พบผลการค้นหา 220 รายการ
- ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และความทรงจำยะรังชุมชนในเขตเทือกเขาสันกาลาคีรี
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2554 ท้องถิ่นยะรัง เป็นบริเวณที่อุดมไปด้วยชุมชนโบราณและแหล่งโบราณคดีที่หนาแน่นที่สุดแห่ง หนึ่งในเขตจังหวัดภาคใต้ หรืออีกนัยหนึ่งทั้งของคาบสมุทรมลายูก็ว่าได้ จากการขุดทำลายแหล่งโบราณคดีเป็นเหตุให้นักวิชาการนักโบราณคดีทั้งไทยและเทศ เข้ามาศึกษากันตลอดมาร่วมกว่า ๙๐ ปี ผังของชุมชนบ้านเมืองขนาดใหญ่ในราวคริสต์ศตวรรษที่ ๖-๗ หรือก่อนหน้านั้น สัมพันธ์กับรัฐศรีวิชัยในเขตคาบสมุทรมลายูและหมู่เกาะที่นับถือลัทธิศาสนาฮินดู-พุทธ แต่ละท่านมีความเห็นพ้องกันว่าชุมชนโบราณที่มากไปด้วยแหล่งโบราณคดีดังกล่าวนี้ มีพัฒนาการมาตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๒ ประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งคือ เป็นที่ตั้งเมืองสำคัญของรัฐในสมัยยุคต้นประวัติศาสตร์ที่มีการดำรงอยู่ อย่างสืบเนื่อง จนถึงสมัยที่เป็นรัฐปัตตานีในสมัยกรุงศรีอยุธยาลงมา โดยเฉพาะรัฐลังกาสุกะที่ต่อมา คือ ปัตตานี แต่ความเห็นที่ต่างกันของบรรดานักปราชญ์เหล่านี้คือ การกำหนดชื่อรัฐในยุคต้นประวัติศาสตร์ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๒ นี้ เพราะต่างก็นำชื่อของลังกาสุกะไปเปรียบเทียบกับชื่อของรัฐที่ปรากฏในจดหมาย เหตุจีนโดยเฉพาะคำว่า หลังยะสิ่ว จุดอ่อนของการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติชุมชนโบราณในเขตยะรังที่แล้วมา นั้น คือการเอาหลักฐานจากภายนอกมากำหนดเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าในสมัยหลัง ๆ จนกระทั่งปัจจุบันอันเป็นเวลาที่มีการสำรวจและขุดค้นทาง โบราณคดีกันอย่างกว้างขวางแล้วก็ตาม ก็ยังมีการตีความที่ผูกกับการกำหนดชื่อเมืองและชื่อรัฐจากหลักฐานจากภายนอก เช่นเดิม ทำให้ไม่เห็นพัฒนาการจากภายในที่สะท้อนให้เห็นจากหลักฐานทางโบราณคดีที่มี อย่างมากมาย ดังนั้นในที่นี้การตีความจากหลักฐานทางโบราณคดี ประวัติศาสตร์ เพื่อสร้างภาพพัฒนาการของบ้านเมืองในท้องถิ่นยะรัง จะเป็นการพิจารณาหลักฐานในตำแหน่งทางภูมิประเทศ สภาพแวดล้อมและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เชื่อถือได้ในสมัยรัฐปัตตานี อันเป็นพัฒนาการของบ้านเมืองในยุคหลังก่อนแล้วจึงพิจารณาย้อนหลังไปถึงสมัย อดีตที่ห่างไกล ถ้าพิจารณาจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และตำนานท้องถิ่นแล้ว แหล่งโบราณคดีและชุมชนโบราณในเขตยะรังเกิดขึ้นในลุ่มน้ำตาปี จึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐปัตตานีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เรื่องราวของปัตตานีนั้น ผู้รู้มักสนใจแต่เรื่องทางเอกสารและร่องรอยของบ้านเมืองที่อยู่ตามชายฝั่ง ทะเล โดยเฉพาะในเขตอำเภอเมืองเป็นสำคัญ ทั้ง ๆ ที่รัฐปัตตานีนั้นเป็นที่ยอมรับและรู้จักกันทั่วไปว่า เป็นรัฐอิสลามที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากหลักฐานทางโบราณคดีในขณะนี้อาจกล่าวได้ว่า ร่องรอยของชุมชนโบราณและหลักฐานทางโบราณคดีที่นายอนันต์ วัฒนานิกร ปราชญ์ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่นของจังหวัดปัตตานี ได้ทำการศึกษาค้นคว้ามากว่า ๔๐ ปี จนกระทั่งปัจจุบัน ที่กำหนดว่าอยู่ในเขตบ้านประแวและบ้านวัด รวมทั้งระบุถึงการกระจายของแหล่งศาสนสถานกว่า ๓๑ แห่งนั้น แสดงให้เห็นว่าเป็นเมืองโบราณขนาดใหญ่และมีการสืบเนื่องที่เห็นได้ชัดเจน กว่าแห่งอื่น ๆ ในดินแดนภาคใต้ทั้งหมด ทำให้สามารถนำมาเชื่อมโยงกับบรรดาแหล่งชุมชนโบราณในลุ่มน้ำปัตตานีทั้งหมด และเห็นพัฒนาการของรัฐได้โดยมองไปที่ลุ่มน้ำปัตตานี ดังนี้ พื้นที่ตั้งแต่เขตอำเภอเทพา จังหวัดสงขลา มาทางตะวันออกจนถึงเขตอำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานีนั้น เป็นบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำที่ไหลจากเทือกเขาสันกาลาคีรีทางทิศใต้ที่กั้น เขตแดนประเทศไทยออกจากประเทศมาเลเซียทั้งสิ้น แม่น้ำในบริเวณดังกล่าวนี้มีอยู่หลายสาย คือ คลองเทพาหรือแม่น้ำเทพา แม่น้ำปัตตานี และแม่น้ำสายบุรี ตามลำดับ โดยที่ลำน้ำแต่ละสายไหลลงจากเทือกเขาแล้วผ่านหุบเขาแต่ละหุบเขาลงสู่ที่ราบ ลุ่มและลงสู่ทะเลโดยมีปากแม่น้ำของตนเอง เหตุที่เกิดลักษณะที่เป็นหุบเขาขึ้นนั้น เพราะมีเขาลูกโดดเป็นกลุ่ม ๆ ในบริเวณพื้นที่ตอนกลางก่อนถึงเขตชายทะเล แต่ละลำน้ำมีที่ราบลุ่มรูปสามเหลี่ยม (delta) ของตนเอง อันเกิดจากการที่ลำน้ำได้นำกรวดทรายและโคลนตะกอนจากเทือกเขาและที่สูงอัน เป็นบริเวณต้นน้ำลงมาทับถม ทำให้เกิดเป็นพื้นที่งอกยื่นออกไปในทะเล แต่การงอกของแผ่นดินดังกล่าวนี้ ยังไม่จำกัดอยู่แต่เพียงการกระทำของแม่น้ำเท่านั้น หากยังผนวกเข้ากับการกระทำของคลื่นลมบริเวณชายฝั่งทะเล ยังได้นำเอาทรายจากท้องทะเลเข้ามาทับถมเป็นแนวสันทรายตรงชายหาดด้านหน้าของ ที่ราบดินดอนสามเหลี่ยมอีกด้วย ลักษณะ ของการงอกของสันทรายและดินดอนสามเหลี่ยมนี้ ทำให้บริเวณที่ราบลุ่มมีทั้งบริเวณที่ดอนเหมาะแก่การตั้งถิ่นฐานบ้านเรือน และที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึงเหมาะแก่การเพาะปลูก ในขณะที่ชายฝั่งทะเลมีทั้งแนวตรงที่เป็นสันทรายและที่เวิ้งที่เป็นอ่าวเหมาะ กับการจอดเรือพักสินค้า ซึ่งในบรรดาปากแม่น้ำของทั้งสามสายนี้ แม่น้ำปัตตานีมีลักษณะเป็นที่กำบังลมได้ดีกว่าที่อื่น ๆ ด้วยเหตุดังกล่าวนี้เองที่ทำให้เกิดบริเวณสถานีพักสินค้าซึ่งต่อมาพัฒนาขึ้นเป็น เมืองท่าสำคัญที่มีผลส่งต่อไปถึงการเกิดเมืองภายในและเส้นทางข้ามคาบสมุทรขึ้น ในบริเวณต้นน้ำทั้งแม่น้ำเทพา แม่น้ำปัตตานีและแม่น้ำสายบุรีต่างก็ถือกำเนิดจากต้นน้ำบนเทือกเขาสันกาลา คีรีในเขตอำเภอธารโต อำเภอบันนังสตา และอำเภอศรีสาครเหมือนกัน และจากต้นน้ำเหล่านี้ต่างก็สามารถข้ามสันปันน้ำไปยังบรรดาต้นน้ำของแม่น้ำสุ ไหงมูคาและสุไหงเประที่จะลงไปสู่บรรดาบ้านเมืองในเขตรัฐเดคาห์ หรือไทรบุรีและรัฐเประทางฝั่งทะเลอันดามันของมาเลเซียได้ แต่เส้นทางข้ามคาบสมุทรกลับเป็นเส้นทางที่ข้ามสันปันน้ำจากเขตมาเลเซียมาลง ทางลำน้ำปัตตานีเพื่อไปยังชุมชนบ้านเมืองทางปากน้ำที่มีอ่าวจอดเรือได้ดี กว่าทางลำน้ำเทพาและลำน้ำสายบุรีตามที่กล่าวมาแล้ว ถ้าหากพิจารณาลักษณะภูมิประเทศที่สัมพันธ์กับพัฒนาการของบ้านเมืองในลุ่มน้ำ ปัตตานีแล้วอาจแบ่งออกได้เป็น ๓ บริเวณคือ ที่สูงและทิวเขา บริเวณที่ราบลุ่มในหุบเขา และบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำของฝั่งทะเล บริเวณที่สูงและภูเขาอันเป็นบริเวณแรกนั้นอยู่ในเขตอำเภอบันนังสตาขึ้นไป ซึ่งปัจจุบันนี้ทางราชการได้ทำเป็นอ่างเก็บน้ำ บริเวณนี้ไม่พบหลักฐานทางโบราณคดีในสมัยประวัติศาสตร์ คงมีหลักฐานในยุคก่อนประวัติศาสตร์ประปราย แต่น่าจะเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นของป่านำมาเป็นสินค้าออกได้ หลายอย่าง บริเวณหุบเขาอันเป็นที่ราบลุ่มที่อยู่ตรงกลางของลุ่มน้ำ เป็นแหล่งที่ผู้คนมาสร้างบ้านแปงเมืองได้ อีกทั้งมีบรรดาถ้ำและเขาลูกโดดที่ผู้คนใช้กำหนดเป็นสถานที่และการประกอบ พิธีกรรมกันหลายแห่ง ปัจจุบันบริเวณนี้อยู่ในท้องที่เขตอำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา จากการสำรวจทางโบราณคดีพบตำแหน่งเมืองโบราณที่บริเวณสนามบิน ซึ่งก็ได้ถูกทำลายให้หมดไปครั้งสร้างสนามบินแล้ว เมืองโบราณดังกล่าวนี้อยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปัตตานี แต่บรรดาศาสนสถานที่สัมพันธ์กับเมืองนี้ยังคงอยู่ตามบรรดาถ้ำและเขาลูกโดด ซึ่งเมื่อมีการสำรวจแล้วพบเครื่องมือหินและเศษภาชนะดินเผาของมนุษย์สมัยก่อน ประวัติศาสตร์ โบราณสถานทางพุทธศาสนา ภาพเขียนสีและพระพุทธรูป ในบรรดาเขาและถ้ำเหล่านี้ ถ้ำเขาคูหาและถ้ำศิลป์มีคนรู้จักมากกว่าเพื่อน เพราะมีการใช้สืบเนื่องเรื่อยลงมา ในสมัยหลัง ที่ถ้ำคูหามีการกำหนดให้เป็นวิหารที่มีการสร้างพระพุทธรูปใหญ่น้อยขึ้นบูชา มีควรแก่สมัยประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ เพราะพบพระพิมพ์ดินดิบทั้งแบบศิลปะทวารวดีและศิลปะศรีวิชัยปะปนกัน ภายหลังมีการสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะพระนอน เลยกลายเป็นศาสนสถานที่สำคัญจนปัจจุบันนี้ ส่วนถ้ำศิลป์นั้นไม่มีการสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ เช่น ถ้ำคูหาเพราะทางขึ้นลำบาก หากถูกใช้เป็นถ้ำที่จำศีลภาวนาของบรรดาพระภิกษุและนักพรต ในระยะแรกพบพวกเครื่องมือหินและภาพเขียนสีของกลุ่มชนที่ยังไม่นับถือพุทธ ศาสนา เช่น ภาพคนนุ่งผ้าเตี่ยว เป่าลูกดอกในการล่าสัตว์ เป็นต้น ในระยะหลังที่เป็นที่พำนักของพระสงฆ์แล้ว มีการเขียนภาพสีเป็นภาพพุทธประวัติและภาพพระพุทธเจ้าในคติทางมหายานขึ้น มีอายุไม่ต่ำกว่าพุทธศตวรรษที่ ๑๔ - ๑๕ และยังมีภาพชาดกในรุ่นหลังลงมาอีกแต่ทว่าลบเลือนไปเกือบหมดสิ้นแล้ว จากหลักฐานดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่า บริเวณลุ่มน้ำปัตตานีตอนกลางที่อยู่ในเขตจังหวัดยะลานั้นเป็นบ้านเมืองภายใน ของเส้นทางการค้าข้ามคาบสมุทรที่เกิดขึ้นราว พุทธศตวรรษที่ ๑๔ - ๑๕ ลงมา บริเวณที่ราบลุ่มน้ำในชายฝั่งทะเล นับเป็นบริเวณที่สำคัญที่สุดในเรื่องพัฒนาการของบ้านเมืองและรัฐ บริเวณดังกล่าวนี้อยู่ในเขตจังหวัดปัตตานีทั้งหมด โดยเริ่มแต่บริเวณกิ่งอำเภอแม่ลานอันเป็นบริเวณที่ลำน้ำปัตตานีไหลผ่านที่ ราบบริเวณหุบเขาจากเขตอำเภอเมืองยะลาลงมา บริเวณนี้เป็นที่ราบลุ่มเป็นเวิ้ง โดยมีเขากาลาคีรีและเขาลูกโดดที่บ้านนาเกตุในเขตอำเภอโคกโพธิ์เป็นกรอบทาง ซีกตะวันตกและมีกลุ่มเขาลูกโดด ตั้งแต่กิ่งอำเภอทุ่งยางแดงผ่านอำเภอมายอไปจนจรดอำเภอปะนาเระที่ชายฝั่งทะเล เป็นกรอบด้านตะวันออก พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นดินดอนสามเหลี่ยมเกิดจากการทับถมของแม่น้ำ ทำให้แยกออกเป็นหลายสายไปออกทะเลที่นับแต่เขตอำเภอหนองจิกผ่านอำเภอเมือง อำเภอยะหริ่ง มาจนอำเภอปะนาเระ อาจกล่าวได้ว่าในบริเวณใกล้ชายฝั่งทะเลนี้ ลำน้ำปัตตานีแยกออกเป็นหลายสาย คล้าย ๆ กับปากซ่อม แต่บริเวณที่เป็นลำน้ำสำคัญในขณะนี้มีสองสายคือ ลำน้ำปัตตานี และลำน้ำยะหริ่ง และพื้นที่ชายฝั่งทะเลของทั้งสองลำน้ำนี้มีการกระทำของคลื่นลมที่ทำให้เกิด สันทรายขึ้น กลายเป็นอ่าวและสันทรายที่เหมาะแก่การออกเรือเดินทะเลยิ่งกว่าบริเวณอื่น ๆ ปัจจุบันเมืองที่อยู่ใกล้ทะเล คือ เมืองปัตตานีที่อยู่ริมแม่น้ำปัตตานี และเมืองยะหริ่งริมลำน้ำยะหริ่ง เป็นชุมชนที่เกิดใหม่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ลงมา แต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเมืองปัตตานีนั้นอยู่บนสันทรายชายอ่าวปัตตานีที่อยู่ ระหว่างลำน้ำปัตตานีและลำน้ำยะหริ่งอยู่ในเขตบ้านกรือเซะที่มีมัสยิดกรือเซะ เป็นศูนย์กลาง นายอนันต์ วัฒนานิกร ได้ทำการสำรวจและบันทึกหลักฐานไว้ว่าเคยเห็นทั้งแนวที่เป็นกำแพงเมือง และยังพบเศษภาชนะดินเผาเคลือบที่เป็นของจีนและของต่างประเทศมากมาย แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ตรงริมลำน้ำเก่าที่ผ่านท้ายเมืองในเขตบ้านกือเซะไปออกทะเลที่บ้านปาเระนั้น พบร่องรอยของชุมชนโบราณริมฝั่งน้ำและพบเตาเผาเครื่องปั้นดินเผาทั้งแบบเผา แกร่งและแบบเคลือบ ที่มีอายุขึ้นไปจนถึงสมัยอยุธยาตอนต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ลำน้ำปัตตานีในสมัยนั้นมาออกทะเลในบริเวณนี้ อีกทั้งเป็นลำน้ำที่สัมพันธ์กับเมืองปัตตานีในสมัยอยุธยาอย่างแท้จริง จากการสอบค้นของนายอนันต์ วัฒนานิกร พบว่าลำน้ำเก่าสายนี้มีร่องรอยที่ผ่านลงมาถึงแหล่งชุมชนโบราณและแหล่ง โบราณคดีในเขตบ้านประแว และบ้านวัดในเขตอำเภอยะรัง จากการศึกษาจากแผนที่และภาพถ่ายทางอากาศแสดงให้เห็นว่า แหล่งชุมชนโบราณในเขตบ้านประแวและบ้านวัดนั้น นอกจากมีร่องรอยของลำน้ำเก่าที่มาจากเขตบ้านกรือเซะหรือเมืองปัตตานีในสมัย อยุธยาเข้ามาถึงแล้วยังพบว่ามีร่องรอยทางน้ำที่ไปสัมพันธ์กับลำคลองตันหยงและลำน้ำยะหริ่งทาง ด้านตะวันออกอีกด้วย ลักษณะเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าบริเวณที่ชุมชนโบราณตั้งอยู่นั้น แต่เดิมเป็นที่ดอนทรายเกิดขึ้นจากการทับถมของลำน้ำปัตตานีตรงที่แยกออกมา หลายสาย ตั้งแต่บริเวณกิ่งอำเภอแม่ลานลงมา หรืออีกนัยหนึ่งบริเวณที่ดอนคล้ายเกาะที่ถูกขนาบด้วยลำน้ำหลายสาย ทั้งทางด้านตะวันตกและตะวันออก แต่การติดต่อกับชายทะเลนั้นคงเป็นตามทางลำน้ำเก่าที่ไหลไปออกทะเลที่อ่าว ปัตตานีใกล้กับเมืองปัตตานีที่บ้านกรือเซะนั่นเอง และจากตำแหน่งที่ตั้งที่ห่างทะเลไม่มากนัก สะท้อนให้เห็นว่า ชุมชนโบราณที่บ้านประแวและบ้านวัด มีลักษณะเป็นเมืองท่าที่อยู่เข้ามาในลำน้ำใหญ่ เช่นเดียวกับที่เมืองคูบัว เมืองนครปฐม (นครชัยศรี) รวมทั้งอยุธยา และกรุงเทพฯ ด้วย คือ ไม่อยู่ติดชายทะเล อีกทั้งในระยะเวลาที่บ้านเมืองที่อำเภอยะรังยังรุ่งเรืองอยู่นั้น ก็น่าจะอยู่ใกล้ทะเลมากกว่าในขณะนี้
- สงครามของใคร? (Whose War?)
เผยแพร่ครั้งแรก 26 พ.ค. 2559 “ปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ของไทยได้ถูกอธิบายว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อการร้ายชาวมุสลิม แต่ ยังมีสิ่งที่น่าติดตามมากกว่าที่มองเห็นด้วยตา” โดย Yap Lih Huey เขียนจาก Asia news ฉบับวันที่ 3 March 2006 Arifin bin Chik : แปล ผู้แปลเห็นว่าเป็นบทความที่ยังทันสมัยและสะท้อนให้ทราบถึงความรู้สึกลึก ๆ ของชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในจังหวัดนราธิวาส จึงได้แปลให้ท่านผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบอาจจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย ฉันได้รับการแนะนำให้รู้จักกับ เปาะดาล์ อายุ ๕๕ ปี เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ผู้มีใบหน้าและสุ้มเสียงที่อ่อนโยน เราพูดกันด้วยภาษามาเลย์ ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นของชาวมลายูในภาคใต้ของไทยคือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เราต้องการความเป็นส่วนตัวเล็กน้อย เนื่องจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของไทยส่วนใหญ่ ไม่เข้าใจภาษามาเลย์ การพูดคุยกันของเราเริ่มจากเรื่องบ้าน ครอบครัวและเพื่อน ๆ จนไปถึงปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ เปาะดาล์ เพ่งสายตาไปยังเจ้าหน้าที่ทหารที่กำลังสนทนาหยอกล้อกับนักเรียน โรงเรียนของเขาอยู่ภายใต้การคุ้มครองของทหาร มีนักเรียนประมาณ ๑,๐๐๐ คน จาก ๕ หมู่บ้าน เปาะดาล์ ชวนผมเข้าไปข้างในแล้วกระซิบว่า “มันเป็นเรื่องของตำรวจ ทหาร ผู้ก่อการร้าย กลุ่มมาเฟีย นักการเมือง ผู้มีอำนาจ เกี่ยวข้องกับเงิน ยาเสพติด และการอาฆาตพยาบาท” เขามองรอบ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครแอบฟัง ความรู้สึกตึงเครียดขึ้นเมื่อได้พูดถึงความไม่สงบของที่นี่ ชาวบ้านทุกคน ปัญญาชนมุสลิม นักกฎหมาย อดีตผู้ก่อการร้าย และอาชญากรรมที่ฉันพูดถึง พื้นที่ตรงนี้มาจากหลายๆพวกที่เกี่ยวข้อง ในขณะเดียวกัน ความเชื่อของคนทั่วไปและข่าวสารของทางราชการไทยเอง แสดงให้เห็นว่า ความไม่สงบในภาคใต้นั้นไม่เฉพาะเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้าย หรือกลุ่มแบ่งแยกดินแดน และความขัดแย้งทางศาสนาเท่านั้น แม้คนจำนวนน้อยจะรู้สึกเบื่อหน่ายกับการแบ่งแยกดินแดนและความแตกต่างทางศาสนา แต่พวกเขาสามารถแยกจากกัน ระหว่างความคิดและพฤติกรรม “พวกก่อการร้ายทำอะไรบ้าง นอกจากสร้างปัญหา ถ้าถามพวกทหารและตำรวจ แต่การกระทำของพวกเขา (เจ้าหน้าที่) สิบครั้ง เกิดผลร้ายมากกว่าการกระทำของกลุ่มก่อการร้ายเสียอีก” รุชดี อธิบาย เขาเป็นผู้ช่วยทำงานให้กับทนายความคนหนึ่ง จึงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในนราธิวาส ปกติเขาชอบที่จะขี่รถจักรยานยนต์ไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ เพื่อติดต่อกับชาวบ้าน ชาวบ้านบางคนพูดว่าความไม่สงบ มาจากการรวมอำนาจไปสู่ส่วนกลาง การฉ้อราษฎร์บังหลวง และการขาดการบริหารจัดการที่ดีของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ปัญหาได้ทวีมากขึ้นเมื่อนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ยกเลิกศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. (The Southern Border Provinces Administrative Committee (SBPAC) และก่อตั้งใหม่ที่เรียกว่า ศูนย์ประสานงานจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ กอส.จชต. Southern Border Provinces Coordination Center / SBPCC) ในต้นปี ๒๐๐๒, ปัจจุบันเรียกว่า กองอำนวยการรักษาความสงบชายแดนภาคใต้ (กอ.รส.จชต.) หรือ Southern Border Province Peace Building Command. “ทักษิณ ได้รับการแนะนำจากนายตำรวจเพื่อนของท่านเองว่า จะต้องปรับยุบ ศอ.บต. ตำรวจบอกอีกว่า ตำรวจจะสามารถแก้ปัญหาในภาคใต้ได้ภายในระยะเวลา ๖ เดือนเท่านั้น นี่ก็เป็นเวลา ๒ ปีแล้วอะไรดีขึ้นบ้าง” คำพูดของฮะญีอะหมัด นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ปัตตานี กอ.รส.จชต.ได้มอบอำนาจต่าง ๆ ให้แก่ฝ่ายตำรวจฝ่ายเดียว เป็นการลดอำนาจของฝ่ายทหาร นโยบายที่ผิดพลาดของ กอ.รส.จชต.ทำให้เกิดความขัดแย้งทางอำนาจระหว่างกลุ่มต่าง ๆ หลายกลุ่ม เดิมนั้น การบริหารภายใต้ ศอ.บต.อำนาจได้ถูกกระจายไปยังหน่วยที่เรียกว่า พตท.๔๓ ที่เป็นหน่วยผสมระหว่างพลเรือน ตำรวจและทหาร อยู่ภายใต้การกำกับของสำนักนายกรัฐมนตรี รวมทั้งมี หน่วยตำรวจปราบจราจล ผู้นำหมู่บ้าน ผู้นำศาสนา ครู กลุ่มนักธุรกิจ เข้าด้วยกัน ศอ.บต จึงเป็นหน่วยงานกลาง ประสานระหว่างรัฐบาลที่กรุงเทพฯกับองค์กรบริหารในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ ความขัดแย้งในอำนาจก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรม ที่สนับสนุนโดยฝ่ายนักการเมืองกังฉินในภาคใต้ สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายยิ่งขึ้นเมื่อได้มีการควบคุมผู้นำมุสลิม นักสังเกตการณ์ให้ความเห็น โดยชี้ถึงการรวมอำนาจและกำหนดนโยบายไว้ที่ส่วนกลางโดยการบริหารของ พ.ต.ท.ทักษิณ นักวิชาการคนหนึ่งเปิดเผย ประเทศไทยไม่เคยปล่อยวางจากการปกครองแบบรวมอำนาจมาก่อน จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายชาวมุสลิมในภาคใต้. การเปลี่ยนแปลง ศอ.บต.จึงได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากอดีตนายกรัฐมนตรี นายชวน หลีกภัย เมื่อ ๑๘ มิถุนายน ๒๐๐๒ เขาวิจารณ์ว่ารัฐบาลทักษิณได้ยกเลิกศอ.บต.และพตท.๔๓ โดยไม่เข้าใจปัญหาและสถานการณ์ที่แท้จริงในภาคใต้ “รัฐบาลไม่ยอมรับการชี้แนะในการออกระเบียบใหม่ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในภาคใต้ ซึ่งได้ทำลายความเป็นเอกภาพของหน่วยงานผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่หมดสิ้น นโยบายในอดีตควรจะได้รับการพัฒนาปรับปรุงให้เหมาะสมกับสถานการณ์มากกว่า (การยกเลิกไปเสียเลย)” เขากล่าว พร้อมกับเสริมว่าองค์กรทั้งสอง(ที่เลิกไป)ได้ร่วมแก้ไขปัญหาภาคใต้สำเร็จมาร่วม ๒ ศตวรรษแล้ว “เป็นการง่ายที่จะแก้ไขปัญหาภาคใต้หากทุกหน่วยงานสามารถนั่งโต๊ะเจรจาร่วมกัน” ฮะญีอะหมัดกล่าว “แต่เมื่อมีการขัดแย้งในการใช้อำนาจ จึงทำให้เกิดความยุ่งยาก ตำรวจไม่อาจจะรักษาความสงบได้ ครั้นเมื่อทหารเข้ามา(ภายใต้กฎหมายกฎอัยการศึก) อำนาจจึงตกอยู่กับทหารเรือและทหารบก” รุชดีกล่าวด้วยอารมณ์ ใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ปัจจุบันจึงได้ตกอยู่ภายใต้กฎหมายกฎอัยการศึกมาตั้งแต่ ๑๕ กรกฎาคม (ค.ศ.๒๐๐๕) ที่แล้ว กฎหมายดังกล่าวให้อำนาจทหารควบคุมผู้ต้องสงสัยได้โดยไม่ต้องมีหมาย (จับ) ห้ามการชุมนุมเรียกร้องของประชาชน ดักฟังโทรศัพท์ได้ ควบคุมข้อมูลข่าวสาร การกระทำละเมิดใดๆของเจ้าหน้าที่โดยอ้างกฎหมายดังกล่าวย่อมไม่มีความผิด ทนายความนักสิทธิมนุษยชน (ทนายสมชาย นีละไพจิตร) ที่ได้ให้การปกป้องช่วยเหลือชาวบ้านได้เป็นประเด็นปัญหาสำคัญของรัฐบาลไทย “ความจริงแล้ว ความไม่สงบเรียบร้อยได้เป็นโอกาสให้แก่บุคคลบางกลุ่ม เช่น กลุ่มค้ายาเสพติด ทหารต้องการงบประมาณจากรัฐบาลมากยิ่งขึ้น โดยอ้างว่าจะต้องใช้ในการปราบปรามผู้ก่อการร้าย เมื่อสิ่งสาธารณถูกเผาทำลาย รัฐบาลจะต้องผ่านงบประมาณให้ทหารเพื่อฟื้นฟู คุณรู้ไหมว่า ประเทศไทยมีการคอรัปชั่นมากน้อยแค่ไหน?” ตั้งแต่ ๑ มกราคม ๒๐๐๔ ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๐๐๕ ทรัพย์สินสาธารณะเช่นที่ทำการของรัฐและโรงเรียนใน ๓ จังหวัดภาคใต้ได้ถูกทำลายมากกว่าโรงเรียนสอนศาสนา ๖๓๕ แห่งทรัพย์สินสาธารณะถูกเผาทำลายในนราธิวาส ๓๙๓ แห่งในปัตตานี และ ๓๑๗ แห่งในยะลา อันเป็นสถิติของ กอ.รส.จชต. จากรายการวิทยุสุดสัปดาห์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อ ๘ ตุลาคม ๒๐๐๕ ท่านกล่าวว่า ท่านเชื่อว่าการล่มสลายของขบวนการยาเสพติดในเมืองสำคัญๆ ของภาคใต้ เช่น สุไหงโกลก จะทำให้ปัญหาความรุนแรงหยุดการขยายตัว ทักษิณได้พบกับผู้นำทางทหารเมื่อ ๓ เดือนก่อน ได้เจรจาหารือที่จะใช้เงินงบประมาณ ๕๖๗ ล้านล้านบาท (Bt567 billion/ US $ 14.46 Billion) ในการใช้จ่ายในปีต่อไป ชาวบ้านพูดถึงความไม่สงบเรื่องหลักเป็นการแสวงหาความยุติธรรม แต่ดูเป็นเรื่องตลกสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอคติต่อชาวบ้านมุสลิม ผลก็คือ พวกเขาจะประสบกับการฆาตกรรมหรือการสูญหายไปหากพวกเขากล่าวโจมตีการกระทำของพวกเจ้าหน้าที่หรือพวกก่อการร้าย ชีวิตขึ้นอยู่กับสถานที่หรือเวลา เขาได้เห็นสิ่งที่เขาไม่อยากจะเห็น การกระทำที่ขาดการควบคุมของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่ปรากฏในการรายงานข่าว ชาวบ้านส่วนมากจึงปิดปากเงียบเพื่อความปลอดภัย “คุณบอกมาซิ ใครที่ผมจะไว้ใจเชื่อถือได้บ้าง คนระดับผู้นำย่อมรู้ดี อะไรกำลังเกิดขึ้น ผู้ที่สร้างปัญหามากที่สุดเป็นเจ้าหน้าที่ระดับล่าง มีทั้งทหารดีและทหารชั่ว ตำรวจด้วยเช่นกัน เราไม่เชื่อสื่อมวลชนในท้องถิ่น เพราะพวกเขาจะบิดเบือนข่าว พวกเขาจะยกย่องเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ไม่ได้ให้ความสนใจประชาชน การฆาตกรรม การระเบิด การยิง เป็นเรื่องเบื่อหน่ายของทหาร มักจะถูกโยงกับผู้ก่อการร้ายมุสลิม ทำให้ศาสนาอิสลามเสียภาพลักษณ์ที่ดีไป” รูชดีกล่าว สถิติของตำรวจแสดงว่าในรอบ ๒ ปีที่ผ่านมา มากกว่าครึ่งของการฆาตกรรม ที่เป็นเรื่องส่วนตัว (ไม่เกี่ยวกับความมันคง) เกิดขึ้นต่อชาวมุสลิม เช่นในปัตตานี เกิดขึ้นต่อมุสลิม ๓๓๐ ราย ต่อไทยพุทธ ๑๔๑ ราย,ในยะลา เกิดขึ้นต่อมุสลิม ๒๒๒ ต่อ ไทยพุทธ ๙๙ , และนราธิวาสเกิดต่อมุสลิม ๑,๔๐๖ ต่อไทยพุทธ ๒๓๗ เจ้าหน้าที่แถลงว่า เชื่อว่าเหยื่อชาวมุสลิมส่วนใหญ่เป็นทั้งเจ้าหน้าที่รัฐหรือข้าราชการ ระหว่าง ๔ มกราคม ๒๐๐๔ ถึง ๔ มกราคม ๒๐๐๖ จำนวนทั้งสิ้น ๑,๐๗๖ คนถูกฆ่าตาย และ ๑,๖๐๐ คนได้รับบาดเจ็บ ตามตัวเลขของกองทัพภาค ๔ ตัวเลขของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ เกิดจากทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐและฝ่ายผู้ก่อการร้ายที่เกี่ยวโยงกับการแบ่งแยกดินแดน กลุ่มก่อการร้ายที่เรารู้จัก เช่น กลุ่มบีอาร์เอ็น, กลุ่มพูโล, เบอร์ซาตู มูจาฮิดดีน (จีเอ็มไอพี) และพูซากา เป็นเวลาไม่นานที่เข้ามาสร้างอิทธิพลใน ๓ จังหวัดภาคใต้ ต่อมาก็แทนที่ด้วยกลุ่มก่อการร้าย เป็นเยาวชนกลุ่มเล็ก ๆ ที่ถ่ายทอดไปสู่บุคคลต่อบุคคล ที่ต้องการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและการล้างแค้น ชีวิตมีความไม่แน่นอน ผู้ก่อการร้ายรุ่นใหม่ไม่มีความผูกพันกับกลุ่มเก่าที่กล่าวถึง พวกเขาไม่มีใครรู้จัก “พวกเขาอาจจะเป็นใครก็ได้..เราไม่รู้ว่าพวกเขามีลักษณะอย่างไร แต่อย่างหนึ่งที่ประจักษ์ คือ พวกเขาไม่กลัวความตาย เมื่อบิดามารดารู้ว่าสูญเสียลูกชาย ถูกฆ่าโดยไม่รู้เหตุผล เขาจะอยู่ไปทำไม? เยาวชนถืออาวุธปืนอย่างเปิดเผย มีการระเบิด การข่มขู่คุกคาม เขาเสียเลือดและร่างกาย โดยไม่เกรงกลัวสิ่งใด ๆ ตราบใดที่ความยุติธรรมยังไม่เกิดขึ้น” รุชดี กล่าว “จำนวนมุสลิมที่มีมากกว่าร้อยละ ๘๐ ของประชากรทั้งหมดในภาคใต้ ตำแหน่งในราชการมีอยู่ระหว่าง ร้อยละ ๔ ถึง ๒๐ เท่านั้นที่เป็นของชาวมุสลิม” ฮะญีอะหมัด พูดบ้าง ในคืนหนึ่งที่รุชดีพาผมซ้อนมอเตอร์ไซค์ของเขาไปยังหมู่บ้าน ที่เรียกว่า บ้านบาลูกาสะนอ ประมาณ ๔๕ นาทีจากเมืองนราธิวาสถึงที่นั่น เขาพูดว่า “ไม่มีใครกล้าเข้าไปในหมู่บ้านในเวลากลางคืน เราอาจจะถูกฆ่าได้ตลอดเวลาโดยใครก็ไม่รู้” เขาพูดกับผม มีประมาณ ๑,๓๐๐ หลังคาเรือนในหมู่บ้านบาลูกาสะนอ ทุกแห่งที่ผ่านไป ชาวบ้านจะหยุดทักทายกับรุชดี และสอบถามข่าวคราวของญาติพี่น้องที่ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวไว้ เราได้รับการเสนอชวนรับประทานอาหาร และเครื่องดื่มทุกแห่ง ผมได้รับการแนะนำให้รู้จักกับหัวหน้าหมู่บ้าน ซึ่งกำลังเข้ายามรักษาความปลอดภัยในหมู่บ้านโดยมีปืน เอ.เค.๔๗ อยู่ในมือ “ทหารไทยเราไม่อยากให้เข้ามาป้องกันหมู่บ้านเรา นอกจากพวกเราดูแลกันเอง ทั้งหญิงและชาย ต่างหมุนเวียนกันทุกค่ำคืน” หัวหน้าหมู่บ้านพูด เส้นทางที่เรากลับ รุชดีและผมได้มองเห็นชายสองคนกำลังเข็นรถยนต์กระบะคันหนึ่งอยู่ในดินทรายบนเส้นทางจะไปยังเมืองนราธิวาส ดูเขากระวนกระวาย กลัว และยุ่งยากใจบนใบหน้า พวกเขาไม่ใช่มุสลิม ก่อนที่เราจะเข้าไปให้การช่วยเหลือ รถปิคอัพก็พ้นจากทรายโดยมีชายมุสลิมสองคน ช่วยลากรถกระบะของเขาไปยังเมืองนราธิวาสที่พวกเขาทั้งสอง (ไทยพุทธ) กำลังจะไปชายดังกล่าวพยักหน้าและจับมือรุชดีและขอบคุณพวกเขา (มุสลิม) รุชดีหันมาทางผมและถามว่า “คุณว่ามีความขัดแย้งทางศาสนาไงล่ะ?” ผมบอกเขาว่า หากรัฐบาลไทยได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องและไม่กระทำรุนแรงต่อผู้ต้องสงสัย ว่าเป็นพวกก่อการร้าย เขาชิงสอดว่า “สิ่งที่พวกมุสลิมไปเป็นผู้ก่อการร้าย มิใช่เพียงปัญหาของความยากจน ปัญหาขัดแย้งทางศาสนาและเชื้อชาติเท่านั้น เมื่อศาสนาของคุณ และสิทธิของคุณถูกคุกคาม คนรักของคุณถูกฆ่า พวกคุณปราศจากความยุติธรรม คุณจะทำอย่างไร คุณจะหยิบปืนขึ้นต่อสู้หรือไม่?” เขาพูดและความเงียบก็เข้ามาแทนที่เป็นเวลานาน มันช่างฝังเข้าไปในความคิดของผมจริง.ๆ... !!! หมายเหตุ ชื่อบุคคลได้ถูกเปลี่ยนเป็นนามสมมติ เพื่อความปลอดภัย และเพื่อเป็นส่วนตัวในการสัมภาษณ์ การสนทนากันนี้ได้เรียบเรียงขึ้นที่มาเลเซีย
- คนไทยมาจากทะเล : ญี่ปุ่นพูด ฝรั่งกระพือ คนไทยตาม
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ย. 2546 เดี๋ยวนี้ในบางครั้งบางเวลา ข้าพเจ้าออกจะคล้อยตามสิ่งที่ฝรั่งนักวิชาการในยุคล่าอาณานิคมบอกว่า คนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่มีความคิดและสติปัญญาในการสร้างอารยธรรมให้กับตนเอง จึงต้องอาศัยการรับความเจริญมากจากภายนอก คือจากอินเดียและจีนมาเป็นรากฐาน เหตุนี้จึงมีการเรียกดินแดนในภูมิภาคนี้ว่า อินเดียตะวันออกบ้าง อินโดจีนบ้าง รวมทั้งเวลาจะอธิบายอะไรต่ออะไรทางศิลปวัฒนธรรมก็มักลากเข้าหาอินเดียและจีนอยู่ร่ำไป ทุกอย่างจึงมาจากข้างนอกทั้งสิ้น คนภายในคิดไม่เป็น เหตุที่ข้าพเจ้ามีความรู้สึกและคิดเช่นนี้ก็เพราะเมื่อเร็ว ๆ นี้ มีนักวิชาการไทยหลายคน สรรเสริญสิ่งค้นพบของนักวิชาการฝรั่งคนหนึ่งในเรื่องประวัติความเป็นมาของผู้คนและบ้านเมืองว่า “คนไทยมาจากทะเล” เลยทำให้ตื่นเต้นและถึงบางอ้อ ที่คัดค้านความคิดและความเชื่อแต่เดิมว่า คนไทยอพยพเคลื่อนย้ายจากประเทศจีนมาทางบก มาตั้งสุโขทัยและอยุธยาเป็นราชธานี ข้าพเจ้าเผอิญอยู่ในกระแสของการเผยแพร่ความคิดที่กำลังจะทำให้คนไทยเชื่อโดยบังเอิญ จึงใคร่แสดงความคิดเห็นไว้ในทีนี้ คือเมื่อต้นปี พ.ศ.๒๕๔๒ ที่แล้วมา มีการสัมมนาไทยศึกษากันที่จังหวัดนครพนม ข้าพเจ้าได้รับเชิญให้ไปเสนอบทความในการประชุมครั้งนี้ด้วย ก็มีนักวิชาการญี่ปุ่นคนหนึ่งคือ ศาสตราจารย์โยเนโอะ อิชิอิ ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ไทยท่านหนึ่ง ได้เสนอว่า มีหลักฐานทางเอกสารโบราณซึ่งแสดงให้เห็นว่า คนไทยที่สร้างบ้านแปงเมืองจนเกิดกรุงศรีอยุธยานั้นเป็นพวกมาจากทางทะเล ต่อมาก็มีฝรั่งคนหนึ่งค้นคว้าเรื่องนี้ออกมาเผยแพร่และชี้ให้เห็นว่าเป็นจริง จึงกลายเป็นสิ่งค้นพบใหม่ที่ค้านของเก่า จนทำให้นักวิชาการไทยคิดตามและเชื่อกัน อีกหน่อยก็คงจะเชื่อตาม ๆ กันไปอย่างแพร่หลาย เลยดูเข้ากันได้ดีกับสิ่งที่ฝรั่งยุคล่าอาณานิคมเคยดูถูกไว้ ข้าพเจ้าเห็นว่า สิ่งที่เชื่อและตามกันเช่นนี้เป็นเรื่องตลก เพราะดูเป็นการเลือกสรุปแบบกลวงๆ ง่ายและสั้น ที่ทำให้คนเชื่อโดยไม่ต้องคิด อาจเป็นประโยชน์ให้เกิดเป็นคนดังท่ามกลางสังคมของคนที่คิดอะไรไม่เป็นได้ เลยทำให้คิดถึงนักวิชาการไทยคนหนึ่งที่เกาะติดกับเรื่องคนไทยมาจากไหนและสุโขทัยไม่ใช่ราชธานีแห่งแรกของเมืองไทย คือ สุจิตต์ วงษ์เทศ ซึ่งไม่เคยประกาศตัวเองว่าเป็นนักวิชาการแม้แต่ครั้งเดียว แต่แสดงตัวให้เห็นว่าเป็นนักเขียนนักคิดธรรมดาที่แสวงหาความรู้จากประสบการณ์ในการท่องเที่ยวไปตามท้องถิ่นต่าง ๆ ทั้งในประเทศและนอกประเทศ ตั้งแต่แรกเริ่มเป็นนักศึกษา จนเวลานี้ก็อยู่ในวัยชราที่กำลังถูกคุกคามด้วยโรคภัย ข้าพเจ้ามีส่วนร่วมในวิบากกรรมของสุจิตต์มาตั้งแต่เริ่ม เพราะไปรับเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของชุมนุมศึกษาวัฒนธรรม-โบราณคดีที่นักศึกษากลุ่มหนึ่งของคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ร่วมกันตั้งขึ้นมาเพื่อออกไปศึกษาหาประสบการณ์และความรู้ในท้องถิ่นต่าง ๆ ของประเทศเมื่อประมาณ พ.ศ.๒๕๐๗-๒๕๐๘ เป็นต้นมา แม้ว่าชุมนุมที่ว่านี้จะสลายตัวไปนานแล้วก็ตาม แต่นักศึกษาที่เกาะติดกับการเรียนรู้และประสบการณ์อย่างไม่เลิกนั้นมี ๓ คน คือ พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ปัจจุบันเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับ ๑๐ ของกรมศิลปากร ขรรค์ชัย บุนปาน ประธานกรรมการบริหารหนังสือพิมพ์มติชน และสุจิตต์ วงษ์เทศ บรรณาธิการหนังสือศิลปวัฒนธรรม พิเศษเป็นนักวิชาการทางประวัติศาสตร์โบราณคดีบริสุทธิ์ ทั้งค้นคว้าคิดและเขียนอย่างต่อเนื่อง ขรรค์ชัยเป็นนักธุรกิจที่สนใจสนับสนุนการค้นคว้าและเผยแพร่ความรู้อย่างไม่คำนึงถึงคำว่าขาดทุน ส่วนสุจิตต์นั้นทำเต็มตัวตั้งแต่เป็นนักค้นคว้า นักเขียน จนถึงการหาทุนรอนมาพิมพ์เป็นหนังสือศิลปวัฒนธรรม จนในที่สุดเหนื่อยและเจ๊งในเรื่องทุนรอน ต้องโอนกิจกรรมมาให้ทางสำนักพิมพ์มติชน แล้วทำหน้าที่เป็นทั้งนักค้นคว้า นักเขียน และบรรณาธิการต่อไป ซึ่งก็ทำให้งานค้นงานคิดและงานเขียนของสุจิตต์ดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง ทั้ง ๆ ที่สุขภาพร่างกายของตัวเองก็แย่ลง ข้าพเจ้าติดตามงานและความคิดของสุจิตต์ตลอดมาและคิดว่า สุจิตต์ค้นพบอะไรใหม่ ๆ ในกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งถ้าพูดแบบดัดจริตให้เป็นวิชาการก็คือ การวิจัย มากมายกว่าเรื่อง คนไทยมาทางทะเล หลายร้อยเท่า อย่างแรกคือ การที่สุจิตต์พบตัวเองว่าเป็นไพร่อย่างสม่ำเสมอ เพราะเป็นความเป็นจริงที่เป็นของคู่กันกับสิ่งสมมติ คือ การเป็นผู้ดี ความเป็นคนไทยกับความเป็นผู้ดีเป็นเรื่องสมมติพอ ๆ กันและไปด้วยกันได้ แต่ความเป็นไพร่ของสุจิตต์นั้นสัมพันธ์กับความเป็นจริง คือ เจ๊กปนลาว เพราะพ่อเป็นลาวพวนและแม่เป็นลูกเจ๊ก การศึกษาแบบไพร่ ๆ ของสุจิตต์จึงนำไปสู่ความรู้ความเข้าใจว่าในดินแดนประเทศไทยนั้น แท้จริงก็ประกอบด้วยคนหลายกลุ่มเหล่าทางชาติพันธุ์ มีตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ยังไม่รู้ว่าคนพูดภาษาไหน มาจนถึงมีการรวมตัวผสมผสานกันเป็นรัฐเป็นอาณาจักรที่มีภาษาและวัฒนธรรมร่วมกันเป็นสยามประเทศและเป็นคนไทยซึ่งเป็นชนชาติโดยสมมติในที่สุด โดยเหตุนี้สุจิตต์จึงรู้และแยกคำว่า คนไทยที่เป็นชื่อสมมติของคนในดินแดนประเทศไทยออกจากคนไทยที่เป็นความจริงทางชาติพันธุ์ที่มาจากภายนอกได้ดี เพราะฉะนั้น เรื่องที่สุจิตต์บอกว่า คนไทยอยู่ที่นี่ คือในดินแดนประเทศไทยมาแต่ก่อนสมัยสุโขทัย จึงเป็นเรื่องที่ถูก แต่ในขณะเดียวกันที่เสนอเรื่องกว่าจะเป็นคนไทย อันเป็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยที่อยู่นอกดินแดนประเทศไทยก็ถูกอีกเช่นกัน แก่นของการศึกษาเรื่องชนชาติไทยของสุจิตต์อยู่ที่ เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งในและนอกประเทศไทยที่มีมาแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เพราะหลักฐานทางโบราณคดีนั้นแสดงว่าก่อนยุคสำริดและเหล็ก ผู้คนในดินแดนประเทศไทยและประเทศใกล้เคียงไม่ว่าลาว เขมร พม่า ญวนมีน้อยมาก แต่มีที่ราบลุ่มและอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ ที่ทำให้ผู้คนจากภายนอกทั้งจากตอนใต้ของจีนและโพ้นทะเล เคลื่อนย้ายเข้ามาทั้งทางบกและทางทะเลเพื่อการค้าขายแลกเปลี่ยนส่วนตัวและตั้งถิ่นฐานให้เกิดเป็นบ้านเป็นเมือง สุจิตต์ไม่ได้มองการเคลื่อนย้ายของคนที่มาจากภายนอก เป็นการเคลื่อนย้ายแบบยกโขยงกันมาหมด อย่างเช่นเรื่องที่เชื่อว่าคนไทยหนีร่นยกโขยงจากตอนใต้ของจีนมาตั้งสุโขทัย เป็นต้น ทำนองตรงข้ามเป็นการเคลื่อนไหวแบบไป ๆ มา ๆ ทำให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างที่มาและที่ไปอย่างต่อเนื่อง จึงมีหลักฐานทางโบราณคดีและชาติพันธุ์สนับสนุนให้เห็นได้ชัดเจน ที่สำคัญก็คือ กลองกบหรือกลองมโหระทึก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์เนื่องในพิธีกรรมเกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์ และเป็นสิ่งของสมมติแสดงสถานภาพของบุคคลสำคัญที่เป็นประมุขของบ้านเมืองและชนเผ่า ผลิตขึ้นในบ้านเมืองที่มีอารยธรรมทางตอนใต้ของประเทศจีน แพร่เข้ามาตามเส้นคมนาคมทางบกและทางน้ำในดินแดนประเทศไทยและประเทศใกล้เคียง โดยเฉพาะมโหระทึกที่เข้ามาตามเส้นคมนาคมทางบกนั้น ดำรงอยู่อย่างสืบเนื่องจนกลายมาเป็นวัตถุทางชาติพันธุ์ที่ท้องถิ่นสามารถผลิตเองได้ เช่น กลองกบของพวกกระเหรี่ยงในประเทศพม่าและกลองมโหระทึกในราชสำนักของไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้น ถ้าดูการเคลื่อนไหวของผู้คนจากภายนอกตามเส้นทางที่พบกลองมโหระทึกหรือกลองกบแล้ว ก็พูดได้อย่างเต็มปากว่ามีคนเคลื่อนย้ายไปมาและตั้งถิ่นฐานในดินแดนประเทศไทยแล้วทั้งทางบกและทางทะเลแต่ยุคสำริดและเหล็กลงมา คนที่อยู่ในดินแดนประเทศไทยคือคนหลายเผ่าพันธุ์หลายชนชาติที่เข้ามาตั้งหลักแหล่งและมีบูรณาการทางวัฒนธรรมขึ้นเป็นคนไทย การเคลื่อนไหวมีหลายยุคหลายสมัยในประวัติศาสตร์ ซึ่งอาจศึกษาวิเคราะห์ได้จากหลักฐานทางโบราณคดี แต่น่าเสียดายว่านักโบราณคดีไทยทั้งที่เรียนมาจากต่างประเทศและในประเทศ วิเคราะห์ไม่เป็น ทำเป็นแต่แจกแจงรูปแบบศิลปะแต่ละยุคแต่ละสมัยหรือไม่ก็แยกแยะชั้นดิน ชั่งเศษหม้อเศษไหเพื่อกำหนดอายุของแหล่งโบราณคดีเท่านั้น เมื่อไม่มีการศึกษาและวิเคราะห์หลักฐานทางโบราณคดีที่จะเชื่อมโยงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มชน นักประวัติศาสตร์ก็ไม่สามารถเอาหลักฐานทางด้านเอกสารมาเชื่อมโยงและตีความได้ เพราะหลักฐานลายลักษณ์ในด้านจารึกนั้นกระท่อนกระแท่น ในขณะที่หลักฐานทางตำนานส่วนใหญ่เป็นเรื่องสร้างขึ้นทีหลัง เลยทำให้บรรดานักประวัติศาสตร์ไม่กล้าใช้ตำนานมาสร้างเป็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ แต่สุจิตต์มีแนวคิดและวิธีการทางภูมิศาสตร์ที่สามารถเชื่อมโยงหลักฐานทางโบราณคดีให้เข้ากับหลักฐานทางลายลักษณ์เช่นจารึกและตำนานพงศาวดารได้ดี คือมองหลักฐานทางโบราณคดีในลักษณะที่เชื่อมโยงเป็นชุมชนบ้านเมืองและเส้นทางคมนาคมที่โยงใยความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองเข้าด้วยกัน จึงทำให้เห็นการเกิดและเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองและผู้คนในแต่ละยุคแต่ละสมัย สุจิตต์แลเห็นการเคลื่อนไหวของผู้คนทั้งจากภายนอกและภายในบนเส้นทางบกและทางทะเล ที่เข้ามาสัมพันธ์กันจนทำให้เกิดบ้านเมืองและรัฐขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๘–๑๙ ลงมา ที่เกิดบ้านเมืองใหม่ ๆ ที่มีชื่อบ้านนามเมืองสืบมาจนทุกวันนี้ เช่น นครศรีธรรมราช ปัตตานี เพชรบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี สุโขทัย และอยุธยา เป็นต้น บ้านเมืองเหล่านี้มีตำนานพงศาวดารที่แสดงให้เห็นถึงตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และเส้นทางคมนาคมแล้ว ยังกล่าวถึงชื่อคนสำคัญทั้งที่เป็นบุคคลในตำนานอันเป็นเรื่องสมมติและที่มีตัวตนในความเป็นจริงที่ทำให้เห็นได้ว่า บรรดาผู้คนในดินแดนประเทศไทยตามเมืองต่าง ๆ ที่เอ่ยชื่อมานั้นมีทั้งที่มาจากภายนอกทั้งทางบกและทางทะเล จึงเป็นเหตุให้ รองศาสตราจารย์ปรานี วงษ์เทศ ผู้ภรรยา นำความคิดไปอธิบายกำเนิดของคนบนพื้นแผ่นดินใหญ่เอเชียอาคเนย์เชิงสัญลักษณ์เป็นรูปของน้ำเต้าปุงและเรือสำเภาที่แสดงไว้ในห้องนิทรรศการทางวัฒนธรรม ณ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร เรือสำเภาคือสัญลักษณ์ของคนที่เข้ามาทางทะเล ที่สุจิตต์เห็นว่าสอดคล้องกับตำนานของพระเจ้าอู่ทองที่มีระบุไว้ในจดหมายเหตุฟอนฟลิตว่า เป็นลูกเจ้ากรุงจีนถูกเนรเทศเข้ามาสร้างบ้านแปงเมืองตั้งแต่ปัตตานี นครศรีธรรมราช กุยบุรี เพชรบุรี และอยุธยาตามลำดับ แต่สุจิตต์ไม่สนใจว่า พระเจ้าอู่ทองมีตัวตนจริงหรือไม่ หากเป็นเพียงสัญลักษณ์ของการเคลื่อนเข้ามาของคนรุ่นใหม่ ยุคใหม่ที่เข้ามาสร้างบ้านแปงเมืองตั้งแต่ปากน้ำเพชรบุรี แม่กลอง ท่าจีน จนถึงเจ้าพระยา ผู้คนตามบ้านเมืองเหล่านี้โดยเฉพาะจากกรุงเทพฯ นนทบุรี ถึงอยุธยา คือผู้คนที่มาจากทางทะเลนั่นเอง และคนเหล่านี้แหละที่มีการสังสรรค์ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองกับคนที่อยู่ภายในที่เคลื่อนย้ายมาจากภายนอกทางบกไม่ว่าจะเป็นสุโขทัย พิษณุโลก เชียงใหม่ ทำนองนั้น ดังนั้นในสำนึกไพร่ของสุจิตต์ วงษ์เทศ ซึ่งแม่เป็นลูกเจ๊กผู้เป็นเชื้อสายของคนที่เข้ามาทางทะเล ในขณะที่พ่อเป็นคนลาวเป็นพวกมาจากทางบก นี่คือความเป็นจริงทางชาติพันธุ์ แต่ถ้าเชื่อเรื่องสมมติก็เป็นคนไทย เพราะอยู่ในดินแดนประเทศไทย นับถือพระพุทธศาสนา และพูดภาษาไทยสื่อกับคนอื่น ๆ ได้ทั้งราชอาณาจักร แต่ถ้าเชื่อตามฝรั่งบอก ฝรั่งสอน ความเป็นคนไทยมาจากทะเลก็คือความโง่เพียงอย่างเดียว อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- “เด็กเป็นศูนย์กลาง”วาทกรรมคำโตๆ ที่แสนกลวง
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2547 การใช้คำโต ๆ เพื่อสื่อความคิดและเจตนารมย์ของรัฐบาลให้ผู้คนทั่วไปในสังคมไทยรับรู้นั้น มีมาแต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อราวสี่สิบปีที่ผ่านมานับเป็นวิธีการที่รับอิทธิพลมาจากฝรั่งโดยแท้ เพราะเป็นยุคที่การศึกษาไทยทั้งระดับโรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่างก็ถูกครอบงำโดยวัฒนธรรมอเมริกันอย่างสิ้นเชิง คำโต ๆ ที่ใช้กันอย่างติดปากติดใจในการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของยุคนั้นก็คือ “งานคือเงิน เงินคืองานบันดาลสุข” นับว่ามีฤทธิ์มากเพราะนอกจากทำให้คนไทยเกิดสำนึกในเรื่องความเป็นปัจเจกแล้วยังกระตุ้นนิสัยบริโภคนิยมทางวัตถุอย่างเพลิดเพลิน ภาวะความเป็นเศรษฐกิจฟองสบู่ที่ยังความพินาศให้กับชีวิตคนเป็นจำนวนมากอาจนับได้ว่าเกี่ยวเนื่องกับคำโต ๆ นี้ไม่ใช่น้อย กระบวนการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างครูกับลูกศิษย์ที่เลือก “เรียนโดยการกระทำ” คือการเรียนโดยการปฏิบัติหรือเรียนรู้อย่างมีประสบการณ์ พอมาถึงยุคนี้ในทศวรรษนี้ คำโต ๆ ก็กลับมามีฤทธิ์อีกตั้งแต่สมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์มาจนถึงพรรคไทยรักไทย คราวนี้ไม่ใช่เอามาใช้ในการพัฒนาประเทศแต่เป็นเรื่องการปฏิรูปการศึกษา รู้สึกว่ามีการขานรับกันอย่างมากมายในหมู่ปัญญาชนสมัยใหม่ที่นิยมชมชื่นกับการสร้างวาทกรรมในยุคหลังสมัยใหม่ ทำให้เกิดการรื้อและปรับเปลี่ยนโครงสร้างแต่เดิม มีนโยบายและการดำเนินการในระบบโครงสร้างใหม่ๆ ขึ้นอย่างมากมาย โดยเฉพาะทำให้เกิดการแบ่งเขตการศึกษาและการสร้างหลักสูตรท้องถิ่นใหม่ ๆ ให้เด็กเรียน เพื่อที่จะได้เรียนรู้ในสิ่งใกล้ตัวที่ทำให้คิดเป็นทำเป็นไม่ใช่เอาแต่เรียนแบบท่องจำเพื่อให้ได้คะแนนดีอย่างแต่ก่อน แถมยังมีคนที่เป็นเจ้าความคิดหลายคนมาสนับสนุนให้มีการสอนการเรียนที่ทำให้เด็กมีความสุขและเพลิดเพลินด้วย แต่ผลที่ทำให้เกิดปัญหาและความขัดข้องขึ้นในขณะนี้ทำให้มีผู้ที่เกิดความทุกข์ขึ้นก็คือครู โดยเฉพาะครูตัวเล็กๆ ที่ต้องทำหน้าที่ปฏิบัติในการสอนและสร้างความรู้และหลักสูตรท้องถิ่นให้เด็กได้เรียน ความทุกข์อย่างแรกก็คือ ไม่รู้จะสร้างหลักสูตรท้องถิ่นอย่างใดที่ทำให้เด็กหรือผู้เรียนเป็นศูนย์กลางได้ ในขณะที่ความทุกข์ที่ตามมาก็คือ การปรับตัวเองเข้าสู่โครงสร้างและสถานภาพแบบใหม่ที่ตนเองกำลังถูกประเมินในเรื่องศักยภาพจากเจ้านายใหม่ โดยเฉพาะผู้บริหารโรงเรียนและหัวหน้าเขตการศึกษา ความขัดแย้งและปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น รัฐและผู้รับผิดชอบไม่สนใจที่จะรับรู้ เพราะเคยชินกับการแก้ไขปัญหาแบบ why หาได้ใส่ใจกับการที่จะทำอย่างไรที่เรียกว่า how ให้เป็นไปได้อย่างราบรื่นไม่ การเน้นแต่เพียง why แบบลอย ๆ ด้วยคำโต ๆ ที่เรียกว่าเด็กเป็นศูนย์กลางนั้น ถ้านำมาสัมพันธ์กับบริบททางสังคมและวัฒนธรรมแล้ว ก็คือเรื่องของการเปลี่ยนขั้วโดยตรง เพราะทั้งประเพณีและพฤติกรรมทางสังคมไทยที่มีมาช้านานนั้น ครูคือศูนย์กลาง เพราะถือว่าเด็กยังเป็นผู้อ่อนผู้เยาว์ต้องได้รับการสั่งสอนทั้งทางโลกและทางธรรมจากครู ทั้งทำหน้าที่เสมือนตัวแทนของพ่อแม่ ครูในสังคมไทยจึงนับเป็นปูชนียบุคคลที่เป็นสถาบันมาช้านาน เด็กจะดีหรือไม่ดีนั้นครูมีส่วนร่วมด้วยเสมอ ถ้าเด็กเรียนไม่ดีประพฤติไม่ดีครูนั่นแหละที่จะถูกสังคมประเมินและกล่าวหา ถ้าจะมองปัญหาการศึกษาของนักเรียนที่เกิดขึ้นในขณะนี้ จากระบบการศึกษาที่ผ่านมาก็จะพบว่ารัฐและผู้บริหารการศึกษาระดับสูงคือผู้ที่สร้างปัญหานี้ ซึ่งก็ประเมินได้จากความรู้สึกและประสบการณ์ของข้าพเจ้าเอง กรณีเด็กนักเรียนสมัยข้าพเจ้านั้นต้องเรียนทั้งท่องจำและคิดตามครู แต่ก็สามารถนำเอาสิ่งต่าง ๆ ที่เรียนมานั้นเชื่อมโยงให้เป็นเรื่องราวได้จากการแต่งเรียงความ ซึ่งทำให้สามารถแลเห็นการคิดที่เป็นเหตุผลและนำมาเรียบเรียงเป็นภาษาที่สื่อกับคนทั่วไปได้รวมทั้งเป็นสิ่งที่จะทำให้ครูหรือคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์และประเมินข้อดีข้อเสียได้ด้วย แต่นับแต่ที่รัฐนำเอาระบบการศึกษาแบบปรนัยเข้ามาให้ครูสอนกัน ความสามารถของนักเรียนที่จะแต่งเรียงความก็หมดความหมายไป หันมาเรียนอะไรที่เป็นเสี่ยง ๆ และท่องจำกันเอาไปตอบเป็นเรื่อง ๆ จนเชื่อมโยงอะไรไม่เป็น ครูเองก็ได้รับการอบรมชี้แนะในเรื่องเทคนิคและวิธีการสอนที่ทันสมัยแบบฝรั่งมากกว่า ที่จะนำไปปรับให้เข้ากับบริบททางสังคมและวัฒนธรรมของผู้คนในสังคมทั้งระดับบ้านและเมือง ความเก่งของครูจะไปขึ้นอยู่กับการได้เล่าเรียนวิชาการศึกษาที่เน้นแต่แนวคิดทฤษฎีและเทคนิควิธีการจากสังคมตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ และดูเหมือนบรรดาอรหันต์ห้าร้อยที่รับผิดชอบในการปฏิรูปการศึกษาในทุกวันนี้ก็คือผลพวงของวิชาการศึกษาแบบที่ว่านี้ทั้งสิ้น จึงแลไม่เห็นบริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่สัมพันธ์กับครูและเด็กแต่อย่างใด ดูเหมือนการมีปฏิกิริยาโต้ตอบวาทกรรมเรื่องเด็กเป็นศูนย์กลางที่สร้างความฮือฮาให้แก่คนทั่วไปในสังคมได้อย่างน่าประทับใจก็คือ การที่เด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งขึ้นมากล่าวว่าการปฏิรูปการศึกษานั้นทำให้เกิดควายเซ็นเตอร์มากกว่าเด็กเป็นศูนย์กลาง ความรุนแรงของคำนี้ก็คือการที่จะทำให้เด็กกลายเป็นคนโง่แบบควายมากกว่าที่จะเป็นคนฉลาด อันที่จริงแล้วก็มีนักวิชาการศึกษาหลายคนในบ้านเมืองที่ไม่พยายามสร้างตัวเองให้เป็นอรหันต์ ได้นำเอาความคิดในเรื่องเด็กเป็นศูนย์กลางนี้มาศึกษาและถกเถียงกันนานแล้ว เพราะเป็นแนวคิดที่มาจากทางตะวันตก โดยเฉพาะจากนักคิดคนสำคัญคนหนึ่ง คือ จอห์น ดิวอี้ แก่นของความคิดที่เป็นวาทกรรมอย่างหนึ่งก็คือ “การเรียนโดยการกระทำ” นั้นคือการเรียนโดยการปฏิบัติหรือเรียนอย่างมีประสบการณ์นั้นเอง เมื่อปฏิบัติและมีประสบการณ์นั่นแหละจะสามารถทำให้คิดได้และทำได้เป็นผลตามมา แต่ดูเหมือนบรรดานักการศึกษาใหญ่ ๆ ของไทยถอดรหัสแก่นแท้ของความหมายนี้ไม่ได้ เพราะขาดความเข้าใจในบริบทของความเป็นมนุษย์และสังคม จึงมาคิดเป็นโครงสร้างและระบบเชิงเทคนิคที่ห่างความเป็นจริงไป นั่นคือการทำให้เด็กเรียนรู้อย่างเป็นปัจเจกบุคคลซึ่งก็เป็นสิ่งที่น่ากลัวมากว่าเด็กในยุคต่อไปจะเรียนเก่งหรือทำอะไรเก่ง ๆ ก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวเท่านั้น เมื่อเกิดขึ้นก็เท่ากับเป็นการขานรับค่านิยมในเรื่องปมด้อยปมเด่นที่สร้างความเหลื่อมล้ำในสังคมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งที่มีการเสนอมาอย่างตลกก็คือ การสร้างครูต้นแบบซึ่งก็เป็นเรื่องของการเป็นปัจเจกที่ผิดจากความเป็นมนุษย์อีกนั่นแหละ “โรงเรียนเพลินพัฒนา” โรงเรียนแบบใหม่ที่สามารถตอบสนองการเรียนรู้อย่างมีสติปัญญา เมื่อมาถึงตอนนี้ทำให้คิดไปถึงเรื่องต้นแบบอีกอย่างหนึ่ง คือเรื่องของโรงเรียนต้นแบบ ดูเหมือนจะเข้าท่ากว่าครูต้นแบบเป็นไหน ๆ เพราะมีอยู่แล้วในสังคมไทย เช่น โรงเรียนวชิราวุธที่รัชกาลที่ ๖ ทรงสร้างขึ้นโดยทรงเอาความคิดและแบบอย่างมาจากโรงเรียนในประเทศอังกฤษ หรือไม่ก็โรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ควรจะได้มีการนำมาเปรียบเทียบและวิพากษ์วิจารณ์เพื่อหาอะไรที่ใหม่และเหมาะสมขึ้นมาเป็นโรงเรียนต้นแบบในปัจจุบันได้ แต่ข้าพเจ้าก็ยังนึกไปถึงโรงเรียนในภาคเอกชนอีกหลายแห่ง ที่ดูเหมือนประสบผลสำเร็จในการปฏิรูปการศึกษาให้เด็กนักเรียนได้ดีและชัดเจนกว่าของรัฐบาล ดังเช่น โรงเรียนรุ่งอรุณ และโรงเรียนเพลินพัฒนา เป็นต้น ข้าพเจ้าเคยเห็นการเรียนการสอนที่น่าสนใจของโรงเรียนเหล่านี้ แต่ไม่เคยเห็นอะไรที่เด็กเป็นศูนย์กลางหรือแม้กระทั่งครูเป็นศูนย์กลางอย่างแยกขั้ว แต่ในขณะเดียวกันแลเห็นการถอดรหัสการเรียนโดยการกระทำของจอห์น ดิวอี้ได้อย่างดีมาก นั่นคือแลเห็นการเรียนรู้ร่วมกันของครูและนักเรียนในเวลาเดียวกัน โดยครูต้องทำหน้าที่ค้นคว้าและคิดหัวข้อหรือโจทย์ให้เด็กไปทำการหาคำตอบร่วมกัน จะเป็นเรื่องของการค้นคว้าในห้องสมุดหรือจากประสบการณ์นอกสถานที่ก็ได้ ในการดำเนินงานนั้นครูไม่ได้ทิ้งลูกศิษย์ หากเฝ้าติดตาม ค้นคว้า แนะนำและเพิ่มเติมตลอดเวลา ในขณะที่เด็กเองก็มีการปรึกษาหารือแบ่งกันไปทำงานตามความถนัดหรือความสนใจของแต่ละคนโดยมีความมุ่งหมายที่ผลสำเร็จร่วมกันอย่างไม่จำเป็นว่าใครเก่งกว่าคนโน้นคนนี้ นับเป็นการเรียนโดยประสบการณ์ที่เป็นกลุ่ม เมื่อเป็นเช่นนี้ความเป็นปัจเจกก็ไม่เกิดขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีการรับรู้และยอมรับความสามารถและความถนัดของแต่ละคนที่มีส่วนร่วม เมื่อทำงานเสร็จก็เป็นความภูมิใจของทุกคน สิ่งนี้นำไปสู่การเกิดสำนึกร่วมกันของการเป็นกลุ่มที่มีจริยธรรมเยี่ยงมนุษย์ในฐานะเป็นสัตว์สังคมโดยแท้ ข้าพเจ้าใคร่ฝากความหวังไว้กับการเรียนรู้ร่วมกันทั้งของครูและนักเรียนแบบนี้มากกว่าคำโต ๆ ที่แสนกลวงอย่างเด็กเป็นศูนย์กลางของนักวิชาการแบบอรหันต์ของรัฐบาล อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- เมืองโบราณสยามประเทศ
เผยแพร่ครั้งแรก 1 พ.ย. 2547 วันที่ ๑๗ พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ตรงกับวันที่คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ จากไปเป็นปีที่สี่ เพื่อระลึกถึงท่าน มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ จึงจัดกิจกรรมทางปัญญาเพื่อเด็กและบุคคลที่สนใจขึ้นที่เมืองโบราณอย่างเช่นที่เคยทำมาแต่ปีที่แล้ว เนื่องในวันเล็ก-ประไพ รำลึก ครั้งที่ ๒ เล็ก วิริยะพันธุ์ ผู้ก่อตั้งเมืองโบราณ ปีนี้เกิดเหตุการณ์ขัดแย้งและยุ่งยากทางสังคมและวัฒนธรรมขึ้นในบ้านเมืองหลายแห่งและหลายครั้ง บางแห่งก็เกิดอย่างต่อเนื่องและทวีความรุนแรงขึ้น เช่นเหตุการณ์ในเขตสามจังหวัดภาคใต้ที่ผู้คนในสังคมส่วนใหญ่เป็นคนมุสลิม เหตุหนึ่งของความยุ่งยากก็คือการที่ทั้งรัฐและสังคมมหาชนเชื่อว่าความวุ่นวายและความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเพราะคนมุสลิมต้องการอยากที่จะแบ่งแยกดินแดนจึงก่อการร้ายขึ้น รัฐจำเป็นต้องใช้กำลังปราบปรามอย่างเด็ดขาด นับเป็นเรื่องน่าสนใจที่การแสดงออกในเรื่องความคิดเห็นของคนในสังคมมองทางนั้นเห็นว่าคนมุสลิมไม่ใช่คนไทยเพราะพูดภาษาไทยไม่รู้เรื่องและเป็นคนนอกศาสนา ข้าพเจ้าเห็นว่าการแสดงออกของคนในสังคมหาชนในเรื่องความเป็นคนไทยนี้ คือ ผลผลิตของการสร้างประวัติศาสตร์เชื้อชาตินิยมที่มีการอุปโหลกกันมาแต่สมัยจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะครั้งนั้นได้มีการเปลี่ยนชื่อประเทศจาก ประเทศสยาม มาเป็นประเทศไทย โดยเปลี่ยนใช้ชื่อของดินแดนมาเป็นชื่อของชนชาติ หลายคนไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ถึงกับได้เขียนบทความขึ้นมาแสดงความคิดเห็นคัดค้าน กรุงศรีอยุธยา คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ เป็นคนหนึ่งที่เห็นด้วยกับชื่อประเทศสยามเพราะท่านเข้าใจและแลเห็นการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขของคนหลายชาติหลายภาษา หลายเผ่าพันธุ์ และหลายศาสนาในดินแดนสยามประเทศ คุณเล็กแลเห็นกลไกที่เชื่อมโยงให้ผู้คนที่หลากหลายได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในเรื่องของความเป็นคนไทย ความเป็นคนไทยเป็นเรื่องสมมุติที่เกิดจากกระบวนการดูดกลืนให้ผู้คนหลากหลายทางวัฒนธรรมและเผ่าพันธุ์มาเป็นพวกเดียวกัน สถาบันกษัตริย์และระบบศักดินานับว่ามีบทบาทสูงในการสร้างความเป็นคนไทย นั่นคือ พระมหากษัตริย์ผู้เป็นประมุขของประเทศนั้นหาได้เป็นคนของเผ่าพันธุ์ใดไม่ คติทางพระพุทธศาสนาได้ยกให้พระองค์เป็นพระสมมุติราชเพราะเป็นผู้ที่อเนกนิกรสโมสรหรือผู้คนทั้งหลายในแผ่นดินพร้อมใจกันยกย่องและเทิดทูน พระมหากษัตริย์ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก คือทรงดูแลประชานิกรในทุกพระศาสนาอย่างเสมอภาค คงเห็นได้จากการพระราชทานที่ดินให้คนต่างแดนต่างชาติที่เข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภารตั้งหลักแหล่งชุมชน มีวัดและสถานที่ประกอบกิจกรรมทางศาสนาตามประเพณีความเชื่อของพวกตน อีกทั้งยังให้กลุ่มชนนั้นๆ ปกครองกันเอง เลือกผู้ปกครองที่ทางรัฐให้การยอมรับและให้ตำแหน่งยศถาบรรดาศักดิ์ ยิ่งกว่านั้นบุคคลใดในชนชาติและเผ่าพันธุ์ใด ถ้าหากมีความรู้ความสามารถในวิทยาการต่าง ๆ ก็มีโอกาสที่เข้ามารับราชการเพื่อทำประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองและสังคมได้ เหตุนี้เองที่บรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่และผู้น้อยเป็นจำนวนมากแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาลงมาจนถึงกรุงเทพฯ ที่เรียกว่า ขุนนางหรือผู้ลากมากดี นั้น คือคนที่มีรากเหง้ามาจากเผ่าพันธุ์และศาสนาที่หลากหลายทั้งสิ้น ความเป็นคนไทยจึงเป็นเรื่องสัญลักษณ์ที่เกิดจากการดูดกลืนและบูรณาการทางวัฒนธรรมให้เป็นพวกเดียวกันในส่วนรวมเป็นสำคัญ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้คนที่หลากหลายทางเผ่าพันธุ์และศาสนาก็ยังคงธำรงสำนึกทางชาติพันธุ์และความเชื่อทางศาสนาของตนอยู่ ดังปรากฏให้เห็นในความเป็นชุมชนเมืองแทบทุกแห่งในประเทศสยามที่มีตลาดเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนและสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและสังคมล้วนมีผู้คนหลายเผ่าพันธุ์และศาสนาอยู่ด้วยกัน จนนับเป็นอัตลักษณ์อย่างหนึ่งของบ้านเมืองในสยามประเทศทีเดียว คุณเล็ก วิริยะพันธุ์เป็นผู้หนึ่งที่เติบโตมาในย่านสังคมเมืองที่มีความหลากหลายดังกล่าวนี้ ทำให้แลเห็นและซาบซึ้งว่า สังคมของคนสยามคืออะไร การเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมอันสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนชื่อประเทศนั้น คือสิ่งหนึ่งที่ทำให้คุณเล็กสร้างเมืองโบราณขึ้น เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้และรับรู้ถึงความสงบสุขและเรียบง่ายของสังคมสยามที่มีความสมดุลย์ในทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมนั้นเป็นอย่างใด ท่านต้องการทำให้เห็นว่าเมืองโบราณคือ “สยามประเทศ” ที่เต็มไปด้วยคนหลากหลายเผ่าพันธุ์และศาสนาได้อยู่กันอย่างสงบเป็นเวลานับพันปี สิ่งที่แสดงออกอย่างชัดเจนถึงความพยายามในเรื่องนี้ก็คือ การสร้างตลาดบกและตลาดน้ำที่คุณเล็กบอกว่าไม่ได้เป็นเพียงเป็นแค่ตลาดที่ซื้อขายแลกเปลี่ยนสิ่งของ หากเป็นเมืองที่คนหลายชาติหลายศาสนาอยู่ร่วมกันตามที่ชาวต่างชาติที่มาเยือนแต่สมัยอยุธยาได้เขียนเล่าและบันทึกภาพไว้ โดยเฉพาะย่านที่เรียกว่าตลาดบกนั้น คุณเล็กให้ชื่อว่า “นครสยาม” คุณเล็กคือตัวอย่างของคนไทยสมัยก่อนเปลี่ยนชื่อประเทศ ที่แลเห็นว่าความเป็นคนไทยหาใช่เป็นเรื่องของเชื้อชาติ หากเป็นสิ่งที่เกิดจากการบูรณาการทางการเมืองและวัฒนธรรมของผู้คนที่หลากหลายในสยามประเทศมากกว่า ประเทศสยามคือดินแดนที่คนหลากหลายทางชาติพันธุ์และผู้คนมาอยู่ร่วมกันอย่างเสรีและสงบสุข “สยาม” คือประเทศ ผู้คนที่อยู่ร่วมกันคือ “คนไทย” สยามกับไทยจึงเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออก เป็นสิ่งที่มีอยู่ในพระราชสำนึกของพระมหากษัตริย์ไทยทุกรัชกาล โดยเฉพาะพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ซึ่งนับว่าทรงเป็นผู้นำในเรื่องชาตินิยมที่สำคัญ ดังในพระราชนิพนธ์โคลงสี่สุภาพที่มีการติดประดับไว้หน้ากระทรวงกลาโหมว่า หากสยามยังอยู่ยั้ง ยืนยง เราก็เหมือนอยู่คง ชีพด้วย หากสยามพินาศลง ไทยอยู่ ได้ฤา เราก็เหมือนมอดม้วย หมดสิ้น สกุลไทย แผนที่ “สยามประเทศ” ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ ค.ศ.๑๖๘๖ ทุกวันนี้ประวัติศาสตร์เชื้อชาตินิยมคือสิ่งเหลวไหลแต่ว่ามีอิทธิพลทำให้คนในรุ่นใหม่ที่เป็นคนส่วนใหญ่ในสังคมมหาชนคลั่งไคล้กับความเป็นไทยอย่างสุดโต่ง เปิดโอกาสให้คนรู้เท่าไม่ถึงการณ์และคนชั่วร้ายที่มี “ช่องทาง” ทางราชการและเศรษฐกิจ อ้างอิงความเป็นไทยในจำนวนกว่า ๖๐ ล้านคนอันเป็น “สิ่งสมมติ” แสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเองและพรรคพวก ด้วยการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติของคนท้องถิ่นที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและเผ่าพันธุ์ อันเป็น “สิ่งที่เป็นความจริง” ของสยามประเทศอย่างไม่หยุดหย่อน การพัฒนาทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ดำรงมาตลอดเวลากว่าสี่สิบปีที่ผ่านมาคือประจักษ์พยานในเรื่องนี้ คนรุ่นใหม่ขาดความเข้าใจกับรากเหง้าที่แท้จริงของความเป็นสยามประเทศที่ให้ความร่มเย็นและให้ความสมดุลย์ทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม แก่ผู้คนในสังคมมากว่าพันปี ทางมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ จึงถือโอกาสในวันครบรอบสี่ปีในการจากไปของคุณเล็ก วิริยะพันธุ์ จัดกิจกรรมทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเพื่อให้แลเห็นความเป็นสยามประเทศ ในปีนี้ที่เมืองโบราณ อันประกอบด้วย การเสวนาทางประวัติศาสตร์เรื่อง อยุธยาสยามประเทศ โดยมีอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม และดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์ เป็นวิทยากรหลัก การนำชมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับสยามประเทศในเมืองโบราณให้กับครูและนักเรียนที่สนใจ รวมทั้งมีนิทรรศการเกี่ยวกับความเป็น อยุธยาสยามประเทศ เมืองหลวงเก่าแก่ที่รวมความหมายทางสังคมหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมจากหลักฐานทางวรรณคดี จิตรกรรม และโบราณคดี-โบราณสถาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- เมื่อออกจากกระดอง
เผยแพร่ครั้งแรก 1 พ.ค. 2548 ระหว่างเดือนมีนาคม–เมษายน–พฤษภาคม ที่แล้วมา ข้าพเจ้ามีโอกาสเดินทางไปศึกษาภูมิวัฒนธรรมของประเทศเพื่อนบ้านบนพื้นแผ่นดินใหญ่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ เขมร พม่า เวียดนาม และลาว ตามลำดับ ความประสงค์ที่ไปก็เพื่อจะดูว่าเพื่อนของเราที่คนไทยมักดูแคลนมาเสมอว่าไม่มีอะไรทัดเทียมเราในด้านความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจสังคมและการเมืองนั้นเป็นอย่างไร เพราะในทำนองตรงข้าม บรรดาประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้ก็มีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อประเทศไทยเหมือนกัน อันเนื่องมาจากเหตุการณ์และความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยการล่าอาณานิคมของอาณาจักรนิยมอังกฤษและฝรั่งเศสจนมาถึงสมัยอเมริกาทำสงครามกับเวียดนาม โรงเรียนในบริเวณเวียดนามตอนกลาง สภาพที่ดูเปลี่ยนแปลง อาคารขยายใหญ่ขึ้นและใหม่ขึ้นกว่าเดิม ด้วยเวลาอันน้อยนิดแต่อยากรู้อยากเห็นมากๆ ข้าพเจ้าและคณะใช้วิธีศึกษาภูมิศาสตร์วัฒนธรรมสองข้างทางไปเรื่อย ๆ จากบริเวณหนึ่ง ท้องถิ่นหนึ่งไปเรื่อย โดยดูรายละเอียดบางจุดที่น่าสนใจเป็นสำคัญ เพราะการสังเกตการณ์ไปตลอดทางนั้นทำให้แลเห็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของ นิเวศวัฒนธรรม (cultural ecology) ได้ไม่มากก็น้อย ในการรับรู้และเรียนรู้ของข้าพเจ้าถือว่าความสัมพันธ์ของระบบนิเวศทั้งสองเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกันกับความมั่นคงทางสังคม และวัฒนธรรมของผู้คนในสังคมแต่ละประเทศเป็นอย่างมาก เมืองไทยหรือประเทศไทยของเราที่รัฐและประชาชนที่มีโอกาสทั้งหลายชอบโอ่เป็นนักหนาว่าเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจดีกว่าเพื่อนบ้านนั้น แท้จริงกำลังขาดดุลยภาพในเรื่องปฏิสัมพันธ์ระหว่างนิเวศวัฒนธรรมและนิเวศเศรษฐกิจการเมือง ด้วยกระทำของรัฐและประชาชนที่มีโอกาสเหล่านั้น การกระทำที่ทำให้เกิดการรุกล้ำของนิเวศเศรษฐกิจการเมืองอย่างไม่มีกาลเทศะนั้นคือการทำลายนิเวศวัฒนธรรมที่มีผลทำให้เกิดความไม่มั่นคงทางสังคมและวัฒนธรรมในแทบทุกภูมิภาคของประเทศในขณะนี้ เพราะการรุกล้ำของนิเวศเศรษฐกิจและการเมืองของบรรดาประชาชนที่ได้โอกาสหรือฉวยโอกาสก็คือการบุกรุกของนายทุนที่ใช้อำนาจทางการเมืองของรัฐเข้าไปแย่งพื้นที่และทรัพยากรท้องถิ่นของผู้คนที่ด้อยโอกาสในท้องถิ่น จนเกิดเป็นความขัดแย้งอย่างไม่รู้จบในปัจจุบัน เกิดความเคลื่อนไหวทั้งจากบรรดาปัญญาชนที่เป็นนักวิชาการสุจริตชนและองค์กรเอกชนร่วมมือกับบรรดาชาวบ้านชาวเมืองในท้องถิ่นที่ได้รับการเดือดร้อน โต้แย้ง คัดค้าน เดินขบวนกันอยู่เนือง ๆ ผลที่เกิดตามมาก็คือ แทบทุกเมื่อเชื่อวันจะมีการประชุมสัมมนาทั้งเป็นเรื่องของการเสนอผลงานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาชุมชนและท้องถิ่น และการอบรมการปฏิบัติการทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม โดยสถาบันการศึกษาจากทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคกันอย่างกว้างขวาง หลายต่อหลายแห่งก็มีการเชิญบรรดานักวิชาการผู้เชี่ยวชาญ ปราชญ์ผู้รู้ชาวบ้านที่มีชื่อเสียงมาให้ความรู้ทั้งแนวคิด ทฤษฎี และการปฏิบัติการกันเป็นประจำ ข้าพเจ้านับเป็นคนหนึ่งในบรรดาผู้ที่ถูกอุปโหลกว่าเป็นผู้รู้และเชี่ยวชาญ เคลื่อนไหวอยู่ในวังวนแห่งการวิจัยและการไปพูดไปสัมมนาอยู่กว่า ๑๔ – ๑๕ ปีที่ผ่านมา เมื่อมีโอกาสได้โผล่ออก นอกกระดอง ไปยังประเทศเพื่อนบ้านในครั้งนี้แล้วตกใจ เพราะเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมของเขาแล้วดูมีสมดุลระหว่างระบบนิเวศวัฒนธรรมและนิเวศเศรษฐกิจการเมืองที่จะยังให้เกิดความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจแก่คนทั้งหลายในชาติดได้ดีกว่าเรา ไม่ว่าเขมร เวียดนาม พม่า และลาวที่เคยเป็นสังคมนิยมต่างขานรับการลงทุนขนาดใหญ่จากภายนอกตามกระแสโลกาภิวัตน์ทั้งนั้น แต่ทั้งรัฐและสังคมจะคำนึงถึงผู้คนในท้องถิ่นเป็นสำคัญ หาได้ปล่อยให้นิเวศเศรษฐกิจการเมืองรุกล้ำเข้าไปทำลายนิเวศวัฒนธรรมของท้องถิ่นไม่ ประเทศเวียดนามคือตัวอย่างที่จะพูดถึงในที่นี้ ข้าพเจ้านั่งรถวิ่งผ่านแต่เมืองลาวบาวที่อยู่ต่อแดนประเทศลาว มายังเมืองดงฮา เมืองเว้ เมืองดานัง เมืองญาจัง เมืองพันราง เมืองฟันเทรียด เมืองไซ่ง่อนไปจนถึงเมือง กันเธอ ริมแม่น้ำโขง แลเห็นการเปลี่ยนแปลงแต่ละพื้นที่สองฝั่งถนนที่มีความแตกต่างกันทางภูมิศาสตร์จากเหนือจดใต้ชัดเจน จำได้ว่าเมื่อ ๑๔ ปีที่ผ่านมา บ้านเรือนของคนเวียดนามทั้งในเมืองและชนบทมีขนาดเล็กคับแคบและมีสภาพแวดล้อมที่สกปรก อาหารการกินและสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันดูขาดแคลน เพราะเป็นประเทศที่ถูกย่ำยีแหลกลาญโดยสงครามกับอมนุษย์ที่ใช้เทคโนโลยีทำลายล้างอย่างขี้ขลาดและบ้าคลั่งมาเมื่อ ๖ ปี ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าเข้าไปพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น แต่ก็ยังห่างไกลกับความเจริญในด้านความสะดวกสบายในชีวิตความเป็นอยู่จากผู้คนในประเทศไทยอีกมาก แม้ว่าอาหารการกินและการพัฒนาที่อยู่อาศัยรวมทั้งการเกษตรอุตสาหกรรมจะดีขึ้นเป็นอย่างมากก็ตาม แต่ทว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าได้เห็นแก่ตาในปีนี้ เวียดนามเจริญเติบโตอย่างคาดไม่ถึง แทบทุกหนแห่งบ้านเรือนที่เคยติดพื้นชั้นเดียวมี ๓ ห้อง มีการขยายตัว มีห้องเพิ่มขึ้น บางแห่งก็เป็นสองชั้น รวมทั้งเกิดบ้านและตึกของคนรวยเพิ่มขึ้น มีการขยายถนนและปรับปรุงถนนให้สะดวกสบายเพิ่มขึ้นให้เหมาะแก่การคมนาคมและสัญจรของคนในท้องถิ่น แทบทุกบ้านมีสวนครัวที่เลี้ยงตัวเองได้อย่างไม่ต้องพึ่งตลาด เพราะพื้นที่แทบทุกตารางนิ้ว หน้าบ้าน หลังบ้าน หรือรอบบ้านถูกใช้เป็นที่ปลูกพืชผักต่างๆ อย่างมีระเบียบ ผลผลิตที่ได้ไม่เพียงแต่จะใช้บริโภคภายในครัวเรือนเท่านั้น ส่วนเกินยังสามารถนำไปขายในตลาดสดเช้าเย็นที่มีอยู่ทุกย่านทุกตำบลด้วย เพื่อขายให้กับผู้คนในเมืองที่ไม่มีพื้นที่ทำสวนครัวได้ เวียดนามไม่มีซุปเปอร์มาร์เก็ตอย่างคลั่งไคล้และบ้า ๆ บอ ๆ แบบของไทย แต่มีตลาดสดเช้าเย็นที่อุดมสมบูรณ์ทั้ง ผัก ปลา หมู เป็ด ไก่ที่ชาวบ้านและผู้ผลิตรายย่อยที่มีทุนรอนน้อย ๆ สามารถทำมาค้าขายได้ ทำให้คนมีอาหารการกินอยู่ดีทุกระดับ สิ่งที่เวียดนามชนะไทยอย่างขาดลอยคือ การจัดการน้ำและการเกษตร เพราะแม้จะมีพื้นที่ทางเกษตรน้อยกว่าเมืองไทยและมีประชากรถึง ๘๒ ล้านคนมากกว่าหกสิบกว่าล้านคนของไทยก็ตาม ก็สามารถปลูกข้าวส่งออกได้เป็นอันดับสองรองจากไทย ที่ว่าชนะก็เพราะมีการกระจายรายได้ให้แก่ประชาชนทั่วไปได้ดีกว่าของไทย เห็นได้จากการทำนาทำไร่ตามที่นาหรือพื้นดินแปลงเล็ก ๆ เพียงไม่กี่ไร่ มักเป็นการร่วมแรงกันทำโดยคนกลุ่มเล็ก ๆ ประมาณ ๓–๖ คนและใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับกำลังทุนของแต่ละกลุ่ม เช่น ยังใช้วัวและความรวมทั้งแทรคเตอร์ขนาดเล็กในการเพาะปลูก การจัดการน้ำเข้านาและที่เพาะปลูกก็ยังเป็นแบบเดิม โดยอาศัยการชลประทานราษฎร์ที่ถนอมลำน้ำและทางน้ำธรรมชาติซึ่งมาจากที่สูง บรรดาลำน้ำธรรมชาตินี้แหละที่สัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานของคนเวียดนามและสามารถผันและดึงเข้าไปใช้ในการเพาะปลูกแบบแบ่งปันกันอย่างเสมอภาคหาได้เป็นการแย่งน้ำกันอย่างของเมืองไทยไม่ การสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ รวมทั้งการขุดคลองส่งน้ำในลักษณะที่เป็นชลประทานหลวงดูมีน้อย เพราะจะเป็นการทำลายสภาพแวดล้อมและความเป็นอยู่ของคนในท้องถิ่น แต่การปล่อยให้คนในท้องถิ่นจัดการร่วมกันไปตามธรรมชาติ ได้ทำให้ความเป็นอยู่ของคนในสังคมเกษตรกรรมของเวียดนามดูเป็นระเบียบเสมอภาคและสัมพันธ์กับธรรมชาติสภาพแวดล้อมอย่างกลมกลืน พื้นที่เกษตรกรรมกลายเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ แม่น้ำ ลำน้ำ และทางน้ำดูไม่ขาดแห้ง หรือดูดีเป็นแห่ง ๆ อย่างของไทย กลับดูเย็นตาคล้ายกันไปหมด โดยเฉพาะผู้คนที่ต่างคนออกไปทำงานอย่างขยันขันแข็งเป็นกลุ่มเป็นระเบียบ สิ่งเหล่านี้คนไทยแต่ก่อนเคยมี แต่เมื่อโรงงานอุตสาหกรรมเข้ามาและการทำเกษตรอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาแทนแรงงานคนและสัตว์ก็ทำให้เปลี่ยนแปลงไปจนหมดสิ้น จนเดี๋ยวนี้เราแยกคนที่เป็นชาวนาทำไร่กับคนที่เป็นกรรมกรใช้แรงงานในกิจกรรมทางอุตสาหกรรมไม่ออก วิถีชีวิตที่เคยอยู่กันเป็นกลุ่มก้อนและเป็นปึกแผ่นในระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเพียงพอหายไปหมดสิ้น แต่สภาพการเช่นนี้คือสิ่งที่แลเห็นในหมู่คนเวียดนาม สังคมอุตสาหกรรมและเกษตรอุตสาหกรรมในเมืองไทยกำลังเปลี่ยนให้คนไทยเป็นอมนุษย์ เพราะกำลังพัฒนาให้คนเป็นปัจเจกอย่างผิดวิสัยของมนุษยชาติ แต่เวียดนามพัฒนาคนให้อยู่เป็นกลุ่มเป็นเหล่าตามธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องเป็นสัตว์สังคม ในเวียดนามรัฐและสังคมดูเป็นอันหนึ่งเดียวกันในการพัฒนาให้มนุษย์อยู่ติดพื้นที่อันเป็นมาตุภูมิหรือแผ่นดินเกิด เพราะแทบทุกแห่งที่ผ่านไปจะพบว่าผู้คนในท้องถิ่นนอกจากมีความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนในลักษณะที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนที่ความสัมพันธ์ทางสังคมทั้งในระดับเครือญาติและเพื่อนร่วมท้องถิ่นและความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติในลักษณะที่มีการจัดการสภาพแวดล้อมธรรมชาติในเรื่องการทำมาหากิน การตั้งถิ่นฐาน การอยู่อาศัย และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติร่วมกันแล้ว ยังมีความสัมพันธ์กับสิ่งนอกเหนือธรรมชาติอย่างแนบแน่นและดูไม่เสื่อมคลายทั้ง ๆ ที่เป็นสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์ เพราะท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนั้น มีการจัดการกับหลุมศพเป็นเงาตามตัว บ้านบางบ้านสร้างหลุมศพของคนตายในครอบครัวไว้ในเขตบ้าน และในพื้นที่ทำกินไม่ว่าจะเป็นไร่นาและเรือกสวน เมื่อมองไปตามทุ่งนาจะแลเห็นหลุมศพกระจายกันอยู่เป็นหย่อม ๆ หรือบางที่ในบรรดาพื้นที่สาธารณะป่าเขาและบริเวณแห้งแล้งก็ปรับเปลี่ยนให้เป็นแหล่งฝังศพกระจายกันอยู่ทั่วไป เวียดนามคล้ายจีนแต่ไม่เหมือนจีน เป็นสังคมที่ให้ความสำคัญลัทธิบูชาบรรพบุรุษ (ancestor focus) แต่ไม่นำศพผู้ตายในครอบครัวหรือตระกูลไปฝังไว้รวมกันเป็นสุสานใหญ่ ๆ ในที่ห่างไกลกับเอาไว้ใกล้ตัว และบ้านเรือนดูกระเดียดไปทางข้างญี่ปุ่นมากกว่า บรรดาหลุมศพและแหล่งฝังศพทั้งที่พบตามบ้านและแหล่งทำกินดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่าคนเวียดนามและสังคมเวียดนามเน้นการอยู่ร่วมกันในถิ่นกำเนิดแต่แรกเกิดจนตาย ช่วงเวลาของการอยู่ร่วมกันในท้องถิ่นเดียวกันเป็นเวลาหลายชั่วคน คือสิ่งที่สร้างให้คนเวียดนามปรับสภาพแวดล้อมธรรมชาติของท้องถิ่นให้เป็นระบบนิเวศวัฒนธรรมร่วมกันได้ เกิดสถานที่และแหล่งประวัติศาสตร์ศิลปวัฒนธรรมที่จรรโลงสำนึกท้องถิ่นและความเชื่อท้องถิ่นที่มีทั้งประวัติศาสตร์ จารีต ประเพณี และพิธีกรรมรวมกัน ข้าพเจ้าคิดว่าคนไทยเคยมีในสิ่งเหล่านี้ แต่ปัจจุบันไม่มี เพราะถูกทั้งรัฐและนายทุนทำลาย ข้าพเจ้าเชื่อว่ารัฐเวียดนามมีจิตใจที่เอื้ออาทรต่อคนท้องถิ่นที่ไม่เหมือนรัฐไทย เพราะตลอดทางที่นั่งรถผ่านไปข้าพเจ้ามักบ่นถึงความล่าช้าในการเดินทาง คือเวียดนามนั้นแม้ว่าจะมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วก็ตาม แต่เรื่องเส้นทางคมนาคมดูล้าหลัง การคมนาคมจากกรุงฮานอยทางเหนือมายังเมืองไซ่ง่อนหรือโฮจิมินห์ทางใต้ขึ้นอยู่กับทางหลวงเพียงสายเดียว ซึ่งแม้ว่าจะทำถนนให้ดีและสะพานข้ามแม่น้ำลำน้ำสายต่าง ๆ ได้สะดวกกว่าแต่ก่อนก็ตาม แต่ก็เป็นถนนขนาดเล็กที่รถวิ่งสวนทางไปมาในช่องทางเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ ทำให้การขับขี่ยานยนต์ต้องมีการควบคุมความเร็วให้อยู่เพียง ๕๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพราะฉะนั้นการเดินทางจากเหนือไปใต้ด้วยรถยนต์จึงกินเวลาหลายวันทีเดียว บ้านเรือนในชนบทของเวียดนาม ที่เพาะปลูกไม่ไกลจากบ้านเรือนและยังมีการใช้แรงงานร่วมกัน แต่เมื่อแลเห็นบรรดาทุ่งนาและพื้นที่ทางเกษตรและที่อยู่อาศัยที่เขียวและชุ่มน้ำ ความรู้สึกในเรื่องตำหนิก็หมดไป เพราะคิดได้ว่า ถ้าหากเวียดนามพัฒนาถนนหนทางอย่างใหญ่โตและมากมายไปทุกหนแห่งแล้ว บรรดานักการเมือง พ่อค้า ข้าราชการและนายทุนคงร่ำรวยมิใช่น้อย เพราะค่าคอมมิชชั่นคงแพร่สะพัด และคนธรรมดาที่เป็นชาวบ้านในท้องถิ่นก็คงเดือดร้อน เพราะบรรดาถนนหนทางเหล่านั้นคือสิ่งที่กีดขวางทางเดินและการกระจายตัวตามธรรมชาติของน้ำที่จะยังความชุ่มชื้นให้แก่การเพาะปลูกและการอยู่อาศัยของผู้คนได้ ตลอดเส้นทางข้าพเจ้าแทบมองไม่เห็นภาพพจน์ของกรมทางหลวง กรมชลประทาน องค์กรจัดการไฟฟ้าพลังน้ำ และกรมป่าไม้แบบที่พบในประเทศไทยแต่อย่างใด รวมทั้งแทบไม่พบพื้นที่ทางอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่บรรดานายทุนข้ามชาติต่างแย่งเข้ามากันยึดครองพื้นที่สาธารณะและถิ่นทำกินของชาวบ้านอย่างเช่นในเมืองไทยที่แทรกซึมไปทั่วทุกระแหงจนคนไทยกลายเป็นทาสติดที่ดิน ที่พบเห็นในประเทศเวียดนามก็มีอยู่ในเขตเมืองไซ่ง่อนและบริเวณปริมณฑลที่มีนักลงทุนข้ามชาติของไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง ครั้นหวนกลับมาที่ถนนสายเดี่ยวที่สะท้อนความล้าหลังในเรื่องการพัฒนาอีกทีก็กลับทำให้ได้แลเห็นอะไรลุ่มลึกกว่าแต่เดิม เพราะถนนเส้นนี้ที่ต้องนั่งรถแลสองข้างทางไปอย่างช้า ๆ นี้ ไม่เพียงแต่ให้แลเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ร่มรื่นในชนบทแต่ละท้องถิ่นเท่านั้น หากเป็นเส้นทางที่ผ่านไปตามเมืองต่าง ๆ ทั้งระดับอำเภอและจังหวัด ทำให้ข้าพเจ้าได้แลเห็นโครงสร้างบางอย่างที่ทางรัฐได้พัฒนาให้เกิดขึ้นอย่างมีความหมาย ในเขตเมืองนั้น ย่านตลาด ร้านค้า ห้องแถว และที่อยู่อาศัยพัฒนาขึ้นตามสองฝั่งถนนแบบที่พบในเมืองไทยเมื่อราว ๓๐-๔๐ ปีก่อน แต่สิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตและโดดเด่นก็คือโรงเรียนที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด จากการเป็นอาคารขนาดเล็กชั้นเดียวมาเป็นสองชั้นขนาดใหญ่ที่มีบริเวณกว้างขวางมีสีสันที่สวยงาม ล้วนเป็นอาคารที่ใหญ่โตกว่าอาคารอื่นๆ รวมทั้งสถานที่ทางราชการและศูนย์กลางในการบริหารด้วย ข้าพเจ้าไม่เคยพบเห็นเช่นนี้ในเมืองไทย เพราะโรงเรียนแบบนี้มีเป็นจำนวนมาก นับเป็นศูนย์กลางของท้องถิ่นที่ขานตอบการศึกษาของเด็กนักเรียนในท้องถิ่นโดยแท้และเป็นสถานที่มีการเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก เพราะเด็กนักเรียนในท้องถิ่นต้องเข้าโรงเรียน ในเวลาไปโรงเรียนพักกลางวันและกลับบ้าน เด็กนักเรียนจะเดินและขี่รถจักรยานกันตามถนนดูแน่นไปหมด อันแสดงให้เห็นว่าตำแหน่งของโรงเรียนอยู่ใกล้บ้าน เดินทางกลับไปทานอาหารกลางวันที่บ้านได้อย่างสบาย ซึ่งผิดกับโรงเรียนในเมืองไทยราวฟ้าและดินที่โรงเรียนห่างบ้านและมีระดับสำรับคนรวยคนจน แต่ที่แย่ก็คือคนจนและคนด้อยโอกาสมักไม่ได้เรียนกัน ดูเหมือนความต่างกันของโรงเรียนในเมืองไทยกับเวียดนามในยุคปฏิรูปการศึกษาตั้งแต่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์มาจนถึงรัฐบาลพรรคไทยรักไทยก็คือ โรงเรียนของไทยอยู่ในเขตการศึกษาอันเป็นเขตการบริหารที่แลเห็นแต่ระบบการจัดการต่างๆ ในเรื่องตำแหน่งงานของผู้บริหาร ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และอุปกรณ์การศึกษาจนแลไม่เห็นเด็กนักเรียนกับวัฒนธรรมท้องถิ่น โรงเรียนในเวียดนามคือศูนย์กลางของท้องถิ่น เป็นสิ่งที่อยู่ในพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่สัมพันธ์กับกระบวนการอบรมทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น นับเป็นสถานที่สร้างสำนึกท้องถิ่นและกระตุ้นให้เด็กได้เรียนรู้ในวิชาการต่าง ๆ ทั้งในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับศักยภาพทางสังคมและเศรษฐกิจของท้องถิ่นโดยแท้ โรงเรียนในเวียดนามคือสถานที่เพื่อเตรียมคนในด้านความรู้เพื่อขานรับกับการรุกล้ำของนิเวศเศรษฐกิจการเมืองที่มาจากโลกาภิวัตน์ โรงเรียนคือสิ่งที่ทำให้เด็กในท้องถิ่นเรียนรู้นิเวศวัฒนธรรมและนิเวศเศรษฐกิจการเมืองเพื่อการปรับให้มีความสัมพันธ์กันอย่างมีดุลยภาพ โรงเรียนคือหัวใจของกระบวนการท้องถิ่นวัฒนา (localization) ซึ่งเป็นกระบวนการปฏิรูปการศึกษาที่เมืองไทยไม่เคยคิดที่จะให้ดี จากการที่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมดังกล่าวมานี้ ข้าพเจ้าก็มาถึงบางอ้อว่า การพัฒนาของเวียดนามนั้นแท้จริงคือสิ่งที่อยู่ในกรอบความคิดของคนตะวันออกที่มีมาแต่เดิม คือการเน้นให้ผู้คนอยู่ติดที่ ให้อยู่กันอย่างยั่งยืนมีรากเหง้าเป็นกลุ่มเป็นแหล่ง มีความเป็นอันหนึ่งเดียวกันในวัฒนธรรมจารีตและประเพณี ซึ่งต่างกันกับคนตะวันตกที่เน้นอุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี สนับสนุนให้คนโยกย้ายถิ่นไปตามที่ต่าง ๆ จนไม่มีโอกาสและเวลาที่จะอยู่ติดที่ร่วมกันจนเป็นชุมชนขึ้นมา มีแต่สร้างให้คนเป็นปัจเจกที่อาจมีบ้านพักทันสมัยโอ่อ่ามีความสะดวกสบาย แต่ต่างคนต่างอยู่ ต่างซุกหัวนอนไปวัน ๆ ดังเห็นได้จากการเกิดบ้านจัดสรร ทาวน์เฮ้าส์และคอนโดมิเนียมทั่วทุกระแหงในเมืองไทยขณะนี้ พลันข้าพเจ้านึกถึง คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิเล็ก–ประไพ วิริยะพันธุ์ขึ้น ครั้งเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่และออกเดินทางตระเวนไปตามท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย เพื่อศึกษารวบรวมข้อมูลมาสร้างเมืองโบราณ ท่านสังเกตว่ามีการเคลื่อนย้ายของผู้คนจากจังหวัดและท้องถิ่นหนึ่งไปท้องถิ่นหนึ่งเพื่อการทำงานตามสถานที่ประกอบการทางอุตสาหกรรมและการบริการอยู่ตลอดเวลา จึงบอกกับข้าพเจ้าว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีจะเกิดความยุ่งยากขึ้น การตรึงคนให้อยู่กับที่ซึ่งทำให้ท่านคิดอะไรที่ออกนอกไปจากการสร้างเมืองโบราณในขณะนั้นว่า อยากจะก่อตั้งโรงเรียนช่างสิบหมู่ขึ้นตามท้องถิ่นต่าง ๆ เพื่อให้คนในท้องถิ่นได้ฟื้นความรู้ที่เป็นภูมิปัญญาที่ถ่ายทอดกันมาช้านาน ในด้านปัจจัยสี่และสิ่งที่เป็นศิลปวัฒนธรรมมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นตามกาลเทศะและฤดูกาลขึ้นก็จะทำให้เกิดรายได้จากส่งที่เป็นอัตลักษณ์ของท้องถิ่น และเกิดพลังและความภูมิใจในถิ่นกำเนิดหรือมาตุภูมิของตนขึ้น ความคิดของท่านแม้ไม่อาจทำให้เป็นรูปธรรมได้ในขณะนั้น แต่ก็เป็นสิ่งสืบเนื่องมาเป็นงานอย่างหนึ่งของมูลนิธิฯ ในการออกไปช่วยจัดการในเรื่องความรู้เพื่อให้ท้องถิ่นจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นขึ้นมา รวบรวมหลักฐานข้อมูลทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาเพื่อถ่ายทอดให้เกิดสติปัญญา และสำนึกท้องถิ่นของชาวบ้านในท้องถิ่นต่าง ๆ ของประเทศ การได้มีโอกาสไปเวียดนามครั้งนี้ของข้าพเจ้าทำให้แลเห็นอย่างสว่างในความคิดของคุณเล็ก และแลเห็นการพัฒนาท้องถิ่นที่ผิดทิศทางอย่างแท้จริงในเมืองไทย ตราบใดที่คนไทย สังคมไทยยังเต็มไปด้วยการโยกย้ายถิ่นฐานไปทำมาหากินตามถิ่นต่าง ๆ อย่างไม่มีหัวนอนปลายตีนกันอยู่เช่นนี้ การลงหลักปักหลักที่เป็นปึกแผ่นทางสังคมและวัฒนธรรมไม่มีทางเกิดขึ้นได้ เพราะการพัฒนาความเป็นกลุ่มหรือชุมชนที่มีโครงสร้างสังคมจากระดับครอบครัว เครือญาติ ชุมชนและท้องถิ่นที่มีสำนึกร่วมกันทางชีวิตวัฒนธรรมนั้น ต้องใช้เวลาของการอยู่ในพื้นที่ร่วมกันไม่ต่ำกว่า ๒–๓ ชั่วคน สิ่งที่เป็นอยู่ในขณะนี้ดูเป็นเรื่องเปิดโอกาสให้ปัจเจกบุคคลที่เป็นนายทุนหรือผู้ที่ฉวยโอกาสทั้งหลายจากภายนอกเข้าไปตั้งถิ่นฐานแย่งทรัพยากร ตั้งตัวเป็นเจ้าพ่อเอาเปรียบชาวบ้านชาวเมืองในรูปแบบที่อ้างว่าทำเพื่อชุมชนหรือทำเพื่อคนส่วนรวมในระดับชาติอยู่ตลอดเวลา ข้าพเจ้าคิดว่าเวียดนามเดินทางมาถูกทาง และการพัฒนาทางสังคมวัฒนธรรมอยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้ ในขณะที่ของไทยผิดทั้งทิศทางและหลงทางจนไม่อาจแก้ไขอะไรได้ในขณะนี้ นอกจากโรงเรียนแล้ว โครงสร้างทางกายภาพที่โดดเด่นในสังคมเมืองอีกอย่างหนึ่งของเวียดนามที่นับว่าเป็นการดำเนินการของรัฐก็คือ อนุสาวรีย์ที่ฝังศพวีรชนในสงครามกับอเมริกัน ทุกอำเภอและจังหวัดจะมีอนุสาวรีย์และแหล่งฝังศพดังกล่าวนี้ดูเด่นเป็นสง่ามองเห็นแต่ไกล เหนือหลุมศพมีรายชื่อของวีรชนที่เสียชีวิตไว้อย่างชัดเจน อนุสาวรีย์นี้มีความสัมพันธ์กับโรงเรียนเป็นอย่างมาก เพราะดูเหมือนจะมีการกำหนดให้โรงเรียนและเด็กนักเรียนมาทำความสะอาดและขัดชื่อจารึกของวีรชนอยู่เป็นประจำ ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงคำพูดของประธานาธิบดีโฮจิมินห์ที่กล่าวต่อโลกในการทำสงครามกับมหาอำนาจอเมริกันว่า เวียดนามเป็นหนึ่งเดียวจะแบ่งแยกจากกันมิได้ แต่ความเป็นหนึ่งเดียวของท่านโฮจิมินห์นั้น คือการทำให้ผู้คนหลายชาติพันธุ์หลายศาสนาที่มีความแตกต่างกันตามท้องถิ่นต่าง ๆ ตั้งแต่เหนือจดใต้ มีสำนึกในการอยู่แผ่นดินเวียดนามเดียวกัน โดยแต่ละคนมีหน้าที่ร่วมรบเพื่อปกป้องแผ่นดินร่วมกันอย่างเสมอภาค บรรดาวีรชนที่มีชื่อปรากฏบนแผ่นดินเหนือหลุมศพแหล่งนั้น ล้วนเป็นคนในท้องถิ่นที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และศาสนาทั้งสิ้น เวียดนามแลเห็นเอกลักษณ์ท่ามกลางความหลากหลายในโครงสร้างสังคมที่เท่าเทียมและเสมอภาค ในขณะที่สังคมไทยและรัฐไทยเพ้อเจ้อและคุกคามให้ผู้คนที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และศาสนากลายเป็นคนไทยแบบเชื้อชาติเดียวกัน เหตุการณ์ในภาคใต้คือปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นในความคิดแบบนี้ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- นิเวศวัฒนธรรมในหุบปัตตานีและหุบสายบุรี
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2549 ข้าพเจ้ามีความเห็นว่าพื้นที่บริเวณสามจังหวัดภาคใต้มีลักษณะพิเศษในเรื่องสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างไปจากบรรดาพื้นที่ในจังหวัดอื่น ๆ ที่อยู่ทางฝั่งทะเลตะวันออกด้วยกัน เช่น จังหวัดนครศรีธรรมราชและสงขลา คือเป็นพื้นที่บนคาบสมุทรมลายูที่ถูกกำหนดโดยเทือกเขาสันกาลาคีรี เพราะบริเวณนครศรีธรรมราชและสงขลานั้นถูกกำหนดโดยเทือกเขานครศรีธรรมราชกับเทือกเขาบรรทัด ซึ่งเป็นทิวเขายาวเหยียดตรงขนานไปกับชายฝั่งทะเลตั้งแต่อำเภอสิชลลงมาจนถึงจังหวัดพัทลุงและจังหวัดสงขลา ทำให้เกิดพื้นที่ราบชายฝั่งทะเลเป็นแนวยาว มีลำน้ำสายสั้น ๆ ไหลลงจากเทือกเขามาออกทะเลทางด้านตะวันออก ไม่มีทิวเขาและที่สูงขั้นระหว่างลำน้ำสายต่าง ๆ ที่ไหลลงทะเล และโดยการกระทำของคลื่นลมที่ซัดเข้าฝั่งทะเล ทำให้เกิดเป็นแนวสันทรายยาวขนานไปกับชายฝั่งทะเลหลายแนว แผนที่แสดงสภาพภูมิศาสตร์ในเขตภาคใต้ตอนล่าง แต่ทำนองตรงข้าม พื้นที่ในเขตเทือกเขาสันกาลาคีรีถูกกำหนดโดยเทือกเขาที่คดเคี้ยวจากเหนือลงใต้ และมีแขนงเขาแยกลงมาทางด้านตะวันออกเป็น ๘ ทิวด้วยกัน โดยพื้นที่ระหว่างเขามีลำน้ำไหลผ่ากลางจากทิศตะวันตกไปออกชายฝั่งทะเลทางตะวันออก ได้แก่ ลำคลองนาทับ ลำน้ำเทพา แม่น้ำปัตตานี แม่น้ำสายบุรี และแม่น้ำบางนรา พื้นที่ระหว่างเขาที่มีแม่น้ำทั้งห้าสายนี้ไหลผ่าน ล้วนเป็นพื้นที่ในหุบเขาที่กว้างมีทั้งที่ราบที่สามารถทำนาและทำสวนได้ แต่หุบเขาใหญ่ที่สัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานเป็นบ้านเมืองสำคัญนั้น ได้แก่ หุบเขาทางลุ่มน้ำปัตตานีและลุ่มน้ำสายบุรี ที่หุบปัตตานี แม่น้ำปัตตานีมีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาทางตะวันออกที่กั้นแดนประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย ผ่านเขตอำเภอเบตงลงมาสู่บริเวณที่ต่ำกว่าซึ่งกลายเป็นเขื่อนบางลาง ไหลผ่านจากที่ลาดลงสู่บริเวณบ้านหน้าถ้ำที่มีเขาหินปูนขนาบอยู่ทั้งสองฝั่งแม่น้ำ นับเป็นการสิ้นสุดของพื้นที่ราบระหว่างเขาเข้าสู่พื้นที่ราบกว้างใหญ่ที่เริ่มแต่เขตจังหวัดยะลาไปยังจังหวัดปัตตานี ลุ่มน้ำปัตตานีถูกแยกออกมาจากลุ่มน้ำสายบุรี โดยทิวเขาทางด้านตะวันออกที่ผ่านเขตอำเภอบันนังสตามายังอำเภอเมืองยะลาแล้วลดระดับความสูงเป็นกลุ่มเขาขนาดเล็กอันทำให้เกิดช่องทางคมนาคมจากลุ่มน้ำปัตตานีไปยังเขตอำเภอรามันในลุ่มน้ำสายบุรี ต่อจากนั้นก็ยกระดับขึ้นสูงตั้งแต่เขตอำเภอทุ่งยางแดงผ่านอำเภอมายอไปจนจรดชายทะเลที่อำเภอปะนาเระ ทิวเขานี้ทำให้เกิดลุ่มน้ำสายบุรีขึ้น เพราะถูกขนาบด้วยเทือกเขาบูโดทางด้านตะวันออกที่เริ่มจากเขตอำเภอสุคิริน ผ่านอำเภอจะแนะ อำเภอรือเสาะ อำเภอบาเจาะ ไปจนถึงอำเภอกะพ้อ ทางด้านตะวันออกของเขาบูโดก็คือ ที่ราบลุ่มต่ำไปจนจรดชายทะเล เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีพรุขนาดใหญ่เกือบครึ่งหนึ่งของพื้นที่ราบทั้งหมด และเป็นต้นกำเนิดของลำน้ำบางนรา ทั้งหมดอยู่ในพื้นที่ของอำเภอสุไหงโกลก อำเภอยี่งอ อำเภอเมือง อำเภอตากใบ และอำเภอไม้แก่น จังหวัดนราธิวาส ลุ่มน้ำสายบุรีในหุบสายบุรี เป็นหุบที่มีที่ราบริมฝั่งแม่น้ำยาวไกลกว่าหุบปัตตานี โดยเริ่มแต่อำเภอสุคิรินมายังอำเภอศรีสาคร ซึ่งมีพื้นที่ราบกว้างเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ได้ และตั้งแต่เขตอำเภอศรีสาครเป็นต้นมา ก็ยังมีลำน้ำสายเล็ก ๆ ไหลลงมาจากทิวเขาที่ขนาบทั้งทางด้านตะวันตกและตะวันออกไหลลงมาสมทบ โดยเฉพาะเขตอำเภอรือเสาะ จำนวนธารน้ำที่ไหลลงมาจากเขาทั้งสองข้างเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดหุบเขาเล็ก ๆ ที่ผู้คนเข้าไปตั้งถิ่นฐานได้ ความต่างกันของหุบเขาปัตตานีกับหุบสายบุรีก็คือ แม้จะมีลำน้ำยาวขนาดใหญ่พอกันก็ตาม แต่ลำน้ำปัตตานีไหลจากบริเวณต้นน้ำทางใต้ผ่านซอกเขาที่ไม่มีพื้นที่ราบมาจนถึงเขตอำเภอบันนังสตา ซึ่งทำให้ทางราชการใช้ประโยชน์ในการสร้างเขื่อนบางลางขึ้น กว่าจะมีที่ราบพอตั้งถิ่นฐานชุมชนและที่ทำกินของผู้คนได้ก็ต้องผ่านมายังเขตอำเภอเมืองยะลา ในเขตบ้านหน้าถ้ำ ซึ่งนับเป็นเขตปากหุบปัตตานี จาก บ้านหน้าถ้ำ ลำน้ำปัตตานีจึงไหลลงพื้นที่ที่เป็นแอ่งใหญ่ มีลำน้ำหลายสายทั้งจากซอกเขาและหุบเขาใกล้ ๆ ไหลมาสมทบเป็นแอ่งกว้างใหญ่ที่ทำให้เกิดบ้านเมืองในเขตอำเภอเมืองยะลา อำเภอโคกโพธิ์ อำเภอยะรัง อำเภอหนองจิก อำเภอยะหริ่ง และอำเภอเมืองปัตตานี ในทำนองตรงข้าม หุบสายบุรีกลับมีพื้นที่ราบตามลำแม่น้ำยาวลึกกว่าหุบปัตตานี แต่ต้นน้ำในเขตอำเภอสุคิรินลงมาก็มีพื้นที่ตั้งถิ่นฐานทำกินได้ พอถึงเขตอำเภอศรีสาครก็กลายเป็นพื้นที่ราบกว้างใหญ่ มีลำน้ำสาขาเล็ก ๆ ไหลลงมาจนสมทบกับลำน้ำสายบุรี ทำให้ลำน้ำใหญ่ขึ้นจนมีการเดินทางโดยทางเรือขนส่งและแลกเปลี่ยนสินค้าเข้ามาถึง แม่น้ำสายบุรีในหุบสายบุรี เมื่อเข้าเขตอำเภอรือเสาะ พื้นที่ราบจะมีลำน้ำเล็ก ๆ จากหุบเล็กและแอ่งเล็ก ๆ ไหลลงมาสมทบทำให้เกิดบริเวณที่ลุ่มน้ำขังที่เรียกว่า พรุ มากมาย แต่ละพรุก็คือ พื้นที่แก้มลิงที่กักน้ำและระบายน้ำตามธรรมชาติเข้าสู่ลำน้ำสายบุรี พรุที่สำคัญก็คือ พรุลานควายในเขตอำเภอรามัน ที่ทำให้ลำน้ำสายบุรีกว้างใหญ่ก่อนไหลไปออกทะเลที่อ่าวสายบุรี แต่ทว่าหุบสายบุรีแม้จะยาวลึกเป็นที่ผู้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานได้ก็ตาม แต่ก็ไม่มีบริเวณที่เป็นแอ่งใหญ่ติดกับทะเล เช่น หุบปัตตานี งานวิจัยการศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมในเขตสามจังหวัดภาคใต้ที่มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ เข้าไปเกี่ยวข้อง ได้เลือกพื้นที่ในการศึกษาที่อยู่ภายในของทั้งหุบปัตตานีและหุบสายบุรีเป็นสำคัญ เพราะการศึกษาในพื้นที่ราบชายทะเลได้ทำการศึกษาไปแล้ว ในหุบปัตตานีได้เลือกชุมชนหมู่บ้าน [Village] ในเขต บ้านหน้าถ้ำและบริเวณใกล้เคียงเป็นแหล่งทำการศึกษารวบรวมข้อมูล พื้นที่บริเวณอยู่ในเขตรอยต่อระหว่างที่ราบในหุบเขาตามลำน้ำปัตตานีกับที่ราบของแอ่งปัตตานี อันเป็นที่ราบลุ่มกว้างใหญ่ไปจนถึงชายฝั่งทะเล ในขณะที่ทางหุบสายบุรีนั้น เริ่มตั้งแต่บริเวณต้นน้ำในเขตอำเภอสุคิริน ริมสองฝั่งลำน้ำสายบุรี จะมีพื้นที่ราบพอแก่การเพาะปลูกและตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนของผู้คน จากเขตอำเภอสุคิริน พื้นที่ราบริมฝั่งน้ำก็ขยายใหญ่จนเป็นทุ่งราบในเขตอำเภอศรีสาครอีกทั้งมีธารน้ำสายเล็ก ๆ จากทิวเขาทั้งทางด้านตะวันตกและตะวันออกมาสมทบด้วย เลยทำให้มีความสมบูรณ์ในเรื่องน้ำท่า อีกทั้งทำให้ลำน้ำสายบุรีกว้างขึ้นกลายเป็นท้องถิ่นที่มีหลายชุมชนเกิดขึ้น รวมทั้งเป็นบริเวณที่เรือค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าจากทางฝั่งทะเลที่ปากแม่น้ำสายบุรีเดินทางเข้ามาถึง ณ บริเวณภายในนี้ ทางโครงการวิจัยได้เลือกชุมชน บ้านซากอและบ้านกาเยาะมาตี เป็นตัวแทนในการศึกษาการเก็บข้อมูล ทำให้เห็นความสำคัญของท้องถิ่นนี้ในลักษณะที่เป็นศูนย์กลางการคมนาคมของบริเวณภายในของหุบสายบุรี เพราะนอกจากเป็นบริเวณที่เป็นท่าเรือจอดของเรือสินค้าจากปากน้ำสายบุรีเข้ามาถึง และนำสินค้าของกินจากทางชายทะเลเข้ามาแลกเปลี่ยนกับสินค้าเกษตรและของป่ากับกลุ่มคนที่อยู่ภายในแล้ว ยังเป็นที่ซึ่งคนที่อยู่ในหุบเล็กและที่สูงในเขตอำเภอสุคิรินที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น คนซาไกเดินทางโดยช้างและล่องแพมาติดต่อ แต่ที่สำคัญ พื้นที่ซึ่งเป็นทุ่งราบของอำเภอศรีสาครนั้น เป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงช้าง สัตว์ และโคกระบือได้ดี จึงทำให้กลายเป็นที่ตั้งของชุมชนหลาย ๆ ชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียงกัน เมื่อเดินทางตามลำน้ำสายบุรี ผ่านเขตอำเภอศรีสาครขึ้นไปก็จะถึงเขตอำเภอรือเสาะ อันเป็นบริเวณที่มีชุมชนตั้งอยู่ทั้งสองฝั่งแม่น้ำ มีเส้นทางผ่านช่องเขาบูโดไปยังอำเภอระแงะทางทิศตะวันออกไปลงแม่น้ำสายบุรีทางตะวันตก มีชุมชนหลายชุมชนตามหุบเขาเหล่านี้ ชุมชนที่เลือกขึ้นมาเป็นตัวแทนในการศึกษาครั้งนี้ คือ ชุมชนบ้านตะโหนด เหนืออำเภอรือเสาะขึ้นไปตามลำน้ำสายบุรีไปยังเขตอำเภอรามัน ภูมิประเทศสองฝั่งแม่น้ำเป็นที่ต่ำลงมีที่ลุ่มต่ำเป็นพรใหญ่น้อยไปจนถึงพรุลานควายที่เป็นพรุขนาดใหญ่ อันมีลักษณะเป็นแก้มลิงที่รับน้ำจากลำน้ำลำห้วยต่าง ๆ ที่ไหลลงจากที่สูงจากเทือกเขาทางด้านตะวันตกและตะวันออก โดยเฉพาะที่มาจากเขตอำเภอรามัน จึงทำให้มีน้ำไหลจากพรุลงสู่ลำน้ำสายบุรีทำให้เกิดเป็นลำน้ำใหญ่ไหลลงสู่ที่ราบลุ่มไปออกปากน้ำที่อำเภอสายบุรี ชุมชนที่เลือกทำการศึกษาในลุ่มน้ำสายบุรีในเขตอำเภอรามันนี้ ได้แก่ บ้านเกะรอที่ตั้งอยู่ใกล้กับพรุ ผู้คนในพื้นที่นี้ดังกล่าวได้ใช้พื้นที่ราบของพระปลูกข้าวเป็นนาพรุเพื่อเป็นอาหารหลักแต่โบราณมา จากการเลือกชุมชนศึกษาในบริเวณภายในของทั้งหุบปัตตานีและหุบสายบุรีตามที่กล่าวมาในทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่นและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมในขั้นแรกนี้ ได้ทำให้เห็นการตั้งถิ่นฐานของบ้านเมืองของผู้คนที่แตกต่างและเหมือนกัน ดังต่อไปนี้ ในหุบปัตตานีนั้น แม้ว่าแม่น้ำปัตตานีจะเป็นลำน้ำใหญ่และยาวกว่าลำน้ำสายบุรีก็ตาม แต่การตั้งถิ่นฐานนั้นไม่เข้าไปลึกเท่ากับหุบสายบุรี เพราะตังแต่เขตอำเภอบันนังสตาไป พื้นที่สองฝั่งน้ำเป็นซอกเขาที่ไม่มีพื้นที่ราบพอแก่การตั้งถิ่นฐานของชุมชนการเกษตรได้ดี เป็นเรื่องของบริเวณที่สูงที่เป็นป่าเป็นเขาที่เหมาะกับผู้คนที่ทำไร่และเก็บของป่า เช่น พวกซาไก เป็นต้น ชุมชนสำคัญจึงไปเกิดที่เขตอำเภอยะหาและทางบ้านหน้าถ้ำแทน เพราะเป็นบริเวณที่นอกจากมีที่ราบใกล้ลำน้ำลำห้วยที่ทำการเพาะปลูกได้ดีแล้ว ยังเป็นชุมชนทางการคมนาคมทั้งทางบกและทางน้ำด้วย ทางบกก็คือเป็นชุมทางของการเดินทางข้ามคาบสมุทรจากต้นน้ำปัตตานีและเขตอำเภอเบตงลงมาพบกับเส้นทางเดินทางที่มาจากเขตอำเภอสงขลา ผ่านอำเภอโคกโพธิ์มายังอำเภอยะหา ในขณะที่ทางน้ำนั้น บริเวณนี้เป็นท่าเรือติดต่อไปออกทะเลที่เมืองปัตตานี โดยเหตุนี้จึงทำให้เกิดเป็นเมืองขึ้นภายในหุบปัตตานีขึ้นจนกลายเป็นเมืองยะลาในปัจจุบัน ซึ่งเท่ากับว่า เมืองปัตตานีคือ เมืองท่าชายทะเล ในขณะที่เมืองยะลาคือเมืองภายใน การเติบโตของชุมชนเป็นบ้านเป็นเมือง เริ่มแต่ บ้านยาลอ ในเขตอำเภอยะหา มายังเขต บ้านหน้าถ้ำก่อนที่จะเปลี่ยนตำแหน่งไปยังตัวจังหวัดยะลาในปัจจุบัน ในเขตบ้านหน้าถ้ำนั้นขนาบด้วยภูเขาหินปูนที่มีทั้งเขาหินอ่อนและถ้ำที่เป็นศาสนสถานมาแต่โบราณสมัยศรีวิชัย เพราะพบภาพเขียนสี พระพิมพ์ รวมทั้งการใช้เป็นศาสนสถานสืบเนื่องมาจนปัจจุบัน มีผู้คนทั้งคนมุสลิม คนจีน และคนไทยพุทธเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ด้วยกันอย่างสงบ ในบางพื้นที่ซึ่งคนมุสลิมเข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่ก่อน แต่พบว่าเป็นบริเวณที่มีโบราณสถานวัตถุทางพุทธศาสนาก็เลยมีการแลกที่กับกลุ่มคนซึ่งเป็นชาวพุทธ ส่วนคนจีนเข้ามาตั้งถิ่นฐานเพราะเป็นแหล่งที่เรือจากทะเลและปัตตานีมาจอดแลกเปลี่ยนสินค้ากับคนภายในที่มาจากทางโคกโพธิ์ บันนังสตา และอำเภอรามันในหุบสายบุรี จึงพบว่าชุมชนหมู่บ้านบางแห่งมีชื่อที่เกี่ยวข้องกับคนจีน ผู้คนที่เป็นชาวบ้านชาวเมืองในท้องถิ่นบ้านหน้าถ้ำไม่ว่าจะเป็นคนไทยพุทธ คนจีน และคนมุสลิมเคยมีความสัมพันธ์ต่อกันทางสังคมและเศรษฐกิจเป็นอย่างดี อย่างเช่น คนมุสลิมก็ร่วมงานประเพณีของคนพุทธ แม้ว่าจะไม่เข้าร่วมในพิธีกรรมทางศาสนาก็ตาม และคนทั้งสามกลุ่มคือ คนพุทธ คนมุสลิม และคนจีน เชื่อถือในโชคลางและข้อห้ามในระบบความเชื่อของท้องถิ่นที่เกี่ยวกับพิธีกรรมเกี่ยวกับชีวิต ความอุดมสมบูรณ์ และการรักษาพยาบาลร่วมกัน ในงานรื่นเริงในเวลามีพิธีกรรม เช่น การมีหนังตะลุง มะโย่ง และดีเกฮูลู ทั้งคนพุทธ คนมุสลิม และคนจีนก็มาดูการแสดงร่วมกัน เป็นต้น ส่วนในหุบสายบุรีนั้น มีความลึกของการตั้งถิ่นฐานตามลำน้ำสายบุรีไปจนเกือบถึงบริเวณต้นน้ำในเขตอำเภอสุคิรินที่ไกลกว่าหุบปัตตานี แต่ชุมชนที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มีอายุน้อยกว่าชุมชนในหุบปัตตานีมักเป็นชุมชนของคนมุสลิมที่ผู้คนจำนวนหนึ่งเคลื่อนย้ายมาจากเมืองโกตาบารู ในรัฐ กลันตันของมาเลเซีย คนพุทธทั่วไปตั้งถิ่นฐานน้อย ซึ่งแลเห็นได้จากการมีวัดทางพุทธศาสนาไม่กี่แห่ง อีกทั้งชุมชนใหญ่ ๆ จะเกิดขึ้นก็เฉพาะบริเวณที่เป็นชุมทางคมนาคมตั้งแต่เขตอำเภอศรีสาครลงมา เพราะมีท่าเรือที่ติดต่อมาออกทะเลที่อำเภอสายบุรีได้ ชุมชนในหุบสายบุรีนี้จะเกาะกลุ่มกันเป็นท้องถิ่น ๆ ไป เช่น บ้านซากอ และบ้านกาเยาะมาตี ในเขตอำเภอศรีสาครก็นับเนื่องเป็นกลุ่มที่อยู่ในนิเวศวัฒนธรรมหนึ่ง กับกลุ่มบ้านตะโหนดในหุบเขาทางตะวันออกเฉียงเหนือของอำเภอรือเสาะก็นับเนื่องเป็นอีกนิเวศวัฒนธรรมที่ต่างกันออกไป ในขณะที่บ้านเกะรอก็อยู่ในกลุ่มนิเวศวัฒนธรรมที่มีการทำนาพรุร่วมกัน บรรดาชุมชนในแต่ละนิเวศวัฒนธรรมเหล่านี้ ต่างอยู่แยกจากกัน จนเกิดเป็นความแตกต่างกันระหว่างท้องถิ่นขึ้น สิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างกัน เกิดจากการติดต่อกันทางสังคมและเศรษฐกิจน้อย ในขณะที่แต่ละท้องถิ่นมีความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนกระชับแน่น อันเนื่องจาก การแต่งงานกันเองจากภายใน [Village Endogamy] ประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่ง อาชีพหลักในการทำมาหากิน ได้แก่ การทำสวนดูซงและสวนยางนั้น เป็นสวนแบบสมรมที่ไม่เพียงแต่ปลูกพืชเศรษฐกิจเท่านั้น หากยังรวมไปถึงบรรดาต้นไม้และพืชพันธุ์ต่างๆ ที่เป็นทั้งวัสดุในการก่อสร้าง อาหารการกิน และยารักษาโรคด้วย รวมทั้งกิจกรรมทางสังคมและเศรษฐกิจร่วมกันอีกหลายอย่างที่ทำให้ท้องถิ่นมีลักษณะ อยู่ได้อย่างเพียงพอ [Self Contain] โดยไม่ต้องพึ่งพาภายนอกเท่าใด ผู้คนแต่ละชุมชนในท้องถิ่น ล้วนมีส่วนสำนึกร่วมกันสูง อีกทั้งมีศักยภาพในการจัดกลุ่มและองค์กรในเรื่องการศึกษาเศรษฐกิจและสังคมร่วมกันอย่างมั่นคง ผู้คนในหุบปัตตานีกับหุบสายบุรี แม้จะอยู่ในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ด้วยกันก็ตาม แต่ก็มีความแตกต่างทางวัฒนธรรมในระดับท้องถิ่นอย่างเห็นได้ชัด ในหุบปัตตานีมีพัฒนาการทางสังคมเป็นบ้านเป็นเมืองมาช้านาน จึงมีผู้คนหลายชาติพันธุ์ ทั้งคนมุสลิม คนไทยพุทธ และคนจีนสังสรรค์และอยู่ร่วมกันมาเป็นเวลานาน รับการเปลี่ยนแปลงจากภายนอกได้เร็วและง่ายกว่า ในขณะที่ทางหุบสายบุรี การตั้งถิ่นฐานของผู้คนเป็นชุมชนบ้านเมืองเกิดขึ้นไม่นานเท่าใด ผู้คนที่เกิดขึ้นเคลื่อนย้ายมาจากเมืองโกตาบารูในรัฐกลันตันของมาเลเซีย และผู้คนที่อยู่ในหุบ เช่น พวกซาไกและผู้ทำไร่หาของป่า เป็นต้น ผู้คนเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับผู้คนที่อยู่ในเขตอำเภอต่าง ๆ ของจังหวัดนราธิวาสที่ต่อไปยังเขตมาเลเซียมากกว่าทางจังหวัดปัตตานี การอยู่ในเขตภายในหุบเขาที่มีการติดต่อกับภายนอกในเขตชายทะเลน้อย ทำให้มีคนจีนและคนไทยพุทธไปเกี่ยวข้องด้วยน้อยมาก ดังนั้น เมื่อนำมาเปรียบเทียบระหว่างกันแล้ว ก็จะเห็นได้ว่า ผู้คนในหุบปัตตานียังเปิดโอกาสให้มีการติดต่อเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนภายนอกได้ดีกว่าคนในหุบสายบุรีที่มีลักษณะเป็นสังคมปิด แต่ท่ามกลางความแตกต่างระหว่างผู้คนในสองหุบเขาก็มีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกันในหมู่คนมุสลิมในเรื่องของความเชื่อ วิถีชีวิต และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม นั่นคือ ศาสนา โดยเฉพาะคำสอนของพระเจ้ายังคงเป็นส่วนสำคัญในการดำรงชีวิตคนมุสลิมยังคงยึดมั่นในพิธีละหมาด ผู้ที่เคร่งครัดจะต้องทำกันวันละ ๕ ครั้ง และเชื่อว่าสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกเป็นของพระเจ้า ความเชื่อและพิธีกรรมดังกล่าวนี้ คือพื้นฐานสำคัญที่ทำให้คนมุสลิมมองมนุษย์ทุกคนเสมอภาคกันหมด ไม่ว่าคนไทยพุทธและคนจีน ถัดลงมาจากพระเจ้าก็คือ ผู้นำทางคุณธรรม เช่น โต๊ะครูและโต๊ะอิหม่าม โดยเฉพาะโต๊ะครูนั้นดูเหมือนเป็นผู้นำทั้งทางโลกและทางธรรม เพราะเป็นคนปกครองโรงเรียนปอเนาะที่เป็นสถาบันการศึกษาที่สำคัญของสังคม โต๊ะครูคือบุคคลที่มักได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์ที่คนนำเอาคำพูดคำสอนไปปฏิบัติ แต่ก่อนคนศักดิ์สิทธิ์แบบนี้คลุมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสหรือผู้รู้ที่รู้ในเรื่องเวทมนต์คาถาที่สามารถปัดเป่าความชั่วร้ายและให้การรักษาพยาบาลในเรื่องโรคภัยไข้เจ็บด้วย คนศักดิ์สิทธิ์ประเภทนี้ไม่จำกัดอยู่แต่เฉพาะคนมุสลิมเท่านั้น หากยังเป็นคนที่คนพุทธและคนจีนเคารพนับถือด้วย ในเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรม ผู้คนในสองหุบเขาก็มีอะไรที่คล้ายคลึงกัน ผลกระทบทางเศรษฐกิจและความเจริญทางวัตถุทำให้คนมุสลิมที่เคยมีภรรยาหลายคน เปลี่ยนมาเน้นการมีภรรยาคนเดียว ลูกผู้หญิงส่วนใหญ่มีการศึกษาดีกว่าลูกผู้ชาย รวมทั้งการจัดประเพณีพิธีกรรมเกี่ยวกับชีวิตก็ลดความใหญ่โตและการสิ้นเปลืองลง แต่ที่สำคัญคนส่วนใหญ่เลิกประกอบอาชีพพื้นฐานทางเกษตรกรรม เช่น การปลูกข้าวและการทำน้ำตาลโตนด จึงเกิดมีนาร้าง โดยเฉพาะคนทำนาพรุนั้นแทบจะหมดไปแล้วก็มี การทำสวนยาง ทำไร่ และทำสวนผลไม้ แม้ว่ายังดำรงอยู่ แต่ราคาของผลิตผลกลับขึ้น ๆ ลง ๆ เช่น ลองกอง เป็นต้น ชาวบ้านเตรียมต้นกล้าสำหรับดำนา แต่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเห็นจะได้แก่ ช่องว่างระหว่างวัยของคนรุ่นลูกรุ่นหลาน ที่มีการมองโลกแบบใหม่และคิดใหม่ ไม่ยึดมั่นในการประกอบอาชีพและการดำรงชีวิตของคนรุ่นเก่า ไม่ใคร่สนใจกับการเรียนทางศาสนาอย่างแต่เดิม ออกไปทำงานนอกบ้านและมีการสังสรรค์ระหว่างกันตามโรงน้ำชา รวมทั้งการเที่ยวเตร่และสนใจในสิ่งอบายมุขเพิ่มขึ้น นับเป็นความเข้าใจในขั้นพื้นฐานทางประวัติศาสตร์สังคมของท้องถิ่น รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมที่สามารถนำมาตั้งคำถามเพื่อการดำเนินการรวบรวมข้อมูลเชิงลึกทางด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมต่อไป อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- เมืองไทยเป็นสองเมืองหรือ? ปัญหาระหว่างประชาธิปไตยกับธรรมาธิปไตย
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2549 เหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศที่นับวันจะรุนแรงจนถึงอาจควบคุมอะไรไม่ได้ทุกวันนี้ ในความคิดของข้าพเจ้านับเนื่องเป็นวิกฤติทางศีลธรรมของสังคมในระบอบประชาธิปไตยที่ชอบอ้างความชอบธรรมในเรื่อง “ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน” จนถึง “ประชาชนกว่า ๑๙ ล้านคนเลือกข้าฯ ขึ้นมาบริหารราชการแผ่นดิน” หรือที่ดังแว่ว ๆ ในทีวีเมื่อเร็วนี้ว่า “คน ๑๖ ล้านคนเลือกข้าฯ” อะไรทำนองนั้น ถ้าพูดให้ทันสมัยหน่อย วาทะเช่นนี้ดูเป็นวาทกรรมที่ผลิตซ้ำแล้วซ้ำเล่าในบรรดาพรรคการเมืองที่ผลัดกันเข้ามาเป็นรัฐบาล เพราะจำได้ว่าเมื่อครั้งคนปากมูนเดินขบวนเรียกร้องรัฐบาลในการสร้างเขื่อนปากมูน ทั้งรัฐบาลและรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลชุดก่อน ๆ พูดออกมาทำนองเดียวกันว่า “ต้องทำเพื่อคน ๖๐ ล้านคน” ความชั่วร้ายซึ่งเป็นพื้นฐานวิกฤติทางศีลธรรมที่ดูเหมือนตกผลึกอยู่ในสังคมประชาธิปไตยของประเทศไทยก็คือ การทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นสิ่งที่แก้ไม่ตกในกระบวนการประชาธิปไตยแบบไทย ๆ ทั้งที่มักจะมีผู้นำทางปัญญาของชาติออกมาตำหนิและแนะหนทางแก้ไขอยู่เป็นประจำก็ตาม ข้าพเจ้าจำได้ว่าสมัยที่แล้วเมื่อพรรคประชาธิปัตย์ครองเมืองก็มีผู้เสนอคำว่า “ธรรมาภิบาล” ซึ่งเน้นความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ แต่ก็ไม่มีผู้นำทางการเมืองและผู้รับผิดชอบในรัฐบาลนำไปปฏิบัติ จนรัฐบาลที่แล้วสิ้นสุดไปเพราะพ่ายแพ้การเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย พรรคไทยรักไทยเข้ามาครองแผ่นดินแทน ได้ทำอะไรค่อนข้างสว่างไสวอยู่ ๒-๓ ปี ก็กลายเป็นแดนสนธยาที่มาถึงทุกวันนี้ บ้านเมืองอยู่ในสภาพอับแสงและมืดมิดทั้งทางปัญญาและศีลธรรม คนโง่ ๆ อย่างข้าพเจ้านึกอะไรไม่ออกนอกจากคิดได้เป็นอย่างเดียวว่า นี่คือทางตันของระบอบประชาธิปไตย ประชาธิปไตยในทัศนะของคนในวัฒนธรรมตะวันตก เป็นทั้งเครื่องมือและอุดมการณ์ที่ยังความเสมอภาคและเป็นธรรมแก่ประชาราษฎร์ แต่ประชาธิปไตยในเมืองไทยกลับเป็นวิธีการและเทคนิคของคนฉลาดที่คดโกงขาดสำนึกทางศีลธรรม ได้ใช้สร้างตัวเองและพรรคพวกจากสภาวะที่เคยเป็นศูนย์มาเป็นราชามหาเศรษฐีกันอย่างคับบ้านคับเมืองในเวลานี้ กระแสทุนนิยมแบบข้ามชาติได้เปลี่ยนความเป็นมนุษย์ที่เคยเป็นสัตว์สังคมที่มีศีลธรรมของคนไทยที่มีมากว่าพันปีในอดีต ให้กลายเป็นสัตว์เดรัจฉานกินหญ้ากินเนื้อและกินเลือดกันเองไป ทุกวันนี้คนระดับรากหญ้ากลายเป็นคนกินหญ้า คนชั้นกลางกลายเป็นพวกไม่มีหัวนอนปลายตีนและสายตาสั้น ซึ่งก็รวมทั้งคนที่มีปัญญาที่บ้าประชาธิปไตยจนติดกรอบ ทางตันดังกล่าวนี้ทำให้รัฐในปัจจุบันกำลังกลายเป็นทรราช เพราะรัฐกับประชาชนมีช่องว่างจนไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสังคมได้ จึงเกิดปัญหาทางสังคมและวัฒนธรรมที่แก้ไขอะไรไม่ได้ ดังเช่น ปัญหาของผู้คนในสามจังหวัดภาคใต้และที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร ตลอดจนอีกหลายแห่งทั่วประเทศที่กำลังตามมา ปรากฏการณ์ของความขัดแย้งที่รุนแรงในขณะนี้ นักรัฐศาสตร์ นักปกครอง มักพูดว่าเป็นเรื่องของ รัฐล้มละลาย [Failed State] หรือที่ปัญญาชนส่วนใหญ่มองไปในแง่ความล้มเหลวทางจริยธรรม แต่ข้าพเจ้าคิดตามภาษาคนโง่ว่าเป็น การล้มเหลวทางศีลธรรม [Demoralization] อย่างชัดแจ้ง ซึ่งถ้าปล่อยให้เกิดความขัดแย้งที่รุนแรงต่อไป ก็จะนำไปสู่ ความล่มสลายของความเป็นสัตว์มนุษย์ [Dehumanization] ได้ อันเนื่องมาจากทุกวันนี้สำนึกเดรัจฉานกระจายไปทั่วทั้งแผ่นดิน ในช่วงเวลากว่าปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้ามีประสบการณ์ในสังคมภาคใต้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและฝั่งทะเลอันดามันจนทำให้รู้สึกหดหู่ โกรธแค้น และสิ้นหวัง ทางฝั่งอ่าวไทยข้าพเจ้าเรียนรู้หลายอย่างจากการได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการคนหนึ่งในคณะกรรมการสมานฉันท์แห่งชาติ ได้แลเห็นและเข้าใจปัญหาและข้อเท็จจริงที่น่าจะแก้ไขได้จนถึงแก้ไขไม่ได้และควบคุมไม่ได้ในที่สุด เพราะความเป็นรัฐล้มละลายนั่นเองจึงทำให้มีการใช้ความรุนแรงที่ถูกกฎหมายปะทะกับความรุนแรงที่ไม่ถูกกฎหมายจนไม่มีทางสมานฉันท์ได้ รัฐไทยสามารถทำให้คนในโลกมุสลิมและโลกสากลตำหนิและตั้งคำถามในเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยธรรม รวมทั้งการทำให้คนมุสลิมภายในขัดแย้งฆ่ากันเอง ซึ่งก็รวมไปถึงบรรดาคนพุทธ ครู และข้าราชการในท้องถิ่นด้วย แต่กลับสามารถสร้างภาพพจน์ที่อธิบายทางสื่อให้คนส่วนใหญ่ในชาติเห็นว่าคนมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้คือพวกที่ต้องการแบ่งแยกดินแดน ในขณะที่คนทางฝั่งอันดามันที่ด้อยโอกาส ไม่ว่าเป็นชาวบ้านซึ่งเป็นคนไทย คนมุสลิม และชาวเลซึ่งได้รับภัยพิบัติจากคลื่นยักษ์สึนามิจนหมดตัว หมดฐานะแล้ว ยังกลายเป็นคนไร้ปัฐพี เพราะแผ่นดินที่อยู่อาศัยถูกยึดครองและขับไล่โดยพวกนายทุนทั้งในชาติ ข้ามชาติ และนานาชาติ ในทำนองตรงข้าม เมื่อมองผ่านสิ่งต่าง ๆ เข้าไปกลับกลายเป็นดินแดนสวรรค์ของการท่องเที่ยวที่จะทำรายได้อย่างมหาศาลเข้าประเทศ ข้าพเจ้าแลเห็นความขัดแย้งและความเดือดร้อนในทำนองนี้ที่แผ่ขยายไปแทบทุกภูมิภาคของประเทศ แต่ก็ต้องยอมรับด้วยความอัศจรรย์ใจที่ว่า ท่ามกลางการเป็นรัฐที่ล้มเหลวของรัฐบาลนี้ รัฐมีศักยภาพเป็นพิเศษในการครอบงำให้ผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศมีความสุขสันต์ชื่นชมรัฐท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่เป็นนรก แต่ห้วงความรู้สึกมืดมิดและสิ้นหวังทางสังคมที่กล่าวมา เผอิญมีแสงสว่างบางอย่างเกิดขึ้นที่น่าเปลี่ยนทัศนคติจากร้ายกลายเป็นดี เมื่อเกิดมีการเคลื่อนไหวทางสังคมเรียกกันว่า ม็อบสะพานมัฆวาน ที่เกิดขึ้นมาต้านระบอบทักษิณของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ม็อบนี้เป็นม็อบแค่ชื่อเพราะความจริงเป็นการชุมชนเคลื่อนไหวที่มีโครงสร้างแตกต่างไปจากม็อบอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็น ม็อบรถอีแต๋นกับม็อบดอกกุหลาบ ม็อบมัฆวานเริ่มต้นจากการเคลื่อนไหวที่เป็นม็อบตั้งแต่บริเวณสวนลุมพินีจนถึงท้องสนามหลวง เกิดจากแกนนำม็อบเพียงคนเดียว แต่ภายหลังวันที่ ๔ มีนาคมที่แล้วมา ก็เกิดแนวร่วมและความคิดร่วมขึ้นจากกลุ่มคนที่หลากหลายทั้งอาชีพและวัยวุฒิ แต่กลุ่มที่ข้าพเจ้าให้ความสำคัญและเห็นเป็นนิมิตหมายที่มีทางสังคมก็คือ กลุ่มนิสิตนักศึกษาที่ดูเหมือนจะถูกกลบจมปัฐพีไปด้วยการผลิตแบบปริมาณของแทบทุกมหาวิทยาลัยและความต้องการเศษกระดาษที่เป็นปริญญามากกว่าความรู้ มาครั้งนี้เกิดการเคลื่อนไหวอย่างน่าอัศจรรย์ใจจากการรวมกลุ่มของนักศึกษาเช่นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ออกมาแสดงความคิดเห็นและประกาศการรวบรวมรายชื่อประชาชน ๕๐,๐๐๐ คน เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมของนายกรัฐมนตรี ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีก็เพราะ บรรดานักศึกษาผู้มีความคิดเหล่านั้นหาได้มีความคิดเห็นและมุมมองที่เป็นแบบเดียวกันไม่ แต่ต่างคนมาพูดคุยกันเพื่อหาจุดร่วมกันอย่างเป็นสมานฉันท์ [Unity] ในขณะเดียวกัน กลุ่มนักศึกษาดังกล่าวก็หาได้เห็นพ้องกับความคิดและการดำเนินการของแกนนำม็อบที่ท้องสนามหลวงไม่ แต่มีความเห็นตรงกันในการจัดการกับการกระทำของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลที่ไม่ชอบด้วยจริยธรรม หลังจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษาก็เกิดการตื่นตัวกันในหมู่คนมากมายหลายกลุ่ม เรียกว่าทั่วประเทศก็ได้ เป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่มีทางปกปิดหรือปิดบังได้ถึงแม้ว่ารัฐจะควบคุมกลไกต่างๆ ในการสื่อสารได้มากกว่ารัฐบาลในสมัยใด ๆ ก็ตาม ท่ามกลางการเคลื่อนไหวที่มีขึ้นอย่างมากมายเกือบทั่วประเทศนั้น ได้มีจุดร่วมกันเป็นรูปธรรมที่สะพานมัฆวานรังสรรค์บนถนนราชดำเนินนอก ซึ่งเป็นเส้นทางไปสู่รัฐสภาและทำเนียบรัฐบาล พฤติกรรมของม็อบนี้เป็นสันติวิธีที่หลีกเลี่ยงความรุนแรง คนแก่ ๆ อย่างข้าพเจ้าก็สนใจอยากไปดูไปเห็นก็เลยสวมหัวใจความเป็นนักมานุษยวิทยาสมัยหนุ่ม ๆ เข้าไปสังเกตการณ์ทั้งตอนกลางวันและกลางคืน ตอนกลางวันอากาศร้อนดูเหมาะกับคนที่ร่างกายแข็งแรง และมีความคิดความอ่านที่ร้อนแรง จึงมีคนมาชุมนุมน้อยกว่าตอนเย็นและกลางคืน กลุ่มคนตอนกลางวันที่ข้าพเจ้าเห็นนั้น ดูคุ้น ๆ หน้าไปหมดเพราะมีทั้งพวกครูบาอาจารย์ นักศึกษา และปัญญาชนต่าง ๆ ที่เคยพบเห็น ทั้งตามสถาบันการศึกษาและการประชุมสัมมนาตามที่ต่างๆ ของประเทศ เลยเดินทักทายกันไปตั้งแต่เชิงสะพานผ่านฟ้าจนถึงสะพานมัฆวานและหน้าทำเนียบ คนที่มาชุมนุมเหล่านี้จับกันเป็นกลุ่มๆ พุดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ถึงความเป็นไปที่เลวร้ายของบ้านเมือง เป็นการชุมนุมแบบมีโครงสร้างความสัมพันธ์กันหาใช่ม็อบไม่ เพราะแต่ละกลุ่มก็มีความคิดเห็นเป็นตัวเองไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังและทำตามคำแนะนำและความคิดของกลุ่มแกนนำเสมอไป แม้แต่กลุ่มแกนนำเองก็มีความแตกต่างในมุมมองทางความคิด แต่ท่ามกลางสิ่งที่เสมือนกั้นธารน้ำใหญ่น้อยมากมายหลายสาขาจากที่อื่น ๆ ต่างก็มารวมเป็นกระแสเดียวในเรื่องการเรียกร้องให้เกิดสิ่งที่เป็นความถูกต้องทางจริยธรรมในสังคมไทย เพราะฉะนั้น ปัญหาและจุดร่วมกันของการชุมนุมที่เรียกว่าม็อบมัฆวานนี้ก็คือเรื่องจริยธรรมไม่ใช่เรื่องความถูกต้องตามกระบวนการประชาธิปไตยที่ทำอะไรต่ออะไรต้องถูกต้องตามกฎหมายและข้อบังคับของรัฐธรรมนูญตามแนวคิดและนโยบายประชานิยมของรัฐบาล แต่สิ่งที่เป็นอัศจรรย์แก่ข้าพเจ้าที่คิดว่าตนเองเป็นคนแก่ท่ามกลางม็อบหนุ่มสาวก็คือ ได้พบคนแก่กว่าข้าพเจ้าอีกมากในตอนกลางวันนี้ ที่ว่าแก่กว่าก็เพราะท่านเหล่านั้นล้วนมีอายุกว่า ๗๐ ปีขึ้นไป บ้างเป็นทหาร ตำรวจ ข้าราชการ พลเรือน ครูบาอาจารย์ พ่อค้า นักธุรกิจที่จัดเป็นพวกบำนาญแทบทั้งสิ้น คนเหล่านี้ออกมาพูดคุยแสดงความคิดเห็นที่ไม่เกี่ยวกับความถูกต้องทางประชาธิปไตยหรือความชอบธรรมทางจริยธรรมแต่เพียงอย่างเดียว แต่แสดงความเกี่ยวข้องทางศีลธรรมของบ้านเมืองโดยตรง ประสบการณ์และความมีอายุคือสิ่งที่ท่านเหล่านี้เคยเห็นความสันติสุขที่เคยมีมาแต่เดิมเป็นอย่างไร ถึงแม้ว่าจะไม่มียุคใด สมัยใดที่สมบูรณ์แบบตามอุดมคติหรืออุดมการณ์ก็ตาม แต่ก็ไม่เคยอยู่ในภาวะที่ “ฉิบหาย” เหมือนคราวนี้ ข้าพเจ้าประทับใจมากเมื่อมีคนไทยเชื่อสายเจ๊กที่ท่าทางเป็นนักธุรกิจอาวุโสพูดสำเนียงภาษาไทยไม่ค่อยชัด ออกมาแสดงอารมณ์ความขุ่นเคืองถึงความเหลวแหลกทางพฤติกรรมของคนรุ่นลูกหลานที่ไม่อยู่ในภาวะความเป็นมนุษย์ที่มีศีลธรรมในขณะนี้ และประกาศก้องออกมาว่าเป็นความผิดอย่างมหันต์ของรัฐบาล เพราะฉะนั้น ปัญหาของการเคลื่อนไหวของการชุมนุมที่เรียกว่าม็อบนี้ ไม่ใช่เพียงจริยธรรมเท่านั้น หากหมายไปถึงการเคลื่อนไหวทางศีลธรรมที่เกี่ยวข้องกับสถาบันทางสังคมและวัฒนธรรมที่เคยจรรโลงความมั่นคงดังกล่าวนี้ด้วย ตอนกลางคืน ยิ่งเย็นยิ่งดึกคนยิ่งมากและยิ่งแน่นมาแทบทุกสาระทิศ ไม่ใช่เรือนหมื่นแต่เป็นเรือนแสน ทำให้พื้นที่บนถนนราชดำเนินนอกเกือบทั้งหมดกลายเป็นพื้นที่การแสดงมหรสพทางปัญญาที่เปิดตำราไม่พบในการชุมนุมที่เรียกว่า ม็อบ ทั้งหลายที่แล้ว ๆ มา ตรงเวทีใหญ่ที่บรรดาแกนนำที่เป็นดาราแสดงใหญ่ต่างผลัดกันออกมากล่าวโจมตีและขับไล่นายกรัฐมนตรี สลับด้วยดารารับเชิญที่เป็นนักวิชาการและนักอะไรต่ออะไรที่มาจากหลายกลุ่มหลายเหล่า ดูคล้าย ๆ กับการแสดงคอนเสริต์ของวัยรุ่นในทุกวันนี้ เพราะรอบ ๆ เวทีจะมีคนรุ่นหนุ่มรุ่นสาวและรุ่นแก่ที่ยังมีแรงแออัดยกไม้ยกมือส่งเสียงแสดงพลังรับเป็นลูกคู่แบบมีส่วนร่วม ถัดเวทีใหญ่ไปตามพื้นที่ถนนและพื้นที่โดยรอบ ได้มีการตั้งจอใหญ่ถ่ายทอดภาพและเสียงของบรรดานักแสดงบนเวทีไปให้คนที่มาชุมนุมนั่งฟังกันเป็นบริเวณ ๆ ไป คนที่อยู่หน้าจอเหล่านี้อาจมีส่วนร่วมในการขานรับเป็นลูกคู่ให้กับการปลุกระดมจากเวทีใหญ่เป็นครั้งเป็นคราว แต่เป็นจำนวนมากมีการจับกลุ่มเป็นกลุ่มเล็ก ๆ หันหน้าเข้าหากันพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดและประสบการณ์กัน กลุ่มคนเหล่านี้มีทั้งคนจนคนรวยที่ถ้ามองเผิน ๆ แล้วจะถูกเหมารวมๆ ว่าเป็นคนชั้นกลาง ข้าพเจ้าแลเห็นบรรดาคนจนที่เป็นพวกคนรับจ้าง ไม่ว่าพวกมอเตอร์ไซด์ แท็กซี่ หรือกรรมกรที่มาจากที่ต่าง ๆ ก็มีการจับกลุ่มและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้คนที่เดินผ่านไปมาและทักทายกัน ข้าพเจ้าเองได้รับทราบความเดือดร้อนของคนเหล่านี้จากการพูดคุยเช่นกัน โดยเฉพาะรับรู้ว่าการเข้ามาชุมนุมของคนเหล่านี้ไม่มีใครจ้างมาต่างพากันมาเองโดยหัวใจ ลักษณะอีกอย่างหนึ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนก็คือ บรรดาผู้มาร่วมชุมนุมทั้งหลายเหล่านั้นเป็นจำนวนมากต่างพากันมาทั้งครอบครัว มีทั้งพ่อแม่ลูกรวมทั้งบางคนเอาญาติผู้ใหญ่มาด้วย พากันนั่งเป็นกลุ่ม ๆ อยู่หน้าจอถ่ายทอดการแสดงออกของดาราแกนนำ ตามสองข้างทางริมถนนนอกจากเป็นที่สัญจรไปมาของคนที่มาร่วมชุมนุมแล้วยังพวกพ่อค้า แม่ค้า นำอาหารและสิ่งของมาขาย ทำให้ผู้มาชุมนุมไม่อดอยาก เด็ก ๆ ก็มีของกินและของเล่น มีเต็นท์แสดงข่าวสารข้อมูลและกิจกรรมที่ให้ความรู้ รวมทั้งการอบรมสอนให้เด็ก ๆ เขียนภาพต่าง ๆ ที่ต่างคนต่างแสดงความคิดเห็นและจินตนาการจากเรื่องราวปัญหาของการขัดแย้ง ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้ภาพพจน์ของนายกรัฐมนตรีเป็นจุดรวม สำหรับผู้ชุมนุมที่เจ็บป่วยก็มีอาหารและยาแจก รวมทั้งอาหารมังสวิรัติของพวกกองทัพธรรมที่มาปักหลักชุมนุมแบบค้างแรม และมีโรงครัว โรงทานทำอาหารแจกอาหารไปด้วย สำหรับคนที่มาชุมนุมอีกเป็นจำนวนมากที่อยากแสดงความคิดเห็นโดยผ่านสื่อในทำนองเดียวกับที่ทางราชการจัดให้มีการส่งไปรษณียากรจากผู้คนในสังคมที่เขียนมาเชียร์นายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบนั้น ม็อบมัฆวานก็มี คือการจัดเศษกระดาษเปล่า ๆ ให้ผู้คนที่มาร่วมชุมนุมเขียนแสดงความคิดเห็นแล้ววางไว้บนพื้นแบกะดินแทนผู้รับแสดงความคิดเห็นแบบทำเนียบ ข้าพเจ้าได้ยืนอ่านด้วยความเพลิดเพลิน เพราะนอกจากได้แลเห็นความคิดเห็นนานาชนิดแล้ว ยังเห็นคำพูดและความคิดที่เป็นกวี เป็นศิลปะของผู้มาชุมนุมด้วย จนรู้สึกว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวทางศิลปวัฒนธรรมไปด้วย คงจะไม่มีใครปฏิเสธในขณะนี้เลยได้ว่า เพลงดนตรีและการ์ตูน “ไอ้หน้าเหลี่ยม” นั้นเป็นผลผลิตทางสังคมที่เป็นศิลปะร่วมสมัยทั้งผู้ใหญ่และเด็กร่วมกัน ม็อบมัฆวานข้างทำเนียบที่มาจากผู้คนร่วมสมัยในสังคมที่หลากหลายในความคิดเห็นหาได้คิดแบบเดียวและอย่างเดียวกันกับผู้ที่เป็นแกนนำของม็อบไม่ อีกทั้งไม่ใช่ม็อบอย่างที่เคยคิดเห็นกัน หากเป็นการเคลื่อนไหวทางปัญญาของกลุ่มคนที่หลากหลายแต่มีจุดร่วมกันทางสังคมอย่างเป็นสมานฉันท์ (Unity) คือจะทำอย่างไรกับความชั่วร้ายทางสังคมในด้านจริยธรรมและศีลธรรม เพราะทุกคนเห็นว่า ความเป็นธรรมที่มาจากกฎหมาย จากกระบวนการที่เป็นประชาธิปไตยนั้นล้มเหลว เจตนารมณ์วันนี้ส่งผลไปถึงการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรที่เกิดขึ้นตามกติกาประชาธิปไตยหลังการยุบสภาของนายกรัฐมนตรีแห่งพรรคไทยรักไทย จึงเกิดการไม่ยอมรับการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นว่าเป็นความชอบธรรม พรรคการเมืองใหญ่ ๆ ทางฝ่ายค้านปฏิเสธที่จะเข้าร่วม การปฏิเสธความชอบธรรมของการเลือกตั้งครั้งนี้ ได้ส่งผลให้เห็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งในเจตนารมณ์ของปัญญาชน คือการไม่เลือกใครเลยเป็นผู้แทน ปรากฏการณ์โนโวต นี้ไม่เคยปรากฏเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนในการเลือกตั้งที่เคยมีมาแต่ก่อน เป็นสิ่งที่รัฐบาลและสังคมต้องนำมาพิจารณา แต่ผลปรากฏว่าไม่เป็นเช่นนั้นทางฝ่ายรัฐและฝ่ายสนับสนุนกลับไม่ให้ความสำคัญ กลับไปสนใจกับการที่บรรดาผู้สมัครผู้แทนทางฝ่ายตนได้รับการเลือกตั้งจึงทำให้มาประกาศชัยชนะแบบเดิม ๆ ว่า “ประชาชน ๑๖ ล้านคน” เลือกตนและประสบผลสำเร็จในการรักษาประชาธิปไตย ในฐานะที่เป็นคนไทย ข้าพเจ้าอดสูแก่ประชาโลกและหวาดกลัวความแตกแยกที่จะนำไปสู่ความรุนแรงที่ไม่อาจควบคุมได้ในอนาคต การลงจากตำแหน่งที่มีอำนาจของนายกรัฐมนตรีที่อ้างการรักษากติกาประชาธิปไตยครั้งนี้ หาใช่คำตอบขั้นสุดท้ายของการเคลื่อนไหวทางปัญญาของสังคมไม่ เพราะการที่จะนำประเทศชาติและสังคมไทยเข้าสู่สันติสุขได้นั้น รัฐบาลหรือผู้นำประเทศต้องตอบปัญหาและจัดการความชอบธรรมทางจริยธรรมและศีลธรรม ซึ่งเป็นความจำเป็นพื้นฐานก่อน เพราะเป็นความจำเป็นสากลของมนุษยชาติ ความเป็นประชาธิปไตยทั้งในลักษณะเป็นเครื่องมือหรืออุดมการณ์นั้น คือสิ่งที่จะต้องตั้งอยู่บนฐานทางศีลธรรมและจริยธรรม ถ้าหาไม่แล้วสิ่งที่เป็นอธรรมก็ครองโลก โลกที่เต็มไปด้วยประชาธิปไตยแบบไร้คุณธรรมเช่นนี้ ถ้าหันกลับไปคำนึงถึงความคิดของคนโบราณ ก็คงจะได้เห็นแต่การส่ายหน้าและบอกว่าต่อให้มีสิบพระเป็นเจ้าก็ช่วยอะไรไม่ได้ มาถึงตรงนี้ทำให้ข้าพเจ้าต้องไปอ้างคำพูดและข้อเขียนของบุคคลที่เป็นปราชญ์ทางพุทธศาสนาที่ผู้คนทั้งหลายยกย่องคือ ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดนราธิวาส ที่ออกมาทันเหตุการณ์พอดีคือ “ธรรมาธิปไตยไม่มา จึงหาประชาธิปไตยไม่พบ” ข้าพเจ้าและเพื่อนมนุษย์ในม็อบมัฆวานโหยหาธรรมาธิปไตย ไม่ใช่ประชาธิปไตยในขณะนี้ ก่อนจบ ข้าพเจ้านึกเห็นอะไรจากหน้าจอทีวีเมื่อเร็ว ๆ นี้ จนเกิดความสังเวช เริ่มแต่นักการเมืองข้างทำเนียบฝ่ายรัฐมาออกรายการทีวีตอบโต้นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ในเรื่อง โนโวต ว่าไม่เห็นมีความสำคัญ เพราะคิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ การที่มีโนโวตมากในภาคใต้ก็เพราะเป็นพวกพรรคประชาธิปัตย์ การอ้างเช่นนี้ดูสอดคล้องกับความเห็นของผู้ที่เข้าข้างฝ่ายรัฐบาลอีกเป็นจำนวนมาก นับเป็นการสร้างภาพที่ให้คนส่วนใหญ่เข้าใจไปว่าเมืองไทยขณะนี้แบ่งออกเป็นสองฝ่ายสองเมืองแล้วหรือ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงก็น่าจะเป็นการยอมรับว่า บุคคลที่เป็นผู้นำของรัฐบาลคือบุคคลล้มละลายทั้งศักยภาพและความชอบธรรมในการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของประเทศชาติได้ ประเทศไทยจึงต้องเป็นสองอย่างที่ว่ามา ดังนั้นการที่ผู้นำของประเทศที่ล้มเหลวประกาศเว้นวรรคทางการเมืองนั้นก็ดีแล้ว ซึ่งข้าพเจ้าอดสงสารไม่ได้ถึงความโศกเศร้าของพวกบริวารที่ปรากฏในจอทีวี ยิ่งมีปุโรหิตประจำทำเนียบขึ้นมากล่าวไว้อาลัยแล้ว ก็ยิ่งใจหายเพาะมีการอ้างบทวรรณคดีในเรื่องกฤษณาสอนน้อง“พฤษกภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง” มาอุปมาอุปไมย ธรรมดาคำร้อยกรองชุดนี้มักปรากฏในลักษณะเป็นประเพณีในคำอาลัยแก่ผู้ตายในงานศพ มักจะมากับพวงหรีด ท่านปุโรหิตอาจจะเผลอเลยเว้นวรรคไม่อ่านวลีสำคัญในบทร้อยกรองนี้ที่ว่า “นรชาติที่วางวาย” อีกทั้งยังอ้างไม่หมดถึงบทต่อไปที่ว่า “ความดีจะปรากฏ เกียรติยศก็ฤาชา ความชั่วจะนินทา ทุรยศยินขจร” การอ่านวรรณคดีแบบพื้น ๆ เหล่านี้เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าผู้ชอบอ่านบทวรรณคดีอย่างเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตต้องมีอาการเพี้ยนตามไปด้วย เมื่อวันหนึ่งก่อนรุ่งสางเกิดละเมอฝันไปถึงบทละครเรื่องรามเกียรติ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ตอนพิเภกอย่าศึกกุมภกรรณ เมื่อกุมภกรรณด่าพิเภกว่า “ประเทศไทยเป็นของมึงหรือ จึงแบ่งยื้อให้เป็นเหนือเป็นใต้” อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- หกสิบปีของในหลวงกับร้อยปีพุทธทาส
เผยแพร่ครั้งแรก 2 มี.ค. 2559 สังคมไทยในวันนี้วิกฤติจนน่าเป็นห่วง เพราะกำลังมาถึงทางตันที่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจแบบรุนแรงอย่างที่เคยเกิดกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม ลาว กัมพูชา และจีน เมื่อครึ่งศตวรรษที่แล้วมา อาจเป็นเพราะประเทศไทยไม่เคยเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกมาก่อนก็ได้ที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างไม่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนคนปรับตัวตามไม่ทันเหมือนประเทศเพื่อนบ้าน แต่นั่นก็หาได้หมายความว่าจะรอดพ้นอิทธิพลของตะวันตกไม่ เพราะได้ตกเป็นทาสทางความคิดและสติปัญญาแบบตะวันตกมาโดยตลอด วิกฤติการทางการเมืองและสังคมที่ผ่านมาในสองสามเดือนนี้คือสิ่งที่กำลังบอกว่าเวรและเวลาได้มาถึงแล้ว แต่ก่อนทั้งไทย ลาว เขมรและเวียดนาม ต่างก็มีโครงสร้างสังคมและเศรษฐกิจคล้ายคลึงกัน คือเป็น สังคมชาวนา [Peasant Society] ที่มีโครงสร้างสองโครงสร้างซ้อนกันอยู่ คือ โครงสร้างแบบเสมอภาคของผู้คนที่อยู่ร่วมกันในท้องถิ่นต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร กับโครงสร้างศักดินาของคนเมืองที่มีลักษณะเหลื่อมล้ำ แต่ว่ามีลักษณะเกื้อกูลกับโครงสร้างแรกด้วยระบบอุปถัมภ์ ทำให้สังคมชาวนาไม่อยู่อย่างอิสระหากเป็นส่วนหนึ่ง [Part Society] ของสังคมใหญ่เสมอมา เมื่อตกเป็นเมืองขึ้นและอาณานิคมของตะวันตก โครงสร้างศักดินาที่สัมพันธ์กับสถาบันศาสนาและกษัตริย์ก็ถูกแทนที่โดย โครงสร้างโลกวิสัย [Secularized] ของเจ้าของอาณานิคมชาวตะวันตก อันเป็นโครงสร้างทางวัตถุนิยมที่เน้นความมีสิทธิและชอบธรรมของปัจเจกบุคคลในระบบเศรษฐกิจแบบเสรีทุนนิยม ซึ่งเมื่อพัฒนาจนเป็นอุดมการณ์แล้วมีชื่อเรียกว่า ประชาธิปไตย โครงสร้างนี้มีลักษณะครอบงำและสืบเนื่อง แม้ว่าบ้านเมืองที่เคยเป็นอาณานิคมจะเป็นอิสระแล้วก็ตาม ได้ทำความเดือดร้อนให้แก่ผู้คนในสังคมชาวนาจนทนไม่ได้ จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบปฏิวัติที่ใช้ความรุนแรง เพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างที่ไม่เหมาะสมนี้มาเป็นโครงสร้างสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์ สังคมไทยยังไม่เคยผ่านการปรับเปลี่ยนโครงสร้างแบบนี้ เพราะยังเข้ากันได้กับสังคมศักดินาที่ค้ำจุนโดยสถาบันศาสนาและกษัตริย์ แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองมาเป็นประชาธิปไตยตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นต้นมาก็ตาม ทั้งโครงสร้างเสมอภาคของสังคมชาวนากับโครงสร้างศักดินาของคนเมืองและคนชั้นปกครองก็ยังคงดำรงอยู่ แต่นับตั้งแต่สมัย ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นต้นมา การผันเงินสู่ชนบทเพื่อช่วยเหลือประชาชนในด้านเศรษฐกิจได้ทำลายโครงสร้างแบบเสมอภาคของสังคมชาวนาที่เคยอยู่ได้ด้วยตนเองแบบเกื้อกูลซึ่งกันและกันในทางเกษตรกรรม มาเป็นสังคมอุตสาหกรรมที่พึ่งตัวเองไม่ได้ ต้องพึ่งพิงสังคมเมืองที่บรรดาคนชั้นบริหารที่เคยเป็น ขุนนาง ข้าราชการที่เคยมีคุณธรรมเพี้ยนมาเป็นผู้แสวงหาอำนาจและผลประโยชน์ให้กับตนเองและพรรคพวก สังคมเสรีประชาธิปไตยตั้งแต่สมัยรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นต้นมา เป็นระยะเวลาที่แลเห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในโครงสร้างของคนชั้นศักดินา สมัยศักดินาราชาธิปไตย มักมีคำพังเพยแบบแดกดันว่า “ยศช้างขุนนางพระ” เพราะเห็นแก่ยศศักดิ์เป็นใหญ่ แต่มาสมัยนี้กลายเป็น “ยศพระขุนนางพ่อค้า” แทน ขุนนางพระในสมัยนี้มั่งคั่งร่ำรวยกว่าแต่ก่อน ซึ่งแลเห็นง่าย ๆ จากบรรดาอาคารในสังฆาวาสและพาหนะขับขี่ราคาแพง ๆ อาจรวมทั้งบัญชีเงินฝากในธนาคารด้วย ที่น่าสงสารก็คือ ขุนนางช้างไม่มี เพราะนอกจากจะใกล้สูญพันธ์แล้วยังถูกนำไปใช้ลากซุง ร่อนเร่ขอทาน และแสดงละครสัตว์ในมหกรรมแสงเสียงของการท่องเที่ยว แต่ขุนนางใหม่ขึ้นมาแทนคือ ขุนนางพ่อค้านั้นได้พัฒนาตัวเองจากการที่เคยอยู่ใต้ใบบุญและพึ่งพิงขุนนางเดิมที่มีอำนาจทางฝ่ายบุ๋นและบู๊ มาเป็นเจ้าพระเดช นายพระคุณแทน พวกขุนนางเหล่านี้คือกลุ่มคนที่เป็นใหญ่เป็นโตมีอำนาจทางเศรษฐกิจ การเมือง ไม่มีชาติแต่ข้ามชาติและพร้อมที่จะขายชาติ บุคคลเหล่านี้ไม่มีอุดมการณ์ที่เป็นประชาธิปไตย แต่อาศัยกระบวนการประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเองและพรรคพวกในการที่จะเข้ามาเป็นใหญ่ในแผ่นดิน บุคคลเหล่านี้ทั้งกายและใจเน้นความมีตัวตนและการเป็นปัจเจกบุคคลนิยมตามลัทธิเศรษฐกิจแบบเสรีทุนนิยม ไม่มีความดีและความเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณและเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง มนุษย์เป็นเพียงแต่ทรัพยากรที่ตนสามารถกำหนดและบังคับใช้ได้ บุคคลเหล่านี้คือ ผู้ที่ใช้ความรู้ทางวิทยาการและเทคโนโลยีสร้างสิ่งที่เป็นสมองกลและสิ่งเสมือนจริง [Virtual Reality] ขึ้นมอมเมาเยาวชนและคนรุ่นใหม่ให้กลายพันธุ์จนเป็นเดรัจฉานไม่เป็นมนุษย์ เพราะความเป็นมนุษย์อยู่ที่การเป็นสัตว์โลกที่เป็นสัตว์สังคมหรือสัตว์หมู่ที่อยู่ร่วมกันได้ ด้วยความเชื่อทางศาสนาและจริยธรรมที่นำไปสู่การเป็นคนมีศีลธรรมของสังคม ด้วยประการที่กล่าวมานี้ ก็จะทำให้เห็นว่าสังคมไทยวันนี้กำลังอยู่ภายใต้อิทธิพลและการครอบงำของระบบเศรษฐกิจข้ามชาติ ทุนนิยมเสรีที่นับเนื่องเป็นโครงสร้างของเดรัจฉานโดยแท้ กำลังอยู่ในสภาพที่ตกผลึกจนยากที่จะแก้ไขได้ คนรากหญ้ากลายเป็นคนกินหญ้า คนชั้นกลางที่พอมีสติปัญญาก็กลายเป็นคนมักได้และสายตาสั้น เพราะฉะนั้น การโหยหาของปัญญาชนที่รักประชาธิปไตยเป็นอุดมการณ์ในเรื่องการแก้แต่เพียงรัฐธรรมนูญอย่างเดียวนั้นไม่น่าจะทำอะไรได้ เพราะอมนุษย์เหล่านี้รู้จักที่จะจ้างบรรดามือปืนทางกฎหมายมาแก้ต่างแก้ไขได้ไม่ยาก ปัญหาพื้นฐานที่เป็นอันตรายของชาติบ้านเมืองในทุกวันนี้ก็คือ การแบ่งทรัพยากรของผู้คนในแผ่นดินที่ทำให้ภาคใต้เลือดท่วม และภาคเหนือน้ำท่วมอย่างที่เห็นกันอยู่ รวมทั้งภูมิภาคอื่น ๆ ด้วยที่กำลังจะตามมาด้วยความรุนแรงอีกหลายอย่าง แต่ท่ามกลางความขัดแย้งรุนแรงและมืดมน ก็ยังมีแสงสว่างอยู่บ้างที่อาจเตือนสติและนำทางให้แก่ปัญญาชนทั่วไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงเป็นที่พึ่งของคนทั้งชาติในที่สุด คงไม่จำเป็นต้องพูดถึงพระราชกรณียกิจที่ทรงทำและทะนุบำรุงการเกษตรอันเป็นเศรษฐกิจพื้นฐานของแผ่นดิน โดยการเสด็จออกไปเยี่ยมเยียนราษฎร ทรงสอนและสนับสนุนให้ประชาชนมีที่ดินและแหล่งน้ำเพื่อการเพาะปลูก รวมทั้งการนำเอาอุตสาหกรรมที่เหมาะสมเข้ามาเชื่อมโยง จนเมื่อไม่กี่ปีมานี้ทรงชี้หนทางการอยู่รอดด้วยแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงที่สามารถต้านทานหรือต่อรองกับเศรษฐกิจอุตสาหกรรมแบบเสรีทุนนิยมได้ ความสำคัญของเศรษฐกิจพอเพียงนั้นอยู่ที่ต้องเป็นคนพอเพียงทั้งกายและใจ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นบุคคลที่พอเพียง เหตุที่เศรษฐกิจพอเพียงเคลื่อนไปได้ช้าก็เพราะคนเป็นจำนวนมากในสังคมไม่เป็นคนพอเพียงนั่นเอง โดยเฉพาะบรรดาขุนนางพ่อค้าที่เป็นใหญ่เป็นโตในสังคม เลยทำให้ต้องคิดถึง ท่านพุทธทาส ที่ได้ให้ ความหมายของคำว่าพอเพียงว่าเป็นสิ่งที่ไม่เกินและไม่ขาด สังคมไทยควรเป็นธรรมิกสังคมนิยม คือเอาการเป็นอยู่รวมกันอย่างพอเพียงไม่เกินไม่ขาดเป็นอุดมการณ์ แต่การจะบรรลุถึงได้นั้นต้องมีธรรมะ ท่านพุทธทาสสิ้นไปนานแล้วแต่สิ่งที่ท่านเทศน์ ท่านสอนหาสิ้นไปไม่ โดยเฉพาะการแสดงธรรมว่า ถ้าไม่มีธรรมะ การเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยก็เป็นการเลือกตั้งที่โกง ผู้แทนที่เลือกมาก็โกง รัฐสภาที่เกิดขึ้นก็โกง และในที่สุดก็ได้รัฐบาลโกง และสำหรับคนที่บูชาประชาธิปไตยจนตกขอบ ท่านก็เตือนสติไว้ว่า เสียงประชาชนไม่ใช่เสียงสวรรค์เสมอไป อาจเป็นเสียงนรกก็ได้ ถ้าหากไร้ศีลธรรม และการเมืองที่ดีก็คือ การมีศีลธรรมนั่นเอง รวมทั้งคนที่ยึดมั่นในศาสนาและพิธีกรรมตามรูปแบบ ก็ต้องเข้าใจว่าการเข้าถึงธรรมะที่แท้จริงนั้นก็คือการเห็นพระพุทธเจ้า คงไม่ใช่แต่เพียงการกราบไหว้บูชาพระพุทธรูป สร้างพระพุทธรูปใหญ่น้อยเป็นสำคัญ เพราะพระจักรพรรดิราชและพระยามารก็มีรูปลักษณะได้เช่นเดียวกับพระพุทธองค์ ถ้ามีสติและทบทวนให้ดีสังคมไทยอาจรังสรรค์ธรรมิกสังคมนิยมตามแนวคิดของท่านพุทธทาสโดยไม่ยาก เพราะยังมีพระมหากษัตริย์ที่ทรงทัดดินต่างปิ่นเกล้า เป็นพระธรรมิกราชอยู่ แต่การเข้าถึงพระองค์นั้นคงไม่ใช่อยู่ที่การทำอะไรใหญ่โตอย่างสิ้นเปลืองจนเกินความพอเพียง การเป็นบุคคลที่มีความพอเพียงทั้งกายและใจต่างหากที่จะนำไปสู่การแก้ไขในสิ่งที่ไม่มีดุลยภาพของสังคมและบ้านเมืองในขณะนี้ได้ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ไทย : สังคมบ้านแตกหรือสติแตก
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ย. 2549 สิ่งที่น่าสังเกตในปัจจุบันก็คือ สังคมไทยทุกวันนี้มีลักษณะโดดเดี่ยวจากประเทศเพื่อนบ้านเพราะมองอะไรต่ออะไรแบบกรอบเดียวอย่างไม่มีการทบทวนและเปรียบเทียบ ดังเช่นการมองเหตุการณ์และสถานการณ์ความขัดแย้งในสังคมไทยในขณะนี้ว่าเป็น วิกฤตทางประชาธิปไตย อันเนื่องจากการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาลที่แล้วมา รวมไปถึงการปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลที่อ้างสิทธิความเป็นประชาธิปไตยจากการเลือกตั้งโดยฝ่ายทหาร ถึงแม้ว่าขณะนี้ได้มีการจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวขึ้นเพื่อดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญและเตรียมการจัดการให้มีการจัดการเลือกตั้งเพื่อให้เกิดรัฐบาลที่มีคุณสมบัติเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยตามอุดมการณ์หรือจินตนาการแบบสากล (ตะวันตก) ก็ตาม ก็ยังมีอาการของการต่อต้านและขัดแย้งอยู่ตลอดเวลา จึงกลายเป็นอุปสรรคหลาย ๆ ประการที่นำไปสู่การจัดการตามขั้นตอนเพื่อให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่ราบรื่นนัก จึงสมควรที่ผู้มีสติปัญญาทั้งหลายได้มีการทบทวนอะไรต่ออะไรกันบ้าง โดยหันกลับไปมองเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในการล้มล้างรัฐบาลชุดที่แล้ว ซึ่งเป็นชุดที่เรียกได้ว่าเป็นประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ในการจัดการบริหารประเทศกลับไม่เป็นประชาธิปไตยในอุดมคติที่ใคร ๆ ต้องการ ทำนองตรงข้าม กลับมีพฤติกรรมที่รวบอำนาจและคอรัปชั่นฉ้อราษฎร์บังหลวงและมอมเมาประชาชนที่ด้อยโอกาสเพื่อประโยชน์ของตนเองกับพรรคพวกจนเป็นเหตุให้เกิดการเคลื่อนไหวของบรรดาปัญญาชนขึ้นมาต่อต้าน ซึ่งก็มีลักษณะยืดเยื้อ อันอาจจะนำไปสู่ความรุนแรงที่ควบคุมไม่ได้เพราะรัฐบาลที่แล้วกุมอำนาจเบ็ดเสร็จไว้หมด ในที่สุดก็ยุติลงด้วยการที่ฝ่ายทหารเข้ามาปฏิวัติล้มอำนาจรัฐบาลเดิมสำเร็จและจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวขึ้น แต่ก็ดูยังเป็นที่ไม่พอใจของบรรดาปัญญาชนที่มองประชาธิปไตยเป็นอุดมคติและอุดมการณ์อยู่นั่นเอง จึงมีการเคลื่อนไหวออกมาวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ นานาว่าเป็นการกระทำที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยทั้งที่การเคลื่อนไหวแบบประชาธิปไตยก็ไม่อาจจัดการกับรัฐบาลที่ชั่วร้ายนั้นได้ ถึงกับหลายคนยังหันไปพึ่งการเรียกร้องในเรื่องนายกพระราชทานซึ่งก็ไม่เป็นประชาธิปไตยอีกเช่นกัน ข้าพเจ้าคิดว่าเหตุหนึ่งที่บรรดาปัญญาชนไม่พอใจก็เพราะไปเปรียบเทียบกับการปฏิวัติของทหารสมัย รสช. ที่ก็น่าคิด แต่ก็ควรให้เวลากับการปฏิวัติของทหารครั้งนี้ โดยเอาประชาธิปไตยในอุดมคติมาไว้ข้าง ๆ ก่อนแล้วมุ่งพิจารณาในเรื่องสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้รัฐบาลประชาธิปไตยซึ่งมาจากการเลือกตั้งชุดที่แล้วล้มเหลวและชั่วร้าย ความชั่วที่ไม่อาจอภัยได้คือการคอรัปชั่นฉ้อราษฎร์บังหลวง ทั้งเป็นเหตุแท้จริงที่ประชาชนส่วนใหญ่ให้การสนับสนุน ในส่วนของข้าพเจ้าเองใคร่สนับสนุนฝ่ายทหารให้ทำการจัดการกับคอรัปชั่นอย่างถึงที่สุด โดยทหารต้องทำหน้าที่ในลักษณะของผู้เฝ้าระวังให้กับประชาธิปไตยในอุดมคติ [Watchdog of Democracy] ถ้าหากมีรัฐบาลไหนโกงอีกก็ปราบอีก ปราบแล้วก็กลับเข้ากรมกองไป ทำจนบรรดานักการเมืองที่ชั่วร้ายเข็ดหลาบไม่กล้าโกงกินอีกก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้นักการเมืองที่ดีเกิดขึ้นและมีโอกาสเข้ามารังสรรค์สิ่งที่เป็นประชาธิปไตยในอุดมคติได้ ข้าพเจ้าคิดว่าในเวลานี้ควรให้เวลากับ คมช. และรัฐบาลชั่วคราว แต่ขณะเดียวกันควรหันมาให้ความสนใจต่อปัญหาที่เลวร้ายลึกไปกว่าเรื่องคอรัปชั่นฉ้อราษฎร์บังหลวง นั่นคือ การขาดสิ่งที่เป็นคุณธรรมในสังคม อันได้แก่จริยธรรม ศีลธรรมและความเป็นมนุษย์ที่กำลังเพี้ยนไปกว่าแต่เดิมมากมาย เนื่องมาจากสังคมไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔-๕ ลงมาจนถึงปัจจุบัน ได้หักเหวิธีคิดในอารยธรรมตะวันออกที่มีมาแต่โบราณกาลมาตามแบบอย่างอารยธรรมตะวันตกแทน มาถึงทุกวันนี้ คนรุ่นกลางและรุ่นเด็กต่างก็มองอะไรและคิดอะไรเป็นแบบตะวันตกหมด อาจจะพูดอย่างเต็มปากได้ว่าสังคมไทยแม้จะไม่เป็นอาณานิคมทางการเมืองของมหาอำนาจทางตะวันตกอย่างประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลายก็ตาม แต่ก็เป็นอาณานิคมทางปัญญาอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง ซึ่งผิดกับบรรดาประเทศเพื่อนบ้านอย่างมากที่ปัญญาชนของเขาล้วนแต่เป็นอิสระทางความคิดและปัญญาจากการครอบงำของตะวันตกแล้ว ความแตกต่างกันดังกล่าวนี้ เห็นได้จากการแสดงความคิดเห็นของนักวิชาการและปัญญาชนในสังคมไทยเมื่อเปรียบเทียบกับคนในสังคมเพื่อนบ้าน ผู้ที่เป็นปัญญาชนของไทยส่วนใหญ่เป็นนักวิชาการที่มีดีกรีจากการศึกษาในมหาวิทยาลัยมักมีกรอบและแนวคิดทฤษฎีที่เล่าเรียนมาเป็นตัวนำในความคิด ในขณะที่ปัญญาชนของสังคมเพื่อนบ้านมักไม่ผูกติดกับการเป็นนักวิชาการที่มีกรอบและทฤษฎี หากเป็นพวกมากด้วยประสบการณ์มักเอาสิ่งที่ได้เห็นได้สัมผัสและเข้าใจมาเป็นตัวนำก่อนการกำหนดกรอบและแนวคิดทฤษฎีเพื่อนำมาช่วยให้เกิดความเข้าใจอย่างลุ่มลึก ความถนัดและเข้าใจในเรื่องดังกล่าวจึงเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการดำเนินการใด ๆ ได้อย่างเป็นองค์รวมและรูปธรรม ที่บอกว่าเป็นรูปธรรมก็เพราะสามารถเสนอภาพของความเป็นจริงที่สื่อให้กับคนอื่น ๆ ทั่วไปได้ ซึ่งตรงข้ามกับบรรดานักวิชาการและผู้รู้ในสังคมไทย มักเสนอหรือแสดงอะไรในลักษณะที่เป็นเสี่ยง ๆ ตามความถนัดของตน จนเกิดความขัดแย้งกันเองเพราะแนวคิดทฤษฎีและกรอบแตกต่างกัน ทำให้เชื่อมโยงเป็นองค์รวมอย่างเป็นรูปธรรมไม่ได้ และในที่สุดก็สื่อกับคนทั่วไปไม่ได้นอกจากพวกเดียวกัน ถ้าจะให้ยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมมาแสดงในขณะนี้ก็คือ ระหว่างสังคมไทยและสังคมเวียดนามที่อยู่ในประเทศและดินแดนเอเชียอาคเนย์ที่มีความใหญ่โตของพื้นที่และจำนวนประชากรที่เสมอกัน อีกทั้งมีพัฒนาการเป็นรัฐใหม่หรืออาณาจักรเสมอกันมาแต่โบราณ หลังสงครามโลกครั้งที่สองอันเป็นช่วงเวลาของสงครามเย็น การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเมืองทำให้เวียดนามเป็นสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์ ในขณะที่สังคมไทยเป็นสังคมประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เลยทำให้เวียดนามกับไทยกลายเป็นปรปักษ์กันในด้านความคิดและอุดมการณ์ อย่างเช่นทางไทยมองว่าการเป็นคอมมิวนิสต์นั้นโหดร้ายทารุณและฆ่าผู้คนเสียนับมิถ้วน ทำลายสถาบันกษัตริย์ ศาสนา ศีลธรรม และประเพณีที่ดีงามของอารยธรรมตะวันออก ในขณะที่ทางเวียดนามเองก็เห็นว่าไทยเป็นขี้ข้าอเมริกันและมีลัทธินายทุนที่เอารัดเอาเปรียบผู้คนในสังคม การส่งกองทัพของอเมริกันเข้ามาทำสงครามที่เวียดนามและเขมร ไทยก็ช่วยเหลือฝ่ายอเมริกันอย่างออกหน้าทั้งให้พื้นที่ในประเทศเป็นฐานทัพและส่งกองกำลังเข้าร่วมสงครามครั้งนั้น ได้ทำให้ทั้งเวียดนามและเขมรกลายเป็นสังคมเมืองแตก [War torn Countries] ที่ผู้คนพลเมืองต้องตายในสงครามหลายล้านคน ทำให้ยากต่อการฟื้นฟูบ้านเมืองและผู้คนให้คืนดีและเป็นสุขได้ด้วยเวลาอันสั้น แต่ภายหลัง ๒๐ ปีที่ผ่านมาจนทุกวันนี้เวียดนามฟื้นตัวเองจากสังคมบ้านแตกได้อย่างมหัศจรรย์ จนมีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมล้ำหน้าไปกว่าสังคมไทยที่ไม่เคยมีสภาพบ้านแตกเสียด้วยซ้ำ ลุงโฮ โฮจิมินห์ แบบอย่าของผู้นำทางวัฒนธรรมที่น่าเคารพ สังคมเวียดนามปัจจุบันเป็นสังคมที่ไม่อาจพูดได้ว่าเป็นสังคมเผด็จการคอมมิวนิสต์ที่โหดร้ายทารุณฆ่าฟันประชาชน ทำลายศาสนาและศีลธรรมอีกทั้งเป็นสาวกของประเทศมหาอำนาจคอมมิวนิสต์ใหญ่ ๆ อย่างรัสเซียและจีนอีกต่อไปได้แล้ว หากเป็นประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์แบบรักชาติรักแผ่นดิน [Patriotism] ที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลก บุคคลที่เป็นคอมมิวนิสต์มีเพียงหยิบมือเดียวในประเทศและเป็นบุคคลที่สังคมยอมรับและยกย่องว่าเป็นบุคคลที่มีอุดมคติไม่บ้าอำนาจและโกงกิน ไม่มีสมบัติพัสถานใดและการมีผลประโยชน์แบบแฝงกับธุรกิจใด ๆ อันเป็นที่ติฉินนินทาจากประชาราษฎร์ได้ ในขณะที่ผู้คนในประเทศทุกกลุ่มเหล่าต่างได้อิสระในการดำรงชีวิตในกรอบประเพณีและกฎเกณฑ์ที่ทำให้บ้านเมืองอยู่ในลักษณะที่สงบสุขเป็นสำคัญ ภาพพจน์ที่แลเห็นในทุกวันนี้เวียดนามไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์แบบตกขอบและบ้าวัตถุแบบตะวันตกแม้กระทั่งแบบจีนในปัจจุบัน หากเป็นประเทศสังคมนิยมที่เป็นแบบตะวันออกที่ยังคงรักษาศาสนา ศีลธรรม และความเป็นมนุษย์ได้อย่างดี สังคมเวียดนามทุกวันนี้เป็นสังคมสมานฉันท์ที่มีการปรองดองและเอื้ออาทรระหว่างคนกลุ่มต่าง ๆ ที่เคยขัดแย้งแตกแยกและหนีภัยออกนอกประเทศ คนที่เคยออกไปกลับมาช่วยฟื้นฟูประเทศให้ก้าวหน้าด้วยความรู้แบบใหม่ที่เห็นว่าเหมาะสมกับผู้คนและสังคม สังคมเวียดนามคือสังคมที่มีความเสมอภาพและมีความเป็นปึกแผ่นทางสังคมนับแต่ท้องถิ่นจนถึงส่วนกลาง คนหลายชาติพันธุ์หลายหมู่เหล่าอยู่กันอย่างเท่าเทียมในนามของคนเวียด เวียดนามมีผู้นำที่ดีที่ควรเป็นแบบอย่างของผู้นำทางวัฒนธรรมที่ควรเคารพ คือ ลุงโฮ (โฮจิมินห์) ที่ไม่บ้ายศตำแหน่งเงินทองและความมั่งคั่งดังเช่นคนในสังคมไทย ความสำเร็จของบักโฮหรือลุงโฮในการสร้างเวียดนามปัจจุบันก็คือการขจัดความขัดแย้งภายใน รวมเวียดนามเหนือและใต้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันด้วยกระบวนการสมานฉันท์ภายหลังการขับไล่อริศัตรูอเมริกันและสาวกที่คุกคามสำเร็จ ในทำนองตรงข้าม สังคมไทยเมืองไทยไม่เคยมีศัตรูจากภายนอกมารุกล้ำและไม่เป็นสังคมบ้านแตกแบบเวียดนาม หากเป็นสังคมสติแตกที่กำลังเกิดความขัดแย้งกันในเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง และอุดมการณ์อย่างสุด ๆ ที่กำลังมีผลนำไปสู่ความรุนแรงและฆ่าฟันกันเองในที่สุด อันเนื่องมาจากการศึกษาอบรมของคนในชาติและการบริหารจัดการของรัฐที่ลอกเลียนแบบตะวันตกจนโงหัวไม่ขึ้น ความขัดแย้งที่โดดเด่นในปัจจุบันก็คือความบ้าประชาธิปไตยแบบตะวันตกแบบอเมริกันนั่นเอง ทำไมไม่คิดบ้างว่าความเป็นประชาธิปไตยหรือความเสมอภาคนั้นก็เป็นสิ่งสากลที่มีในอารยธรรมตะวันออกมาช้านาน โดยเฉพาะประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเป็นประชาธิปไตยที่ถูกจริตกับวัฒนธรรมของผู้คนในสังคม แต่หามีผู้ใดสนใจและนำมาขบคิดพิจารณากันบ้าง ถึงแม้ว่าจะมีอะไรดีในทางตะวันตกแต่ก็ควรนำมาทบทวนผสมผสานกับสิ่งที่ดีและมีมาในสังคมที่แล้วมาบ้าง ประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนาเป็นประชาธิปไตยที่ให้ความเสมอภาคความเอื้ออาทรที่ตั้งอยู่บนฐานของสัจธรรมทางพระศาสนาและศีลธรรม แต่ประชาธิปไตยแบบตะวันตกมีแต่พูดถึงเศรษฐกิจการเมือง ความเป็นปัจเจกบุคคลอันเป็นคุณสมบัติของเดรัจฉานผิดมนุษย์ และอ้างความยุติธรรมที่มาจากตัวบทกฎหมาย ขาดทั้งความเข้าใจวัฒนธรรมกับสังคม และขาดทั้งพื้นฐานทางศาสนาและศีลธรรม ดังเห็นได้จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลแต่ละชุดแต่ละฉบับ จนทำให้ศาสนาและศีลธรรมขาดไปจากสำนึกของผู้คนที่เป็นประชาชนรุ่นกลางและรุ่นเด็กในทุกวันนี้ ทำนองตรงข้าม กลับรับเอาความเชื่อที่เป็นไสยศาสตร์และคุณไสยเข้ามาแทนที่เพื่อความมั่นคงทางจิตใจของบรรดาเดรัจฉานที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่อำนาจและเงิน ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่มักพร่ำแต่คำว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” ตามรับสั่งของในหลวง แต่ไม่เคยถอดรหัสได้เลยว่าคืออะไร และจะทำอย่างไร ถ้าหากยังบ้าตะวันตกอยู่ก็คงไม่มีทาง ผู้มีสติควรไปเรียนรู้จากเวียดนามและประเทศเพื่อบ้านบ้างก็คงจะดี อ่านเพิมเติมได้ที่:









