกวันนี้ กลายเป็นกลุ่มคนเชื้อสายจีนที่อพยพเข้ามา หลังจากเกิดเหตุการณ์เงี้ยวปล้นเมืองแพร่แล้ว และไม่ได้มีส่วนร่วมหรือรู้เห็นในกระบวนการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางในยุคเปลี่ยนจากเจ้าผู้ครองนครมาเป็นระบบมณฑลเทศาภิบาลแต่อย่างใด กลุ่มคนเหล่านี้ต้นตระกูลเริ่มต้นจากการเป็นแรงงานและพ่อค้า รวมถึงการประมวลเป็นเจ้าภาษีทำให้เป็นกลุ่มคนที่มีทุนสะสมมากกว่าคนกลุ่มอื่นๆ และสามารถเข้าถึงการประมูลระบบสัมปทานของรัฐในเรื่องต่าง ๆ จนกลายเป็นผู้มีฐานะทางการเงินและขยายอิทธิพลมาสู่การเมือง จนกลายเป็นผู้มีอิทธิพลทางการเมืองอย่างเต็มรูปแบบในเมืองแพร่ทุกวันนี้ ตัวแทนทางการเมืองของคนเมืองแพร่ในกลุ่มคนเหล่านี้จึงไม่มีประวัติศาสตร์ร่วมหรือความรู้สึกในเชิงชาติพันธุ์สัมพันธ์ต่อรัฐไทย ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ที่จะนำไปสู่ประเด็นทางการเมืองของความเป็นคนแพร่ในลักษณะท้องถิ่นนิยมที่เชิดชูอัตลักษณ์ของความเป็นคนเมืองแพร่แต่ดั้งเดิมจึงไม่ใช่ประเด็นทางการเมืองที่นักการเมืองจากท้องถิ่นจะนำไปเป็นเหตุผลในกระบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองแต่อย่างใด ส่วนชาวบ้านดังตัวอย่างจากพื้นที่สะเอียบ จากหมู่บ้านที่ลักลอบนำไม้จากป่าสัมปทานมาขายกลายเป็นหมู่บ้านที่ต้องรักษาป่า เพราะผลกระทบจากการทำลายสภาพแวดล้อมที่ทำให้การทำมาหากินเป็นไปได้ยาก และผลกระทบทางการเมืองของการสร้างเขื่อน ทำให้ชาวบ้านซึ่งไม่เคยได้รับผลประโยชน์แต่อย่างใดในการทำไม้ในอดีตไม่ได้รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับคนชั้นกลางในเมืองที่ต้องการฟื้นอัตลักษณ์ความเป็นคนแพร่ รวมทั้งไม่เข้าใจว่าเหตุการณ์เงี้ยวปล้นเมืองแพร่หรือที่ถูกเรียกว่า กบฏเงี้ยวเมืองแพร่จะเกี่ยวข้องในความรับรู้หรือความรู้สึกของคนแพร่ในปัจจุบัน เพราะคนในเมืองแพร่เอง โดยเฉพาะในตัวเมืองก็กล่าวโทษคนสะเอียบว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ไม่ได้สร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น และเป็นฝ่ายที่ทำให้น้ำท่วมเมืองแพร่อย่างสม่ำเสมอในช่วงหลัง ๆ ทั้งที่ข้อเท็จจริงนั้นน้ำท่วมเมืองแพร่เกิดจากสาเหตุการขยายตัวของเมืองที่ไม่สามารถรองรับน้ำหลากจากสภาพความเป็นแอ่งพื้นที่ราบในหุบเขาในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง ดังนั้นความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ย่อยที่แสดงอัตลักษณ์ของความเป็นคนแพร่จึงวนเวียนอยู่เฉพาะคนกลุ่มหนึ่งที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นคนชั้นกลางในเมืองแพร่ทุกวันนี้เท่านั้น