พบผลการค้นหา 220 รายการ
- กิจการค้าของมุสลิมในย่านจีน กรุงเทพฯ
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ต.ค. 2558 บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก ในย่านสำเพ็ง ราชวงศ์ และทรงวาด เรื่อยไปจนถึงย่านตลาดน้อย ถือว่าเป็นย่านการค้าของชาวจีนที่มีขนาดใหญ่และเก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ แต่นอกเหนือจากกลุ่มชาวจีนที่มีบทบาทต่อพัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคมของย่านนี้แล้ว พบว่ากลุ่มคนมุสลิมได้เข้ามามีบทบาททางการค้าร่วมกับชาวจีนในบริเวณนี้มาอย่างยาวนานสืบมาถึงปัจจุบัน ร้านค้าของแขกขายขายพลอยบนถนนวานิช ๑ ภาพถ่ายราวสมัยรัชกาลที่ ๕ ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ นอกจากการค้าขายทางเรือสำเภากับกลุ่มพ่อค้าชาวจีนแล้ว กลุ่มพ่อค้ามุสลิมมีบทบาทสำคัญเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะการติดต่อซื้อขายกับทางตะวันตกผ่านเมืองท่าแถบมลายู โดยมีกรมท่าขวา นำโดยพระยาจุฬาราชมนตรี ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการติดต่อกับพ่อค้ามุสลิมที่จะเข้ามาค้าขายกับสยาม นอกจากนี้ขุนนางในกรมท่าขวายังทำหน้าที่คำนวณและบันทึกรายการเก็บภาษีค่าธรรมเนียมจากสินค้าประเภทต่าง ๆ ด้วย สินค้าที่สยามส่งไปยังเมืองท่ามลายูในเวลานั้น ได้แก่ ข้าว น้ำตาล เกลือ น้ำมันมะพร้าว ดีบุก ครั่ง งาช้าง ไม้กฤษณา เป็นต้น ขณะที่สินค้าที่สยามรับมาจากทางมลายูส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่นำเข้ามาจากอินเดียและประเทศทางตะวันตก เช่น เครื่องแก้ว เครื่องเทศ หวาย ผ้าจากอังกฤษและอินเดีย โดยเฉพาะสินค้าประเภทผ้าจากอินเดียนั้น ถือว่าเป็นที่ต้องการของสยามเป็นอย่างมาก ทั้งผ้าแพรพรรณชั้นดีและผ้าฝ้ายราคาถูกโดยมีกรมพระคลังวิเสศ มีหน้าที่ติดต่อซื้อขายผ้ากับประเทศอินเดีย เวลาต่อมาเมื่อมีการทำสนธิสัญญาเบาว์ริง เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๘ สยามเปิดเสรีการค้ากับประเทศตะวันตก ในช่วงเวลานี้นอกจากเป็นยุคเฟื่องฟูของการส่งออกสินค้าทางการเกษตร ได้แก่ ข้าวและน้ำตาล ยังถือว่าเป็นยุคที่กิจการนำเข้าส่งออกสินค้าระหว่างประเทศเจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างมากโดยที่บริษัทของเอกชนเริ่มเข้ามามีบทบาท ซึ่งกิจการนำเข้าส่งออกสินค้าส่วนหนึ่งอยู่ในมือของกลุ่มพ่อค้ามุสลิม เช่น กลุ่มพ่อค้าชาวอินเดียจากแคว้นสุรัต ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานและบริษัทอยู่ใกล้สุเหร่าตึกแดงหรือมัสยิดกุวติลอิสลาม ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ในย่านคลองสาน มีตระกูลสำคัญ เช่น นานา วงศ์อารยะ ฯลฯ กลุ่มมุสลิมมุอ์มิน ดาวูดีโบห์รา เป็นพ่อค้าชาวอินเดียจากแคว้นกุจราต เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่มัสยิดเซฟีหรือมัสยิดตึกขาวในย่านคลองสาน ทำการค้าขายสินค้าประเภทผ้าแพร ดิ้นเงินดิ้นทอง เพชรพลอย เครื่องเทศ เครื่องหอม เมื่อข้ามจากฝั่งคลองสานมายังบริเวณท่าราชวงศ์ ทรงวาด และย่านสำเพ็ง ซึ่งเป็นย่านการค้าของชาวจีน พบว่ามีห้างร้านของมุสลิมชาวอินเดียเปิดอยู่ด้วยเช่นกัน ทั้งที่เป็นการขยายกิจการของกลุ่มพ่อค้ามุสลิมจากฝั่งคลองสานและที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานเพิ่มเติมในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา โดยกิจการของกลุ่มพ่อค้ามุสลิมที่แทรกตัวอยู่ในย่านการค้าของชาวจีน ส่วนใหญ่เป็นร้านนำเข้าผ้าจากต่างประเทศและร้านค้าขายเพชรพลอย ในซอยวาณิช ๑ หรือตรอกสำเพ็ง บริเวณทางด้านย่านวัดเกาะหรือวัดสัมพันธวงศ์ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นที่ตั้งร้านค้าของแขกมลายู น่าจะรวมถึงพ่อค้ามุสลิมจากอินเดียด้วย โดยมากเป็นร้านขายสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ เช่น เครื่องแก้ว เครื่องเงินเครื่องทอง ดังที่ปรากฏในตอนหนึ่งของนิราศจันทบุรี-กรุงเทพฯ แต่งโดยหลวงบุรุษประชาภิรมย์ (กี้ บุณยัษฐิติ) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๘ นอกจากนี้ในซอยวาณิช ๑ ทางด้านย่านวัดเกาะ ยังมีกิจการที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือร้านค้าเพชรพลอย ส่วนใหญ่มีเจ้าของเป็นชาวมุสลิมจากอินเดียใต้ ในหนังสือ กรุงเทพฯ เมื่อวานนี้ ของ กาญจนาคพันธุ์ (ขุนวิจิตรมาตรา) ได้มีการกล่าวถึงกลุ่มพ่อค้าแขกที่ขายเพชรพลอยในย่านสำเพ็งว่า “ทางสุดปลายถนนสามเพ็ง จวนออกวัดกะละหว่า (โบสถ์กาลหว่าร์-ผู้เขียน) หรือห้างเคี่ยมฮั่วเฮงซึ่งข้าพเจ้าเคยไปได้เห็นแขกพวกหนึ่งจะเป็นพวกอะไรไม่ทราบ ตั้งร้านขายเพชรพลอย มีร้านใหญ่เรียกว่า “แขกด่าง” เป็นแขกและมีด่างจริง ๆ ตามร่างกายทั้งตัวและหน้าตา ... ขายเพชรพลอยแท้และเพชรพลอยเทียมสำหรับไปแต่งหรือประดับเครื่องละครและยี่เก ร้านแขกแถวนั้นยังมีอีกสองสามร้าน ... เจ้าของร้านเห็นนุ่งแต่โสร่ง ไม่ได้แต่งอย่างแขกเปอร์เซียหรือฮินดู หรือปาทาน” ปัจจุบันยังคงมีร้านขายพลอยและพวกหินสีแบบต่าง ๆ เปิดอยู่หลายร้าน ซึ่งล้วนเป็นกลุ่มชาวมุสลิมที่มีพื้นเพมาจากอินเดียใต้ทั้งนั้น แต่ร้านเก่าแก่ที่ยังดำเนินกิจการอยู่มีเพียงไม่กี่ร้าน เช่น ร้าน อี. เอ็ม. อาลี เปิดดำเนินกิจการมากว่า ๑๐๐ ปี คุณระห์มาน อีเอ็ม ผู้สืบทอดกิจการร้านต่อจากคุณพ่อเล่าถึงความเป็นมาของร้านว่า “สมัยก่อนคุณอาของคุณพ่อเข้ามาเปิดร้านอยู่ก่อน แล้วจึงให้คุณพ่อมาจากอินเดียเพื่อมาช่วยงาน แต่เกิดเหตุอย่างไรไม่รู้ ทางคุณอามีเหตุจำเป็นที่ต้องกลับไปยังอินเดีย จึงปล่อยกิจการให้ทางคุณพ่อทำเรื่อยมา ... ท่านเริ่มสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยการนำพลอยใส่กระเป๋า แล้วเดินทางไปขายยังจังหวัดต่าง ๆ ทั้งเชียงใหม่ แปดริ้ว ฉะเชิงเทรา เมื่อมีทุนมากขึ้น จึงกลับมาเปิดร้านพลอยที่นี่อีกครั้ง” “ส่วนใหญ่พวกพ่อค้าพลอยที่นี่เป็นมุสลิมมาจากอินเดียใต้เกือบทั้งนั้น มีจากอาหรับเพียงร้านเดียว แล้วมีคนจีนกับพวกแขกกลุ่มโบห์ราอยู่ร้านสองร้าน พลอยที่ขายสมัยก่อนเป็นพลอยแท้มาจากจันทบุรี พม่า ซึ่งเป็นทับทิม ส่วนเขมรเป็นพลอยไพลินส่วนใหญ่ มีที่นำเข้ามาจากยุโรปบ้าง แต่ปัจจุบันส่วนใหญ่ที่ขายเป็นพวกพลอยรัสเซียร้านไม่ได้ทำเครื่องประดับขาย แต่ขายพลอยก้อนหรือพลอยเม็ด ช่างที่ทำเครื่องประดับในสมัยก่อนนั้น ส่วนมากเป็นชาวจีนไหหลำที่มักมาหาซื้อพลอยจากร้านต่าง ๆ ในย่านนี้” ในอดีตย่านวัดเกาะยังเป็นแหล่งขายผ้าของพ่อค้าชาวอินเดียอีกด้วย ผ้าส่วนใหญ่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ถ้าใครที่จะเดินทางไปต่างประเทศจะต้องมาซื้อผ้าที่นี่เพื่อไปตัดเป็นชุดกันหนาวกันทั้งนั้น เพราะมีพวกผ้าขนสัตว์ ผ้าสักหลาด ที่ให้ความอบอุ่น แต่ปัจจุบันที่ซอยวานิช ๑ ร้านขายผ้าที่นำเข้าจากต่างประเทศไม่หลงเหลืออยู่อีกแล้ว คงมีแต่ร้านขายพลอย เครื่องประดับ และร้านขายเชือก อวน แห ซึ่งเป็นกิจการที่ขยายตัวเข้ามาภายหลัง ส่วนทางด้านการประกอบศาสนกิจประจำวันของชาวมุสลิมในย่านนี้ ในอดีตบางแห่งมีการทำบาแลขนาดเล็กไว้ใช้ประกอบพิธีร่วมกัน เช่น ภายในซอยวาณิช ๑ เคยมีบาแลตั้งอยู่บนชั้น ๒ ของอาคารตึกแถวที่ด้านล่างเปิดเป็นร้านค้าขาย แต่ต่อมาเมื่อบาแลดังกล่าวไม่มีแล้ว ชาวมุสลิมในย่านนี้จะไปรวมตัวกันอยู่ที่ “สุเหร่าใหญ่” ซึ่งหมายถึง มัสยิดหลวงโกชาอิศหาก หรือ สุเหร่าวัดเกาะ ซึ่งเป็นมัสยิดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางย่านการค้าของชาวจีนบนถนนทรงวาด สร้างขึ้นบนที่ดินของหลวงโกชาอิศหาก (เกิด บินอับดุลลาห์) ต้นตระกูลสมันตรัฐ ล่ามแขกมลายูแห่งกรมท่าขวาในสมัยรัชกาลที่ ๕ เพื่อให้กลุ่มพ่อค้าชาวมุสลิมที่อาศัยเปิดกิจการและเดินทางมาติด “เดินเบียดเสียดเยียดยัดกันอัดออ ถึงห้างหอหน้าวัดเกาะพิเคราะห์ดู ล้วนตึกห้างอย่างแขกทำแปลกเพศ จรัลเขตตรงแน่วแนวผลู พวกแผนกแขกชวามลายู มาตั้งอยู่เรียงเรียดร้านเหยียดยาว สินค้าขายก่ายกองล้วนของเทศ งามวิเศษสลับศรีพื้นที่ขาว เครื่องเงินทองก่องแก้วดูแวววาว ของระนาวผูกระโยงห้อยโตงเตง แต่งโดย หลวงบุรุษประชาภิรมย์ (กี้ บุณยัษฐิติ) ธุรกิจการค้าต่าง ๆ ในย่านนี้ได้ใช้ในการประกอบศาสนกิจร่วมกันส่วนพื้นที่ทางด้านหลังมัสยิดถูกแบ่งไว้เป็นกุโบร์ (หลุมฝังศพ) ร่างของหลวงโกชาอิศหากและบรรพบุรุษของคนในตระกูลสมันตรัฐล้วนฝังอยู่ในกุโบร์แห่งนี้ รวมไปถึงขุนนางมุสลิมจากหัวเมืองทางใต้และกลุ่มพ่อค้าชาวมุสลิมในย่านนี้ ซึ่งมีทั้งอินเดียและจีนฮ่อที่เคยเข้ามาค้าขายในย่านนี้ด้วย ปัจจุบันมัสยิดหลวงโกชาอิศหากอยู่ในความดูแลของตระกูลสมันตรัฐ ซึ่งยังเปิดให้มุสลิมโดยทั่วไปเข้ามา ใช้ประกอบศาสนกิจได้ นอกจากบริเวณย่านวัดเกาะที่ซอยวานิช ๑ แล้ว ทางด้านถนนราชวงศ์และถนนอนุวงศ์ ในอดีตก็เป็นที่ตั้งบริษัทห้างร้านของกลุ่มพ่อค้าชาวมุสลิมเช่นเดียวกัน เช่น ที่ถนนอนุวงศ์ เดิมเคยเป็นที่ตั้งของอาคารสำนักงาน ห้าง เอ. ที. อี. มัสกาตี [A.T.E. Maskati] ผู้ผลิตและจำหน่ายผ้าลายที่มีชื่อเสียงอย่างมากตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา แต่ในปัจจุบันอาคารของห้างมัสกาตีถูกรื้อไปหมดแล้ว แต่ที่บริเวณหัวมุมถนนทรงวาดมีตึกโบราณที่เรียกกันว่า “ตึกแขก” มีลักษณะสถาปัตยกรรมที่ใกล้เคียงกับอาคารมัสกาตี คือมีการประดับลวดลายฉลุไม้แบบเรือนขนมปังขิง ซุ้มหน้าต่างทำเป็นทรงโค้งแหลม [Pointed Arch] แบบสถาปัตยกรรมโกธิค เป็นไปได้ว่าในอดีตอาจจะเป็นห้างร้านของกลุ่มพ่อค้ามุสลิมเช่นเดียวกัน นอกจากนี้บริเวณถนนอนุวงศ์ในปัจจุบัน ยังมีตึกแถวเก่าแก่ของตระกูลนานาที่เคยเปิดทำเป็นธุรกิจนำเข้าและส่งออกสินค้าหลงเหลืออยู่อีกด้วย อ้างอิง กาญจนาคพันธุ์. นามแฝง. (๒๕๔๕). กรุงเทพฯ เมื่อวานนี้. กรุงเทพฯ : สารคดี. จุฬิศพงศ์ จุฬารัตน์. (๒๕๔๖). ขุนนางกรมท่าขวา การศึกษาบทบาทและหน้าที่ในสมัยอยุธยาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ พ.ศ. ๒๕๑๓-๒๔๓๕. กรุงเทพฯ : โครงการเผยแพร่ผลงานวิชาการ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. บุรุษประชาภิรมย์ (กี้ บุณยัษฐิติ). หลวง. นิราศจันทบุรี-กรุงเทพฯ. พิมพ์แจกเป็นที่ระลึกเนื่องในงานทอดผ้าป่าเจ็ด วัดที่จังหวัดจันทบุรี ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๐๕. ขอบคุณ คุณระห์มาน อีเอ็ม เจ้าของร้าน อี. เอ็ม. อาลี อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ร้านยาหมอหวาน : การรื้อฟื้นตำรับยาไทยอันท้าทาย "ยุคสมัยเที่ยววัดเที่ยววัง"
เผยแพร่ครั้งแรก 26 ก.ค. 2559 เล่ากันในครอบครัวของหมอหวานว่า เริ่มแรกหมอหวานตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณแยกถนนอุณากรรณที่ต่อกับย่านชุมชนถนนบ้านลาวที่กลายมาเป็นถนนเจริญกรุงในเวลาต่อมาซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของวัดสุทัศน์ฯ ต่อมาจึงย้ายมาอยู่ฟากถนนตีทองที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกใกล้กับถนนบำรุงเมือง แม้ไม่ได้สร้างเป็นอาคารร้านค้าริมถนนแต่ก็อยู่ในจุดที่สามารถเดินเท้าเข้าถึงได้จากถนนทั้งสองแห่งทั้งถนนตีทองและถนนบำรุงเมือง ร้านยาหมอหวานเป็นตึกสวยออกแบบตามสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลสร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๗ หน้าอาคารมีตัวอักษรแปลกตาเขียนติดกันว่า “บำรุงชาติสาสนายาไทย” ถัดลงมามีสัญลักษณ์ตาเหลวและชื่อหมอหวาน เจ้าของผู้สร้างอาคารหลังนี้ ที่ร้านหมอหวานในปัจจุบัน ทายาทรุ่นเหลนตา “ภาสินี ญาโณทัย” และคณะ ศึกษาและค้นคว้าหลักฐานจากสมบัติตกทอดสืบกันมาภายในบ้าน พบว่ามีฉลากยาเก่าเขียนว่า “ร้านขายยาไทยตราชะเหลว” ของหมอหวานตั้งอยู่มุมถนนอุณากรรณแสดงว่าหมอหวานน่าจะมีกิจการปรุงยามาตั้งแต่ก่อนสร้างบ้านหมอหวานหลังนี้นานพอสมควร เพราะสามารถสร้างบ้านเป็นตึกหลังงามขนาดย่อมบนที่ดินของตนเองและเป็นบ้านตึกที่แสดงถึงฐานะอย่างภูมิฐาน ร้านยาหมอหวานนั้นสร้างขึ้น ๑ ปีภายหลังจากมี “พระราชบัญญัติการแพทย์พุทธศักราช ๒๔๖๖” ซึ่งมีเนื้อความว่า การรักษาโรคนั้นเป็น “การประกอบโรคศิลปะ” ที่มีอิทธิพลต่อสวัสดิภาพของประชาชน กรุงสยามยังไม่มีระเบียบบังคับควบคุม ประชาชนยังไม่มีความคุ้มครองจากอันตรายอันอาจจะเกิดจากการประกอบโดยผู้ไร้ความรู้และไม่ได้ฝึกหัด เป็นต้น ในพระราชบัญญัตินี้กล่าวเฉพาะถึงการปรุงยาเท่านั้นแต่ยังไม่ได้ครอบคลุมถึงการขายยาด้วย ต่อมาเมื่อมีพระราชบัญญัติเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๔๗๒ จึงควบคุมให้สถานขายยา การโฆษณายาต่าง ๆ ให้อยู่ในการประกอบโรคศิลปะด้วย การแพทย์แบบสากลคือแบบตะวันตกได้แพร่หลายเข้ามามากและเป็นระยะเวลานานแล้ว อาจจะถือว่าเริ่มต้นเมื่อมีการสร้างโอสถศาลาของมิชชันนารีชาวอเมริกันตั้งแต่เมื่อครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว “หมอบรัดเลย์” เปิด “โอสถศาลา” ขึ้นเป็นที่แรกในสยามราว พ.ศ. ๒๓๗๙ เพื่อทำการรักษา จ่ายยาและหนังสือเกี่ยวกับศาสนาให้กับคนไข้ จนเริ่มมีการสร้างโอสถศาลาตามหัวเมืองต่าง ๆ โดยรัฐในเวลาต่อมาเมื่อสมัยรัชกาลที่ ๕ ในพระราชบัญญัติ พ.ศ. ๒๔๖๖ เแบ่งการแพทย์เป็น ๒ แผน คือ แพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์แผนโบราณ โดยแพทย์แผนโบราณแบ่งออกเป็น ๔ สาขา ได้แก่ สาขาเวชกรรมแผนโบราณ เภสัชกรรมแผนโบราณ ผดุงครรภ์แผนโบราณ และสาขานวดแผนโบราณ ดังนั้นทั้งการปรุงยาและการขายและโฆษณายาต่าง ๆ จึงถูกควบคุมด้วยพระราชบัญญัติการแพทย์มาตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ ๖ และร้านหมอหวานก็อยู่ในขอบข่ายของการควบคุมดังกล่าวและทำใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย จากหลักฐานที่เหลืออยู่ที่บ้านหมอหวาน ภาสินีพบว่ามีหูฟังและปรอทวัดไข้เหมือนแพทย์แผนปัจจุบันและขวดยาที่ตั้งไว้ภายในร้านก็มีตัวอักษรภาษาอังกฤษกำกับอยู่ด้วย ด้วยจากยาที่เป็นยาต้มยาหม้อ ยาผงแต่ส่วนใหญ่ยาที่เหลือติดก้นขวดจะเป็นยาเม็ด และมีบล็อกพิมพ์ แสดงถึงการปรับตัวจากยาไทยให้เป็นยาเม็ดแบบฝรั่ง การตรวจรักษาก็นำการแพทย์แผนตะวันตกเข้ามาผนวก หมอหวานจึงเป็นบุคคลประเภทผสานความรู้ทั้งของดั้งเดิมและแบบแผนสมัยใหม่ในทางการแพทย์แผนปัจจุบันซึ่งเป็นสากลเมื่อเปิดร้านยานี้ การแพทย์ท้องถิ่นและการรักษาโดยยาท้องถิ่นถือเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้คนที่สืบทอดกันมาและมักเป็นความรู้ที่อยู่กับวัด อันเป็นสถานศึกษาแบบเดิม มีตำรายาต่าง ๆ มากมายที่เก็บรักษาไว้ตามวัด หมอสมุนไพรก็มักเป็นพระสงฆ์ตามวัดเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีตระกูลของหมอยาผู้รู้ต่าง ๆ เก็บรักษาตำรายาและความรู้อยู่ในตระกูลตามบ้านอีกจำนวนมาก การรักษานั้นส่วนใหญ่ควบคู่ไปกับการรักษาแบบจารีตและความเชื่อ จึงดูไม่เป็นสากลแบบสมัยใหม่ตามระบบวิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์ที่เป็นกระแสครอบงำโลกยุคสมัยใหม่ [Modernization] ในช่วงเวลาดังกล่าว เมื่อมีกฎหมายควบคุม หมอไทยและหมอพื้นบ้านเริ่มรู้สึกไม่มั่นคงในอาชีพ บางส่วนต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ทำเพราะส่วนใหญ่เป็นการรับสืบทอดความรู้และการฝึกฝนกันในตระกูลหรือเรียนจากพระจากตำราวัด และไม่ได้เรียนในระบบและมีใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะ ปรุงยาก็กลัวว่าจะมีความผิด ทำให้บางส่วนก็เลิกอาชีพไป ตำรายาหลายขนานก็หายไป จนเริ่มมีความนิยมนำยาไทย สมุนไพรต่าง ๆ มาเผยแพร่อีกครั้งโดยการแพทย์ทางเลือกที่มีการผลิตสมุนไพรต่าง ๆ และแพทย์แผนไทยที่เปิดสอนในหลายสถาบันในระยะราว ๒๐-๓๐ ปีที่ผ่านมา ภาสินีได้รับรู้จากคำบอกเล่าของบรรพบุรุษว่า หมอหวานมีโอกาสได้ถวายการรักษาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ และได้รับพระราชทานกล่องไม้จากพระธิดาพระองค์หนึ่งว่า “ขอบใจหมอหวาน ที่ช่วยปรนนิบัติเสด็จพ่อ เมื่อคราวประชวร” หมอหวานอาจจะเข้าไปตรวจรักษาพระองค์ท่านเมื่อคราวประทับอยู่ที่วังเดิมเชิงสะพานถ่านหรือวังสะพานถ่านที่ตั้งอยู่บนถนนตีทอง ไม่ไกลจากบ้านหมอหวานที่ถนนอุณากรรณนัก ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวสร้างวังพระพระราชทานบนที่ดินพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และย้ายไปประทับอยู่ ณ วังเทวะเวศม์ แถบบางขุนพรหม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๗ ก่อสร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๑ ต่อมาบริเวณวังสะพานถ่านถูกรื้อและกลายเป็นตลาดบำเพ็ญบุญ หมอหวานปรุงยาแผนโบราณหลายตำรับ ทั้งยาระบาย ยากวาดคอเด็ก ยาหอม ยาแก้ปวดหัวตัวร้อน เป็นร้านยาสำหรับชาวบ้านในพระนครทั่วไป มีคนไข้มารักษาที่บ้านบ้าง มาซื้อยาไปรักษาเองบ้าง บ้านหมอหวานจึงเป็นทั้งคลินิกรักษาและสถานที่ปรุงยา และเมื่อย้ายสถานที่อยู่อาศัยและปรุงยาจากมุมถนนอุณากรรณมาเป็นถนนตีทองและบำรุงเมือง ฉลากยาก็เปลี่ยน ในฉลากยาจะมีเขียนไว้ว่าขายส่งขายปลีก และน่าจะขายดีมากเพราะมีการปลอมเกิดขึ้น ต้องทำฉลากยาที่บางชิ้นเขียนว่า “ของหมอหวานแท้ต้องมีตราหมอหวาน” ลงในเอกสารกำกับยาซึ่งจะเว้นที่ไว้ เข้าใจว่าเตรียมไว้สำหรับเอาตราประทับลงไป พบตราประทับประมาณ ๔-๕ แบบ แบบแรก ๆ จะเป็นแบบลายมือแล้วพัฒนามาเป็นแบบกึ่งพิมพ์ ซึ่งพิมพ์ที่ถนนตีทองนี่เอง ยาหมอหวานจึงมียี่ห้อขึ้นมาในช่วงนั้น และถึงช่วงเวลาที่กำลังสร้างตึกหลังนี้ ก็เริ่มมีการใส่ประโยคที่ว่า “บำรุงชาติสาสนายาไทย” ลงไปในเอกสารกำกับยาตั้งแต่อยู่ที่ถนนอุณากรรณก่อนย้ายมาที่นี่ และตำรับ “ยาหอมมหาสว่างภพ” มีเอกสารกำกับยาเป็นเล่มเพราะสรรพคุณมากมายและพิมพ์เป็นจำนวนมาก สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นตำรับยาหอมที่ขายดีที่สุด ภาสินียังค้นพบเรื่องราวของหมอหวานด้วยตนเองต่อไปอีกคือ โครงสร้างของบ้านหมอหวานแบ่งออกเป็นสองส่วนชัดเจน แต่หากมองจากด้านหน้าเข้ามาแล้วเหมือนมีเพียงตึกเดียวที่คงออกแบบโดยสถาปนิกชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวอิตาเลียนซึ่งเข้ามารับราชการและที่ทำการรัฐบาล อาคารวังต่าง ๆ รวมทั้งออกแบบตึกแถวร้านค้า ซึ่งร้านหมอหวานก็น่าจะเป็นการออกแบบของสถาปนิกชาวต่างชาติท่านหนึ่งท่านใดในยุคนั้น ถัดไปคือบ้านไม้ที่เป็นเรือนพักอาศัยของคนในบ้าน ตัวตึกนั้นคงตั้งใจจะทำให้เป็นร้านขายยาแบบตะวันตกที่มีหน้าร้าน มีบานประตูสูง ด้านข้างมีการจัดแสดงสินค้าหน้าร้าน วางขวดยาเพื่อให้ทราบว่าที่นี่คือร้านขายยา ภายในร้านมีเคาน์เตอร์ยา ข้างหลังเคาน์เตอร์จะเป็นตู้ยาวางแสดงขวดยาหรือตัวยาต่าง ๆ และเมื่อตรวจสอบเอกสารเก่า ๆ ดูก็พบว่ามีตำรายาที่จดในสมุดฝรั่งบ้าง แต่สมุดไทยแบบผูกมากที่สุด และน่าจะเป็นสูตรยาหอมและมีหลายตำรับซึ่งยังตกทอดมาจนปรุงอยู่ถึงปัจจุบัน หมอหวานมีบุตรสาวที่เป็นคุณยายของภาสินี ซึ่งรับสืบทอดการปรุงยาร้านหมอหวานสืบมา โดยแต่งงานและมีบุตร ๓ ท่าน หนึ่งในหลานสาวของหมอหวานคือคุณป้าออระ วรโภคป้าของภาสินีซึ่งเกิดทันได้เห็นได้พบคุณตาคือหมอหวาน จำได้ว่าท่านเป็นคนที่พูดน้อย หน้าไม่ค่อยยิ้ม เหมือนเป็นผู้ใหญ่ที่ดุ อาเจ็กที่ขายยาพวกเครื่องยาสมุนไพรตรงเสาชิงช้าเล่าให้คุณภาสินีฟังว่า เมื่อครั้งเป็นวัยรุ่นก็เคยพบหมอหวาน ท่านมักเดินไปซื้อเครื่องยามาปรุงยาด้วยตัวเองเป็นประจำ หลังจากสงครามสงบหมอหวานก็ถึงแก่กรรมที่บ้านซึ่งท่านสร้างขึ้นมา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๘ รวมอายุของท่านราว ๆ ๗๗ ปี ป้าออระ วรโภค เรียนที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แล้วจึงข้ามฝั่งไปทำงานที่ศิริราช เป็นเลขาของคณบดีคณะเทคนิคการแพทย์เงินเดือนเดือนแรกที่ได้เอามาให้แม่ซื้อเครื่องบดยาไฟฟ้าที่ไม่ต้องใช้แรงคน เพราะมีแต่ผู้หญิงในบ้านเป็นส่วนใหญ่ เมื่ออายุ ๒๖-๒๗ ปี ท่านไปเรียนเภสัชกรรมไทยที่วัดโพธิ์เพื่อให้ได้ใบประกอบโรคศิลปะและรู้เรื่องราวเกี่ยวกับสมุนไพรและการปรุงยาที่มีการสอนกัน ช่วงนี้เป็นยุคที่ร้านหมอหวานยังมีลูกจ้างช่วยงานและการขายยายังเป็นไปด้วยดี เป็นรายได้หลักของครอบครัว ยายและป้าของภาสินีที่เป็นผู้หญิงและมีลูกมือท่านหนึ่งเป็นผู้ชายเป็นเสมือนเครือญาติ แต่ก็มีงานประจำมาช่วยหั่นยา บดยาปรุงยาในช่วงวันเสาร์อาทิตย์ ซึ่งต้องใช้แรงงานมาก หลังจากหมอหวานเสียชีวิตไปแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการผลิตลดลงไปจากเดิมมาก ยาบางตำรับก็ไม่ได้ทำเหมือนเช่นในสมัยหมอหวานยังมีชีวิตอยู่ แต่พอราว พ.