top of page

พบผลการค้นหา 220 รายการ

  • พระพุทธบาทที่บัวเชดและช่องบาระแนะ

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ย. 2550 ในรอบปีที่ผ่านพ้นมาได้พบหลักฐานและข้อมูลใหม่เกี่ยวกับพุทธศาสนาเถรวาทในท้องถิ่นอีสานใต้เพิ่มขึ้น นั่นคือ พระพุทธบาทที่เขาศาลา อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ และพระพุทธบาทคู่ที่ช่องบาระแนะ อำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์ ทั้งสองแห่งอยู่ในบริเวณเทือกเขาพนมดงเร็ก นับเป็นการพบใหม่สำหรับข้าพเจ้า จากการบอกเล่าและนำทางของคนท้องถิ่น พระพุทธบาททั้งสองแห่งหาได้สร้างขึ้นไว้ในมณฑปหรืออูปมุงอย่างเช่นพบตามวัดที่มีมาแต่สมัยสุโขทัยและอยุธยาอย่างที่ได้รับรู้และคุ้นเคยไม่ หากพบอยู่บนโขดหินและเขาธรรมชาติในบริเวณที่ห่างไกลชุมนุมชน โดยทั่วไปพฤติกรรมในการสร้างรอยพระพุทธบาทนั้นอาจมองอย่างแยกแยะได้เป็น ๒ ลักษณะ อย่างแรกคือสร้างเป็นรอยพระพุทธบาทแล้วจำหลักสัญลักษณ์ที่เป็นมงคลเกี่ยวกับจักรวาลลงบนรอย บางพระบาทก็มี ๑๐๘ สัญลักษณ์ หรือบางพระบาทก็แกะหรือจำหลักเฉพาะรูปธรรมจักรหรือดอกบัวอยู่ตรงกลางเท่านั้น แล้วนำไปประดิษฐานตามวัดหรือแทนที่สำคัญทางศาสนา ส่วนอย่างที่สองก็คือ การสลักลงบนโขดหินหรือเนินหินธรรมชาติที่ถูกกำหนดให้เป็นแหล่งศักดิ์สิทธิ์ [Supernatural Sites] จะไม่ใคร่พบ แต่ที่คุ้น ๆ กันก็คือรอยพระพุทธบาทที่เขาพระพุทธบาทและที่เขาพระพุทธฉาย จังหวัดสระบุรี ที่มีการสร้างตำนานขึ้นมาอธิบายแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมครั้งกรุงศรีอยุธยาตอนปลายเป็นต้นมา พระพุทธบาทสองแห่งที่ทั้งบัวเชดและบาระแนะนับเนื่องในลักษณะอย่างที่สองที่กล่าวมานี้ และเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าให้ความสำคัญในที่นี้เพราะได้สะท้อนให้เห็นความคิดและความเชื่อในตำแหน่งศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติที่มีมาแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ข้าพเจ้าคิดว่าสังคมมนุษย์แทบทุกท้องถิ่นมีการกำหนดภูมิทัศน์และสภาพแวดล้อมธรรมชาติที่ตนตั้งถิ่นฐานเป็น ภูมิวัฒนธรรม [Cultural Landscape] โดยการตั้งชื่อสร้างตำนานอธิบายเพื่อการใช้ร่วมกันในกิจกรรมทางความเชื่อ กิจกรรมทางเศรษฐกิจ-สังคม และการเมืองการปกครอง ในด้านความเชื่อนั้นมักกำหนดด้านลักษณะธรรมชาติที่ดูโดดเด่นผิดปกติเป็นที่สะดุดตาให้เป็นบริเวณศักดิ์สิทธิ์ อันสัมพันธ์กับอำนาจเหนือธรรมชาติ อย่างเช่น ผาแต้ม ริมฝั่งแม่น้ำโขงที่อำเภอโขงเจียม ประตูผา ที่จังหวัดลำปางซึ่งมีการเขียนภาพสีมือแดงและสัญลักษณ์อื่น ๆ ลงไป บริเวณเวิ้งน้ำมีวังน้ำวนว่าเป็นที่อยู่ของจระเข้เผือกในภาคอีสาน หรือเขาลูกโดด เช่น เขาถมอรัตน์ในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์ เขาสามยอด ของจังหวัดลพบุรี หรือแม้แต่ เขาพระวิหาร บนเทือกพนมดงเร็กที่อยู่ต่อแดนเขมร หรือ เขาภูเก้า ที่เมืองจำปาสักของลาวที่มีแท่งหินธรรมชาติบนยอดเขาคล้ายกับศิวลึงค์ แม้แต่บนเทือกพนมดงเร็กในเขตจังหวัดบุรีรัมย์ก็มีโขดหินธรรมชาติที่พวกขอมโบราณสลักเป็นแท่งศิวลึงค์แล้วสร้าง ปราสาทตาเมือนธม ครอบ ซึ่งเป็นตำแหน่งศักดิ์สิทธิ์บนช่องตาเมือนที่ผ่านและขึ้นลงจากเขมรต่ำ รอยพระพุทธบาทที่บาระแนะมีความคล้ายกับโขดหินที่ปราสาทตาเมือน เพราะอยู่บนช่องเขาแบบเดียวกัน ที่ผู้คนผ่านไปมาจะต้องแวะเข้าทำพิธีกราบไหว้เพื่อความปลอดภัยและความเป็นสวัสดิมงคลในการข้ามเขตแดนหนึ่งไปสู่อีกเขตหนึ่ง ในขณะที่รอยพระพุทธบาทที่บัวเชดอยู่ในตำแหน่งที่อาจไม่ใช่ทางผ่าน แต่เป็นเพิงหินที่มีลักษณะโดดเด่นอยู่ท่ามกลางพื้นหินโดยรอบ อีกทั้งตั้งอยู่ในระดับความสูงที่เป็นศูนย์กลางของสภาพแวดล้อมที่เป็นที่คนมาชุมนุม ประกอบพิธีกรรมร่วมกันได้เป็นจำนวนมาก ตำแหน่งที่เลือกเป็นตำแหน่งศักดิ์สิทธิ์นี้ก็ไม่ไกลไปจากเชิงเขาที่ปัจจุบัน เป็นที่ตั้งวัดเขาศาลาที่เต็มไปด้วยโขดและเพิงหินที่พระสงฆ์หรือฤาษีชีไพรมาพำนักบำเพ็ญภาวนา ดูคล้าย ๆ กันกับบริเวณ พระพุทธบาทบัวบก บนเทือกเขาภูพานในเขตอำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ที่ทางราชการไปกำหนดเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท บริเวณนี้มีความสำคัญมากเพราะเคยเป็นที่พระป่าของอีสาน เช่น หลวงปู่มั่น ท่านเคยธุดงค์ไปวิปัสสนา เมื่อมาถึงตรงนี้ข้าพเจ้าก็ใคร่สรุปว่า รอยพระพุทธบาทบัวเชดนั้นสร้างขึ้นบนเพิงหินศักดิ์สิทธิ์อันเป็นแหล่งประกอบประเพณีพิธีกรรมของพระภิกษุทางพุทธศาสนาที่มีสำนักอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น สำนักพระป่า ก็ได้ สำนักพระป่าและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาตินี้นับเป็นประเพณีของพระภิกษุอรัญวาสีของภาคอีสานมาแล้วแต่สมัยทวารวดี เพราะมีหลักฐานหลายแห่งมากมาย โดยเฉพาะแหล่งที่มีการสลักพระพุทธรูปนอนขนาดใหญ่ตามเขาต่าง ๆ เช่น พระนอนที่เขาภูเวียง อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น พระนอนที่ภูปอและภูค่าวจังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นต้น แต่ปัญหาและคำถามที่สำคัญสำหรับรอยพระพุทธบาททั้งที่บัวเชดและบาระแนะก็คือ ไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยทวารวดีอย่างเช่นในที่อื่นที่กล่าวมาแล้ว อีกทั้งบริเวณเทือกเขาพนมดงเร็กนี้เป็นพื้นที่ของศาสนาฮินดูและพุทธมหายานในวัฒนธรรมขอม-กัมพูชาทั้งสิ้น ซึ่งก็ทำให้มีผู้รู้อย่างเผิน ๆ เป็นจำนวนมากมักอธิบายว่าพุทธศาสนาเถรวาทแพร่เข้ามาในอีสานใต้โดยพวกลาวล้านช้างและจำปาสัก ราวสมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๒-๒๓ ลงมา โดยอาจมีการเคลื่อนไหวในรัชกาลของสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชแห่งนครเวียงจันทน์ ข้าพเจ้ายอมรับว่าคนลาวล้านช้างนิยมสร้างรอยพระพุทธบาทเหมือนกันกับทางสุโขทัยและอยุธยา เพราะติดมาจากพุทธลังกาและพุกาม อีกทั้งมีแพร่หลายมากราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ ลงมา แต่ยังแลไม่เห็นรอยพระพุทธบาทใดในอีสานและลาวที่มีอายุเก่ากว่าพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ขึ้นไป ยกตัวอย่างเช่น การสร้างรอยพระพุทธบาทบนภูพานที่บ้านผือ ไม่ว่าที่พระพุทธบาทบัวบาน พระพุทธบาทบัวบก พระพุทธบาทหลังเต่า หรือแม้แต่ที่เวินพระบาทริมแม่น้ำโขงในเขตอำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ก็น่าจะเป็นของที่สร้างขึ้นแต่สมัยการทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาของ พระครูหลวงโพนเสม็ก ในพุทธศตวรรษที่ ๒๓ ลงมา ข้าพเจ้าคิดว่าประเพณีการสร้างรอยพระพุทธบาทที่มาจากลังกานั้นมากับ ตำนานและความเชื่อในเรื่องของพระเจ้าเลียบโลก ที่สามารถอธิบายได้ถึงการสร้างรอยพระพุทธบาทตามที่ต่าง ๆ ในสุโขทัย อยุธยา ล้านนา และล้านช้าง โดยเฉพาะของล้านช้างนั้นเห็นชัดเจนในตำนานอุรังคธาตุของพระธาตุพนม แต่ความแตกต่างของรอยพระพุทธบาทนี้กับบรรดาพระพุทธบาทอื่น ๆ ไม่ว่าเป็นรุ่นลพบุรี สุโขทัยหรืออยุธยา แม้แต่ล้านช้างและเขมรก็คือ สัญลักษณ์ที่เป็นมงคล ๑๐๘ ประการ เป็นสัญลักษณ์ที่เปรียบเทียบไม่ได้กับสัญลักษณ์ที่เป็นมงคลในที่ไหน ๆ เลย ซึ่งธรรมดาแล้วมงคล ๑๐๘ ประการของพระพุทธบาทคือสิ่งที่ทำให้เห็นจักรวาลทางพุทธที่แตกต่างไปจากคติของศาสนาฮินดูในด้านภพภูมิ เพราะจะแสดงลำดับชื่อให้แลเห็นความเป็นไตรภูมิที่ประกอบด้วย กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ ค่อนข้างชัดเจน รอยพระพุทธบาทของทางพุกามและสุโขทัยแลเห็นภาพสัญลักษณ์ในรูปต่าง ๆ ที่ไม่มีรูปคนและเทพเป็นตัวแทน แต่ทางลพบุรีและอยุธยามักมีรูปเทพแสดงภพภูมิต่างลำดับชั้น แต่รอยสัญลักษณ์ของพระบาทบัวเชดกลับเป็นรูปสัตว์และพันธุ์ไม้พันธุ์พืชนานาชนิดที่อยู่ในตำแหน่งที่สับสน กำหนดลำดับชั้นของภพภูมิไม่ได้เลย โดยเฉพาะสัตว์นั้นมีนับแต่สัตว์บก สัตว์น้ำ สัตว์เลื้อยคลาน ทาก กิ้งกือ ตะขาบ แมงป่อง หอย ปู ปลา และสัตว์อากาศ เช่น นก แมลง ดูแล้วเหมือนยกบรรดาสัตว์และพืชพันธุ์ทั้งหลายในป่ามาแสดงไว้ ฉะนั้น นับเป็นระบบสัญลักษณ์เฉพาะตัวที่สื่อกันเฉพาะคนในกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันในท้องถิ่นหนึ่ง ๆ เท่านั้น บุคคลที่เป็นคนนอกคงไม่สามารถถอดรหัสความหมายได้ ซึ่งในที่นี้ทำให้ข้าพเจ้าต้องคิดเลยเถิดไปถึงความเป็นภาษาของสัญลักษณ์ในแต่ละช่องที่ทำให้ภาพมงคล ๑๐๘ ประการของพระพุทธบาทแห่งนี้เป็นภาษาในจารึกที่ผู้คนในท้องถิ่นใช้สื่อกันเอง ดังนั้น ถ้านำมาติดต่อเป็นบันทึกก็คงได้ความหมายที่ต้องการจะสื่อก็ได้ ข้าพเจ้าเชื่อว่ารอยพระพุทธบาทนี้ แม้ว่าจะมีกรอบโดยรอบเป็นบัวคว่ำบัวหงายตามประเพณีทางอารยธรรมอินเดียก็ตามที่เป็นพุทธหรือฮินดูก็ตาม แต่ลายสัญลักษณ์ที่เป็นสัตว์ พืช แมลง และอื่น ๆ นั้นสะท้อนให้เห็นถึงระบบความเชื่อแบบดังเดิมที่ใช้สัตว์ ต้นไม้ และสิ่งในธรรมชาติอื่นๆ เป็นสัญลักษณ์ในเรื่องความเชื่อ อีกทั้งล้วนเป็นรูปสัญลักษณ์ของคนอยู่ป่ามากกว่าอยู่ในเมือง เมื่อมาถึงตรงนี้แล้วก็ต้องมาหยุดอยู่ที่คำถามที่ว่า แล้วคนที่มาทำพิธีกรรมกราบไหว้รอยพระพุทธบาทนี้คือใคร คนเมืองหรือคนเผ่า ก็คงไม่ใช่คนเผ่าไท เผ่าลาว และเผ่าเขมร แล้วเป็นใคร ถ้าจะเดาคนเผ่าเหล่านี้ก็น่าจะเป็นคนในเผ่าพันธุ์มอญ-เขมร ที่ทางลาวเรียก ข่า ทางเหนือเรียก ลัวะ อะไรทำนองนั้น แต่ในเขตอีสานใต้นี้กลุ่มชาติพันธุ์ที่เกี่ยวข้องคงน่าจะเป็นพวกกูย พวกเยอ ที่น่าจะเคลื่อนย้ายเข้ามาแต่โบราณแล้ว แต่คนเหล่านี้ไม่ได้เลี้ยงช้างจึงไม่เรียกว่าส่วย หากมีอาชีพทำการเพาะปลูกและเก็บของป่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ก็มีงานวิจัยท้องถิ่นที่ผ่านตาข้าพเจ้ามาว่า กูยพวกหนึ่งที่มีอาชีพทำการเพาะปลูกนั้นเวลาทอผ้าได้ทำลายผ้าให้มีลายตะขาบรวมอยู่ในบรรดาลายต่าง ๆ ทั้งหลาย หรือคนกูยที่ไม่ใช่เลี้ยงช้างที่บ้านตรึมในเขตจังหวัดสุรินทร์และศรีสะเกษ มีการบูชาตะกวดเป็นสัตว์สัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ บางทีบรรดาสัตว์ ต้นไม้ และแมลงที่ปรากฏอยู่ในรอยพระพุทธบาทก็น่าจะเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ที่สืบเนื่องมาแต่ความเชื่อดั้งเดิมก็ได้ ยังมีอีกแนวทางหนึ่งในการทำความเข้าใจกับรอยพระพุทธบาทแห่งนี้ก็คือ น่าจะเป็นอาการแรกเริ่มของกลุ่มชาติพันธุ์ที่หันมานับถือพระพุทธศาสนาเถรวาท ซึ่งยังไม่มีความเข้าใจในเรื่องของหลักธรรมคำสอนทางปรัชญาหากเน้นในด้านพิธีกรรมเป็นสำคัญ โดยใช้สัญลักษณ์ทางพุทธศาสนาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สมบูรณ์ในตัวเอง ดังเช่นในงานวิจัยเรื่องคนกะเหรี่ยงในเขตจังหวัดราชบุรีของอาจารย์สุรินทร์ เหลือลมัย ระบุว่า คนกะเหรี่ยงเปลี่ยนเสาหลักบ้านให้เป็นเสาหงส์เมื่อเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา เลยทำให้เสาหงส์กลายเป็นสัญลักษณ์ของวัดไป ชาวกะเหรี่ยงเรียนรู้พุทธศาสนาผ่านพระธุดงค์ที่เข้าไปช่วยรักษาคนด้วยน้ำมันที่เป็นพุทธมนต์ ก็เลยเอาน้ำมันนั้นไปกราบไหว้บูชาเรียกว่า หลวงพ่อน้ำมัน โขดหินอันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธบาทแห่งนี้น่าจะเคยเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของคนในท้องถิ่นนี้มาก่อน และใช้ในการเดินทางเข้ามาประกอบพิธีกรรมตามฤดูกาลเพื่อความอุดมสมบูรณ์ นับเป็นที่ชุมนุมของคนหลายกลุ่มเหล่าทั้งใกล้และไกล ต่อเมื่อรับนับถือพระพุทธศาสนาก็เปลี่ยนให้เป็นรอยพระพุทธบาทโดยอาศัยกรอบบัวคว่ำบัวหงาย การกำหนดดอกบัวให้เป็นสัญลักษณ์จักรวาลและกรอบแสดงสัญลักษณ์มงคล ๑๐๘ ประการเป็นตัวบ่งชี้ เมื่อมากราบไหว้ประกอบพิธีกรรมกันตามฤดูกาลก็มีการนำเอากิ่งไม้หรือต้นไม้ขนาดเล็กมาค้ำไว้โดยรอบโขดหิน เพื่อแสดงการค้ำจุนพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนและเพื่อต่ออายุของตนเองเช่นเดียวกันกับคนเหนือเอาไม้ไปค้ำต้นโพธิ์ต้นไม้ใหญ่ในวัด ปัจจุบันร่องรอยของซากกิ่งไม้ ลำต้นที่แห้ง ๆ จึงถูกนำมาค้ำรอยพระพุทธบาทที่เป็นเพิงหินไว้ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • ม็อบมัฆวานฯกับการสู้อย่างอหิงสา

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ย. 2551 ข้าพเจ้าไม่ชอบคำว่า “ม็อบ” เช่นเรียกการเคลื่อนไหวเรียกร้องของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่าเป็นม็อบ แต่ก็ต้องใช้ในที่นี้เพื่อการสื่อให้เข้ากับความเข้าใจของคนทั่วไปในสังคม เหตุที่ไม่ชอบใช้คำว่า “ม็อบ” นี้ก็เพราะเป็นการมองปรากฏการณ์ในลักษณะที่เป็นรูปแบบอย่างผิวเผินจากภายนอก อีกทั้งมักได้รับการชี้แนะจากสิ่งที่เป็นแนวคิดทฤษฎีที่มาจากพวกนักวิชาการ การเคลื่อนไหวเรียกร้องของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เรียกว่า ม็อบพันธมิตร ในขณะนี้ เป็นขบวนการสืบเนื่องมาจากม็อบมัฆวานฯ ในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร นั้น แท้จริงหาใช่ม็อบ [Mop] ไม่ เพราะไม่ได้เป็นเพียงการที่ผู้คนมารวมกลุ่มกันแบบเฮโลเป็นพัก ๆ แล้วหยุดไปโดยไม่รู้จักมักคุ้นกัน แต่มีความสัมพันธ์ระหว่างกันที่ยาวนานและต่อเนื่อง โดยย่อก็คือไม่มีความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างที่ยืนนานนั่นเอง ม็อบพันธมิตรคือการเคลื่อนไหวทางสังคมที่เกิดการเห็นพ้องและรวมตัวของผู้คนในสังคมต่างกลุ่มและต่างชนชั้นที่มีความเห็นทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่แตกต่างไปจากรัฐบาลและคนส่วนใหญ่ในสังคม ในรัฐบาลของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เรียกการบริหารการจัดการทางเศรษฐกิจ การเมืองของรัฐบาลว่าเป็นระบอบทักษิณ ซึ่งเป็นเผด็จการทางรัฐสภาที่ปิดโอกาสการมีส่วนร่วมของประชาชนในระดับรากหญ้า แต่เปิดโอกาสให้เศรษฐกิจแบบทุนนิยมสามาลย์เข้าครอบงำทรัพยากรและสภาพแวดล้อมธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่นด้วยนโยบายประชานิยม จนสังคมท้องถิ่นล่มสลายตั้งแต่ครอบครัวและชุมชน การเคลื่อนไหวดังกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นจากการแสดงความคิดเห็นต่อต้านและวิจารณ์รัฐบาลโดยผ่านสื่อมวลชน และการเรียกร้องชุมชนกันตามที่ต่าง ๆ และในที่สุดก็เกิดการรวมตัวกันขึ้นเพื่อขับไล่รัฐบาลในนามของม็อบมัฆวานฯ เพราะได้อาศัยพื้นที่ส่วนใหญ่ใน ถนนราชดำเนินนอก บริเวณสะพานมัฆวานฯรังสรรค์ซึ่งเป็นต้นทางไปสู่ศูนย์กลางแห่งอำนาจสองแห่ง คือ ทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภา เป็นพื้นที่ในการต่อสู้และต่อรอง การเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมืองนี้มีลักษณะที่เรียกว่า อหิงสา คือไม่ใช้ความรุนแรงด้วยกำลัง นับเป็นวิถีทางที่เป็นสันติวิธี จึงเป็นเหตุเกิดมีผู้นำหรือแกนนำของคนหลายกลุ่มที่มีความคิดเห็นเหมือนกันมารวมตัวกันในลักษณะที่เป็นแนวร่วม บุคคลที่เป็นแกนนำเหล่านี้แม้ว่าจะมีความคิดในเรื่องต้านระบอบทักษิณร่วมกันก็ตาม แต่ก็แตกต่างกันในความคิดเห็นส่วนตัว เพราะมีพื้นฐานความเป็นมาที่แตกต่างกัน บางคนก็เป็นนักหนังสือพิมพ์และเป็นนายทุน บางคนเป็นทหาร บางคนเป็น NGO เป็นต้น ทำให้การรวมตัวและการเรียกร้องของคนเหล่านี้เป็นไปแบบไม่มีใครเป็นผู้นำโดยเด็ดขาด มักมีการปรึกษาหาหรือถกเถียงกันจนมีเอกภาพจึงได้ดำเนินการ จากประสบการณ์ของแต่ละคนแต่ละกลุ่มที่เคยมีมาแต่สมัยความรุนแรงไม่ว่า ๑๔ ตุลา ๑๖ หรือ ๖ ตุลา ๑๙ หรือพฤษภาทมิฬ ได้ทำให้เกิดกระบวนการเรียกร้องและต่อสู้เป็นไปในลักษณะสันติวิธีที่เรียกว่า อหิงสา จึงเป็นเหตุให้บรรดาคนที่เป็นปัญญาชนไม่ว่านักวิชาการ พ่อค้า คหบดี ข้าราชการที่เป็นชนชั้นกลางและคนชั้นล่างที่เป็นกรรมกรและชาวบ้านเข้ามาร่วมด้วยเป็นกลุ่มพลังขนาดใหญ่ที่มีตัวแทนแของคนทุกภาคและแทบทุกจังหวัดมาร่วมด้วยในพื้นที่ของถนนราชดำเนิน จากสนามหลวงไปจนถึงรัฐสภา ถนนราชดำเนิน คือถนนที่เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและการปกครองมาแทบทุกยุคทุกสมัย ที่เชื่อมต่อระหว่างพระบรมมหาราชวังถึงรัฐสภาอันเป็นสัญลักษณ์ของศูนย์อำนาจ [Seat of power] จากสมัย สมบูรณาญาสิทธิราช ถึงสมัยการปกครองระบอบประชาธิปไตย ประกอบด้วยพื้นที่สำคัญในการรวมตัวกัน ๓ แห่ง คือบริเวณท้องสนามหลวง หน้าพระบรมมหาราชวังในถนนราชดำเนินใน อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในถนนราชดำเนินกลาง และลานพระบรมรูปทรงม้า หน้ารัฐสภาในบริเวณปลายถนนราชดำเนินนอก การชุมนุมกันของกลุ่มคนที่ต่อต้านรัฐบาลทักษิณสมัยนั้นเริ่มแต่บริเวณข้างสนามหลวงไปหยุดอยู่ที่สะพานมัฆวานฯ อันเป็นพื้นที่ต้นทางที่จะไปยังรัฐสภาและทำเนียบรัฐบาลอันเป็นตำแหน่งแห่งอำนาจของรัฐแต่ละครั้ง การเคลื่อนไหวของผู้คนที่เรียกร้องและต่อต้านรัฐบาลจะมุ่งที่ทำเนียบเสมอมา อย่างเช่นการเรียกร้องของสมัชชาคนจนในกรณีเขื่อนปากมูล เป็นต้น ที่มีคนจนและชาวบ้านจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาเรียกร้อง แต่การชุมนุมครั้งนี้แตกต่างไปจากการชุมนุมของกลุ่มสมัชชาคนจน เพราะแทนที่จะไปอยู่บริเวณรอบทำเนียบรัฐบาลอย่างเคย กลับใช้พื้นที่บนถนนราชดำเนินนอกอันมีสะพานมัฆวานรังสรรค์เป็นศูนย์กลาง ทางรัฐบาลและคนทั่วไปจึงเรียกว่า “ม็อบมัฆวานฯ” ม็อบมัฆวานฯ ต่างกับม็อบสมัชชาคนจนในลักษณะที่มีองค์ประกอบที่ไม่ใช่คนจนและชาวบ้านแต่เพียงอย่างเดียว หากประกอบด้วยคนเมืองคนชั้นกลาง คนที่เป็นแรงงาน นักธุรกิจ ข้าราชการบำนาญ และกลุ่มปัญญาชนกรรมกร การชุมนุมก็แตกต่างไปจากการเข้ามายึดพื้นที่ค้างแรมเรียกร้องและกีดขวางการคมนาคมของกลุ่มสมัชชาคนจนมาเป็นการใช้พื้นที่ ทั้งต่อต้านกีดขวางเรียกร้อง และเป็นพื้นที่ทางสังคมทั้งในด้านสันทนาการและเวทีการแสดงความคิดเห็น และการเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเศรษฐกิจร่วมกัน แต่ที่สำคัญคนส่วนใหญ่ไม่ปักหลักอยู่ในพื้นที่ตลอดเวลา หากมีกาลเทศะ คือตอนเช้า-สายและบ่ายแดดร้อนและไม่สะดวก คนส่วนใหญ่ก็กลับบ้านหรือไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ต่อตอนเย็นและค่ำจึงมาชุมนุมกันจนกระทั่งเที่ยงคืนหรือกว่านั้นเล็กน้อย โดยเฉพาะผู้ชุมนุมที่เป็นคนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ก็มักจะพาลูกหลาน พ่อแม่ และตายายมาร่วมชุมนุมด้วย เกิดกลุ่มย่อยๆ มากมาย ตั้งวงสนทนาแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนกันในกิจกรรมทางการเมือง โดยฟังการบรรยายและการปราศรัยของพวกแกนนำ และแขกรับเชิญบนเวที หรือในจอโทรทัศน์บ้างเป็นครั้งเป็นคราว ในขณะที่เด็ก ๆ ก็มีของกิน ฟังดนตรี หรือฝึกการเขียนรูปหน้าตานักการเมือง จนหลาย ๆ คนเขียนรูป ไอ้หน้าเหลี่ยม เป็นกันเกือบทุกคน พวกที่มีบทบาทดังกล่าวนี้ ก็คือบรรดาศิลปินที่ช่วยสร้างการบันดาลใจอะไรต่ออะไรในทางความเป็นมนุษย์ให้กับเยาวชน ในขณะเดียวกันบรรดานักศึกษาจากสถาบันการศึกษาที่มีมากมายหลายคณะหลายมหาวิทยาลัย ก็เข้ามามีส่วนร่วมและได้รับการเรียนรู้การเมือง การปกครองด้วยประสบการณ์นอกห้องเรียน นอกทฤษฎีของพวกครูบาอาจารย์ที่ชอบลอกเลียนฝรั่งมา การชุมนุมของม็อบมัฆวานฯ นี้ ย่อมไม่ใช่ม็อบ หากเป็นการเคลื่อนไหวทางสังคมที่มีการเติบโตและขยายตัวโดยใช้การหลีกเลี่ยงความรุนแรงที่เรียกว่า อหิงสา เป็นสำคัญ ในที่สุดก็ขยายพื้นที่ไปชุมนุมเรียกร้องหน้าทำเนียบรัฐบาล ทำให้ทางฝ่ายรัฐที่ถือว่าตนมีอำนาจชอบธรรมตามกฎหมาย มีความคิดที่จะจัดการปราบปรามด้วยมาตรการที่รุนแรงอันจะนำไปสู่การนองเลือด จึงเปิดโอกาสให้ฝ่ายทหารอ้างความชอบธรรมมายุติด้วยการปฏิวัติในลักษณะเดียวกันกับครั้งยุคพฤษภาทมิฬที่ทำให้เกิด รสช. การปฏิวัติครั้งนี้เรียกว่า คมช. ก็อีหรอบเดียวกันกับครั้ง รสช. เพราะแรกเริ่มคนส่วนใหญ่ก็มาให้พวงมาลัยและช่อดอกไม้ แต่ตอนท้ายกลับให้พวงหรีดแทน ความล้มเหลวทั้งสองครั้งกลับทำให้เกิดรัฐบาลที่มีนักการเมืองและนายทุนในระบอบทักษิณกลับมาครองเมืองอีกและดูเข้มแข็งขึ้นอย่างเดิม แต่ก็กำลังถูกต่อต้านจากขบวนการเคลื่อนไหวที่สืบเนื่องมาจากครั้งม็อบมัฆวานฯ ของกลุ่มชนหลายชั้นหลายกลุ่มเพิ่มขึ้น มีการขยายตัวจากพื้นสะพานมัฆวานฯ มายึดทำเนียบรัฐบาลอันเป็นที่ทำการแบ่งอำนาจของรัฐบาลสำเร็จด้วยกระบวนการที่หลีกเลี่ยงความรุนแรงหรือที่เรียกว่า อหิงสา เช่นเดิม โดยใช้คำกล่าวใหม่ว่า “อารยะขัดขืน” [Civil disobediences] ครั้งนี้ ม็อบมัฆวานฯ เปลี่ยนชื่อมาเป็น ม็อบพันธมิตร (พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย-PAD) ที่แสดงอาการเคลื่อนไหวอย่างมีระบบและอุดมการณ์มากมายกว่าแต่เดิม พื้นที่ภายในทำเนียบรัฐบาลและสะพานมัฆวานฯ ได้ถูกปรุงแต่งให้เป็นชุมชนชั่วคราวขนาดใหญ่ที่อาจเรียกได้ว่า เป็นค่ายของกองทัพในลักษณะที่เรียกว่า บางระจัน ก็ได้ เพราะเป็นที่รวมกำลังของคนหลายชนชั้นหลายกลุ่มอาชีพแทบทุกภูมิภาคของประเทศ ที่มีความคิดเห็นทางการเมืองการปกครองเหมือนกัน แต่โครงสร้างของค่ายหรือชุมชนแห่งนี้หาใช่ชุมนุมชนเพื่อการทำสงครามด้วยการใช้กำลังที่ใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทำลายล้างชีวิตไม่ หากเป็นค่ายศึกแบบอหิงสาที่มีผู้หญิงและคนแก่เป็นไพร่พลเป็นสำคัญ โครงสร้างทางกายภาพของชุมชนเฉพาะกาล ค่ายรบแบบอหิงสานี้ แบ่งพื้นที่เป็นสองส่วนชั้นนอกและชั้นใน ภายในรั้วของทำเนียบคือชั้นใน เป็นทั้งที่ตั้งเวที ที่พักของพวกแกนนำและผู้คนที่มาร่วมชุมนุม รอบ ๆ ลานเวทีเป็นเต้นที่พักแรมมากมายหลายขนาด ที่ผู้ชุมนุมจัดหามาเพื่อใช้เวลาทั้งวันได้โดยตลอด ไม่ต้องกลับกลับบ้านหรือเข้าออกไปมาบ่อย ๆ เป็นเหตุให้การแสดงความคิดเห็นและการแสดงอะไรต่าง ๆ บนเวทีเป็นไปได้ตลอดวัน เมื่อเกิดความเมื่อยล้าก็นอนพักได้ พอหายเมื่อยแล้วก็รุกขึ้นมานั่งฟังและรวมกลุ่มกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อ นับเป็นการตรึงให้คนอยู่กับที่ได้อย่างยาวนาน แต่ที่สำคัญบรรดาผู้ที่มาแสดงความคิดเห็นการบ้านการเมืองบนเวทีนั้น ไม่ใช่จำกัดอยู่เฉพาะกลุ่มแกนนำที่มีราวสิบกว่าคนเท่านั้น หากเปิดโอกาสให้แขกรับเชิญที่เป็นผู้รู้ที่หลากหลายทั้งประสบการณ์ ความรู้และแนวคิด ทฤษฎีพลัดกันขึ้นมา นับเป็นการระดมสมองที่กว้างไกลและลุ่มลึกกว่า ความคิดเห็นของพวกแกนนำแต่ฝ่ายเดียว อีกทั้งเป็นการให้พวกแกนนำมีเวลาพักผ่อนและดำเนินนโยบายและยุทธวิธีที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้ ผู้คนที่อยู่ในบริเวณชั้นในภายในรั้วทำเนียบนั้น คือคนแก่ทั้งชายและหญิง คนวัยกลางคนและคนหนุ่มสาวที่ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลาง คนแก่ที่เป็นชายมักเป็นข้าราชการบำนาญ มีทั้งทหารและพลเรือน รวมทั้งนักธุรกิจอาวุโส ส่วนพวกคนแก่ที่เป็นหญิงมักมากับลูกสาวและหลาน ๆ หลายคนมีฐานะและภูมิฐานนั่งเก้าอี้ฟังอย่างสงบ พวกที่ชอบบู๊ก็มีคาดผ้าสัญลักษณ์ที่ศีรษะและแสดงอารมณ์ ส่วนคนวัยกลางคนและคนสาวหลายคนแต่งตัวสะอาดทันสมัยแบบไปเที่ยวปิกนิค มีมากมายหลายระดับล้วนแล้วแต่มีการศึกษาและมีอาชีพฐานะทั้งสิ้น คนเหล่านี้มีอาชีพค้าขายมากกว่าเป็นข้าราชการ มีเวลาพอเพียงที่จะมาร่วมชุมนุม แถมยังนำเอาลูกเต้ามานั่งเล่นนั่งฟังในเวลาที่ว่างจากโรงเรียน แต่ที่สำคัญคนเล่านี้ไม่ได้มามือเปล่า หากยังนำเงินทองสิ่งของมาร่วมบริจาคและต่อสู้ โดยเฉพาะอาหารและเครื่องอำนวยความสะดวกในการนั่งนอนอย่างสบาย การปรุงแต่งพื้นที่ไม่ให้มีการน้ำท่วมและกันฝนนั้น เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้กองทัพควบคุมอุปสรรคจากดินฟ้าอากาศ โดยเฉพาะฝนและพายุฝนได้ ภายในรั้วทำเนียบอีกเช่นกันที่มีเต๊นท์ของกลุ่มคนที่มาจากต่างจังหวัดหลายๆ จังหวัดอยู่โดยรอบ มีกลุ่มคนอาสาสมัครที่เป็นผู้รักษาความปลอดภัยดูแลตรวจตราและอำนวยความสะดวก มีแหล่งนำอาหารแจกฟรีที่รวมทั้งบรรดาอาหารที่ผู้มาชุมนุมนำมาสมทบ ทำให้มีเสบียงอาหารเลี้ยงกันอย่างพอเพียง แต่ที่สำคัญการกินอยู่มีระเบียบ มีกาลเทศะและไม่พร่ำเพรื่อ โดยเฉพาะไม่เอาเข้ามานั่งกินนั่งแทะกันในระหว่างฟังการอภิปรายและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น บริเวณนอกรั้วทำเนียบนับเป็นชั้นนอก มีเต๊นท์ของผู้รวมชุมนุมจากจังหวัดต่าง ๆ รวมทั้งคนที่เข้ามาสมทบใหม่กระจายกันอยู่สลับไปด้วย สถานที่ประกอบอาหารแจกอาหาร สถานที่พยาบาลและยารักษาโรค มีหน่วยรักษาความปลอดภัยของชายอาสาสมัครรวมอยู่ด้วยตามจุดต่าง ๆ พื้นที่บริเวณนี้มีซุ้มของร้านและโต๊ะที่ตั้งขายสิ่งของอันเป็นอุปกรณ์ทางสัญลักษณ์ของการเป็นกลุ่มพันธมิตร เรียงรายอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็นเสื้อ ผ้าคาดหัว เครื่องประดับ และเครื่องใช้ต่าง ๆ แต่ที่สำคัญก็คือ มือตบ ที่นับได้ว่าเป็นอัตลักษณ์ของการเป็นพันธมิตรเป็นอาวุธของการต่อสู้แบบอหิงสา มีมากมายกลายเป็นทั้งของที่ระลึกและเพื่อการท่องเที่ยว โต๊ะขายของที่ระลึกนี้เรียงรายไปสองข้างทางตั้งแต่หน้าทำเนียบไปตามถนนหน้าสำนักงาน ก.พ.ร. จนถึงลานพระบรมรูปทรงม้าและหักมุมไปตามถนนคู่ขนานริมทางของถนนราชดำเนินนอกไปจนมาสะพานมัฆวานฯ อันเป็นแหล่งชุมนุมของเหล่านักศึกษาและเยาวชนพันธมิตรที่มีเวทีอภิปรายเด่นตระหง่านอยู่กลางถนนราชดำเนิน บนสะพานมัฆวานรังสรรค์ พื้นที่ขายของที่ระลึกนี้สลับกันไปกับร้านขายอาหารการกินที่พ่อค้าแม่ขายจากที่ต่าง ๆ นำมาตั้งขายแก่ผู้คนที่อยากกินแบบเสียสตางค์ และพวกคนจากถิ่นต่างๆ ที่พากันมาเที่ยวทำให้บริเวณรอบนอกของค่ายพันธมิตรดูเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่ง เพราะในเวลาตอนเช้าและกลางวันผู้คนที่เข้ามาในบริเวณนี้มักเป็นพวกมาเที่ยวดูมากกว่ามาชุมนุม โดยมีคนหลายกลุ่มที่มาจากต่างจังหวัดรวมทั้งชาวต่างชาติเข้ามาในรูปของการจัดการท่องเที่ยว ที่เรียกว่า ทัวร์พันธมิตร ในความเป็นอยู่ของผู้คนในค่ายพันธมิตรที่ทำเนียบนี้ นอกจากมีการส่งเสบียง การจัดเสบียงให้คนมีกินมีอยู่อย่างสบายแล้ว การจัดการในรูปของห้องน้ำและห้องส้วมก็ดูมีระเบียบ แม้ว่าจะไม่สะดวกสบายอย่างความเป็นอยู่ในบ้านและในชุมชนก็ตาม อีกทั้งการจัดการในเรื่องการทำความสะอาด และกิจกรรมในชีวิตประจำวันก็มักเป็นการร่วมมือร่วมแรงกัน ทำในลักษณะที่เสมอภาคและช่วยเหลือกันเอง แต่ที่สำคัญไม่แลเห็นร่องรอยของความขัดแย้งที่มาจากการลักขโมยและการทะเลาะวิวาทกันเองแต่อย่างใด ตามที่กล่าวมาแล้วนี้ คือการวิเคราะห์และพรรณนาให้เห็นถึงสถานที่และโครงสร้างทางกายภาพของชุมชนเฉพาะกาลที่เรียกว่า ค่ายพันธมิตร อันมีลักษณะที่แตกต่างไปจากสิ่งที่เรียกว่า “ม็อบ” เป็นสำคัญ แต่ต่อไปจะเป็นเรื่องของการอธิบายให้เห็นว่า คนพันธมิตร นั้นเป็นอย่างใด ถ้ามองจากภายนอกอย่างที่บรรดานักวิชาการส่วนใหญ่มองแต่ครั้งเริ่มการเคลื่อนไหวมาแต่สมัยยังเป็น ม็อบมัฆวานฯ คนที่เป็น ม็อบพันธมมิตร ก็คือคนชั้นกลางเป็นส่วนใหญ่ จึงมักมีการตีความและอธิบายจากข้อมูลที่ผิวเผินว่า คนพวกนี้คือพวกที่มีความหน่อมแน้มและสบายแบบคนในเมืองที่ไม่รู้สึกร้อนหนาวกับความเดือดร้อนของคนชั้นล่าง โดยเฉพาะคนจนที่เคยมารวมกลุ่มกันเป็นสมัชชาคนจนต่อต้านรัฐบาล และเป็นกลุ่มคนที่ไม่ใคร่มีมันสมองถูกปลุกระดมโดยบรรดากลุ่มแกนนำให้มาต่อต้านรัฐบาลชุดที่แล้ว ที่ก็ยังมีการดำเนินการแบบประชานิยมเพื่อช่วยเหลือคนจน จึงทำให้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มคนจนและออกมาต่อต้านเผชิญหน้ากับกลุ่มพันธมิตรที่เป็นชนชั้นกลาง นักวิชาการเหล่านี้ แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับนโยบายประชานิยมของรัฐบาลที่เอาเงินไปแจกชาวบ้านในลักษณะกองทุนหมู่บ้านก็ตาม แต่ก็ดูให้น้ำหนักไปในทางการเห็นใจและต่อสู้เพื่อคนจนและคนชั้นล่างจนเกินไป โดยไม่คำนึงว่าม็อบพันธมิตรนั้นไม่ใช่ม็อบแบบม็อบสมัชชาคนจน ที่มารวมตัวกันเป็นครั้งคราวแล้วเลิกไป อีกทั้งเป็นม็อบที่ทางรัฐบาลสามารถปลุกระดมให้มาสนับสนุนตนได้ด้วยเงินค่าจ้าง อันพอ ๆ กับเงินซื้อเสียง จากการที่ได้เข้าไปสังเกตและสัมผัสม็อบพันธมิตรที่มีทั้งโครงสร้างทางกายภาพและโครงสร้างสังคมด้วยตนเอง ข้าพเจ้าก็ยังยืนยันว่า ม็อบพันธมิตรไม่ใช่ม็อบ หากเป็นการเคลื่อนไหวของผู้คนในสังคมหลายชนชั้นและกลุ่มเหล่าที่มีความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับการเมืองแบบประชาธิปไตยเหมือนกันที่มารวมตัวกันอย่างเนือง ๆ จนมีระยะเวลาเกือบสี่เดือน กลุ่มคนเหล่านี้มาจากคนเมืองในกรุงเทพฯ และภาคกลาง ร่วมกับคนกรรมกร และชาวบ้านชาวเมืองในภาคใต้เป็นสำคัญ แม้ว่าจะมีชาวบ้านชาวเมืองจากภาคอื่น ๆ ไม่ว่าภาคเหนือและภาคอีสาน บ้างก็เป็นส่วนน้อย คนเหล่านี้ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมืองของระบอบทักษิณที่เป็นทุนนิยมแบบปัจเจกเดรัจฉานในยุคโลกาภิวัตน์ โดยก่อนหน้ากันไม่ว่าจะเป็นคนชั้นกลาง คนเมืองและกรรมกร คนเหล่านี้คือคนที่ปรับตัวเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรมที่มีความคิดเห็นนอกเห็นในได้ดี ซึ่งต่างกันกับคนในม็อบสมัชชาคนจนที่ยังอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของคนชาวนาที่มีมาแต่สมัยสังคมชาวนา รวมทั้งคนเมืองและคนชั้นกลางรุ่นใหม่ที่เป็นพวกนายทุนสามานย์ ได้รับผลตอบแทนจากระบอบทักษิณ คนชั้นกลางของฝ่ายพันธมิตรก็คือกลุ่มคนที่เป็นคนรวยเก่าที่มีสำนึกในการเป็นคนที่มีโคตรเง่าและรักการเกิดในแผ่นดินไทย แลเห็นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจการเมืองแบบโลกาภิวัตน์ คือแบบข้ามชาติและเป็นทุนนิยมแบบปัจเจกเดรัจฉานจนขาดความเป็นมนุษย์กับคนชั้นกลางในระดับล่างพ่อค้าแม่ขายที่พอมีพอกิน ที่ถูกเบียดเบียนโดยการครอบงำของทุนนิยมข้ามชาติ คนเหล่านี้มักเป็นคนกรุงเทพฯ และคนส่วนใหญ่ตามเมืองในภาคกลาง ในขณะที่คนจากภาคใต้นั้นเป็นกลุ่มชนที่มีพัฒนาการเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรมเป็นคนที่ดูทันโลกและรักในท้องถิ่นแผ่นดินเกิดที่ไม่เอาทุนนิยมแบบโลกาภิวัตน์ข้ามชาติ เหตุนี้คนพันธมิตรจึงอาจเรียกได้ว่าเป็น คนมีชาติ ในทางตรงข้ามทางฝ่ายรัฐบาลคือกลุ่มของนายทุนข้ามชาติ ที่เข้ามาบริหารประเทศสืบเนื่องแต่รัฐบาลที่แล้ว ซึ่งนอกจากจะยึดมั่นในระบอบทักษิณเหมือนเดิมแล้ว ยังพยายามแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญเพื่อช่วยเหลืออดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรให้พ้นผิดจากการถูกศาลตัดสินลงโทษในกรณีคอร์รัปชั่นและโกงชาติ การเป็นฝ่ายรัฐบาลนั้นคือการอ้างและอาศัยความชอบธรรมทางกฎหมายจากได้รับเลือกตั้งเข้ามาตามระบอบประชาธิปไตย ทำให้มีอำนาจทางกฎหมายที่จะจัดการกับฝ่ายพันธมิตร กลุ่มคนข้ามชาติที่เป็นนักธุรกิจและนักการเมืองที่มีอำนาจอยู่ในขณะนี้ จึงมีบรรดานักวิชาการจากมหาวิทยาลัยและสถาบันทางการศึกษาอีกจำนวนหนึ่งที่สนับสนุนทั้งทางตรงและทางอ้อม คนเหล่านี้ได้รับการอบรมแบบตะวันตกให้มีความคิดแบบข้ามชาติเช่นเดียวกัน ผู้ที่สนับสนุนทางตรงก็คือผู้ที่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาและทำงานกับรัฐบาลตามหน้าที่ทางราชการ ส่วนพวกที่สนับสนุนทางอ้อมก็คือ พวกที่อยากทำตัวเป็นกลางตามหลักเหตุผล แนวคิดทฤษฎีและตีความง่าย ๆ อย่างขาดข้อเท็จจริง รวมทั้งมีเป็นจำนวนมากที่มีอคติกับทางพระมหากษัตริย์ในเหตุการณ์รุนแรงสมัย ๖ ตุลา อย่างไรก็ตาม การดำเนินการตอบโต้ของทางฝ่ายรัฐบาลนั้น ก็ไม่มีแต่เฉพาะกลุ่มคนข้ามชาติเท่านั้น หากยังมีคนในชาติรวมอยู่ด้วย เพราะสามารถปลุกระดมและว่าจ้างมาเข้าเป็นพวกเป็นฝ่ายเพื่อให้เกิดความชอบธรรมทางกฎหมายรัฐธรรมนูญได้ คนในชาติเหล่านี้ก็คือพวกชาวบ้านและคนจนที่ส่วนใหญ่ในจังหวัดทางภาคเหนือและภาคอีสาน คนเหล่านี้คือกลุ่มคนยังมีสำนึกเป็นคนชาวนาในสังคมชาวนา [Peasant society] แต่เดิมที่ปรับตัวไม่ทันโลกในเส้นทางการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรม คนเหล่านี้ยังยึดมั่นในระบบอุปถัมภ์ที่เคยมีมากแต่เดิมระว่างชนชั้นปกครองและชนชั้นที่ถูกปกครอง แต่ระบบสังคมศักดินาจึงถูกพวกข้ามชาติสามารถมอมเมาด้วยวิธีการประชานิยมนำมาเป็นพวกพ้องและเครื่องมือในการต่อต้านและปราบปรามทางฝ่ายพันธมิตร ทำให้การจัดการกับกลุ่มพันธมิตรที่ใช้วิธีอหิงสาและสันติวิธีต้องเผชิญกับการใช้อำนาจปราบปรามด้วยอำนาจกฎหมายที่นำไปสู่ความรุนแรง ซึ่งก็เห็นได้จากความแตกต่างในการชุมนุมทางฝ่ายพันธมิตรเรียกร้องด้วยการชุมนุมมีเวทีแสดงความคิดเห็น และมีมือตบเป็นอาวุธ อีกทั้งคนส่วนใหญ่เป็นหญิงคนแก่รวมทั้งเด็ก ในขณะที่ทางฝ่ายรัฐสนับสนุนม็อบ นปก. ที่จัดตั้งให้มาชุมนุมตอบโต้ แต่บ่อยครั้งกลับล้ำเส้นล้ำเขตเข้ามาทุบตีก่อความรุนแรง ซึ่งแต่ละครั้งก็แลเห็นประจักษ์จากสื่อมวลชนไม่ว่าหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์ การเกิดความรุนแรงขึ้นแต่ละครั้งนั้น ทางฝ่ายรัฐบาลมักออกมาแก้ตัวและกล่าวหาว่าฝ่ายพันธมิตรเป็นผู้กระทำทั้งสิ้น แต่ก็ดูเหมือนเสียเปรียบแทบทุกครั้งไป เพราะความไม่ทันสมัยและล้าหลังในการสื่อสารของฝ่ายรัฐเอง ในขณะที่ทางพันธมิตรมีความทันสมัยทั้งวิธีการและการเสนอข่าว การแสดงความคิดเห็นที่ทำให้ปัญญาชนและวิญญูชนแลเห็นข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ได้ รวมทั้งอาจตรวจสอบความจริงใจของทางฝ่ายพันธมิตรได้ นั่นก็คือแม้ว่าทางพันธมิตรจะด้อยกว่าทางรัฐในแง่ของการสื่อทางหนังสือพิมพ์ ที่มีหลาย ๆ ฉบับเอียงไปทางข้างรัฐบาล แต่ทางพันธมิตรก็มี ASTV เป็นสื่อไปทั้งในและนอกประเทศให้แลเห็นขั้นตอนต่าง ๆ ที่ทำให้ผู้ฟังแลเห็นภาพรวมได้อย่างตลอด โดยเฉพาะภาพที่เห็นในค่ายพันธมิตรตามที่กล่าวมาแล้วนั้น เป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองและสังคม ที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นพฤติกรรมของม็อบ การต่อสู้ของพันธมิตรอย่างอหิงสาหรือสันติวิธีนั้นเป็นการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ เพื่อให้อำนาจทางสังคมได้เข้ามาจัดการควบคุมและต่อรองให้รัฐได้ดำเนินการไปในทางที่ถูกต้อง [Social sanction] หาใช่การต่อสู้ด้วยกำลังเพื่อบีบบังคับจนเกิดบาดเจ็บอะไรไม่ การเข้ายึดทำเนียบนั้นนับเป็นชัยชนะของวิธีการอหิงสา ความสำคัญก็คือเป็นการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์อีกเช่นกัน เพราะเป็นศูนย์อำนาจทางการบริหาร ซึ่งก็น่าชมทางรัฐบาลและตำรวจที่ไม่ใช้การปราบปรามด้วยกำลังรุนแรง ต่อมาการเคลื่อนคนเข้าปิดล้อมรัฐสภาก็เป็นอหิงสาเช่นกัน เพื่อขัดขวางการประชุมของสภาไม่ให้มีการแก้กฎหมายได้เร็ว นับเป็นการทำลายเชิงสัญลักษณ์ของอำนาจทางนิติบัญญัติ และรอเวลาให้ทางฝ่ายศาลยุติธรรมได้ตัดสิน ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าฝ่ายพันธมิตรหวังพึ่ง หวังเห็น ศูนย์อำนาจหลักหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยได้ทำหน้าที่อย่างชอบธรรม โดยเหตุนี้การเข้าปิดล้อมรัฐสภา จึงไม่มีการรุกล้ำเข้าข้างในให้เกิดการกล่าวหาว่าจะมีการใช้กำลังรุนแรง แกนนำที่ทำไปก็กล่าวห้ามและเตือนผู้ชุมนุมตลอดเวลาไม่ให้เข้าไปในบริเวณรัฐสภาและเตรียมพร้อมที่จะยืนหยัดรับการจัดการทางฝ่ายตำรวจที่จะใช้แก๊สน้ำตาตามกระบวนการปราบจลาจลของรัฐบาลที่เป็นอารยะ เพราะจะไม่มีทางที่เกิดการบาดเจ็บจนเสียชีวิตได้ พฤติกรรมการเคลื่อนไหวนี้แลเห็นจากทีวีและภาพของสื่อมวลชนเป็นอย่างดี ในขณะเดียวกันก็ได้แลเห็นการปราบปรามที่ทั้งผิดขั้นตอนของการใช้แก๊สน้ำตาด้วยวิธีทางอายะมาเป็นวิธีการรุนแรงแบบมุ่งหมายเอาชีวิตและทำลายล้าง การใช้การยิงแก๊สน้ำตาแบบทำลายล้างก็ดี รวมทั้งการแฝงด้วยอาวุธระเบิดก็ดี เป็นการกระทำที่ป่าเถื่อนของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รัฐบาลจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ แต่ที่เลวร้ายและไร้มนุษยธรรมก็คือ ทางฝ่ายรัฐได้แถลงข่าวและทำทุกอย่างในลักษณะโกหกเพื่อปฏิเสธความรุนแรงที่ทำให้คนได้เสียชีวิตและบาดเจ็บโดยสิ้นเชิง รวมทั้งเกิดขบวน การเคลื่อนไหวที่มีการปลุกขึ้น และจัดตั้งม็อบแบบ นปก. ให้มาเพื่อก่อความรุนแรงแบบทำลายล้างในเวลาที่จะมาถึงอีก สิ่งที่แสดงถึงการโกหกแบบอัปรีย์ชนของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งก็คือ การให้สัมภาษณ์ว่า ผู้หญิงที่โดนระเบิดตายนั้นมาจากการหนีบระเบิดไว้ที่ตัวเอง ทุกวันนี้สังคมไทยแบ่งแยกเป็น ๒ ขั้ว โดยมีสีเหลืองและสีแดงเป็นสัญลักษณ์ กลุ่มเสื้อเหลืองคือกลุ่มของคน มีชาติ มีศาสนาและมีพระมหากษัตริย์ ส่วนพวกเสื้อแดงเป็นกลุ่มของคน ข้ามชาติที่ไม่มีชาติ คือแผ่นดินเกิดเป็นพวกที่ต้องการเป็นสากลจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้ เป็นพวกที่ไม่มีศาสนา เพราะนับถือแต่เงินและหลงใหลในทางวัตถุตามแบบสังคมตะวันตกอันมีอเมริกาและอังกฤษเป็นตัวอย่าง และคงจะไม่มีพระมหากษัตริย์ด้วย คนข้ามชาติ คือคนที่ไม่มีชาติ พร้อมที่จะขายชาติและขายตัวเพื่อความเป็นสากล แต่ก็พร้อมที่จะปลุกระดมและมอมเมาคนในชาติที่เป็นชาวบ้านให้เป็นคนคลั่งชาติและรับใช้นายทุนต่างชาติ ส่วนคนมีชาตินั้นคือคนรักชาติ ที่อาจจะต้องต่อสู้ด้วยวิธีที่ไม่ใช่อหิงสาหรือสันติวิธีอีกต่อไปก็ได้ เป็นที่น่ากลัวว่าในไม่ช้าความขัดแย้งและความรุนแรงที่เกิดขึ้นในภาคใต้ซึ่งรัฐที่มีกำลังตำรวจและทหารไม่มีน้ำยาในการจัดการให้สงบได้ กำลังจะมาเยือนคนไทยทั้งชาติในเร็ววันนี้ ...สังคมไทยกำลังเจ็บป่วย ที่เต็มไปด้วยคนบาปข้ามชาติ โอ้ ความวิบัติ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • เอ็มโอยู ๔๓ กับมรดกโลก–มรดกโลภ

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2553 เรื่องร้อนทางเศรษฐกิจ-การเมืองในเมืองไทยที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างคนในภาคประชาสังคมกับคนของรัฐในช่วงเวลานี้ก็คือ การขึ้นทะเบียนมรดกโลกปราสาทพระวิหาร ซึ่งคณะกรรมการมรดกโลกขององค์การยูเนสโกมีความโน้มเอียงที่จะขึ้นทะเบียนให้เป็นเอกสิทธิของกัมพูชา ทั้ง ๆ ที่พื้นที่โดยรอบของตัวปราสาทนั้นทางประเทศไทยยืนยันอ้างสิทธิตามสันปันน้ำในการตกลงปักปันเขตแดนกับฝรั่งเศสแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อ ค.ศ.๑๙๐๔ แต่การดำเนินการปักปันเขตแดนที่สืบต่อมาจนเสร็จสิ้นใน ค.ศ.๑๙๐๗ นั้น ฝรั่งเศสโกงอย่างหน้าด้าน ๆ ด้วยการถืออำนาจดังประเทศมหาอำนาจ สร้างแผนที่ ๑: ๒๐๐,๐๐๐ ด้วยการขีดเส้นเขตแดนลงบนแผนที่อย่างไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในเรื่องสันปันน้ำ เลยทำให้ปราสาทพระวิหารตกอยู่ในเขตแดนประเทศเขมร ซึ่งเป็นรัฐอารักขาของฝรั่งเศส แต่เมื่อเหตุการณ์ผ่านมาถึงสมัยสงครามอินโดจีนในสงครามโลกครั้งที่ ๒ ไทยเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ไทยก็อ้างสิทธิในการครอบครองดินแดนเสียมเรียบและพระตะบองในกัมพูชามาอยู่ในเขตแดนประเทศไทยอีกวาระหนึ่ง ครั้งเมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม ไทยก็จำต้องคืนดินแดนกลับคืนไปให้ฝรั่งเศสอีก แต่ก็ยังครอบครองพื้นที่บนเทือกเขาพนมดงเร็กแทบทั้งหมดไว้ ซึ่งรวมทั้งปราสาทพระวิหารที่ฝรั่งเศสโกงเอาไปด้วย เหตุที่ไทยอ้างสิทธิเช่นนี้ก็เพราะพื้นที่ในบริเวณสันปันน้ำแทบทั้งหมดอยู่บนที่ราบสูงโคราชในเขตไทย คนท้องถิ่นที่มีหลายชาติพันธุ์ซึ่งอาศัยตั้งถิ่นฐานชุมชนและแหล่งทำมาหากินในป่าและเขาก็ล้วนเป็นคนในพื้นที่ราบสูงโคราชแทบทั้งนั้น โดยผู้คนเหล่านี้มีการติดต่อกับคนในที่ราบต่ำเขมรโดยช่องเขาต่างๆ ในเทือกพนมดงเร็ก โดยไปมาหาสู่แลกเปลี่ยนสิ่งของและสร้างความสัมพันธ์ทางเครือญาติ โดยเฉพาะการกินดองกันทางการแต่งงาน รวมทั้งการเข้ามาใช้พื้นที่สาธารณะตามป่าเขาทั้งสองฟากของสันปันน้ำในการหาของป่า ทำมาหากินร่วมกัน คนทั้งสองฟากเขามักมีแหล่งศักดิ์สิทธิ์ในระบบความเชื่อมาประกอบพิธีกรรมด้วยกันควบคูไปกับพื้นที่ย่านตลาดและแหล่งที่อยู่อาศัยในลักษณะที่เป็นชุมชนร่วมกันตามช่องเขาต่าง ๆ อันเป็นเส้นทางขึ้นลงระหว่างที่ราบสูงโคราชและที่ราบเขมรต่ำ พื้นที่บนสันปันน้ำที่มีคนท้องถิ่นทั้งสองดินแดนใช้ร่วมกันมาอย่างไม่มีความขัดแย้งใด ๆ นั้น เริ่มกระทบกระเทือนขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ที่รัฐบาลเขมรของสมเด็จพระนโรดมสีหนุ ฟ้องศาลโลกอ้างสิทธิครอบครองปราสาทพระวิหารที่อยู่ในเขตสันปันน้ำของไทย โดยอาศัยสนธิสัญญาในการแบ่งเขตแดนที่ฝรั่งเศสทำกับไทยในปี ค.ศ. ๑๙๐๗ ครั้งเขมรยังเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นสนธิสัญญาที่สัมพันธ์กับแผนที่ ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ ที่ฝรั่งเศสทำไว้และบีบให้ไทยยอมรับในสมัยรัชกาลที่ ๕ ในความจริง สนธิสัญญาและแผนที่ ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ ที่แสนชั่วของฝรั่งถ่อยนั้น ควรสิ้นสุดลงแล้วเมื่อเขมรเป็นเอกราช รวมทั้งไทยเองก็ไม่ควรรับมาพิจารณาและไปอ้างสิทธิเหนือบริเวณเสียมเรียบและพระตะบอง ดังเช่นรัฐบาลไทยสมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามร่วมเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นด้วย แต่เจ้าสีหนุนั้นกลับอ้างสนธิสัญญาและแผนที่สมัยอาณานิคมมาแสดง ดุจดังเคยเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศสเช่นเดิม ซึ่งก็ดูน่าประหลาดเป็นนักหนา ในการศึกษาประวัติศาสตร์สังคมทางมนุษย์วิทยาชาติพันธุ์ของข้าพเจ้าที่เกี่ยวกับที่ราบสูงโคราช และเขมรต่ำในลุ่มทะเลสาบนั้น ข้าพเจ้าพบว่าประชาชนที่อยู่ในประเทศกัมพูชา ประกอบด้วยคนสองกลุ่มในสองพื้นที่มาช้านาน คือ คนที่อยู่บนพื้นที่สูงและพื้นที่ชายทะเล พวกที่อยู่ในที่สูงเป็นมนุษย์ในตระกูลมอญ-เขมร อันเป็นตระกูลภาษาย่อย ๆ ของตระกูลใหญ่ที่เรียกว่า ออสโตร-เอเชียติก [Austro-Asiatic] คนเหล่านี้กระจายอยู่บนที่ราบสูงโคราชอันเป็นอนุภาคหนึ่งของลุ่มน้ำโขงตอนกลาง และที่ราบลุ่มรอบ ๆ ทะเลสาบเขมร ในจดหมายเหตุจีนเรียกคนเหล่านี้ว่า “เจนละบก” ส่วนคนที่อยู่ทางชายฝั่งทะเลคือแถวลุ่มน้ำโขงตอนล่างที่เป็นดินดอนสามเหลี่ยม [Mekong Delta] เป็นมนุษย์ในตระกูลมาเลย์-จาม ซึ่งเป็นตระกูลย่อยของตระกูลภาษาใหญ่ที่เรียกว่า ออสโตรนีเซียน [Austronesian] หรือ มาลาโยโพลีนีเซียน [Malayo Polynesian] คนพวกนี้หากินตามชายทะเลและบนท้องทะเล เป็น นักเดินทางทะเลระยะไกลที่เก่ง [Seafarer] มาแต่สมัยโลหะในยุคก่อนประวัติศาสตร์ คือ แต่ราว ๕๐๐ ปีก่อนคริสตกาลลงมา ราวต้นคริสตกาลการค้าระยะไกลทางทะเลระหว่างอินเดียและตะวันออกกลางกับจีนทางตะวันออกไกล ได้ทำให้เกิดกลุ่มรัฐชายทะเล [Port Polity] และ กลุ่มรัฐภายใน [Hinterland Polity] ขึ้น อันเนื่องมาจากการแลกเปลี่ยนสินค้าที่เป็นของป่า [Jungle products] และโลหะธาตุ [Mineral resource] ของดินแดนภายในกับผู้คนที่ทำการค้าขายทางชายฝั่งทะเล เป็นเหตุให้มีการแพร่อารยธรรมอินเดียและอารยธรรมจีนเข้ามาผสมผสานกับวัฒนธรรมพื้นเมือง โดยเฉพาะอารยธรรมอินเดียนั้น มีผลให้เกิดนครรัฐที่มีศาสนาการเมืองในระบบกษัตริย์แบบจักรพรรดิราชในศาสนาพุทธ ฮินดูและพุทธมหายานขึ้น ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ หรือคริสต์ศตวรรษที่ ๖-๗ เกิดกลุ่มนครรัฐที่มีลัทธิศาสนาทางราชการที่เป็นพุทธเถรวาท พุทธมหายาน และฮินดูขึ้นมาตามดินแดนต่าง ๆ ทั้งชายทะเลและภายใน ในเดลต้าแม่น้ำโขง มี รัฐฟูนัน อันเป็นรัฐของคนมาเลย์-จาม รวมสมัยกับรัฐจามปาทางเวียดนามกลาง รัฐเจนละ ที่อยู่ในที่ราบสูงโคราช รัฐทวารวดีและรัฐนครชัยศรี ในลุ่มน้ำเจ้าพระยาของประเทศไทย กินไปถึง รัฐศรีเกษตร ของชนชาติ พะยู่ หรือ ผิ่ว ในแอ่งอิระวดีของพม่า ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ เป็นต้นมา การเติบโตของการค้าระยะไกลทางทะเลมากขึ้น เกิดบ้านเมืองใหญ่ ๆ และรัฐใหม่ ๆ ที่เป็นนครรัฐมากมาย มีทั้งแยกอยู่อย่างเป็นเอกเทศ มีทั้งการรวมกับรัฐเก่าเป็นรัฐใหม่ขึ้นมา ในดินแดนเดลต้าของแม่น้ำโขงที่ที่ราบสูงโคราช การแผ่ขายของคนกลุ่มที่เรียกว่ามอญ-เขมร ลงมาทางเดลต้าแม่น้ำโขง ทำให้รัฐฟูนันหมดความสำคัญไป เกิดรัฐใหม่ขึ้นมาแทนที่คนจีนเรียกว่า รัฐเจนละน้ำ ทำให้เจนละแต่เดิมที่แบ่งออกเป็นสองเจนละคือ เจนละบก มีเมืองสำคัญอยู่ที่ เชิงเขาวัดพู ริมฝั่งแม่น้ำโขงในแคว้นจำปาสักของลาว กับ รัฐเจนละน้ำ ที่มีเมืองสำคัญอยู่ที่ เมืองสมโบร์ไพรกุก ในลุ่มน้ำโขงในเขตแขวงกัมปงจามในปัจจุบัน บริเวณที่เป็นเจนละน้ำเริ่มแต่ชายทะเลมาถึงพนมเปญและเรื่อยขึ้นไปตามลำน้ำโขงจนถึง สตึงเตรง นั้น เป็นพื้นที่ของการผสมผสานของชนกลุ่มมอญ-เขมรกับกลุ่มจาม-มาเลย์ มีความเชื่อและวัฒนธรรมแตกต่างไปจากพวกเจนละบกที่ขยายตัวจากที่ราบสูงโคราชลงมายังลุ่มทะเลสาบในเขตเสียมเรียบและพระตะบอง ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ลงมา เจนละน้ำมักมีการขัดแย้งกับพวกจามที่ถ่อยร่นขึ้นไปรวมอยู่ทางตอนกลางของเวียดนามเป็นประจำ เกิดสงครามกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองเกิดขึ้น คือ เกิดนครรัฐของพวกเจนละบกขึ้นมาใหม่ที่ริมของทะเลสาบ โดยอาศัย เขาพนมกุเลน เป็นศูนย์กลางของจักรวาล มี ลำน้ำโรราส และ ลำน้ำเสียมเรียบ ที่ไหลลงจากเขาพนมกุเลนหล่อเลี้ยง การสร้างบ้านแปงเมืองในบริเวณนี้ รัฐใหม่ที่เกิดขึ้นคือรัฐเมืองพระนครที่มีเมืองยโสธรปุระเป็นศูนย์กลางทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ การเกิดรัฐเมืองพระนครที่มีเมืองยโสธรปุระเป็นศูนย์กลางนี้ ดูคล้าย ๆ กับพระนครศรีอยุธยาที่ทำให้บรรดานครรัฐในเครือข่ายทั้งในพื้นที่เจนละบกในที่ราบสูงโคราช กับเจนละน้ำที่อยู่ทางเดลต้าแม่น้ำโขง พยายามแย่งชิงกันเข้ามาปกครองอยู่เนือง ๆ เกิดกษัตริย์ใหญ่ ๆ ที่พยายามบูรณาการรัฐและผู้คนทั้งสองเขตให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการปกครองและวัฒนธรรม ความเป็นหนึ่งเดียวของเมืองพระนครคือทั้งเจนละบกและเจนละน้ำนั้น เห็นเป็นรูปธรรมขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๑๖ เมื่อพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ ผู้มีเชื้อสายจาม-มาเลย์จากเจนละน้ำ เข้ามามีอำนาจในเมืองพระนคร ได้แบ่งวัฒนธรรมฮินดูของเมืองพระนครขึ้นไปยังดินแดนที่ราบสูงโคราช ทำให้เกิดปราสาทขอมในศิลปะแบบปาปวนขึ้นทั่วไป ทำให้ความคล้ายคลึงกันทางรูปแบบศิลปวัฒนธรรมกลายเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นอำนาจทางการเมืองไป ทั้งๆ ที่นัยซ่อนเร้นทางการเมืองนั้นน่าจะเป็นพระเจ้าสุริยวรมันต้องการสร้างความสัมพันธ์ในด้านกำลังคนจากที่ราบสูงโคราชเพื่อต่อต้านกับการรุกรามของพวกจามจากเวียดนามกลางมากกว่า รวมทั้งการที่ใช้เมืองพระนครที่อยู่ริมทะเลสาบเป็นที่มั่นในการสู้รบกับพวกจามด้วย แต่กระนั้นก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีและจู่โจมจากพวกจามได้ เพราะหลังรัชกาลสุริยวรมันที่ ๑ แล้ว อาณาจักรเมืองพระนครปั่นป่วนและแตกแยก เปิดโอกาสให้พวกเจนละบกในที่ราบสูงโคราชที่มีนครรัฐอยู่ที่พิมาย-พนมรุ้ง ในบริเวณที่เรียกว่า มูละเทศะ แต่เดิมเข้ามามีอำนาจแทน คือกษัตริย์ในราชวงศ์มหิธระปุระที่ทรงพระนามว่า สุริยวรมันที่ ๒ ในพุทธศตวรรษที่ ๑๗ พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ คือผู้ที่สร้างปราสาทนครวัดที่มีชื่อเรียกในศิลาจารึกว่า วิษณุโลก เป็นสถานที่เพื่อการพระบรมศพของพระองค์ที่มีพระนามคล้ายพระวิษณุ (แต่ไม่เหมือน) ว่า พระบรมวิษณุโลก ภาพสลักในพระราชพิธีสนาม ก็คือการสวนสนามแสดงแสนยานุภาพของกองทัพขอมในระเบียงคด ปราสาทนครวัด ที่ประกอบด้วยกองทัพจากบรรดาเมืองขึ้นและเมืองที่เป็นพันธมิตรมากมายที่อยู่ในที่ราบสูงโคราชและกินมาถึงแคว้นสยามและละโว้ของสยามประเทศในลุ่มน้ำเจ้าพระยาด้วย พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ สร้างเมืองนครธมทับที่เมืองพระนครเก่าขึ้นมาโดยมีป้อมปราการแข็งแรงก่อด้วยศิลาแลง พร้อมกันก็สร้างปราสาทบายนขึ้นเป็นศูนย์กลางศาสนาพุทธมหายานของราชอาณาจักร แล้วทรงเชื่อมความสัมพันธ์อันดีของเมืองพระนครไปตามบ้านเมืองต่าง ๆ ทั้งในที่ราบสูงโคราชและที่ราบลุ่มทะเลสาบเลยไปจนถึงลุ่มน้ำโขงในเขตแคว้นที่แต่เดิมเป็นเจนละน้ำ เป็นการบูรณาการบ้านเมืองที่ต่างภูมิภาคและชาติพันธุ์เข้าไว้เป็นอันหนึ่งเดียวกันในอาณาจักรเมืองพระนคร แต่ว่าการรวมกันทั้งการเมือง วัฒนธรรมและเศรษฐกิจดังกล่าวนี้ก็ไปได้พักหนึ่ง เพราะเมืองสิ้นรัชกาลแล้ว บ้านเมืองก็แตกแยก กษัตริย์เมืองพระนครหลังรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ หันมานับถือและอุปถัมภ์ศาสนาฮินดูแล้วทำลายล้างพุทธมหายานของชัยวรมันที่ ๗ ในที่สุดอาณาจักรเมืองพระนครก็แตกแยก พุทธศาสนาเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์จากรัฐในประเทศสยามแพร่เข้ามาเป็นศาสนาราชการใหม่ ในยุคนี้ศูนย์กลางความเจริญใหม่เช่นอยุธยาก็เข้ามาแทนที่ ทางอยุธยาขยายอำนาจมาผนวกเจนละบกที่เป็นคนชาติพันธุ์เดียวกันกับคนบนที่ราบสูงโคราชให้อยู่ภายในราชอาณาจักร โดยเฉพาะการตีเมืองพระนครหลวงและกวาดต้อนครัวเขมรมาเป็นคนสยามในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ เจ้าสามพระยานั้น ได้ทำให้ความสำคัญของรัฐกัมพูชาเคลื่อนจากริมทะเลสาบไปยังพื้นที่เจนละน้ำในบริเวณจัตุรมุข อันเป็นแหล่งสบกันของแม่น้ำ ทะเลสาบ คือ แม่น้ำบาสัคและแม่น้ำโขง เกิดเมืองสำคัญขึ้นมาแทนที่ ตั้งแต่เมืองอุดงมีชัย อันลองเวงและพนมเปญตามลำดับ ความเป็นหนึ่งเดียวของกัมพูชาแต่สมัยเมืองพระนครก็สิ้นสุดลง เข้าสู่สมัยหลังเมืองพระนครที่กัมพูชาแบ่งออกเป็นเจนละบกและเจนละน้ำเหมือนเดิม เจนละน้ำมีความเจริญกว่า เพราะอยู่ใกล้ทะเลมีพ่อค้าและชนต่างชาติ โดยเฉพาะคนจีนเข้ามาค้าขายตั้งหลักแหล่งรวมทั้งมีชนจามมุสลิมและอื่น ๆ ที่เข้ามาทางทะเลเป็นที่รู้จักรับรู้ของคนภายนอกทั่วไป ในทำนองตรงข้ามพวกเจนละบกที่เมืองพระนคร กลับไม่มีใครรู้จักและเชื่อว่าสูญหายไปหลังจากกองทัพไทยตีเมืองพระนครและกวาดต้อนผู้คนกลับไปเมืองไทย ก็เลยเป็นโอกาสของพวกฝรั่งเศสนักสำรวจล่าอาณานิคม เช่น อองเดร มูโอต์ อ้างตัวว่าเป็นผู้ค้นพบเมืองพระนครให้ทั่วโลกได้รับรู้ เรื่องเช่นนี้ถ้าเป็นคนท้องถิ่นที่อยู่กับความจริงแล้วก็คงนึกสมเพศในความโอ้อวดของฝรั่งที่พยายามแสดงตัวเองเป็นผู้ปลดปล่อยเสมอ ทั้งๆ ที่มีจิตใจที่โหดอำมหิตเสมอมา คนท้องถิ่นที่เป็นเจนละบกรู้ดีว่าแม้เมืองพระนครจะโรยร้างไปเช่นเดียวกับพระนครศรีอยุธยานั้นก็เพียงแต่สิ่งก่อสร้างปราสาทราชวัง แต่ประชาชนที่เป็นคนเมืองนั้นยังอยู่อย่างสืบเนื่อง เพียงเคลื่อนย้ายแหล่งที่อยู่อาศัยมาสองฝั่งของลำน้ำเสียมเรียบลงไปจนถึงทะเลสาบ เพราะเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและทำกิน ทำนา จับปลาอยู่แล้ว เมืองเก่าและศาสนสถานหลายแห่งก็ยังคงมีการดูแลอยู่ ดังเห็นจากหลักฐานทางโบราณคดีสมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ลงมา ว่าปราสาทหลายแห่งถูกแปลงให้เป็นพุทธสถาน รวมทั้งมีการสร้างพระอุโบสถ สร้างพระสถูปเจดีย์ อันแสดงให้เห็นความเป็นวัดวาอารามในทางพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์อย่างแจ่มแจ้ง โดยเฉพาะปราสาทนครวัดเองนั้น คนไทยสยามและพุทธศาสนิกชนอื่นๆ ก็รู้จักในนามของนครวัดแทนชื่อเก่าที่เรียกว่า วิษณุโลก มีการสร้างพระสถูปและปรับเปลี่ยนพื้นที่ห้องปราสาทและระเบียงคดให้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปนับเนื่องกันไปหมดมีหลายยุคหลายสมัย เพราะการสร้างพระพุทธรูปถวายวัดนั้นเป็นการทำบุญที่สำคัญในการสืบพระศาสนา นครวัดนั้นหาได้เป็นที่รู้จักกันแต่เพียงคนในเสียมเรียบเท่านั้น หากแทบทุกสารทิศ เพราะเป็นแหล่งจาริกแสวงบุญของคนทั่วภูมิภาค มีการสร้างตำนานขึ้นมาอธิบายต่าง ๆ นานา ยกเว้นไอ้พวกฝรั่งถ่อย ๆ เท่านั้นที่มองไม่เห็น พระมหากษัตริย์แห่งพระนครศรีอยุธยาเองก็หาได้ลืมนครวัดนครธมไม่ ยังคงเห็นว่าเป็นแหล่งอารยธรรมที่มีอิทธิพลในทางศิลปวัฒนธรรมเสมอมา ดังเช่นสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงตั้งชื่อเมืองสองแควอันเป็นเมืองสำคัญบนฝั่งน้ำน่านของสุโขทัยว่า “พิษณุโลก” ตามชื่อเมืองพระนครที่ชื่อ “วิษณุโลก” เป็นเมืองที่ประทับเกือบตลอดรัชกาล การสร้างพระบรมมหาราชวังและสถานที่สำคัญ ครั้งสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถในสมัยอยุธยาตอนกลางมาจนถึงสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองในยุคอยุธยาตอนปลาย ก็ได้รับอิทธิพลจากศิลปะสถาปัตยกรรมเมืองพระนคร โดยมีการรับช่างและผู้รู้ไปถ่ายแบบมาปรับปรุงตลอดเวลา คนเจนละบกเองก็มีการขยับขายแหล่งที่อยู่อาศัยขึ้นมายังที่ราบสูงโคราชโดยข้ามเทือกพนมดงเร็กมาตามช่องเขาต่าง ๆ เข้ามาหาถึงถิ่นฐานสัมพันธ์กับพวกญาติพี่น้องในเขตจังหวัดโคราช บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ จนแยกไม่ออกในด้านชาติพันธุ์ของคนสองฟากเขาพนมดงเร็กทั้งฟากไทยและกัมพูชา ดูเหมือนการดำรงอยู่อย่างสืบเนื่องของคนเจนละบกนั้นเป็นที่รู้จักกันในปัจจุบันว่าคนเสียมเรียบ ที่แตกต่างจากพวกเขมรพนมเปญ ความแตกต่างกันนี้คนสยามในแต่พุทธศตวรรษที่ ๒๐ ลงมารู้เป็นอย่างดี ดังเห็นจากการกล่าวถึงในตำนานพงศาวดารว่า ขอมแปรพักตร์ เมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างอยุธยากับเมืองพระนครนั้น คือ ทางไทยเรียกคนเสียมเรียบว่าเป็น ขอม ส่วนคำว่าเขมรนั้นปรากฏในเอกสารว่าเกิดขึ้นแต่สมัยกัมพูชาย้ายเมืองสำคัญมาอยู่ที่อุดงมีชัย และต่อมาละแวกเมื่อเกิดสงครามขึ้นระหว่างอยุธยากับกัมพูชา คนไทยสยามจะเรียกคนที่อยู่ทางเมืองละแวกหรือต่อมาคือพนมเปญว่าเป็นพวก เขมร คนเหล่านี้แต่พุทธศตวรรษที่ ๒๑ ลงมา คือพวกเขมรน้ำที่สืบถิ่นฐานมาจากเจนละน้ำ เป็นกลุ่มชนที่ผสมผสานกันของคนหลายชาติพันธุ์ทั้งจาม จีนและอื่น ๆ เพราะเป็นพื้นที่ซึ่งใกล้ทะเลติดต่อกับภายนอก มีความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ จนมีความสำคัญทั้งการเมือง เศรษฐกิจล้ำหน้าพวกเขมรบก หรือเสียมเรียบ ทำให้พวกเสียมเรียบเกือบถูกลืมไปพร้อม ๆ กับความรุ่งเรืองทางอารยธรรมในสมัยเมืองพระนคร ข้าพเจ้าได้รับความกระจ่างแจ้งในเรื่องนี้จากนักประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นที่ล่วงลับไปแล้ว คือศาสตราจารย์ เยเนโอะ อิชิอิ ครั้งพบกันในการประชุมสัมมนาได้บอกว่า พบเอกสารของชาวเสปนที่เข้าไปในกัมพูชาราวพุทธศตวรรษที่ ๒๓ ซึ่งระบุว่า กัมพูชาในช่วงเวลานั้นมีกษัตริย์ปกครองสองถิ่น คือ กษัตริย์ของกลุ่มคนที่อยู่ทางภูเขา [King of the mountain] กับ กษัตริย์ของคนที่อยู่ทางทะเล [King of the sea] ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างกันระหว่างเขมรเสียมเรียบกับเขมรพนมเปญดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เขมรทั้งสองพวก สองถิ่นนี้ยังมีความแตกต่างกันสืบมาจนปัจจุบันก็ว่าได้ เพราะอาจสังเกตได้โดยไม่ยากสำหรับผู้ที่สนใจในทางชาติพันธุ์ของคนกัมพูชาในปัจจุบัน โดยเหตุที่ยังมีความแตกต่างกันเช่นนี้ จึงเป็นความพยายามของผู้นำทางการเมืองที่มีอำนาจรวมศูนย์อยู่ที่พนมเปญในเขตเขมรน้ำที่จะสร้างการยอมรับอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรมของทางพนมเปญ ความต้องการเช่นนี้เห็นได้จากการกระทำของเจ้าสีหนุแต่สมัยกัมพูชาเป็นเอกราชจากฝรั่งเศส ได้ใช้การอ้างสิทธิในปราสาทพระวิหารเพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์เขมรโบราณว่าเหนือดินแดนประเทศไทยเพื่อสร้างความภักดีจากคนเสียมเรียบต่อพนมเปญ มาครั้งนี้ในกรณีมรดกโลกก็เช่นเดียวกัน นายกรัฐมนตรีฮุนเซนก็ต้องการเอาชนะใจคนเสียมเรียบและหาเสียงเพื่อสยบนักการเมืองฝ่ายค้านด้วยการประกาศศักดิ์ศรีในอดีตที่สูญหายไปแล้วของกัมพูชาเหนือดินแดนที่ราบสูงโคราชของประเทศไทยโดยอาศัยช่องว่างทางการเมือง-เศรษฐกิจในเรื่องเส้นแบ่งเขตแดน ซึ่งก็นับว่าได้ผลดี อันมาจากความไม่เอาใจใส่ของรัฐบาลและความไม่เอาไหนของหน่วยราชการที่รับผิดชอบอันได้แก่กระทรวงการต่างประเทศ และกรมแผนที่ทหารในปี พ.ศ.๒๕๔๓ รัฐบาลที่ว่านี้คือรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ อันมีนายชวน หลีกภัยเป็นนายกรัฐมนตรี นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ และ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการ ซึ่งเป็นตัวแทนของประเทศไทยในการไปร่วมเซ็น MOU. ในการปันเส้นเขตแดนกับประเทศกัมพูชา ความผิดพลาดอย่างมหันต์ที่ไม่น่าให้อภัยในการเซ็น MOU. ครั้งนี้ก็คือการไปยอมรับข้อเสนอของทางฝ่ายกัมพูชาในการใช้แผนที่มาตราส่วน ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ แนบท้ายในการแบ่งเส้นเขตแดน เรื่องการใช้แผนที่นั้นเป็นเรื่องทางเทคนิค เจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบอย่างจริงจังก็คือ กรมแผนที่ทหารและหน่วยงานในกิจการด้านดินแดนของกระทรวงการต่างประเทศ หาได้เอาใจใส่อย่างรอบคอบแต่อย่างใดไม่ กลับทำความผิดพลาด ทำนองเดียวกันกับสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อครั้งมีข้อพิพาทขึ้นศาลโลกกับกัมพูชาเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารในปี พ.ศ.๒๕๐๕ เพราะครั้งนั้นก็ยอมรับในการใช้แผนที่ ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ ในการแบ่งเขตแดนที่ฝรั่งเศสทำขึ้นในปี พ.ศ.๒๔๕๐ (ค.ศ.๑๙๐๗) ซึ่งฝรั่งเศสขีดเส้นเขตแดนที่มีปราสาทพระวิหารเข้าไปอยู่ในเขตแดนกัมพูชาแล้ว ทั้งแผนที่ ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ และเส้นเขตแดนนั้นคือ ของการโกงที่ชั่วร้ายของฝรั่งเศส แต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ดันไปยอมรับแล้วยอมขึ้นศาลโลก ดังเป็นเรื่องที่มั่นใจว่าจะชนะกระมัง เพราะทางไทยมีทนายความที่ดีระดับโลก เรียนจบมาแต่ฝรั่งเศส จึงลงเอยด้วยการแพ้และเสียปราสาทพระวิหาร ซึ่งครั้งนั้นก็นับว่าทางฝ่ายทหารของรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ก็ยังไม่ยอมเสียดินแดนภายในเขตสันปันน้ำ เพราะถือว่าเขตแดนยังเป็นของไทย ซึ่งศาลโลกเองก็หาได้ระบุถึงพื้นที่รอบพระปราสาทพระวิหารให้เป็นของกัมพูชาแต่อย่างใด ข้อบกพร่องอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญของรัฐบาลและกรมแผนที่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ก็คือไม่คิดจะใช้แผนที่ ๑ : ๕๐,๐๐๐ เป็นหลักฐานสำคัญในการกำหนดเขตแดน เพราะครั้งนั้นแผนที่ ๑ : ๕๐,๐๐๐ ก็มีใช้กันอยู่แล้วเป็นแผนที่ซึ่งทหารอเมริกันทำขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง นั่นหมายถึงแผนที่ ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ ควรเป็นของล้าสมัยในความถูกต้องและชัดเจนไปแล้ว ความผิดพลาดที่ไม่อาจแก้ตัวได้โดยวิธีการอันใดก็ตาม ก็คือการเซ็น MOU. ๔๓ โดยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์นั้นก็ยังตะแบงใช้แผนที่มาตราส่วน ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ อย่างมองไม่ออกว่า เป็นสิ่งที่แยกไม่ออกจากเส้นเขตแดนครั้งที่ฝรั่งเศสทำไว้แต่ดึกดำบรรพ์อย่างไร ก็เลยเข้าทางเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของรัฐบาลยุคพ่อค้าข้ามชาติ ครองแผ่นดินในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ครั้งนั้นข้าพเจ้าได้ยินมาจากนายทหารรักชาติตัวเล็ก ๆ ที่ไม่ใช่พวกนายพลข้ามชาติ ว่ารัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาได้วางแผนร่วมกันในการประชุมกัน เข้าใจว่าที่อุบลราชธานีในเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจในบริเวณตะเข็บชายแดนบนเทือกพนมดงเร็ก แต่อุบลราชธานีที่มีเรื่อง สามเหลี่ยมมรกต ผ่านเขาพระวิหารและช่องเขาต่าง ๆ ลงไปถึงเขตชายทะเลเช่นถึงเกาะกง เป็นต้น เล่าว่าผู้เข้าร่วมประชุมก็มีทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทางรัฐบาล เช่น กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงกลาโหม เป็นต้น นัยว่าเป็นการประชุมลับเสียด้วย เขาพระวิหารและปราสาทพระวิหารนับเนื่องเป็นแหล่งสำคัญแหล่งหนึ่ง ซึ่งต่อมารัฐบาลกัมพูชาภายใต้จอมทรราชฮุนเซน หักหลังไปสมรู้ร่วมคิดกับคณะกรรมการมรดกโลกในการขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลกปราสาทพระวิหารให้เป็นของกัมพูชาแต่ฝ่ายเดียว ในเรื่องนี้เห็นอย่างโล่งโจ้งจากขั้นตอนขึ้นทะเบียนที่ยอมขึ้นตัวปราสาทพระวิหารก่อน ทั้ง ๆ ที่ความจริงในหลักการปกติเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีทางสมบูรณ์แบบ แต่คณะกรรมการมรดกโลกนั้นคาดผิด เพราะเคยชินต่อการจะเสนอแนะอะไรแล้วทางรัฐบาลไทยมักจะยอมตามตลอดเวลา โดยเฉพาะในด้านวิชาการที่บรรดานักวิชาการฝ่ายไทยยอมเป็นลูกไล่ฝรั่งแสมอมา นี่ถ้าหากไม่มีการที่ทางภาคประชาสังคมออกมาโวยวายต่อต้านกันอย่างต่อเนื่อง ดังเห็นกันในทุกวันนี้ แหล่งมรดกโลกพระวิหารก็คงเกิดขึ้นภายใต้คำว่า แหล่งมรดกโลกพระวิเหียร อันเป็นคำในภาษาเขมร ที่ศักดิ์ศรีอยู่ที่คนกัมพูชา ในขณะที่คนไทยเสียทั้งอำนาจอธิปไตยในเรื่องดินแดน ไร้ศักดิ์ศรีและผลประโยชน์ ส่วนผู้ที่มีส่วนได้ผลประโยชน์อย่างแท้จริงก็คือ กลุ่มคนข้ามชาติที่มีทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง นักวิชาการข้ามชาติและข้ามเพศ ทั้งที่เป็นคนไทย คนเขมรและคนฝรั่ง คนจีน คนญี่ปุ่นและอื่นๆ หาใช่คนไทยในท้องถิ่น ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และคนเขมรเสียมเรียบที่ควรจะเป็นผู้มีส่วนได้เสียอย่างแท้จริง [Local stakeholder] ในที่สุดความเป็นมรดกโลกอย่างแท้จริงก็คงหาบังเกิดไม่ แต่จะกลายเป็นมรดกโลกของคนข้ามชาติที่ทำให้เป็นมรดกแค้นที่นำไปสู่ความเป็นศัตรูกัน ระหว่างคนสองชาติคือ ไทยและเขมรอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในบทความนี้ ข้าพเจ้าไม่คิดเรียกร้องขออะไรจากรัฐบาลซื่อบื้อที่ปกครองบ้านเมืองอยู่ในขณะนี้ เพราะสิ่งที่แถลงมาในเรื่องการไม่ยกเลิกแผนที่มาตรา ๑: ๒๐๐,๐๐๐ ที่เป็นหลักฐานสนับสนุนเส้นเขตแดนที่ฝรั่งเศสทำไว้แต่ปางก่อนนั้น คือการแก้ตัวที่ขาดความกล้าหาญทางจริยธรรม คงจะต้องหันมายังภาคประชาชนที่ต้องรวมพลังกันอย่างมหาศาลในการยกเลิก MOU. อัปยศที่จะนำมาซึ่งความฉิบหายอย่างผ่อนส่งกับประเทศชาติในด้านดินแดน อำนาจอธิปไตย ทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งบนบกและในทะเลในช่วงเวลาที่ไม่นานเกินรอนี้ เมื่อมาถึงตอนนี้ข้าพเจ้าก็ใคร่เสนอข้อคิดใหม่ว่า ทำไมพวกเราที่เป็นคนไทยอันเป็นคนตะวันออกที่ก็นับว่ามีสติปัญญา มีศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ทัดเทียมกันกับคนตะวันตก ไม่ลองตั้งสติและทบทวนด้วยปัญญาแล้วพิจารณาว่า มรดกโลกที่กำลังเป็นมรดกโลภ และเส้นแบ่งเขตแดนที่เกี่ยวข้องกับ MOU. ๔๓ นั้น เนื้อแท้ก็เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นจากสติปัญญาที่ฉ้อฉลของคนตะวันตกทั้งสิ้น เป็นอกุศลกรรม กลลวงที่ทำให้คนในท้องถิ่นทั้งคนไทยในที่ราบสูงโคราช และคนเสียมเรียนในพื้นที่เขมรต่ำ เกิดความขัดแย้งที่นำไปสู่ความรุนแรงอยากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งผิดกับแต่ก่อน ๆ ที่เคยอยู่กันอย่างเป็นญาติพี่น้อง เป็นเสี่ยว เป็นสหายกัน คนทั้งสองฝ่ายต่างมีส่วนได้เสียในพื้นที่แห่งการเปลี่ยนผ่าน เช่น บริเวณสันปันน้ำ บริเวณท้องน้ำเช่นแม่น้ำโขงร่วมกัน แล้วยกให้เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ทั้งสองฝ่ายช่วยกันสร้างขึ้น เช่นปราสาทพระวิหารบนเทือกพนมดงเร็ก พระบรมธาตุพนม ที่แม่น้ำโขงให้เป็นที่ซึ่งคนทั้งสองฝ่าย และคนภายนอกที่มาจากที่อื่น ๆ ประเทศอื่น ๆ ได้มาสักการะ และมาเที่ยวมาชมมาพักแรม มาซื้อขายสิ่งของที่เป็นผลิตผลที่เกิดจากชีวิตวัฒนธรรมของคนท้องถิ่น อันนับเป็นการฟื้นฟูแหล่งประวัติศาสตร์วัฒนธรรม เช่นปราสาทพระวิหาร พระบรมธาตุพนมให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่มีชีวิตขึ้นมา แทนที่การเป็นมรดกโลก-มรดกโลภ บ้า ๆ บอ ๆ ของไอ้พวกฝรั่งตะวันตกที่ไม่มีประโยชน์อันใดแก่คนท้องถิ่นที่เป็นเจ้าของร่วมกันเลย เมื่อพิจารณาให้ดีแล้วจะเห็นว่า เส้นแบ่งเขตแดนก็ดี มรดกโลกก็ดี ล้วนเป็นสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นให้เป็นเครื่องมือของนักธุรกิจการเมืองข้ามชาติที่ตอบสนองโดยรัฐบาลทรราชจากกรุงเทพฯ และกัมพูชา โดยมีบรรดานักวิชาการไม่มีชาติที่ชอบตามฝรั่งหมาไม่กัดเป็นพวกสนับสนุน อ้างความชอบธรรมในการแย่งชิงพื้นที่และทรัพยากรของคนท้องถิ่นของทั้งสองประเทศ ที่กล่าวมานี้ก็เพื่อที่จะเสนอว่า ควรรวมพลังกันเลิกทั้ง MOU. ๔๓ ที่เป็นเรื่องของเขตแดน และแหล่งมรดกโลก ปราสาทพระวิหารเสีย แล้วคิดใหม่ทำใหม่ให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของคนท้องถิ่นทั้งสองชายแดนร่วมกัน อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • คนไทยจะเป็นทาสในยุคอำมาตย์ไพร่

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ย. 2553 บ้านเมืองไทยในสยามประเทศยุคนี้ อยู่ในขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกันกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก จากโลกาภิวัตน์เข้าสู่โลกาพิบัติ ซึ่งเห็นได้จากทั้งปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ทางสังคมเศรษฐกิจและการเมือง ปรากฏการณ์ธรรมชาตินั้นเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางดินฟ้าอากาศที่ทำให้เกิดพายุหมุนไม่ว่าจะเป็นเฮอริเคน ทอร์นาโด และไต้ฝุ่นต่างก็เป็นพายุที่มีอานุภาพในการพัดทำลายบ้านเรือนและสิ่งก่อสร้าง รวมทั้งการนำฝนและน้ำทะเลเข้าท่วมท้น พัดทำลายทำให้เกิดภาวะบ้านแตกและการเสียชีวิต การพลัดพรากของผู้คน ภัยพิบัติธรรมชาตินี้เพิ่มความรุนแรงและศักยภาพในการทำลายเพิ่มขึ้นในเรื่องสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคม ขาดการจัดการอย่างไม่มีดุลยภาพ เช่น การตัดไม้ทำลายป่า การทำเขื่อนพลังงาน และการชลประทาน การสร้างถนนหนทาง การขยายตัวทางอุตสาหกรรมแหล่งผลิตและการทำเกษตรอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีไม่เหมาะสม ภัยพิบัติที่เกิดจากสภาพแวดล้อมดังกล่าวนี้ สร้างความเสียหายมากในบรรดาประเทศที่มีความล้าหลังทางวัฒนธรรม เช่น ประเทศด้อยพัฒนาที่หลงตนเองว่าพัฒนาแล้ว เช่น ประเทศไทย [Modernization without development] ในส่วนปรากฏการณ์ทางสังคมเศรษฐกิจและการเมืองที่ยังความพิบัติมายังบ้านเมืองและผู้คนก็คือ การมีระบบการเมืองการปกครองในระบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาที่ทำให้การเลือกตั้งกลายเป็นเรื่องซื้อเสียงซึ่งเข้ากันได้ดีกับการเน้นระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีที่ให้ความสำคัญกับสิทธิของปัจเจกบุคคลจนทำให้มนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์สังคมกลายเป็นเดรัจฉาน ทั้งระบบการปกครองและระบบเศรษฐกิจดังกล่าวนี้ เป็นวัฒนธรรมตะวันตกที่สังคมไทยแต่สมัยรัฐบาลไทย แต่สมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๕ รับเข้ามาแทนที่ระบบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชที่มีมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ อันเป็นสมัยการปกครองแบบอำนาจรวมศูนย์อยู่ที่กรุงเทพมหานคร แม้ว่าพระมหากษัตริย์จะทรงมีพระราชอำนาจสูงสุดแต่ผู้เดียว แต่ในด้านบริหารราชการแผ่นดินเป็นระบบราชการที่เป็นอำมาตยาธิปไตย เพราะพระมหากษัตริย์ทรงมอบหมายอำนาจหน้าที่ต่าง ๆ ให้เป็นเรื่องของขุนนาง ข้าราชการรับผิดชอบดำเนินการกิจกรรมของแผ่นดินในลักษณะที่ลดหลั่นกันลงไป จากสูงลงต่ำ โดยมีประชาชนที่เรียกว่าไพร่เป็นผู้ถูกปกครอง อาจจะเรียกว่าบ้านเมืองถูกปกครองโดยกลุ่มของ “อำมาตย์ผู้ดี” ก็ได้ เพราะคำว่า “ผู้ดี” นั้นหมายถึงผู้ที่มีวิถีชีวิตและความประพฤติปฏิบัติอยู่ในกรอบของศีลธรรมและคุณธรรมทางศาสนา อันมีพระมหากษัตริย์ทรงบำเพ็ญบารมีเป็นผู้นำ แต่หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นต้นมานั้น เป็นการเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปไม่ว่าจะเป็นไพร่หรือผู้ดีที่มีการศึกษามีความรู้ดีแบบทางตะวันตกเข้าสู่ระบบราชการ ความคิดแบบประชาธิปไตยที่อำนาจมาจากประชาชนโดยผ่านการมีรัฐธรรมนูญก็เข้ามาแทนที่อำนาจจากเบื้องบนทางศาสนาและพระมหากษัตริย์แล้วก็ตาม แต่ระบบอำมาตยาธิปไตยแต่เดิมก็หาได้เปลี่ยนไปไม่ เพราะโครงสร้างการปกครองและการบริหารราชการยังมีลักษณะรวมศูนย์เช่นเดิม ความเหลื่อมล้ำในเรื่องอำนาจหน้าที่ก็ยังเหมือนเดิม ต่างกันแต่เพียงพวก “อำมาตย์ผู้ดี” ลดจำนวนลง มีพวก “อำมาตย์ไพร่” เพิ่มขึ้นมาแทนที่ พวกอำมาตย์ไพร่แต่สมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามซึ่งนับอายุขัยได้จนถึงทุกวันนี้ก็คือ คนรุ่นปู่ รุ่นย่า รุ่นยายที่ยังมีคำนิยาม อุดมการณ์ การมองโลกแบบเดิม ๆ ของคนตะวันออกอยู่พอสมควร แต่ตั้งแต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๐๕ เป็นต้นมา การพัฒนาประเทศทั้งในระบบราชการ การบริหารและเศรษฐกิจที่ได้ส่งคนไปศึกษาอบรมทางตะวันตก โดยเฉพาะจากอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศสนั้น ได้ทำให้ผู้ที่เข้ามารับราชการเลื่อนขั้นเป็นอำมาตย์ไพร่รุ่นใหม่ถูกครอบงำด้วยการมองโลก ค่านิยมและอุดมคติแบบวัตถุนิยมอย่างโลกยวิสัยอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเห็นได้จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจสังคม ที่มีมาแต่ละยุคสมัยนั้น แทบไม่มีมิติทางจิตวิญญาณทางศาสนาและศีลธรรมเกี่ยวข้อง คำขวัญ งานคือเงิน เงินคืองานบันดาลสุข อันเป็นที่มาของ เงินและอำนาจ คือสิ่งเดียวกันและเป็นกระบวนทัศน์ของคนรุ่นใหม่ทั้งระดับบนคืออำมาตย์ไพร่ คือผู้ปกครองและพวกไพร่ที่เป็นประชาชน ซึ่งยังคงเป็นชนชั้นของผู้ถูกปกครองเช่นเดิม แต่อำมาตย์ไพร่ครั้งสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์เป็นต้นมา ก็ยังเป็นอำมาตย์ไพร่ที่มีพวกขุนศึกคือทหาร เป็นคณะบุคคลที่ทรงอำนาจในแผ่นดิน ที่มักมีเอี่ยวกับบรรดาพ่อค้า นายทุน ที่ร่วมกันแสวงหาอำนาจและเงินจากระบบราชการ ด้วยการกระทำที่เรียกว่า คอรัปชั่นแบบถูกกฎหมาย คือมีการทั้งออกกฎหมายไม่เป็นธรรม หลีกเลี่ยงกฎหมายและละเมิดกฎหมายรวมอยู่ด้วย ทำให้สังคมไทยพัฒนาเข้าสู่การเป็นสังคม ละเมิดกฎหมายอย่างเต็มตัว [Law violating society] กลไกของรัฐ เช่น ทหารที่มีไว้เพื่อป้องกันภัยจากข้างนอกกลายมาเป็นเครื่องมือในการปฏิวัติรัฐประหารแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องความต้องการของผู้มีอำนาจ ในขณะที่กลไกในด้านรักษาและบังคับด้วยกฎหมายเพื่อความสงบสุขและยุติธรรมภายใน อันได้แก่ ตำรวจ ก็กลายเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจในการกดขี่สร้างความไม่เป็นธรรมในสังคมจนในทุกวันนี้ ตั้งแต่รัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ของพรรคกิจสังคมเป็นต้นมา อำนาจของคณะบุคคลที่มีอำนาจในแผ่นดินที่เป็นขุนศึกก็แผ่วลง เพราะมีแรงต้านในแผ่นดินของปัญญาชนรุ่นใหม่ที่มีมาแต่สมัย ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๔ เพิ่มแรงขึ้น นักวิชาการทั้งด้านเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ผลักดันในด้านเศรษฐกิจ-การเมืองมากขึ้น เช่นการเน้นการเลือกตั้งลงสู่ท้องถิ่นเกิดระบบเงินผันเพื่อเพิ่มรายได้แก่ประชาชนที่ดูเหมือนเป็นต้นกำเนินของการแจกเงินแบบประชานิยมของรัฐบาลทักษิณและไทยเข้มแข็งของพรรคประชาธิปัตย์ในปัจจุบัน สิ่งที่สังเกตได้ค่อนข้างชัดในช่วงเวลานี้ ก็คือบทบาทและอำนาจของพวกขุนศึกค่อยๆ ลดลง โดยมีพวกนายทุน พ่อค้าค่อย ๆ เข้ามาแทนที่และมีความสัมพันธ์ในเชิงอุปถัมภ์ต่อกัน พอถึงรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวันก็มาถึงจุดเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ เกิดรัฐบาลพลเรือนที่มีพวกพ่อค้านายทุนอยู่เหนือทั้งรัฐและตลาด ขยายกิจกรรมทางด้านเศรษฐกิจ-การเมืองทั้งในระดับบนและล่างของประเทศรวมทั้งขยายตัวไปยังบรรดาประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว เขมร เวียดนาม “เปลี่ยนสนามรบให้เป็นการค้า” นับเป็นยุคของการเติบโตทางเศรษฐกิจด้านอุตสาหกรรมและเกษตรอุตสาหกรรมที่เน้นการส่งออก การเปิดรับการลงทุนจากภายนอกอย่างกว้างขวาง จนเกิดการเล่นหุ้น ปั่นหุ้น ขายที่ ปั่นที่ดิน เงินทองเป็นสิ่งที่หาได้เพราะเมืองไทยมีที่ดินอุดมสมบูรณ์ มีทรัพยากรมากมายที่คนท้องถิ่นรู้เท่าไม่ถึงการณ์ชักนำให้นำไปขาย นำไปจำนอง เกิดขบวนการนายหน้าหาซื้อที่ดิน จัดหาคนทำงานเป็นแรงงาน ในขณะที่ทางรัฐส่วนกลางและส่วนภูมิภาคก็ขยายกิจกรรมทางด้านโครงสร้างสาธารณะ เช่น ถนนหนทาง โรงงานไฟฟ้า เขื่อนพลังน้ำ ย่านชุมชนเมือง แหล่งอุตสาหกรรม แหล่งท่องเที่ยวอะไรต่าง ๆ นานา ในยุคของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรีก็เกิดสถาบันการปกครองท้องถิ่นใหม่เพิ่มขึ้นมา คือ อบต. และ อบจ. ที่สมาชิกขององค์กรมาจากการเลือกตั้งจากคนในท้องถิ่น สถาบันนี้เกิดขึ้นในความคิดว่าเป็นการกระจายอำนาจจากส่วนกลาง [Decentralization] ลงในท้องถิ่นที่มีความเจริญเป็นเมือง ต่างกับสถาบันผู้ใหญ่บ้านและกำนันที่เป็นการมอบอำนาจ [Delegation of authority] ลงสู่ท้องถิ่นที่ยังเป็นบ้านไม่ใช่เมือง แต่โดยพฤติกรรมและความเป็นจริงแล้ว การเกิด อบจ.และ อบต. หาใช่การกระจายอำนาจไม่ หากเป็นการมอบอำนาจเช่นเดียวกันกับสถาบันผู้ใหญ่บ้านและกำนัน เพราะทั้งสองสถาบันเมื่อมีการเลือกตั้งสมาชิกเข้าทำงานในองค์กรแล้ว ทางรัฐเป็นผู้กำหนดอำนาจหน้าที่และเงินงบประมาณลงมาให้จัดการใช้จ่าย โดยย่อก็ยังต้องพึ่งงบประมาณจากทางส่วนกลางหรือจากทางรัฐอยู่ดี และผู้ที่ดำรงตำแหน่งสำคัญขององค์กรก็มีอำนาจหน้าที่ เพราะถือว่าได้เข้ามาดำรงตำแหน่งจากการเลือกตั้งอย่างประชาธิปไตย แต่เท่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้พฤติกรรมของบรรดาผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และอบจ. อบต หรือระดับเทศบาลต่าง ๆ ก็คืออำมาตย์ไพร่ในระดับท้องถิ่น ที่ส่วนมากซื้อเสียงหาเสียงเข้ามาหลายแห่งก็หาใช้คนในท้องถิ่นไม่ หากเป็นพวกนักธุรกิจ นักก่อสร้างลงทุนจากที่อื่น เพื่อเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ ผลที่ตามมาสภาวะทางสังคมของท้องถิ่นเกิดความเดือดร้อนและขัดแย้ง โดยเฉพาะในเรื่องผลประโยชน์ เกิดคอรัปชั่นในเรื่องเงินทองที่ได้มาจากทางรัฐ มีการแบ่งพรรคพวกเป็นกลุ่มปรปักษ์เพื่อผลประโยชน์อย่างแพร่หลาย แต่ก่อนในสังคมเกษตรกรรมแบบชาวนา [Peasant society] ที่คนอยู่กันเป็นหมู่เหล่า มีเทือกเถาเหล่ากอก็มีการแบ่งเป็นกลุ่มย่อย ๆ ต่าง ๆ และมีความขัดแย้งกัน แต่ก็อาจปรองดองกันได้ด้วยสำนึกร่วมของคนที่อยู่ร่วมบ้านเกิดหรือชุมชนเดียวกัน [Sense of belonging] ไม่ว่าคนจนคนรวยหาได้แบ่งออกเป็นกลุ่มปรปักษ์ [Faction] ที่มีผู้นำมีพฤติกรรมที่เป็นมาเฟีย หรือผู้มีอิทธิพลไม่ แต่หลังจากเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรมและเกษตรอุตสาหกรรมดังเช่นทุกวันนี้ ชีวิตความเป็นอยู่ร่วมกันอย่างผ่อนผันและปรองดองกันแบบเก่าก่อนหามีไม่ คนส่วนใหญ่เน้นความเป็นปัจเจกเพื่อตัวเองและพวกพ้อง แลไม่เห็นความสำคัญของส่วนรวม หากมีแต่ส่วนตัวและแข่งขันทำลายกันตลอดเวลา ทุกวันนี้ในแทบทุกท้องถิ่นจะแลเห็นมาเฟียที่มาจากทางสายราชการหรือทางรัฐ เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้านก็ดี กับมาเฟียที่เป็นพวก อบจ. และอบต เทศบาลที่ล้วนแต่กลายเป็นเครือข่ายในระบบอุปถัมภ์ของบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคการเมืองที่มีสิทธิมีเสียงในรัฐสภาทั้งสิ้น ทำให้แลเห็นความเชื่อมโยงของผลประโยชน์ในเรื่องอำนาจและเงินจากสภาท้องถิ่นเข้าสู่รัฐสภาและผู้ที่คุมอำนาจเหนือรัฐสภาและรัฐก็คือ บรรดานักธุรกิจการเมืองนายทุนที่ล้วนมีความสัมพันธ์กับนายทุนข้ามชาติในยุคโลกาภิวัฒน์ ที่สอดคล้องกับนโยบายทางเศรษฐกิจแห่งชาติของแทบทุกรัฐบาลในเรื่องการให้ความสำคัญกับการส่งออกสินค้า จนเกิดการลงทุนข้ามชาติเข้ามากว้านซื้อและครอบครองที่ดินและทรัพยากรนานาชนิด ทั้งในการเข้ามาเป็นเจ้าของทั้งในทางตรงและทางอ้อม กลุ่มคนเหล่านี้คือพวกที่มีอำนาจเหนือรับและเหนือตลาดอย่างแท้จริง รัฐกลายเป็นเครื่องมืออย่างทรงพลังของบรรดาทุนข้ามชาติเหล่านี้ ดังเห็นได้จากโครงสร้างอำนาจที่รวมศูนย์อย่างเบ็ดเสร็จเกิดกระทรวง กรมกองและหน่วยราชการมากมายจากข้างบนลงล่าง ควบคุมกิจกรรมต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมอย่างชอบธรรม จากการสร้างกฎหมายขึ้นมารองรับและบังคับใช้ นี่คือลักษณะของรัฐทรราชย์ยุคโลกาภิวัตน์ที่แลเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านเมืองขายได้กินได้เพื่อเกิดรายได้มาแบ่งปันกันเองในหมู่ของพวกนายทุนเป็นนายทุนที่เป็นอำมาตย์ไพร่ เพราะแฝงอยู่ในคราบของอำมาตย์ผู้ดี แต่สมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง คราบของอำมาตย์ที่เห็นได้ก็คือ บรรดาเครื่องแบบ เครื่องแต่งกายและเครื่องอิสริยาภรณ์แสดงฐานะความสูงต่ำ ความมีหน้ามีตา มีอำนาจ ที่บรรดาขุนนาง ข้าราชการในสมัยสังคมศักดินาที่กว่าผู้ที่จะสวมใส่ได้นั้นต้องเป็นที่ประจักษ์ในเรื่องคุณธรรมและจริยธรรม พวกผู้ดีแต่สมัยศักดินาเคยปรารภให้ฟังเสมอว่าพวกอมาตย์ไพร่ในยุคนี้ ดูกริยาท่าทางและพฤติกรรมแล้ว เหมือนคางคกขึ้นวอ แต่ในขณะที่บรรดาอำมาตย์ไพร่ของทุกพรรคและทุกรัฐบาลของรัฐรวมศูนย์ที่มีอำนาจเดิมอย่างเป็นทรราชย์กำลังแย่งชิง แย่งอำนาจในเรื่องการยุบพรรคและแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญกันในขณะนี้ พวกที่เป็นไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน คือประชาชนทั่วไปนั้นกำลังอยู่ในภาวะที่มีความขัดแย้งและล่มจมมอยู่ทุกขณะ อันเป็นผลมาจากการรุกล้ำแย่งชิงที่ดินและทรัพยากรจากบรรดานายทุนที่มีทั้งพวกข้ามชาติและในชาติ ในการประเมินที่ดินของชาติที่ผู้มีสิทธิครอบครองได้ตามกฎหมายของคณะกรรมการปฏิรูป ชุดคุณอานันท์ ปันยารชุน พบว่าคนรวยที่เป็นนายทุนทั้งข้ามชาติและในชาติจำนวนสิบเปอร์เซ็นต์ ครองครองที่ดินจำนวน เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของชาติ ในขณะที่คนจนจำนวนเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ มีที่ดินเพียงสิบเปอร์เซ็นต์ของชาติ เพียงแค่นี้ก็เพียงพอจะอธิบายให้เห็นความล่มสลายของสังคมเกษตรกรรมแบบชาวนาที่เป็นสังคมพื้นฐานของประเทศมาแต่เดิมได้ชัดเจน นั่นคือบรรดาเกษตรกรรายย่อยที่พอมีที่ทำกินของตนเองแทบไม่เหลือ กลับมีเกษตรกรรายใหญ่ทำการเกษตรแบบคอนแทรกฟาร์มมิ่ง [Contracted farming] ของนายทุนเข้ามาแทนที่ อันเป็นลักษณะของสังคมอุตสาหกรรมที่ทำให้ชาวนาและชาวไร่เดิมลายเป็นแรงงาน มีการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานเดิมไปเป็นแรงงานในที่ต่าง ๆ ทั้งงานอุตสาหกรรม งานบริการในเมืองและงานเกษตรอุตสาหกรรมตามไร่ขนาดใหญ่ การเกษตรอุตสาหกรรมดังกล่าวนี้ไม่จำกัดอยู่เพียงการปลูกข้าวที่ทำในที่ลุ่มเท่านั้น แต่ขยายไปถึงพืชเศรษฐกิจนานาชนิดที่ทำกันในที่สูง อันเป็นแหล่งต้นน้ำ เช่น อ้อย มันสำปะหลัง ยูคาลิปตัส ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มีกระบวนการชลประทานขนาดใหญ่ที่แย่งน้ำจากชาวบ้านมาใช้ในการเกษตรที่ทำกันทุกฤดูกาล รวมทั้งการร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยราชการออกเอกสารสิทธิ์รุกป่าสงวน ออกเอกสารสิทธิทับที่ทำกินของชาวบ้าน จนเกิดเป็นคดีความไปทั่ว นอกจากการแย่งที่ทำกินในเรื่องที่ดินแล้ว ในพื้นน้ำและท้องน้ำก็โดนด้วย ในสังคมแบบชาวนานั้นได้จำกัดอยู่เพียงคนที่ทำนาทำไร่บนพื้นแผ่นดินเท่านั้น หากยังครอบคลุมไปยังบรรดาผู้คนที่มีการตั้งถิ่นฐานอยู่ริมแม่น้ำลำคลอง ชายหาดและท้องที่ในอ่าวในทะเล ที่มีอาชีพเป็นชาวประมงด้วย แต่เป็นประมงรายย่อยที่เรียกว่า ประมงพื้นบ้าน ที่ผู้คนใช้พื้นน้ำทำกินร่วมกันโดยไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของ แต่ในทุกวันนี้ ชาวประมงพื้นบ้านถูกบดขยี้จากการประมงพาณิชย์ของบรรดาพวกนายทุนทั้งข้ามชาติและในชาติที่มีอิทธิพลอยู่เหนือรัฐและเหนือตลาดทั้งหลาย การประมงแบบนี้นอกจากใช้เครื่องมือด้วยจักรกลและเทคโนโลยีที่ทันสมัยจับปลาและสัตว์ทำได้เป็นจำนวนมาก เช่น อวนรุน อวนลากอย่างแทบไม่มีเวลาให้พื้นน้ำหยุดหายใจบ้างแล้ว ยังเป็นการประมงที่จัดพื้นที่ท้องน้ำมาครอบครองเป็นของคนอย่างมีกฎหมายรองรับที่ชั่วช้าและโหดสุด ๆ ที่รัฐกระทำกับประชาชนก็คือ การให้เอกชนมีโฉนดน้ำไว้ครอบครอง ทำให้ชาวบ้านชาวประมงที่เคยใช้พื้นน้ำมาก่อนถูกขับไล่และถูกไล่ยิง ในทุกวันนี้ผลจากความร้ายที่สุดโหดของรัฐบาลทรราชย์อำมาตย์ไพร่ที่มีมาหลายสมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองมาจากรัฐอำมาตย์ผู้ดี ประชาชนตามท้องถิ่นเป็นจำนวนมากไม่เพียงแต่โดนแย่งที่ทำกินอย่างถูกกฎหมายแล้ว ยังถูกจับไปดำเนินความ ดำเนินคดีต้องโทษในคุกในตะรางกันเป็นระนาว ชาวบ้านหลายคนต้องตกเป็นจำเลยของรัฐในกรณีทำผิดกฎหมายในที่ทำกินของคนที่ครอบครองมาแต่รุ่นปู่ย่าตายาย อย่างเช่นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ชาวบ้านถูกขังคุกจนตายที่จังหวัดลำพูน เป็นต้น แต่ท่ามกลางความทุกข์ยากของแผ่นดิน บรรดาอำมาตย์ไพร่และนายทุนทั้งหลายของแต่ละพรรคการเมืองไม่เคยเดือดเนื้อร้อนใจ กลับมีแต่ทะเลาะกันแย่งชิงอำนาจกัน เช่นในกรณียุบพรรคและการแก้ไขรัฐธรรมนูญในขณะนี้ เพราะฉะนั้นก็ควรที่บรรดาวิญญูชนทั้งหลายควรทบทวนกันใหม่ว่า นับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองมาจนทุกวันนี้ ภายใต้การปกครองและการครอบงำของอมาตยาธิปไตยของพวกอำมาตย์ไพร่ ประชาชนได้อะไรนอกจากจะอยู่ในสภาพการไร้แผ่นดินที่อยู่อาศัย ไร้ที่ทำกิน อนาคตที่แลเห็นชัดเจนขึ้นทุกที คือการเป็นทาสติดที่ดินให้กับบรรดานายทุนข้ามชาติ ถ้าสังคมไทยกำลังกลายเป็นสังคมทาสยุคโลกาภิวัตน์ก็เป็นได้ ในสุดท้ายอยากใคร่เปรียบเทียบระหว่างกฎหมายรัฐธรรมนูญที่เป็นปรัชญาทางตะวันตกที่แก้กันอยู่หลายยุคหลายสมัยในขณะนี้กับกฎหมายตราสามดวงอันมีมาแต่สมัยอยุธยาที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงสังคายนาและใช้เป็นกฎหมายปกครองประเทศ ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑–รัชกาลที่ ๔ มีมาตราหนึ่งที่มีเนื้อความว่า “แผ่นดินเป็นของพระมหากษัตริย์ ทรงพระราชทานให้แก่ราษฎรได้ทำกินตามศักยภาพ แต่ถ้าไม่ทำกินแล้วไม่ใช้ประโยชน์แล้วไม่อาจจะยึดเอาไว้เป็นกรรมสิทธิ์ได้ ต้องคืนกลับให้กับรัฐ” อำมาตย์ผู้ดีแต่ก่อนเขารักษาที่ดินไว้ให้ลูกให้หลานทำกิน แต่อำมาตย์ไพร่สมัยปัจจุบันแย่งที่ดินของชาติไปให้ต่างชาติแทน ประชาชนที่เป็นคนไทยทุกวันนี้จะเป็นไพร่ก็คงไม่ได้เสียแล้ว นอกจากทาสแต่เพียงอย่างเดียว โอ้ โลกาพิบัติ! อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • “ต้องสร้างพลังประชาสังคมต่อรองอำนาจรัฐและทุนเหนือรัฐ” เพื่อการอยู่รอดของสังคมไทย

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2554 ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาตราบจนปัจจุบัน อิทธิพลของโลกาภิวัตน์ที่ครอบงำและมีผลกระทบอย่างร้ายแรงแก่ผู้คนในสังคมไทยก็คือ อำนาจของทุนเหนือรัฐและเหนือตลาดของกลุ่มนักธุรกิจข้ามชาติ อำนาจทุนดังกล่าวนี้เป็นอำนาจของเงินตัวเดียว หาได้มีตัวอื่นไม่ และเป็นอำนาจที่ใช้ได้กับรัฐไทย โดยผ่านรัฐไทยลงสู่สังคมข้างล่างได้ดีกว่ารัฐอื่น ๆ ในโลก เพราะรัฐไทยเป็นรัฐรวมศูนย์ที่ทำให้การจัดการทุกอย่างในด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและการเมือง การปกครอง กำหนดมาจากศูนย์กลางแต่ฝ่ายเดียว รัฐไทยนับว่าเป็นรัฐในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยเช่นเดียวกับหลาย ๆ ประเทศในโลก โดยเฉพาะประเทศทางตะวันตก แต่ความเป็นประชาธิปไตยของรัฐไทยนั้นเป็นประชาธิปไตยจากข้างบนแบบผูกขาด โดยผู้ที่มีอำนาจและมีความรู้จากศูนย์กลางเป็นผู้กำหนด ตามความเคยชินของคนจากข้างบนที่ได้รับการยอมรับจากคนข้างล่างมาแต่สมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงต่างกันกับสังคมในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยในที่อื่นๆ ที่ความเป็นประชาธิปไตยนั้น เริ่มมาจากข้างล่างจากการประสบการณ์ในความสัมพันธ์กันทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองของผู้คนหลายท้องถิ่น หลายชาติพันธุ์และหลายศาสนา เป็นประชาธิปไตยที่อุบัติขึ้นในลักษณะที่เป็นเอกภาพท่ามกลางความหลากหลายและความขัดแย้ง แต่ที่สำคัญเป็นประชาธิปไตยที่เปิดโอกาสและพื้นที่ให้คนจากข้างล่างในภาคประชาชนมีอำนาจในการต่อรองและตรวจสอบอำนาจรัฐที่มาจากเบื้องบนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยพลังประชาสังคม [Civil society] ที่เป็นกลุ่มก้อนและเครือข่าย อำนาจต่อรองของกลุ่มประชาสังคมนั้น โดยหลักการหาได้เป็นอำนาจในการบังคับใช้ [Authoritative power] เช่นของรัฐไทยไม่ หากเป็นอำนาจของการต่อรองและตรวจสอบ [Sanction] รวมทั้งการต่อต้านด้วยสันติวิธี เช่นการเดินขบวนเรียกร้องและที่เข้มข้นก็คือ อารยะขัดขืน [Civil disobedience] เช่น การไม่ยอมเสียภาษี ถ้าหากทางรัฐไม่รับฟังและใช้อำนาจบังคับจนขาดความชอบธรรมก็อาจเป็นเหตุให้เกิดการจลาจลและสงครามกลางเมือง อันเป็นการปฏิวัติจากข้างล่าง [Civil war] ในที่สุด หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นยุคของสงครามเย็นที่มีการแบ่งขั้วกันระหว่างประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยทุนนิยมเสรีกับประเทศประชาธิปไตยสังคมนิยมที่คนทั่วไปเรียกว่า คอมมิวนิสต์ อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส คือกลุ่มแกนนำของฝ่ายระบอบประชาธิปไตยทุนนิยมเสรี ในขณะที่รัสเซียและจีน คือแกนนำของฝ่ายคอมมิวนิสต์ เป็นการขับเคี่ยวกันระหว่างชั้วประชาธิปไตย ขั้วคอมมิวนิสต์ ได้แบ่งประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ออกเป็นฝ่ายประชาธิปไตย เช่น ไทยและมาเลเซียกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ ได้แก่ เวียดนาม ลาว และเขมร ส่วนพม่าเป็นการปกครองแบบเผด็จการทหาร อเมริกาใช้ประเทศไทยเป็นปราการสำคัญในการต้านคอมมิวนิสต์จากทางจีน รัสเซียและเวียดนาม โดยการให้ความช่วยเหลือทั้งด้านเศรษฐกิจ การทหารและการศึกษาที่จะอบรมบ่มสอนให้ไทยเป็นประเทศประชาธิปไตย อเมริกาประสบความสำเร็จในการอบรมความเป็นประชาธิปไตยให้แก่ไทยได้อย่างสำเร็จเบ็ดเสร็จ เพราะทำให้เกิดคนไทยรุ่นใหม่ขึ้นที่แตกต่างไปจากคนไทยรุ่นเก่าอย่างสิ้นเชิง เป็นคนไทยรุ่นที่เป็นพ่อแม่คนและรุ่นลูกในขณะนี้ที่รับรู้และยกย่องประชาธิปไตยแบบอเมริกัน ความคิดและวัฒนธรรมอเมริกันอย่างสุดโต่ง จนเรียกว่าถูกทำให้เป็นคนอเมริกัน [Americanization] ก็ว่าได้ โดยหาตระหนักถึงความเป็นจริงไม่ว่า เป็นเพียงอเมริกันแบบต่อยอดเท่านั้น หาได้มาจากกระบวนการอบรมทางประสบการณ์ที่มาจากรากฐานทางสังคมและวัฒนธรรมไม่ เพราะฉะนั้น ความเป็นประชาธิปไตยแบบต่อยอดที่รับเข้ามา จึงเป็นประชาธิปไตยข้างบนที่ห่างไกลกับความเข้าใจและประสบการณ์ของคนจากข้างล่าง ประชาธิปไตยของคนจากข้างบนจึงเป็นประชาธิปไตยของกลุ่มปัญญาชน เช่น พวกนักวิชาการที่เป็นด๊อกเตอร์ด๊อกตีน ลูกศิษย์ลูกหาที่ได้รับการอบรมปลูกฝังมาจากอเมริกาพวกหนึ่ง กับพวกนักธุรกิจการเมืองร้อยพ่อพันแม่ที่มุ่งหวังจะเข้ามาหาผลประโยชน์เพื่อตนเองและพรรคพวกในการเป็นนักการเมือง โดยผ่านการเลือกตั้งเพื่อให้เข้าไปมีสิทธิ์มีเสียงในสภาและเป็นรัฐบาลคุมอำนาจในการบริหารประเทศในลักษณะธุรกิจ การเมือง การตลาด แล้วก็แบ่งออกเป็นฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านพลัดถิ่นเข้ามาทำมาหากินกันในการเป็นรัฐบาล ข้าพเจ้าเรียกประชาธิปไตยจากข้างบนนี้ว่า “ประชาธิปไตยสามานย์” ตามอย่างทุนนิยมสามานย์ของอาจารย์ณรงค์ เพชรประเสริฐ นักเศรษฐศาสตร์ที่ริเริ่มคำว่า “ทุนสามานย์” เพราะเป็นประชาธิปไตยจากข้างบนที่เกิดจากอำนาจทุนของพวกนักธุรกิจข้ามชาติ ข้ามพรมแดน ถ้ามองย้อนทางประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยแบบนี้ ฟักตัวขึ้นเป็นรูปเป็นร่างแต่สมัยรัฐบาลของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นต้นมา เพราะเป็นยุคที่มีนักธุรกิจและนักวิชาการที่เป็นพลเรือนเข้ามาบริหารประเทศแทนกลุ่มเผด็จการทหาร และเป็นรัฐบาลเริ่มต้นของสิ่งที่เรียกว่า “ประชานิยม” ที่เห็นได้จากการผันเงินลงสู่ชนบท จนทำให้ชุมชนไม่อยากจะพึ่งตนเองอย่างแต่ก่อน หันมาหวังเงินผันจากทางรัฐแทน สืบเนื่องมาจนถึงรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่มุ่งเปลี่ยนสนามรบเป็นการค้า และทุนรับโครงการทางอุตสาหกรรมและการลงทุนจากภายนอก เป็นผลให้คนข้างล่างขายที่ดิน เลิกทำการเกษตร หันมาขายที่ตนเองเป็นแรงงาน ทิ้งถิ่นฐานไม่อยู่และไปทำงานในที่ต่าง ๆ เกิดสภาวะบ้านแตกขึ้นในหลายท้องถิ่นแทบทุกภูมิภาค ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสินค้าหมดแม้แต่ลูกเมียและตนเอง การสิ้นสุดของสงครามเย็นในสมัยประธานาธิบดีบุช ผู้พ่อ เป็นเหตุให้เปลี่ยนระเบียบโลก [World order] เข้าสู่ยุคเศรษฐกิจทุนนิยมข้ามชาติทำให้อเมริกามีอำนาจทางเศรษฐกิจการเมืองอย่างล้นหลาม ที่จะดลบันดาลให้ประเทศใด ๆ ร่ำรวยหรือยากจนก็ได้ด้วยเล่ห์กระเท่ทางเศรษฐกิจและการทหาร การสงครามและการค้าอาวุธ หลายๆ ประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์แต่ไม่ทันโลกก็อาจเป็นเหยื่อของการเข้ามาแย่งทรัพยากรธรรมชาติของชาติมหาอำนาจเช่น ประเทศไทยยุคฟองสบู่แตกที่ทำให้นักธุรกิจและนักลงทุนชาวต่างประเทศเข้ามาลงทุนทำกิจการ ใช้ทรัพยากรของประเทศไปเป็นสินค้าเพื่อเอากำไรส่วนใหญ่เป็นของตนเอง ในที่สุดยุคของการจัดระเบียบโลกก็เข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ อันเป็นยุคของประเทศมหาอำนาจและบรรษัทลงทุนข้ามชาติครอบครองโลกด้วยการสื่อสาร ด้วยการเทียบระบบคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ตนี้สามารถเข้าถึงแหล่งทรัพยากรได้แทบทุกมุมโลกอย่างไร้พรมแดน ทำให้เกิดอำนาจทุนเหนือรัฐเหนือตลาดขึ้นอันเป็นยุคใหม่ที่เรียกว่า ยุคโลกาภิวัตน์ (โลกาพิบัติ?) อย่างแท้จริง ทุนเหนือรัฐดังกล่าวคือระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีที่ไปผูกติดกับการปกครองแบบประชาธิปไตย เลยทำให้เกิดระบบประชาธิปไตยในระบบทุนนิยมเสรีขึ้น เพราะฉะนั้น ประชาธิปไตยในลักษณะนี้ จึงสามารถนิยามได้ว่าเป็นประชาธิปไตยสามานย์ เป็นประชาธิปไตยแบบซื้อเสียงขายเสียงที่สร้างขึ้น และกำหนดมาจากกลุ่มทุนเหนือตลาดที่ไม่มีพรมแดนนั่นเอง ประเทศไทยเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงในยุคโลกภิวัตน์ เมื่อเกิดรัฐบาลใหม่ขึ้นในสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นสมัยที่มีนักธุรกิจข้ามชาติเข้ามาบริหารประเทศ ได้นำเอาความคิดประชานิยมมาพัฒนาอย่างสุดโต่งในลักษณะที่เป็นการตลาด เปิดรับการลงทุนจากภายนอกที่ให้โอกาสคนต่างประเทศเข้ามาดำเนินกิจกรรมได้อย่างกว้างขวาง เปลี่ยนโครงสร้างทางกายภาพของบ้านเมือง ไม่ว่าการคมนาคม แหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งอุตสาหกรรมและแหล่งทรัพยากรเพื่อการลงทุน ที่ทำให้เกิดการเติบโตของอุตสาหกรรมทั้งหนักและเบาขึ้นทั้งประเทศ อันทำให้พื้นฐานการเป็นสังคมเกษตรกรรมแบบเดิมแทบหมดไป ประเทศไทยเป็นสังคมอุตสาหกรรมอย่างเต็มตัว การเคลื่อนย้ายของผู้คนทั้งภายนอก ภายในเข้าไปทำงานและอยู่อาศัยตามแหล่งทรัพยากรของท้องถิ่นในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศอย่างรวดเร็ว และไม่เคยคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมและวัฒนธรรมนั้นได้ทำลายชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในสังคมเดิม ตั้งแต่ครอบครัว ชุมชน และสภาพแวดล้อมทางนิเวศวัฒนธรรมของท้องถิ่นจนเกิดสภาพบ้านแตกสาแหรกขาดอย่างสิ้นเชิง รวมทั้งการสร้างสำนึกการมองโลกและค่านิยมที่เน้นความเป็นปัจเจกบุคคลที่มองและแสวงหาในเรื่องของความต้องการทางวัตถุเพื่อตนเองและพวกพ้อง แทนการอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มทางสังคม เช่น การรวมกลุ่มแบบครอบครัวและชุมชนในลักษณะเป็นสังคมมนุษย์แต่เดิม สังคมไทยในยุคโลกาภิวัตน์จึงเป็นสังคมที่เจ็บปวด เพราะกำลังขาดความเป็นมนุษย์ อาจวิเคราะห์ออกได้เป็นสองระดับ ระดับบนคือระดับของพวกนักการเมือง นักธุรกิจ ข้าราชการ นักวิชาการและคนในสังคมเมืองส่วนใหญ่ เป็นระดับที่กำลังขาดความเป็นมนุษย์ เพราะถูกครอบโดยกระแสโลกาภิวัตน์ คนเหล่านี้นอกจากเน้นตัวตนที่เป็นปัจเจกแล้ว ยังขาดสำนึกในเรื่องบ้านเกิดเมืองนอน เพราะถูกทำให้กลายเป็นคนของโลกเดียวกันที่ไร้พรมแดน ส่วนคนระดับล่างแม้ว่าจะอยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาดจากอิทธิพลทางเศรษฐกิจการเมืองในกระแสโลกาภิวัตน์ก็ตาม ก็ยังมีหลายกลุ่มหลายแห่งในหลายๆ ท้องถิ่นที่ยังคงความเป็นมนุษย์อยู่ คือยังมีความคิดที่จะอยู่ติดที่เป็นกลุ่มเหล่า ให้ความสำคัญกับการทำเกษตรกรรมแบบพอเพียงที่ทำเพื่อกินก่อนขาย ยังรักษาบ้านเรือนและถิ่นฐานไว้ได้ ตลอดจนยังให้ความสำคัญกับวัดวาอารามและระบบความเชื่อ คือยังคงเป็นคนมีศาสนาอยู่และมีสำนึกในเรื่องชาติภูมิ ที่คนไร้ชาติจากข้างบนมักจะกล่าวหาว่าเป็นพวกคลั่งชาติอะไรทำนองนั้น คนเหล่านี้ยังมีอยู่และทวนกระแสต่อรองกับโลกาภิวัตน์ แต่การดำรงอยู่ของคนเหล่านี้มักถูกมองข้ามไปจากคนระดับบนที่สยบกับโลกาภิวัตน์ และมักถูกกล่าวหาว่าการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิทางการเมืองและสังคมของคนเหล่านี้จัดเป็นการกระทำของชนชั้นกลาง อันมีคนเสื้อเหลืองที่เคลื่อนไหวล้มล้างรัฐบาลเผด็จการรัฐสภาของนายกรัฐมนตรีทักษิณให้พ้นอำนาจ แต่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่เข้ามามีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินต่อจากรัฐบาลทักษิณและนอมินีก็หาได้มีแนวคิดและพฤติกรรมในการปกครองประเทศแตกต่างไปจากรัฐบาลทักษิณไม่ กลับเป็นรัฐบาลของคนระดับบนที่ขาดความเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับรัฐบาลทักษิณและดูจะเลวร้ายกว่าเพราะแทนที่จะทำให้บ้านเมืองดีขึ้นกลับเลวลงจนเกิดความแตกแยกมากกว่าเดิม ก็เพราะนอกจากเป็นรัฐบาลที่รวบอำนาจไว้ศูนย์กลางแล้วตามแบบรัฐบาลเดิมในเรื่องประชานิยม มอมเมาชาวบ้านชาวเมืองด้วยทุนอุดหนุนและการคอรัปชั่นนานาประการ ดูเหมือนความเลวร้ายของทั้งสองรัฐบาลที่ผ่านมาที่ใช้ลัทธิประชานิยมเหมือนกันก็คือ การแย่งและแข่งกัน มอมเมาประชาชนเพื่อการขายทรัพยากรและขายประเทศ ได้เกิดการแตกแยกออกเป็นก๊กเป็นเหล่าของกลุ่มผลประโยชน์ [Factions] ที่ต่างอ้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่เน้นเสียงข้างมากว่าเป็นสิ่งชอบธรรม โดยไม่ยี่หระกับการซื้อเสียงขายเสียงแม้แต่น้อย ใครมีเงินมากแจกมาก ซื้อมากก็มีสิทธิ์ชนะการเลือกตั้ง อีกทั้งถ้าหากมีการกระทำใดที่ตนต้องเสียประโยชน์และเสียอำนาจก็มักมีการออกมาคุกคามประณามความยุติธรรมและแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนรัฐธรรมนูญกลายเป็นกฎหมายสามานย์ไปกับประชาธิปไตยสามานย์ เพราะพอใครได้มามีอำนาจก็แก้กฎหมายเพิ่มกันไม่หยุดหย่อนหลายตระหลบ มาบัดนี้ รัฐบาลนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชนะเลือกตั้งและกำลังจะกลับมามีอำนาจก็ยังคงใช้นโยบายประชานิยมอย่างเดิม แต่ดูเข้มข้นกว่า เพราะสามารถมอมเมาคนให้เป็นพวกอมนุษย์ได้มากกว่า อีกทั้งดูเหมือนจะได้รับการสนับสนุนจากบรรดาประเทศมหาอำนาจ เช่น อเมริกาและพันธมิตรที่มุ่งหวังจะครอบครองดินแดนและทรัพยากร ด้วยกระบวนการเศรษฐกิจทุนนิยมข้ามชาติ ดังเห็นได้จากการศึกษาเพื่อการปฏิรูปการปกครองของคณะกรรมการปฏิรูปที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน สังคมเกษตรแบบเดิมที่ประกอบด้วยเกษตรรายย่อย ที่มีที่ทำกินเป็นของตนเอง ปลูกพืชนานาชนิดแบบ กินก่อน เหลือขาย มาเป็นเกษตรกรรมแบบพันธะสัญญาที่ปลูกพืชเชิงเดียวเพื่อขายอย่างเดียว โดยมีนายทุนเป็นผู้กำหนด จนปัจจุบันคนไทยในประเทศที่เป็นเกษตรกรจำนวน ๙๐ เปอร์เซ็นต์มีที่ทำกินเพียง ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือ ๙๐ เปอร์เซ็นต์บรรดานายทุนทั้งในชาติและข้ามชาติถือครอบครองหมด นอกจากนั้นแล้ว ในตามท้องถิ่นต่างๆ แทบทุกภูมิภาคของประเทศ คนท้องถิ่นที่อยู่ในชุมชนมาแต่เดิมก็ถูกคุกคามแย่งที่ทำกิน ที่อยู่อาศัยและทรัพยากรจากคนข้างนอกที่เป็นนายทุน เกิดแหล่งที่อยู่อาศัยและทำกินแบบใหม่ที่ไม่เป็นชุมชนมนุษย์ขึ้นมากมาย เช่น คอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร ทาวน์เฮ้าส์และนิคมอุตสาหกรรม การรุกล้ำและคุกคามของกลุ่มทุนที่มีต่อคนข้างล่างที่เป็นเกษตรกรมาแต่เดิม ในขณะนี้รุนแรงถึงขั้นกดขี่ [Oppression] ทำให้คนไร้ที่อยู่อาศัย ไร้ที่ทำกินและถูกจองจำในคุกตะราง จนถึงภายในคุกก็มีมาก โดยที่กระบวนการยุติธรรมไม่สามารถช่วยอะไรได้ ดังเช่นชาวบ้านในเขตจังหวัดลำพูนที่มีเอกสารสิทธิ์ในที่ทำกินมากว่าชั่วคน ถูกรัฐออกเอกสารสิทธิ์ทับที่ให้นายทุนมีสิทธิ์ตามกฎหมาย ถูกจับและศาลตัดสินลงโทษให้จำคุกจนตายไปหลายคน ซึ่งบางคนมีอายุถึง ๗๐ และ ๘๐ ปี รวมทั้งในเขตจังหวัดลำพูนก็มีการปล่อยให้นายทุนได้สิทธิ์ครอบครองพื้นที่เพื่อทำโรงงานอุตสาหกรรมราว ๔,๐๐๐-๓,๐๐๐ ไร่ก็มี ลักษณะเช่นนี้แผ่ซ่านไปทั่วราชอาณาจักร จนกล่าวได้ว่าทั่วทั้งประเทศเต็มไปด้วยราษฎรที่ถูกกดขี่ข่มเหงจากอำนาจรัฐและทุนเหนือรัฐ จนกลายเป็นคนเสื้อแดงไปหมด การกลายเป็นคนเสื้อแดงนั้นเพราะคนเหล่านี้ไม่มีที่พึ่ง ต้องหนีไปพึ่งอำนาจนอกรัฐเช่นเดียวกันกับเมื่อครั้งสงครามเย็นที่ชาวบ้านหันไปเป็นคอมมิวนิสต์ เพราะเป็นระบบการปกครองที่เป็นทางเลือกได้ดีกว่าระบบประชาธิปไตยสามานย์รวมศูนย์ของรัฐบาลในยุคนั้น ปัจจุบันประวัติศาสตร์กำลังซ้ำรอยที่ประชาชนขาดที่พึ่งจึงหันไปหารัฐบาลทักษิณ ซึ่งฉลาดแกมโกง ใช้เล่ห์กลมอมเมาชาวบ้านด้วยโครงการประชานิยม จนทำให้เกิดความเชื่อมั่นใน พ.ต.ท.ทักษิณสืบมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้ง ๆ ที่พ.ต.ท.ทักษิณและรัฐบาลนอมินีก็คือตัวแทนของรัฐบาลทุนนิยมสามานย์และประชาธิปไตยรวมศูนย์ รวมอำนาจ และเป็นเผด็จการรัฐสภายิ่งกว่าสมัยใด ๆ ในระบบประชาธิปไตยของประเทศไทย เพราะคนเสื้อแดงที่เป็นสมุนและผู้ตามทักษิณ ได้มอมเมาหลอกลวงชาวบ้านชาวเมืองที่ถูกกดขี่โดยอำนาจรัฐให้มาเป็นพวก ระดมคนเหล่านี้ก่อความจลาจลวุ่นวาย เผาบ้านเผาเมืองถึงสองปีซ้อนในสมัยที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์บริหารแผ่นดิน ขณะนี้รัฐบาลประชาธิปัตย์ได้สิ้นสุดลง และรัฐบาลนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณก็กำลังเข้ามาแทนที่ ก็ยังใช้นโยบายประชานิยม (ฉิบหายนิยม) มอมเมาประชาชนอีก โดยประเดิมแต่แรกการหาเสียงจะขึ้นค่าแรงงานให้กรรมกรเป็นวันละ ๓๐๐ บาท นักศึกษาที่เรียนจบปริญญาตรีจะได้เงินเดือนขั้นแรก ๑๕,๐๐๐ บาท และประกันข้าวเกวียนละ ๑๕,๐๐๐ บาท เป็นต้น การให้คำมั่นสัญญาตั้งแต่การหาเสียงและซื้อเสียงเช่นนี้ คือการจุดประกายแห่งความหวังให้กับคนที่ขาดความรู้และสติปัญญาและมักง่ายมักได้โดยแท้ เพราะดูดีและโน้มน้าวได้พวกปัญญาชนที่เห็นใจประชาชนในเรื่องความไม่เป็นธรรมในเรื่องเงินค่าจ้างและเงินเดือน เห็นพ้องด้วยในลักษณะเข้าข้างคนด้อยโอกาส โดยหาคำนึงถึงความรู้สึกนึกคิดของบรรดากลุ่มบุคคลที่เป็นนายทุนผู้จ้างไม่ ซึ่งถ้าหากให้ค่อยเป็นค่อยไปแล้วก็จะเกิดการยอมรับด้วยกันทั้งสองฝ่าย คือฝ่ายนายจ้างและลูกจ้าง อันเป็นความสมดุลในความสัมพันธ์ทางสังคมและเศรษฐกิจของคนทั้งสองกลุ่มที่เกี่ยวข้อง แต่ดูเหมือนนโยบายประชานิยมในเรื่องค่าจ้างและแรงงานดังกล่าวนี้ น่าจะมีสิ่งซ้อนเร้นมากไปกว่านั้นในเรื่องที่จะเป็นการปิดทางให้กับการลงทุนจากภายนอก ที่มีกำลังเงินทุนในการให้ค่าจ้างแรงงานได้มากกว่าคนที่เป็นนายทุนภายในประเทศ ซึ่งนั่นก็จะเป็นการนำไปสู่การขายประเทศ ขายที่ทำกิน ที่อยู่อาศัยและทรัพยากรให้แก่ต่างชาติโดยตรง เพราะฉะนั้น สภาพการทางเศรษฐกิจ การเมืองของสังคมไทยในยุคโลกาภิวัตน์ โดยรัฐบาลประชาธิปไตยสามานย์ที่รวมศูนย์อำนาจ ทั้งอำนาจบังคับใช้และใช้เงินงบประมาณของทุกรัฐบาลมาจนถึงสมัยนี้ จึงกำลังเดินหน้าในการทำลายชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคมแทบทุกท้องถิ่นในระดับล่างอย่างโหดร้าย เร่งสร้างภาวะของความไร้ศีลธรรม จริยธรรมและมนุษยธรรม [Demoralization] ขึ้นแก่ผู้คนในสังคมส่วนรวม ดังเห็นได้จากโพลที่ออกมาว่าคนส่วนใหญ่ไม่รังเกียจคนชั่วครองแผ่นดิน ถ้าหากว่าคนชั่วเหล่านั้นให้คนอยู่ดีกินดีได้ ข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งที่เรียกว่า ประชานิยมนั้นคือฉิบหายนิยม ที่เป็นเครื่องมือของทุนและรัฐที่ฉ้อฉลกำลังสร้างความแตกแยก และความไม่เป็นธรรม รวมทั้งความเหลื่อมล้ำที่กำลังนำพาไปสู่การทำลายร้างชีวิตมนุษย์ด้วยกันเอง [Dehumanization] ในสังคมในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน และประเทศชาติในส่วนรวมก็จะกลายเป็นอาณานิคมทางเศรษฐกิจและปัญญาของพวกมหาอำนาจข้ามชาติทางเศรษฐกิจอย่างไม่ต้องสงสัย ในฐานะที่ข้าพเจ้าเคยเป็นคนหนึ่งในคณะกรรมการปฏิรูป ที่มีคุณอานันท์ ปันยารชุนเป็นประธาน ที่เห็นพ้องต้องกันว่า การแก้ไขให้เกิดความเป็นธรรมทางสังคมของประเทศนั้น ความจำเป็นที่ยิ่งยวดก็คือรัฐต้องจัดการให้มีการกระจายอำนาจการปกครองลงสู่ท้องถิ่น โดยให้องค์บริหารท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการให้ในการบริหารท้องถิ่นแทน ตัดหรือลดความสำคัญของส่วนภูมิภาคลง มติและความเห็นเช่นนี้ไม่ได้รับการขานรับทั้งรัฐบาลประชาธิปัตย์และรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่กำลังจะเข้ามามีอำนาจ แถมยังเลือกปฏิบัติด้วยการสนับสนุน แต่คณะกรรมการปรองดองโดยมีนายคณิต ณ นครเป็นประธาน เพราะดูมีประโยชน์แก่คนเสื้อแดงที่ออกมาเผาบ้านเผาเมืองและทำความผิด การไม่ยอมกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่นให้กับ อปท. เช่นนี้ คือการแสดงออกของความต้องการที่จะใช้ความเป็นศูนย์กลางในการใช้อำนาจและเงินอย่างไม่มีทางโปร่งใสได้ในการบริหารประเทศ และขณะเดียวกันก็ยอมสยบต่ออำนาจของทุนเหนือรัฐที่จะมาจากประเทศมหาอำนาจและบรรษัทข้ามชาติ ในขณะนี้ก็มีปรากฏการณ์บางอย่างทางเศรษฐกิจ การเมืองระหว่างประเทศที่ส่งให้เห็นการสมยอมหลาย ๆ อย่างในการที่จะทำให้มหาอำนาจทางเศรษฐกิจและเครือข่ายเข้ามาครอบครองประเทศไทยนับแต่เรื่องศาลโลกตัดสินให้มีการถอนกำลังทหารของทั้งไทยและเขมรออกจากพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร ซึ่งทางฝ่ายไทยเสียเปรียบนานาประการ เช่นกำหนดให้ทางฝ่ายไทยยอมให้ฝ่ายพลเรือนของเขมรไปทำการบูรณะจัดการปราสาทพระวิหารและพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรที่อยู่ในเขตประเทศไทยได้ แถมยังกำหนดให้พื้นที่ถัดจากบริเวณ ๔.๖ ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นบริเวณสระตราว ผามออีแดง และภูมะเขือเป็นพื้นที่ปลอดทหารเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ทางฝ่ายมรดกโลกเคลื่อนขยับเข้าผนวกเป็นเขตพื้นที่มรดกโลกปราสาทพระวิหารได้ในอนาคต ทั้งๆ ที่ทางไทยได้ถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกคณะกรรมการมรดกโลกแล้ว เพราะเบื้องหลังของคณะกรรมการชุดนี้นั้น ล้วนมีฝรั่งเศส อเมริกาและประเทศมหาอำนาจอื่น ๆ ล้วนหนุนหลังอยู่ทั้งสิ้น แต่ประการสำคัญที่เห็นในเวลานี้ก็คือ การที่รัฐบาลเยอรมันนียกเลิกการประกาศห้ามไม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษของรัฐบาลไทยเข้าประเทศเยอรมันได้ นับเป็นการทำลายและท้าทายอำนาจตุลาการอันเป็นเสาหลักที่สำคัญของการปกครองของประเทศอย่างชัดเจน และในขณะเดียวกันก็สนับสนุนให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเซลล์แมนในการขายแผ่นดินและทรัพยากรของประเทศไทยแทน ข้าพเจ้าคิดว่า ประเทศไทยและสังคมไทยกำลังอยู่ในภาวะที่โดดเดี่ยว พึ่งภาครัฐก็ไม่ได้ พึ่งภาคธุรกิจก็ไม่ได้ พึ่งความยุติธรรมจากต่างประเทศก็ไม่ได้ ก็คงต้องพึ่งตนเองเพื่อความอยู่รอด นั่นคือในหมู่ภาคประชาชน หรือภาคสังคมนั่นเองที่จะต้องมีการจัดตั้งกลุ่มที่เป็นองค์กรประชาสังคมขึ้น [Civic group] ที่ไม่เกี่ยวข้องกับทางรัฐและ อปท.(องค์กรปกครองท้องถิ่น) แต่เดิมกลุ่มเหล่านี้มีอยู่ในรูปขององค์กรเอกชนที่เรียกว่า NGO กลุ่มเหล่านี้มีอยู่ในรูปมูลนิธิ และกลุ่มอิสระที่ได้รับทุนอุดหนุนจากองค์กรต่าง ๆ ทางธุรกิจ หรือสมาคมเงินบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา องค์กรเอกชนเหล่านี้ประกอบด้วยคนรุ่นหนุ่มสาวเป็นส่วนใหญ่ที่มีความรักมนุษย์ อยากหาความรู้และสนใจในการทำงานอย่างเสียสละเพื่อสังคม การดำเนินงานขององค์กรอิสระเหล่านี้ ที่ผ่านมาเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ประสบทั้งผลสำเร็จและล้มเหลว แม้ว่าในระยะหลังจะถูกอิทธิพลทางการเมืองเข้ามาแทรกก็ตาม แต่ก็ได้วางรากฐานของการเคลื่อนไหวเพื่อสังคมไม่น้อย แต่ที่สำคัญนั้นได้มีบุคคลที่ทำงานเป็นจำนวนไม่น้อยที่ขณะนี้อยู่ในวัยกลางคนและบางคนก็กลายเป็นผู้อาวุโสนั้น มีประสบการณ์ที่ดีทางสังคม เป็นผู้รู้จริงและมีจิตใจที่เสียสละและไม่ท้อถอยที่จะดำเนินการต่อไป คนเหล่านี้ได้ทำการผลักดันและขับเคลื่อนกระบวนการทางสังคม เพื่อให้มีการต่อรองกับอำนาจรัฐและอำนาจทุนในภาคประชาชน ในหลาย ๆ ท้องถิ่นอยู่แล้ว แต่ที่ยังไม่ได้ผลดีเท่าที่ควรนั้น เพราะเมื่อเวลามีการรวมตัวกันของคนในภาคประชาชนในการต่อสู้และต่อรองกับอำนาจรัฐและอำนาจทุนนั้น กลุ่ม NGO มักถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกมือที่สาม ที่เข้าไปยุแหย่ชาวบ้านให้มีการแตกแยก และทำให้ความเข้มแข็งและพลังต่อรองทางภาคประชาชนอ่อนแอไป ดังนั้นเพื่อความเข้มแข็งของภาคประชาชนในการที่จะต้องช่วยตนเองเพื่อต่อรองกับอำนาจรัฐและอำนาจทุนนั้น ก็มีการเคลื่อนไหวกันขึ้นใหม่ในการจัดตั้งกลุ่มประชาสังคม คือต้องประกอบด้วย กลุ่มหรือองค์กรที่เป็นตัวแทนของคนในชุมชนท้องถิ่นที่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากผลกระทบจากการเข้ามารุกล้ำและจัดการในทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองของท้องถิ่น กลุ่มหรือองค์กรนี้ต้องเป็นตัวยืน โดยมีกลุ่มอื่น ๆ เช่น กลุ่มองค์กรอิสระ [NGO] และมูลนิธิต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นเครือข่ายที่จะร่วมกันสร้างพลังต่อรอง ข้าพเจ้าเห็นว่าการเคลื่อนไหวทางสังคมของกลุ่มประชาสังคมที่มีอยู่แล้วนี้ ยังขาดความชัดเจนในเรื่องกลุ่มองค์กรที่เป็นตัวแทนของคนในชุมชนท้องถิ่น เพราะเท่าที่เข้าใจกันนั้นเห็นว่า องค์กรของชุมชนนั้นอยู่ในพื้นที่ทางการบริหารที่เรียกว่า หมู่บ้าน และตำบลภายใต้การควบคุมของอำเภอ รวมทั้งในหลาย ๆ แห่งก็อยู่ภายใต้ อบต. และ อบจ. ในปัจจุบัน องค์กรชุมชนดังกล่าวนี้ไม่อาจนับได้ว่าเป็นองค์กรทางประชาสังคม เพราะเป็นการจัดตั้งโดยอำนาจรัฐ เรื่ององค์กรชุมชนในพื้นที่การบริหารเช่นนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่แม้แต่คณะกรรมการปฏิรูปการปกครองก็ยังเข้าใจสับสน เพราะยังหยุดอยู่กับการกระจายอำนาจจากส่วนกลางมายังองค์กรปกครองท้องถิ่น หรือ อปท.แต่เพียงอย่างเดียว โดยคิดว่า อปท. คือตัวแทนของประชาชนในการบริหารปกครองตนเองและต่อรองกับอำนาจรัฐ ดังเห็นได้จากการแสดงความคิดเห็นของศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี ที่ให้ความสำคัญกับปลัด อบต.เป็นอย่างมาก ในความคิดเห็นของข้าพเจ้าและผู้หลักผู้ใหญ่หลายท่านคิดว่า อปท.ก็คือองค์กรของรัฐท้องถิ่นที่มีอำนาจในการบริหารและปกครอง ถ้าหากบุคคลที่ดำรงหน้าที่ต่างๆ ในองค์กรนี้ รวมทั้งผู้ที่เป็นกำนันและผู้ใหญ่บ้านที่ได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชนก็ตาม เป็นคนฉ้อฉลมาทำงานเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ก็คงไม่ต่างอะไรกันกับบรรดานักการเมืองและข้าราชการในรัฐบาลกลางปัจจุบัน เพราะเท่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ในคณะกรรมการของ อบต. และ อบจ. เอง ในหลายๆ ท้องถิ่นก็อยู่ในลักษณะที่เต็มไปด้วยการทุจริตเป็นประจำ เช่นรายได้ก็ใช้ไปในงานกับสร้างที่ทำการ หรือกิจกรรมเพื่อให้มีค่าตอบแทนเพื่อประโยชน์ส่วนตัวและพรรคพวก เพราะฉะนั้น ถ้ายังปล่อยให้สภาพการเช่นนี้ดำรงอยู่ การกระจายอำนาจจากส่วนกลางลงสู่ส่วนท้องถิ่นก็คงไม่บังเกิดประโยชน์ในเรื่องความเป็นธรรมและความมั่นคงทางสังคมแต่อย่างใด แต่ถ้าผลทำให้เกิดมีองค์กรประชาสังคมของชุมชนที่ผู้คนในชุมชนท้องถิ่นจัดตั้งขึ้นมาทำหน้าที่ต่อรองและตรวจสอบการดำเนินงานของทางฝ่าย อบต. และ อบจ.แล้ว ก็จะทำให้มีการควบคุมจากภาคประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สมัยก่อนการปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นในสมัยรัชกาลที่ ๕ ยังไม่มีการแบ่งเขตการบริหารออกเป็นหมู่บ้าน ตำบลและอำเภอดังเช่นทุกวันนี้ แต่มีแต่ชุมชนธรรมชาติที่เรียกกันว่า บ้านและเมือง เป็นชุมชนสองระดับที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่นหนึ่ง ๆ ทั้งบ้านและเมืองเป็นสองสิ่งที่แยกกันไม่ออก เพราะสังคมในภูมิภาคนี้พัฒนาขึ้นจากกระบวนการสร้างบ้านแปงเมือง คือในท้องถิ่นหนึ่งซึ่งเป็นนิเวศวัฒนธรรมนั้นจะมีหลายบ้าน [Village] แต่ละบ้านก็จะมีวัดเป็นศูนย์กลาง ซึ่งวัดและชื่อบ้านมักมีชื่อเดียวกัน คนในชุมชนเท่านั้นที่จะรู้ว่าบ้านของตนเองมีขอบเขต และขนาดของชุมชนเป็นอย่างใด บ้านเป็นชุมชนที่คนเกิด โต และตาย อีกทั้งคนในชุมชนต่างมีความสัมพันธ์กันทางการแต่งงาน หรือการเป็นพี่น้องร่วมบ้าน แม้ว่าคนเหล่านั้นอาจจะตีความเป็นมาทางเผ่าพันธุ์และศาสนาที่แตกต่างกันก็ตาม บ้านเป็นชุมชนที่ผู้อยู่อาศัยอยู่ร่วมกันมาไม่น้อยกว่า ๓ ชั่วคน ซึ่งอาจเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า บ้านเกิด ความเป็นบ้านเกิดในทางโครงสร้างกายภาพ แลเห็นได้จากการมีอยู่ของบ้าน วัด และแหล่งเผาศพหรือฝังศพ ชื่อบ้านและวัดเป็นชื่อเดียวกัน ตั้งขึ้นกำหนดขึ้นโดยคนในชุมชน โดยดูตามลักษณะภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมธรรมชาติเป็นสำคัญ วัดเป็นของคนในชุมชนช่วยกันสร้าง อนุรักษ์และพัฒนาปฏิสังขรณ์ ในขณะที่แหล่งฝังศพ ป่าช้าและเชิงตะกอนเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นว่าคนในชุมชนอยู่อาศัยได้จนถึงตาย อย่างเช่นชุมชนบ้านหลายแห่งในภาคเหนือ ภาคอีสานและภาคใต้ยังมีการรักษาสถานที่และประเพณีการฝังศพและเผาศพของคนในบ้านเกิดของคนอยู่ หลายคนที่ออกไปทำงานข้างนอกอยากจะกลับมาตายและเผาศพที่บ้านเกิดของตน ดูเหมือนชุมชนอิสลามแทบทุกแห่งยังคงรักษาโครงสร้างของชุมชนในเรื่องวัดหรือมัสยิดกับแหล่งฝังศพที่เรียกว่า กูร์โบ ได้ดีกว่าที่อื่น ๆ นอกจากโครงสร้างทางกายภาพดังกล่าว ก็ยังมีขนบธรรมเนียมและประเพณีและกฎข้อห้ามต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กับเวลาและสถานที่ ซึ่งเรียกรวมๆ ว่า จารีต เป็นกลไกที่สร้างความเกาะเกี่ยวให้คนในชุมชนต้องปฏิบัติร่วมกันและรู้สึกว่าเป็นเจ้าของร่วมกัน ดังเช่นประเพณีเกี่ยวกับชีวิตและประเพณีสิบสองเดือนเป็นต้น คนในชุมชนได้รับการเรียนรู้ในเรื่องจารีตและประเพณีเหล่านี้จากการอยู่ร่วมกัน และจากการถ่ายทอดของคนรุ่นเก่าสู่รุ่นใหม่ในรูปแบบที่เรียกว่า การปลูกฝังทางวัฒนธรรม [Enculturation] อันนับเป็นการศึกษาอย่างหนึ่งเพื่อให้รู้จักความเป็นมนุษย์ เป็นการศึกษาทางด้านสังคมวัฒนธรรม ที่ทำให้คนได้รู้จักตนเอง รู้จักครอบครัว เครือญาติ เพื่อนบ้าน ก่อนที่จะไปเรียนรู้เรื่องราวจากภายนอกทางเศรษฐกิจและการเมือง การอยู่ร่วมกันมาหลายชั่วคนและการรับรู้ในเรื่องความเป็นมาของชุมชนและการยอมรับกติกาในการอยู่ร่วมกันนี้ จะทำให้เกิดสำนึกร่วมกันว่าเป็นคนเกิดในบ้านเดียวกันและเป็นพวกเดียวกัน [Consciousness of the kind] และความผูกพันในท้องถิ่น [Sense of belonging] ที่เรียกว่า เมืองนอน ท้องถิ่นเป็นพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่แลเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนในท้องถิ่นเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติในนิเวศธรรมชาติเดียวกัน และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ ความสัมพันธ์ทั้งสามมิตินี้ทำให้ท้องถิ่นกลายเป็นนิเวศวัฒนธรรมที่ในทางสังคมและการเมืองเรียกว่า บ้านและเมือง หรือพูดย่อ ๆ ว่า บ้านเมือง แต่ถ้าพูดได้มีความหมายลึกลงไปก็เป็น บ้านเกิดเมืองนอน นั่นเอง บ้านและเมืองเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออกในกระบวนการบูรณาการทางสังคมและวัฒนธรรมขึ้นเป็นรัฐและประเทศชาติ เพราะแต่ละท้องถิ่นหรือในนิเวศวัฒนธรรมหนึ่ง ๆ นั้นจะมีชุมชนที่เรียกว่าบ้านหลายชุมชน ซึ่งอาจจะมีการเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ได้ตามสถานการณ์ทางสังคมในแต่ละสมัยเวลา แต่จะมีชุมชนที่เป็นเมืองอยู่เพียงแห่งเดียวเพื่อรวมศูนย์ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและวัฒนธรรม เพราะชุมชนบ้านแต่ละแห่งไม่อาจอยู่ได้ตามลำพัง หากมีความสัมพันธ์กันทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมตลอดเวลา ซึ่งก็ต้องอาศัยเมืองเป็นศูนย์กลาง โดยเฉพาะสถานที่และย่านที่เป็นตลาดที่ทำให้ชุมชนเมืองมีขนาดใหญ่ มีคนหลายชาติพันธุ์ หลายภาษาหลายศาสนาและหลายอาชีพ ที่อาจมีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์แตกต่างกัน บ้านและเมืองเป็นชุมชนที่ต้องพึ่งพิงกันเพื่อการอยู่รอด ความต่างกันระหว่างบ้านกับเมืองในเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนก็คือ บ้านเป็นชุมชนที่ผู้คนมีความใกล้ชิดสนิทกัน เช่น เป็นญาติพี่น้องกันหรือเป็นเพื่อนบ้านเดียวกัน มีอาชีพไม่ต่างกัน เช่นเป็นคนชาวนา ชาวสวน ชาวไร่ ทำให้มีวิถีชีวิตและความคิดเห็นที่เหมือนกันคล้องจองกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นสำนึกร่วมกันคล้าย ๆ กับกลไกของเครื่องจักรเครื่องยนต์ [Mechanical solidarity] ในขณะที่เมืองเป็นชุมชนที่มีคนหลายอาชีพหลายที่มาหลายชาติพันธุ์แต่ต้องอยู่ร่วมกันเพื่อมีชีวิตรอดร่วมกันในลักษณะที่ต้องพึ่งพิงกัน เสมือนอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทำให้มีสำนึกร่วมกันในลักษณะที่เป็นอินทรีย์ของสิ่งมีชีวิต [Organic solidarity] โครงสร้างและความสัมพันธ์ทางสังคมของชุมชนบ้านและเมืองดังกล่าวคือ โครงสร้างพื้นฐานในความเป็นมนุษย์อันเป็นสัตว์สังคมที่พัฒนาขึ้นในสังคมเกษตรกรรมที่เรียกว่า สังคมชาวนา [Peasant society] อันมีเวลายาวนานมากว่าพันปีในดินแดนประเทศไทยและประเทศใกล้เคียง เป็นโครงสร้างที่บูรณาการคนที่หลากหลายทางชาติพันธุ์และความเป็นมา ทั้งจากข้างนอกและข้างในให้เป็นกลุ่มเหล่าเดียวกันหลายยุคหลายสมัย ปัจจุบันกำลังอยู่ในสภาพเปลี่ยนแปลง อันเนื่องมาจากอิทธิพลทางเศรษฐกิจ การเมืองที่มาจากภายนอก โดยเฉพาะจากทางตะวันตกที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านเป็นสังคมอุตสาหกรรมมาในยุคโลกาภิวัตน์ของทุกวันนี้ ความเป็นชุมชนบ้านและเมืองอันเป็นชุมชนทางธรรมชาติและวัฒนธรรมกำลังอยู่ในสภาพล่มสลาย เพราะการครอบงำจากอำนาจในการบริหารและการปกครองของรัฐในเรื่องการปกครองท้องถิ่นที่มีมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ที่ต่อมาจนถึงสมัยปัจจุบันในรัฐบาลประชาธิปไตยสามานย์ที่รวมศูนย์ และทุกสิ่งทุกอย่างต้องมาจากศูนย์กลางและเบื้องบน ในระบบอำมาตย์เจ้า มาถึงอำมาตย์ไพร่ในรัฐบาลนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ การล่มสลายของสังคมชาวนาอันเป็นสังคมมนุษย์มาเปลี่ยนสภาพ [Transform] เป็นสังคมอุตสาหกรรมทุนนิยมอันเป็นสังคมเดรัจฉานนั้น เหตุใหญ่มาจากการเคลื่อนย้ายและโยกย้ายถิ่นบ้านเกิดเมืองนอนไปสู่แหล่งทำงาน เช่นโรงงานอุตสาหกรรม แหล่งธุรกิจ แหล่งท่องเที่ยว บริการเขตเมืองและแหล่งเกษตรอุตสาหกรรมอยู่ตลอดเวลา โดยแทบไม่มีโอกาสปักหลักให้อยู่ติดที่เป็นหลักแหล่ง ผู้ที่เคลื่อนย้ายถิ่นฐานเหล่านี้แทบไม่มีหัวนอนปลายตีน และไม่ยอมรับกติกาทางจารีตประเพณีของชุมชนในท้องถิ่นที่ตนเข้าไปอยู่ บางคนเป็นนายทุน เป็นคนมีเงินกว้านซื้อที่อยู่อาศัย แย่งทรัพยากรและที่ทำกินของคนที่อยู่มาก่อน เกิดเป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ เป็นกำนัน อบต. จนกลายเป็นนักธุรกิจการเมืองในท้องถิ่นไป กล่าวได้ว่ามาในปัจจุบันนี้แทบไม่มีชุมชนเก่าแก่ในท้องถิ่นใดเลยที่สามารถบูรณาการให้คนที่มาจากข้างนอกกลายเป็นคนในท้องถิ่นได้เลย แถมยังถูกเบียดเบียนให้ออกไปอยู่ในที่อื่น ๆ เสียด้วย โดยเฉพาะคนในท้องถิ่นที่ขายไร่นาและที่ดิน เลิกทำเกษตรกรรมแล้วผันตัวมาเป็นแรงงานให้กับแหล่งอุตสาหกรรมและแหล่งประกอบการของบรรดานายทุนในท้องถิ่นใดที่มีอุตสาหกรรมหนักเข้าไปดำเนินการก็จะมีการจัดการสร้างแหล่งที่อยู่ใหม่กับคนทำงานร้อยพ่อพันแม่เหล่านี้ในนามของนิคมอุตสาหกรรม รวมทั้งการเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ดของบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม อะไรต่ออะไรอีกมากมายภายใต้สังคมอุตสาหกรรม มนุษย์กลายเป็นปัจเจกชนมีตัวตนหรืออัตตาสูง เน้นความสำคัญทางวัตถุ เห็นอะไรก็อยากได้อยากเอา ถึงแม้จะมีการรวมกลุ่มก็เป็นเพียงเพื่อหาผลประโยชน์ร่วมกัน และมีการขัดแย้งกันจนเป็นปรปักษ์ (faction) และไม่เห็นความสำคัญระหว่างคนกับคน และไม่เห็นคนกับธรรมชาติ เพราะมุ่งหน้าทำลายสภาพแวดล้อมแต่เพียงอย่างเดียว และไม่เห็นคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติในทางที่ดีงาม เช่น การยึดมั่นและสยบในอำนาจความเชื่อทางพระศาสนา อันเป็นสถาบันที่จรรโลงมนุษยธรรม ศีลธรรมและจริยธรรม นอกจากการพึ่งแต่เพียงความเชื่อทางไสยศาสตร์ เพื่อเอาตัวรอดแต่เพียงอย่างเดียว สังคมอุตสาหกรรมที่เป็นอยู่ในขณะนี้คือ สังคมไร้ราก ไร้แผ่นดินเกิด กำลังอบรมสั่งสอนให้คนรุ่นใหม่ที่เป็นเยาวชนถูกครอบงำไปด้วย ไม่ว่าการศึกษาตั้งแต่เด็กชั้นประถมถึงมัธยม และขั้นอุดมศึกษาตามมหาวิทยาลัยก็กำลังผลิตคนรุ่นใหม่ที่ไร้พรมแดนและไร้รากเช่นนี้ เพราะฉะนั้นการอยู่รอดของสังคมมนุษย์ในประเทศไทยจึงหลีกเลียงไม่ได้ที่จะต้องหันกลับไปทบทวนพื้นฐานความเป็นมนุษย์ในสังคมที่มีมาในอดีตก่อน [Go back to the basic] นั่นคือหันกลับไปทบทวนสังคมชาวนาและชีวิตวัฒนธรรมของผู้คนในชุมชนว่าเคยมีความราบรื่นและมีดุลยภาพในการต่อรองกับอำนาจทางเศรษฐกิจ การเมืองที่มาจากภายนอกอย่างไร ชุมชนที่ว่านั้นคือชุมชน บ้านและเมือง ซึ่งตั้งขึ้นโดยคนในสังคมท้องถิ่น เป็นพื้นที่ทางวัฒนธรรม ไม่ใช่พื้นที่การบริหารที่กำหนดโดยรัฐในรูปแบบหมู่บ้าน ตำบลและอำเภอ ชุมชนบ้านจะต้องมีองค์กรชุมชนที่คนในจัดตั้งขึ้นประกอบด้วยบุคคลอาวุโสที่มีความรู้ มีคุณธรรมเห็นโลกมามาก ผู้นำทางศาสนา เช่นพระเจ้าอาวาส บุคคลที่เป็นผู้ใหญ่บ้านที่ชาวบ้านเลือกกันเองโดยอาศัยพื้นฐานของการเป็นคนภายในที่มีความประพฤติและมาจากครอบครัวหรือตระกูลที่คนยอมรับ รวมทั้งบุคคลที่ดีมีความเสียสละ มีพฤติกรรมที่เห็นได้ เช่น ครู และคนที่มีความสามารถในกิจกรรมต่างๆ มาเป็นกรรมการชุมชน องค์กรดังกล่าวนี้ในสังคมมุสลิมเรียกว่า สุเหร่า มีสถานที่พบปะประชุมกันที่มัสยิด ในขณะที่องค์กรของชุมชนทางพุทธประชุมกันที่วัด เช่นที่ศาลาการเปรียญ เป็นต้น หลายบ้านกลายเป็นเมือง เพราะต้องอยู่ในภูมินิเวศและนิเวศวัฒนธรรมเดียวกัน การจัดการเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างราบรื่นก็จะมีสภาผู้อาวุโส อันประกอบด้วยผู้อาวุโสของแต่ละบ้านมาพบปะหารือกันในเรื่องการใช้ทรัพยากรร่วมกัน การจัดการกิจกรรมสาธารณะ การป้องกันอุทกภัย พายุ อัคคีภัย โรคระบาดรวมไปถึงความขัดแย้งพิพาทระหว่างกัน สภาอาวุโสดังกล่าวนี้ในสังคมมุสลิมเรียกสภาซูรอ เป็นสิ่งที่ชาวบ้านชาวเมืองให้ความเคารพและแลเห็นคุณค่า ทั้งองค์กรชุมชนบ้านและสภาผู้อาวุโสของเมืองดังกล่าวนี้คือกลุ่มประชาสังคม อันเป็นพลังในการจัดการชีวิตความเป็นอยู่ร่วมกันของคนในสังคมเกษตรกรรม กลุ่มพลังดังกล่าวนี้จะต้องได้รับการฟื้นฟูจนมีการยอมรับ [Institutionalization] ให้เป็นสถาบันที่มีอำนาจแทรกแรง [Sanction] ในการต่อรองจากอำนาจทางเศรษฐกิจการเมืองที่มาจากรัฐและจากทุนเหนือรัฐ องค์กรประชาสังคมทั้งบ้านและเมืองดังกล่าวนี้ คือพื้นฐานของการสร้างขึ้นโดยประชาชนภายในชุมชนเพื่อการอยู่รอดร่วมกันอย่างเสมอภาคที่มีการจัดการการเลือกตั้งโดยคนภายในร่วมกัน นับเป็นองค์กรแบบประชาธิปไตยโดยธรรมชาติ ข้าพเจ้าสังเกตว่าในการประชุมหารือกันในเรื่องการกระจายอำนาจจากศูนย์กลางมายังท้องถิ่นนั้น ดูเหมือนจะไม่เห็นและไม่ยอมรับในองค์กรประชาสังคมที่ว่านี้ แต่มักจะมองว่าเป็นสิ่งเบ็ดเสร็จที่มีอยู่ใน อบต. และ อบจ. หมดแล้ว เพราะคิดว่าบุคคลที่เข้ามาปฏิบัติการใน อปท. นั้น คือบุคคลที่คนในชุมชนเลือกเข้ามาเป็นกรรมการก็พอแล้ว ปัญหาจึงมีอยู่ว่าถ้าคนที่เลือกเข้ามา เป็นคนไม่ดีได้รับเลือกมาจากการหาเสียงจากสมัครพรรคพวกที่มีอิทธิพลหรือการซื้อเสียงก็จะได้คนที่ทุจริตเข้ามาทำงาน และเบียดเบียนประชาชนอย่างที่แลเห็นอยู่ใน อบต. หรือในคณะกรรมการตำบลที่มีกำนันเป็นผู้มีอำนาจอย่างในขณะนี้ แล้วใครหรือองค์กรใด ๆ ในภาคสังคมจะควบคุมและต่อรองกับ อบต. หรือกำนันในขณะนี้เล่า เพราะแม้แต่อำนาจรัฐที่มาจากส่วนกลางก็ไม่อาจจะจัดการได้ อันเนื่องมาจากคนที่เป็น อบต. และกำนันผู้ใหญ่บ้าน ล้วนเป็นฐานเสียงสำคัญของนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยสามานย์ของทุกวันนี้ องค์กรบ้านและเมืองอันเป็นพลังของภาคประชาชนหรือภาคสังคม มักถูกมองข้ามไปจากบรรดานักวิชาการและนักการเมืองที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่ได้รับการอบรมมาจากทางตะวันตก โดยเฉพาะจากอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส คนเหล่านี้เห็นว่าเป็นสิ่งล้าหลังหมดยุคไปแล้ว มักเป็นการปฏิเสธที่ควบคู่ไปกับการไม่ยอมรับเศรษฐกิจเพียงพอของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทีเดียว แต่คนเหล่านี้ก็ไม่เคยสนใจว่า คนในท้องถิ่นอีกหลายแห่งที่หันมาทบทวนและทำการเคลื่อนไหว อย่างเช่นชุมชนท้องถิ่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จัดการให้มีเบี้ยกุดชุมขึ้นมาใช้ในการจัดการเศรษฐกิจภายในของตนเอง จนเจ้าหน้าที่ของรัฐและนักวิชาการแบบตะวันตกมีการวิพากษ์วิจารณ์ไปในทำนองไม่ดี ในทุกวันนี้ องค์กรบ้านและเมืองอันเป็นการจัดตั้งขึ้นโดยคนในท้องถิ่นจะยังไม่เป็นที่ตระหนักของคนในชุมชน อันเนื่องมาจากการครอบงำของความคิดที่ว่า ชุมชนคือหมู่บ้าน ตำบลและอำเภอก็ตาม แต่ก็มีการเคลื่อนไหวจากกลุ่มคนผู้รู้ในภาคประชาชน หรือภาคสังคมอีกมากมาย เช่นกลุ่มของ NGO และบรรดามูลนิธิต่าง ๆ ทั้งจากภายในประเทศและนอกประเทศ ก็ได้ทำให้เกิดการตื่นตัวขึ้นของคนในชุมชนในหลาย ๆ ท้องถิ่นเกือบแทบทุกภูมิภาค ส่วนมากก็เป็นชุมชนที่มีรากเหง้ามาแต่เดิม ที่ยังแลเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนในสังคม คนกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติในทางศาสนาและพิธีกรรม แต่ที่สำคัญยังสืบเนื่องทางภูมิปัญญาท้องถิ่นที่คนรุ่นใหม่ ๆ ยังรับรู้และเห็นคุณค่า การเคลื่อนไหวและตื่นตัวของคนในท้องถิ่นที่ว่านี้ คนระดับขุนที่เป็นฝ่ายปกครอง ฝ่ายบริหาร นักวิชาการและนักธุรกิจมักมองข้ามไปว่าล้าหลัง ด้อยพัฒนา แต่มองออกไปในระดับข้ามชาติ สนับสนุนให้คนจากภายนอกเข้ามาลงทุนมาตั้งหลักแหล่งอันเป็นการนำคนจากภายนอกทั้งระดับชนชั้นกลางและระดับแรงงานเข้ามา ทำให้การเพิ่มประชากรในประเทศหาได้มาจากการเกิดไม่ หากเป็นการโยกย้ายถิ่นฐานจากภายนอกเข้ามา ซึ่งมีมานานไม่ต่ำกว่า ๒๐ ปีที่ผ่านมา จนทำให้ประชากรรุ่นใหม่ เด็กรุ่นใหม่ไม่ได้เรียนรู้หรือรับรู้ความเป็นมาของบ้านเมืองแต่อย่างใด ขาดความรู้ทางสังคมและวัฒนธรรม มุ่งแต่เรียนรู้สิ่งที่ห่างตัวในทางเศรษฐกิจ การเมือง จนมีสำนึกเป็นปัจเจกเดรัจฉาน ผิดแผกความเป็นมนุษย์ไป ความจำเป็นอย่างยิ่งยวดในทุกวันนี้ก็คือ ทำอย่างไรจะฟื้นความเป็นมนุษย์ที่เคยอยู่ร่วมกันในชุมชนแบบบ้านและเมืองที่เคยมีกลับมา โดยไม่จำเป็นต้องถอยหลังเข้าคลองเป็นแบบเดิมแบบเก่า แต่เป็นแบบใหม่ที่ยังคงความเป็นมนุษย์ในฐานะสัตว์สังคมอยู่ เพราะแม้แต่บรรดาประเทศทางตะวันตกไม่ว่าอเมริกาและอังกฤษก็ยังมีชุมชนท้องถิ่นดังกล่าวนี้อยู่เป็นชุมชนทางวัฒนธรรมที่แลเห็นทั้งในเขตเมืองและชนบท แต่ประเทศไทยมีแต่เพียงชุมชนทางราชการ หรือชุมชนแบบบ้านจัดสรร และคอนโดมิเนียมเท่านั้น จากประสบการณ์ของข้าพเจ้าในการทำงานทางด้านมานุษยวิทยาโบราณคดีและประวัติศาสตร์ท้องถิ่น การฟื้นฟูชุมชนธรรมชาติในท้องถิ่นท่ามกลางความล่มสลายของชุมชน ครอบครัวและสิ่งแวดล้อมในขณะนี้ไม่ยาก เพราะยังมีรากเหง้าของอดีตอยู่ในแทบทุกภูมิภาค แต่ต้องเริ่มต้นด้วยการปลุกสำนึกร่วมของความเป็นคนที่เกิดในท้องถิ่น คือบ้านเกิดเมืองนอนกลับมา โดยใช้การขับเคลื่อนให้มีการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น การจัดการให้มีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นโดยคนในท้องถิ่นเองเพื่อนำไปสู่การถ่ายทอดความรู้และสำนึกร่วมไปยังเด็กที่เป็นเยาวชนรุ่นใหม่ด้วยการทำให้เกิดหลักสูตรขั้นพื้นฐานของท้องถิ่นและการอบรมยุวมัคคุเทศก์ให้กับเยาวชนเพื่อเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นโดยคนท้องถิ่นคือการถ่ายทอดความรู้ทางชีวิตวัฒนธรรม อันเป็นชีวิตร่วมของคนในบ้านเกิดเมืองนอนเดียวกัน จากคนรุ่นเก่า รุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตายายมายังคนขั้นลูกหลานและเหลน เป็นประวัติสังคมที่มีชีวิตที่สร้างให้เกิดสำนึกร่วม จะเป็นสิ่งนำไปสู่การจัดตั้งองค์กรชุมชนที่เป็นพลังของประชาสังคมโดยคนใน ทำให้เกิดการเลือกเฟ้นและเลือกตั้งคนที่ดีมีความรู้และการเสียสละในชุมชนเข้ามาทำงานในองค์กร โดยเฉพาะบุคคลที่ทำหน้าที่ปกครองเป็นผู้ใหญ่บ้าน จะต้องเป็นคนที่สังคมท้องถิ่น รู้จักและแลเห็นคุณสมบัติเหมาะสม ไม่ใช่คนจากที่อื่นที่เข้ามาหาเสียง ซื้อเสียงและผ่านการเลือกตั้งเข้ามาเป็นผู้นำ เพราะถ้าหากไม่ได้คนในที่ดีแล้ว ก็อาจเป็นพิษเป็นภัยได้ เมื่อคนเหล่านี้ถูกคัดเลือกเข้าไปเป็นตัวแทนทำงานในองค์การบริหารท้องถิ่น เป็น อบต. และ อบจ. เป็นต้น การทำให้เกิดองค์กรชุมชนทางวัฒนธรรมดังกล่าวนี้ จะทำให้เกิดกลุ่มพลังจากภายใน อันเนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงจากผลกระทบทางเศรษฐกิจและการเมืองจากภายนอก กลุ่มพลังนี้จะรวมพลังกับกลุ่มประชาสังคมที่เป็นเครือข่าย ร่วมมือและประสานกันกับกลุ่มอื่น ๆ ในท้องถิ่นอื่นกับกลุ่ม NGO และบรรดามูลนิธิต่าง ๆ เพื่อให้เกิดอำนาจต่อรองกับฝ่ายบริหาร ไม่ว่าจะเป็น อปท. หรือจากรัฐ หรือจากทุนขนาดใหญ่ เพื่อความอยู่รอดของผู้คนในแต่ละท้องถิ่น อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • การขาดสติทางวัฒนธรรม (culture shock) ในสังคมไทยหลังน้ำท่วมใหญ่

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ต.ค. 2554 ในฐานะนักมานุษยวิทยาสังคม (social anthropologist) ข้าพเจ้าคิดว่าเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในประเทศครั้งนี้ เกิดภาวะหนึ่งที่ทำให้ผู้คนในสังคมเป็นจำนวนมากแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เกิดภาวะสติแตกที่นักมานุษยวิทยาเรียกว่า การขาดสติทางวัฒนธรรม (culture shock) ขึ้น โดยเฉพาะคนกลุ่มใหม่ ยุคใหม่ของสังคมอุตสาหกรรมที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานบ้านช่องและเข้ามาทำงานในสถานที่ในแหล่งอุตสาหกรรม แหล่งบริการธุรกิจในเขตเมืองและชานเมือง เช่นคนที่มาอยู่ตามคอนโดมีเนียม บ้านจัดสรร และแหล่งนิคมอุตสาหกรรม คนเหล่านี้ถูกครอบงำทางความคิด ค่านิยมและโลกทัศน์แบบตะวันตกที่เป็นวัตถุนิยม ความเป็นปัจเจกเชื่อมั่นในประสิทธิภาพและประสิทธิผลของความรู้ทางเทคนิควิทยาและเทคโนโลยีที่เน้นปัจจุบันและอนาคต แต่ที่สำคัญก็คือถูกอบรมให้อหังการแบบฝรั่งตะวันตกที่เชื่อว่าจักรวาลนี้จะควบคุมได้ด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อันแตกต่างไปจากการมองโลกของคนตะวันออกแต่เดิมที่เห็นว่ามนุษย์ต้องอยู่อย่างสยบและกลมกลืนกับจักรวาล เพราะไม่มีพลังอำนาจใด ๆ ที่จะต่อต้านและควบคุมจักรวาลได้ กลุ่มเก่าคือคนที่สยบต่อจักรวาล คือบรรดาผู้คนที่อยู่ในท้องถิ่นแต่เดิมที่เป็นสังคมเกษตรกรรม คนเหล่านี้ไม่กลัวน้ำและไม่หนีน้ำ มีการปรับชีวิตและที่อยู่อาศัยให้ไปกับน้ำได้ และเมื่อเกิดอุทกภัยขึ้นในครั้งนี้ก็ไม่ตระหนกตกใจจนขาดสติ ดังเช่นชาวบ้านชาวเมืองในเขตลุ่มน้ำนครชัยศรีหลายท้องถิ่นที่บอกว่า น้ำมาแล้วก็ไปตามธรรมชาติ เพราะคนเหล่านี้อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเหล่าทางสังคมไม่แปลกแยกเป็นปัจเจก ช่วยเหลือกันในการจัดการที่อยู่อาศัย เมื่อเกิดน้ำท่วมดูแลความปลอดภัยระหว่างกัน รวมทั้งการจัดหาที่หลบภัยพักพิงชั่วคราวระหว่างกัน หลายคนที่ข้าพเจ้าพูดคุยด้วยเห็นว่าปีต่อๆ ไปน้ำอาจจะมามากกว่านี้และรุนแรงกว่านี้ แต่จะไม่อพยพเคลื่อนย้ายไปไหน แต่จะปรับโครงสร้างท้องถิ่นที่อยู่อาศัยให้ไม่กีดขวางทางน้ำ มีการสร้างบ้านเรือนให้สูงขึ้น ต่อเรือและสร้างแพขึ้นเพื่อการคมนาคมและเป็นที่อยู่อาศัยชั่วคราว รวมทั้งพัฒนาการเพาะปลูกพืชพันธุ์ต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับนิเวศลุ่มน้ำลำคลองขึ้นมาใหม่ โดยไม่ต้องพึ่งพิงอาหารอุตสาหกรรมประเภทแดกด่วนหรือสะดวกแดกที่แปะเปื้อนด้วยมลพิษและสารก่อมะเร็ง ชาวบ้านรุ่นใหม่หลายคนคิดไหมว่า การใช้พื้นที่ริมลำน้ำหรือหนองน้ำตามหน้าวัดให้เป็นเขตอภัยทานเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาธรรมชาติแทนกระชังของพวกนายทุนที่เลี้ยงปลาด้วยอาหารเคมี และสร้างมลภาวะให้กับพื้นน้ำธรรมชาติ เมื่อปลาโตแพร่พันธุ์และออกไปจากเขตอนุรักษ์ ชาวบ้านก็จะได้จับไปกินไปขายได้ ข้าพเจ้าแลเห็นสติปัญญาบังเกิดขึ้นกับผู้ประสบอุทกภัยที่มีรากเหง้ารู้จักอดีตและรู้จักตนเองเหล่านี้ ทำนองตรงข้ามบรรดากลุ่มคนที่ถูกครอบงำด้วยความเป็นอยู่สมัยใหม่ในสังคมอุตสาหกรรมที่คิดว่าจะควบคุมจักรวาลด้วยเทคโนโลยีกลายเป็นคนสติแตกจากอุทกภัยครั้งนี้ เพราะเวลาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่มีเทคโนโลยีอันใดที่จะต่อต้านพลังน้ำที่ท่วมบ่ามาอย่างมหาศาลได้ คนเหล่านี้มักเป็นคนที่ลืมอดีตไม่สนใจอดีต โดยเฉพาะพวกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานตามแหล่งอุตสาหกรรมและในเมืองสมัยใหม่เหล่านี้ มักเคลื่อนย้ายมาจากท้องถิ่นต่าง ๆ แบบร้อยพ่อพันแม่ ไม่ใส่ใจและสนใจที่จะรู้ภูมิหลังของถิ่นฐานใหม่นี้อย่างไร อีกทั้งอยู่กันอย่างเป็นปัจเจกไม่เป็นกลุ่มเหล่าทางสังคม (social groups) เป็นชุมชนท้องถิ่นแต่อย่างใด ภาวะดังกล่าวแลเห็นได้จากเมื่อภัยพิบัติมาถึงก็รอแต่พึ่งรัฐและส่วนกลาง หรือไม่ก็หลบหนีเอาตัวรอด เกิดขโมยขโจรลักทรัพย์สิน สร้างความเสียหาย เกิดความอดอยากและถูกทอดทิ้ง ที่น่าสังเวชก็คือบรรดาคนมีเงินมีทองที่อยู่ตามบ้านจัดสรรราคานับหลายล้านและรถราพาหนะล้วนราคาแพงจมน้ำเสียหายหมด หลายแห่งมีการรวมกลุ่มกันป้องกันน้ำไม่ให้เข้าแหล่งที่อยู่อาศัยของตน เลยทำให้น้ำไปท่วมบ้านคนอื่นก็เกิดทะเลาะวิวาทกัน เกิดมีกลุ่มปรปักษ์ (factions) ขึ้นมากมาย เลยไม่เกิดสำนึกร่วมที่จะรวมพลังกันป้องกันน้ำเพื่อส่วนรวมของท้องถิ่น ปรกกฎการณ์เช่นนี้เป็นสิ่งแสดงให้เห็นว่าผู้คนในสังคมอุตสาหกรรมเหล่านี้ต่างคนต่างอยู่กันอย่างไม่มีความเป็นชุมชน (------) เพราะไม่มีโครงสร้างสังคมและสำนึกร่วมแต่อย่างใด การที่จะคิดทำอะไรเพื่อช่วยตัวเองและพึ่งพิงกันก็ไม่มี รอแต่ความช่วยเหลือจากทางรัฐและภายนอกแต่อย่างเดียว คนเหล่านี้คือผู้ขาดสติทางวัฒนธรรมที่คิดว่าน้ำท่วมครั้งนี้เกิดความเสียหายจนอยู่ไมได้แล้ว และอยากที่จะทิ้งถิ่นย้ายไปอยู่ที่อื่น ดังเช่นในช่วงเวลาวิกฤติพากันหนีน้ำไปเช่าคอนโด หรือโรงแรมตามแหล่งท่องเที่ยวที่คนรู้จัก เช่นที่ปากช่อง หัวหิน ชะอำ พัทยากันอย่างมากมาย บางคนก็พากันไปหาที่ซื้อที่กันตามจังหวัดต่าง ๆ โดยเฉพาะทางภาคเหนือ เป็นต้น ดูเหมือนว่าความตระหนกแตกตื่นดังกล่าวนี้เข้าทางบรรดานักธุรกิจการเมืองที่มีสิทธิเสียงและอำนาจอยู่ในรัฐบาลที่ไปเที่ยวกว้านซื้อที่ในต่างจังหวัดไว้เก็งกำไร แล้วสร้างกระแสความคิดในการย้ายเมืองหลวงขึ้น เพราะเห็นว่ากรุงเทพฯ อยู่ไม่ได้แล้ว โดยเสนอให้ย้ายไปอยู่ที่นครนายกแทน เรื่องความคิดที่จะย้ายกรุงเทพฯ ไปอยู่ที่อื่นนั้น เคยมีมาแล้วครั้งหนึ่งราว ๑๕-๑๖ ปีมานี้ ที่มีพวกนักวิชาการ นักการเมือง นักธุรกิจเห็นว่ากรุงเทพฯ เป็นมหานครที่แออัด จราจรติดขัด เกิดมลภาวะทั้งอากาศและขยะจนเกินแก้ ควรปล่อยให้น่าไปเองโดยการย้ายไปตั้งหลักแหล่งเมืองใหม่ในที่อื่น แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะกรุงเทพฯ ก็ยังเป็นเมืองที่แออัดและยิ่งเน่าเสียกว่าแต่เดิม และกลายเป็นแหล่งสะสมของคนร้อยพ่อพันแม่ในสังคมเมืองแบบอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น คอนโดมีเนียม บ้านจัดสรร ศูนย์การค้าแหล่งเริงรมย์ขึ้นมากมาย คนเพิ่มขึ้นกว่าแต่เดิมหลายเท่า เกิดโครงสร้างทางการคมนาคมเพิ่มขึ้น เช่น ทางยกระดับ รถไฟฟ้า รถใต้ดิน ถนนหนทางที่เบื้องหลังคือโครงการที่เกิดจากคอรัปชั่นของนักการเมืองที่มีอำนาจในรัฐบาลทั้งสิ้น ในทัศนะของข้าพเจ้า กรุงเทพฯ ได้เปลี่ยนจากกรุงเทพมหานครมาเป็นกรุงเทพมหานรกแทน เป็นเมืองที่ห่อหุ้มไปด้วยป่าคอนกรีต อันเป็นที่อยู่ของพวกอนารยชนเมืองที่ไม่มีศีลธรรมและจริยธรรม (Urban barbarian) ความเป็นเมืองของกรุงเทพฯ ในสังคมอุตสาหกรรมนั้น แตกต่างอย่างสิ้นเชิงไปจากกรุงเทพฯ ในอดีตที่คนตะวันตกเรียกว่าเมืองลอยน้ำ และเวนิสตะวันออก เพราะไม่ได้เป็นเมืองที่อยู่กับน้ำอีกต่อไป เกิดถนนหนทางขึ้นมากมาย ถมคูคลอง ลำน้ำ ลำราง ที่เคยมีความหมายในการคมนาคม การระบายน้ำและชักน้ำเพื่อเอาพื้นที่สร้างถนน สร้างแหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งเศรษฐกิจ แหล่งอุตสาหกรรมกันไปแทนทุกแห่งอย่างไม่มีระเบียบ และไม่มีแบบแผนและโซนนิ่ง ความต่างกันระหว่างกรุงเทพฯ ครั้งยังเป็นเวนิสตะวันออกที่เป็นศูนย์กลางของสังคมเกษตรกรรมนั้น แลเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติ และคนกรับสิ่งเหนือธรรมชาติในการจัดพื้นที่อยู่อาศัยและทำกิน ความเป็นเมืองคลุมทั้งสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาคือทั้งฝั่งธนบุรีและกรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ทางสังคม เศรษฐกิจที่ไม่มีทางแยกกันเป็นสองเมือง แต่เวลาเรียนประวัติศาสตร์คนรับรู้แต่เพียงว่ากรุงเทพฯ ธนบุรีเป็นคนละเมืองกัน เพราะไปพิจารณาจากพื้นที่ทางการบริหารและปกครอง ดังเช่นสมัยรัชกาลที่ ๑ ทรงย้ายเมืองหลวงมาตั้งที่กรุงเทพฯ เป็นต้น แต่ความเป็นจริงเพียงย้ายศูนย์อำนาจในการปกครองมาอยู่ทางฝั่งกรุงเทพฯ เท่านั้น คือการย้ายพระราชวังจากเมืองธนบุรีมาสร้างพระบรมมหาราชวังเท่านั้น พร้อมทั้งขุดคูพระนครสร้างกำแพงเมืองขึ้นมาเพื่อเป้องกันข้าศึกศัตรู และการจัดการน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วมและเพื่อการคมนาคมเป็นสำคัญ อีกทั้งเป็นฐานในการขยายเขตบ้านเมืองที่เป็นพื้นที่ทางสังคม – เศรษฐกิจมาทางฝั่งตะวันตกที่เป็นทีลุ่มต่ำกว่าทางฝั่งธน การสร้างกรุงเทพฯ ขึ้นมาในระยะแรกของรัชกาลที่ ๑ มาจนถึงรัชกาลที่ ๔ การคมนาคมก็ยังคงใช้เส้นทางน้ำที่เป็นแม่น้ำลำคลองอยู่ ยกตัวอย่างเช่นการขยายคูเมืองจากคลองโอ่งอ่างออกไปเป็นคลองผดุงกรุงเกษม การขุดคลองมหาสวัสดิ์ คลองภาษีเจริญเชื่อมการคมนาคมขนส่งระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำท่าจีน ประชาชนส่วนใหญ่ล้วนแต่ตั้งถิ่นฐานอยู่ริมลำน้ำทั้งสองฝั่งน้ำแทบทั้งสิ้น ดังมีรายงานของฝรั่งว่า สมัยรัชกาลที่ ๔ เมืองไทยมีประชากรรวมสี่ล้านหกแสนคน ล้วนอยู่ริมแม่น้ำลำคลอง โดยเฉพาะคนเมืองทางฝั่งธนบุรีส่วนมากเป็นชาวสวนผลไม้ และตั้งบ้านเรือนอยู่ตามลำคลองลำน้ำแทบทั้งสิ้น บ้านเมืองหนาแน่นอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนฝั่งตะวันออกเป็นที่ลุ่มต่ำเป็นป่าชายเลน และเป็นท้องทุ่งที่น้ำท่วมถึง มีการขุดคลองเพื่อขยายที่อยู่อาศัยและขุดคลองคมนาคมไปเชื่อมกับแม่น้ำบางปะกงก็เพียงคลองสำโรงที่มีมาแต่สมัยอยุธยาตอนต้นเท่านั้น เพราะคลองส่วนใหญ่มักเป็นคลองเพื่อขยายแหล่งที่อยู่อาศัย ขุดแยกจากแม่น้ำใหญ่ไปลงทุ่งทางตะวันออก ซึ่งคลองเหล่านี้ยังมีหน้าที่ระบายน้ำที่ไหลลงจากทางเหนือที่มาตามลำน้ำเจ้าพระยาเพื่อไปออกทะเลตั้งแต่เขตอำเภอบางพลีจนถึงอำเภอบางปะกง อาณาบริเวณดังกล่าวมีรอยลำรางทั้งเก่าและใหม่ที่รับน้ำมาออกทะเลมากมาย โดยเฉพาะคลองบางเหี้ย คลองเทิน เป็นต้น สมัยรัชกาลที่ ๕ ลงมานั้น อยากเรียกว่าเป็นกรุงเทพฯใหม่ หรือสยามใหม่ เพราะมีการสร้างถนนหนทางและตั้งหลักแหล่งชุมชนเป็นแบบทางตะวันตกเป็นส่วนมาก ซึ่งพิจารณาจากรูปแบบของสถาปัตยกรรมที่เป็นพระราชวัง วังเจ้านาย คฤหาสน์ของขุนนางคหบดี สถานที่ราชการ ร้านค้าและบ้านเรือที่อยู่อาศัยเป็นยุคที่ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมตะวันตกในยุคอาณานิคมแทบทั้งสิ้น ความเป็นคนกรุงหรือคนกรุงเทพฯที่มีตัวตนที่เหลื่อมล้ำกับคนจากเมืองอื่นเกิดขึ้นแต่ยุคนี้ สังคมไทยสมัยรัชกาลที่ ๕ แม้ว่ายังมีสภาพเป็นสังคมเกษตรกรรมก็ตาม แต่หาได้เป็นเกษตรกรรมแบบกสิกร (Farmer) บนฐานเดิมของสังคมเกษตรกรรมแบบชาวนา (peasant society) ที่มีมาแต่สมัยอยุธยาหรือก่อนหน้านั้น ลักษณะของการเป็นสังคมเกษตรกรรมกสิกร (farmer) ของสมัยนี้ก็คือ คนมีกรรมสิทธิ์ที่ดิน เกิดคนชั้นกลางและการปลูกข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจ (cash crops) ทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของภูมิวัฒนธรรมให้เกิดเป็นแบบใหม่ขึ้น ซึ่งเห็นได้จากการเปลี่ยนป่าให้เป็นนา ปรับที่สูงต่ำให้เป็นท้องนา ทุ่งนา เพื่อปลูกข้าวและมีการขุดคลองชลประทานขึ้น ซึ่งหมายถึงการขุดคลองเพื่อการเกษตรนั่นเอง เพราะการขุดคลองแต่ก่อน ๆ นั้นเป็นเพียงการคมนาคมล้วนๆ การปลูกข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจเพื่อการส่งออกแพร่หลายไปตามที่ราบลุ่มทั่วประเทศ และภูมิวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไปก็แลเห็นจากการกระจายของชุมชนหมู่บ้านแบบชาวนา (บ้านและวัดเป็นอันหนึ่งเดียวกัน) ออกจากริมน้ำลำคลองไปกลางทุ่ง ชายทุ่งชายดงมากมาย ทุ่งนาเพื่อปลูกข้าวมีการทดน้ำระบายน้ำมีทั้งนาหว่านและนาดำ และสัญลักษณ์ที่แปลกใหม่ในทางภูมิวัฒนธรรมก็คือโรงสีข้าวที่มีปล่องโรงสีสี่เหลี่ยมก่อด้วยอิฐแลเห็นแต่ไกล โรงสีข้าวเป็นนิวาสสถานของคนชั้นกลาง ที่ส่วนใหญ่เป็นคนจีนหรือเชื้อสายคนจีนที่รับซื้อข้าว สีข้าวและจำนำข้าว คนจีนกลายเป็นนายทุนและเจ้าของที่ดินในสมัยต่อ ๆ มาหลาย ๆ แห่งกลายเป็นย่านตลาดและศูนย์กลางของตำบลและอำเภอ สมัยรัชกาลที่ ๕ แหล่งปลูกข้าวขยายตัวทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่อยุธยาลงมาถึงกรุงเทพฯ โดยเฉพาะตั้งแต่เชียงรากน้อยในเขตจังหวัดปทุมธานีลงมา มีการขุดคลองเชื่อมระหว่างแม่น้ำท่าจีนกับแม่น้ำเจ้าพระยาทางตะวันตก และระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยากับบางปะกงเพิ่มขึ้น คลองเหล่านี้เป็นคลองแนวนอนที่ใช้ในการคมนาคมด้วย แต่ขณะเดียวกันก็มีคลองในแนวตั้งเหนือลงใต้ตัดผ่านมากมาย เพื่อการกระจายน้ำกระจายแหล่งที่อยู่อาศัยทำกินและระบายน้ำลงสู่ทะเล ความต่างกันระหว่างการขุดคลองชลประทานและการคมนาคมระหว่างซีกตะวันตกกับซีกตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาก็คือ ทางซีกตะวันออกมีโอกาสขยายตัวได้มากกว่า เพราะเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำมีแหล่งชุมชนน้อยไม่หนาแน่น คลองเดิมก่อนสมัยรัชกาลที่ ๕ นั้น ที่สำคัญก็คือคลองรังสิต และคลองแสนแสบขุดแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ เพื่อเชื่อมต่อกับลำน้ำนครนายก คลองรังสิตมีความสำคัญในทางยุทธศาสตร์ในการรบกับเขมรและญวน ในขณะที่คลองแสนแสบที่เริ่มตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ มาจนถึงรัชกาลที่ ๓ และรัชกาลที่ ๔ นั้น นอกจากเพื่อการคมนาคมแล้ว ยังเป็นการกระจายการตั้งหลักแหล่งของผู้คนที่มีทั้งกวาดต้อนเข้ามา หรือเคลื่อนย้ายมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์และต่างศาสนา เช่นคนมุสลิมจากทางใต้และกลุ่มจามมุสลิมที่เรียกว่าแขกครัว เป็นต้น ครั้งรัชกาลที่ ๕ มีการเพิ่มเติมคลองเหล่านี้ทั้งเพื่อการเกษตรและการคมนาคม เช่นการขุดคลองระพีพัฒน์ทั้งตะวันตกและใต้ คลองนครเที่ยงเขตคลองประเวศบุรีรมย์และคลองในแนวตั้งอีกมากมาย แต่พื้นที่ซึ่งโดดเด่นเป็นที่รู้จักกันทั่วไปก็คือ ทุ่งรังสิตเป็นพื้นที่ชลประทานที่ทางรัฐให้กรรมสิทธิ์ที่ดินตอบแทนแก่บรรดาขุนนางเจ้านายและคหบดีที่รับอาสาขุดคลองเพื่อการชลประทาน สิ่งที่มาพร้อมกับโครงการชลประทานสมัยรัชกาลที่ ๕ ก็คือ การสร้างประตูน้ำปิดเปิดเพื่อการระบายน้ำเพื่อการทดน้ำในการปลูกข้าว การขุดคลองชลประทานและการสร้างประตูระบายน้ำทดน้ำแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ดังกล่าวนี้ต้องถือได้ว่าเป็นโครงการที่เรียกว่า ชลประทานหลวง อย่างแท้จริง และแต่เดิมการชลประทานเพื่อการเกษตรในแทบทุกหนแห่งในเมืองไทย ล้วนเป็นชลประทานราษฎร์ทั้งสิ้น ดังเช่นการทำเหมืองฝายในภาคเหนือเป็นต้น ถึงแม้ว่าสังคมและบ้านเมืองในสมัยรัชกาลที่ ๕ การเมืองการปกครองและเศรษฐกิจจะเปลี่ยนแปลงไปแล้วก็ตาม แต่ในส่วนสังคมความเป็นมนุษย์ที่ต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเหล่าเป็นชุมชนท้องถิ่นที่มีความหลากหลายทางชีวิตวัฒนธรรมก็ยังคงดำรงอยู่ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนที่เห็นได้จากโครงสร้างสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติที่เห็นได้จากนิเวศวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่น และความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ อันเห็นได้จากการดำรงอยู่ของวัดวาอาราม และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนมาประกอบพิธีกรรมร่วมกันจนเกิดสำนึกร่วมในหลาย ๆ อย่างที่เป็นอัตลักษณ์ทางสังคมและวัฒนธรรม คนในชนบทมีชีวิตวัฒนธรรมร่วมกันในชุมชนบ้านและเมืองแต่ละถิ่น ในขณะที่ในสังคมเมืองผู้คนหลายชาติพันธุ์หลายศาสนาและอาชีพอยู่ร่วมกันในพื้นที่วัฒนธรรมที่เรียกว่า ย่าน คนในย่านแต่ละย่านรู้จักกันหมดว่าใครเป็นใคร ใครเป็นคนนอกและคนใน มีกลไกต่าง ๆ ในการสร้างความเกาะเกี่ยวทางสังคมที่จะนำไปสู่ความเป็นปึกแผ่นทางสังคมของแต่ละบ้านร่วมกัน ดูแลกันพึ่งพิงกันโดยที่รัฐไม่จำเป็นต้องเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างใด แต่สังคมในปัจจุบันที่เปลี่ยนเข้าสู่การเป็นอุตสาหกรรมอย่างสุดโต่งในทุกวันนี้ การอยู่รวมกันของผู้คนในท้องถิ่นหนึ่ง ไม่มีชุมชนเพราะไม่มีโครงสร้างสังคมที่ทำให้เกิดคนในขึ้นมาได้ เพราะต่างคนต่างอยู่ดูแลรับผิดชอบตัวเอง แทบจะไม่ได้มีการพึ่งพิงกันแม้แต่น้อย ความเป็นบ้านเป็นเมืองอย่างแต่ก่อนหมดไป มีแต่หมู่บ้านที่เกิดจากการบริหารของรัฐหลากหลายภายใต้การปกครองของผู้ใหญ่บ้าน กำนันและ อ.บ.ต. ล้วนในสังคมเมืองนั้นความเป็นย่านกำลังหมดไปมีแต่เขตการปกครองของ อ.บ.ท.เช่นในกรุงเทพมหานครก็เป็นเขตของก,ท,ม.ไป เป็นต้น การปราศจากความเป็นชุมชนและคนในทั้งในพื้นที่ชนบทและพื้นที่เมืองตามที่กล่าวมานี้ ได้ทำให้ผู้คนในแทบทุกท้องถิ่นมีชีวิตความเป็นอยู่แบบนั่งรอมือ รอตีนให้คนนอกโดยเฉพาะทางรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐมาจัดการให้แต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งก็เห็นเป็นประจักษ์จากเหตุน้ำท่วมในครั้งนี้ แม้ว่าจะประสบความลำบากยากแค้นอย่างที่แลเห็นอยู่ในขณะนี้ก็ยังมีคนเป็นจำนวนมากที่ไม่คิดทำอะไรในการรวมกลุ่มกัน พึ่งพิงกันและช่วยตัวเองก่อนที่จะให้คนนอกเช่นทางรัฐมาช่วย ซึ่งยิ่งเข้ามาช่วยก็ยิ่งทำให้ไปกันใหญ่ ดังเห็นได้จากการดำเนินงานป้องกันน้ำท่วมครั้งนี้ของทางรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งความช่วยเหลือต่าง ๆ จากต่างประเทศที่มุ่งแต่จะใช้เพียงเทคโนโลยีและความรู้ทางเทคโนโลยีแต่เดียงอย่างเดียวเพื่อเอาชนะน้ำ แทบไม่นำเอาภูมิปัญญาและความรู้ของท้องถิ่นในอดีตขึ้นมาทบทวนและปรับใช้เป็นการสะท้อนให้เห็นชัดเจนในแนวคิดและวิธีคิดที่จะควบคุมจักรวาลด้วยเทคโนโลยีแบบคนตะวันตก ข้าพเจ้าคิดว่าการดำเนินการของรัฐบาลนี้และรัฐบาลก่อนที่มีมาแต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๐๕ เป็นต้นมา ในการจัดการน้ำและการพัฒนากายภาพของบ้านเมืองและผังเมือง คือจุดเริ่มต้นของการสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้เกิดสังคมอุตสาหกรรมขึ้นแทนที่สังคมเกษตรกรรมที่มีมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ หรือแต่สมัยอยุธยา นับเป็นเวลากึ่งศตวรรษ คือกว่า ๕๐ ปีเข้านี้แล้ว พอที่ทำให้เกิดคนรุ่นใหม่ รุ่นพ่อแม่และลูกที่มีความรู้สำนึกคิดอย่างทางตะวันตกมากมาย ในขณะนี้หลายคนดัดจริตเรียกว่า สยามใหม่ แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นสยามมั่วมากกว่า เหมือนครั้งหนึ่งรัฐบาลก่อนเคยใช้คำว่าคิดใหม่ ทำใหม่ แต่แท้จริงเป็นการคิดใหม่แต่ทำมั่วเช่นกัน เหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯครั้งนี้ทั้งรัฐสยามมั่วกับกลุ่มคนสยามมั่วต่างคิดเหมือนกันในทางเทคโนโลยีเพื่อต่อต้านและควบคุมน้ำหรือธรรมชาติเพียงอย่างเดียว ทั้งรัฐบาลและกรุงเทพมหานครก็ทำเหมือนกัน เน้นการสู้น้ำด้วยการสร้างพนังกั้นน้ำให้สูง เช่น ถึงระดับ ๒.๕๐ เมตรเพื่อพื้นที่ ก.ท.ม. ในขณะที่คนทั่วไปเน้นการใช้กระสอบทรายกั้นน้ำไม่ให้ท่วมบ้านเรือน ร้านค้าและแหล่งกิจกรรมของคน พอระดับน้ำสูงก็ใช้เครื่องสูบน้ำ ปั๊มน้ำสูบไล่น้ำออกไป จากถิ่นหนึ่งแต่ไปท่วมถิ่นหนึ่ง หรือจากบ้านหนึ่งไปท่วมบ้านอื่น เมื่อน้ำมาพบถนนที่มีการสร้างทั้งระดับ high way และ local roads มาแทนที่ลำน้ำลำคลองแต่เดิมก็ปะทะวนเวียนจนเกิดพลังและเมื่อทำลายไม่ได้ ออกไม่ได้ก็เลยกลายเป็นน้ำขังเน่าเกิดโรคระบาดขึ้น รัฐมั่วและสังคมสยามมั่งอันเป็นสังคมอุตสาหกรรมเหล่านี้ก็ยังหาสำนึกในอดีตไม่ หากยังคงขาดสติเดินหน้าแก้ไขตามครรลองที่ทำมา คือตั้งเงินงบประมาณเพื่อแจกประชาชนแบบประชานิยมดังเดิม รวมทั้งสนับสนุนและอุดหนุนในเรื่องการลงทุนทางอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น นั่นก็คือยังคงคิดที่จะทำให้กรุงเทพฯกลายเป็นสังคมอุตสาหกรรมต่อไป ก็ดูน่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลและคนนิยมอุตสาหกรรมต่างโง่อ้างว่าจะแก้ไขเหตุน้ำท่วมตามกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะสิ่งที่อยู่ในพระราชดำริและพระราชดำรัสนั้นมีพื้นฐานมาจากสังคมเกษตรกรรมที่คนต้องอยู่กับน้ำ กับธรรมชาติทั้งสิ้น อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • ผู้มีบารมี – ผู้แพ้บารมี

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2555 ในช่วงเวลา ๖–๗ ปีที่ผ่านมานี้ คนไทยทั่วไปมักได้ยินคำกล่าวที่คุ้นๆในเรื่อง ผู้มีบารมี อันเป็นผลมาจากความขัดแย้งทางการเมือง โดยเฉพาะผู้ที่กำลังสูญเสียอำนาจทางการเมืองของรัฐบาลในสมัยหนึ่ง มักกล่าวหาว่าเหตุที่ตนต้องเดือดร้อนนั้นมีที่มาจากการกระทำของผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ภาพสลักรูปจักรวาทิน [Cakravartin] สันนิษฐานว่าอาจจะเป็นพระเจ้าอโศกมหาราชอายุราวพุทธศตวรรษที่๓ศิลปอมราวดีจากอันทรประเทศปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์กีเมต์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส พระมหากษัตริย์ในคติแบบเถรวาทจะอยู่ในฐานะพระราชาธิราชหรือจักรวาทินซึ่งเป็นผู้จรรโลงธรรมทั้งปวง ข้าพเจ้าคิดว่านี่เป็นเรื่องของ การกล่าวหา [Accusation] เพราะไม่มีหลักฐานข้อเท็จจริงมาพิสูจน์ และที่สำคัญก็คือผู้กล่าวหาไม่กล้าที่จะระบุว่าใครคือผู้มีบารมี เลยทำให้เรื่องบานปลาย มีการตีความไปต่าง ๆ นานาว่าใครคือผู้มีบารมี ข้าพเจ้าเห็นว่าในการรับรู้ของคนไทยส่วนใหญ่นั้น รู้ว่าผู้ที่จะมีบารมีได้ในทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการกล่าวหาดังกล่าวนี้ มีอยู่สองท่านที่โดดเด่น ท่านแรกคือ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ท่านที่สองคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นพระประมุขของประเทศชาติ ผู้กล่าวหาซึ่งข้าพเจ้าขอฟันธงในที่นี้ว่า ผู้แพ้บารมี เพราะเมื่อมีผู้มีบารมีก็ควรมีผู้ไม่มีบารมีเป็นคู่ต่อรองกัน ผู้ไม่มีบารมีคือผู้แพ้ได้กล่าวหาในเชิงกล้า ๆ กลัว ๆ เลยเกิดความคลุมเครือในเรื่องว่าจะเป็นท่านใดแน่ เพราะจะโดนเอาผิดมิได้ แต่ในความคิดของผู้ที่เป็นวิญญูชนแล้วตระหนักว่า ผู้มีบารมีนั้นหมายถึงองค์พระประมุขอย่างไม่ต้องสงสัย แต่สร้างความคลุมเครือให้เห็นว่าเป็นท่านประธานองคมนตรี แล้วเติมให้เต็มไปถึงองคมนตรีทั้งคณะ ซึ่งแต่งตั้งโดยองค์พระประมุข จึงคิดเห็นว่าควรเลิกล้มไม่ให้มีคณะองคมนตรีเสีย เพื่อบ้านเมืองจะได้เป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ การเคลื่อนไหวของผู้แพ้บารมีและบริวารครั้งนี้ ดูเข้าทางบรรดานักวิชาการและนักศึกษาที่เรียกว่า กลุ่มไม่เอาเจ้า ที่มีการเคลื่อนไหวแบบกล้า ๆ กลัว ๆ มานานแล้ว มูลเหตุที่มาก็คือ คนเหล่านี้คือผู้ที่ได้รับทุนรัฐบาลรวมทั้งทุนพระราชทานจากพระมหากษัตริย์ให้ไปศึกษาต่อในต่างประเทศทางตะวันตก โดยเฉพาะจากทางอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส เช่นเดียวกันกับครั้ง ร.๕ ที่ส่งออกไป ได้ถูกวิธีการคิดทางการเมือง เศรษฐกิจแบบประชาธิปไตยจากบ้านเมืองเหล่านั้นมาครอบงำจนมองไม่เห็นอดีตรากเหง้าของบ้านเมือง ความคิดทางการเมืองและเศรษฐกิจแบบตะวันตกของประเทศดังกล่าวนี้คือ เห็นว่าสถาบันกษัตริย์นั้นเป็นสิ่งล้าสมัยไม่ก้าวหน้าและไม่เสมอภาคตามอุดมคติในเรื่องประชาธิปไตยที่ตนได้เล่าเรียนมา กลุ่มนักเรียนนอกที่ถูกส่งไปเรียนตั้งแต่สมัย ร.๗ แต่ก็ยังดำรงสถานภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์ในลักษณะที่เป็นประชาธิปไตยแบบที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ซึ่งตามกฎหมายรัฐธรรมนูญนั้นก็ได้กำหนดให้พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและไม่ทรงมีพระราชอำนาจทางการบริหาร ซึ่งนับว่าเป็นประชาธิปไตยแบบไทย [Localization Democracy] ในเรื่องนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเองก็ทรงปฏิบัติตามและไม่เคยแสดงพระองค์เองว่าอยู่เหนือกฎหมายแต่อย่างใด แต่ความต่างกันระหว่างนักเรียนนอกรุ่นก่อนคือสมัย ร.๕ กับนักเรียนนอกดอกเตอร์ด๊อกตีนในสมัยนี้ก็คือ นักเรียนนอกรุ่นใหม่กลุ่มหนึ่งไม่เอาสถาบันกษัตริย์และการเป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขเป็นกลุ่มที่ไม่ใหญ่โตเท่าใด แต่มีอิทธิพลในเรื่องการถ่ายทอดและส่งต่อความคิดไปให้คนรุ่นเด็ก โดยเฉพาะบรรดานักศึกษาในมหาวิทยาลัยทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เหตุที่คนเหล่านี้มีอิทธิพลทางความคิดก็คือ มักเป็นผู้ที่เป็นอาจารย์ นักเขียน นักคิด ที่มีเครือข่ายสัมพันธ์กับนักวิชาการและนักศึกษาตามมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ ในต่างประเทศ เช่น อังกฤษ อเมริกา และฝรั่งเศส แถมบางคนยังมีอาจารย์ชาวต่างประเทศที่มีชื่อเสียงหลายคนเป็นพ่อทูนหัวสนับสนุนอบรมและเชื่อมโยงในการเป็นเครือข่ายให้ในต่างประเทศ ทำให้บรรดานักวิชาการและนักศึกษากลุ่มไม่เอาเจ้านี้ดูเป็นคนทันสมัยและหัวก้าวหน้า และมีบทบาทในทางสื่อเป็นประจำ ข่าวคราวที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของนักวิชาการกลุ่มไม่เอาเจ้านี้ เห็นจะเป็นกลุ่มนิติราษฎร์ที่ออกมาเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายมาตรา ๑๑๒ อันเป็นกฎหมายที่ควบคุมในเรื่องการหมิ่นพระมหากษัตริย์และสถาบัน โดยมีรายละเอียดหลายประการที่ทำให้สังคมสงสัยเคลือบแคลง คนเหล่านี้อ้างสิทธิความเป็นประชาธิปไตยแบบตะวันตกที่ตนเล่าเรียนมาซึ่งก็ถูกต้องในอุดมคติแบบตะวันตกที่ทำให้ผู้คนเป็นจำนวนมากเห็นคล้อยตามเเล้วเข้าทางของกลุ่มนักการเมืองและบริวารของผู้แพ้บารมี ผลที่ตามมา ถ้าหากสังคมขาดสติก็อาจกลายเป็นเรื่องขัดแย้งใหญ่ที่รุนแรงได้ ถ้าหากคิดไตร่ตรองให้ดีแล้ว พวกนักวิชาการเด็กๆปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเหล่านี้คือ ผู้ที่มีอัตตาแรงและไม่รู้กาลเทศะ แต่กล้าๆกลัวๆ เพราะการเอาสิ่งที่เป็นอุดมคติในเรื่องมาพูดในยามที่มีความขัดแย้งนั้น ก็เท่ากับเป็นการสนับสนุนค้ำจุนกลุ่มคนอีกขั้วหนึ่งที่จะล้มเจ้า แต่เมืองไทยที่ผ่านมาประชาธิปไตยไม่เป็นแบบตะวันตก เพราะถูกปรับเปลี่ยนให้เข้ากันกับสภาพแวดล้อมทางสังคมและวัฒนธรรม เป็นประชาธิปไตยที่เกิดการปรับเปลี่ยนให้เป็นแบบท้องถิ่น [Localization] คือ ประชาธิปไตยแบบที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ข้าพเจ้าสะใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อมีการสนทนาถกกันของนักวิชาการกลุ่มไม่เอาเจ้ากับคนที่เป็นกลางและไม่เห็นด้วยในรายการสถานีโทรทัศน์ช่องไทยพีบีเอส ครั้งหนึ่งที่ว่า กลุ่มตนเองก็เป็นเช่นเดียวกันกับคณะรัฐประหารสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ ที่ยังคงการเป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข แต่กลับไม่ยอมรับว่าการเคลื่อนไหวในการล้ม ก.ม. ๑๑๒ นั้น คือการกระทำเพื่อไม่เอาการเป็นองค์พระประมุขของพระมหากษัตริย์อย่างที่วิญญูชนทั้งหลายเข้าใจกัน ที่น่าสมเพชก็คือต่อหน้าสื่อสาธารณะดูกล้า ๆ กลัว ๆ แต่พอลับหลังในการเสวนาทางวิชาการตามสถาบันการศึกษากลับแสดงความกร่างและโอหังถึงขนาดออกมาจาบจ้วงว่า จะต้องไม่ให้มีการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสในเรื่องเกี่ยวกับความเป็นไปของบ้านเมืองและประชาชนอย่างที่เคยทางปฏิบัติมา โดยภาพรวมที่ข้าพเจ้าเห็นในขณะนี้ก็คือ กลุ่มนักวิชาการวิชาเกินที่ไม่เอาเจ้าเหล่านี้คือผู้ที่กำลังล้มเจ้าเข้าด้วยกับบรรดานักการเมืองผู้พ่ายบารมี เพราะทำหน้าที่เป็นนกต่อสองสถาน สถานแรกเป็นการสนับสนุนและให้แรงใจ [Empowerment] แก่บรรดานักการเมืองว่าดำเนินการถูกต้องตามหลักประชาธิปไตยแบบตะวันตกแล้ว โดยเฉพาะการที่ผ่านการเลือกตั้งที่ได้เสียงจากประชาชนส่วนใหญ่ในสังคม โดยไม่ยอมรับรู้และรับฟังว่าการได้เสียงจากการเลือกตั้งดังกล่าวมาจากการซื้อเสียงขายเสียงเป็นส่วนใหญ่ สถานที่สองนักวิชาการเหล่านี้เป็นพวกคิดอะไรข้ามชาติเป็นพวกนิยมโลกาภิวัตน์ คือคิดอะไรทำอะไรมักคล้อยตามอเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ และประเทศใหญ่ๆ ที่เป็นทุนนิยมที่มุ่งหวังเข้ามาแย่งทรัพยากรในประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทยที่ยังมีทรัพยากรธรรมชาติอยู่มาก ซึ่งนักการเมืองและพรรคการเมืองผู้แพ้บารมีกำลังขายทรัพยากรและประเทศให้กับประเทศนายทุนเหล่านั้น การเคลื่อนไหวในกระบวนการล้มเจ้าของบรรดานักการเมือง นายทุนข้ามชาติ และนักวิชาการข้ามชาติเหล่านี้กำลังใช้สื่อแทบทุกรูปแบบในการที่จะสร้างมวลชนมาสนับสนุนหาความชอบธรรม จึงเกิดการต่อต้านขึ้นโดยผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมที่รักชาติ (แผ่นดินเกิด) และเห็นชอบในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข และเชื่อมั่นในพระบารมีเป็นหลักความมั่นคงทางสังคมของบ้านเมือง พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระมหากษัตริย์แม้ว่าจะไม่มีพระราชอำนาจในการสั่งการบริหารราชการแผ่นดินภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญก็ตาม แต่ยังทรงอำนาจทางบารมีที่เกิดขึ้นจากศรัทธาของประชาชนผู้เห็นว่าพระองค์เป็นผู้มีบุญและเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์อยู่เหนือสภาวะความเป็นบุคคลธรรมดาทั้งหลาย การกระทำใด ๆ ที่เป็นการจาบจ้วงและมุ่งร้ายต่อพระองค์ถือเป็นความชั่วร้ายและอัปมงคลที่นำความวิบัติมาสู่ผู้คนในส่วนรวม โดยเฉพาะคนรุ่นเก่าที่ยังมองว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก ถ้าหากทำร้ายพระมหากษัตริย์ก็เท่ากับเป็นการทำร้ายพระพุทธศาสนา จึงทำให้สถาบันกษัตริย์และสถาบันศาสนาเป็นสิ่งแยกกันไม่ออก และสถาบันทั้งสองนี้ก็แยกกันไม่ออกจากสถาบันชาติ ซึ่งหมายถึงแผ่นดินเกิดที่มักเรียกว่า มาตุภูมิ ปิตุภูมิ ชาติแปลว่าเกิด ที่ทำให้เกิดสำนึกชาติภูมิร่วมกัน หาได้หมายถึงเรื่องชาติพันธุ์ เชื้อชาติ และชาตินิยมอย่างใดไม่ ความรักในแผ่นดินเกิดจนเกิดสำนึกร่วมกันนี้ฝรั่งเรียกว่า Patriotism เป็นสำนึกอย่างหนึ่งในความเป็นมนุษย์ ซึ่งดูตรงข้ามกันกับพฤติกรรมของกลุ่มคนข้ามชาติและขายชาติในกระแสโลกาภิวัตน์ขณะนี้

  • อนิจจาสยามประเทศ : ร่ำรวยวัฒนธรรมเพื่อขาย แต่ล้มละลายในชีวิตวัฒนธรรม

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 เม.ย. 2555 สยามประเทศนี้มีกรรม เพราะคนที่อ้างคนเป็นคนไทยในปัจจุบันได้ขุดค้นและขุดคุ้ยเอาศิลปวัฒนธรรม อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษได้สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อการดำรงชีวิตร่วมกันอย่างมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ มาจัดการและปรุงแต่งเพื่อขายให้มาซึ่งรายได้จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ไม่ให้ความสำคัญแก่คุณค่า แต่มุ่งเพียงมูลค่าอันเป็นที่มาของรายได้แต่เพียงอย่างเดียว ข้าพเจ้ากำหนดเรียกวัฒนธรรมที่สร้างขึ้น และทำให้เกิดมูลค่าเป็นเงินเป็นทองเป็นรายได้ดังกล่าวนี้ว่า ศิลปวัฒนธรรม เพราะเป็นการขายรูปแบบสวยงามเป็นของที่ระลึก [Souvenir] และสามารถแยกส่วนออกจากความสัมพันธ์กับความหมายที่เป็นสัญลักษณ์แต่เดิมได้ แต่เป็นการทำลายคุณค่าและความหมายของสิ่งที่ข้าพเจ้าเรียกว่า ชีวิตวัฒนธรรม ซึ่งมีสภาวะเป็นองค์รวมแยกส่วนไม่ได้ เป็นวัฒนธรรมที่แยกไม่ออกจากสังคม อันหมายถึงกลุ่มคนในพื้นที่ใดที่หนึ่งในช่วงเวลาหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ร่วมกัน เพราะความหมายที่แท้จริงของคำว่าวัฒนธรรมทางมานุษยวิทยาและสังคมวิทยานั้น คือทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ ประเพณีพิธีกรรมและความเชื่อที่คนในกลุ่มสังคมสร้างขึ้นเพื่อมีชีวิตรอดร่วมกัน ดังนั้น วัฒนธรรมแต่ละด้านไม่ว่าเศรษฐกิจ หรือความเชื่อและประเพณีพิธีกรรม เป็นต้น แยกไม่ออกจากความสัมพันธ์ทางสังคมของคนในกลุ่มนั้น ๆ อีกทั้งมีความหมายในการจรรโลงการอยู่ร่วมกันทางสังคม ทำให้เกิดสำนึกร่วมของการเป็นกลุ่มชนเดียวกัน ความเป็นประเทศชาติของสยามนั้นมีวัฒนธรรมสองระดับ ระดับบนหรือระดับชาติ ที่เป็นของส่วนรวม เรียกว่า ประเพณีหลวง [Great tradition] มีหน้าที่บูรณาการ [Integration] ให้ วัฒนธรรมท้องถิ่นในระดับล่าง ซึ่งเรียกว่า ประเพณีราษฎร์ [Little tradition] ที่มีความหลากหลายและแตกต่างกันทางวัฒนธรรม ให้มีสำนึกร่วมเป็นคนในชาติภูมิเดียวกันในนามของ คนไทย หรือ คนสยาม ร่วมกัน วัฒนธรรมหลวงในระดับบนนั้นมักมองไม่เห็นคน หากมีลักษณะที่สร้างขึ้นเป็นสัญลักษณ์ คือแลเห็นเป็นรูปแบบทางศิลปวัฒนธรรมที่สื่อสารให้คนในชาติมีปฏิสัมพันธ์กัน รวมทั้งสื่อให้คนภายนอกได้เห็นอัตลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศชาติ เป็นวัฒนธรรมที่มีรูปแบบที่เห็นได้เป็นรูปธรรมและนามธรรม อย่างเช่นรูปแบบของ พระสุเมรุมาศ ที่ถวายพระเพลิงพระศพเจ้าเมื่อเร็ว ๆ นี้ เห็นเป็นรูปธรรม แต่ประเพณีแนวคิดและขั้นตอนต่างๆ และความหมายเป็นนามธรรมที่พวก UNESCO ดัดจริตเรียกว่า วัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ [Untouchable culture] ส่วนวัฒนธรรมราษฎร์ในระดับล่าง เป็นวัฒนธรรมที่แลเห็นคนที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ศาสนา ที่มาและประวัติศาสตร์ เป็นวัฒนธรรมที่มีพลวัตร คือเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเทศะของคนที่อยู่รวมกันเป็นชุมชนท้องถิ่น วัฒนธรรมราษฎร์ดังกล่าวนี้ ข้าพเจ้าเรียกว่า ชีวิตวัฒนธรรม หรืออีกนัยหนึ่ง สังคมวัฒนธรรม เพราะเป็นวัฒนธรรมที่ผูกติดอยู่กับกลุ่มคนในชุมชนที่สร้างวัฒนธรรมนั้นขึ้นมาเพื่อการอยู่ร่วมกัน และมีชีวิตรอดร่วมกัน ดังนั้นจะเรียกอีกนัยหนึ่งได้ว่า ชีวิตวัฒนธรรมก็คือ วิถีชีวิตของคนในชุมชนใดชุมชนหนึ่งร่วมกัน แต่ความเป็นชุมชนนั้นหาได้อยู่ที่การเห็นจากภายนอกว่ามีการสร้างบ้านเรือเคียงอยู่เป็นกลุ่ม เช่นบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม ตึกแถวอะไรต่าง ๆ นานา แล้วแบ่งเป็นหมู่บ้าน ตำบล อำเภอไม่ หากการที่จะเป็นชุมชนนั้นขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ทางสังคมของคนที่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน [Social และ Cultural space] ตั้งแต่ระดับครอบครัว กลุ่มเครือญาติทั้งจากทางสายเลือดและจากการกินดอง (จากการแต่งงาน) มาถึงการอยู่รวมกันเป็นชุมชนซึ่งเป็นพื้นที่ให้คนหลายเหล่าหลายตระกูลและหลายชาติพันธุ์มาอยู่รวมกัน มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมไม่ต่ำกว่า ๓ ชั่วคน พอที่จะสร้างรูปแบบในการดำรงชีวิต ภาษา ระบบความเชื่อ ประเพณีพิธีกรรม รวมทั้งกติกาต่างในการดำรงชีวิตร่วมกันซึ่งเรียกว่า จารีตประเพณี เกิดการอบรมและถ่ายทอดขนบธรรมเนียมประเพณีและภูมิปัญญาในการอยู่ร่วมกัน และแก้ปัญหาความขัดแย้งร่วมกันจากคนรุ่นเก่าสู่คนรุ่นใหม่ ปรับเปลี่ยนพื้นที่อันเป็นระบบนิเวศธรรมชาติให้เป็นนิเวศวัฒนธรรม ผลที่ตามมาทำให้เกิดสิ่งที่เป็นโครงสร้างทางกายภาพขึ้นแก่ชุมชน โดยไม่ต้องมีใครมากำหนดจากภายนอก ความเป็นชุมชนจึงอยู่ที่การรู้จักและรับรู้ว่าใครคือคนใน และใครเป็นคนนอกนั่นเอง ชุมชนท้องถิ่น [Local communities] ของเมืองไทย ว่าตามหลักฐานและข้อมูลทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมและโบราณคดีแล้ว มีพัฒนาการมาเป็นสังคมชาวนา [Peasant society] มากว่าพันปีทีเดียว คือเป็นสังคมที่ก้าวผ่านสังคมแบบเผ่าพันธุ์ [Tribal society] มาแล้วช้านาน จนปัจจุบันกำลังกลายพันธุ์เป็นสังคมอุตสาหกรรมในยุคโลกาภิวัตน์อย่างรวดเร็ว ที่ว่าเป็นสังคมที่ก้าวผ่านสังคมเผ่าพันธุ์นั้น เพราะมีบูรณาการทางวัฒนธรรมเกิดขึ้นที่สามารถสลายความเป็นเผ่าพันธุ์ให้อ่อนลงและหมดสิ้นไปได้ สังคมแบบชาติพันธุ์มีศูนย์รวมอยู่ความเป็นชาติพันธุ์ เช่น เป็นไทย เป็นมอญ เขมร ลาว อะไรทำนองนั้น แต่ว่าสังคมชาวนา ความเป็นศูนย์รวมอยู่ที่แผ่นดินเกิดหรือบ้านเกิด สังคมชาวนาในสยามประเทศที่มีความสมบูรณ์ด้วยความหลากหลายทางชีวภาพนั้น เริ่มขึ้นด้วยการที่คนมากกว่าหนึ่งชาติพันธุ์เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่เดียวกัน อีกทั้งมีการเคลื่อนย้ายเข้ามาผสมกลมกลืนกันตามช่วงเวลาต่างๆ ทางประวัติศาสตร์ แต่การเข้ามาอยู่ร่วมกันของคนต่างชาติพันธุ์ดังกล่าวในประวัติศาสตร์สังคมชาวนานั้น หาได้เข้ามาแบบรุกล้ำอ้างสิทธิ์และอำนาจเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องไม่ คนจากข้างนอกต้องได้รับการยินยอมจากคนในท้องถิ่นที่อยู่มาก่อน ต้องยอมรับกติกาในทางสังคมและวัฒนธรรม เพื่อที่จะกลายเป็นคนในท้องถิ่นเดียวกัน และทำความเจริญมาให้กับท้องถิ่น เมื่อได้รับการยอมรับคนที่เข้ามาอยู่ใหม่ก็ถือว่า ท้องถิ่นนั้นตนต้องอยู่ไปจนตายและกลายเป็นบ้านเกิดของลูกหลานตน และเกิดสำนึกว่าตนเป็นคนของบ้านนี้เมืองนี้ร่วมกับคนที่เป็นชาติพันธุ์อื่น ท้องถิ่นหนึ่ง ๆ เป็นพื้นที่ธรรมชาติที่กว้างขวางที่รอปรับชีวิตความเป็นอยู่ของคนหลาย ๆ ชุมชนได้ คนในทุกชุมชนปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมธรรมชาติร่วมกัน โดยการเปลี่ยนแปลงให้เป็นนิเวศวัฒนธรรม ที่มีการแบ่งพื้นที่และทรัพยากรว่าอะไรบ้างที่เป็นของส่วนตัวและของส่วนรวม ของส่วนรวมคือ สมบัติร่วม [Common property] อันได้แก่ พื้นที่สาธารณะ เช่น หนองบึง ลำน้ำ ลำห้วย ป่าเขา ท้องทุ่ง ซึ่งไม่เป็นของส่วนตัวของใครของเหล่ากอใด หากใช้ประโยชน์ร่วมกันอย่างมีกติกา และมีการพัฒนาบำรุงรักษาให้เป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจและสังคม มีการกำหนดชื่อ สถานที่พื้นที่ผูกด้วยเหตุผลทางตำนานให้เป็นที่รับรู้ นอกจากพื้นทางเศรษฐกิจและสังคม ก็เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นศูนย์รวมทางศาสนา ความเชื่อ ประเพณีพิธีกรรม เช่น พื้นที่เป็นวัดเป็นแหล่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนในชุมชนท้องถิ่นรับทราบและเข้ามาใช้พื้นที่เป็นเจ้าของร่วมกัน สังคมท้องถิ่นที่เป็นสังคมชาวนาในสยามประเทศนั้น ประกอบด้วยบ้านและเมือง บ้านเป็นชุมชนขนาดเล็กที่กระจายอยู่ในปริมณฑลของท้องถิ่น บ้านบางบ้านอาจจะมีชาติพันธุ์ใดชาติพันธุ์หนึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ก็ได้ ส่วนบ้านอื่นก็เป็นของชาติพันธุ์อื่น แต่ทุกบ้านต้องมีการใช้พื้นที่ร่วมกันและแบ่งปันกัน จึงเกิดประเพณีพิธีกรรมทางศาสนา ความเชื่อและวิธีการและเทคนิคทางเทคโนโลยีที่พัฒนาร่วมกัน และการอยู่รวมกันโดยมีสมบัติร่วมกันดังกล่าวนี้ คือการมีชีวิตรอดร่วมกันจนเกิดสำนึกในเรื่องการเป็นคนท้องถิ่นที่เป็นแผ่นดินเกิดร่วมกัน ศิลปกรรม เครื่องมือเครื่องใช้ รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีพิธีกรรมที่สร้างขึ้นนั้น ล้วนมีหน้าที่ที่จะทำให้โครงสร้างสังคมของคนแม้ว่าจะมีที่มาจากชาติพันธุ์ที่หลากหลายกลายเป็นคนพวกเดียวกัน เป็นคนถิ่นเดียวกัน ส่วนเมืองนั้นก็หมายถึงพื้นที่และชุมชนที่เป็นศูนย์กลาง [Central place] ของบรรดาชุมชนบ้าน ชุมชนเมืองมีขนาดใหญ่มีคนหลายชาติพันธุ์และหลายอาชีพ และมีตลาดอันเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนสินค้าทางเศรษฐกิจ รวมทั้งสถานที่อันเป็นแหล่งทำพิธีกรรมและศูนย์กลางในระบบความเชื่อ ยกตัวอย่างเช่น ศูนย์กลางความเชื่อและกิจกรรมทางสังคมของชุมชนบ้าน คือ วัดที่มีโบสถ์ ซึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่า สิม แต่วัดที่เป็นศูนย์กลางของเมืองหรือของท้องถิ่นนั้น นอกจากจะมีโบสถ์แล้วยังมี ธาตุ ซึ่งหมายถึงพระธาตุเจดีย์ที่ผู้คนจากชุมชนบ้านต้องมาทำพิธีกรรมร่วมกัน นอกจากนั้น ชุมชนที่เป็นเมืองยังเป็นศูนย์กลางในการปกครองและบริหารโดยมักจะเป็นที่อยู่อาศัยและที่ทำการของบุคคลที่เป็นหัวหน้าหรือเจ้าเมืองอีกด้วย สังคมท้องถิ่น หรือประกอบด้วยบ้านและเมืองอันเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออกนี้ คือพื้นฐานของความเป็นอยู่ที่พอเพียงยั่งยืนและอยู่ได้โดยลำพัง [Self contained] ของผู้คนในสังคมชาวนาที่มีทั้งสมบัติส่วนตัว เช่น พื้นที่อยู่อาศัยทำกิน และพื้นที่สาธารณะอันเป็นสมบัติร่วม คนในสังคมท้องถิ่นเหล่านี้รู้จักดีว่าใครเป็นคนกลุ่มไหน ชาติพันธุ์ไหน มีเหล่ากอเป็นมาอย่างใด และรู้ว่าใครเป็นคนนอกที่รุกล้ำเข้ามาที่ดีหรือไม่ดี แต่ที่สำคัญคนในเหล่านี้มีประวัติศาสตร์ของตนเองและมีสำนึกร่วมของแผ่นดินเกิดร่วมกัน จึงมักจะทักทายกันว่าเป็นคนบ้านไหน เมืองไหนเป็นสำคัญ คนในสังคมท้องถิ่นอันประกอบด้วยบ้านและเมืองดังกล่าวนี้ สร้างศิลปวัฒนธรรมขึ้นมาเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความหมาย และมีกาลเทศะ ศิลปวัฒนธรรมที่จับต้องได้เป็นรูปธรรมนั้นเห็นได้ เช่น สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมของวัดวาอาราม และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในระบบความเชื่ออื่น ๆ ในขณะที่ศิลปวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้นั้นคือ ประเพณีพิธีกรรม เช่น ประเพณีเกี่ยวกับชีวิตและประเพณีสิบสองเดือนที่ทำกันทั้งในบ้านและวัดตามกาลเทศะที่กำหนดไว้ บรรดาประเพณีพิธีกรรมเหล่านี้คือกลไกในการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมให้คนอยู่ร่วมกันอย่างเป็นปึกแผ่น ทำให้เกิดความมั่นคงทางสังคมและจิตใจที่นำไปสู่ความมั่นคงของมนุษย์ ในส่วนระบบประเพณีพิธีกรรมเหล่านี้สร้างขึ้นโดยคนท้องถิ่นจึงมีรูปแบบ ขั้นตอน วิธีการและความหมายทางสัญลักษณ์ที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะแต่ละถิ่นมากมาย และแต่ละท้องถิ่นก็ให้ความสำคัญของประเพณีพิธีกรรมแต่ละเรื่องไม่เท่ากัน ดังเช่นประเพณีขึ้นธาตุและชิงเปรตที่พระบรมธาตุเมืองนครฯ มีความสำคัญในลักษณะที่เป็นอัตลักษณ์ของคนในท้องถิ่นภาคใต้ ในขณะที่ประเพณีจุดบั้งไฟมีความสำคัญกับคนในท้องถิ่นหลาย ๆ ถิ่นในภาคอีสาน หรือประเพณีเทศน์มหาชาติที่มีการแห่ผีตาโขนเป็นอัตลักษณ์ของคนด่านซ้ายในจังหวัดเลย เป็นต้น เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๒ ข้าพเจ้าทำการศึกษาชุมชนอยู่ที่บ้านม่วงขาวในเขตตำบลโคกปีบ อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งเป็นชุมชนของคนลาวพวนในท้องถิ่นดงศรีมหาโพธิ์ ที่มี ต้นโพธิศรีมหาโพธิ์เป็นต้นไม้เก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ของคนท้องถิ่นที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ อาทิ คนลาวพวน ลาวอีสาน ลาวเวียง คนมอญ คนเขมร คนไทยและคนจีน อยู่ผสมผสานกันตามหมู่บ้านต่าง ๆ มาราวเกือบ ๒๐๐ ปี กลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ในระยะแรกที่เคลื่อนย้ายเข้ามานั้น มีลักษณะต่างคนต่างอยู่และเข้ากันไม่ได้ แต่ทุกกลุ่มให้ความสำคัญกับต้นโพธิศรีมหาโพธิเหมือนกัน จะพากันมาไหว้ต้นโพธิศรีมหาโพธิในเดือนหกอันตรงกับประเพณีวิสาขบูชาทางพุทธศาสนา จากการมาพบปะทำบุญร่วมกัน ความสัมพันธ์ทางสังคมก็พัฒนาขึ้น ทำให้ทุกหมู่บ้านของท้องถิ่นรู้จักกัน สัมพันธ์กันในการแต่งงานและกิจกรรมแลกเปลี่ยนสิ่งของและแรงงานในชีวิตทางเศรษฐกิจ คนลาวอีสานคิดจุดบั้งไฟขึ้น ณ ลานวัดต้นโพธิในยามเทศกาล เลยเกิดเป็นประเพณีและศิลปวัฒนธรรมขึ้น เป็นของทุกหมู่บ้านในท้องถิ่น พร้อมกันสร้างบั้งไฟทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ในนามของวัดประจำหมู่บ้านมาแห่มาเซิ้ง และนำมาจุดแข่งขันกันที่ลานวัดต้นโพธิ์ ทำให้ผู้คนในท้องถิ่นได้พบปะกัน ทำบุญร่วมกันและเกิดสำนึกในการเป็นคนดงศรีมหาโพธิร่วมกัน แต่ที่สำคัญอย่างมากก็คือ วันจุดบั้งไฟและประเพณีวิสาขบูชานี้ เป็นวันรวมญาติ พ่อแม่ปู่ย่าตายายและลูกหลาน ทำให้คนรุ่นลูกและหลานที่จากบ้านเกิดไปทำงานในเมืองและต่างจังหวัดจะเดินทางกลับมาพบพ่อแม่ ปู่ย่าตายายและทำบุญร่วมกัน สนุกสนานร่วมกัน เป็นประเพณีที่ทุกคนคาดหมายและเตรียมตัวเตรียมใจเป็นอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าได้สังเกตการณ์และร่วมสนุกสนานในชีวิตวัฒนธรรมของคนเหล่านี้ แต่ในปัจจุบันกลับซบเซาและขาดความหมายทางชีวิตวัฒนธรรม เพราะนับเป็นสิบปีมาแล้วที่ทางรัฐและการท่องเที่ยว (ททท.) เข้ามาเกี่ยวข้อง นั่นคือกรมศิลปากรประกาศต้นโพธิศรีมหาโพธิและบริเวณโดยรอบเป็นหลักฐานทางโบราณคดี กำหนดเขตหวงห้ามไม่ให้ชาวบ้านชาวเมืองเข้าไปใช้สถานที่ดังแต่ก่อน และในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวในช่วงเวลาจุดบั้งไฟ มีการกำหนดและสร้างกฎเกณท์ต่าง ๆ รวมทั้งทำให้เกิดรายได้จากการท่องเที่ยวแก่บรรดาผู้ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยว ประเพณีจุดบั้งไฟของคนในท้องถิ่น ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นประเพณีพิธีกรรมและศิลปวัฒนธรรมของคนในที่คิดขึ้นทำขึ้นในพื้นที่อย่างมีกาลเทศะก็สิ้นสุดลง กลายเป็นของคนนอกที่เข้ามากำหนดรูปแบบและบทบาท รวมทั้งแสวงหาผลประโยชน์อย่างไม่ต้องตามกาลเทศะไป ทุกวันนี้ ประเพณีบั้งไฟท้องถิ่นศรีมหาโพธิจึงกลายเป็นศิลปวัฒนธรรมเพื่อขายไป ซึ่งก็เหมือนกับประเพณีพิธีกรรมอันเป็นอัตลักษณ์ของท้องถิ่นอีกมากมายหลายแห่งทั่วประเทศ ประเพณีจุดบั้งไฟของท้องถิ่นศรีมหาโพธินี้ คือสมบัติร่วมของคนในท้องถิ่นที่มีความหมายต่อชีวิตวัฒนธรรมเป็นอย่างยิ่ง ได้ถูกทั้งรัฐและการท่องเที่ยวจากส่วนกลางแย่งยื้อและช่วงชิงไปขายให้กับนักท่องเที่ยวทั้งจากต่างประเทศและในประเทศ ซึ่งก็คือคนนอกนั่นเองทำให้ผู้ประกอบการเหล่านั้นมีรายได้ที่รัฐสามารถนำไปโอ่ถึง GDP. จนทำให้เกิดเป็นนโยบายที่ต่อเนื่องอยู่ในปัจจุบัน อีกแห่งหนึ่งที่ดังกว่าศรีมหาโพธิ์คือ ด่านซ้ายในเขตจังหวัดเลยที่มีเทศกาลบุญพระเวส อันมีการจัดขบวนผีตาโขนของคนท้องถิ่นร่วมพิธีและสร้างความสนุกสนาน โดยความหมายผีตาโขนคือพวกผีป่าผีร้ายที่ตามพระเวสสันดรมากรุงสีพีเพื่อเอาบุญเอากุศลเป็นบุคคลในพระพุทธศาสนา เมื่อมาถึงวัดโพนชัยอันเป็นสถานที่เทศมหาชาติก็ปลดเปลื้องบรรดาหน้ากากและหัวโขนที่ทำด้วยเศษผ้าเศษกระดาษอันเป็นสัญลักษณ์ของความอัปมงคลทิ้งลงลำน้ำหมันที่ผ่านกลางเมืองไป แต่ทางรัฐ ททท. และบรรดานายทุนที่หากินกับการท่องเที่ยวก็แย่งชิงการแสดงผีตาโขนของคนท้องถิ่นให้เกิดเป็นจุดเด่นของการท่องเที่ยวไม่ให้ความสำคัญกับการเทศน์มหาชาติ เช่น เน้นเรื่องผีตาโขน พัฒนาหน้ากากหัวโขนให้สวยงามเป็นรูปแบบศิลปกรรมที่ซื้อและเอากลับไปเป็นของที่ระลึกได้ ทำให้ความหมายของหน้ากากหัวโขนที่เป็นสัญลักษณ์ของความอัปมงคล มีมูลค่าเป็นเงินเป็นทองและเป็นของดีที่ระลึกไป นี้คือการนำวัฒนธรรมมาขายแต่ทำลายสิ่งที่เป็นคุณค่าในชีวิตวัฒนธรรมโดยแท้ เมืองด่านซ้ายกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวเมื่อฤดูกาลมาถึง ผู้ที่ได้รับประโยชน์คือคนจากภายนอก ในขณะที่คนในเกิดการแตกแยกเพราะเกิดคนที่เห็นแก่ได้และยินดีที่จะทำทุกอย่างเพื่อการขายวัฒนธรรมของคน แต่การขายวัฒนธรรมที่เลวร้ายอย่างสุด ๆ เห็นจะเป็นการแห่เทียนเข้าพรรษาของเมืองอุบลฯ ที่เพียงอ้างแต่ชื่อ แต่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างหมดเพื่อการท่องเที่ยว และความอุบาทว์ที่เกิดขึ้นก็คือ การแห่เทียนเข้าไปแข่งขันและแสดงกันอย่างมโหฬารที่ทุ่งศรีเมืองแทนการแห่เทียนเข้าพรรษาที่วัดอย่างที่เคยมีมาแต่ก่อน กระนั้นก็ดี ประเพณีทางศิลปวัฒนธรรมที่อัปมงคลสุดๆ และอุบาทว์สุด ๆ เห็นจะไม่มีอะไรเกินประเพณีสงกรานต์และลอยกระทง ทั้งสองเป็นประเพณีของการเปลี่ยนผ่านในรอบปี จากปีเก่าสู่ปีใหม่ซึ่งมนุษย์ชาติแทบทุกเผ่าพันธุ์ให้ความสำคัญคล้ายคลึงกัน หากแตกต่างกันทางรูปแบบ สงกรานต์เป็นเรื่องช่วงเวลาที่เกี่ยวกับพระอาทิตย์ในขณะที่ลอยกระทงเป็นเรื่องของพระจันทร์ เป็นประเพณีที่มีความหมายทางสังคมเป็นอย่างยิ่ง คือสร้างความสัมพันธ์ ฟื้นความสัมพันธ์และผ่อนคลายความขัดแย้งของตนตั้งแต่ครอบครัว กลุ่มเครือญาติมาถึงชุมชนและระหว่างชุมชนท้องถิ่นที่อยู่ใกล้เคียงกัน ทั้งสองประเพณีนี้ รัฐ การท่องเที่ยวและนายทุนก็แย่งยื้อจากชีวิตวัฒนธรรมของคนที่เคยอยู่รวมกันเป็นครอบครัว มีเครือญาติ มีชุมชน มาเป็นการละเล่นเพื่อปลดปล่อยและระบายอารมณ์ที่เป็นตัณหาราคะของผู้คนร้อยพ่อพันแม่ไม่มีหัวนอนปลายตีนทั้งในประเทศและจากต่างประเทศ ประเพณีทั้งสองนี้เล่นกันอย่างไม่มีกาละเทศทั้งประเพณี [Nationwide] ที่รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยซึ่งล้วนมีสติปัญญาในทางลบ มักออกแถลงการณ์คาดคะเนว่า ปีนี้จะมีสถิติการตายและบาดเจ็บเป็นจำนวนเท่าใด แต่ที่น่าทุเรศในเรื่องของความคิดและวิธีคิดก็คือ เรื่อง “เจ็ดวันอันตราย” นี่หรือคือช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของประเพณีสงกรานต์เพื่อความเป็นสวัสดิมงคล อนิจจาสยามประเทศ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • “ธรรมาธรรมะสงคราม” กับ “ภควัคคีตา” อุทาหรณ์ในการต่อสู้ของมวลมหาประชาชน

    เผยแพร่ครั้งแรก 30 พ.ย. 2542 ความขัดแย้งทางการเมืองและสังคมในประเทศไทยขณะนี้ น่าที่จะบานปลายเป็นสงครามกลางเมือง [Civil War] ที่อาจยืดเยื้อเป็นเวลานับปี เป็นความขัดแย้งที่อยู่ในสภาพที่สุดโต่งระหว่างรัฐกับสังคม ภาพศึกวันที่ ๑๐ ภีษมะปฏิเสธที่จะสู้กับศิขัณทินที่เกิดเป็นหญิง ทำให้อรชุนระดมยิงธนูไปทั่วร่างของภีษมะด้วยความเศร้าใจ (ภาพจาก ศิลปิน Ramanarayanadatta astri, http://archive.org/details/mahabharata00ramauoft) รัฐเป็นทรราช ที่ใช้ระบอบทักษิณครอบงำบรรดาข้าราชการทั้งทหาร ตำรวจ และพลเรือนให้มาอยู่ภายใต้อำนาจเงินของเผด็จการที่ได้มาจากการคอรัปชั่นโกงกินและหลอกลวงเอาภาษีอากร ตลอดจนทรัพยากรของชาติมาเป็นประโยชน์ของพวกตนและเครือข่ายมาร่วมกว่า ๑๐ ปีที่ผ่านมา จนประเทศไทยอยู่ในสภาพประเทศเพื่อขาย [For Sale] ให้แก่บรรดาประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ มีไอ้กัน ไอ้กิดและไอ้เศส เป็นอาทิ และเพื่อเป็นการตอบแทนบรรดาประเทศมหาอำนาจทุนนิยมดังกล่าวมานี้ ก็ล้วนให้ความสนับสนุนสร้างความชอบธรรมให้แก่รัฐทรราชในทางการเมืองและเศรษฐกิจ เช่น ต้องยืนยันช่วยเหลือว่ารัฐบาลทรราชนั้นคือรัฐบาลที่ถูกต้องและชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตยที่มีพรรคการเมืองและรัฐสภาตามแบบอย่างประเทศมหาอำนาจ เช่น อเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส แต่หลังจากที่เผด็จการทรราชทักษิณครอบงำบ้านเมืองและสังคมมาร่วมสิบกว่าปี ผู้คนในสังคมก็เกิดอาการตื่นรู้ทั้งสติปัญญา ความรู้ ความกล้าหาญทางจริยธรรม และความเป็นมนุษย์ ในฐานะที่เป็นสัตว์สังคมขึ้นอย่างฉับพลัน เป็นการตื่นรู้ที่ทันโลกของผู้คนทุกเพศทุกวัยทุกชาติพันธุ์ทุกศาสนาและอาชีพ ในบรรดาบุคคลที่เกิดในดินแดนประเทศไทยที่มีสำนึกในเรื่องบ้านเกิดเมืองนอน [Patriotism] เป็นการตื่นรู้ที่จะปลดปล่อยประเทศชาติบ้านเมืองให้พ้นจากเงื้อมมือทรราชที่กำลังขายประเทศขายแผ่นดิน เป็นการตื่นรู้ที่ทำให้เมืองไทยแบ่งออกเป็นสองขั้ว คือรัฐทรราชที่อยู่ในสภาพล้มละลายทางศีลธรรม จริยธรรม และความเป็นมนุษย์ ใช้ความรุนแรงด้วยกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีอำนาจบังคับใช้ของรัฐ และบรรดาอันธพาลติดอาวุธเข้าปราบปรามจับกุมและเข่นฆ่าประชาชานที่แสดงอาการประชาขัดขืน [Civil Disobedience] เป็นขั้วหนึ่ง กับสังคมที่ตื่นรู้ทั้งในด้านสติปัญญาความรู้และความเป็นมนุษย์อีกขั้วหนึ่ง สิ่งที่เหลืออยู่หลังความรุนแรงบนถนนราชดำเนิน เป็นการตื่นรู้อย่างพร้อมพรั่งที่มีความกล้าหาญทางจริยธรรมความเสียสละอย่างไม่กลัวความตายที่ทางตำรวจและอันธพาลของรัฐทรราชจะยื่นให้ ทำการต่อสู้ด้วยอหิงสาไม่มีอาวุธ และการสวดมนต์ให้ใจมั่นคงและเปลี่ยนอารมณ์ที่หวาดกลัวมาเป็นความรื่นเริง มีมหรสพควบคู่กันไป จากปรากฏการณ์ที่แลเห็นถึงการใช้ความรุนแรงฆ่าฟันประชาชนของฝ่ายทรราช และการต่อสู้ด้วยอหิงสาสวดมนต์รำลึกถึงพุทธคุณของมวลมหาประชาชน ข้าพเจ้าเรียกการต่อสู้ครั้งนี้ว่า “ธรรมาธรรมะสงคราม” ตาม พระราชนิพนธ์ในล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ที่ทรงเปรียบเทียบสงครามโลกครั้งที่ ๑ ว่า เป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรม ซึ่งเป็นการต่อสู้ระหว่างเทวดาสองฝ่าย คือ ฝ่ายดีกับฝ่ายชั่ว ฝ่ายชั่วมีกำลังกล้าแข็งและโหดร้าย ยุยงโกหกหลอกให้คนเชื่อในเรื่องชั่วร้ายผิดศีลธรรมและผิดมนุษย์ เป็นฝ่ายได้เปรียบและรุกไล่ฝ่ายดีจนแตกยับและทำท่าจะปราชัย แต่บัดดลฝ่ายอธรรมก็เกิดอาการมืดหน้าอ่อนเพลียและหมดแรง ทำให้ทางฝ่ายธรรมะมีชัยปราบปรามคนชั่วและอบรมสั่งสอนให้คนดี และอยู่ร่วมโลกกันด้วยศีลธรรม เมตตาธรรม เป็นเรื่องราวที่ข้าพเจ้าได้เห็นเป็นอุทาหรณ์ในการสู้รบของมวลมหาประชาชนชาวสยามสองครั้งที่แล้วมา ครั้งแรกที่สี่แยกหลักสี่ บนถนนแจ้งวัฒนะ เมื่อขบวนของฝ่ายหลวงปู่พุทธอิสระเดินทางผ่านเข้ามาในบริเวณใต้สะพานลอยหลักสี่ มีกำลังของอันธพาลที่ได้รับการสนับสนุนโดยตำรวจที่ก่อนหน้านั้นมีการชุมนุมระดมพลกันอย่างเปิดเผย พออันธพาลกลุ่มนี้เปิดการทุบตีและยิงอาวุธเข้าใส่ขบวนมหาประชาชนที่มากับเสียงการสวดมนต์ ก็มีกลุ่มคนที่เป็นกองกำลังนิรนาม มีอาวุธสงครามซ่อนไว้ในถุงข้าวโพดล้อมยิงและโต้ตอบ ทำให้กลุ่มอันธพาลบาดเจ็บและล้มตายถอยหนีกระเจิงไป และไม่กล้าที่จะเข้ามาคุกคามมวลมหาประชาชนต่อไป การออกมาขัดขวางของกองกำลังนิรนามนี้ มีผู้ขนานนามว่าเป็นกองกำลังป๊อปคอร์น ครั้งที่สองเกิดขึ้นที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ อันเป็นที่ชุมนุมของกองทัพธรรมของศาสนิกสันติอโศกที่มานั่งคัดค้านรัฐบาลทรราชด้วยการนั่งสวดมนต์และปฏิบัติธรรม รัฐทรราชได้ส่งกองกำลังตำรวจในเครื่องแบบพร้อมทั้งอาวุธสงครามเข้าขับไล่ทุบตีบรรดาผู้ปฏิบัติธรรมโดยเฉพาะบรรดาสตรีที่ต่อสู้ด้วยการนั่งสวดมนต์ภาวนาอย่างหฤโหดไร้มนุษยธรรม รวมทั้งมีการใช้ปืนยิงใส่เข้าไปในกลุ่มชนด้วย ข้าพเจ้าติดตามรับฟังการถ่ายทอดเหตุการณ์สลายการชุมนุมจากโทรทัศน์และวิทยุด้วยความรู้สึกสลดและสิ้นหวัง คิดว่าฝ่ายธรรมะคงไม่มีทางหยุดยั้งพวกตำรวจอธรรมหฤโหดผิดมนุษย์ได้ แต่บัดดลก็เกิดปรากฏการณ์คล้ายปาฏิหาริย์ขึ้น เมื่อตำรวจโหดเคลื่อนเข้ามาใกล้กับสมณะโพธิรักษ์ที่นั่งอยู่ด้วยความสงบและเตือนสติให้ผู้ปฏิบัติทำสวดมนต์ต่อไป ก็มีกองกำลังนิรนามที่ออกมายิงใส่ตำรวจจนล้มเจ็บและตายแตกกระเจิงกลับไปในลักษณะที่พ่ายแพ้ แต่ว่าชัยชนะที่เป็นปาฏิหาริย์ดังกล่าวนั้น ก็เป็นเพียงการชนะในการต่อสู้ที่เป็นครั้งคราว [Win the Battle] หาเป็นชัยชนะเด็ดขาดในสงคราม [Win the War] ไม่ เพราะการสู้รบกับรัฐทรราชระบอบทักษิณที่ครอบงำบ้านเมืองมากว่า ๑๐ ปีนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เป็นความชั่วร้ายที่แผ่ซ่านไปแทบทุกอณูของประเทศชาติ ในลักษณะเช่นการแพร่กระจายของมะเร็งร้ายขั้นสุดท้าย เกินศักยภาพของมวลมหาประชาชนที่แม้จะออกมาแสดงพลังกันอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ก็ตาม นั่นก็คือ มหาประชาชนไม่มีรัฏฐาธิปัตย์ คืออำนาจเบ็ดเสร็จในการใช้บังคับอย่างของรัฐทรราชที่แม้ว่าจะถูกทำลายความชอบธรรมหมดแล้วก็ตาม แต่ก็ยังอ้างอิงกติกาในการยืดเยื้อโดยอาศัยรัฐธรรมนูญของการปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นข้ออ้างประการหนึ่ง ประการที่สอง สังคมไทยเป็นสังคมพุทธศาสนาเถรวาทที่มีแต่เมตตาธรรมและการให้อภัยเป็นพื้นฐาน หามีอะไรเด็ดขาดในการจัดการกับความชั่วร้ายที่โหดเหี้ยมและไม่มีศีลธรรมได้ นอกจากรอให้กฎแห่งกรรมมาตามทัน เสมือนเมื่อไหร่มะม่วงจะหล่นก็หาทราบไม่ โดยเฉพาะการเน้นเรื่องการต่อสู้อย่างอหิงสานั้นจึงมีแต่เป็นฝ่ายถูกกระทำด้วยความรุนแรงฝ่ายเดียว กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ เรื่องของการต่อสู้แบบอหิงสานั้น เป็นเรื่องของผู้คนในสังคมอินเดียที่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นฮินดูที่ไม่ได้ถูกนำมาใช้ในเชิงเดี่ยวอย่างง่าย ๆ ยังผูกพันกับแนวคิดและปรัชญาของอินเดียอีกหลายร้อยเล่มเกวียน กระนั้นก็ดีการต่อสู้ด้วยอหิงสาของคานธีกับอสูรร้ายอังกฤษนั้น กว่าจะได้เสรีภาพคือชัยชนะมา ผู้คนก็ถูกฆ่าฟันล้มตายเป็นอันมาก แม้แต่ท่านคานธีก็ต้องตายในที่สุด ความต่างกันระหว่างอหิงสาของไทยกับของอินเดียก็คือ อหิงสาของอินเดียอยู่ในบริบทของสมัยเวลาที่โลกแห่งคุณธรรมยังดำรงอยู่ มีหลายชาติ และมหาอำนาจที่ไม่เห็นดีงามกับจักรวรรดินิยมอังกฤษ แต่ในบริบทของอหิงสาแบบคนไทยนั้นอยู่ในโลกที่อุดมไปด้วยวัตถุนิยม ความโลภ และอำนาจของบรรดาประเทศมหาอำนาจ เช่น “ไอ้กัน” และพรรคพวก ต่างต้องการจะเข้าครอบครองทรัพยากร ผู้คน และดินแดนที่อุดมไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของไทย และก็พากันสนับสนุนทรราชระบอบทักษิณด้วยแนวคิด “ประชาธิปไตยสาธารณ์” ที่ต้องเลือกตั้งและไม่แคร์กับการซื้อเสียง ขายเสียง และเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีที่ล้วนแต่สร้างความชั่วร้ายให้เพิ่มขึ้น ทั้งหลายแหล่เหล่านี้ กำลังเปิดทางให้การกระทำรุนแรงผิดมนุษย์ของรัฐทรราชเป็นสิ่งชอบด้วยกฎหมายโดยไม่คำนึงถึงมนุษยธรรม เพราะฉะนั้นสถานการณ์เมืองไทยที่เป็นอยู่ แม้ว่ามหาประชาชนจะได้ชัยชนะในการต่อสู้แต่ละครั้งมา ก็ไม่แน่ว่าจะชนะสงครามได้ในที่สุด อีกทั้งยังไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะเป็นสงครามกลางเมืองได้ในอนาคต อย่างไรก็ตามความหวังยังไม่สิ้น เพราะในสังคมไทยในส่วนรวมก็หาได้มีแต่เพียงกลุ่มคนที่เป็นฝ่ายรัฐทรราชและฝ่ายอหิงสาแต่เพียงอย่างเดียวไม่ ยังแฝงไว้ด้วยบุคคลและกลุ่มคนที่มีมโนธรรมและมีความกล้าหาญทางจริยธรรมอยู่ แลเห็นว่าอะไรถูกอะไรควร แต่ยังไม่มีความเชื่อมั่นและความพร้อมเพียงกันในการออกมาเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผย ดังเช่นพวกกองกำลังป๊อปคอร์น เป็นต้น จึงกลายเป็นกองกำลังนิรนามที่แลไม่เห็นบุคคลที่เป็นผู้ทำอย่างเปิดเผย ทั้ง ๆ ที่เวลาได้มาถึงแล้ว ข้าพเจ้าเลยนึกเลยเถิดไปถึงแนวคิดและแนวปรัชญาของคนในสังคมฮินดูของอินเดีย ที่เป็นรหัสซ่อนเร้นอยู่ในมหากาพย์เช่น รามายณะและมหาภารตะ ซึ่งเป็นคัมภีร์เกี่ยวกับอวตารของพระเป็นเจ้าลงมาปราบยุคเข็ญในโลก แต่ในที่นี้ขอยกเอาจากมหาภารตะก่อน เพราะดูใกล้เคียงกับสังคมและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยทุกวันนี้ มหาภารตะเป็นมหากาพย์ที่รวบรวมเรื่องราวจากตำนานความขัดแย้งในหลายท้องถิ่น หลายภูมิภาคของดินแดนที่เรียกว่าภารตะ คือดินแดนของ “พระภารตะ” ปฐมวงศ์ของบรรดากษัตริย์ในแดนภารตะ มารจนาเป็นเรื่องราวเดียวกัน ที่ผู้อ่านและศึกษาจะนำเอาเรื่องราวหรือเหตุการณ์ตอนใดตอนหนึ่งไปเป็นอุทาหรณ์เพื่อเตือนและสั่งสอนสังคมที่หลากหลาย ไม่จำเป็นเฉพาะภายในอินเดียเท่านั้น ยังแพร่หลายกระจายไปยังบรรดาบ้านเมืองและดินแดนที่รับอารยธรรมอินเดีย เรื่องราวในมหาภารตะในกรณีเกี่ยวกับความขัดแย้งที่รุนแรงในสังคมไทยขณะนี้ก็คือ เรื่อง “ภควัคคีตา” ซึ่งคนทั่วไปแปลอย่างง่าย ๆ ว่าเป็น เพลงของพระเป็นเจ้า แท้จริงเป็นบทฉันท์ที่เรียกว่า โศลก กล่าวถึงเหตุการณ์การสู้รบระหว่างแม่ทัพของฝ่ายธรรมะ คือพวกปานณพ กับฝ่ายอธรรมคือพวกเการพ ทั้งสองกลุ่มนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ทำการรบพุ่งเพื่อช่วงชิงความเป็นใหญ่ในดินแดนในท้องทุ่งที่เป็นสนามรบเรียกกุรุเกษตร ฝ่ายปานณพผู้น้องเป็นฝ่ายธรรมะ เพราะนอกจากมีความชอบธรรมในราชสมบัติและยังเป็นผู้ที่ยึดมั่นในศีลธรรมและคุณธรรม รวมทั้งมีความซื่อสัตย์และความกล้าหาญ ฝ่ายเการพลูกผู้พี่เป็นอธรรมและมีความประพฤติและพฤติกรรมที่เป็นทรราชกดขี่ใช้ความรุนแรงและกระทำการผิดศีลธรรมแก่คนในสังคม และเป็นผู้ที่ยึดครองรัฐและเป็นรัฐบาลอยู่ที่รัฏฐาธิปัตย์และกำลังรบกำลังทัพมากมาย ซึ่งมีบรรดาบุคคลสำคัญทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนที่แต่งตั้งจากเครือญาติตั้งแต่ชั้นผู้ใหญ่ถึงชั้นผู้น้อยมารับราชการทำหน้าที่ด้วยความภักดี แม้ว่าจะขัดกับศีลธรรมก็ตาม แต่ก็ให้ความสำคัญกับหน้าที่มากกว่า ในการทำสงครามที่ทุ่งกุรุเกษตร ทั้งฝ่ายปานณพและเการพต่างก็ขอความช่วยเหลือทางกำลังทหารและกำลังทัพจากบรรดารัฐและบ้านเมืองที่มีความสัมพันธ์ทางสังคมและการเมือง โดยเฉพาะบรรดารัฐที่เป็นเครือญาติกัน หนึ่งในรัฐเหล่านั้นก็คือ รัฐทวารกะ ที่มีพระกฤษณะปกครอง พระกฤษณะต้องทรงช่วยเหลือทั้งสองฝ่ายที่เป็นปรปักษ์กัน โดยให้ฝ่ายลูกผู้พี่คือพวกเการพเลือกก่อน พวกเการพเลือกเอากำลังทหารและกองทัพทั้งหมดไปเป็นของฝ่ายตน คงเหลือแต่องค์พระกฤษณะเท่านั้นที่ไม่ได้เอาไป ซึ่งฝ่ายปานณพก็ยินดีเลือกพระกฤษณะ แต่ไม่ใช่มาเป็นขุนพลแม่ทัพ หากมาทำหน้าที่สารถีคือคนขับรถศึกให้ผู้ที่เป็นแม่ทัพคือ อรชุน ผู้เป็นนักรบที่มีความเป็นเลิศในการใช้ธนูสงครามที่ทุ่งกุรุเกษตรครั้งนี้ พี่น้องทั้งสองฝ่ายสู้รบกันที่มีผลทำลายญาติพี่น้องให้ล้มตายทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะบุคคลที่เป็นครูบาอาจารย์และญาติผู้ใหญ่ จนมาถึงการเผชิญหน้าระหว่างแม่ทัพสำคัญของทั้งสองฝ่ายคือ อรชุนฝ่ายปานณพกับกรรณของฝ่ายเการพ ทั้งคู่นี้เป็นพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน แต่คนละบิดา ต่างมีความเลิศในการใช้ธนูเสมอกัน และการสู้รบของคนทั้งสองคือการตัดสินว่าฝ่ายใดจะแพ้หรือชนะ ในขั้นแรกฝ่ายกรรณได้เปรียบเพราะรถศึกของทางอรชุนขัดข้อง ซึ่งธรรมดาการสู้รบกันตามกติกานั้น อีกฝ่ายหนึ่งต้องหยุดรอเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งแก้ไขสิ่งขัดข้องให้เรียบร้อยก่อนจึงจะดำเนินการต่อไปได้ แต่กรรณผู้เหี้ยมโหดไม่กระทำกลับยิงธนูเข้าประหารอรชุนที่กำลังเสียทีทันที แต่อรชุนก็รอดได้เพราะความสามารถของสารถีคือพระกฤษณะ พอการรบดำเนินต่อไปทางฝ่ายกรรณก็เกิดขัดข้องเชิงเทคนิคในเรื่องรถศึกบ้าง คือเพลาล้อรถหักต้องการซ่อมแซมจึงขอทางอรชุนให้หยุดรอเพื่อซ่อมรถก่อน ซึ่งอรชุนก็ทำท่าลังเลเพราะเป็นคนใจอ่อนมีธรรมะและความเมตตา โดยเฉพาะกรรณซึ่งเป็นพี่ชายต่างบิดา ในช่วงที่รีรอนี้ พระกฤษณะจึงเร่งและยุให้อรชุนเผด็จศึกด้วยการยิงธนูประหารกรรณในขณะที่อยู่ในสภาพขัดข้องในเรื่องรถเสีย อรชุนก็ยังรีรอและเป็นคนใจอ่อนเกรงกลัวต่อบาปที่จะเกิดขึ้น พระกฤษณะจึงต้องรับประกันว่าไม่เป็นบาปในการปฏิบัติหน้าที่นักรบที่ดีในยามสงครามที่ปลอดจากความเป็นธรรมและยุติธรรม แต่ต้องทำเพียงชัยชนะ พระกฤษณะได้แสดงพระองค์ว่า อรชุนไม่บาปก็เพราะพระองค์คือพระเป็นเจ้า เป็นการสร้างความมั่นใจและพลัง [Empowerment] ให้แก่อรชุนผู้ลั่นธนูไปประหารกรรณที่เป็นฝ่ายอธรรม และเป็นการสู้รบที่นำไปสู่การได้ชัยชนะของสงครามของฝ่ายปานณพในที่สุด การกล่อมเกลาและอบรมในลักษณะที่เป็น Dialogue ระหว่างพระกฤษณะกับอรชุน เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่อรชุนในการปฏิบัติหน้าที่นี้ คือสิ่งที่เรียกว่า ภควัคคีตาหรือเพลงของพระเจ้า ซึ่งก็มีผู้รู้ในสังคมไทยมักนำมากล่าวถึงในการกระตุ้นให้ฝ่ายทหารออกมาแสดงบทบาทและหน้าที่ในการปกป้องชีวิตของประชาชนที่ถูกย่ำยีและฆ่าฟันโดยกองกำลังตำรวจและอันธพาลของรัฐบาลทรราชทักษิณ ข้าพเจ้าก็ยังไม่แน่ใจว่าทหารจะออกมาป้องกันอย่างเต็มรูปและเต็มตัวมากกว่าการปฏิบัติการของกองกำลังนิรนามป๊อปคอร์นที่อาจจะได้ชัยชนะแต่เพียงการช่วยเป็นครั้งคราวไป เพราะดูแล้วสงครามระหว่างรัฐอสูรกับประชาชนคนมีธรรมะนี้ ดูเกินกำลังกว่ามนุษย์ธรรมดาที่มีธรรมะและอหิงสาจะชนะได้ หากเป็นสงครามของกลียุคที่อำนาจเหนือธรรมชาติหรือพระเป็นเจ้าต้องอวตารลงมาอีกครั้งหนึ่ง เป็นกลียุคที่มีต้นตอมาจากอสูรร้ายตะวันตก อเมริกัน อังกฤษ ฝรั่งเศสที่เผยแพร่ลัทธิประชาธิปไตยทุนนิยมเสรีอันเป็นเกราะป้องกันให้แต่บรรดารัฐทรราชทั้งหลาย อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • ประชาธิปไตยเมืองไทย : พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือไอ้กันเป็นประมุข?

    เผยแพร่ครั้งแรก 4 ก.ค. 2557 ช่วงเวลา ๖–๗ เดือนที่ผ่านมาตั้งแต่ธันวาคมศกที่แล้วมาจนถึงพฤษภาคมจะเข้ามิถุนายนนี้ ข้าพเจ้ากลายเป็นมนุษย์ที่มีอารมณ์ไม่ดีสองอย่าง ประธานาธิบดีบารัค โอบามาและนางฮิลรารี คลินตัน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเยี่ยมชมวิหารพระพุทธไสยาสน์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรุงเทพมหานคร เมื่อ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕ (ภาพจาก Jewel Samad, The Gardian) อย่างแรกเป็นอารมณ์โกรธเกลียดและขยะแขยงรัฐบาลไอ้กันและพรรคพวก เช่น ไอ้เศส, ไอ้กิดที่คนไทยทั้งรุ่นใหม่และเก่าเป็นจำนวนมากยังหลงว่าพวกนี้เป็นเทพเจ้า อย่างที่สองคืออารมณ์เกลียดชังปนสมเพชคนในระบอบทักษิณที่เรียกสั้น ๆ ว่า “โจรเสื้อแดง” ซึ่งเป็นเหตุแห่งความวุ่นวายและความแตกแยกที่ทำให้คนไทยฆ่ากันเองมากกว่าทศวรรษ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๗ เป็นต้นมา ข้าพเจ้าเกลียดไอ้กันเพราะเป็นเจ้าลัทธิประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งที่ไม่แคร์กับการซื้อเสียงขายเสียงเพื่อให้พรรค การเมืองที่ชั่วร้ายเข้ามามีเสียงส่วนมากในรัฐสภา จนในที่สุดกลายเป็นเผด็จการรัฐสภาภายใต้การบัญชาของทศกัณฐ์หน้าเหลี่ยม ขี้ข้าตัวโปรดของไอ้กัน หลังการปฏิวัติของทหาร คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ทำให้รัฐบาลหน้าเหลี่ยมสิ้นสุดลงไปอย่างสิ้นเชิงท่ามกลางความดีใจและโล่งใจของคนส่วนใหญ่ในชาติ ข้าพเจ้าก็พลอยฟ้าพลอยฝนโล่งใจไปกับเขาด้วย เพราะก่อนหน้านี้เป็นทุกข์กับ กปปส. และเครือข่ายเช่น คปท. กองทัพธรรม และกลุ่มหลวงปู่พุทธอิสระที่เป็นขบวนการเคลื่อนไหวของมวลมหาชนที่ออกมาขับไล่ไอ้หน้าเหลี่ยมและน้องสาวอย่างอหิงสาวิธี ด้วยพลังการตื่นรู้ของคนทุกเพศทุกวัยทุกชาติพันธุ์และหมู่เหล่าในประเทศ แต่ก็ยังไม่เห็นแสงสว่างของความสำเร็จ นับเวลาเข้าถึง ๖ เดือนแต่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรกับรัฐบาลที่ไม่มีศีลธรรมและจริยธรรมได้ แถมยังหน้าด้านหน้าทนอีกต่างหาก ที่สำคัญ อมนุษย์เหล่านี้ยังใช้วิธีการโสมมสองอย่างมาตอบโต้ อย่างแรกก็คือ การอ้างความชอบธรรมตามกฎหมายรัฐธรรมนูญในการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบที่ไอ้กันและประเทศมหาอำนาจตะวันตกรับรอง กับอย่างที่สองคือใช้กลไกของความมั่นคงภายในของชาติคือตำรวจและโจรเสื้อแดงอันธพาล ออกมาปราบปรามให้ร้าย ใส่ร้าย และทำร้ายประชาชนจนเสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก พร้อมกันกับอ้างความเป็นธรรมในระบอบประชาธิปไตย การเคลื่อนไหวออกมาต่อต้านและขับไล่รัฐบาลทรราชระบอบทักษิณที่ต่อสู้เรื่อยมาถึง ๖ เดือนเต็มนี้ ได้เผยร่างเปลือยกายรัฐบาลที่เป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากการเป็นทรราชอมนุษย์ภายใต้เปลือกของประชาธิปไตยแบบไอ้กันเท่านั้น เพราะนอกจากมีการอ้างอิงอย่างข้าง ๆ คู ๆ ว่าเป็นประชาธิปไตยแล้ว ยังได้รับการรับรองและสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐบาลไอ้กันและบริวาร เช่น ไอ้เศส ไอ้กิด และไอ้ออสซี่ด้วย เมื่อเล่นไม้นี้ให้เห็น ข้าพเจ้าจึงมองไม่เห็นถึงหนทางชนะของฝ่ายมวลมหาประชาชนที่ดูอหิงสาอย่างไร้เดียงสา เพราะเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่มีอำนาจบังคับใช้เช่นอำนาจรัฐ แม้ว่าจะมีพลังมวลมหาประชาชนที่ตื่นรู้ออกมาร่วมต่อสู้เรียกร้องกันมากมายกว่าครั้งใด ๆ ในประวัติศาสตร์ชาติไทยก็ตาม มวลมหาประชาชนกลุ่มหนึ่งมีความคิดให้สู้ต่อไปอย่าได้ถอยโดยวิธีการอหิงสา แต่บางกลุ่มก็เรียกร้องให้ทหารที่ประกาศตัวว่าจะอยู่ข้างประชาชนออกมาจัดการกับรัฐบาลชั่ว แต่ดูไม่ได้ผลเพราะทหารเกรงว่า ถ้าออกมาปฏิวัติรัฐประหารและจะตกหลุมกับดักของรัฐบาลชั่วได้ใช้เป็นข้อกล่าวหาเพื่อยืนยันกับไอ้กันและบริวารว่า ทหารเข้ามาปฏิวัติล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย เพราะทหารเคยมีประสบการณ์ดังกล่าวนี้มาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงรีรอแต่ก็เคลื่อนไหวเงียบ ๆ โดยส่งกำลังคนมาคอยดูแลประชาชนไม่ให้ได้รับความรุนแรงอันเป็นการกระทำของพวกตำรวจและโจรเสื้อแดง และดูเหมือนคอยติดตามดูการเคลื่อนไหวของตำรวจและอันธพาลของฝ่ายรัฐบาลอยู่ รอจนถึงขั้นจะแตกหักในตอนปลายเดือนพฤษภาคมที่ทางแกนนำฝ่ายมวลมหาประชาชนขีดเส้นตายว่าต้องยุติในวันที่ ๒๖ พฤษภาคมอย่างเด็ดขาด ในขณะที่ทางฝ่ายรัฐบาลซึ่งก็ขับเคลื่อนระดมโจรเสื้อแดงและคนเสื้อแดงซึ่งหลงใหลในประชาธิปไตยแบบไอ้กันออกมาชุมนุมต่อต้าน ซึ่งการเคลื่อนดังกล่าวนี้ปากก็ว่าอหิงสาแต่พฤติกรรมเป็นมหิงสา เพราะมีการขน อาวุธสงครามเข้ามาในประเทศและทุกสารทิศในแทบทุกภาค เริ่มก่อความรุนแรงยิงระเบิด M ๗๙ และใช้ปืนสงครามกวาดยิงฆ่าประชาชน ทำให้เกิดการคาดหวังอย่างวิตกว่า ความรุนแรงและการนองเลือดคงจะหนีไม่พ้น จึงเป็นโอกาสเหมาะที่ในความชอบธรรมที่ทหารจะต้องออกมาประกาศกฎอัยการศึกเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของแผ่นดิน ในวันที่ ๒๐ พฤษภาคมเวลา ๐๓.๐๐ น. ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นการทันเวลาและทันกับเหตุการณ์ในการป้องกันชีวิตของประชาชนโดยแท้ แต่ที่สำคัญก็เป็นการช่วยกู้มวลมหาประชาชนผู้อหิงสาให้ไม่ต้องรอไปเผด็จศึกในวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ซึ่งข้าพเจ้าค่อนข้างเชื่อว่าคงไม่สำเร็จ แถมจะเกิดการสูญเสียกว่าที่คิดด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของมวลมหาประชาชนออกมาล้มระบอบทรราชทักษิณด้วยวิธีอหิงสาก็ดีกับการออกมายึดอำนาจและทำการปฏิวัติของกองทัพทหารนั้น เป็นสิ่งที่มีคุณูปการต่อกันอย่างแยกไม่ออก ซึ่งข้าพเจ้าในฐานะคนแก่ ๆ คนหนึ่งเห็นว่าเป็นบุญของประเทศโดยแท้และนับเป็นเรื่องปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งก็ว่าได้ เพราะความศักดิ์สิทธิ์และความเชื่อยังเป็นสิ่งที่ครอบงำและคุ้มครองคนไทยอย่างไม่น้อย ถ้าไม่มีการเคลื่อนไหวของมวลมหาประชาชนเพื่ออหิงสาให้ได้มาถึงความเป็นประชาธิปไตย ฝ่ายทหารก็คงไม่สามารถออกมาปฏิวัติได้ เพราะเป็นการต่อสู้ที่ไม่น่าจะสำเร็จได้โดยง่ายโดยไม่ต้องมีการสูญเสียอย่างมากมาย ข้าพเจ้าให้น้ำหนักความสำเร็จในการโค่นอำนาจรัฐบาลทรราชของไอ้หน้าเหลี่ยมอย่างเท่ากันระหว่างผู้นำของขบวนมหาประชาชนกับผู้นำของทหารหาญ และถือว่าเป็นบุญบันดาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่จริงในบ้านเมือง โดยเฉพาะบุญญาบารมีแห่งองค์พระมหากษัตริยาธิราชเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ความขัดแย้งที่นำไปสู่การเดินขบวนคัดค้านและขับไล่ของมวลมหาประชาชนนั้น หาได้เป็นเรื่องของการเป็นประชาธิปไตยไม่ หากเป็นการล้มล้างระบอบทักษิณที่ทำให้เกิดคอรัปชั่นและฉ้อราษฎร์บังหลวงโดยรัฐบาลทรราชโดยแท้ แต่ฝ่ายทรราชกลับแก้เกี้ยวอ้างการกล่าวหาว่าเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่คนทั้งโลกเขานิยม เลยมีการปั้นน้ำให้เป็นตัวขึ้นมาด้วยการปลุกระดมบรรดาประชาชนคนระดับล่างที่ตามโลกไม่ทันทางสติปัญญาให้หลงเชื่อด้วยโครงการประชานิยม เช่น เอาเงินภาษีรายได้ของรัฐมาแจกจ่ายโดยไม่ต้องทำมาหากินอย่างสุจริต เช่น เงินกองทุนหมู่บ้าน เงินจำนำข้าว การเพิ่มรายได้ค่าจ้างขั้นต่ำ และเงินเดือนของบรรดาผู้จบการศึกษาขั้นปริญญาอันเป็นสิ่งที่ทำให้บรรดาผู้ประกอบการรายย่อยที่มีทุนน้อยต้องขาดทุนและล้มเลิกกิจการ และรัฐเองก็ไม่สามารถหารายได้มาให้พอเพียงกับรายจ่าย เปิดช่องให้นายทุนรายใหญ่เช่นนายทุนข้ามชาติที่มีทั้งจากในประเทศและจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนยึดครองที่ดินพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติของแผ่นดิน ทั้งหมดนี้เท่ากับเป็นการขายประเทศไทยและแผ่นดินไทยให้ต่างชาติโดยตรง นี่เป็นประการแรก ประการที่สองก็คือ รัฐทรราชให้ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดกับบรรดาปัญญาชนที่เป็นนักวิชาการ ข้าราชการพลเรือน ทหารและตำรวจที่ขาดมนุษยธรรมและจริยธรรมที่อยู่ภายใต้อำนาจเงินของรัฐที่มาจากการโกงกินให้ออกมาต่อต้านกับฝ่ายประชาชน โดยอ้างเหตุผลของการไม่เป็นประชาธิปไตย การเคลื่อนไหวและการกระทำของคนเหล่านี้นั้นเป็นสิ่งเห็นประจักษ์แก่วิญญูชนทั่วไป แต่ก่อนเคยเห็นเป็นประจักษ์แต่เพียงทรราชหน้าเหลี่ยม ญาติพี่น้องและบริวารสามารถซื้อเสียงการเลือกตั้งให้มีเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภาจนเป็นเผด็จการรัฐสภา และการใช้อำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจและอามิสสินจ้างหว่านล้อมบรรดาข้าราชการประจำทั้งพลเรือน ทหารบางรุ่นบางเหล่าและตำรวจเกือบทั้งสถาบันให้มาเป็นขี้ข้าเครื่องมือของตนเท่านั้น แต่คราวนี้ก็ได้เห็นแนวร่วมจากกกลุ่มคนชั้นสูง คนเคยเป็นผู้ดีมีตระกูล และคนกลุ่มปัญญาชน เช่น อาจารย์ระดับด๊อกเตอร์ด๊อกตีน นักศึกษา และมิจฉาชีพที่เอาผ้าเหลืองมาห่มพรางกาย คนกลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้แม้ว่าจะไม่ออกมาทำการรุนแรง แต่กลับดูร้ายแรงยิ่งเสียกว่าเพราะเป็นกลุ่มที่พยายามอ้างความถูกต้องชอบธรรมของรัฐบาลไอ้หน้าเหลี่ยมและพรรคพวกว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยที่ถูกต้องและรักษากฎหมายรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด สมคบกับพวกสื่อที่ชั่วร้ายทางโทรทัศน์และสื่อสิ่งพิมพ์ออกมาประนามและขัดขวางการต่อต้านเรียกร้องของมวลมหาประชาชน คนเหล่านี้ก็เช่นเดียวกันที่นอกจากเป็นทาสน้ำเงินของไอ้หน้าเหลี่ยมแล้ว ก็เห็นว่าไอ้กัน ไอ้กิด และไอ้เศสคือพ่อแม่ หลาย ๆ คนเคยเป็นคนใหญ่คนโตและเป็นข้าราชการผู้ใหญ่เคยรับใช้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เคยถวายสัตย์ปฏิญาณดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยาหรือเคยสาบานตนต่อธงชัยเฉลิมพล ให้ความสำคัญกับองค์พระมหากษัตริย์ในฐานะพระประมุขในการปกครองระบอบประชาธิปไตย แต่ทุกวันนี้กลับแลเห็นว่าไอ้กันเป็นประมุขแทน ก็เลยเข้าทางกับความคิดเชิงวาทกรรมของข้าพเจ้าว่า ความขัดแย้งครั้งนี้คือวาทกรรมของคนฝ่ายหนึ่งคือฝ่ายทรราชหน้าเหลี่ยมที่อ้างประชาธิปไตยแบบไอ้กันเป็นประมุขว่า ทันสมัยและถูกต้องกับสากลโลก เพื่อนำไอ้กันกับพรรคพวกเข้ามาให้การสนับสนุนและร่วมกันเข้ามาครอบครองและแย่งทรัพยากรทั้งหลายที่มีของประเทศ ที่เคยให้ความสมบูรณ์พูนสุขและการมีชีวิตร่วมกันอย่างไม่ขัดสนและราบรื่นมาแต่โบราณนับหลายศตวรรษในลักษณะที่เรียกว่า สังคมชาวนา ในขณะที่ทางฝ่ายมวลมหาประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวกันมากมายแบบถล่มทลายหลายล้านคนที่ไม่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ชาติไทย ก็คือระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ที่ประชาราษฎร์ทั่วทั้งประเทศยังมีความเชื่อมั่นในองค์พระมหากษัตริย์ว่ายังเป็นที่พึ่งในยามเกิดยุคเข็ญและเป็นศูนย์รวมทางจิตวิญญาณของผู้ที่เป็นคนไทยอยู่ การออกมาปฏิวัติของกองทัพครั้งนี้คงไม่เหมือนครั้งใด ๆ ในการปฏิวัติรัฐประหารที่เคยมีมา ซึ่งพอสรุปได้ว่าทุกครั้งของการปฏิวัตินั้นเกิดภาวะขัดแย้งทางเศรษฐกิจการเมืองในชาติอย่างรุนแรง อันเนื่องมาจากรัฐบาลเป็นเผด็จการ ผู้นำทหารที่ทำการปฏิวัตินั้นเริ่มต้นก็เจตนาดี แต่พอมีอำนาจเต็มที่ก็ไม่ยอมปล่อยให้เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยจริงแบบเผด็จการทุกที จากเผด็จการของขุนศึกจนมาถึงเผด็จการของนายทุนจนถึงยุคทรราชหน้าเหลี่ยมที่ทำความพินาศให้บ้านเมืองและผู้คนในทุกมิติของสังคมไม่ว่าเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม จนผู้คนในสังคมรุ่นใหม่ในปัจจุบันทนต่อไปไม่ได้ เกิดการตื่นรู้และรวมตัวกันขับไล่และล้มร้างทรราชในขณะนี้ ซึ่งก็ไม่มีทางสำเร็จด้วยวิธีอหิงสาจึงต้องมีกำลังฝ่ายทหารที่ตื่นรู้รักบ้านรักแผ่นดินและรักพระมหากษัตริย์ออกมาจัดการ แน่นอนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเพื่อให้มีการปฏิรูปก่อนที่จะมีการเลือกตั้งนั้น ไม่มีทางใช้อำนาจตามกฎหมายรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยได้ ต้องเป็นอำนาจปฏิวัติแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น จากการเฝ้าติดตามและสังเกตพฤติกรรมและบทบาทของคณะทหารที่ทำการปฏิวัติในครั้งนี้ ผู้นำทหารรุ่นนี้ได้เรียนรู้และตื่นรู้ในความล้มเหลวและผิดพลาดของการปฏิวัติมาดีพอ อีกทั้งไม่เคยคิดจะปฏิวัติมาก่อนและพยายามหลบหลีกไม่แสดงอะไรที่เป็นการก้าวร้าวแสดงอำนาจกับทางฝ่ายรัฐบาลตลอดเวลา หากเฝ้าดูพฤติกรรมอย่างต่อเนื่องด้วยความอดทน อย่างครั้งน้ำท่วมใหญ่ใน พ.ศ. ๒๕๕๓ ตอนเริ่มต้นของรัฐบาลน้องสาวไอ้หน้าเหลี่ยมซึ่งนับได้ว่าเป็นความล้มเหลวที่สำคัญ ทำให้เกิดความเดือดร้อนอย่างสาหัสแก่ผู้คน รัฐบาลไม่มีทางเป็นที่พึ่งได้ แก้ไขอะไรไม่ได้ มีแต่ทหารเท่านั้นที่ออกมาช่วยเหลือประชาชนอย่างจริงใจ โดยเฉพาะผู้บัญชาการทหารบกผู้ที่เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติในขณะนี้ แม้ว่าในเวลาต่อ ๆ มาทหารก็ดูยิ่งระวังตัวในการที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการปกครองและบริหารของรัฐบาลที่แทบไม่มีอะไรเลยที่ไม่เกี่ยวกับการทุจริตคอรัปชั่นและการแสดงอำนาจเถื่อนของบรรดานักการเมืองและบริวารที่มีทั้งทหาร ตำรวจ ข้าราชการพลเรือนและกองกำลังโจรเสื้อแดง แทบทุกครั้งที่ประชาชนมีการเคลื่อนไหว คัดค้าน ต่อต้านรัฐบาลทหารก็ดูเพิกเฉยโดยเฉพาะปล่อยให้พวกตำรวจขี้ข้าออกมาจับกุม ข่มเหงประชาชนครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้คนเป็นจำนวนมากแม้แต่ข้าพเจ้าเองรู้สึกว่าทหารไม่เอาไหนและถูกซื้อได้ด้วยเงินของทรราชที่คดโกงแผ่นดินมา ทหารเพียงพูดอย่างขอไปทีว่า ไม่เลือกข้างไหนแต่เลือกอยู่ข้างประชาชนและสั่งกองกำลังทหารเข้ามาประจำสถานที่สำคัญที่เกิดความรุนแรงจากการใช้อาวุธสงครามทำร้ายและฆ่าประชาชน และในยามที่ตำรวจของฝ่ายทรราชและอันธพาลเสื้อแดงเข้าโจมตี ฆ่าฟันประชาชนที่ไม่มีอาวุธก็เกิดปรากฎการณ์ที่มีกองกำลังนิรนามซึ่งก็น่าจะเป็นทหารที่รักบ้านรักแผ่นดินออกมาทำการต่อสู้ช่วยเหลือประชาชน ทำให้ทางฝ่ายทรราชไม่สามารถกวาดล้างมวลมหาประชานที่คัดค้านได้สำเร็จ ทหารก็คงทำได้เท่านี้แม้ว่าฝ่ายรัฐบาลทรราชจะถูกกระบวนการศาลยุติธรรมตัดสินให้กลายเป็นรัฐบาลรักษาการณ์ที่ไม่อาจเป็นรัฐบาลโดยชอบธรรมอย่างเต็มที่ได้ การต่อต้านและการขับไล่รัฐบาลทรราชที่ชั่วร้ายนี้ ได้ดำเนินการกว่า ๖ เดือนเต็ม แต่รัฐทรราชก็ยังดื้อด้านอ้างการเป็นรัฐบาลที่มาจากเสียงเลือกตั้งส่วนมากอย่างเดิม ไม่ยอมลาออกเพื่อให้มีการปฏิรูปโครงสร้างการเมืองการปกครองกันใหม่ แต่ยืนกรานให้มีการเลือกตั้งแบบเดิมที่จะทำให้นักการเมืองฝ่ายตนได้เลือกตั้งเข้ามาเป็นเผด็จการรัฐสภาใหม่ ทางฝ่ายมวลมหาประชานจะเคลื่อนไหวกดดันอย่างใดก็ไม่ยินยอม แถมระดมสรรพกำลังของพวกตำรวจโจรและอันธพาลเสื้อแดงนำอาวุธสงครามมาแทบทุกสารทิศ เตรียมการฆ่าฟันประชาชนด้วยอาวุธสงครามอย่างโหดร้าย เพราะได้ใจว่าฝ่ายประชาชนไม่มีอาวุธและทำการต่อสู้ด้วยวิธีอหิงสาอย่างเดียว จนเมื่อเหตุการณ์เข้าสู่ภาวะวิกฤต ทหารจึงได้ออกโลงมาระงับข้อพิพาทด้วยการประกาศกฎอัยการศึก และให้ทั้งฝ่ายรัฐทรราชกับฝ่ายมวลมหาประชาชนตกลงกัน ซึ่งก็ไม่มีทางสำเร็จและความรุนแรงก็เริ่มเพิ่มขึ้น และทหารเองก็ถูกรุมด่าจากทั้งสองฝ่าย ฝ่ายรัฐต้องการปรามไม่ให้ทหารออกมาด้วยวิธีการเช่นเดิม คือกล่าวหาว่าจะทำการปฏิวัติรัฐประหารอย่างที่เคยมีมา ส่วนฝ่ายมวลมหาประชาชนที่ไม่ชอบการปฏิวัติโดยทหารก็มี และที่ต้องการให้ทหารออกมาเป็นกองกำลังให้ฝ่ายประชาชนก็มาก ในวาระเช่นนี้ที่หลายคนสิ้นหวังในทหาร เพราะเชื่อว่าผู้นำทหารหลายคนถูกซื้อโดยทรราช ทหารจึงประกาศยึดอำนาจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควบคุมบุคคลที่ออกมาเคลื่อนไหวทั้งสองฝ่ายและปราบปรามกลุ่มคนมีอาวุธสงครามและทำร้ายฆ่าฟันประชาชน ในการปฏิวัติของทหารครั้งนี้ข้าพเจ้าให้ใจกับทหารหาญเต็มร้อย เพราะเป็นปาฏิหาริย์ในอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของบ้านเมืองที่จะช่วยชีวิตประชาชนและประเทศชาติให้อยู่รอดจากทรราชชั่วร้ายของแผ่นดิน และการเป็นขี้ข้าทางเศรษฐกิจการเมืองและวัฒนธรรมของมหาอำนาจทุนนิยมประชาธิปไตย ดังเช่นไอ้กันไอ้กิดไอ้เศสและบริวาร ทหารปฏิวัติครั้งนี้หาได้เป็นไปเพื่อความต้องการอำนาจเพื่อเข้ามาเป็นรัฐบาลแทนอย่างแต่ก่อน ๆ หากปฏิวัติด้วยตื่นรู้และเรียนรู้อย่างแท้จริง ซึ่งก็เห็นได้จากคำกล่าวของหัวหน้าคณะปฏิวัติคือแม่ทัพบก ทหารตระหนักรู้ในบทเรียนของการปฏิวัติที่แล้วมาเป็นอย่างดี หาได้มุ่งยึดอำนาจเพื่อปกครองเป็นรัฐบาลเสียเอง แต่ทนไม่ได้กับการสูญเสียชีวิตของประชาชน ทนไม่ได้กับการกล่าวร้ายให้ร้ายพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพรักของทุกคนในชาติ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ การประนามบุคคลชั่วร้ายในชาติที่ทรยศรับเงินอุดหนุนของรัฐบาลมหาอำนาจเข้ามาแหย่เพื่อเสริมความถูกต้องให้กับทรราชหน้าเหลี่ยมและพรรคพวกในการเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยที่เสียงส่วนใหญ่มาจากการเลือกตั้งโดยการซื้อเสียงและขายเสียง ในที่สุดการปฏิวัติครั้งนี้มีโรดแมพอย่างคร่าว ๆ ที่สอดคล้องกับของมวลมหาประชาชน คือต้องปฏิรูปก่อนที่จะให้มีการเลือกตั้งที่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ความสำคัญอยู่ที่การปฏิรูป ถ้าหากไม่มีการปฏิรูปอย่างถอนรากถอนโคนในทางโครงสร้างการปกครองและการบริหารที่ใช้อำนาจรวมศูนย์อย่างที่เคยมีมาก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น คงเข้าสู่อีหรอบเดิม แต่การปฏิรูปครั้งนี้จะสำเร็จได้ดีก็ต้องอาศัยอำนาจปฏิวัติที่หลีกไม่พ้นการเป็นเผด็จการ หัวหน้าคณะปฏิวัติผู้เป็นผู้นำทางทหารก็จำต้องมีอำนาจสูงสุดในการสั่งการ และคงต้องอาศัยอำนาจตุลาการศาลทหารรวมทั้งการประกาศกฎอัยการศึกในวาระจำเป็นเป็นเครื่องมือ ความสำเร็จจะเกิดได้จากความซื่อตรงและความกล้าหาญทางจริยธรรมของหัวหน้าคณะปฏิวัติโดยตรง หญิงชาวบ้านในสงครามเวียดนามถูกทหารสหรัฐอเมริกาใช้ปืนกลจี้หัว ถือเป็นภาพจากสงครามเวียดนามที่มีชื่อเสียงและเป็นที่คุ้นเคยทั่วโลก ซึ่งเมื่อปฏิรูปให้เกิดโครงสร้างใหม่และการกระจายอำนาจอย่างมั่นคงแล้ว จึงจะถึงเวลาของการเข้าสู่การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยอีกวาระหนึ่ง ข้าพเจ้าให้ใจและให้ความหวังกับผู้บัญชาการทหารบกคนนี้ซึ่งเป็นผู้นำในการปฏิวัติว่าน่าจะทำได้สำเร็จ เพราะได้แลเห็นพฤติกรรมที่ฉลาดและมีความจริงใจในคำพูดและการกระทำตลอดเวลากว่าสองปีที่ผ่านมาภายใต้รัฐบาลทรราชของน้องสาวไอ้หน้าเหลี่ยม โดยเฉพาะจุดเริ่มต้นของการที่ทหารออกมาช่วยเหลือประชาชนไม่ให้จมน้ำตายในขณะที่ทางรัฐบาล “เอาไม่อยู่” และภายหลังปฏิวัติแล้วดำเนินการช่วยเหลือประชาชนที่ถูกโกงจากการจำนำข้าวของรัฐบาลทรราช รวมทั้งการระบุถึงการที่มีกลุ่มนักวิชาการและปัญญาชนออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านโดยได้รับและหนุนจากรัฐบาลไอ้กัน ซึ่งย่อมแสดงให้เห็นว่าทหารและคณะปฏิวัติไม่หวั่นไหวต่อการข่มขู่ของไอ้กันและพรรคพวก ข้าพเจ้าคิดว่าความสำคัญตั้งแต่นี้ไปก็คือ คณะปฏิวัติและมวลมหาประชาชนจะต้องเผชิญกับศึกกับมหาอำนาจทุนนิยมเสรีประชาธิปไตย เช่นไอ้กันไอ้กิดไอ้เศสและไอ้ออสซี่ที่จะเคลื่อนไหวโดยมีตัวแทนคือบรรดานักวิชาการปัญญาชนและนายทุนข้ามชาติให้บีบคั้นให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว พร้อมกันปลุกปั่นให้คนเข้าใจว่าพระมหากษัตริย์และสถาบันคือเหตุใหญ่ของความไม่เจริญและล้าหลังของประเทศ และสถาปนารัฐประชาธิปไตยทุนนิยมแบบไอ้กัน ซึ่งอาจเอื้อมไปถึงการมีโรดแมพที่จะมีประธานาธิบดีเป็นประมุขแทนพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศด้วย เพราะฉะนั้นสังคมไทยกำลังเข้าสู่ทางแยก [Turning Point] ระหว่างการเป็นประชาธิปไตยแบบพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือประชาธิปไตยทุนนิยมแบบไอ้กันคือมีประธานาธิบดีเป็นประมุข ทางหลังนั้นคือความหายนะล่มสลายของคนไทยทั้งชาติที่บรรดามหาอำนาจทางเศรษฐกิจจะเข้ามาแย่งชิงทรัพยากรในประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์เช่นประเทศไทยแล้ว ยังเป็นการปล่อยให้บรรดานายทุนข้ามชาติทั้งภายในและภายนอกเข้ามาครอบครองประเทศด้วย เพราะบรรดานายทุนเหล่านี้คือพวกมองโลกแบบไร้พรมแดนไม่จำเป็นต้องมีชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์อีกต่อไป สุดท้ายนี้ในความคิดของข้าพเจ้าอย่างตื้น ๆ ในเรื่องทางเลือกทางแรกที่เป็นประชาธิปไตยแบบที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น จำเป็นต้องปฏิรูปให้มีการกระจายอำนาจไปยังท้องถิ่นให้เกิดรัฐบาลท้องถิ่นขึ้น ดูแลให้เกิดระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงที่มีความสัมพันธ์กับฐานทรัพยากรของแต่ละท้องถิ่น ในขณะเดียวกันก็ต้องจัดการในเรื่องการดำรงอยู่ของสถาบันกษัตริย์ ให้ปลอดจากการที่ถูกโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเป็นกลุ่มทุนอีกกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาแอบแฝงในพระนามของพระมหากษัตริย์ กลุ่มทุนที่แฝงอยู่ในนามของสถาบันดังกล่าวนี้มีความชั่วร้ายพอ ๆ กับกลุ่มทุนข้ามชาติในการทำลายฐานทรัพยากรของท้องถิ่นเหมือนกัน สำหรับการคุกคามข่มขู่ทางเศรษฐกิจการเมืองที่มาจากไอ้กันและพรรคพวกนั้น ข้าพเจ้าคิดว่าปัญญาชนที่รู้ซึ้งในฐานทรัพยากรของประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพและความอุดมสมบูรณ์ของน้ำและแผ่นดิน ไม่เคยกลัวหรือหวั่นไหวในการที่จะต้องปิดประเทศเพื่อความอยู่รอดเพราะ “เมืองไทยนั้นปิดประเทศ ๕ ปี คนไทยก็มีกินและอยู่ได้ แต่นายทุนที่เป็นขี้ข้าอเมริกันคงไม่รอดสักราย”

เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page