คนกลุ่มนี้เป็นลูกหลานของคนเมืองแพร่ชั้นสูงที่เคยอยู่อาศัยในเวียงและนอกเวียงที่เป็นตัวเมืองแพร่มาแต่ดั้งเดิม และเคยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์และได้อานิสงส์จากบริษัททำไม้สัมปทานของชาวยุโรป ทำให้มีฐานะความเป็นอยู่และได้รับการศึกษาขั้นสูงแตกต่างจากชาวบ้านโดยทั่วไป โดยการแสดงออกมาถึงการรื้อฟื้นอดีตของเจ้าหลวงพิริยะเทพวงศ์ฯ เจ้าหลวงองค์สุดท้ายของเมืองแพร่ที่พยายามบอกแก่สังคมว่า เจ้าหลวงเมืองแพร่ไม่ได้เป็นกบฏ ดังที่ประวัติศาสตร์ของรัฐกล่าวถึงและสังคมคนไทยทั่วไปเข้าใจว่าเป็นเช่นนั้น กรณีความพยายามสร้างอนุสาวรีย์เจ้าหลวงพิริยะเทพวงศ์ฯ ขึ้นที่หน้าคุ้มเจ้าหลวงโดยลูกหลานตระกูลเชื้อสายเจ้าหลวงเมืองแพร่ซึ่งประสบปัญหามากกับทางราชการ และการไม่ยอมรับอนุสาวรีย์ของพระยาไชยบูรณ์ ความพยายามสร้างพิพิธภัณฑ์ที่คุ้มเจ้าหลวงซึ่งได้รับกลับคืนมาจากกระทรวงมหาดไทย การตั้งกลุ่มชำระประวัติศาสตร์เมืองแพร่ การจัดทำบ้านวงศ์บุรีให้เป็นพิพิธภัณฑ์ของเมืองและเป็นตัวแทนของเชื้อสายเจ้านายเมืองแพร่อย่างเป็นรูปธรรมที่สุด เมื่อมีการบูรณะบ้านวงษ์บุรีขึ้นใหม่และกลายเป็นตัวแทนของผู้ที่จัดการเรื่องการท่องเที่ยวเมืองแพร่โดยการสนับสนุนของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จึงเปิดบ้านเพื่อให้เยี่ยมชม แต่ก็ประสบปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในการดูแล ซึ่งต่อมาก็มีโครงการทำเป็นพิพิธภัณฑ์บ้านวงศ์บุรี และเนื้อหาส่วนใหญ่ก็เป็นการนำเสนอเรื่องราวของเจ้านายเมืองแพร่ เครื่องใช้ของเจ้านาย แบ่งเป็นห้อง ๆ เพื่อที่จะแสดงวิถีชีวิตของเจ้านายและชีวิตของผู้คนในอดีตเมืองแพร่ การจัดเวทีและกลุ่มพูดคุยฟื้นเรื่องความสัมพันธ์ของสายตระกูล และความเป็นเจ้านายเมืองเหนือทั้งในวงวิชาการท้องถิ่นและในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในอินเตอร์เน็ตที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วและมีมากขึ้น โดยเฉพาะหนังสืออ้างอิงเรื่องสายตระกูลเจ้านายเมืองแพร่ที่รวบรวมตระกูลต่าง ๆ ในเมืองแพร่ไว้มากมาย คือหนังสือรวมสายเครือญาติโดย บัวผิน วงศ์พระถาง และเจ้าไข่มุกต์ ประชาศรัยสรเดช (วงศ์บุรี) และดวงแก้ว รัตนวงศ์ เรื่อง เชื้อสายเจ้าหลวงเมืองแพร่ ๔ สมัย (พ.ศ. ๒๓๖๑-๒๔๔๕) เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๗ จนกลายเป็นหลักฐานอ้างอิงเรื่องเจ้าเมืองแพร่เล่มสำคัญ เป็นตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่ากระบวนฟื้นอัตลักษณ์ของคนเมืองแพร่ที่ยังติดยึดอยู่กับความเป็นท้องถิ่นนิยมมากกว่าที่จะพยายามศึกษาท้องถิ่นหรือชุมชนในบริบทของความเป็นเมืองแพร่ทั้งหมดที่รวมกลุ่มคนหลากหลายกลุ่ม คนที่อยู่อาศัยทั้งในเมืองและนอกเมือง คนที่มีอาชีพหลากหลายที่ต้องพึ่ง น้ำ ป่า เขา สภาพแวดล้อมทั้งหมดของเมืองแพร่ ไม่ใช่ติดอยู่เพียงคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดในเวียงแพร่ หรือประวัติศาสตร์เฉพาะของเจ้านายและคนชั้นสูงตระกูลต่าง ๆ ในเมืองแพร่เท่านั้น ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองแพร่ประกอบไปด้วย ประวัติศาสตร์โบราณคดีที่เป็นเรื่องในอดีตที่สืบค้นไปไกลเกินกว่าคนรุ่นปัจจุบันในเมืองแพร่จะสืบเรื่องราวที่เกี่ยวข้องได้ และประวัติศาสตร์สังคมมีเรื่องราวมากมายที่ถูกบันทึกไว้ในเอกสารทางประวัติศาสตร์และอยู่ในความทรงจำของผู้คนในเมืองแพร่ โดยเฉพาะประวัติศาสตร์บาดแผลที่เกี่ยวกับเจ้าหลวงเมืองแพร่ การดำเนินสัมปทานป่าไม้ในยุคอาณานิคม อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์โบราณคดีเมืองแพร่ถูกเล่าและเขียนถึงมีความสับสนและปนเปไปด้วยการนำเรื่องราวจากตำนานพระธาตุและตำนานพระเจ้าเลียบโลกมาเทียบเคียงกับความน่าจะเป็นของประวัติศาสตร์ในล้านนายุคต่าง ๆ ทำให้เห็นข้อบกพร่องของการเปรียบเทียบอายุ เมื่อนำเวลาที่ต่างความเข้าใจในโลกที่ต่างกันมาใช้ ประวัติศาสตร์ของเมืองแพร่ที่ถูกเขียนขึ้นโดยนักประวัติศาสตร์ยุค แรก ๆ บ้าง และนักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นบ้างก็เกิดความสับสนมากเพราะมีการอ้างถึงเวลาในประวัติศาสตร์ที่ห่างไกลเสียจนเกินกว่าหลักฐานของการตั้งถิ่นฐานจะรองรับได้ คนเมืองแพร่กำลังอยู่ในสังคมที่เปลี่ยนแปลงซึ่งโหยหาอัตลักษณ์และการถวิลหาอดีต อันเป็นส่วนหนึ่งของกระแสท้องถิ่นนิยม [Localism] ในภูมิภาคต่าง ๆ โดยเฉพาะในภาคเหนือ เมื่อพบว่าอดีตของพวกตนและเจ้าหลวงเมืองแพร่มีความบกพร่องทางการเมืองในรัฐที่กำลังเปลี่ยนแปลงหัวเมืองประเทศราชให้กลายเป็นเพียงเมืองแห่งหนึ่งเท่านั้น ปฏิกิริยานี้ก่อรูปมากขึ้นตามลำดับ แม้จะมีการบูรณาการทางสังคมวัฒนธรรม การศึกษาและการเมืองมาโดยตลอดเวลาในช่วงร้อยปีที่ผ่านมาก็ตาม อย่างไรก็ตามกระบวนการนี้คนเมืองแพร่ส่วนใหญ่ที่ประกอบไปด้วยกลุ่มคนที่มีภูมิหลังแตกต่างจากชนชั้นกลางในเมืองก็ไม่ได้รู้สึกร่วมไปด้วยในกรณีการฟื้นประวัติศาสตร์เพื่อแก้ข้อกล่าวหาเรื่องเงี้ยวปล้นเมืองแพร่หรือกบฏเงี้ยวเมืองแพร่ อันเป็นกระบวนการซึ่งคนชั้นกลางที่สืบเชื้อสายเจ้านายเมืองแพร่กำลังสร้างความเป็นท้องถิ่นนิยมอยู่ในขณะนี้ คุ้มวิชัยราชา ของเจ้าโว้ง แสนศิริพันธุ์ คุ้มโบราณที่เจ้าของไม่สามารถรักษาไว้ได้ ภาพจากหนังสือพิมพ์ประชาชาติ