ศ. ๒๕๒๖ บุตรสาวของหมอหวานที่เป็นยายของภาสินีเสียชีวิตลง จึงถึงจุดเปลี่ยนเพราะคิดว่าจะยุติกิจการไปและคืนทะเบียนทุกอย่างหมด แต่ลูกค้ากลุ่มที่ซื้อเก่าแก่ก็ยังขอให้ทำขาย แต่ผลิตกันอย่างไม่เป็นทางการรู้กันเองในหมู่ของลูกค้าเก่าแก่จนเมื่อราว ๗ ปีที่แล้ว ภาสินี ญาโณทัยจึงลาออกออกจากงานประจำก็มาทำเต็มตัว สานต่อกิจการที่แทบจะเลิกไปทั้งหมดแล้วขึ้นมาใหม่ ในท้องตลาดจึงมียาหอมหลากหลายสูตรให้เลือกซื้อหา แบ่งออกเป็นยาหอมที่มุ่งแก้ลมกองหยาบและกองละเอียด คนที่เป็นลมซึ่งเกิดจากลมกองหยาบจะมีอาการคลื่นไส้ ท้องเฟ้อ ส่วนคนที่เป็นลมซึ่งเกิดจากลมกองละเอียดเป็นลมเบื้องสูง มีอาการแน่นหน้าอกใจสั่น วิงเวียนหน้ามืด ยาหอมทั่วไปมีสมุนไพรที่มุ่งเน้นแก้ลมกองหยาบ ส่วนตัวยาแก้ลมกองละเอียดมีน้อย เพราะตัวยาแพง หากไปขายในท้องตลาดราคาแพงจะขายยาก หนึ่งในจำนวนยาหอมโบราณ มียาหอมตำรับหมอหวานที่ขึ้นชื่อด้วยสรรพคุณในการรักษามุ่งเน้นแก้ลมกองละเอียด จึงมีราคาค่อนข้างสูงกว่ายาหอมทั่วไป สมัยที่หมอหวานมีชีวิตอยู่ สืบเนื่องมาจนกระทั่งบุตรสาวมารับช่วงปรุงยาต่อนั้นเป็นช่วงที่มีตำรับยาแผนโบราณหลายขนาน มีทั้งยาสำหรับเด็ก เช่น ยากวาดคอเด็ก และยาสำหรับผู้ใหญ่ เช่น ยาลดไข้ ยาหอม ต่อมาขาดช่วงไป การปรุงยาหลายขนานจึงต้องเลิกไป เหลือเพียงยาหอมโบราณเพียง ๔ ตำรับของหมอหวาน ซึ่งเคยได้รับความนิยมอย่างมากในอดีต ปัจจุบันยังคงมีการถ่ายทอดทั้งกรรมวิธีและกระบวนการผลิตแบบดั้งเดิม ด้วยเครื่องมือโบราณที่ใช้ในการปรุงยาขายให้กับลูกค้ามากว่าร้อยปี ตำรับยาหอมของหมอหวาน ๔ ตำรับ ได้แก่ ๑. ยาหอมสุรามฤทธิ์แก้อาการใจสั่น เป็นลม บำรุงหัวใจ ทานเมื่อมีอาการครั้งละ ๑ เม็ด มีตัวยาสำคัญ คือ โสมเกาหลี พิมเสนเกล็ด อำพันทอง หญ้าฝรั่น ชะมดเช็ด คุลิก่า ๒. ยาหอมอินทรโอสถแก้เหนื่อยอ่อนเพลีย แก้ไอ แก้เสมหะ ทานเมื่อมีอาการครั้งละ ๓-๕ เม็ด ตัวยาสำคัญได้แก่ รากฝากหอม อบเชยญวน เห็ดนมเสือ หญ้าฝรั่น ชะมดเช็ด โคโรค ๓. ยาหอมประจักร์แก้จุกเสียดแน่นท้อง คลื่นไส้อาเจียน ทานเมื่อมีอาการครั้งละ ๕-๙ เม็ด ตัวยาสำคัญได้แก่ โสมเกาหลี พิมเสนเกล็ด ชะมดเช็ด หญ้าฝรั่น เหง้าขิงแห้ง ๔. ยาหอมสว่างภพ แก้อาการวิงเวียนหน้ามืด แก้ไขสวิงสวาย ทานเมื่อมีอาการครั้งละ ๕-๗ เม็ด ตัวยาสำคัญได้แก่ ใบพิมเสน พิมเสนเกล็ด หญ้าฝรั่น โสมเกาหลี ชะมดเช็ด ยาหอมทั้ง ๔ ตำรับ มีสรรพคุณที่คล้ายคลึงกันคือ เน้นการบำรุงหัวใจ บำรุงธาตุในร่างกายให้ทำงานเป็นปกติ แต่เพื่อความสะดวกในการเลือกใช้ของคนในยุคปัจจุบัน เราจึงพยายามจำกัดข้อความและสรรพคุณของยาแต่ละขนานให้ชี้เฉพาะเจาะจง เช่น ยาหอมสุรามฤทธิ์ มีสรรพคุณแก้อาการใจสั่น เป็นลมหมดสติ จุกแน่นหน้าอก “ยาหอม” มีตัวยาหลายชนิดที่หายากมาก บางอย่างต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศ เช่น “หญ้าฝรั่น” ที่มีราคาแพงมาก สรรพคุณใช้บำรุงหัวใจ หญ้าฝรั่นที่มีคุณภาพดีต้องมาจากสเปน กล่องหนึ่งน้ำหนักประมาณ ๔๐-๕๐ กรัม ราคา ๑๒,๐๐๐ บาท ราคาสูงมาก เป็นตัวยาสำคัญทางร้านไม่ต้องการลดทอนปริมาณตัวยาลง การปรุงยาแต่ละขนานต้องใช้ตัวยาจำนวนมาก ผู้ที่บดยาต้องใช้พละกำลังอย่างมาก ส่วนใหญ่จึงต้องให้ผู้ชายเป็นคนบดยาโดยใช้หินบดยา ส่วนวัตถุดิบหรือตัวยาต่าง ๆ ในสมัยก่อนมีชาวบ้านนำวัตถุดิบมาส่งให้ที่ร้านโดยตรง ดังนั้นโอกาสที่จะเลือกเฟ้นหาวัตถุดิบดี ๆ ที่มีคุณภาพมีลักษณะตรงตามตำรับยาตามสรรพคุณที่ระบุไว้ได้ง่าย แต่ในปัจจุบันวัตถุดิบถูกขนส่งมาเป็นทอด ๆ กว่าจะมาถึงมือเราก็ต้องผ่านพ่อค้าคนกลางมาถึงร้านค้า เราจึงมีโอกาสเลือกได้น้อยกว่าสิ่งที่พอจะทำได้คือสั่งซื้อจากร้านขายยาที่เราซื้ออยู่เป็นประจำ เช่น ร้านเจ้ากรมเป๋อ และร้านค้าสมุนไพรโบราณอื่น ๆ ปกติเมื่อยาเหลือน้อย ทางร้านก็จะผลิตเพิ่ม เคยมีบางครั้งต้องรอตัวยาสำคัญในการผลิตเป็นเวลานาน จนรู้สึกกังวลกลัวว่าจะผลิตไม่ทัน บางครั้งดินฟ้าอากาศไม่อำนวย เช่น ฝนตกไม่มีแดดพอที่จะตากเครื่องยาก็เป็นอุปสรรคในการปรุงยาเนื่องจากเครื่องยาส่วนที่เป็นสมุนไพรต้องตากแดดให้กรอบเพื่อที่จะบดได้ง่าย เมื่อบดเสร็จต้องนำมากรองส่วนละเอียดออกมา สำหรับส่วนที่หยาบก็นำไปบดใหม่ ทำอย่างนี้หลาย ๆ ครั้งให้เหลือน้อยที่สุด จนกระทั่งขั้นตอนการผสมยาโดยใช้หินบดยา ซึ่งต้องใช้แรงผู้ชายบดตัวยาให้เข้ากัน เสร็จแล้วนำมาผสมลงในโกร่งบดยาอีกครั้งหนึ่ง เป็นขั้นตอนที่ใส่ส่วนผสม เช่น พิมเสน หญ้าฝรั่น ชะมดเช็ด แล้วนำผงยาที่กรองไว้ผสมกับตัวยาอื่น ๆ อีกหลายสิบอย่าง ระยะเวลาตั้งแต่ซื้อเครื่องยาจนกระทั่งผลิตออกมาเป็นเม็ดยา ต้องใช้เวลานานเป็นสัปดาห์ แล้วแต่ว่ายาขนานใดใช้ตัวยามากน้อยเพียงใด ยาที่ผสมแล้วจะมีลักษณะคล้ายดินเหนียว นำมาหั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วนำมาปั้มเป็นเม็ดทีละเม็ด เมื่อทำเสร็จแล้วต้องนำมาตากแดดอ่อน ๆ อีกครั้งเพื่อไล่ความชื้น ห้ามตากแดดแรง เพราะกลิ่นของยาหอมจะระเหยไปหมด แล้วค่อยทยอยนำยาหอมที่หั่นไว้เป็นชิ้น ๆ มาผสมกับน้ำดอกไม้เทศ แล้วปั้นทีละเม็ด เครื่องปั้มก็ต้องใช้มือ เราไม่มีเครื่องจักรในการผลิตเลยแม้แต่น้อย เมื่อได้เม็ดยาแล้วนำมาใส่โถอบเก็บไว้ แล้วจึงนำมาบรรจุลงขวดหรือใส่ซองยาหอมสามารถเก็บไว้ได้นานนับปี แต่ที่สำคัญอย่าให้ถูกความชื้นและห้ามเก็บในตู้เย็น ช่วงฤดูฝนก็อย่าให้ถูกละอองฝน ยาหอมจะชื้นและสูญเสียสรรพคุณในที่สุด ตัวยาหายากและราคาแพง เช่น “ชะมดเช็ด” เพราะเป็นตัวยาที่หายากและราคาแพง ในสมัยก่อนหมอหวานเลี้ยงชะมดไว้ในกรงที่บ้าน เมื่อชะมดโตขึ้นจะขับไขสีขาวลักษณะคล้ายสีผึ้ง ขับออกทางผิวหนังตรงช่องอวัยวะเพศ เวลาที่ชะมดถ่ายจะไปเช็ดกับกรง สิ่งที่ชะมดเช็ดไว้เป็นไขสีขาวเข้มข้นติดกับกรง จะเอาไม้มาขูดตามกรงเพื่อเก็บไขน้ำมันหากเป็นช่วงฤดูร้อนชะมดจะไม่ค่อยขับไขนี้ออกมา ตัวยาก็จะขาดตลาด แต่ถ้าเป็นช่วงฤดูหนาวก็จะไม่มีปัญหาเรื่องนี้สรรพคุณของน้ำมันชะมด ช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง สิ่งสำคัญที่ได้จากชะมดเช็ดคือกลิ่น ตัวน้ำมันจากชะมดไม่ค่อยมีกลิ่นหอมเท่าใดนัก แต่เป็นตัวช่วยให้ตัวยาอื่น ๆ มีกลิ่นหอมทน หอมนาน จะเห็นได้ว่าเครื่องหอมต่าง ๆ เช่น เทียนหอม น้ำอบไทยจะมีส่วนประกอบของชะมดเช็ดเป็นตัวยาสำคัญ “คุลิก่า” เป็นเม็ดปรวดหรือเม็ดนิ่วในถุงน้ำดีของค่าง ก้อนคุลิก่าหายากจึงมีราคาแพงมาก ตามสรรพคุณยาโบราณ กล่าวว่ามีรสเย็น ใช้เป็นน้ำกระสายยาแทรกยาอื่น ๆ เป็นยาดับพิษร้อน ดับพิษกาฬ ดับพิษทั้งปวง กล่าวกันว่าราคากิโลกรัมละ ๑ ล้าน ๒ แสนบาท “เห็ดนมเสือ” เป็นตัวยาสำคัญใบยาหอมอินทรโอสถ บางช่วงจะหาไม่ได้เลย เพราะเป็นเห็ดที่เกิดจากน้ำนมเสือแม่ลูกอ่อน คัดไหลลงสู่พื้นดิน เมื่อเวลาผ่านไปจึงเกิดเป็นเห็ดต้นกลมสูง รูปร่างคล้ายร่ม มีรากเหมือนต้นไม้ เห็ดนี้มีสรรพคุณบำรุงกำลัง ครั้งสุดท้ายเราได้เห็ดนมเสือที่ฉะเชิงเทรา แปดริ้ว ราคาแพงมาก แต่ก็ต้องยอมเพราะไม่รู้จะไปหาที่ไหน ต้องอาศัยน้ำนมของเสือโคร่งเท่านั้น “อำพันทอง” เป็นของเหลวที่คัดหลั่งจากท้อง (ปลา) วาฬตัวผู้หลังผสมพันธุ์ เป็นต้น อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- “ไตเย็บใหม่” ร้านค้ากระดุมเก่าแก่ในย่านพาหุรัด
เผยแพร่ครั้งแรก 26 ก.ค. 2559 ตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นมีผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติและศาสนาเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นชาวจีน ชาวมอญ ชาวญวน ชาวลาว ชาวตะวันตก แม้แต่ชาวอินเดีย กลุ่มคนเหล่านี้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานเพื่ออยู่อาศัยและทำมาหากินตั้งแต่ก่อนช่วงที่มีการเริ่มสร้างเมืองขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย ล้วนส่งผลทำให้ประเทศเกิดการขยายตัวของประชากร เศรษฐกิจ และการค้าต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น เช่น ย่านเยาวราช ย่านสำเพ็ง ย่านพาหุรัด ฯลฯ ย่านพาหุรัดเป็นย่านการค้าแห่งหนึ่งที่มีความสำคัญ ในช่วงสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชบริเวณนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของชาวญวนที่อพยพเข้ามาอาศัยในประเทศไทย จนถึงช่วงรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดเหตุไฟไหม้จนทำให้ชาวญวนย้ายไปตั้งถิ่นฐานที่อื่นจึงทำให้เกิดเป็นที่ว่าง รัชกาลที่ ๕ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างถนนพาหุรัดขึ้น ในปี พ.ศ. ๒๔๔๑ และดำริให้สร้างตึกแถวริมถนนพาหุรัดทำให้มีคนอินเดียหรือแขกจำนวนมากเปิดเป็นร้านขายผ้าและสินค้านำเข้าจากประเทศอินเดียจนกลายเป็นย่านการค้าที่สำคัญ พาหุรัดกลายเป็นแหล่งค้าผ้าแห่งใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ สมัยก่อน เพราะความหลากหลายของสินค้านำเข้าประเภทผ้าจากต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีผ้าไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ชนิด ไม่ว่าจะเป็นผ้าจากประเทศอังกฤษ เช่น ผ้าดิบ ผ้าแฟนซี ผ้าคอตตอน ผ้ากันหนาวของประเทศอิตาลี และผ้าจากประเทศอื่น ๆ ทำให้ย่านพาหุรัดได้รับความนิยมจากลูกค้าคนไทยและต่างชาติในยุคที่มีการตัดเย็บชุดเสื้อผ้าสำหรับใส่เอง ซึ่งนอกจากผ้าที่เป็นองค์ประกอบหลักในการตัดชุดแล้วนั้น สิ่งที่สำคัญที่ขาดไม่ได้อีกอย่างหนึ่ง ก็คือ “กระดุม” และ “ลวดลายลูกไม้” เย็บปักต่าง ๆ สำหรับตกแต่งเพื่อให้ชุดเกิดความสวยงามมากขึ้น ร้านขายกระดุมเก่าแก่ที่สุดร้านหนึ่งในย่านพาหุรัด “ร้านไตเย็บใหม่” ตั้งอยู่บนถนนจักรเพชร เป็นร้านที่มีอายุ ๗๐ กว่าปีแล้ว ปัจจุบันมีการสืบทอดกิจการมาจนถึงรุ่นที่ ๓ ซึ่งคุณกิตติพงษ์ วงศ์มีนา เจ้าของร้านปัจจุบันกล่าวว่าชื่อร้านมีที่มาจากพี่ชายของคุณพ่อชื่อ ‘ไตเย็บ’ เป็นคนมุสลิมจากประเทศอิหร่านที่อยู่อาศัยในประเทศอินเดียและย้ายเข้ามาอยู่ในประเทศไทย เป็นผู้เปิดร้านไตเย็บใหม่คนแรกและยังเป็นชาวมุสลิมเพียงห้องเดียวที่อาศัยอยู่ในตึกแถวท่ามกลางคนจีนเช่นนี้ด้วย หลังจากคุณลุงเสียชีวิตไป คุณพ่อก็สืบกิจการต่อจากพี่ชาย และเปลี่ยนชื่อร้านใหม่เป็น “ร้านไตเย็บใหม่” กิจการขายกระดุมและลูกไม้สมัยก่อนไม่ได้มีร้านมากนัก บางครั้งจึงมีนางสนมจากในวังแวะมาซื้อลูกไม้นำไปติดมุ้งและคุณหญิงคุณนายเข้ามาซื้อกระดุมย่านพาหุรัดกันเป็นจำนวนมาก กระดุมที่นำเข้ามาขายรุ่นแรก ๆ ส่วนใหญ่จะมาจากทางฝั่งยุโรป เช่น ประเทศออสเตรีย เยอรมนี หรือเชโกสโลวาเกีย ทั้งสามประเทศนี้จะมีการผลิตกระดุมเป็นจำนวนมาก เพราะเป็นประเทศที่มีวัตถุดิบในการทำกระดุมเยอะ ส่วนลำดับการนำเข้ามาของกระดุม คุณกิตติพงษ์เล่าว่า “จะเริ่มจากกระดุมแก้วของเยอรมันและเชโกสโลวาเกียก่อน แล้วตามมาด้วยกระดุมคริสตัลสวารอฟสกี้ของประเทศออสเตรีย และกระดุมพลาสติกของประเทศไต้หวัน ส่วนกระดุมไฟเบอร์ของฝรั่งเศสจะเป็นกระดุมแบบที่นำแก้วคริสตัลไปหลอม กระดุมของไทยก็มีกระดุมพลาสติกของวีนัส” การสั่งกระดุมสมัยแรกจะนำเข้าโดยการสั่งทางจดหมาย ซึ่งใช้เวลาประมาณ ๒-๓ อาทิตย์ต่อครั้ง ต่อมาพัฒนามาเป็นการใช้เครื่องแฟกซ์ที่ช่วยย่นระยะเวลาในการสั่งกระดุมเข้ามาได้มาก และปัจจุบันจะสั่งของนำเข้าด้วยอีเมลแทน ในการสั่งกระดุมนำเข้าต่อครั้งต้องสั่งทีละหลาย ๆ กุรุส [Gross] ๑ กุรุสของกระดุมจะเท่ากับ ๑๔๔ เม็ดหรือ ๑๒ โหล ส่วนการขนส่งกระดุมจะมีการนำเข้ามา ๒ แบบด้วยกัน คือ ทางเรือ โดยเรือเข้ามาเทียบท่าที่คลองเตยและแหลมฉบัง จากนั้นชิปปิ้งจะนำสินค้ามาส่งให้ที่ร้านและทางเครื่องบิน ปัจจุบันจะมีการขนส่งสินค้าเข้ามาทางเรือในกรณีที่สินค้ามีน้ำหนักมากและทางเครื่องบินหากมีน้ำหนักน้อย ราคาของกระดุมจะขึ้นอยู่กับประเภท ชนิด และวัสดุที่ทำโดยกระดุมที่ราคาแพงที่สุด คือ กระดุมเพชรจากสวารอฟสกี้ มีราคาถึง ๕๐ บาท เป็นราคาที่ยังไม่รวมค่าภาษี ในช่วงเวลาที่ค่าเงินดอลลาร์ต่อเงินบาทไทยอยู่ที่ ๒๕ บาทเท่านั้น ส่วนกระดุมที่ราคาถูกที่สุด คือ กระดุมพลาสติกที่ผลิตในไทยอย่างกระดุมวีนัส ซึ่งมีราคาไม่ถึง ๑ บาทต่อเม็ด คนสมัยก่อนนิยมใช้กระดุมสวยงามทำเสื้อผ้ากันมากไม่ว่าจะลูกค้าทั่วไปหรือลูกค้าเจ้าประจำของร้านไตเย็บใหม่อย่างร้านตัดเสื้อหรือร้านบูติคที่มีชื่อเสียง เช่น ร้านไทยบูติคหรือร้านดวงใจบีส ที่เคยตัดชุดถวายให้กับสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์อัครราชกุมารีมาแล้ว ถ้าตัดชุดหรูส่วนใหญ่ก็จะใช้กระดุมเพชรของสวารอฟสกี้แบบออริจินัลของต่างประเทศกัน “การซื้อขายกระดุมสมัยก่อนที่สภาพเศรษฐกิจดีมีคนเข้าร้านตลอดเพราะคนมีกำลังซื้อมากคนที่ไฮโซหน่อยก็ไปซื้อของแบรนด์เนมกัน แม้แต่การ์เมนต์ของร้านเสื้อ New City ของไทยก็ยังมารับกระดุมจากที่ร้านไป เขาก็ไปทำเสื้อผ้าส่งออกต่างประเทศแล้วคนไทยก็ซื้อกลับมาใส่อีก” ทุกวันนี้ความนิยมของการใช้กระดุมนำเข้าลดน้อยลงตั้งแต่ผู้คนเลิกนิยมการตัดชุดเสื้อผ้าสวมใส่เปลี่ยนมาเป็นการใช้เสื้อผ้าสำเร็จรูปตามห้างสรรพสินค้า ด้วยความสะดวกสบาย ราคาถูกกว่าและมีให้เลือกสรรได้หลายรูปแบบ ทำให้ร้านตัดชุดเสื้อผ้าหลายร้านต้องทยอยปิดตัวลง เพราะคนตัดชุดน้อยลง กระดุมและลูกไม้ที่ผลิตทางฝั่งยุโรปก็ผลิตได้น้อยลงรวมถึงกระดุมก๊อปปี้จากเมืองจีนมีเข้ามามากส่งผลให้กระดุมนำเข้าค้าขายได้ลำบากขึ้น แม้ตอนนี้จะมีคนเฉพาะกลุ่มที่ยังให้ความสนใจกระดุมเช่นนี้อยู่บ้าง เช่น ดีไซเนอร์ ร้านบูติคต่าง ๆ แต่ส่วนใหญ่จะเปลี่ยนแปลงไปใช้กระดุมแบบแฮนด์เมดกันมากขึ้น และลูกค้าประจำหลายร้านที่เป็นการ์เมนต์ส่งออกต่างประเทศตั้งแต่สมัยก่อนก็เหลืออีกเพียงไม่กี่เจ้าเท่านั้น พาหุรัดยังคงเป็นแหล่งค้าปลีกผ้าของคนในย่านเก่าสำหรับคนที่ต้องการเลือกซื้อผ้าแบบเฉพาะทางและหาไม่ได้จากแหล่งขายผ้าอื่น การเกิดใหม่ของแหล่งค้าผ้าหลาย ๆ ที่เริ่มกระจายตัวอยู่ตามย่านอื่นหรือตามห้างสรรพสินค้าติดแอร์มากขึ้น ทำให้คนมีทางเลือกในการเดินทางและสามารถเลือกซื้อผ้าได้สะดวกขึ้น เกิดผลให้การค้าขายของพาหุรัดเริ่มซบเซาลงมากทั้งการค้าผ้า อุปกรณ์การตัดเย็บชุดต่าง ๆ ไปจนถึงเรื่องของอาหารการกิน ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากการย้ายกลุ่มร้านค้าบริเวณสะพานเหล็กไปตั้งที่อื่นแทนด้วย ทำให้พาหุรัดในวันนี้อาจจะกลายเป็นแค่ย่านการค้าที่รุ่งเรืองมากครั้งหนึ่งเท่านั้น อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ทวารวดี – ศรีวิชัย : การทบทวนในเรื่องความหมาย
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ต.ค. 2550 ที่แล้วมา คำว่า “ทวารวดี” กับ “ศรีวิชัย” คือชื่อของสมัยเวลาทางประวัติศาสตร์การเมืองของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โบราณในช่วงเวลาตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๖ โดยนักประวัติศาสตร์โบราณคดีฝรั่งและไทยกำหนดจากการเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและวัฒนธรรมของราชอาณาจักรสองแห่ง พระพุทธรูปหินทรายแดงปางห้ามญาติที่เคยประดิษฐานอยู่ที่ซุ้มหน้าประตูพระอุโบสถที่วัดพระบรมธาตุไชยา ลักษณะท่าทางการยืนเป็นแบบพระพุทธรูปสมัยทวารวดี พระพักตร์แบบทวารวดี แต่นุ่งผ้าแบบศิลปะลพบุรี ทวารวดีเป็นราชอาณาจักรในภาคกลางที่มีมาก่อนตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๒ ส่วนศรีวิชัยเกิดขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ ลงมา นอกจากความเหลื่อมทางเวลาแล้วยังมีวัฒนธรรมทางศาสนาที่แตกต่างกัน โดยที่ทวารวดีเป็นรัฐที่นับถือพุทธศาสนาเถรวาท แต่ศรีวิชัยนับถือพุทธศาสนามหายาน อาณาจักรทวารวดีนั้น คนส่วนใหญ่คือคนมอญเหมือนกับพวกที่อยู่ในเมืองมอญของพม่า ในขณะที่คนส่วนใหญ่ในอาณาจักรศรีวิชัยเป็นคนมลายู ทั้งทวารวดีและศรีวิชัยในการรับรู้ของคนทั่วไปจึงเน้นอยู่ ๒ ประเด็นใหญ่ๆ คือเป็นอาณาจักร หรือรัฐที่มีศูนย์กลางแห่งอำนาจอยู่ที่เมืองหลวงอย่างหนึ่ง กับการเป็นสมัยเวลาทางวัฒนธรรมที่มีอาณาบริเวณกว้างไกลกว่าเขตแคว้นทางการเมืองอีกอย่างหนึ่ง มาบัดนี้ มีการพบข้อมูลหลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณคดีมากกว่าแต่เดิม อีกทั้งมีการค้นคว้าอดีตในลักษณะที่เป็นสหวิทยาการมากขึ้น จึงทำให้มีนักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดี นักมานุษยวิทยา และผู้รู้ในวิชาการด้านอื่นๆ ได้ศึกษาและตีความใหม่ๆ ขึ้น ที่มีลักษณะขัดแย้งกับแนวคิดและเนื้อหาเก่าๆ มากมาย ทำให้แลเห็นมุมมองและแนวคิดที่แตกต่างไปจากเดิม นักวิชาการรุ่นใหม่ส่วนมากไม่เห็นว่าทั้งทวารวดีและศรีวิชัยเป็นรัฐรวมศูนย์ที่เรียกว่า “ราชอาณาจักร” แต่กลับมองว่าเป็นเครือข่ายของนครรัฐที่คล้ายๆ กันกับสหพันธรัฐมาเลเซียในปัจจุบัน ที่มีการกำหนดให้สุลต่านผู้ปกครองรัฐผลัดเปลี่ยนกันมาดำรงตำแหน่งราชาธิราชของสหพันธ์ ความคล้ายคลึงกันจึงอยู่ที่การเน้นความเป็นศูนย์กลางอยู่ที่ตัวบุคคล แม้ว่าในปัจจุบันจะมีการกำหนดตำแหน่งของเมืองหลวงที่เป็นศูนย์กลางการปกครองตามระบบอประชาธิปไตยที่นครกัวลาลัมเปอร์ก็ตาม ข้าพเจ้าใคร่เรียกการรวมกลุ่มของนครรัฐแต่โบราณว่า “มณฑล” [Mandala] เพราะนักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่มักมีความเห็นว่ามีลักษณะเป็นขอบเขตของจักรวาลตามคติทางศาสนาของอินเดีย คำว่ามณฑลจึงเป็นสิ่งที่นำมาใช้แทนคำว่าอาณาจักรในเชิงโครงสร้างที่หลวมๆ และเป็นนามธรรม คือไม่มีการกำหนดเขตแดนที่เด่นชัด และเน้นความเป็นศูนย์กลางอยู่ที่กษัตริย์ที่ได้รับเลือกให้เป็นพระจักรพรรดิราชหรือมหาราชา ซึ่งเป็นเรื่องความสามารถเฉพาะตัวบุคคล ถ้าหากสิ้นพระชนม์ลงแล้ว ไม่มีบุคคลผู้สืบทอดที่มีอำนาจและบารมีพอ ก็จะเคลื่อนย้ายไปอยู่ที่กษัตริย์ในเครือข่ายของมณฑลซึ่งมีความสามารถและอำนาจบารมีเป็นที่ยอมรับ เหตุนี้ตำแหน่งเมืองสำคัญอาจจะไม่กำหนดอยู่กับที่ตายตัวก็ได้ อาจย้ายไปยังนครรัฐอื่นที่ได้รับการส่งเสริมให้เหมาะสมกว่า ดังเช่นกลุ่มนครรัฐศรีวิชัย ซึ่งไม่ได้เป็นอาณาจักร หากเป็นเพียงสหพันธรัฐเมืองท่าที่มีเครือข่ายมากมาย ทั้งหมู่เกาและคาบสมุทรมลายู ที่ในชั้นแรก เมืองสำคัญอาจอยู่ที่ปาเล็มบัง แต่ต่อมาก็อาจย้ายไปอยู่ที่ชวาและคาบสมุทรมลายูได้ ขึ้นอยู่กับความสำคัญของกษัตริย์ พระมหากษัตริย์องค์ใดก็ตามที่เป็นมหาราชา หรือราชาธิราช หรือจักรพรรดิราชนั้น นอกจากจะมีบุคลิกภาพและความสามรถเฉพาะองค์เป็นพิเศษแล้ว ยังทรงมีเครือญาติที่เกิดจากการกินดองกับบรรดากษัตริย์ที่อยู่ในกลุ่มสหพันธรัฐเดียวกันสนับสนุน โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางเครือญาติที่เกิดจากการกินดอง หรือการแต่งงานระหว่างกันนี้ คือฐานอำนาจที่เป็นรูปธรรมสำคัญในการที่ทรงได้รับการยกย่องและยอมรับ ทุกวันนี้ ความคิดเรื่องอาณาจักรศรีวิชัยเป็นราชอาณาจักร หรือแม้แต่การเป็นจักรวรรดิก็เปลี่ยนไปแล้ว อาจจะเรียกว่า “สหพันธรัฐเมืองท่า” [Port polity] หรือมณฑลก็ได้ ซึ่งข้าพเจ้าก็คิดว่าเป็นมณฑลของคนมาลายูมากกว่าของคนสยาม เพราะอยู่ในพื้นที่ที่เป็นบ้านเมืองในหมู่เกาะและคาบสมุทร ส่วนพื้นที่ซึ่งต่อมาเรียกว่าสยามประเทศนั้นอยู่เหนือคาบสมุทรขึ้นมายังผืนแผ่นดินใหญ่ที่ร่วมสมัยเดียวกัน แต่พื้นที่บนผืนแผ่นดินใหญ่เหนือคาบสมุทรมลายู ก็มีกลุ่มของนครรัฐที่มีเครือข่ายเป็นสหพันธ์เช่นเดียวกัน ที่บรรดานักวิชาการรุ่นเก่ากำหนดเรียกว่าเป็น “อาณาจักรทวารวดี” เพราะปรากฏชื่อที่จดหมายเหตุจึงจีนสมัยราชวงศ์ถังเรียกเมืองสำคัญแห่งหนึ่งว่า โต–โล–โป–ตี ซึ่งตรงกับคำภาษาสันสกฤตจากจารึก อันเป็นหลักฐานจากภายในว่า “ทวารวดี” เลยทึกทักว่าบริเวณภาคกลางของประเทศไทยเป็นที่ตั้งของอาณาจักรทวารวดีไป ข้าพเจ้าเห็นว่าวิธีเช่นนี้เป็นการเลือกเอาเมืองสำคัญเมืองหนึ่งท่ามกลางเมืองสำคัญอีกหลายเมืองมากำหนดให้เป็นศูนย์กลางของรัฐรวมศูนย์ ซึ่งแท้จริงแล้วในจดหมายเหตุจีนได้กล่าวทั้งหมดว่า มีเมืองสำคัญอยู่ ๕ แห่ง คือเมืองศรีเกษตร ซึ่งอยู่ในดินแดนประเทศพม่า เมืองหลั่งยะสิว เมืองโตโลโปตี ในดินแดนประเทศไทย เมืองอิศานปุระ ในดินแดนเขมร และเมืองมหาจัมปาในดินแดนจาม ซึ่งปัจจุบันเป็นประเทศเวียดนาม แผนที่กลุ่มรัฐศรีวิชัย [Srivijaya port polity] บรรดาเมืองสำคัญทั้ง ๕ แห่งนี้ ตั้งอยู่ในแนวตะวันตก-ตะวันออกเดียวกัน โดยเฉพาะเมืองหลั่งยะสิวกับโตโลโปตีที่อยู่ติดกัน แต่นักประวัติศาสตร์ฝรั่งยุคอาณานิคมกลับกำหนดให้เมืองหลั่งยะสิวเป็นเมืองลังกาสุกะ ที่อยู่บนคาบสมุทรมลายูแทน เพื่อให้เมืองโตโลโปตีครอบคลุมพื้นที่ในภาคกลางของประเทศไทยแต่เพียงเมืองเดียว ทั้งนี้ก็คงเพื่อให้แลเห็นความเป็นศูนย์กลางของรัฐทวารวดี โดยสร้างความผิดพลาดในตำแหน่งเมืองสำคัญไว้อย่างไม่น่าเชื่อ ก็คือได้เลือกเมืองหลั่งยะสิวในจดหมายเหตุจีนที่ในเอกสารท้องถิ่นสมัยอยุธยาเรียก “นครชัยศรี” (นครปฐมโบราณ) เป็นเมืองทวารวดีแทน เมืองทวารวดีตามชื่อเรียกในภาษาจีนว่าโตโลโปตีนั้น ตำแหน่งน่าจะอยู่ที่เมืองละโว้หรือลพบุรีมากกว่า เพราะเมืองละโว้หรือลพบุรีนี้ ในสมัยหลังลงมาได้มีเมืองอยุธยา หรือที่เรียกเต็มๆ ว่า “กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา” เกิดขึ้นมาแทนที่ ถ้าพิจารณาตามเนื้อผ้าในจดหมายเหตุจีน ข้าพเจ้าคิดว่าบรรดาเมืองสำคัญทั้ง ๕ เมืองนั้นล้วนเป็นกลุ่มนครรัฐที่เรียกว่ามณฑล ในภาคกลางของประเทศไทย มี ๒ มณฑล คือมณฑลนครชัยศรี กับมณฑลทวารวดี มณฑลนครชัยศรีตั้งอยู่ซีกตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ในบริเวณลุ่มน้ำท่าจีน-แม่กลอง ในขณะที่มณฑลทวารวดีตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ในบริเวณลุ่มน้ำลพบุรี-ป่าสัก เมืองสำคัญของมณฑลทวารวดีอยู่ที่เมืองละโว้ เพราะมีการพบเหรียญเงินสมัยทวารวดีที่มีจารึก “ลวปุระ” ในขณะเดียวกัน ก็พบเหรียญเงินทั้งในพื้นที่มณฑลนครชัยศรีและมณฑลทวารวดีที่มีจารึกล่าวถึง “บุญกุศลของพระราชาธิบดีแห่งศรีทวารวดี” เหรียญเงินมีจารึกนี้พบครั้งแรกที่นครปฐมโบราณ (นครชัยศรี) เลยทำให้เกิดความสมจริงตามนักปราชญ์ฝรั่งที่กำหนดเมืองนครชัยศรี หรือนครปฐมโบราณว่าเป็นเมืองทวารวดี แต่บัดนี้ เหรียญเงินที่กล่าวพระนามกษัตริย์แห่งศรีทวารวดีนั้นพบกระจายอยู่ทั่วไป จึงทำให้ข้าพเจ้าใคร่ตีความใหม่ว่า ชื่อทวารวดีนั้นมุ่งที่ตำแหน่งของพระมหากษัตริย์ผู้เป็นพระประมุขของมณฑลเป็นสำคัญ ซึ่งก็มีลักษณะเช่นเดียวกันกับคำว่าศรีวิชัย ที่มุ่งที่พระเจ้ากรุงศรีวิชัย ที่พบในที่ต่างๆ ตามเกาะและคาบสมุทรมลายู เรือเดินสมุทรเลียบชายฝั่งแบบศรีวิชัย ที่มี trigger ไว้คอยช่วยพยุง สลักไว้ ณ บูโรพุทโธ การพบจารึกที่กล่าวถึงชื่อเมืองละโว้ก็ดี หรือกล่าวถึง “บุญกุศลแห่งพระเจ้ากรุงทวารวดี” ก็ดี เป็นสิ่งที่ต้องนำมาตีความกันใหม่ ซึ่งในความเห็นของข้าพเจ้าคิดว่า มีความสัมพันธ์กันในเรื่องการแสดงเกียรติคุณของพระมหากษัตริย์แห่งศรีทวารวดี ในฐานะทรงเป็นจักรพรรดิราชหรือมหาราชา ที่ทั้งมณฑลนครชัยศรีและมณฑลทวารวดียกย่อง ซึ่งทำให้ในช่วงเวลาหนึ่ง ทั้งสองมณฑลน่าจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว แต่การรวมตัวทางการเมืองอันเนื่องมาจากพระบารมีและกุศลแห่งองค์จักรพรรดิราชนั้นเป็นเฉพาะชั่วรัชกาล ไม่มีอะไรยั่งยืน ทั้งนี้ต้องมองไปถึงองค์ประกอบของกลุ่มชาติพันธุ์ในแต่ละมณฑลด้วย เพราะเมื่อมาถึงราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ นั้น แลเห็นการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแล้ว มณฑลนครชัยศรีซึ่งอยู่ในพื้นที่ใกล้ทะเลกว่า มีการเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจสังคมสูง เพราะมีคนหลายชาติพันธุ์ ทั้งทางโพ้นทะเลและดินแดนภายใน [Hinterland] เคลื่อนย้ายไปมา เกิดการตั้งถิ่นฐานบ้านเมืองใหม่ๆ จนแลเห็นพื้นที่และผู้คนในนามของดินแดนสยามและคนสยามขึ้น ทั้งบริเวณชายทะเลและดินแดนภายใน ขณะที่มณฑลละโว้หรือทวารวดีนั้น การเคลื่อนไหวน้อย และดำรงความเป็นรัฐเก่า บ้านเมืองเก่าอยู่ จึงเห็นเหตุให้คนจีนที่เดินทางเข้ามาในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ บันทึกว่า มีกลุ่มบ้านเมืองอยู่ ๒ กลุ่ม คือเสียมหรือสยาม กับละโว้ และในพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ทั้งสองรัฐนี้ได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว โดยมีพระนครศรีอยุธยาเป็นศูนย์รวม เมื่อนำข้อความจากจดหมายเหตุจีนไปเทียบเคียงกับหลักฐานจากภายใน โดยเฉพาะพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาในรัชกาลของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ผู้สถาปนาพระนครศรีอยุธยาแล้ว ก็สอดคล้องกัน เพราะสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ซึ่งเป็นกษัตริย์ของละโว้ ทรงเป็นเขยของกษัตริย์สุพรรณภูมิในเขตสยาม เลยทำให้ทั้งสองรัฐและสองดินแดนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายใต้นครอยุธยาที่สถาปนาขึ้นใหม่ โดยย้ายจากเมืองอโยธยาเดิมทางฝั่งตะวันออกของลำน้ำป่าสักมาสร้างในพื้นที่ใหม่ที่ทำให้เป็นเกาะ และเป็นเมืองท่าที่เรือค้านานาชาติจากโพ้นทะเลเข้ามาถึง พระนครที่เป็นศูนย์รวมของทั้งสองดินแดน จึงมีนามใหม่อย่างเดิมว่ากรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา ที่ยังคงความสำคัญของทวารวดีไว้ อย่างไรก็ตาม การรวมมณฑลทั้งสยามและละโว้มาเป็นหนึ่งเดียวครั้งสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ นั้นก็หาสมบูรณ์ไม่ เพราะสิ้นรัชกาลของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ แล้ว พระมหากษัตริย์ทางฝ่ายสยามหรือสุพรรณภูมิก็เข้ามามีอำนาจ จนถึงพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ก็สร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ภายใต้ราชวงศ์สุพรรณภูมิ มีการปฏิรูประบบการปกครองที่สร้างอำนาจรวมศูนย์ให้แก่กรุงศรีอยุธยาในฐานะเป็นราชธานีของราชอาณาจักรสยามได้สำเร็จ ทำให้ดินแดนประเทศไทยทั้งหมดเป็นที่รู้จักกันในนามว่า “สยามประเทศ” มาจนปัจจุบัน แต่รัฐบาลที่โง่ๆ กลับเปลี่ยนชื่อนี้เป็น ประเทศไทย และคนไทยแทน บทบรรณาธิการวารสารเมืองโบราณ ปีที่ ๓๓ ฉ.๔ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๐)
- ขนมเต่าในเทศกาลหยวนเซียว
เผยแพร่ครั้งแรก 28 ก.ย. 2559 "ย่านตลาดน้อย" เป็นชุมชนชาวจีนที่มีการตั้งถิ่นฐานอยู่สืบกันมาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น บริเวณที่ตั้งของตลาดน้อยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก เป็นชุมชนที่ขยายตัวต่อเนื่องมาจากย่านสำเพ็งตั้งแต่แถบวัดปทุมคงคาเรื่อยมาถึงปากคลองผดุงกรุงเกษมทางด้านใต้ ชุมชนชาวจีนที่ย่านตลาดน้อยประกอบด้วยชาวจีนหลากหลายกลุ่ม กลุ่มที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานแรกสุด คือ ชาวจีนฮกเกี้ยน และได้สร้าง "ศาลเจ้าโจวซือกง" ขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๓๔๗ เพื่อเป็นศูนย์รวมของชาวจีนฮกเกี้ยน ถือว่าเป็นศาลเจ้าที่มีความเก่าแก่มากที่สุดในย่านตลาดน้อย เดิมเป็นวัดชื่อ "ชุนเฮงยี่" มีเทพประธานของศาลเจ้า คือ เทพโจวซือกงหรือหมอพระเช็งจุ้ยโจวซือ ซึ่งเป็นหมอพระที่ชาวฮกเกี้ยนให้ความเคารพนับถือ หยวนเซียวหรือหง่วนเซียวตามสำเนียงจีนแต้จิ๋ว เป็นงานเฉลิมฉลองส่งท้ายเทศกาลตรุษจีน จัดขึ้นในช่วงเดือนอ้ายตามปฏิทินจันทรคติ คำว่า หยวนเซียว ตามรูปศัพท์ภาษาจีนแปลว่า คืนแรกหมายถึงคืนเพ็ญแรกของปี เทศกาลหยวนเซียวจึงถือเป็นประเพณีรื่นเริงที่จัดขึ้นก่อนการเริ่มต้นทำกิจการงานในปีใหม่ เทศกาลหยวนเซียวถือเป็นประเพณีเก่าแก่อย่างหนึ่งของชาวจีน มีวิวัฒนาการมาจากการจุดประทีปเพื่อการบูชาเดือนดาวในช่วงเดือนอ้าย ตามลัทธิศาสนาดั้งเดิมของจีน ต่อมาเมื่อมีการยอมรับนับถือพระพุทธศาสนา ประเพณีดังกล่าวได้ถูกผสมผสานเข้ากับคติการจุดประทีปโคมไฟเพื่อเป็นพุทธบูชาในวันมาฆบูชาจึงทำให้กิจกรรมนี้แพร่หลายมากยิ่งขึ้นและกลายเป็นเทศกาลหยวนเซียว ตามประเพณีดั้งเดิมของจีนนอกจากการไหว้เจ้าและบรรพบุรุษแล้ว ยังมีการจุดประทีปโคมไฟและมีการจัดงานเทศกาลเที่ยวชมโคมไฟที่ถูกประดับประดาอย่างสวยงาม ปัจจุบันประเทศจีนและไต้หวันยังมีการจัดเทศกาลแสดงโคมไฟสวยงาม (The Lantern Festival) ในช่วงเทศกาลดังกล่าว นอกจากนี้ในอดีตยังนิยมเล่นปริศนาโคมที่มีการแต่งบทร้อยกรองเป็นปริศนาคำทายประกอบกับโคมไฟในเทศกาลอีกด้วย สำหรับชุมชนชาวจีนในไทย มีการจัดงานวันหยวนเซียวขึ้นตามศาลเจ้าต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน ในอดีตถือเป็นงานรื่นเริงที่มีความคึกคักเป็นอย่างมาก พบว่ามีทั้งการแห่โคม ชมโคม และการเล่นทายปริศนาโคมหรือเต็งหมี่ ที่เคยมีการพิมพ์รวบรวมปริศนาต่าง ๆ ไว้เป็นหนังสือแต่ในปัจจุบันความคึกคักของเทศกาลหยวนเซียวดังที่กล่าวมานี้เลือนหายไปมากแล้ว คงเหลือเพียงการเซ่นไหว้เทพเจ้าตามศาลเจ้าต่าง ๆ เท่านั้น เทศกาลโคมไฟที่ศาลเจ้าโจวซือกง งานเทศกาลหยวนเซียวยังคงเป็นประเพณีสำคัญในรอบปีของศาลเจ้าโจวซือกงย่านตลาดน้อย นอกเหนือไปจากเทศกาลตรุษจีน ทิ้งกระจาดและกินเจ งานวันหยวนเซียวจะจัดขึ้นภายหลังจากวันตรุษจีนราว ๑๕ วัน ดังเช่นปีนี้จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับวันมาฆบูชา ภายในวันงานชาวจีนโดยเฉพาะกลุ่มฮกเกี้ยนทั้งที่อาศัยอยู่ภายในย่านตลาดน้อยและจากที่อื่น ๆ ที่มีความศรัทธาในเทพเจ้าโจวซือกง ต่างเดินทางมาร่วมงานกันอย่างคึกคัก ผู้คนเริ่มทยอยมาที่ศาลเจ้าตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ของวันเรื่อยไปจนถึงช่วงหัวค่ำ พิธีกรรมที่ทำร่วมกันที่ศาลเจ้าในวันหยวนเซียว ประกอบด้วยการจุดเทียนเพื่อบูชาเทพเจ้า การเซ่นไหว้ของพรเทพเจ้าและทำบุญบำรุงศาลเจ้าด้วยการซื้อขนมมงคลต่าง ๆ ที่ศาลเจ้าเตรียมไว้โดยเฉพาะขนมเต่าซึ่งทำขึ้นเป็นพิเศษเฉพาะเทศกาลหยวนเซียวเท่านั้นจากนั้นในช่วงค่ำจะมีการแสดงงิ้วที่บริเวณด้านหน้าศาลเจ้า เพื่อถวายเทพเจ้าและเป็นมหรสพที่สร้างความรื่นเริงให้แก่คนทั่วไป ขั้นตอนการไหว้ในวันหยวนเซียวที่ศาลเจ้าโจวซือกงไม่มีความซับซ้อนมากนัก เริ่มต้นด้วยการนำเทียนคู่หนึ่งไปจุดที่บริเวณลานด้านหน้าศาลเจ้า ซึ่งทางศาลเจ้าได้เตรียมโต๊ะที่ด้านบนวางโครงเหล็กสำหรับเป็นเชิงเทียน ตำแหน่งที่จะวางเทียนมีทั้งที่ต้องจองไว้ก่อนล่วงหน้า เพื่อเลือกตำแหน่งปักเทียนตามต้องการ โดยจะมีการกำหนดตำแหน่งเป็นหมายเลขเอาไว้ คนที่จองล่วงหน้าอาจยึดตามเลขมงคลที่ตนเองเชื่อถือ หรือเลขทะเบียนรถ ทะเบียนบ้าน ผู้ทำพิธีที่มาเป็นประจำทุกปีมักจะจองกับศาลเจ้าไว้ก่อนและจะซื้อเทียนที่ศาลเจ้าเตรียมไว้ให้ ส่วนผู้ที่ต้องการนำเทียนมาเองก็สามารถทำได้เช่นกันโดยทางศาลเจ้าจะจัดที่ทางส่วนหนึ่งไว้ให้ การจุดเทียนประทีปเพื่อบูชาเทพเจ้าเช่นนี้ นอกจากคติความเชื่อเรื่องความเจริญรุ่งเรืองแล้ว ส่วนหนึ่งเชื่อว่ามีความสัมพันธ์กับการจุดประทีปบูชาในวันเพ็ญเดือนมาฆะอันเป็นผลมาจากการผสมผสานกับพระพุทธศาสนา เมื่อจุดเทียนแล้วจะเป็นขั้นตอนการไหว้ขอพรจากเทพเจ้าเริ่มต้นด้วยการไหว้ทีกงหรือไหว้ฟ้าดิน มีการตั้งโต๊ะไหว้ทีกงทางด้านหน้าของศาลเจ้า จากนั้นจึงค่อยเข้าไปภายในศาลเจ้าเพื่อทำการสักการะเทพอากงหรือเทพเจ้าโจวซือกง หมอพระที่ชาวฮกเกี้ยนให้ความเคารพนับถือ อันเป็นประธานของศาลเจ้าแห่งนี้ แล้วจึงทำการสักการะเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ที่ประดิษฐานอยู่ภายในศาลไม่ว่าจะเป็นเทพเจ้ากวนอู เจ้าแม่ทับทิม เทพตั่วเหล่าเอี้ย และ ๓๖ ขุนพลเทพเจ้าเป็นต้น ก่อนจะปิดท้ายด้วยการไหว้ทวารบาลที่ด้านหน้าประตูทางเข้าศาลเจ้า วันงานทางศาลเจ้ายังจัดเตรียมของไหว้และขนมมงคลแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นส้ม ขนมเปี๊ยะ เอาไว้ให้ผู้ที่เดินทางมาศาลเจ้าซื้อกลับไป ถึงแม้ว่าจะมีราคาสูงกว่าท้องตลาด แต่ถือว่าเป็นการทำบุญบำรุงศาลเจ้าและเชื่อว่าเป็นของมงคล เพราะเป็นของที่ผ่านความศักดิ์สิทธิ์จากศาลเจ้าแล้ว ถ้านำกลับไปรับประทานจะมีแต่โชคลาภความรุ่งเรืองทั้งต่อตนเองและครอบครัว นอกจากนี้ยังมีสิงโตน้ำตาล ที่ภาษาจีนเรียกว่า ถึ่งไซ และเจดีย์น้ำตาล เรียกว่า ถึ่งถะ ที่ทางศาลเจ้าเตรียมไว้จำนวนหนึ่งเพื่อให้ผู้ที่ศรัทธาสามารถจองและนำกลับไปตั้งบูชาที่บ้านได้ โดยนิยมนำไปเป็นคู่ ทั้งสิงโตน้ำตาลและเจดีย์น้ำตาลถือเป็นของไหว้ประจำเทศกาลหวนเซียวที่นิยมแพร่หลายโดยทั่วไปตามศาลเจ้าต่าง ๆ โดยเฉพาะที่ศาลเจ้าของจีนแต้จิ๋ว ด้วยเหตุนี้คนไทยจึงมักเรียกเทศกาลหยวนเซียวว่า สารทสิงโตน้ำตาล สิงโตน้ำตาลและเจดีย์น้ำตาล ทำจากน้ำตาลทรายนำมาขึ้นรูปในแม่พิมพ์รูปสิงโตหรือเจดีย์แบบจีน อาจมีการแต่งแต้มสีสัน เช่น สีชมพู หรือว่าปล่อยเป็นสีขาวตามธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีสิงโตที่ทำจากถั่วตัดประดับด้วยแป้งปั้น ตบแต่งเป็นรายละเอียดในส่วนหน้าตาและหนวดเคราของสิงโต แล้วแต่งแต้มด้วยสีสันต่าง ๆ ในบาญชีขนมต่าง ๆ ที่จัดแสดงในงานนิทรรศการสินค้าพื้นเมืองในงานพระราชพิธีสมโภชพระนครครบ ๑๐๐ ปี พ.ศ.๒๔๒๕ มีการกล่าวถึงสิงโตน้ำตาลอยู่ในหมวดขนมต่าง ๆ ของจีนที่ทำด้วยแป้ง ถั่ว เจือน้ำตาล ว่ามีชาวจีนทำขายที่ย่านสำเพ็ง ราคาขายจะคิดชั่งตามน้ำหนัก ปัจจุบันสิงโตน้ำตาลมีจำหน่ายอยู่หลายร้านในย่านสำเพ็ง เยาวราช ซึ่งคติการทำสิงโตน้ำตาลและเจดีย์น้ำตาลนี้ นอกจากเป็นสิ่งของที่มีความหมายอันเป็นมงคลแล้ว น่าจะมีที่มาจากการผสมผสานกับคติทางพระพุทธศาสนาด้วย โดยเฉพาะการทำเจดีย์น้ำตาล นอกจากขนมต่าง ๆ ดังที่กล่าวไปแล้ว สิ่งที่เป็นของไหว้พิเศษที่ทางศาลเจ้าจัดเตรียมไว้เฉพาะสำหรับงานหยวนเซียวเป็นประจำทุกปีคือ "ขนมเต่า" ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของงานหยวนเซียวที่ศาลเจ้าโจวซือกง และเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมายาวนาน อีกทั้งเป็นไปได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมชาวจีนฮกเกี้ยน เนื่องจากพบว่ามีความนิยมใช้ขนมที่ทำเป็นรูปเต่าในงานประเพณีต่าง ๆ ของชาวจีนฮกเกี้ยนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในที่อื่น ๆ ด้วยเช่นกัน "ขนมเต่า" ในวัฒนธรรมจีนฮกเกี้ยน ในหลายวัฒนธรรมทั่วโลก "เต่า" มีความหมายแสดงถึงการมีอายุยืนยาวและความมั่นคง ด้วยลักษณะทางกายภาพของเต่าที่มีความแข็งแกร่ง มีกระดองที่สามารถป้องกันภัยอันตรายและมีอายุยืนยาวตามธรรมชาติ ในวัฒนธรรมจีนก็มีการให้ความสำคัญกับเต่าในฐานะสัตว์ศักดิ์สิทธิ์และเป็นสัญลักษณ์มงคลที่แสดงถึงความมีอายุยืน พลังความแข็งแกร่งและการยืนหยัด ในตำนานการสร้างโลกและจักรวาลของจีนกล่าวว่า เต่ามีส่วนช่วยผานกู่ เทพบิดรของชาวจีนสร้างโลก นอกจากนี้ตั้งแต่ยุคจีนโบราณยังมีความเชื่อว่ากระดองเต่าสามารถใช้ทำนายอนาคตได้อีกด้วย ในกลุ่มชาวจีนฮกเกี้ยนทั้งที่ในประเทศจีน ไต้หวัน และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และหลายจังหวัดทางภาคใต้ของไทย เช่น ตรัง พังงา ภูเก็ต ฯลฯ พบว่ามีการทำขนมรูปร่างเต่าเพื่อนำมาให้ในเทศกาลสำคัญต่าง ๆ และให้ในโอกาสพิเศษ เช่น พิธีมาโง่ย หรือพิธีครบรอบเดือนของเด็กชายจีนฮกเกี้ยน เพื่อให้เด็กเติบโตมามีสุขภาพดี สมบูรณ์แข็งแรง วันคล้ายวันเกิดของผู้อาวุโสจะนำขนมเต่าไปมอบให้เพื่ออวยพรให้มีอายุยืนนานด้วยเช่นกัน รูปแบบของขนมเต่าพบว่าแบ่งออกเป็น ๒ แบบ รูปแบบที่นิยมกันแพร่หลายคือ ขนมเต่าสีแดง เรียกเป็นภาษาจีนฮกเกี้ยนว่า ขนมอังกู๊ คำว่า "อัง" แปลว่า สีแดง ส่วนคำว่า "กู๊" แปลว่า เต่าทำมาจากแป้งข้าวเหนียว มีไส้หวานทำถ้วยถั่วกวน ขั้นตอนการทำจะนำแป้งอัดลงไปในพิมพ์ไม้ที่ทำเป็นรูปกระดองเต่า ซึ่งมีคำมงคลเป็นภาษาจีนอยู่ เมื่อเสร็จแล้วนำไปนึ่ง จะได้ขนมที่มีรูปร่างเหมือนกระดองเต่า ส่วนใหญ่นิยมทำเป็นสีแดงอันเป็นสีมงคลของชาวจีน ปัจจุบันขนมอังกู๊ไม่เพียงแต่เป็นของไหว้ในเทศกาลหรือมอบให้กันในโอกาสพิเศษเท่านั้น แต่ยังนิยมรับประทานกันเป็นของว่าอีกด้วย ส่วนขนมเต่าอีกรูปแบบหนึ่ง คือ แบบที่ทำอย่างซาลาเปาโดยใช้แป้งสาลีปั้นเป็นรูปเต่า ซึ่งเป็นแบบที่ใช้เป็นของไหว้หลักในเทศกาลหยวนเซียวที่ศาลเจ้าโจวซือกง แต่ละปีทางศาลเจ้าจะทำขนมเต่าเตรียมไว้สำหรับให้คนที่มาร่วมงานสามารถทำบุญกับศาลเจ้า ด้วยการซื้อขนมเต่ากลับบ้านไปได้ การทำขนมเต่ารูปแบบนี้ศาลเจ้าจะต้องเตรียมไว้ล่วงหน้า ๓-๔ วัน โดยมีชาวบ้านในย่านตลาดน้อยมาช่วยทำด้วย แป้งที่ใช้ทำขนมเต่าลักษณะนี้จะใช้แป้งสาลี ขั้นตอนการทำคล้ายกับวิธีการทำซาลาเปา ปั้นเป็นรูปเต่า แล้วติดเมล็ดถั่วดำเป็นลูกตา จากนั้นนำไปนึ่ง แต่เมื่อนึ่งแล้วจะต้องนำมาผึ่งให้แป้งแห้งสนิท เพื่อไม่ให้ขึ้นราและเก็บได้นานขึ้น จากนั้นจะนำมาเขียนคำมงคลเป็นภาษาจีนลงบนกระดองเต่า ส่วนมากเป็นคำมงคลที่ประกอบด้วย ๔ พยางค์ อวยพรให้เจริญรุ่งเรือง เช่น 万事如意 แปลว่าหมื่นเรื่องสมปราถนา หมายถึงขอให้สมปรารถนาในทุก ๆ สิ่ง เป็นต้น ผู้เขียนคำมงคลเป็นภาษาจีนเป็นผู้อาวุโสที่อยู่ภายในย่านตลาดน้อย นอกจากนี้มีขนมเต่าแบบพิเศษ คือ ทำเป็นรูปเต่าตัวใหญ่ที่มีเต่าตัวเล็กขี่อยู่บนหลัง มีความหมายที่สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์มีลูกหลานมากมาย ในแต่ละปีศาลเจ้าโจวซือกงจะทำขนมเต่าแบบนี้มาไว้ที่ศาลเจ้าประมาณ ๑,๐๐๐ คู่ คนที่มาไหว้ในวันหยวนเซียวนิยมซื้อกลับไปเป็นคู่ ขนมเต่าแบบนี้ไม่นิยมนำไปกินกัน แต่จะไปตั้งไว้ที่บ้านเพื่อความเป็นศิริมงคล ราคาของขนมเต่าที่ศาลเจ้าจะแตกต่างกันไปตามขนาด เช่น เต่าขนาดเล็กจะมีราคาคู่ละ ๑๒๐ บาท ส่วนขนมเต่าแดงหรืออังกู๊มีการทำมาวางขายที่ศาลเช่นกัน แต่มีจำนวนไม่มากราว ๔๐ คู่ เพราะคนไม่ค่อยนิยม เนื่องจากบูดเสียง่าย เก็บได้ไม่นาน นอกจากนี้ผู้ที่มาไหว้ที่ศาลเจ้าในงานหยวนเซียวจะเตรียมขนมเต่ามาเองก็ได้ ซึ่งพบว่าในวันงานมีบ้านที่อยู่ในละแวกศาลเจ้าโจวซือกงทำขนมเต่ามาตั้งวางขายบริเวณหน้าบ้านด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามย่านตลาดน้อยพบว่ามีเพียงศาลเจ้าโจวซือกงซึ่งเป็นศาลเจ้าฮกเกี้ยนเท่านั้น ที่นิยมใช้ขนมเต่าเป็นของไหว้หลักในเทศกาลหยวนเซียว ขณะที่ชุมชนชาวจีนฮกเกี้ยนที่อยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทย เช่น จังหวัดภูเก็ต นิยมใช้ขนมเต่าที่ทำขึ้นจากแป้งสาลีเป็นของไหว้ในเทศกาลชิดโง่ยปั่วหรือชิดโง่ยพ้อต่อ (วันสารทจีน) ในช่วงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ทำขนมเต่าสีแดงที่มีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ นอกจากจะมีการเขียนคำมงคลลงบนกระดองเต่าแล้ว ยังมีการประดับลวดลายสวยงาม เช่น รูปดอกไม้ ใบไม้อีกด้วย อาจกล่าวได้ว่าการใช้ขนมเต่าเป็นของไหว้ในเทศกาลหยวนเซียว ถือเป็นเอกลักษณ์ที่น่าสนใจอย่างหนึ่งของศาลเจ้าโจวซือกง ย่านตลาดน้อย โดยน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับความนิยมใช้ขนมที่ทำเป็นรูปเต่าในโอกาสพิเศษและเทศกาลต่าง ๆ ที่พบมากในกลุ่มชาวจีนฮกเกี้ยนนั่นเอง อ้างอิง ขวัญจิต ศศิวงศาโรจน์. (๒๕๔๓). สารานุกรมกลุ่มชาติพันธุ์ฮกเกี้ยน. กรุงเทพฯ : สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรม เพื่อพัฒนาชนบท ม.มหิดล. ถาวร สิกขโกศล. (๒๕๕๗). เทศกาลจีนและการเซ่นไหว้. กรุงเทพฯ : มติชน. นิภาพร รัชตพัฒนกุล. "ตลาดน้อย : พัฒนาการชุมชน" ในศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๒๔ ฉบับที่ ๔ (กุมภาพันธ์), ๑๖๒-๑๖๕. ประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์. (๒๕๕๔). สัตว์มงคลจีน ประเพณีและความเชื่อจากอดีตถึงปัจจุบัน. กรุงเทพฯ : ชมรมเด็ก. เพ็ญพิสุทธิ์ อินทรภิรมย์. (๒๕๕๐). "ชาวฮกเกี้ยนในสมัยรัตนโกสินทร์ : จำนวนเปลี่ยนแปลงแต่บทบาทมิได้เปลี่ยนไป" ใน สายธารแห่งอดีต รวมบทความประวัติศาสตร์เนื่องในวาระครอบรอบ ๖๐ ปี ศ.ดร.ปิยนาถ บุนนาค. กรุงเทพฯ : ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. เว็ปไซต์ "Cultural depictions of turtles" ที่มา : https://en.wikipedia.org/wiki/cultural_depictions_of_turtles "อังกู๊-ขนมเต่า" ที่มา : http://phuketcuisine.com ข้อมูลสัมภาษณ์ สมชัย กวางทองพานิชย์, ๒๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๙ สมชาย เกตุมณี, ผู้ดูแลภายในศาลเจ้าโจวซือกง ตลาดน้อย, ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๙ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- บ้านดนตรีดุริยประณีตเกี่ยวกับความทรงจำย่านบางลำพู และยุครุ่งเรืองของดนตรีแห่งกรุงเทพมหานคร
เผยแพร่ครั้งแรก 29 ก.ค. 2559 บันทึกช่วยจำของ “พจนา ดุริยพันธุ์” แห่ง “บ้านบางลำพู” พื้นที่ละแวกวัดบางลำพู บริเวณใกล้กับป้อมพระสุเมรุเคยเป็นที่ตั้งของตำหนักชั่วคราว กรมพระราชวังบวรสุรสิงหนาท วังหน้า ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ก่อนการสร้างพระบวรราชวังที่บริเวณใกล้กับวัดมหาธาตุยุว-ราษฎร์รังสฤษดิ์ ส่วนบริเวณพิพิธบางลำพูในปัจจุบันนี้เคยเป็นที่ตั้งของวังกรมหลวงจักรเจษฎา พระอนุชา ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งยกกระบัตรในสงครามเก้าทัพ รับผิดชอบไปตีเชียงใหม่ ประตูวังของท่านส่วนหนึ่งยังคงอยู่บริเวณใกล้กับตรอกไก่แจ้ในทุกวันนี้ “วัดบางลำพู” มีแต่สมัยอยุธยา สันนิษฐานว่าเคยเป็นที่พักแรมเรือสำเภาสินค้าจีน มีพ่อค้าจีน ๓ คน ร่วมสร้างวัดเรียก ว่า “วัดสามจีน” ต่อมากรมพระราชวังบวรสุรสิงหนาทปฏิสังขรณ์ให้ “เจ้าจอมมารดานักองอี” ซึ่งเป็นพระธิดาเจ้าเมืองกัมพูชาและเป็นพี่น้องกับ “นักองเอง” หรือสมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีที่บวชเป็นชี พำนักที่วัดนี้ ท่านมีพระธิดาคือ พระองค์เจ้ากัมพุชฉัตร และพระองค์เจ้าวงศ์มาลาหรือวงศ์กษัตริย์ ได้สร้างกำแพงด้านทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศเหนือ เขื่อนริมคลอง, ศาลาท่าน้ำ ๓ หลัง ต่อมารัชกาลที่ ๓ ทรงปฏิสังขรณ์วัดบางลำพูอีกครั้ง จึงมีรูปทรงอิทธิพลสถาปัตยกรรมจีนเป็นส่วนใหญ่ ในรัชกาลที่ ๔ ทรงปฏิสังขรณ์พระประธานอุโบสถ และพระราชทานนามว่า “วัดสังเวชวิศยาราม” ตามความหมายคือ สังเวช มาจาก “สังเวคะ” หมายถึง การกระตุ้นเตือน “ความจริงแห่งชีวิต” “วิศยะ” แปลว่าอารมณ์ รวมความหมายแล้วคือ “อารามที่อยู่ของผู้มีอารมณ์กล้าแข็งในสัจธรรม หนีห่างชีวิตมัวเมา” แต่บ้างก็แปลความหมายเช่น “สังเวชนียสถาน” ว่าเป็นสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา ปรินิพพาน ราว พ.ศ. ๒๔๑๒ ต้นรัชกาลที่ ๕ เกิดไฟไหม้บางลำพูครั้งใหญ่ จากถนนสิบสามห้าง ตลาดบางลำพู แล้วข้ามฝั่งคลองบางลำพู ไหม้วัดสังเวชฯ โปรดเกล้าฯ ให้นำไม้ที่สร้างพระเมรุพระราชทานเพลิง ร.๔ มาใช้ซ่อมแซมวัดด้วย “วัด วัง ตลาด อยู่ที่ใด คนดนตรีไทยมักตั้งชุมชนอยู่ใกล้ที่นั่น” บริเวณใกล้กับวัดบางลำพู มีบ้าน “เจ้าพระยานรรัตนราช มานิต” (โต มานิตยกุล) เจ้ากรมพิณพาทย์หลวง ยุคต้นรัชกาลที่ ๕ เป็นศูนย์กลางที่คนปี่พาทย์ต้องเข้าใกล้ ไปมาหาสู่ ตั้งอยู่ริมคลองบางลำพู ส่วนสะพานนรรัตน์สถานตั้งชื่อตามท่านนั้นสร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๘ หลังรื้อประตูเมือง ถัดมาเป็นบ้าน “พระพาทย์บรรเลงรมย์” (พิมพ์ วาทิน) ครูปี่พาทย์คนสำคัญ มีลูกศิษย์มาก รวมถึงทายาทดุริยประณีตด้วย ในบริเวณนี้นอกฝั่งคลองบางลำพูมีวังของพระราชโอรสในรัชกาลที่ ๔ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส ซึ่งต่อมา ม.จ.เจ๊ก หรือ ม.จ.ศรีสังข์ นพวงศ์ พระโอรส เปิดโรงละครแสดงเก็บเงินเรียกว่า “วังเจ้าเจ๊ก” ช่วงปี พ.ศ. ๒๔๔๕– ๒๔๕๖ ต่อจากนั้นจึงเป็นเชื้อพระวงศ์ทำโรงละครนี้ต่อ ตลาดบางลำพูเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ และเป็นย่านพลุกพล่านทางการค้าและการแสดงละครอย่างมากเมื่อราวรัชกาลที่ ๕ สร้างพระราชวังดุสิตใน พ.ศ. ๒๔๔๒ แล้ว จึงมีการตัดถนนจักรพงษ์-สามเสน, ถนนพระอาทิตย์-พระสุเมรุ จนทำให้ตลาดบางลำพูรุ่งเรืองกว่าเก่ามาก และในปลายรัชกาลที่ ๕ คนละครปรีดาลัย ซึ่งเป็นคณะละครของกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ เช่าวิกตามตลาด เปิดแสดงละครร้องเก็บค่าแสดงจากคนดู ศุข ดุริยประณีต เป็นมหาดเล็กพิณพาทย์ในรัชกาลที่ ๕ ประจำอยู่ที่วังบ้านหม้อของเจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ (ม.ร.ว.หลาน กุญชร) ที่รับดูแลกรมมหรสพแทนเจ้าพระยานรรัตนฯ ปี พ.ศ. ๒๔๓๖ เย็นค่ำหลังเลิกงาน ครูศุข หาลำไพ่ รับตีปี่พาทย์ ตามโรงละครย่านตลาดบางลำพู แถม เชยเกษ นางละครรำสังกัดวังเจ้าเจ๊ก พบครูศุขที่บางลำพู แล้วแต่งงานอยู่กินด้วยกันในปี พ.ศ. ๒๔๔๘ แต่เดิมอาศัยเรือนแพของแม่จี่ที่ย้ายขึ้นมาอยู่กับสามี คล้อย เชยเกษ ที่บ้านปี่พาทย์เลขที่ ๑๐๐ คลองลำพู หลังวัดสังเวชฯ คล้อย เชยเกษ เป็นครูปี่ชวาจากวังหน้า กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลพระองค์สุดท้าย ซึ่งมีฝีมือทางช่างทำเครื่องดนตรี มีคณะปี่พาทย์รับงานบรรเลง แม่จี่ เชยเกษ มารดาแม่แถม เกิดราว พ.ศ. ๒๔๑๗ อาชีพเดิมค้าข้าวสารจากตาคลีมาที่บางลำพู ต่อมาจึงตั้งคณะละคร “แม่ลิ้นจี่” ส่งลูกสาวอายุ ๘ ขวบเรียน รำละครตามบ้านขุนนาง เช่น พระภิรมย์ราชาสุทธิภาค พระยาโยธาไพจิตร และวังเจ้าเจ๊ก ครูคล้อยรับงานปี่พาทย์ประจำวัดสังเวชฯ ครูศุข ผู้เป็นลูกเขยมาช่วยงาน เป็นผู้มีอัธยาศัยนอบน้อมใจดีจึงสัมพันธ์กับ พระในวัดได้ดี ขณะนั้นพระปลัดวัน รักษาการเจ้าอาวาสองค์ที่ ๕ ในราวปี พ.ศ. ๒๔๕๑ พระวิสุทธิสังวรเถร (กล่อม) เป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ ๖ คนในตระกูล ดุริยประณีตทำบุญ ฟังเทศน์ ฟังธรรม สนับสนุนกิจกรรมวัด ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ลูกชายของครูศุขและแม่แถมเรียนหนังสือที่วัดสามพระยาและวัดสังเวชฯ และบวชที่วัดสังเวชฯ ๑ พรรษาทุกคน เหนี่ยว ดุริยพันธุ์ เข้ามาเป็นเขยครูศุข ก็ได้บวชที่วัดสังเวชฯ ๑ พรรษา เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ มีสมเด็จ พระวันรัต (ทรัพย์) ที่เป็นโฆษกมหาเถรฯ เป็นพระอุปัชฌาย์ และท่านเป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ ๑๐ ช่วง พ.ศ. ๒๔๗๘-๒๕๒๐ เมื่อมีงานประเพณีของวัดจะไปช่วยทำปี่พาทย์ เช่น เทศน์มหาชาติ งานสงกรานต์ ส่วนงานศพรับเฉพาะที่จ้างโดยตรง ไม่แย่งวงครูคล้อยที่ผูกประจำอยู่ แม้จะส่งต่อให้นายชิด เชยเกษ ลูกชายรับช่วงแล้วก็ตาม คนในตระกูลจัดงานศพที่วัดสังเวชฯ เรื่อยมาตั้งแต่ครูชั้นดุริยประณีต ที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ ครูพุ่ม โตสง่า เสียชีวิต พ.ศ. ๒๔๙๖ ยังนำมาที่วัดนี้ ต่อมามีการพัฒนาวัดตั้งแต่เจ้าอาวาสเป็นสมเด็จพระวันรัต เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ มีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเก่าแล้วทำใหม่ ตั้งแต่พระอุโบสถที่เคยเป็นแบบจีนก็ทำใหม่ เสนาสนะ หอไตร บ่อเต่า รื้อทิ้งแล้วสร้างอาคารใหม่ กำแพงวัดที่เคยสูงไม่ถึง ๒ เมตร พอเห็นสิ่งต่าง ๆ ในวัดก็รื้อทิ้ง สร้างกำแพงสูง วัดกับคนในชุมชนรอบ ๆ จึงค่อย ๆ เหินห่างกัน ส่วนวัดสามพระยานั้นไม่มีเมรุเผาศพ แต่มีงานประเพณี พิธีกรรมบ่อยครั้ง เช่น งานบุญ งานบวช เทศน์มหาชาติ งาน ออกพรรษา บ้านดุริยประณีตรับจ้างบรรเลงปี่พาทย์ หากเป็นงานประเพณีของวัดจะช่วยงานฟรี ๆ ทำให้คุ้นเคยกับพระในวัดดี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินธโร) เจ้าอาวาสองค์ที่ ๕ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๑–๒๕๓๙ สมเด็จฟื้นเป็นคนอยุธยา เป็นญาติกับย่าทองคำและแม่พูนที่ทำโรงงานตีลูกฆ้องอยู่หลังบ้านตาคล้อย ซึ่งโรงงานตีลูกฆ้องแถบบ้านบางลำพู ยังมีเครือญาติอีก ๒ แห่งคือ “จำผูก เขียว วิจิตร” ที่บ้านเนิน บางกอกน้อย และบ้าน “ยายทิ้ง” ข้างกุฎีจีน หลังบวชเณรราวปี พ.ศ. ๒๔๖๕ แม่พูนนิมนต์มาฉันเพลที่บ้านบ่อย ๆ ซึ่งครูศุขและแม่แถมร่วมทำบุญด้วยจนทำให้คุ้นเคยกับคนบ้านดุริยประณีต คราวเมื่อหลังสงครามโลก พ.ศ. ๒๔๘๘ มีคนมาเรียนปี่พาทย์ที่บ้านบางลำพูหลายสิบคน และไม่มีที่พอให้พักนอน ก็ไปขอสมเด็จฟื้นให้ช่วยหากุฏิพระที่ว่างในช่วงนอกพรรษาหน้าแล้ง ให้เด็กเรียนปี่พาทย์พักนอน ท่านก็มีเมตตาช่วยเหลือทุกครั้ง สืบสุด ดุริยประณีต (ครูไก่) บุตรสุดท้องครูสุขและแม่แถม บวชที่วัดสามพระยาคนแรก ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ จากนั้นคนในตระกูลก็บวชที่วัดสามพระยาตามมา เช่น ชูใจ ดุริยประณีต สมชาย ดุริยประณีต มนู เขียววิจิตร ฯลฯ งานพระราชทานเพลิงศพ พระธรรมดิลก (ขาว เขมโก) เจ้าอาวาสวัดสามพระยาองค์ที่ ๔ ก็ตั้งเมรุชั่วคราวที่สนามหน้าศาลา สนามสอบเปรียญธรรม มีวงปี่พาทย์ดุริยประณีตไปช่วยตลอดงาน บ้านครูโนรี ปู่ของครูเหนี่ยว ดุริยพันธุ์ อยู่ติดกับวัดทองนพคุณ คลองสาน หรือที่เรียกกันว่าบางลำพูล่าง พื้นเพคน ละแวกนั้นเลยไปถึงวัดอนงคารามเป็นสำนักปี่พาทย์ใหญ่มาก่อนบ้าน ดุริยประณีต มีเครื่องดนตรี นักดนตรี มีครูผู้ใหญ่ดูแลคือ ขุนเสนาะ ดุริยางค์ (แช่ม) ในปี พ.ศ. ๒๔๔๙ สมเด็จฯ กรมพระนครสวรรค์ วรพินิต เข้าประทับวังบางขุนพรหม โปรดให้ขุนเสนาะจัดหานักดนตรี จึงนำครูโนรีกับศิษย์บางคนเข้าไป เช่น นายอิน คนระนาดเอก เมื่อออกพระราชบัญญัตินามสกุล จึงทรงประทานนามสกุล “ดุริยพันธุ์” ให้ครูโนรี ปี่พาทย์บ้านบางลำพูล่าง ครูโนรี มีลูกชาย ๖ คน ชื่อ นุช น่วม เนื่อง นุ่ม นาย นวล หญิง ๑ คน ชื่อผิน จิตรพันธุ์ ที่มีลูกชายเป็นนักดนตรีฝีมือดี แต่เสียชีวิตแต่อายุยังน้อยด้วยโรคระบาด (กาฬโรค) เป็นเหตุไม่มีทายาทเป็นผู้สืบทอดกิจกรรมดนตรีไทย ครูเหนี่ยว เป็นหลานปู่ครูโนรี ซึ่งเป็นบุตรครูเนื่องและโกสุม ธิดานายพุฒ รักหน่อทหาร ผู้เป็นเจ้ากรมในขุนพิทยลาภพฤฒิธาดา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๙ พระยาเสนาะฯ บวชอุทิศให้รัชกาลที่ ๖ จำวัดที่วัดทองนพคุณได้ยินเสียงเด็กชายเหนี่ยว ขับร้องในวงครูโนรี หลังจากสึกจึงขอนำไปฝึกฝนให้ขับร้อง ในทางร้องที่ท่านปฏิรูปขึ้นมาใหม่ ส่งเสริมให้ออกงานจนมีชื่อเสียง ขณะเดียวกันก็รับเด็กหญิงแช่ม (แช่มช้อย ดุริยพันธุ์) บุตรีครูศุข-แม่แถม อายุ ๘ ปี เรียนขับร้องอยู่ด้วยกันจนทำให้สองท่านรู้จักคุ้นเคย ช่วงเช้าพระยาเสนาะมานั่งสอน ลูก ๆ ครูศุข-แม่แถม ที่บ้านดุริยประณีต หลังข้าวกลางวันจึงลงเรือแจวล่องไปสอนเด็กชายเหนี่ยว และคนปี่พาทย์ ที่บ้านครูโนรี จนเป็นคำคล้องจองที่รู้กันว่า “เช้า นั่งบางลำพูบน บ่ายลง บางลำพูล่าง” ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๔ เด็กชายเหนี่ยว บรรจุเป็นข้าราชการในวันที่ ๑ กันยายน สังกัดกองปี่พาทย์และโขนหลวง กระทรวงวังในสมัยรัชกาลที่ ๗ และครูโนรีถึงแก่กรรม นักดนตรีกระจัดกระจาย ลูก ๆ ตายเกือบหมด รุ่นหลานไม่มีผู้ใดเก่งกล้าพอเป็นผู้นำหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วจึงนำเครื่องดนตรีออกขาย ปิดตำนานบ้านปี่พาทย์ “บางพูล่าง” ราว พ.ศ. ๒๔๗๘ ลูกครูศุขและแม่แถม ๕ คน คือ โชติ ชื้น ชั้น เชื่อม แช่ม กับลูกเขย เหนี่ยว โอนงานจากกองปี่พาทย์และโขนหลวงในรัชกาลที่ ๗ มาที่กรมศิลปากร ที่ตั้งขึ้นใหม่ใน พ.ศ. ๒๔๗๙ วันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๐ พระยาเสนาะฯ กับคุณหญิงเรือน เป็นเถ้าแก่สู่ขอนางสาวแช่มให้นายเหนี่ยว และครูเหนี่ยวนำมารดา ย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านบางลำพู เป็นสมาชิกวงดุริยประณีตตั้งแต่นั้น ดนตรีไทยเมื่อกว่า ๑๐๐ ปีก่อน อยู่ในอุปถัมภ์ของวังและวัด หลักฐานที่หาได้คือ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๙ งานสมโภชพระแก้วมรกต มีวงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ ๑๖ วง ร่วมบรรเลง เจ้านายที่ไม่มีชื่อวงปี่พาทย์ในหมายถูกกระตุ้นให้ขวนขวายตั้งวงปี่พาทย์หลายวัง จนปี พ.ศ. ๒๔๓๐ งานฉลองหอพระสมุดวชิรญาณ มีปี่พาทย์เสภาร่วมประโคม ๑๓ วง คนปี่พาทย์ ๑๗๙ คน เป็นวงของเจ้านาย ๗ วง ของขุนนางผู้ใหญ่ ๖ วง ในสมัยรัชกาลที่ ๑ เจ้านาย ขุนนาง ที่มีวงปี่พาทย์ ส่วนมากมักมีคณะละคร (ผู้ชาย) ของตนเอง สืบทอดท่ารำละครนอก เมื่อรัชกาลที่ ๒ พระราชนิพนธ์บทละครแล้วให้พระอนุชาทรงกรมคิดออกแบบท่ารำละครหลวง (ผู้หญิง) ทำให้มีพัฒนาการต้นแบบการร่ายรำที่มีมาตรฐานอ่อนช้อยงดงาม สืบทอดละครต่อมาจนปัจจุบัน รัชกาลที่ ๓ โปรดให้เลิกละครหลวง แต่อนุญาตให้เจ้านายขุนนางมีละครผู้หญิงได้ ครูละครหลวงจึงย้ายไปอยู่ตามวังเชื้อวงศ์ขุนนาง เป็นกองกำลังสำคัญในการเผยแพร่และวัฒนาการละครรำเป็นลำดับมา นักดนตรีล้วนเป็นมหาดเล็กวงปี่พาทย์สังกัดเจ้านายขุนนางเหล่านี้ทั้งสิ้น แม้พื้นเพเคยอยู่หัวเมืองมาก่อนแต่ต่อมาก็กลายเป็นคนในพระนคร ส่วนวัดที่มีเจ้าอาวาสชอบปี่พาทย์มักจะสนับสนุนให้เด็กรอบ ๆ วัดหัดปี่พาทย์ หาครูเก่ง ๆ มาสอน เช่น วัดน้อยทองอยู่ ฝั่งตรงข้ามท่าช้างวังหน้า เจ้าอาวาสขอร้องให้ครูช้อย สุนทรวาทิน ปี่พาทย์ชื่อดังในสมัยรัชกาลที่ ๔ มาสอนเด็ก ๆ และปลูกบ้านพักให้ที่ริมแม่น้ำครูช้อยมีความรู้เพลงดนตรีและแบบแผนสืบแต่โบราณ สอน เด็กที่วัดน้อยทองอยู่กว่าสิบคน จนเป็นนักดนตรีที่เก่งกาจและเป็นครูผู้ถ่ายทอดเพลงไทยสืบช่วงต่อมา นักดนตรีคนสำคัญ เช่น พระยาเสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน) บุตรครูช้อย อยู่ประจำวังบ้านหม้อของพระองค์เจ้าสิงหนาทราชดุรงคฤทธิ์ ส่วนคนปี่พาทย์วัดน้อยทองอยู่สิบกว่าคนถวายตัวเป็นมหาดเล็กเรือนนอกในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช (รัชกาลที่ ๖) ขอพระราชทานไปทั้งวง และทรงส่งเสริมเป็นวงข้าหลวงในพระองค์ สังกัดกรมมหรสพ ณ วังจันทรเกษม ถนนราชดำเนิน ได้บรรดาศักดิ์อย่างน้อยดังนี้ พระยาประสานดุริยพันธุ์ (แปลก ประสานศัพท์) เป็นเจ้ากรมพิณพาทย์หลวง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๘ พระพิณบรรเลงราช (แย้ม ประสานศัพท์) พระประดับดุริยกิจ (แหยม วีณิน) หลวงบรรเลง เลิศเลอ (กร กรวาทิน) หลวงพวงสำเนียงร้อย (นาม วัฒนวาทิน) หลวงร้อยสำเนียงสนธ์ (เพิ่ม วัฒนวาทิน) ขุนสังคีตศัพท์เสนาะ (ปลื้ม วีณิน) ขุนเพลินเพลงประเสริฐ (จี่ วีณิน) ขุนเพลิดเพลงประชัน (บุตร วีณิน) ส่วนนักดนตรีชาวบ้านส่วนใหญ่ทำปี่พาทย์ประกอบละครนอก ละครชาตรี โขนชาวบ้าน นักดนตรีเหล่านี้ได้เพลงเก่า สืบทอดมาแต่สมัยอยุธยา บ้างย้ายถิ่นฐานเข้ามาในพระนคร เช่น ครูอุทัย โตสง่า จากอยุธยา ครูขำกลีบชื่น จากสมุทรสงคราม ส่วนเพลงเสภาพัฒนามาจากละครเสภาในพระนคร เช่นเพลง ๓ ชั้น เพลงเถา เกิดขึ้นมากมายนับพันเพลง เพราะผู้คนนิยมปี่พาทย์ ประชันทั่วทุกหัวเมืองใช้เพลงเสภาประชันปี่พาทย์ชาวบ้านต่างจังหวัด จึงส่งลูกหลานเข้ามาเรียนกับครูเก่ง ๆ ในพระนคร ซึ่งไม่ใช่เรื่องของปี่พาทย์พระนครรับใช้เจ้านายขุนนาง แล้วไปทำลายปี่พาทย์ชาวบ้านที่นักประวัติศาสตร์ปัจจุบันเขียนวิจารณ์ แต่ทุกวันนี้ปัจจุบัน นักดนตรีแบบแผนกับนักดนตรีชาวบ้านมีความรู้เพลงดนตรีไทยเท่า ๆ กัน ย่านดนตรีวัดสังเวชฯถึงย่านบางขุนพรหม ชุมชนดนตรีไทยย่านบางลำพูครอบคลุมตั้งแต่บางขุนพรหม ตั้งแต่วัดสังเวชฯ วัดชนะสงคราม วัดบวรนิเวศ บริเวณรอบวัดสังเวชฯ นอกจากบ้านเจ้าพระยานรรัตนราชมานิต (โต มานิตยกุล) กับพระพาทย์บรรเลงรมย์ (พิมพ์ วาทิน) บ้านครูแคล้ว เชยเกษ เลขที่ ๑๐๐ ปี่พาทย์วังหน้า กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ อยู่มาแต่ต้นรัชกาลที่ ๕ บ้านครูศุข ดุริยประณีต เลขที่ ๘๓๘๕ ๘๗ เข้ามาอยู่ปลายรัชกาลที่ ๕ ต่อเนื่องรัชกาลที่ ๖ สมัยรัชกาลที่ ๗ มีการแยกขยายเครือญาติออกเป็นบ้านครูโชติ ดุริยประณีต อยู่หัวมุมวัดสังเวชฯ ด้านตะวันออก บ้านครูลม่อม อิศรางกูร ณ อยุธยา นักร้องหุ่นกระบอก ที่อยู่ติดกับบ้านครูโชติ บ้านครูชื้น ดุริยประณีต เลขที่ ๑๑๓ อยู่ในซอยแยกไปวัดสามพระยา เมื่อถึงหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วก็มีบ้านเครือญาติ เช่น บ้านครูชุบ ชุ่มชูศาสตร์ เลขที่ ๑๑๓ บ้านครูชม รุ่งเรือง ตรงข้ามบ้านครูเหนี่ยว บ้านครูสืบสุด ดุริยประณีต เลขที่ ๑๑๕ ที่ต่อมาเป็นบ้านของครูเผชิญ กองโชค บ้านครูเหนี่ยว ดุริยพันธุ์ เลขที่ ๑๑๑ เข้าอยู่ปี พ.ศ. ๒๔๙๓ เคยเป็นที่พำนักของบ้านครูบุญยงค์-บุญยัง เกตุคง ครั้งตั้งคณะลิเก “เกตุคงดำรงศิลป์” บ้านครูสุพจน์ โตสง่า และครูณรงค์ฤทธิ์ โตสง่า (ขุนอิน) บ้านครูโองการ (ทองต่อ กลีบชื่น) เข้าอยู่ปี พ.ศ. ๒๔๙๖ เมื่อเป็นหัวหน้าแผนกดุริยางค์ไทย กรมศิลปากร บ้านวงเครื่องสาย ส่วนใหญ่อยู่ใกล้แม่น้ำ เช่น บ้านครูหลุยส์ อุณุกุลฑล วงนายประพาส สวนขวัญ วงนายพุฒ นันทพล วงนายเสนาะ ศรพยัฆ ในสมัยรัชกาลที่ ๖ บริเวณบางขุนพรหม เป็นแหล่งพำนักของครูเครื่องสายเพราะอยู่ใกล้วัง จันทร์ฯ ซึ่งเป็นที่ทำการกรมมหรสพ มีบ้านของหลวงคนธรรมพวาที (จักร จักรวาทิน) หลวงว่อง จะเข้รับ (โต กมลวาทิน) พระสรรเพลงสรวง (บัว กมลวาทิน) อยู่เรือนแถวไม้ชั้นเดียวที่ถนนวิสุทธิกษัตริย์ฝั่งซ้ายแถวท่าเกษม หลวงไพเราะ เสียงซอ (อุ่น ดูรยชีวิน) อยู่กับหลวงคนธรรพวาที ต่อมาย้ายไปอยู่ข้างวัดใหม่อมตรส หลวงพิไรรมยา (ชิต กมลวาทิน) ญาติผู้น้องพระสรรเพลงสรวง ส่วนย่านวัดเอี่ยมวรนุชและวัดใหม่อมตรสลงมา มีบ้านครูมนตรี ตราโมท บ้านขุนสนิทบรรเลงการ (จง จิตตเสวี) และภรรยานางละเมียด จิตตเสวี บ้านครูปลั่ง วรรณเขจร ครูไปล่ วรรณเขจร บ้านครูหงส์ พาทยาวีวะ ในซอยพระสวัสดิ์มีบ้านครูเตือน พาทยกุล ย่านใต้คลองรอบกรุงมีบ้านครูอุทัย โตสง่า อยู่เรือนแถวริมถนนข้าวสารทำปี่พาทย์ละครวังเจ้าเจ๊ก และบ้านครูพุ่มที่ตรอกบวรรังษี แหล่งผลิตนักปี่พาทย์ ส่งต่อสำนักบ้านบาตร ส่วนบริเวณแถบซอยรามบุตรีและชุมชนเขียนนิวาสน์มีบ้านครูเครื่องสายหลายบ้าน นักปี่พาทย์มักพำนักอยู่บริเวณใกล้คลองบางลำพู คนเครื่องสายอาศัยอยู่ละแวกบางขุนพรหม ล้วนเป็นนักดนตรี “แบบแผน” ที่เรียนมาจากวังและบ้านขุนนาง มักมีครูเดียวกัน ไขว้ซ้ำทับซ้อน และมักพบปะกันในงานของเจ้านายทำให้รู้จักคุ้นเคยกันดี ตามบ่อนเบี้ยริมคลองรอบกรุงนอกกำแพงเมือง ตั้งบ่อนเบี้ย จ้างมโหรีปี่พาทย์ การละเล่น เรียกคนให้เข้าบ่อน หลวงไพเราะฯ เคยเล่าว่าไปสีหน้าโรงบ่อนตอนเด็ก ๆ ในปี พ.ศ. ๒๔๖๐ เลิกบ่อนเบี้ย นักดนตรีจึงหันไปรับงานตามโรงละครร้องวิกลิเก ในสมัยรัชกาลที่ ๖ คนปี่พาทย์ คนเครื่องสาย เข้าทำงานร่วมกันในกรมมหรสพที่วังจันทร์เกษม จนกระทั่งโอนไปกรมศิลปากร ในช่วงหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงร่วมสุขทุกข์ด้วยกัน มีความสนิทสนมคุ้นเคยกันยิ่งขึ้นเมื่อรับงานมโหรี ผสมปี่พาทย์และเครื่องสาย ต่างจะจ้างหาระหว่างกัน ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เมื่อเดือดร้อน เช่น ครั้งเพลิงไหม้แถววัดใหม่หลังวัดตรีทศเทพ ไม่มีที่อยู่อาศัย จึงได้นำครอบครัวบางส่วนไปฝากอาศัยชั่วคราวตามบ้านปี่พาทย์ที่เกี่ยวดองทางเครือญาติระหว่างกัน เช่น ครูเฉลา บุตรี พระพาทย์บรรเลงรมย์ (ศิษย์ขับร้องพระยาเสนาะฯ) สมรสกับครูปลั่ง วรรณเขจร ครูเครื่องสายย่านวัดใหม่ ครูอนันต์ ดูรยชีวิน กับครู ละม่อม สวนรัตน์ น้องสาวนางสนิทบรรเลงการ ฯลฯ สำนักปี่พาทย์บ้านบางลำพู คณะดุริยประณีต เป็นสำนักดนตรีครบวงจรมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๖๙ ซึ่งนับจากพระยา เสนาะฯ เกษียณอายุราชการและรับเป็นครูผู้ใหญ่ประจำบ้าน มีที่ตั้งสำนักดนตรีเป็นหลักแหล่ง ณ บ้านเลขที่ ๘๓ แห่งนี้ตลอดมา เจ้าของสำนักมีชื่อเสียงในฝีมือความรู้ ความตั้งใจจริง มีคุณธรรม ที่ผู้คนในวงการนับถือ ระบบบริหารจัดการดี มีนักดนตรี ที่มีฝีมือเป็นที่รู้จักจำนวนมากพอ เพราะมีทายาทนักดนตรี นักร้อง ๑๐ คน มีศิษย์เก่ง ๆ กว่า ๒๐ คน เปิดสอนแบบโบราณ มีที่อยู่ที่นอนให้ศิษย์อาศัยเรียนได้ตามพอใจ เป็นระบบพ่อครู แม่ครู บุพการีต่อเนื่อง มีครูผู้มีความรู้เพลงดนตรีสูงพร้อมสอนศิษย์ได้ทุกระดับ มีครูผู้ใหญ่ดูแลแบบแผน มีเครื่องปี่พาทย์มากพอให้ศิษย์ได้เรียนทุกเครื่องมือ รับงานพร้อมกันได้หลายวง มีโรงงานผลิตเครื่องปี่พาทย์คุณภาพสูงจำหน่ายและใช้เอง มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากพอมีคนจ้างหาไปบรรเลง ศิษย์ออกภาคสนาม ทั้งมีรายได้มีงานเต็มทุกสัปดาห์ ปี พ.ศ. ๒๔๗๓ มีการประชันวงที่วังลดาวัลย์ ๓ วง หน้าพระที่นั่ง ครูชื้น ดุริยประณีต ถูกกำหนดตัวให้ตีระนาดเอกประลองหน้าพระที่นั่ง รัชกาลที่ ๗ ในนาม “วงหลวง” ต้นสังกัด เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทำให้บ้านดุริยประณีตเปลี่ยนจุดขายจากดนตรีพิธีกรรมเป็น “ปี่พาทย์ประชันวง” แม่แถมมีหัวการค้าขาย กล้าได้กล้าเสีย คาดการณ์วางแผนล่วงหน้า เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส เร่งหาครู ปี่พาทย์ประชันฝีมือตีเข้ามาสอน อาศัยชื่อครูชื้นในงานประชันครั้งนั้น ไม่นานก็เป็นที่รู้จักในวงการปี่พาทย์ประชันวง มีผู้จ้างหาไปประชันทั้งในพระนครและหัวเมือง หลังงานพระราชทานเพลิงศพสมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ มีปี่พาทย์มอญบรรเลง เจ้านายขุนนางชมชอบจ้างหามาใช้บ้าง แม่แถมส่งบุตร ๓ คน คือ โชติ-ชื้น-ชั้น ไปกินนอนเรียน เพลงมอญถึงถิ่นปากเกร็ด สามโคก ปทุมธานี ปากลัด ได้เพลงกลับมามาก นำมาพัฒนาทำทางร้องใส่เนื้อร้องภาษามอญภาษาไทย ผู้คนนิยมจ้างหาไปประโคมศพกว้างขวาง พ.ศ. ๒๔๘๒ เข้ายุคมืดการดนตรีไทย รัฐออกประกาศนิยม ๑๒ ฉบับ ห้ามใช้ชื่อเพลงต่างชาติ ๕๙ เพลง บ้านดุริยประณีตกระทบบ้างจากงานจ้างหาน้อยลง แต่เพราะมีทายาทในกรมศิลปากร ๖ คน ช่วยพยุงไว้ มีฐานะพอตัว แม่แถมลงทุนซื้อบ้านที่ดินไว้หลายหลัง รับจำนองจำนำทรัพย์สิน ปล่อยเงินกู้ ช่วงระหว่าง พ.ศ. ๒๔๘๕-๒๔๘๘ สงครามโลกครั้งที่ ๒ เข้าไทย กิจกรรมดนตรีไทยดุริยประณีตกระทบหนัก ลูกผู้หญิงและเด็กต้องอพยพไปอยู่ที่อยุธยา ลูกชายอยู่ทำราชการ พลัดกันเฝ้าบ้านเฝ้าเครื่องดนตรี สังคมไทยเปลี่ยนแปลงตามเศรษฐกิจ ผู้คนให้ความสำคัญกับการศึกษามากขึ้น ลูกครูศุขและแม่แถมต้องการให้ทายาทเรียนสูง ๆ มีอาชีพก้าวหน้าด้านอื่น ๆ เป็นปัญหาการสืบทอดคนปี่พาทย์ ทายาทขาดแคลน แต่ลูกครูศุขและแม่แถมไม่ส่งเสริมให้เรียนปี่พาทย์ จนแม่แถมบังคับอายุครบเกณฑ์ต้องจับมือเรียนเพลงโหมโรงเป็นอย่างน้อย หรือเรียนเพลงมอญพอใช้งานประโคมพิธีกรรมได้ แม่แถมแอบหลอกล่อให้รางวัลหลาน ๆ ที่หลบพ่อแม่มาต่อเพลงปี่พาทย์ เรียนขับร้อง ถือมีกำลังทรัพย์เหนือกว่า การขัดขวางจึงไม่ได้ผลนัก มีหลาน ๆ หลุดรอดไปเอาดีทางเรียนหนังสืออย่างเดียวได้น้อยนักและเอาดีทั้งสองทางมีมากกว่า พ.ศ. ๒๕๑๕ แม่แถมถึงแก่กรรม หลานรุ่นที่ ๓ ลงมาได้ดีทางการศึกษามากขึ้น ส่วนคนเรียนปี่พาทย์น้อยลงในทางกลับกัน สำหรับวิธีการทำให้ดนตรีไทยถูกสืบทอดต่อไปยังคนรุ่นหลัง คือ อย่างแรกต้องสร้างนักดนตรีมีคุณภาพ มีความรู้ความสามารถ มีปริมาณเพียงพอ อย่างที่สอง เก็บเกี่ยวความรู้เพลงดนตรีพิธีกรรม เพลงโขนละคร เพลงเสภา เพลงมอญสะสมไว้ในบ้าน อย่างที่สาม ถ่ายทอดวิชาจากครูผู้ทรงความรู้สูง มีชื่อเสียง สะสมทักษะจากครูผู้มีฝีมือเฉพาะทาง อย่างที่สี่ ถ่ายทอดส่งต่อภายในตระกูลจากรุ่นสู่รุ่นศิษย์ การวางตัวผู้นำจิตวิญญาณ อย่างที่ห้า การบริหารจัดการ การ ตลาด จุดขาย ยืดหยุ่นตามสมัยนิยม สภาพแวดล้อมสังคม เศรษฐกิจ อย่างที่หก การเผยแพร่ทางวิชาความรู้ และการเผยแพร่ทางแสดงออกตามงาน สื่อสังคมทุกแขนง ติดหูติดตาผู้คนบ่อยครั้งได้ผลทางอนุรักษ์ สืบทอด พัฒนาการ และรักษามรดกวัฒนธรรมไทยยาวนานออกไปได้เสมอ รูปธรรมการปฏิบัตินั้น ครูศุข ดุริยประณีต เป็นครูคนแรก จับมือ (พิธีฝากตัว) ให้ลูกหลานทุกคน เมื่อเห็นว่าพร้อมรับในราวอายุ ๘-๑๐ ปี สอนให้ตีฆ้องใหญ่เพลงโหมโรง เริ่มเพลงสาธุการเรื่อยไปจนครบ แล้วถึงสอนแยกเฉพาะเครื่องมือเบื้องต้น แม่แถม ส่งเสริมลูกหลานให้ไปเรียนกับครูเก่ง ๆ เฉพาะทาง เช่น ปี่ ระนาด เอกเรียนกับพระยาเสนาะฯ ระนาดทุ้มและเครื่องหนังกับพระพาทย์ บรรเลงรมย์ เรียนฆ้องวงกับหลวงบำรุงจิตรเจริญ เรียนโน้ตสากลกับขุนสำเนียงชั้นเชิง เรียนเพลงโขนละครกับพระยาและคุณหญิง นัฎกานุรักษ์ หม่อมจันทร์ กุญชร หม่อมต่วน วรวรรณ เรียนขับร้อง กับพระยาเสนาะดุริยางค์ พระยาภูมีเสวิน ขุนระทึก แม่ส้มแป้น ครูกิ่ง ทั้งยังส่งลูกชาย ๓ คน ไปเก็บเกี่ยวเพลงมอญถึงถิ่นที่ตั้งปากเกร็ด สามโคก ปทุมธานี ปากลัด และบางกระดี่ ในบ้านดุริยประณีตมีการถ่ายทอดกันเองระหว่างลูกสู่ลูก ลูกสู่หลาน หลานสู่หลาน สืบทอดส่งต่อกันไม่ขาดสาย ลูกคนใดเรียนรู้มาเท่าใด กลับบ้านต้องมาถ่ายทอดให้น้อง ๆ และหลาน ๆ ได้เรียนรู้ ต้องมาปฏิบัติทบทวนให้ฟังทุกวัน สอนทานความรู้ดูความตั้งใจ ทำดี ให้รางวัล ทำได้ไม่ดีถูกทำโทษ และจัดหาครูผู้มีชื่อเสียงมาสอนที่บ้าน เมื่อ “รุ่นลูก” ทำงานราชการ ไม่มีเวลาว่างพอสอน “รุ่นหลาน” ก็มีครูหงส์ บ้านปี่พาทย์ ซอยพระสวัสดิ์ มาสอนเพลงช้า เพลงเรื่องได้ครูทองอยู่ คนระนาดวง โรงงานสุราบางยี่ขันสอนเครื่องหนัง หน้าทับพิเศษ ขุนสำเนียงชั้นเชิง (มน โกมลรัตน์) สอนทุกอย่างรวมทั้งเขียนโน้ตและสอนเครื่องหนัง หลวงบำรุงจิตเจริญ (ธูป สาตนะวิลัย) สอนฆ้องวงใหญ่ พระประณีต วรศัพท์ (เขียน วรวาทิน) ความรู้เพลงดนตรีสูงมากและเป็นกรรมการ ประชันด้วยสอนระนาดเอก และระนาดทุ้ม พระพาทย์บรรเลงรมย์ (พิมพ์ วาทิน) สอนเครื่องหนัง สอนระนาดทุ้ม ครูพุ่ม บาปุยะวาทย์ ส่งเสริมไปเรียนกับครูตามบ้าน เช่น ครูสอน วงฆ้อง ครูเทียบ คงลายทอง ครูพริ้ง ดนตรีรส ครูนพ ศรีเพชรดี ต่อมาใช้ศิษย์ดุริยประณีตช่วยสอนรุ่นหลานต่อ ๆ มา เช่น ครูบุญยงค์ เกตุคง ครูตู๋ (หม่อมหลวงสุรักษ์ สวัสดิกุล) มีการตั้งวงปี่พาทย์ทดแทนรุ่นสู่รุ่นสอดรับช่วง เช่น รุ่นพ่อวง ครูศุขบางลำพู นักดนตรี มีเพื่อนจากวังบ้านหม้อกรมมหรสพร่วมวง รุ่นลูก มีครูโชติ ครูชื้น ครูชั้น ดุริยประณีต ครูเหนี่ยว ดุริยพันธุ์ นักร้อง ครูเชื่อม ครูแช่ม ครูชม ครูทัศนีย์ ครูสุดจิตต์ ดุริยประณีต รุ่นหลานรุ่นแรก พ.อ.วิชาญ ดุริยประณีต ดำรง เขียววิจิตร ประไพ ฉัตรเอก นักร้อง ครูวิเชียร ดุริยประณีต รุ่นลูกหลาน ครูไก่ (สืบสุด ดุริยประณีต) ครูสมชาย ดุริยประณีต ครูสุพจน์ โตสง่า ร่วมด้วยศิษย์ ครูบุญยงค์ เกตุคง ครูสมาน ทองสุโชติ ครูจำเนียร ศรีไทยพันธ์ ครูสมบัติ สุทิม ครูแจ้ง คล้ายสีทอง ครูสุชาติ คล้ายจินดา ครูเผชิญ กองโชค ครูสมพงษ์ นุชพิจารณ์ นักร้อง ครูสุรางค์ ครูดวงเนตร ดุริยพันธุ์ ครูจำรัส เขียววิจิตร ครูศิริ วิชเวช รุ่นหลานที่เป็นดุริยประณีตรุ่นเล็ก มีนฤพนธ์ ดุริยพันธุ์ พจนา ดุริยพันธุ์ ปรีชา ชุ่มชูศาสตร์ มนัส เขียววิจิตร ดุริยประณีตรุ่นจิ๋วที่เป็นรุ่นหลานมี ครูสืบศักดิ์ ดุริยประณีต ครูทัศนัย พิณพาทย์ ครูธีรศักดิ์ ชุ่มชูศาสตร์ ครูอำนวย รุ่งเรือง ร่วมด้วยศิษย์ครูนิกร จันศร ครูจงกล พงษ์พรหม ครูเฉลิม เผ่าละมูล นักร้อง ครูพจนีย์ ครูวาสนา รุ่งเรือง ซึ่งเป็นการส่งเสริมกิจกรรมการเรียนการสอนในสำนักต่อ เนื่องตลอดมาจนปัจจุบัน บ้านดุริยประณีตจัดพิธีกรรมไหว้ครูประจำปี ณ สำนักปี่พาทย์ดุริยประณีต ทุกปีเพื่อรักษาประเพณีพิธีกรรมของ ดุริยางคศิลปินไทย รำลึกพระคุณครูผู้สอนสั่งวิชาความรู้ พระไตรรัตน์ บุพการี ครูเทพ ครูมนุษย์ ครูพักลักจำความสามัคคี สมาชิกในตระกูลครู ศิษย์ นักดนตรี นาฏศิลป์ในวงการ ร่วมพบปะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้ โองการศักดิ์สิทธิ์ที่อ่านอัญเชิญพระพุทธะ เทพยดา ดุริยเทพ ในพิธีเท่ากับประจุสิ่งศักดิ์สิทธิ์สู่จิตวิญญาณ เชื่อมั่น ยุคครูสุดจิตต์ ดุริยประณีต เห็นพระราชจริยวัตรสมเด็จพระเทพรัตนฯ ทรงรักชอบดนตรีไทยด้วยน้ำพระทัยแท้จริง ทำให้ผู้คนหันมาสนใจดนตรีไทยมากขึ้น จึงอยากสนองให้อีกทางหนึ่ง ครูสุดจิตต์เห็นว่า ปี่พาทย์ประชันจำกัดอยู่ในวงแคบ ๆ รู้กันเฉพาะผู้นิยม หากมองกว้างออกไปเห็นคนมารักชอบเล่นดนตรีไทยมากขึ้นเป็นจำนวนหมื่นแสน จึงเปลี่ยนจุดขายจากวงปี่พาทย์ประชันมาเน้นการเผยแพร่ให้ความรู้แทน สถาบันการศึกษาทุกระดับให้ความสำคัญเปิดหลักสูตร ตั้งชมรมดนตรีไทย ครูบ้านดุริยประณีตกระจายออกสอน บ้านดุริยประณีตเปิดกว้างให้ผู้สนใจทุกเพศทุกวัยเข้าไปหาความรู้ พร้อมถ่ายทอดให้ทุกระดับฝีมือและสืบเนื่องมาจนทุกวันนี้แม้ครูสุดจิตต์ ดุริยประณีตจะสิ้นชีวิตไปแล้ว บ้านดุริยประณีต ตั้งปณิธานจะอยู่ที่บ้านบางลำพูเป็นสำนักดนตรีไทยไปจนกว่าครบ ๑๕๐ ปี หรืออีกราว ๓๐ ปีข้างหน้า เพราะยังมีกำลัง มีนักดนตรีรุ่นหลานอีกมากมายทยอยกันพัฒนา ฝีมือความรู้ขึ้นมาทดแทน เมื่อหนีไม่ได้ จำเป็นต้องอยู่กับคนรุ่นใหม่ คนต่างชาติก็ต้องปรับยุทธศาสตร์หาประโยชน์ทำมาหากินกับนักท่องเที่ยว ซึ่งกลยุทธ์แผนปฏิบัติเป็นไปในทางเผยแพร่ อนุรักษ์ ต้องไม่ทำความเสื่อมเสียถึงการสังคีตไทย ไม่ทำในลักษณะหวังกำไรสร้างความร่ำรวย ขอเพียงแต่พออยู่ได้ การดำเนินชีวิตในสังคมเปลี่ยนไปรวดเร็ว ชุมชนบางลำพูที่เคยมีคนรุ่นเก่าที่ใช้วิถีชีวิตร่วมกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย จิตใจ เกื้อกูลหมดไป ชีวิตที่ต้องแข่งขันต่างคนต่างอยู่เข้าแทนที่จิตวิญญาณ ร่วมในประเพณีชุมชนถูกทอดทิ้งแทบไม่เหลือให้เห็นสิ่งปลูกสร้างวัง บ้านเก่า วัดที่งดงาม ร่มครึ้มด้วยแมกไม้ถูกรื้อทิ้งสร้างแท่งอิฐ อุดอู้ทดแทน รัฐเร่งส่งเสริมการท่องเที่ยวหวังนำเงินเข้าหมุนเวียนเศรษฐกิจ แต่ไร้ระบบควบคุมที่ดีหรือเหมาะสมกับสภาพชุมชน รัฐทุ่มงบประมาณมากมายเอาใจท่องเที่ยวมองมิติเพียงขยายความเจริญทางวัตถุ ความสะดวก ขณะเดียวกันละทิ้งความสัมพันธ์ของ ผู้คนที่อยู่ก่อนในชุมชน คิดแต่ระบบแข่งขัน “อยู่ได้อยู่ไป อยู่ไม่ได้หนีไป” รัฐไม่มองชีวิตเป็นอยู่ของผู้คนในชุมชนเมืองเก่าที่บอกเล่าจารีต ประเพณี ลัทธิความเชื่อที่ส่งต่อถึงงานศิลปกรรมได้ สังคมในชุมชนหลังวัดบางลำพูหรือวัดสังเวชฯ แห่งนี้ คนเก่าล้มตาย คนใหม่ย้ายเข้ามา คนดั้งเดิมขายบ้านและที่ดินให้นักลงทุน ซื้อทำห้องเช่า เกสท์เฮ้าส์ โรงแรมให้คนนอกเข้าพัก สร้างร้านอาหาร บริการนักท่องเที่ยว จากถนนข้าวสาร รามบุตรี พระสุเมรุ รุกข้ามฝั่งคลองรอบกรุงถึงชุมชนนี้หลายปีแล้ว บ้านนักดนตรีปี่พาทย์ขายทิ้งไปแทบหมด เหลือแต่บ้านดุริยประณีตหลังนี้กับเครือญาติคือ บ้านครูเหนี่ยวเท่านั้น อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- วัดญวนสะพานขาวกับการทบทวนเรื่องราวของชุมชนแออัดที่มีการศึกษาทางมานุษยวิทยาแห่งแรกของกรุงเทพฯ
เผยแพร่ครั้งแรก 7 ก.ค. 2560 หลังเสียกรุงศรีอยุธยา การสร้างบ้านเมืองในช่วงกรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ถือว่าการรวบรวมประชากรทั้งผู้คนจากกรุงเก่า จากเหล่านานาชาติ กลุ่มผู้มีฝีมือทางงานช่างสารพัดเข้ามาอยู่ในพระนครและปริมณฑลถือเป็นสิ่งสำคัญควบคู่ไปกับการสร้างพระราชวัง ศาสนสถาน ย่านการค้า ฯลฯ ในคราวที่บ้านเมืองร้างไร้ผู้คนอันมีผลมาจากสงครามครั้งใหญ่ หนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์สำคัญที่สืบเนื่องมาจากการสงคราม ครั้งรวบรวมพระราชอาณาเขตเข้าเป็นหนึ่งเดียวครั้งใหม่นี้คือ เหล่าชาวญวนซึ่งอพยพเข้ามาอยู่แถบบ้านญวนและวัดญวนใกล้กับทางตะวันออกของวัดโพธิ์ที่ตั้งถิ่นฐานกันมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี อันสืบเนื่องจากเหตุการณ์ไตเซินซึ่งเป็นการลุกฮือของผู้นำกลุ่มชาวนาต่อสู้กับเจ้านายทั้งฝ่ายทางเหนือและทางใต้ ทำให้บ้านเมืองญวนแตกออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ ความไม่สงบเกิดขึ้นมากพอ ๆ กับบ้านเมืองในสยามยุคเดียวกันนั้น องเซียงซุนมีศักดิ์เป็นอาขององเชียงสือ พาคนญวนกลุ่มหนึ่งเดินทางเข้ามาในสมัยกรุงธนบุรีฯ เมื่อราว พ.ศ. ๒๓๒๐ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดเกล้าฯ ให้ชุมชนญวนรุ่นนี้ตั้งบ้านเรือนอยู่ฟากกรุงเทพฯ ในปัจจุบัน และสร้างวัดขึ้น ๒ แห่ง คือ “วัดกามโล่ตื่อ” หรือ “วัดทิพยวารีวิหาร” ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นวัดแบบจีนแล้ว และ “วัดโห่ยคั้นตื่อ” หรือ “วัดมงคลสมาคม” ซึ่งเดิมตั้งอยู่หลังวังบูรพาภิรมย์ แต่เมื่อตัดถนนพาหุรัดพาดผ่านจึงแลกที่ดินไปตั้งอยู่แถบถนน แปลงนาม ย่านเยาวราช เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ขึ้นครองราชย์ ปีเดียวกันนั้นองเชียงสือนำชาวญวนเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ไตเซินในแถบภาคกลางและอยู่อาศัยที่กรุงเทพฯ อยู่นานถึง ๒๐ กว่าปีก่อนจะกลับไปกู้บ้านเมืองและปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์พระองค์แรกแห่งราชวงศ์ยาลอง ในช่วงระหว่างนี้ชุมชนชาวญวนสร้างวัดญวนขึ้นสองแห่งคือ “วัดกั๋นเพื๊อกตื่อ” หรือวัดญวนบางโพ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาไกลจากพระนครขึ้นไปทาง เหนือ และวัดญวนตลาดน้อยหรือที่เรียกกันแต่เดิมว่า “วัดคั้นเยิงตื่อ” ริมแม่นำ้เจ้าพระยาอีกเช่นกัน ชื่อเป็นทางการภายหลังคือ “วัดอุภัยราชบำรุง” เกิดไฟไหม้ใหญ่ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ราว พ.ศ. ๒๔๔๑ ติดกันถึงสองครั้ง จึงใช้ทรัพย์ส่วนพระองค์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าพาหุรัดมณีมัย กรมพระเทพนารีรัตน์ พระราชธิดาซึ่งประสูติจากสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ และสิ้นพระชนม์เมื่อพระชันษา ๑๐ ปี ตัดถนนสายใหม่จาก “บ้านลาว” ไปจนถึง “สะพานหัน” เรียกว่า “ถนนพาหุรัด” ถนนพาหุรัดตัดผ่านบ้านญวนจึงเรียกว่า “ถนนบ้านญวน” ในระยะแรก ๆ ก็เพื่อให้เป็นย่านเศรษฐกิจการค้าท่ีต่อเนื่องกับทางถนนเจริญกรุงที่ตัดขึ้นในคราวรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถนนตัดใหม่ทั้งเจริญกรุงและพาหุรัดจึงตัดผ่านทั้งบ้านญวน บ้านลาวหรือบ้านกระบะ และบ้านหม้อหรือบ้านมอญ ซึ่งเป็นชุมชนที่เรียงรายนับจากฝั่งตะวันออกไปทางตะวันตก ซึ่งเป็นชุมชนที่ไพร่พลทั้งอพยพและถูกอพยพมาจากถิ่นฐานบ้านเมืองเดิมและนำมาให้อยู่อาศัยในกรุงเทพมหานคร เมื่อมีการตัดถนนก็กระจัดกระจายไปอยู่ในพื้นที่อื่นหรือแทรกไปกับชุมชนอื่น ๆ ถูกบูรณาการทางสังคมและวัฒนธรรม ทำอาชีพต่าง ๆ ทั้ง งานช่างฝีมือ งานหัตถกรรม ตลอดจนรับราชการต่าง ๆ จนกลายเป็นผู้คนพลเมืองของสยามประเทศในกรุงเทพฯ ไปในที่สุด วัดญวน สะพานขาวหรือวัดสมณานัมบริหาร ชุมชนที่ “วัดญวน สะพานขาว” เกิดขึ้นสืบเนื่องจาก ราว พ.ศ. 2376 รัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ในศึกญวน เจ้าพระยาบดินทรเดชายกทัพได้ครัวญวนที่ถือพุทธศาสนาพวกหนึ่ง ก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่จังหวัด กาญจนบุรี ส่วนพวกญวนที่ถือศาสนาคริสตังให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่สามเสน ต่อมาในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พวกญวนบางกลุ่มที่เมืองกาญจนบุรีขอกลับคืนมายังกรุงเทพฯ แต่ในปัจจุบันก็ยังมีชุมชนวัดญวนที่กาญจนบุรีอยู่ จึงพระราชทานที่ดินพร้อมให้สร้างวัดกั๋นเพื๊อกตื่อในบริเวณริมคลองผดุงกรุงเกษมเมื่อราว พ.ศ. ๒๔๑๘ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงพระราชทานนามว่า วัดสมณานัมบริหาร ส่วนชาวบ้านเรียกกันทั่วไปจนถึงปัจจุบันว่า “วัดญวน สะพานขาว” บริเวณที่ตั้งของชุมชนคนญวนนี้อยู่ใกล้กับสี่แยกมหานาค ซึ่งมีชาวมลายูมุสลิมและคนจามมุสลิมตั้งชุมชนอยู่ริมคลองมหานาคไม่ไกลจากชุมชนวัดญวนนัก ย่านนี้ทั้งคนจาม คนมลายู และคนญวนในช่วงเวลานั้นล้วนอยู่ในกำกับของเจ้าคุณกลาโหมหรือเจ้าคุณทหารหรือเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) ผู้เป็นหลานสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ซึ่งทุกกลุ่มชาติพันธุ์น่าจะเป็นแรงงานในการช่วยขุดคลองคูเมืองรอบนอกคือคลองผดุงกรุงเกษม และคลองเปรมประชากร ที่นอกเหนือไปจากจ้างแรงงานชาวจีนขุดแล้ว โดยมีกลุ่มตระกูลบุนนาคและขุนนางท่ีได้รับการสนับสนุนและต่อมาได้เป็นเจ้ากรมคลอง เช่น พระยาชลธารวินิจจัย (ฉุน ชลานุเคราะห์) ผู้ได้รับการศึกษาจากกองเรืออังกฤษคนแรก ๆ ในช่วงเวลาราว พ.ศ. ๒๓๙๔ และช่วง พ.ศ. ๒๔๑๓ ซึ่งที่โบสถ์ของวัดสมณานัมบริหารยังคงมีภาพ “กัปตันฉุน” อยู่ภายใน คณะสงฆ์ชาวญวนนั้นได้นำวัตรปฏิบัติแบบพุทธศาสนามหายาน โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในขณะทรงผนวชอยู่ได้สนพระทัยและสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้กับ “องฮึง” เจ้าอาวาสวัดญวน ตลาดน้อยจนเป็นที่พอพระทัย เมื่อขึ้นครองราชย์ แล้วก็สนับสนุนให้ปฏิสังขรณ์วัดญวน ตลาดน้อยหรือวัดอุภัยราชบำรุงต่อมา และโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้าถวายพระพรในช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษา และเป็นพระสงฆ์อีกฝ่ายในพิธีสงฆ์ของหลวงเรื่อยมา และได้รับเกียรติให้ประกอบพิธีกงเต๊กแบบญวนถวายเป็นครั้งแรก โดยกระทำครั้งแรกในพระราชพิธีพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในพระราชพิธีพระบรมศพ และพระศพพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงเรื่อยมาจนทุกวันนี้ ซึ่งงานช่างฝีมือกงเต๊กหลวงยังสามารถสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน พร้อมกับพิธีกงเต๊กหลวงเผาเครื่องกระดาษแบบอนัมนิกาย แม้ช่างผู้ทำจะไม่ได้มีเชื้อสายญวนแล้ว แต่ก็เป็นคนจีนและไทยผสมที่มีถิ่นฐานอยู่ในละแวก วัดญวนสะพานขาว ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจัดทำชุดกงเต๊กถวาย พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ เมื่อเร็ว ๆ นี้ด้วย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ เคยเสด็จพระราชดำเนินมาที่วัดสมณานัมบริหาร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๖ และฉลอง พระอุโบสถเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๑ และได้พบกับเจ้าอาวาสองสุตบทบวร (บ๋าวเอิง) ซึ่งเป็นพระสงฆ์ชื่อดังเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านอย่างมาก นับว่าคณะสงฆ์อนัมนิกายที่มีวัดอยู่ทั่วประเทศได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระมหากษัตริย์ไทยมาทุกยุคสมัยจนถึงรัชกาลปัจจุบัน ซึ่งคณะสงฆ์อนัมนิกายนี้เป็นหนึ่งในคณะสงฆ์ทางพุทธศาสนา ที่มีการกำกับดูแลโดยกฎหมายของมหาเถรสมาคม มีการสวดแบบภาษาญวนเก่า สำเนียงเดิมที่จดจำต่อกันมา และจดคัดลอกบันทึกมาเป็นภาษาไทย มีการจัดตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรม 2-3 แห่ง ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๒ เป็นต้นมา ทั้งแผนกสามัญศึกษาระดับมัธยมและมหาวิทยาลัย โดยเป็นส่วนหนึ่งในมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย สำหรับคณะสงฆ์อนัมนิกาย การสืบพระศาสนาในคณะอนัมนิกายนี้ตัดขาดกับคณะสงฆ์ทางพุทธศาสนาที่เวียดนามโดยเด็ดขาดด้วยเหตุผลทางการเมืองและการต่อสู้ในประเทศเวียดนามที่มีอยู่อย่างต่อเนื่องไม่ตำ่กว่าสองร้อยปี จนเพิ่งจะมีการริเริ่มสมาคมระหว่างสถานทูตเวียดนามและสงฆ์ ชาวเวียดนามในปัจจุบันเพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทุกวันนี้นอกจากพระสงฆ์ในนิกายแบบอนัมนิกายแล้วก็มีเพียงฐานรอบเจดีย์ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทที่มีร่องรอยการบรรจุอัฐิของคนเชื้อสายญวนซึ่งส่วนใหญ่อพยพเข้ามาในประเทศไทย ช่วงสงครามอินโดจีนและในช่วงสงครามเวียดนามเท่านั้น และเป็นคนจากภาคกลางของประเทศเป็นจำนวนมากกว่าพื้นที่อื่น ๆ สอบถามคนที่อยู่อาศัยในละแวกนี้กลับไม่พบคนเชื้อสายญวนแต่อย่างใด สาเหตุน่าจะเนื่องมาจากการเมืองระหว่างประเทศในช่วงหนึ่งที่ทำให้คนไทยมองว่าพรรคคอมมิวนิสต์นั้นอันตราย ประเทศสังคมนิยมโดยเฉพาะเวียดนามนั้นอันตรายจนทำให้คนไทยเชื้อสายญวนดั้งเดิมไม่กล้าที่จะแสดงตน และกลืนกลายเป็นคนไทยทั้งชื่อนามสกุล หากไม่มีเหตุอันใด เช่น การทำบุญให้บรรพบุรุษหรือวันตรุษปีใหม่ก็จะมารวมตัวกัน และแทบจะไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะมากนัก บริเวณวัดญวน สะพานขาวแต่เดิมมีพื้นที่มีคูนำ้ล้อมรอบชัดเจนและมีต้นไม้ร่มครึ้ม เนื่องจากมีอาณาบริเวณมาก ภายหลังกล่าวกันว่าดูเป็นป่ารก คนเข้ามาจับจองกันมาก โดยเฉพาะพวกช่างต่าง ๆ หรือช่างปูกระเบื้องตั้งแต่สมัยมาสร้างพระที่นั่งอนันตสมาคม ช่วงระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๕๑-๒๔๕๙ ทั้งคนงานจากต่างจังหวัดและคนเรือค้าขายตลอดจนคนจีนไหหลำที่เข้ามาต่อตู้ โต๊ะ และเฟอร์นิเจอร์ไม้ต่าง ๆ จึงเข้ามาบุกรุกพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณริมคลองคูรอบวัด สร้างบ้านเรือนอยู่ต่อกันมาและรับจ้างทำงานก่อสร้างอาคารสำคัญ ๆ เช่น โรงหนังทางวังบูรพาเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และอยู่สืบเนื่องมาจนกลายเป็นย่าน “ชุมชนตรอกใต้” นั่นเอง งานศึกษาชุมชนทางมานุษยวิทยาในบริเวณที่เรียกว่า “ตรอกใต้” ของอาจารย์ ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ เป็นการศึกษาชุมชนแออัดหรือสลัมแห่งแรกในกรุงเทพมหานคร เป็นวิทยานิพนธ์ทางมานุษยวิทยาปริญญาเอกเมื่อราว พ.ศ. ๒๕๑๑-๒๕๑๒ ซึ่งต่อมาหลังจากชุมชนตรอกใต้ถูกไฟไหม้ เรื่องกรรมสิทธิ์ บริเวณนี้กลายเป็นกรณีพิพาทระหว่างวัดญวน สะพานขาวและสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งทางวัดอ้างอิงเรื่องการรับพระราชทานที่ดินในรัศมีของแนวคลองหรือคูน้ำล้อมรอบกับที่ภายนอก ตรอกใต้อยู่บนคูน้ำที่ตื้นเขินพอดี พื้นที่นี้กลายเป็นที่วัด ปลูกตึกแถว ให้เช่า ส่วนด้านหน้าติดถนนก็เป็นที่ดินและตึกแถวของสำนักงานทรัพย์สินฯ ไป แต่คนที่อยู่อาศัยบางคนยังสืบเนื่องมาจากตรอกใต้มีอยู่อีกจำนวนไม่น้อย ทั้งที่กระจายอยู่ด้านหลังตึกแถวของวัดในสถานที่ดั้งเดิม และกระจายเข้าไปอยู่ทางแถบริมคลองลำปักด้านที่ติดกับทางออกไปถนนหลานหลวง คลองแห่งนี้เคยเป็นคลองจริง ๆ กว้างราวเรือกลับลำได้ น้ำเคยใสว่ายเล่นอยู่ข้างวัดญวน ซึ่งมีการบุกรุกพื้นที่ต่อมาและให้เช่าบ้านพักภายในตรอกชุมชนวัดญวน-คลองลำปัก จนกลายเป็นย่านชุมชนแออัดขนาดใหญ่ ผู้คนมีจากหลากหลายที่มาต่อจากตรอกใต้ และชุมชนรอบวัดญวนนี้ยังคงมีอาชีพเป็นช่างปูกระเบื้องที่คนทั่วไปรู้จักดีและมักจะมาหาช่างเหล่านี้ที่วัดญวน สะพานขาวอยู่เช่นเดิม อาจารย์ ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ กล่าวว่า ครั้งหนึ่งตรอกใต้ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่เสื่อมโทรมที่สุดของกรุงเทพฯ ในยุคนั้นทีเดียว จากการบรรยายดูเหมือนจะพอมีพื้นที่สำหรับนั่งกินโอเลี้ยงกาแฟอยู่บ้าง แต่ทว่าบริเวณตรอกวัดญวน-คลองลำปักเดี๋ยวนี้แม้แต่พื้นที่จะหายใจ ยังอึดอัด ทางเดินทอดยาวและแคบเสียจนแทบจะต้องเบี่ยงตัวหลบ หากเดินสวนทางกัน และบางแห่งก็มืดมิดเพราะหลังคาที่ทับซ้อน และที่ต่างกันมากคือตรอกใต้ในสมัยนั้นยังไม่มียาเสพติด งานของอาจารย์อคิน (ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์) ที่นำมาเขียนย่อ ๆ แบบหลายชีวิต ถึงชีวิตคนตรอกใต้กลุ่มหนึ่งที่เป็นตัวแทนของผู้คนในตรอกดั่งนวนิยาย ในช่วงก่อน พ.ศ. ๒๕๑๑ หลังไฟไหม้ใหญ่เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๑ คุณพณิฎา สกุลธนโสภณ หรือพี่ใหญ่ของชาววัดญวน ผู้เป็นไวยาวัจกรและมีหน้าที่ดูแลหลายกิจกรรมสารพัดอย่างที่วัดญวน สะพานขาว ซึ่งเป็นคนตรอกใต้แต่กำเนิดเล่าให้ฟังว่าตนเองและครอบครัวย้ายออกมาจากตรอกใต้ พ่อไปทางแม่ไปทาง แม่พ่อใหญ่เป็นคนนครสวรรค์ที่มีเชื้อจีนผสมญวน แต่มาพบพ่อคนเมืองนนท์ที่ตรอกใต้ ยายกับแม่พี่ใหญ่มาโดยเรือค้าข้าว ที่นำข้าวเปลือกมาขายโรงสีในคลองผดุงฯ คนที่ตรอกใต้หลายคนมาด้วยวิธีนี้ บ้างก็มาจากเรือผลไม้ พวกแตงโมมาที่ตลาดมหานาคเป็นพื้น ถ้าขึ้นบกได้ก็มักจะอยู่กันแถบวัดญวนนี้ แต่แฟนพี่ใหญ่เป็นคนจีน ไหหลำหน้าวัดญวน พอแต่งงานกัน พี่ใหญ่ก็ย้ายกลับมาอีก แต่คราวนี้อยู่ข้างวัดที่ปลูกเป็นบ้านหลัง ๆ ติดกับแนวคลองลำปักที่เป็นทางนำ้ไปออกคลองผดุงกรุงเกษม ช่วงท่ีอาจารย์ ม.ร.ว.อคิน เข้าไปศึกษา พ่อใหญ่คงอายุไม่มาก แต่พี่ใหญ่ยังระลึกถึง “ความเป็นคนตรอกใต้” เสมอ หลังจากตรอกใต้ไฟไหม้ คนก็เข้าไปจับจองพื้นที่ทันทีเหมือนกัน หลังจากนั้นอีกราวเป็นสิบปี จึงทำข้อตกลงกับสำนักงานทรัพย์สินฯ เพื่อจะระบุแนวเขตที่ดิน แต่ภายหลังเห็นว่าตกลงกันได้ บริเวณตรอกใต้จึงปลูกเป็นตึกแถวเป็นแนวไป ด้านหน้าที่เป็นตึกของสำนักงานทรัพย์สินฯ ก็ให้คนที่ตรอกใต้เซ้งก่อน แต่ส่วนใหญ่ไม่สามารถเซ้งได้ ก็เลยมาปลูกบ้านอยู่หลังตึกที่สร้างนั่นเอง แต่อยู่บนแนวลำคลองที่เคยเป็นคูนำ้ใหญ่ล้อมรอบวัด ต่อมาบางครอบครัวที่พอเซ้งได้หรือโชคดีที่มีคนทิ้งไว้ให้ก็ออกมาอยู่ที่ตึก ทุกวันนี้ยังมีคนทำมังกรจุ่มสี หลังจากสมัยที่อาจารย์อคิน เข้ามาแล้วคงมีหลายบ้านทำเลียนแบบ ทำตุ๊กตายืดหด ป๋องแป๋งเด็กเล่น ยังมีคนทำอยู่บางบ้าน ทุกวันนี้ชาวตรอกใต้ก็ยังอยู่เพียงแต่ไม่ได้มีสถานะเป็นชุมชนเหมือนพื้นที่อื่น ๆ ทางฝั่งเหนือที่เป็นชุมชนวัดญวน-คลองลำปักก็เป็นชุมชนขึ้นทะเบียนของกรุงเทพมหานครไปแล้ว แต่ก็ไม่สามารถรับการช่วยเหลือจากทางรัฐท้องถิ่นเพราะเป็นชุมชนบุกรุก ช่วงแรก ๆ ในสมัย พล.ต. จำลอง ศรีเมือง เป็นผู้ว่าราชการออกเลขที่บ้านให้เด็กเพื่อเรียนหนังสือ ต่อมาจึงถูกนำมาใช้สถานะอื่น ๆ กลายเป็นชุมชนและบ้านที่ซื้อขาย เปลี่ยนมือได้ เพราะบริเวณนี้ทั้งใกล้และสะดวกทุกอย่างในการเลี้ยงชีพและดำเนินชีวิต ปัญหาหนักของคนในชุมชนแออัดทุกวันนี้ไม่พ้นยาเสพติด ทั้งดมกาวไปจนถึงยาบ้าและยาไอซ์ ได้ทหารมาปรามไปบ้างก็ค่อย ๆ ลดลง พี่ใหญ่ตั้งกลุ่มตั้งชมรมแอโรบิก กลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุข มีพี่ ๆ น้อง ๆ ผู้หญิงทั้งนั้นมาช่วยกันทำงานอาสาบ้าง ทำงานเรื่องเด็ก และเยาวชนบ้าง พี่ใหญ่ช่วยหาทุนสงเคราะห์กันบ้างก็ยังมีอาการน่าเป็นห่วง เด็ก ๆ หลังจากที่ชุมชนไม่ได้รับการยอมรับจากเจ้าหน้าที่รัฐ เมื่อสองสามปีที่แล้ว การดูแลช่วยเหลือก็ยิ่งทำได้ยากขึ้น ส่วนเด็กวัยรุ่นท้องก่อนวัยอันควรก็ยังเป็นปัญหาใหญ่ เรื่องเช่นนี้สมัยที่อาจารย์ ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ศึกษาชุมชนที่ตรอกใต้ ก็เห็นว่าไม่ค่อยมีเรื่องอะไรแบบนี้ ส่วนคนจีนไหหลำที่เคยปลูกบ้านอยู่ใกล้ ๆ กับคนตรอกใต้ ที่เรียกว่าพวกโรงตู้ คือมีอาชีพทำพวกเฟอร์นิเจอร์ ตู้ เตียงต่าง ๆ หลังจากไฟไหม้ส่วนใหญ่ย้ายไปอยู่แถว ๆ ซอยประชานฤมิตรที่เป็นถนนสายไม้ในปัจจุบัน แต่ก็ยังเหลือเจ๊หย่ง เจ๊วา อยู่ตึกปากตรอกใต้แต่เดิม หรือซอยลูกหลวง 6 ขายขนมจีนไหหลำทั้งหมูทั้งเนื้อ ซึ่งขายมาตั้งแต่อยู่ที่หน้าวัด เมื่อไฟไหม้และไม่ได้มีอาชีพด้านช่าง จึงไม่ได้ย้ายตามพรรคพวกไปแต่ย้ายมาขายขึ้นตึกมีฐานะจนถึงปัจจุบัน พี่ใหญ่บอกว่า คนเชื้อสายญวนเก่าก็ไม่มีแล้ว แต่ทางชุมชนวัดญวนยังได้รับมรดกทางวัฒนธรรมเป็นอาหารประจำถิ่นอยู่สองอย่าง คือ “ปอเปี๊ยะทอด” กับ “มะเหง่” ที่ใช้เส้นเหมือนขนมจีนไหหลำ แต่เส้นใหญ่กว่าและหนานุ่มกว่า ซึ่งเป็นเส้นข้าวเปียกตามแบบโบราณ ใช้น้ำซุปปลาแล้วแกะเนื้อปลาทูหรือเนื้อปลาช่อน เป็นข้าวเปียกปลาที่หารับประทานได้ยากแล้วในปัจจุบัน อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- วัดญวนสะพานขาวกับการทบทวนเรื่องราวของชุมชนแออัดที่มีการ ศึกษาทางมานุษยวิทยาแห่งแรกของกรุงเทพฯ
เผยแพร่ครั้งแรก 7 ก.ค. 2560 หลังเสียกรุงศรีอยุธยา การสร้างบ้านเมืองในช่วงกรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ถือว่า การรวบรวมประชากรทั้งผู้คนจากกรุงเก่า จากเหล่านานาชาติ กลุ่มผู้มีฝีมือทางงานช่างสารพัดเข้ามา อยู่ในพระนครและปริมณฑลถือเป็นสิ่งสำคัญควบคู่ไปกับการสร้างพระราชวัง ศาสนสถาน ย่านการค้า ฯลฯ ในคราวที่บ้านเมืองร้างไร้ ผู้คนอันมีผลมาจากสงครามครั้งใหญ่ หนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์สำคัญที่สืบเนื่องมาจากการสงคราม ครั้งรวบรวมพระราชอาณาเขตเข้าเป็นหนึ่งเดียวครั้งใหม่นี้คือ เหล่าชาวญวนซึ่งอพยพเข้ามาอยู่แถบบ้านญวนและวัดญวนใกล้กับทางตะวันออกของวัดโพธิ์ที่ตั้งถิ่นฐานกันมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี อันสืบเนื่องจากเหตุการณ์ไตเซินซึ่งเป็นการลุกฮือของผู้นำกลุ่มชาวนาต่อสู้กับเจ้านายทั้งฝ่ายทางเหนือและทางใต้ ทำให้บ้านเมืองญวนแตกออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ ความไม่สงบเกิดขึ้นมากพอ ๆ กับบ้านเมืองในสยามยุคเดียวกันนั้น องเซียงซุนมีศักดิ์เป็นอาขององเชียงสือ พาคนญวนกลุ่มหนึ่งเดินทางเข้ามาในสมัยกรุงธนบุรีฯ เมื่อราว พ.ศ. ๒๓๒๐ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดเกล้าฯ ให้ชุมชนญวนรุ่นนี้ตั้งบ้านเรือนอยู่ฟากกรุงเทพฯ ในปัจจุบัน และสร้างวัดขึ้น ๒ แห่ง คือ “วัดกามโล่ตื่อ” หรือ “วัดทิพยวารีวิหาร” ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นวัดแบบจีนแล้ว และ “วัดโห่ยคั้นตื่อ” หรือ “วัดมงคลสมาคม” ซึ่งเดิมตั้งอยู่หลังวังบูรพาภิรมย์ แต่เมื่อตัดถนนพาหุรัดพาดผ่านจึงแลกที่ดินไปตั้งอยู่แถบถนน แปลงนาม ย่านเยาวราช เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ขึ้นครองราชย์ ปีเดียวกันนั้น องเชียงสือนำชาวญวนเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ไตเซินในแถบภาคกลาง และอยู่อาศัยที่กรุงเทพฯ อยู่นานถึง ๒๐ กว่าปีก่อนจะกลับไปกู้บ้านเมืองและปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์พระองค์แรกแห่งราชวงศ์ยาลอง ในช่วงระหว่างนี้ชุมชนชาวญวนสร้างวัดญวนขึ้นสองแห่งคือ “วัดกั๋นเพื๊อกตื่อ” หรือวัดญวนบางโพ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาไกลจากพระนครขึ้นไปทาง เหนือ และวัดญวนตลาดน้อยหรือที่เรียกกันแต่เดิมว่า “วัดคั้นเยิงตื่อ” ริมแม่นำ้เจ้าพระยาอีกเช่นกัน ชื่อเป็นทางการภายหลังคือ “วัดอุภัยราชบำรุง” เกิดไฟไหม้ใหญ่ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ราว พ.ศ. ๒๔๔๑ ติดกันถึงสองครั้ง จึงใช้ทรัพย์ส่วนพระองค์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าพาหุรัดมณีมัย กรมพระเทพนารีรัตน์ พระราชธิดาซึ่งประสูติจากสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ และสิ้นพระชนม์เมื่อพระชันษา ๑๐ ปี ตัดถนนสายใหม่จาก “บ้านลาว” ไปจนถึง “สะพานหัน” เรียกว่า “ถนนพาหุรัด” ถนนพาหุรัดตัดผ่านบ้านญวนจึงเรียกว่า “ถนนบ้านญวน” ในระยะแรก ๆ ก็เพื่อให้เป็นย่านเศรษฐกิจการค้าท่ีต่อเนื่องกับทางถนนเจริญกรุงที่ตัดขึ้นในคราวรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถนนตัดใหม่ทั้ง เจริญกรุงและพาหุรัดจึงตัดผ่านทั้งบ้านญวน บ้านลาวหรือบ้านกระบะและบ้านหม้อหรือบ้านมอญ ซึ่งเป็นชุมชนที่เรียงรายนับจากฝั่งตะวันออกไปทางตะวันตก ซึ่งเป็นชุมชนที่ไพร่พลทั้งอพยพและถูกอพยพ มาจากถิ่นฐานบ้านเมืองเดิมและนำมาให้อยู่อาศัยในกรุงเทพมหานคร เมื่อมีการตัดถนนก็กระจัดกระจายไปอยู่ในพื้นที่อื่นหรือแทรกไปกับชุมชนอื่น ๆ ถูกบูรณาการทางสังคมและวัฒนธรรม ทำอาชีพต่าง ๆ ทั้งงานช่างฝีมือ งานหัตถกรรม ตลอดจนรับราชการ ต่าง ๆ จนกลายเป็นผู้คนพลเมืองของสยามประเทศในกรุงเทพฯ ไปในที่สุด วัดญวน สะพานขาวหรือวัดสมณานัมบริหาร ชุมชนที่ “วัดญวน สะพานขาว” เกิดขึ้นสืบเนื่องจาก ราวพ.ศ. ๒๓๗๖ รัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ในศึกญวน เจ้าพระยาบดินทรเดชายกทัพได้ครัวญวนที่ถือพุทธศาสนาพวกหนึ่ง ก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่จังหวัด กาญจนบุรี ส่วนพวกญวนที่ถือศาสนาคริสตังให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่สามเสน ต่อมาในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พวกญวนบางกลุ่มที่เมืองกาญจนบุรีขอกลับคืนมายังกรุงเทพฯ แต่ในปัจจุบันก็ยังมีชุมชนวัดญวนที่กาญจนบุรีอยู่ จึงพระราชทานที่ดินพร้อมให้สร้างวัดกั๋นเพื๊อกตื่อในบริเวณริมคลองผดุงกรุงเกษมเมื่อราว พ.ศ. ๒๔๑๘ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงพระราชทานนามว่า วัดสมณานัมบริหาร ส่วนชาวบ้านเรียกกันทั่วไปจนถึงปัจจุบันว่า “วัดญวน สะพานขาว” บริเวณที่ตั้งของชุมชนคนญวนนี้อยู่ใกล้กับสี่แยกมหานาค ซึ่งมีชาวมลายูมุสลิมและคนจามมุสลิมตั้งชุมชนอยู่ริมคลองมหานาคไม่ไกลจากชุมชนวัดญวนนัก ย่านนี้ทั้งคนจาม คนมลายู และคนญวนในช่วงเวลานั้นล้วนอยู่ในกำกับของเจ้าคุณกลาโหมหรือเจ้าคุณทหารหรือ เจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) ผู้เป็นหลานสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ซึ่งทุกกลุ่มชาติพันธุ์น่าจะเป็นแรงงานในการช่วยขุดคลองคูเมืองรอบนอกคือคลองผดุงกรุงเกษม และคลองเปรมประชากร ที่นอกเหนือไปจากจ้างแรงงานชาวจีนขุดแล้ว โดยมีกลุ่มตระกูลบุนนาคและขุนนางท่ีได้รับการสนับสนุนและต่อมาได้เป็นเจ้ากรมคลอง เช่น พระยาชลธารวินิจจัย (ฉุน ชลานุเคราะห์) ผู้ได้รับการศึกษาจากกองเรืออังกฤษคนแรก ๆ ในช่วงเวลาราว พ.ศ. ๒๓๙๔ และช่วง พ.ศ. ๒๔๑๒๓ ซึ่งที่โบสถ์ของวัดสมณานัมบริหารยังคงมีภาพ “กัปตันฉุน” อยู่ภายใน คณะสงฆ์ชาวญวนนั้นได้นำวัตรปฏิบัติแบบพุทธศาสนามหายาน โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในขณะทรงผนวชอยู่ได้สนพระทัยและสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้กับ “องฮึง” เจ้าอาวาสวัดญวน ตลาดน้อยจนเป็นที่พอพระทัย เมื่อขึ้นครองราชย์ แล้วก็สนับสนุนให้ปฏิสังขรณ์วัดญวน ตลาดน้อยหรือวัดอุภัยราชบำรุงต่อมา และโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้าถวายพระพรในช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษา และเป็นพระสงฆ์อีกฝ่ายในพิธีสงฆ์ของหลวงเรื่อยมา และได้รับเกียรติให้ประกอบพิธีกงเต๊กแบบญวนถวายเป็นครั้งแรก โดยกระทำครั้งแรกในพระราชพิธีพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในพระราชพิธีพระบรมศพ และพระศพพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงเรื่อยมาจนทุกวันนี้ ซึ่งงานช่างฝีมือกงเต๊กหลวงยังสามารถสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน พร้อมกับพิธีกงเต๊กหลวงเผาเครื่องกระดาษแบบอนัมนิกาย แม้ช่างผู้ทำจะไม่ได้มีเชื้อสายญวนแล้ว แต่ก็เป็นคนจีนและไทยผสมที่มีถิ่นฐานอยู่ในละแวก วัดญวน สะพานขาว ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจัดทำชุดกงเต๊กถวาย พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ เมื่อเร็ว ๆ นี้ด้วย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ เคยเสด็จพระราชดำเนินมาที่วัดสมณานัมบริหาร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๖ และฉลอง พระอุโบสถเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๑ และได้พบกับเจ้าอาวาสองสุตบทบวร (บ๋าวเอิง) ซึ่งเป็นพระสงฆ์ชื่อดัง เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านอย่างมาก นับว่าคณะสงฆ์อนัมนิกายที่มีวัดอยู่ทั่วประเทศได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระมหากษัตริย์ไทยมาทุกยุคสมัยจนถึงรัชกาลปัจจุบัน ซึ่งคณะสงฆ์อนัมนิกายนี้เป็นหนึ่งในคณะสงฆ์ทางพุทธศาสนาที่มีการกำกับดูแลโดยกฎหมายของมหาเถรสมาคม มีการสวดแบบภาษาญวนเก่า สำเนียงเดิมที่จดจำต่อกันมา และจดคัดลอกบันทึก มาเป็นภาษาไทย มีการจัดตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรม ๒-๓ แห่ง ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๒ เป็นต้นมา ทั้งแผนกสามัญศึกษาระดับมัธยมและมหาวิทยาลัย โดยเป็นส่วนหนึ่งในมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย สำหรับคณะสงฆ์อนัมนิกาย การสืบพระศาสนาในคณะอนัมนิกายนี้ตัดขาดกับคณะสงฆ์ทางพุทธศาสนาที่เวียดนามโดยเด็ดขาดด้วยเหตุผลทางการเมืองและการต่อสู้ในประเทศเวียดนามที่มีอยู่อย่างต่อเนื่องไม่ตำ่กว่าสองร้อยปี จนเพิ่งจะมีการริเริ่มสมาคมระหว่างสถานทูตเวียดนามและสงฆ์ ชาวเวียดนามในปัจจุบันเพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทุกวันนี้นอกจากพระสงฆ์ในนิกายแบบอนัมนิกายแล้วก็มีเพียงฐานรอบเจดีย์ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทที่มีร่องรอยการ บรรจุอัฐิของคนเชื้อสายญวนซึ่งส่วนใหญ่อพยพเข้ามาในประเทศไทย ช่วงสงครามอินโดจีนและในช่วงสงครามเวียดนามเท่านั้น และเป็นคนจากภาคกลางของประเทศเป็นจำนวนมากกว่าพื้นที่อื่น ๆ สอบถามคนที่อยู่อาศัยในละแวกนี้กลับไม่พบคนเชื้อสายญวนแต่อย่างใด สาเหตุน่าจะเนื่องมาจากการเมืองระหว่างประเทศในช่วงหนึ่งที่ทำให้คนไทยมองว่าพรรคคอมมิวนิสต์นั้นอันตราย ประเทศสังคมนิยมโดยเฉพาะเวียดนามนั้นอันตรายจนทำให้คนไทยเชื้อสายญวนดั้งเดิมไม่กล้าที่จะแสดงตน และกลืนกลายเป็นคนไทยทั้งชื่อนามสกุล หากไม่มีเหตุอันใด เช่น การทำบุญให้บรรพบุรุษหรือวันตรุษปีใหม่ก็จะมารวมตัวกัน และแทบจะไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะมากนัก บริเวณวัดญวน สะพานขาวแต่เดิมมีพื้นที่มีคูนำ้ล้อมรอบชัดเจนและมีต้นไม้ร่มครึ้ม เนื่องจากมีอาณาบริเวณมาก ภายหลังกล่าวกันว่าดูเป็นป่ารก คนเข้ามาจับจองกันมาก โดยเฉพาะพวกช่างต่าง ๆ หรือช่างปูกระเบื้องตั้งแต่สมัยมาสร้างพระที่นั่งอนันตสมาคม ช่วงระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๕๑-๒๔๕๙ ทั้งคนงานจากต่างจังหวัดและคนเรือค้าขายตลอดจนคนจีนไหหลำที่เข้ามาต่อตู้ โต๊ะ และเฟอร์นิเจอร์ไม้ต่าง ๆ จึงเข้ามาบุกรุกพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณริมคลองคูรอบวัด สร้าง บ้านเรือนอยู่ต่อกันมาและรับจ้างทำงานก่อสร้างอาคารสำคัญ ๆ เช่น โรงหนังทางวังบูรพาเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ และอยู่สืบเนื่องมาจนกลายเป็นย่าน “ชุมชนตรอกใต้” นั่นเอง งานศึกษาชุมชนทางมานุษยวิทยาในบริเวณที่เรียกว่า “ตรอกใต้” ของอาจารย์ ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ เป็นการศึกษาชุมชนแออัดหรือสลัมแห่งแรกในกรุงเทพมหานคร เป็นวิทยานิพนธ์ทางมานุษยวิทยาปริญญาเอกเมื่อราว พ.ศ. ๒๕๑๑-๒๕๑๒ ซึ่งต่อมาหลังจากชุมชนตรอกใต้ถูกไฟไหม้ เรื่องกรรมสิทธิ์ บริเวณนี้กลายเป็นกรณีพิพาทระหว่างวัดญวน สะพานขาวและสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งทางวัดอ้างอิงเรื่องการรับพระราชทานที่ดินในรัศมีของแนวคลองหรือคูน้ำล้อมรอบกับที่ภายนอก ตรอกใต้อยู่บนคูน้ำที่ตื้นเขินพอดี พื้นที่นี้กลายเป็นที่วัด ปลูกตึกแถวให้เช่า ส่วนด้านหน้าติดถนนก็เป็นที่ดินและตึกแถวของสำนักงานทรัพย์สินฯ ไป แต่คนที่อยู่อาศัยบางคนยังสืบเนื่องมาจากตรอกใต้มีอยู่อีกจำนวนไม่น้อย ทั้งที่กระจายอยู่ด้านหลังตึกแถวของวัดในสถานที่ดั้งเดิม และกระจายเข้าไปอยู่ทางแถบริมคลองลำปักด้านที่ติดกับทางออกไปถนนหลานหลวง คลองแห่งนี้เคยเป็นคลองจริง ๆ กว้างราวเรือกลับลำได้ น้ำเคยใสว่ายเล่นอยู่ข้างวัดญวน ซึ่งมีการบุกรุกพื้นที่ต่อมาและให้เช่าบ้านพักภายในตรอกชุมชนวัดญวน-คลองลำปัก จนกลายเป็นย่านชุมชนแออัดขนาดใหญ่ ผู้คนมีจากหลากหลายที่มาต่อจากตรอกใต้ และชุมชนรอบวัดญวนนี้ยังคงมีอาชีพเป็นช่างปูกระเบื้องที่คนทั่วไปรู้จักดีและมักจะมาหาช่างเหล่านี้ที่วัดญวน สะพานขาวอยู่เช่นเดิม อาจารย์ ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ กล่าวว่า ครั้งหนึ่งตรอกใต้ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่เสื่อมโทรมที่สุดของกรุงเทพฯ ในยุคนั้นทีเดียว จากการบรรยายดูเหมือนจะพอมีพื้นที่สำหรับนั่งกินโอเลี้ยงกาแฟอยู่บ้าง แต่ทว่าบริเวณตรอกวัดญวน-คลองลำปักเดี๋ยวนี้แม้แต่พื้นที่จะหายใจยังอึดอัด ทางเดินทอดยาวและแคบเสียจนแทบจะต้องเบี่ยงตัวหลบ หากเดินสวนทางกัน และบางแห่งก็มืดมิดเพราะหลังคาที่ทับซ้อน และที่ต่างกันมากคือตรอกใต้ในสมัยนั้นยังไม่มียาเสพติด งานของอาจารย์อคิน (ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์) ที่นำมาเขียนย่อ ๆ แบบหลายชีวิต ถึงชีวิตคนตรอกใต้กลุ่มหนึ่งที่เป็นตัวแทนของผู้คนในตรอกดั่งนวนิยาย ในช่วงก่อน พ.ศ. ๒๕๑๑ หลังไฟไหม้ใหญ่เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๑ คุณพณิฎา สกุลธนโสภณ หรือพี่ใหญ่ของชาววัดญวน ผู้เป็นไวยาวัจกรและมีหน้าที่ดูแลหลายกิจกรรมสารพัดอย่างที่วัดญวน สะพานขาว ซึ่งเป็นคนตรอกใต้แต่กำเนิดเล่าให้ฟังว่าตนเองและครอบครัวย้ายออกมาจากตรอกใต้ พ่อไปทาง แม่ไปทาง แม่พ่อใหญ่เป็นคนนครสวรรค์ที่มีเชื้อจีนผสมญวน แต่มาพบพ่อคนเมืองนนท์ที่ตรอกใต้ ยายกับแม่พี่ใหญ่มาโดยเรือค้าข้าว ที่นำข้าวเปลือกมาขายโรงสีในคลองผดุงฯ คนที่ตรอกใต้หลายคนมาด้วยวิธีนี้ บ้างก็มาจากเรือผลไม้ พวกแตงโมมาที่ตลาดมหานาคเป็นพื้น ถ้าขึ้นบกได้ก็มักจะอยู่กันแถบวัดญวนนี้ แต่แฟนพี่ใหญ่เป็นคนจีนไหหลำหน้าวัดญวน พอแต่งงานกัน พี่ใหญ่ก็ย้ายกลับมาอีก แต่คราวนี้อยู่ข้างวัดที่ปลูกเป็นบ้านหลัง ๆ ติดกับแนวคลองลำปักที่เป็นทางนำ้ไปออกคลองผดุงกรุงเกษม ช่วงท่ีอาจารย์ ม.ร.ว.อคินเข้าไปศึกษา พ่อใหญ่คงอายุไม่มาก แต่พี่ใหญ่ยังระลึกถึง “ความเป็นคนตรอกใต้” เสมอ หลังจากตรอกใต้ไฟไหม้ คนก็เข้าไปจับจองพื้นที่ทันทีเหมือนกัน หลังจากนั้นอีกราวเป็นสิบปี จึงทำข้อตกลงกับสำนักงานทรัพย์สินฯ เพื่อจะระบุแนวเขตที่ดิน แต่ภายหลังเห็นว่าตกลงกันได้ บริเวณตรอกใต้จึงปลูกเป็นตึกแถวเป็นแนวไป ด้านหน้าที่เป็นตึกของสำนักงานทรัพย์สินฯ ก็ให้คนที่ตรอกใต้เซ้งก่อน แต่ส่วนใหญ่ไม่สามารถเซ้งได้ก็เลยมาปลูกบ้านอยู่หลังตึกที่สร้างนั่นเอง แต่อยู่บนแนวลำคลองที่เคยเป็นคูนำ้ใหญ่ล้อมรอบวัด ต่อมาบางครอบครัวที่พอเซ้งได้หรือโชคดีที่มีคนทิ้งไว้ให้ก็ออกมาอยู่ ที่ตึก ทุกวันนี้ยังมีคนทำมังกรจุ่มสี หลังจากสมัยที่อาจารย์อคิน เข้ามาแล้วคงมีหลายบ้านทำเลียนแบบ ทำตุ๊กตายืดหด ป๋องแป๋งเด็กเล่น ยังมีคนทำอยู่บางบ้าน ทุกวันนี้ชาวตรอกใต้ก็ยังอยู่ เพียงแต่ไม่ได้มีสถานะเป็นชุมชนเหมือนพื้นที่อื่น ๆ ทางฝั่งเหนือที่เป็นชุมชนวัดญวน-คลองลำปักก็เป็นชุมชนขึ้นทะเบียนของกรุงเทพมหานครไปแล้ว แต่ก็ไม่สามารถรับการช่วยเหลือจากทางรัฐท้องถิ่นเพราะเป็นชุมชนบุกรุก ช่วงแรก ๆ ในสมัยพล.ต. จำลอง ศรีเมือง เป็นผู้ว่าราชการออกเลขที่บ้านให้เด็กเพื่อเรียนหนังสือ ต่อมาจึงถูกนำมาใช้สถานะอื่น ๆ กลายเป็นชุมชนและบ้านที่ซื้อขาย เปลี่ยนมือได้ เพราะบริเวณนี้ทั้งใกล้และสะดวกทุกอย่างในการเลี้ยงชีพและดำเนินชีวิต ปัญหาหนักของคนในชุมชนแออัดทุกวันนี้ไม่พ้นยาเสพติด ทั้งดมกาวไปจนถึงยาบ้าและยาไอซ์ ได้ทหารมาปรามไปบ้างก็ค่อย ๆ ลดลง พี่ใหญ่ตั้งกลุ่มตั้งชมรมแอโรบิก กลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุข มีพี่ ๆ น้อง ๆ ผู้หญิงทั้งนั้นมาช่วยกันทำงานอาสาบ้าง ทำงานเรื่องเด็ก และเยาวชนบ้าง พี่ใหญ่ช่วยหาทุนสงเคราะห์กันบ้างก็ยังมีอาการน่าเป็นห่วงเด็ก ๆ หลังจากที่ชุมชนไม่ได้รับการยอมรับจากเจ้าหน้าที่รัฐ เมื่อสองสามปีที่แล้ว การดูแลช่วยเหลือก็ยิ่งทำได้ยากขึ้น ส่วนเด็กวัยรุ่นท้องก่อนวัยอันควรก็ยังเป็นปัญหาใหญ่ เรื่องเช่นนี้สมัยที่อาจารย์ ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ ศึกษาชุมชนที่ตรอกใต้ ก็เห็นว่าไม่ค่อยมีเรื่องอะไรแบบนี้ ส่วนคนจีนไหหลำที่เคยปลูกบ้านอยู่ใกล้ ๆ กับคนตรอกใต้ที่เรียกว่าพวกโรงตู้ คือมีอาชีพทำพวกเฟอร์นิเจอร์ ตู้ เตียงต่าง ๆ หลังจากไฟไหม้ส่วนใหญ่ย้ายไปอยู่แถว ๆ ซอยประชานฤมิตรที่เป็นถนนสายไม้ในปัจจุบัน แต่ก็ยังเหลือเจ๊หย่ง เจ๊วา อยู่ตึกปากตรอกใต้แต่เดิม หรือซอยลูกหลวง ๖ ขายขนมจีนไหหลำทั้งหมูทั้งเนื้อ ซึ่งขายมาตั้งแต่อยู่ที่หน้าวัด เมื่อไฟไหม้และไม่ได้มีอาชีพด้านช่างจึงไม่ได้ย้ายตามพรรคพวกไปแต่ย้ายมาขายขึ้นตึกมีฐานะจนถึงปัจจุบัน พี่ใหญ่บอกว่า คนเชื้อสายญวนเก่าก็ไม่มีแล้ว แต่ทางชุมชนวัดญวนยังได้รับมรดกทางวัฒนธรรมเป็นอาหารประจำถิ่นอยู่สองอย่าง คือ “ปอเปี๊ยะทอด” กับ “มะเหง่” ที่ใช้เส้นเหมือนขนมจีนไหหลำ แต่เส้นใหญ่กว่าและหนานุ่มกว่า ซึ่งเป็นเส้นข้าวเปียกตามแบบโบราณ ใช้น้ำซุปปลาแล้วแกะเนื้อปลาทูหรือเนื้อปลาช่อน เป็นข้าวเปียกปลา ที่หารับประทานได้ยากแล้วในปัจจุบัน อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- สนทนาเรื่องศาสนาพราหมณ์ที่โบสถ์พราหมณ์เสาชิงช้า กับพราหมณ์ตรัณ บุรณศิริ
เผยแพร่ครั้งแรก 26 ก.ย. 2560 เทวสถานหรือโบสถ์พราหมณ์พระนครรวมทั้งเสาชิงช้า สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๒๗ หลังจากการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ หรือ กรุงเทพฯ ได้ ๒ ปี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ ทรงโปรดให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมสำคัญสำหรับพระนคร สังเกตได้ว่าพื้นในโบสถ์พราหมณ์แห่งนี้จะต่ำกว่าพื้นถนน เพราะพื้นของตึกทั้งหมดสร้างขึ้นด้วยท่อนซุงขัด ไม่มีการตอกเสาเข็มลงไป ฉะนั้นจึงไม่สามารถดีดพื้นขึ้นมา หากเข้าไปอ่านในหนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือน จะเห็นว่าโบสถ์พราหมณ์มีบทบาทในการประกอบพิธีกรรมทั้งสิบสองเดือน หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองมาจึงได้ลดบทบาทลงเหลือเพียงพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พระราชพิธีตรียัมพวาย ตรีปวาย เชิญพระอิศวรและพระนารายณ์มาสู่โลกมนุษย์ ทำในช่วงพิธีปีใหม่ของพราหมณ์ มีการทำพิธีโล้ชิงช้า ซึ่งปีนี้จะตรงกับวันที่ ๒๖ ธันวาคม นี้ ศาสนาพราหมณ์ที่แผ่อิทธิพลในไทย เริ่มต้นเมื่อ ๓,๐๐๐-๔,๐๐๐ ปี ก่อน พุทธกาลเรียกว่า “สนาตนธรรม” คือ ธรรมอันเป็นนิตย์ไม่สิ้นสุดทำอยู่ตลอดเวลา นั่นคือชื่อที่ใช้เริ่มแรก หลังจากนั้นมาประมาณ ๒,๐๐๐ ปี ได้เปลี่ยนเป็น “ไวทิกธรรม” คือ ธรรมที่นับถือพระเวทเป็นใหญ่ หลังจากนั้นอีก ๑,๐๐๐ กว่าปี เปลี่ยนมาเป็น “พราหมณธรรม” คือ ธรรมที่มีพราหมณ์เป็นผู้เผยแผ่ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมานิกายต่าง ๆ ก็ได้เกิดขึ้นมากมาย เพราะในอินเดียนั้นมีพราหมณ์เป็นใหญ่ จึงนำเอาความเชื่อของตนเองออกมาเผยแผ่สร้างเป็นนิกายแบบต่าง ๆ ทำให้พราหมณ์ยุคโบราณรู้สึกว่าเป็นการกระทำที่ผิดแบบแผนจารีตและธรรมะของพราหมณ์ นั่นคือพระเวททั้งสี่เล่มได้แก่ ฤคเวท ยชุรเวท สามเวท และอาถรรพเวท จากนั้นพราหมณ์รู้สึกว่ามีนิกายต่าง ๆ มาก จึงมีการขยายออกมาทางอินเดียใต้ล่องเรือออกมาทางชวา มาเลเซีย อินโดนีเซีย รวมไปถึงอาณาจักรจามในเวียดนามแผ่อิทธิพลเข้ามาในขอบเขตเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่เป็นเอกเทศนั่นคือ “อาณาจักรศรีวิชัย” เมื่อเผยแผ่ศาสนาเข้ามายังภูมิภาคต่าง ๆ แล้ว เกิดการรวมวัฒนธรรมระหว่างพราหมณ์เข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น จึงเกิดความเชื่อต่าง ๆ ขึ้นมา เช่น ศาลพระภูมิ ที่ไม่ใช่วัฒนธรรมพราหมณ์หรือพุทธเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการรวมกันทางวัฒนธรรมท้องถิ่นที่เกิดเป็นสิ่งเฉพาะ ผ่านผู้ที่มีความรู้ความสามารถอยู่แล้วนำมาผนวกเข้ากับความรู้ท้องถิ่น พราหมณ์จึงมีบทบาทตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา เกือบสองพันปีพราหมณ์ได้แผ่อิทธิพลเข้ามาเรื่อย ๆ ทางเหนือได้เข้ามาผ่านทางจีน ทางภาคกลางเข้ามาทางทวาย ทางด่านเจดีย์สามองค์ และเมื่อประมาณช่วงทศวรรษที่ ๒๕๑๐ ได้มีการจัดตั้งศาสนิกสัมพันธ์เนื่องจากทางรัฐมีการหวาดระแวงของภัยคอมมิวนิสต์ กรมการศาสนาจึงจัดตั้งศาสนาในประเทศเกิดขึ้น มีพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์-ฮินดู เรื่องราวต่าง ๆ ของศาสนาพราหมณ์ในสังคมไทยที่คนส่วน ใหญ่ยังไม่ทราบ พระครูพราหมณ์ตรัณ บุรณศิริ เล่าว่า “ในสมัยอยุธยาหลังจากที่ราชวงศ์คองบองของพม่าเข้ามาตีอยุธยา พระเจ้ามังระได้นำศิลปะวิทยาการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นนาฏศิลป์หรือแม้แต่ความรู้ต่าง ๆ เพราะต้นตระกูลคองบองเป็นพรานป่าต่างกับพระเจ้าอโนรธาเมงสอในอาณาจักรพุกามที่ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์จากมอญมามาก ในสุวรรณภูมิถือว่าชนชาติมอญคือชนชาติที่ฉลาดรองลง มาคืออาณาจักรหงสาวดีซึ่งพระเจ้าบุเรงนองเป็นกษัตริย์ที่ได้ร่ำเรียนตำราพิชัยสงคราม ทำสงครามชนะก็เก็บไว้เป็นเมืองขึ้นไม่ทำลาย วิชาต่าง ๆ รวมถึงพราหมณ์ก็นำกลับไปด้วยกลายเป็นนักรบบ้าง สมัยที่พระเจ้าตากไปอยู่ที่นครศรีธรรมราชเห็นชุมชนพราหมณ์และเห็นว่า พราหมณ์ที่อยุธยาหายไปหมดแล้ว จึงนำกลุ่มพราหมณ์เหล่านี้กลับ มาสร้างเมืองใหม่ด้วย การเป็นพราหมณ์นั้นต้องมีการสืบเชื้อสายกัน มาทางสายเลือด องค์ความรู้ต่าง ๆ จะถูกถ่ายทอดกันภายในตระกูล” ความเชื่อของการเคารพเทวรูป ศาสนาพราหมณ์คือศาสนาแห่งปรัชญา การเรียนรู้เรื่องราวจากเทวรูปต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นปรัชญา เช่น เทวรูปองค์ที่อยู่ในโบสถ์พราหมณ์แห่งนี้ เป็นศิลปะแบบสุโขทัย ซึ่งในสมัยนั้นเทวสถานหรือโบสถ์พราหมณ์ต่าง ๆ เหล่านี้จะอยู่ในวัง หรือติดกับวัง เพื่อประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ให้กับพระมหากษัตริย์ เช่นนั้นเองบุคคลธรรมดาทั่วไป จึงไม่ค่อยได้เข้ามากราบไหว้ ทั้งพระพิฆเนศและพระนารายณ์ล้วนแล้ว แต่เป็นศิลปะแบบไทยแท้ ๆ ที่ไม่มีเขมรมาปะปน โบสถ์พราหมณ์แห่ง นี้คือ “ไศวนิกาย” สืบมาจากอินเดียตอนใต้นับถือพระศิวะเป็นใหญ่ ทางตอนเหนือจะนับถือไวษณพนิกายซึ่งนับถือพระวิษณุหรือพระ นารายณ์เป็นเทพเจ้าองค์สูงสุด ตัวอย่างโบสถ์พระแม่อุมาคือ ศักตินิกาย ซึ่งหมายถึงการนับถือพระแม่เป็นใหญ่ และตันตระนิกาย ซึ่งปัจจุบันยังมีอยู่ที่อินเดียแต่ไม่มีในไทย เทวรูปต่าง ๆ ในโบสถ์พราหมณ์นำมาจากสุโขทัยครั้งชะลอ พระศรีศากยมุนี พระประธานวัดสุทัศน์ฯ มาจากวัดมหาธาตุ สุโขทัย คราวเดียวกัน ปัจจุบันพราหมณ์หลวงมีอยู่แค่ ๑๕-๑๖ ท่าน และพราหมณ์ไทยจะบวชได้คือที่นี่ที่เดียวซึ่งบวชได้เพียงปีละครั้งคือช่วงพิธีตรียัมพวาย เมื่อเข้าไปเทวสถานแห่งใดก็ตามสิ่งแรกที่ควรกระทำคือ การเคารพพระพิฆเนศก่อน เพราะเชื่อว่าพระพิฆเนศคือสัญลักษณ์ ของการกำจัดอุปสรรคและการกำจัดอุปสรรคนั้นต้องเริ่มจากปัญญา สัญลักษณ์ของเศียรรูปช้างนั่นคือสิ่งสูงสุด “หากสังเกตเห็นว่าเวลาเข้าไปกราบไหว้เทวรูปต่าง ๆ จะเห็นว่าท่านกำลังมองเรา นั่นคือสิ่งที่โบราณสร้างไว้ เพราะปัญหานั่นคือตัวเรา และไม่ว่าจะแก้ปัญหาโดยวิธีการใดก็ตาม แต่สุดท้ายก็ใช้ปัญญาในการแก้เพื่อให้หลุดพ้น” “งา” พระพิฆเนศมีปัญญามากมายแต่งาพระพิฆเนศที่หัก นั้นเหตุใดจึงไม่ต่อให้ดีอย่างเดิม? คำตอบคือ “การไม่ยึดติด” นี่คือ ปรัชญาของการใช้ชีวิตเพื่อหลุดพ้นจากคำสอนต่าง ๆ ที่แฝงอยู่ในรูปเคารพ “หนู” พาหนะของพระพิฆเนศ หนูกับช้างซึ่งไม่ถูกกันโดยธรรมชาติ แต่คำสอนจากรูปเคารพของพระพิฆเนศสอนว่า ไม่ว่า อย่างไรคนเราไม่สามารถหนีจากปัญหา หรือสิ่งที่ตนไม่ชอบได้ ฉะนั้นแล้วต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน แก่นแท้ของพราหมณ์ การกำหนดวรรณะตามคติของพราหมณ์ถือเป็นสิ่งที่ไม่ผิด พราหมณ์ต้องอยู่กับพราหมณ์ เพราะพราหมณ์มีหน้าที่ต้องสอนสั่งและเผยแพร่ความรู้ แต่พราหมณ์ที่ขึ้นมาเป็นวรรณะกษัตริย์ก็มี คือ โกณธัญญะ [Kaundinya] เป็นผู้สร้างอาณาจักรฟูนันที่มีความเจริญ เป็นอาณาจักรแห่งแรกในสุวรรณภูมิ ศาสนาพราหมณ์เชื่อว่าความหลุดพ้นคือ “ปรมาตมัน” คล้ายกับการนิพพานแต่ต่างกันตรงที่ปรมาตมันคือการกลับไปหาองค์พรหม หมายถึงจักรวาลผู้ให้กำเนิดองค์พรหมนั้นคู่กับพระแม่สรัสวดี ซึ่งเป็นพระแม่แห่งศาสตร์และความรู้ทั้งปวงโดยใช้ “ยชุรเวท” [Yachuraveda] หมายถึงการร่ายมนต์หรือการสั่งสอน การคู่กันของพระพรหมและพระแม่สรัสวดีในที่นี้หมายถึงการสร้างสมดุลเพื่อให้เกิด “ปรมาตมัน” คือการกลับไปสู่จักรวาลหรือการกลับคืนสู่ความว่างเปล่า ศาสนาพุทธจะมีการนั่งนับลูกประคำส่วนของพราหมณ์จะนั่งนับเมล็ดรุทรักษะคือผลไม้ หากเปรียบกับชีวิตของมนุษย์เราคือ ย่อมมีการดับสูญและเน่าเปื่อยกลับไปสู่ธาตุทั้งห้า เมล็ดรุทรักษะคือ จิตวิญญาณในการหลุดพ้น อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- สนามไชย-ทุ่งพระเมรุ-ท้องสนามหลวง
เผยแพร่เมื่อ 1 ต.ค. 2560 การใช้พื้นที่โล่งว่างเพื่อประกอบกิจกรรมสาธารณะของชุมชนเป็นสิ่งที่มีอยู่ทั่วไปนับเนื่องเรื่อยมาตั้งแต่ระดับหมู่บ้านจนถึงเมืองและนครรัฐ การใช้พื้นที่สนามเพื่อประกอบพิธีกรรมของเมือง ในรัฐโบราณโดยเฉพาะในดินแดนประเทศไทยนั้นเห็นชัดเจนในสมัยอยุธยา ที่รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากอาณาจักรเมืองพระนครอย่างมากต่อบ้านเมืองในดินแดนประเทศไทย โดยเฉพาะกับรัฐละโว้ที่สืบต่อมาเป็นอาณาจักรพระนครศรีอยุธยา โดยรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ เจ้าสามพระยาเสด็จยกกองทัพไปตีกัมพูชาและยึดเมืองพระนครหรือกรุงศรียโสธรปุระจนบ้านเมืองทางฝั่งกัมพูชาต้องย้ายนครหลวงไปยังที่อื่นและปล่อยเมืองพระนครทิ้งร้างไว้ หลักฐานจากเมืองพระนครที่น่าจะเป็นตัวอย่างได้ชัดเจน ๒ ประการ คือ หลักฐานทางโบราณสถานวัตถุและ จดหมายเหตุของทูตจีนที่ชื่อว่าโจวต้ากวาน ซึ่งกลางเมืองยโสธรปุระหรือนครธม พบซากพระราชวังขนาดใหญ่ที่สร้างด้วยหินและเครื่องไม้ ตรงหน้าพระราชวัง มีพระที่นั่งสำหรับกษัตริย์เสด็จออกเป็นประธานงานพระราชพิธีสนามตรงลานที่ปัจจุบันเรียกว่า “ลานช้างเผือก” พื้นที่ตรงนี้คือ “สนามไชย” ในขณะที่บันทึกของโจวต้ากวานในจดหมายเหตุเมื่อเข้ามาเป็นทูตที่เมืองพระนครเมื่อตอนต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ นั้น ได้เล่าถึงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเขมรโบราณ บรรยายถึงพระราชพิธีสนามของราชสำนัก รวมถึงประเพณีราษฎร์บางอย่างด้วย บ้านเมืองในสยามประเทศในสมัยลพบุรีคือตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ลงมานั้น ประกอบด้วยแคว้นใหญ่ ๆ ๒ กลุ่ม คือ “กลุ่มละโว้” ที่มีความสัมพันธ์กับอาณาจักรขอมเมืองพระนครเป็นพิเศษกับ “กลุ่มสยาม” ที่มีความสัมพันธ์กับกลุ่มชุมชนที่รับอิทธิพลจากขอมเมืองพระนคร แต่อยู่ห่างเมืองพระนคร ทางละโว้มีการนับถือพุทธศาสนามหายาน เถรวาท และฮินดู ผสมปนเปกัน อีกทั้งมีความสัมพันธ์กับราชสำนักเมืองพระนคร ได้รับประเพณีและความคิดในเรื่องการเป็นเทวราชของกษัตริย์มากกว่าทางกลุ่มสยาม ในขณะที่ทางกลุ่มสยามกษัตริย์และผู้คนส่วนใหญ่เป็นการผสมผสานของคนหลายเผ่าพันธุ์ที่เคลื่อนย้ายมาจากที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะทางตอนใต้ของประเทศจีนและพวกมอญในเขตพม่า เป็นแว่นแคว้นที่นับถือพุทธศาสนาเถรวาทสืบต่อมาจากรัฐทวารวดี และให้ความสำคัญกับกษัตริย์ในระบบสมมติราช เมื่อกรุงศรีอยุธยาสืบต่อในฐานะรัฐศูนย์กลางในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ราชวงศ์สุพรรณภูมิมีอำนาจเหนือกลุ่มราชวงศ์อู่ทองตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนครินทราธิราชเป็นต้นมา ความชัดเจนที่มีการปรับพื้นที่รอบพระบรมมหาราชวังในกรุงศรีอยุธยาเห็นได้ชัดเจนในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ราชสำนักได้นำแนวความคิดในเรื่องการสร้างปราสาทราชวังตามลัทธิเทวราชาที่อยู่ในศาสนาฮินดูแบบขอมเข้ามาผสมผสานกับความเป็นพระมหากษัตริย์ในพุทธเถรวาทในกรุงศรีอยุธยา นำเอาแนวคิด รูปแบบ และแผนผังมาจากพระราชวังหลวงเมืองพระนคร เช่น การสร้างวัดพระศรีสรรเพชญ์ติดกับพระราชวังหลวง ซึ่งพระราชวังขอมนั้นติดกับปราสาทบาปวน และการสร้างปราสาทตรีมุขที่อยู่บนกำแพงพระราชวังคือ “พระที่นั่งจักรวรรดิ์ไพชยนต์” เป็นพระที่นั่งโถงที่ประทับของพระมหากษัตริย์ในพระราชพิธีสนามตามฤดูกาลต่าง ๆ ซึ่งในงานถวายพระเพลิงจะเสด็จออก ณ พระที่นั่งจักรวรรดิ์ ไพชยนต์เป็นประธานให้ริ้วขบวนพระบรมศพเคลื่อนผ่านสู่พื้นที่ “ท้องสนามไชย” ซึ่งกำหนดให้เป็น “ทุ่งพระเมรุ” เป็นพื้นที่ถวายพระเพลิง ซึ่งรับมาจากรูปแบบพระราชวังเมืองพระนคร งานพระราชพิธีสนามทั้งในเขมรโบราณและสืบเนื่องมาจนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา หลายพระราชพิธีเป็นเรื่องแสดงความมั่นคงของพระมหากษัตริย์และราชอาณาจักร บางพระราชพิธีเป็นงานสวนสนาม ซึ่งปรากฏอยู่ในภาพสลักบนผนังของปราสาทนครวัดในรัชกาลของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ในพุทธศตวรรษที่ ๑๗ และภาพสลักบนผนังปราสาทบายนในรัชกาลของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ซึ่งบ้านเมืองในยุคเดียวกันที่มีการสร้างเมืองในผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสแบบเมืองพระนคร คือ เมืองสุโขทัยและเมืองเชียงใหม่ กรณีของเมืองสุโขทัยไม่พบซากพระราชวังที่สร้างด้วยวัตถุคงทนถาวรแบบพระราชวังขอมเมืองพระนคร หากคงเป็นพระราชวังขนาดเล็กที่สร้างด้วยเครื่องไม้ ซึ่งสันนิษฐานว่าอยู่บริเวณที่เรียกว่า “เนินปราสาท” ตรงข้ามกับวัดมหาธาตุทางทิศตะวันออก และยังไม่มีร่องรอยของลานประกอบพระราชพิธีสนามที่เรียกว่า “สนามไชย” สันนิษฐานว่าการประกอบพระราชพิธีตามประเพณีที่สำคัญน่าจะไปอยู่ที่วัดสำคัญ ๆ มากกว่า ส่วนเมืองเชียงใหม่พบร่องรอยที่เรียกว่า “ข่วงหลวง” ใกล้กับหอคำ “คุ้มหลวงเวียงแก้ว” ที่ถูกปรับเป็นพื้นที่สร้างเป็นเรือนจำกลางเมืองในสมัยรัชกาลที่ ๕ และมีวัดหัวข่วงอยู่ใกล้เคียง ซึ่งยังยืนยันแน่ชัดเด็ดขาดไม่ได้ว่าจะสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยสร้างเมืองเชียงใหม่ในยุคแรก ๆ หรือไม่แต่ก็เห็นว่ามีรูปแบบเช่นเดียวกันในการจัดพื้นที่สนาม ให้ใกล้ชิดกับศูนย์กลางอำนาจ โดยยังมีร่องรอยของคณะผู้บริหารราชการงานเมืองร่วมกันเรียกว่า “เค้าสนามหลวง” ซึ่งอาจจะได้รับชื่อ “สนามหลวง” จากกรุงเทพฯ ในราวช่วงรัชกาลที่ ๔-๕ จากชื่อนั้นก็มีความหมายไปในทางให้เห็นความใกล้ชิดของการใช้พื้นที่ทั้งสองเช่นเดียวกัน และแม้หัวเมืองในล้านนาหลายแห่งจะไม่มีรูปแบบผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมแบบสมมาตรดังเช่นเมืองเชียงใหม่ แต่ก็มักจะมี “สนาม” หรือ “ข่วงหลวง” อยู่ใกล้กับหอคำซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจ ของเมืองและเป็นทั้งบ้านพักอาศัยและว่าราชการเมืองพร้อมกัน สำหรับการใช้พื้นที่ “สนามไชย” ในสมัยอยุธยา น่าจะอยู่บริเวณลานหน้าพระที่นั่งจักรวรรดิ์ไพชยนต์ที่สร้างรูปแบบและระเบียบสมมาตรในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองและน่าจะเคยมีแนวถนนที่นำไปสู่ประตูไชยเฉกเช่นเดียวกับผังจากพระราชวังเมืองพระนคร และยังคงชื่อถนนหอรัตนไชยในปัจจุบัน มีข้อมูลกล่าวถึงพระราชพิธีสนามต่าง ๆ ซึ่งทำในเดือน ๕ ซึ่งเป็นเดือนขึ้นปีใหม่ที่พระมหากษัตริย์ ต้องเสด็จออกทอดพระเนตรคล้ายการตรวจกำลังพลสวนสนาม เพื่อเป็นสิริมงคลแก่แผ่นดินและเป็นที่ครั่นคร้ามแก่บ้านเมืองอื่น ๆ ที่อยู่รายรอบ คือ “การพระราชพิทธีเผดจ์ศกลดแจตรออกสนาม” ซึ่งเป็นพระราชพิธีออกสนามใหญ่ มีกระบวนกองทัพช้าง ม้า กองกำลังทุกหน่วยทั้งหัวเมือง พลเรือน และไพร่ และรวมถึงการใช้เป็นพื้นที่สร้างพระเมรุมาศตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองลงมา ส่วนในสมัยรัตนโกสินทร์ให้ความสำคัญแก่พระราชพิธีสนาม เช่นกันคือ “การพระราชพิธีทอดเชือก ดามเชือก” คงเป็นพิธีสืบเนื่องในการบูชาครูเพื่อการหัดช้าง และ “การพระราชพิธีแห่สระสนานใหญ่” ซึ่งต้องใช้กำลังคนแห่เป็นขบวนใหญ่จากเช้าจนถึงบ่าย ทำกันเพียงรัชกาลละครั้ง และไม่ได้ทำอีกหลังจากรัชกาลที่ ๓ แล้ว “พระราชพิธีคเชนทรัศวสนาน” เป็นพระราชพิธีที่เพิ่งเริ่มมีในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและเพิ่มเอาพิธีทางพุทธศาสนาเข้าไป ทำปีละ ๒ ครั้งเพื่อเจริญสวัสดิมงคลแก่ช้างและม้าซึ่งเป็นราชพาหนะและเป็นกำลังแผ่นดินและบำบัดเสนียดจัญไรในผู้ซึ่งเกี่ยวข้องอยู่ในการช้างทั้งปวง มีการแห่ขบวนช้างพราหมณ์และราชบัณฑิตจะเป็นผู้ประพรมขบวนช้าง มีการจัดริ้วขบวนผู้คนจำนวนมากเพื่อเป็นสวัสดิมงคลแก่พระนครและเป็นที่เกรงขามแก่ศัตรูดังปรากฏในประกาศพระราชพิธีคเชนทรัศวสนาน ตอนหนึ่งว่า ..ศรีสัจปานกาล สนานคเชนทรัศว์ สมพัจฉรถึงสองคาบ ทราบโบราณ สารสืบมา อยุทธยาเป็นศุขชื่น รื่นประชาชน การชุมพล พยุหะ สระสนานนรสันนิบาต ราชกะรีดุรงค์รถ บทจรพลพิไชยยุทธ อตมาณึกในมงคล ผลภูลสวัสดี แด่วาหนะ สระไข้เข็ญ เย็นไพร่ฟ้า ข้าขอบเขตร เหตุคเชนทรัศวสนาน… ประกาศพระราชพิธีส่วน “พระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์” ที่จัดผสมผสานระหว่างศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธ เพื่อเป็น สวัสดิมงคลแก่พระนคร พระเจ้าแผ่นดิน พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ ตลอดจนราษฎรทั่วไปในตรุษเดือน ๔ มีมหรสพเอิกเกริกสมโภชบ้านเมือง เป็นการนักขัตฤกษ์ จัดตั้งขบวนเป็น ๕ หมู่ ทหารแต่งกายใส่เสื้อหมวกสีต่าง ๆ ถือธงฉาน ธงชาย เชิญพระพุทธปฏิมาและอาราธนาพระมหาเถรสถิตยานราชรถ ประพรมนํ้าพระพุทธมนต์และโรยทรายรอบพระราชนิเวศน์ รอบพระนคร ตามท้องสถลมารคนั้น ๔ กระบวน เมื่อถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ โปรดเกล้าฯ ให้รวม “พระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์ เถลิงศกสงกรานต์ พระราชพิธีศรีสัจจปานกาลถือน้ำพิพัฒน์สัตยา” อันเป็นพระราชพิธีเนื่องในการสิ้นปีและขึ้นปีใหม่เข้าด้วยกัน เรียกว่า “พระราชพิธีตรุษสงกรานต์” โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ ๒๘ มีนาคม จนถึงวันที่ ๓ เมษายน การพระราชพิธีเกี่ยวกับความเป็นสิริมงคลของแผ่นดินเกี่ยวกับการพระราชพิธีสนามในช่วงสิ้นปีและขึ้นปีใหม่จึงหมดไป ต่อมาวันขึ้นปีใหม่เปลี่ยนเป็นวันที่ ๑ มกราคมเพื่อตรงกับสากลในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มีการเสด็จบำเพ็ญพระราชกุศลโดยจัดเป็นการส่วนพระองค์ การพระราชพิธีสนามและการสวดมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลแก่แผ่นดิน พระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ และราษฎร ในคราวตรุษสิ้นปีก็ไม่มีการปฏิบัติสืบต่อไป พระราชพิธีสนามในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้น จึงเป็นพระราชพิธีสำคัญที่รวมเอาความเป็นสิริมงคลแก่แผ่นดินหลาย ๆ ประการเข้าด้วยกัน พื้นที่ในการพระราชพิธีสนามในกรุงเทพฯ ก็คือ “สนามไชย” ซึ่งเป็นลานกว้างติดกับตึกดิน คือบริเวณที่เป็นสวนสราญรมย์และพระราชวังสราญรมย์ที่เริ่มสร้างในสมัยรัชกาลที่ ๔ และพื้นที่ด้านหน้ากระทรวงกลาโหมในปัจจุบันถัดจาก “สนามไชย” จึงเป็นบริเวณ “ทุ่งพระเมรุ” ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เนื่องจากใช้ เป็นที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดิน และพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ซึ่งแต่เดิมนั้นมีขนาดเพียงครึ่งเดียวจากด้านวังหลวงมา สิ้นสุดตรงกึ่งกลางสนามเท่านั้น ส่วนนอกจากนั้นเป็นเขตของวังหน้า ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเป็นต้นมา ได้ใช้สนามหลวงเป็นที่ประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ เช่น เป็นที่ตั้งพระเมรุมาศของพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ และเป็นที่ประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ทำพระราชพิธีทำนาที่สนามหลวง ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีพืชมงคล พิธีพิรุณศาสตร์เช่นกัน และโปรดเกล้าฯ เปลี่ยนชื่อเรียกจาก “ทุ่งพระเมรุ” เป็น “ท้องสนามหลวง” ดังปรากฏในประกาศ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๘ ว่า “ที่ท้องนาหน้าวัดมหาธาตุนั้น คนอ้างการซึ่งนาน ๆ มีครั้งหนึ่ง แลเป็นการอวมงคล มาเรียกเป็นชื่อตำบลว่า “ทุ่งพระเมรุ” นั้นหาชอบไม่ ตั้งแต่นี้สืบไปที่ท้องนาหน้าวัดมหาธาตุนั้น ให้เรียกว่า “ท้องสนามหลวง” ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ขยายสนามหลวงจากเดิมไปยังพื้นที่วังหน้าจนมีขนาดเท่าที่เห็นในปัจจุบัน รื้อพลับพลาต่าง ๆ ปลูกต้นไม้รอบสนามหลวงที่ได้แบบอย่างมาจากสนามที่เรียกว่า “Alun Alun” เหนือ-ใต้พระราชวังหรือ Kraton ของสุลต่านเมืองย็อกยาการ์ตาและเมืองโซโล ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ถูกปรับปรุงให้สวยงามในช่วงเวลายุคอาณานิคม และในสมัยโบราณใช้สำหรับสุลต่านออกพระราชพิธีสนามเช่นเดียวกัน จึงนำแบบอย่างมาปรับปรุงทุ่งพระเมรุในพระนครและได้ใช้สนามหลวงเป็นที่ประกอบพิธีหลวงมาโดยตลอด ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้ประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ รวมทั้งใช้เป็นพื้นที่อเนกประสงค์ เช่น เป็นสนามแข่งม้า สนามกอล์ฟ หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. ๒๔๗๕ การพระราชพิธีต่าง ๆ เกี่ยวกับการศาสนาตกไปเป็นภารกิจของรัฐบาล ซึ่งได้กระทรวงต่าง ๆ เช่น กระทรวงธรรมการเป็นฝ่ายจัดการ ส่วนการพระราชพิธีประจำเดือนซึ่งเคยถือปฏิบัติสืบต่อมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เช่น พระราชพิธีสนามต่าง ๆ พระราชพิธีตรียัมพวาย พระราชพิธีจรด พระนังคัลแรกนาขวัญ ก็ถึงกับหยุดชะงักลง บางพระราชพิธีสูญสิ้น ไปไม่นำมาปฏิบัติต่อไปอีก และบางพระราชพิธีได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ ใช้ท้องสนามหลวงเป็นพื้นที่ประกอบพระราชพิธีสำคัญ ๆ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ได้มีการใช้พื้นที่ท้องสนามหลวงในการก่อสร้างพระเมรุ กลางเมืองมาแล้ว ๗ ครั้ง รวมทั้งพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดชครั้งที่เพิ่งผ่านมานี้ด้วย อ่านเพิ่มเติมได้ที่: