พบผลการค้นหา 220 รายการ
- “บางลำพูในความทรงจำ” จากย่านตลาดเก่าสู่สวรรค์ราคาถูกของนักท่องเที่ยว
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2554 “บางลำพู” เป็นอีกหนึ่งย่านเก่าที่อยู่ในเขตกรุงรัตนโกสินทร์ สิ่งที่โดดเด่นของบางลำพูคือเป็นแหล่งที่มีงานช่างฝีมืออันประณีตงดงามทั้งเครื่องทอง เครื่องถม และยังเป็นย่านตลาดสำคัญแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ แต่วันนี้บางลำพูถูกกลบด้วยธุรกิจการท่องเที่ยวและแหล่งบันเทิงต่าง ๆ กลายเป็นถิ่นพำนักของชาวต่างชาติ มีที่พักราคาถูก ร้านอาหารหลายระดับหลายราคา รวมทั้งเสียงเพลงและแสงสีที่ทำให้บางลำพูมีชีวิตเคลื่อนไหวเกือบตลอดค่ำคืน อะไรทำให้ย่านการค้าเก่าแก่ของคนกรุงเปลี่ยนโฉมไปได้เช่นนี้ ? วัดบวรนิเวศวิหาร ถนนสิบสามห้าง ถ่ายจากเครื่องบินเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๙ (ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ) เมื่อสืบอดีตกลับไปพบว่าย่านบางลำพูแห่งนี้เป็นเพียงชุมชนเล็ก ๆ ริมน้ำที่มีมาก่อนสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ มีวัดเก่าแก่ปรากฏอยู่ในพื้นที่ ได้แก่ วัดบางลำพูหรือวัดกลางนา หรือวัดสังเวชวิศยาราม และวัดชนะสงคราม ก่อนจะเติบโตเป็นแหล่งพำนักของบรรดาเจ้านาย ขุนนาง ข้าราชบริพาร และประชาชนพลเมืองหลายหลากชาติพันธุ์ ทั้งไทย จีน มอญ มุสลิม ที่มาตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยคละเคล้ากัน จนทำให้เป็นแหล่งเกิดอาชีพที่หลากหลาย อันเนื่องจากความชำนาญ เช่น ชาวจีนนิยมทำการค้า ชาวมุสลิมมีฝีมือทำทอง ชาวลาวทำเครื่องเงินเครื่องถม เป็นต้น ในช่วงของการสร้างกรุงฯ ตามแม่น้ำคูคลองในแถบบางลำพูมีการค้าทางเรือแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ กระทั่งเมื่อมีการขุดคลองรอบกรุง ทำให้เกิดท่าน้ำหลายแห่งที่เป็นแหล่งขนถ่ายและแลกเปลี่ยนสินค้า พืชผักผลไม้จากย่านฝั่งธนฯ ก่อนจะพัฒนากลายเป็นตลาดบกที่สำคัญในเวลาต่อมา โดยเฉพาะในช่วงรัชกาลที่ ๕ เมื่อมีการสร้างพระราชวังดุสิตขึ้นทางตอนเหนือของพระนคร เกิดการตัดถนนหลายสายในพื้นที่บางลำพูเพื่อรองรับเครือข่ายถนนที่ตัดเชื่อมมาจากพื้นที่สามเสน ได้แก่ ถนนจักรพงษ์ ถนนพระอาทิตย์ ถนนพระสุเมรุ ถนนข้าวสาร ถนนรามบุตรี และถนนสิบสามห้าง ส่งผลให้บางลำพูเติบโตจอแจไปด้วยผู้คน รถราง และการค้าพาณิชย์ ตลาดบางลำพูที่เคยเป็นตลาดขายผลไม้และของสดต่างๆ เพื่อสนองต่อคนในพื้นที่ก็พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ และขยายตัวมากขึ้นในปลายรัชกาลที่ ๕ แต่กระนั้นก็ยังไม่สามารถพัฒนาตลาดได้มากนัก อันเนื่องจากเกิดเพลิงไหม้อาคารบ้านเรือนในย่านนี้บ่อยครั้ง กระทั่งปี พ.ศ. ๒๔๔๕ จึงมีการจัดตั้งตลาดขึ้นมาใหม่ พร้อม ๆ กับการเกิดแหล่งบันเทิงขึ้นในย่านนี้ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโรงภาพยนตร์ อย่างโรงหนังปีนัง โรงหนังบุษยพรรณ โรงละครแม่บุนนาค และโรงลิเกคณะหอมหวล ธุรกิจบันเทิงเหล่านี้ส่งผลให้ย่านบางลำพูได้รับความสนใจจากบรรดาพ่อค้านักลงทุนมากยิ่งขึ้น จนเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญทางการค้าและเป็นศูนย์รวมมหรสพแหล่งใหญ่แห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ในระยะเวลานั้น ตลาดสำคัญของย่านบางลำพูซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในอดีต ได้แก่ ตลาดยอด ตลาดนานา ตลาดทุเรียน และสิบสามห้าง “ตลาดยอด” มีคำคล้องจองเมื่อกล่าวถึงคือ “บางลำพูประตูขาดตลาดยอด” ตั้งอยู่เชิงสะพานนรรัตน์ฝั่งทิศใต้ เป็นตลาดใหญ่และมีความสำคัญของชุมชนบางลำพูในฐานะตลาดประจำชุมชนในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ก่อนจะถูกปรับปรุงในช่วงรัชกาลที่ ๕ และรุ่งเรืองในช่วงรัชกาลที่ ๗ สินค้าที่นำมาจำหน่าย ได้แก่ ดอกไม้ ธูปเทียน มาลัย แป้ง กระแจะ น้ำอบไทย เครื่องหอม ขนมไทยต่าง ๆ และบุหรี่ไทยประเภทยาใบบัว ยาใบตองอ่อน เป็นต้น (พิเชษฐ์ สายพันธ์ : ๒๕๔๒) นอกจากนี้ตลาดยอดยังเป็นแหล่งเครื่องหนัง เสื้อผ้า ร้านอาหารมุสลิม ร้านเครื่องถ้วยชาม และห้างขายทองรูปพรรณต่าง ๆ ความรุ่งเรืองของตลาดยอดสะดุดลงจากเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. ๒๕๑๐ หลังจากไฟไหม้ในครั้งนั้นได้มีการสร้างตลาดใหม่ขึ้น แต่เนื่องจากแผงเช่ามีราคาสูงขึ้น ทำให้พ่อค้าแม่ค้าสู้ราคาไม่ไหว จึงแยกย้ายกันไป เจ้าของจึงรื้อตลาดแล้วสร้างเป็นห้างสรรพสินค้านิวเวิร์ด ตลาดสดจึงหายไป ชาวบ้านย่านนี้ได้หันไปจับจ่ายซื้ออาหารยังตลาดเช้าบริเวณถนนไกรสีห์ (ข้างนิวเวิร์ด) กับตลาดนรรัตน์ (เชิงสะพานนรรัตน์ด้านทิศใต้) แทน บริเวณตลาดยอดต้องเปลี่ยนโฉมกลายเป็นอาคารจอดรถและห้างสรรพสินค้านิวเวิร์ดที่กำลังถูกรื้อทิ้ง “ตลาดนานา” ตั้งอยู่ฝั่งเหนือของคลองรอบกรุง ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของวังริมคลองบางลำพู ชื่อของตลาดนานาเป็นชื่อที่ตั้งตามชื่อเจ้าของตลาด คือ คุณเล็ก นานา ชาวมุสลิมย่านคลองสาน ตลาดแห่งนี้ขายอาหารการกินและพืชผลทางการเกษตร เช่น ผัก ผลไม้ และของสดเป็นส่วนมาก ก่อนจะซบเซาลงในราว พ.ศ. ๒๕๒๙ และหายไปในที่สุด ในระยะหลังเจ้าของตลาดได้เปลี่ยนพื้นที่ตลาดให้เป็นโรงแรม เกสท์เฮ้าส์ ตามกระแสนิยม ตลาดนานาจึงเป็นเพียงความทรงจำของคนยุคปู่ย่าที่ปัจจุบันเหลือเพียงแต่ชื่อและป้ายตลาดเท่านั้น “ตลาดทุเรียน” ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามคลองรอบกรุง ด้านทิศใต้ของสะพานนรรัตน์ เป็นแหล่งชุมนุมทุเรียนที่พ่อค้าแม่ค้านำมาขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งฤดูกาลทุเรียนออกเป็นที่มาของชื่อตลาด นอกจากขายทุเรียนแล้ว พ่อค้าแม่ขายยังนำพืชพันธุ์การเกษตรมาขายเช่นเดียวกับตลาดนานา เช่น ผักผลไม้นานาชนิดที่ชาวสวนบรรทุกเรือมาจอดขาย แต่ต่อมาได้ปรับเปลี่ยนเป็นตลาดขายเสื้อผ้า มุ้ง และของใช้ราคาถูก ก่อนจะกลายเป็นตลาดสดในปัจจุบัน เรียกกันว่า “ตลาดนรรัตน์” “สิบสามห้าง” ปัจจุบันเป็นชื่อถนนเส้นสั้น ๆ ที่ตั้งขนานกับถนนบวรนิเวศ ชื่อถนนสิบสามห้างนี้มาจากเรือนแถวไม้สองชั้นจำนวน ๑๓ ห้อง ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับห้างร้านของชาวจีนในกวางตุ้ง ต่อมาเรือนแถวดังกล่าวถูกรื้อเพื่อสร้างเป็นตึก จึงเหลือไว้เพียงชื่อถนน สินค้าที่ขายในสิบสามห้าง ได้แก่ อาหารจำพวกข้าวแกง อุปกรณ์เย็บเสื้อผ้า ด้าย กระดุม เป็นต้น ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๐๐ สิบสามห้างเป็นที่ชุมนุมของวัยรุ่น เพราะมีร้านอาหารเปิดขายจนดึกถึงสามสี่ทุ่ม มีร้านขายไอศกรีมซึ่งเป็นของหากินยากในยุคนั้น อีกทั้งทางร้านยังบริการเปิดโทรทัศน์ซึ่งเป็นสื่อบันเทิงที่เพิ่งเข้ามาในเมืองไทยให้ประชาชนดู จึงกลายเป็นแหล่งชุมนุมของวัยรุ่นยุคนั้น และถือกันว่าบางลำพูสมัยนั้นเป็นย่านที่ทันสมัยแห่งหนึ่ง ตลาดเช้าเต็มไปด้วยของสดนานาชนิดจนสายตลาดจึงวาย หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นตลาดขายผ้า ขายเสื้อและรองเท้า เครื่องหนังต่าง ๆ เมื่อตลาดแบบเก่าและร้านค้ารุ่นแรก ๆ เริ่มซบเซาลง กิจการการค้ารูปแบบใหม่ได้เข้ามาแทนที่และเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง บางกิจการมีฐานเติบโตมาจากกิจการเดิม เช่น ห้างแก้วฟ้า ที่เติบโตจากร้านขายเครื่องหนังซึ่งค้าขายในยุคแรก ๆ ส่วนตลาดขายเสื้อผ้าเริ่มมีประมาณ ๒๐ ปีก่อน โดยพ่อค้าแม่ค้านิยมเอาสินค้ามาลดราคาหน้าร้านหรือเลหลังขาย โดยจับจองพื้นที่ริมถนนเปิดเป็นแผงลอยจำนวนมาก การค้าเสื้อผ้าที่ขึ้นชื่อในย่านบางลำพูแต่ก่อน คือ เสื้อผ้าชุดนักเรียนที่บรรดาผู้ปกครองต้องพากันมาซื้อหาเมื่อถึงฤดูกาลเปิดเรียน ร้านค้าเสื้อนักเรียนเปิดมากแถบถนนไกรสีห์และถนนตานี ปัจจุบันแม้บางลำพูมิได้โด่งดังเรื่องการค้าชุดนักเรียนเหมือนดังแต่ก่อน ทว่าก็ยังเป็นแหล่งขายเสื้อนักเรียนและเครื่องแบบนิสิตนักศึกษาจากหลายมหาวิทยาลัย รวมทั้งยังเป็นแหล่งจับจ่ายซื้อของ ทั้งอาหารการกิน สินค้าอุปโภคบริโภค อุปกรณ์เย็บปักถักร้อย และย่านขายเสื้อผ้าสำเร็จรูปแหล่งสำคัญแหล่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ย่านถนนข้าวสาร ความรุ่งเรืองที่มาแทนที่ตลาดเก่าบางลำพู ขณะเดียวกันย่านบางลำพูก็มิได้หยุดอยู่เพียงเป็นย่านการค้าเท่านั้น แต่ยังขยายเติบใหญ่เป็นศูนย์รวมของธุรกิจการท่องเที่ยวที่คึกคักและมีชื่อเสียงมากที่สุดของประเทศ โดยเฉพาะบนถนนข้าวสารที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของการท่องเที่ยวแบบแบกเป้ที่ตอบสนองนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกซึ่งต้องการที่พักอาศัยในราคาย่อมเยาว์ ถนนข้าวสารถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชุมชนบางลำพู จากผลการศึกษาของนักวิจัยหลายท่านระบุว่า จุดเปลี่ยนสำคัญของชุมชนข้าวสารเกิดขึ้นเมื่อราว ๔๐ ปีก่อน หลังจากเกิดบริษัททัวร์ในชุมชน เป็นที่มาของสิ่งอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวทั้งในด้านที่พักและอาหารการกิน ที่เบียดเสียดแน่นขนัดในย่านบางลำพูในขณะนี้ แต่ถนนข้าวสารเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดและไร้ทิศทาง จากชุมชนที่เคยอยู่อย่างสงบ มีวิถีชีวิตในการพึ่งพาอาศัยระหว่างกัน มีการพบปะแลกเปลี่ยนในรูปแบบสภากาแฟตามร้านค้าสองข้างทางก็แปรเปลี่ยนเป็นห้างร้านแออัดยัดเยียดแทบทุกตารางนิ้ว ปัจจุบันเกสท์เฮาส์ บาร์ ไนท์คลับ ไม่ได้หยุดอยู่ที่ถนนข้าวสาร แต่ได้ขยายออกรอบด้าน เห็นได้จากถนนรามบุตรีตลอดทั้งสาย ข้ามฝั่งมาด้านข้างวัดชนะสงคราม ซึ่งมีสถานบันเทิงต่าง ๆ รายรอบวัด ไล่ลามไปถึงถนนพระอาทิตย์และถนนพระสุเมรุ การขยายของแหล่งบันเทิง ห้างร้านต่างๆ นั้นมีผลมาจากการไหลบ่าของชาวต่างชาติที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถนนข้าวสารปัจจุบันกลายเป็นชุมชนที่มีผู้คนไปมาขวักไขว่เกือบตลอดทั้งวัน เต็มไปด้วยชนต่างชาติต่างภาษา อาคารบ้านเรือนถูกปรับให้เป็นที่พัก ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านหนังสือเช่า ร้านขายของที่ระลึกและสถานเริงรมย์ แม้กระทั่งซอยรามบุตรีบริเวณข้างวัดชนะสงคราม ศาสนสถานแห่งนี้เป็นตัวอย่างที่อาจสะท้อนถึงวิถีที่เปลี่ยนไปของคนข้าวสารได้อย่างดี ด้วยบรรยากาศยามค่ำคืนของถนนรามบุตรี-ถนนข้างวัดชนะสงครามเวลานี้ เต็มไปด้วยสถานบันเทิงเริงรมย์ เสียงเซ็งแซ่ของผู้คนที่มาเที่ยวคละเคล้าไปกับเสียงเพลงที่บรรเลงเสียงดังตลอดถนนได้โอบล้อมวัดที่เปรียบเสมือนที่พักทางใจของพุทธศาสนิกซึ่งต้องการความสุขสงบ รวมถึงเป็นสถานที่ขัดเกลาคนในชุมชนให้ออกห่างจากอบายมุขทั้งปวง แต่บัดนี้ได้กลายเป็นสิ่งใกล้ชิดเพียงกำแพงกั้นถนนข้าวสารจากชุมชนที่อยู่ใกล้ชิดกับวัดได้กลายเป็นชุมชนที่อยู่คู่ขนานกับสิ่งเย้ายวนทางโลกไปเสียแล้ว กล่าวได้ว่าบางลำพู ย่านการค้าสำคัญของคนไทยทั้งในอดีตและปัจจุบัน แต่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง อันเนื่องจากบริบทแต่ละช่วงเวลา จากชุมชนที่มีเอกลักษณ์และความงดงามทั้งทางด้านสังคมวัฒนธรรมของชุมชน ได้มีการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้ย่านบางลำพูกลายเป็นแหล่งศูนย์รวมของนานาชาติ สิ่งอำนวยความสะดวกและสถานบันเทิง ดูเหมือนว่าถนนข้าวสารจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สร้างชื่อให้กับชาวบางลำพู ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาสัมผัสบรรยากาศ แทนที่จะเป็นย่านค้าขายที่มีกลิ่นอายของชุมชนในอดีต อย่างไรก็ตามความเปลี่ยนอย่างรวดเร็วนี้ทำให้ชาวบางลำพูบางส่วนตระหนักถึงรากเหง้าและความเป็นตัวตนที่เหลือเพียงเลือนรางในพื้นที่ให้พื้นกลับมาอีกครั้ง จึงมีการรวมตัวกันภายใต้แนวคิด “ประชาคม” ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๐-๒๕๔๑ เป็นต้นมา เพื่ออนุรักษ์ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่เคยมีชีวิตและลมหายใจให้คงอยู่ ตลอดจนพยายามมีส่วนในการกำหนดทิศทางของมาตุภูมิ ถิ่นกำเนิดของตนอีกด้วย เอกสารอ้างอิง จักรสิน น้อยไร่ภูมิ. การศึกษาเพื่อหาแนวทางการอนุรักษ์ชุมชนเมืองบางลำพู เขตพระนคร. ภาควิชาการออกแบบ และวางผังชุมชนเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๔๘. ปรารถนา รัตนะสิทธิ์. “การเปลี่ยนแปลงของถนนข้าวสารในชั่วชีวิต. ” สารนิพนธ์ปริญญาบัณฑิต ภาคมานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๓๗. ย่ำตรอก ซอกซอย บนถนนข้าวสาร. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน, ๒๕๕๐. พิเชฐ สายพันธ์. รายงานโครงการวิจัยชุมชนศึกษา เรื่องจินตภาพบางลำพู. สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์, ๒๕๔๒. วิมลสิริ เหมทานนท์. ”การมีส่วนร่วมของชุมชนในการอนุรักษ์ทรัพยากรการท่องเที่ยว : ศึกษากรณีชุมชนย่านบาง ลำพู.” วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต คณะสังคมวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๖. อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- “ตลาดพลู” ไชน่าทาวน์ฝั่งธนฯ ในวันไร้พลู
เผยแพร่ครั้งแรก 1 พ.ค. 2554 ขณะที่สำเพ็งคือศูนย์กลางการค้าของชาวจีนฝั่งพระนคร ทางฝั่งธนบุรีก็มี “ตลาดพลู” ที่ยืนนานและยืนยงมาจนถึงปัจจุบัน ในอดีตย่านนี้เป็นตลาดค้าพลูและปลูกพลูมาก จนกลายเป็นที่มาของชื่อบ้านนามเมืองแทนชื่อเดิมคือ ย่านบางยี่เรือ ตลาดสดวัดกลางในปัจจุบัน ดังหลักฐานสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่อธิบายว่า แหล่งปลูกพลูสำคัญคือย่านบางไส้ไก่และย่านบางยี่เรือ ซึ่งเหลือร่องรอยเรียกชื่อวัดสำคัญ ๓ แห่งในย่านนี้คือ วัดอินทาราม (วัดบางยี่เรือบน) วัดจันทาราม (วัดบางยี่เรือกลาง) และวัดราชคฤห์ (วัดบางยี่เรือใต้ หรือบ้างก็เรียก วัดบางยี่เรือมอญ) ขอบเขตตลาดพลูด้านกายภาพมีความหมายเป็น ๒ ลักษณะ คือ ๑ หมายถึงสถานที่ที่เป็น ตัวตลาด ๒ หมายถึง ย่านตลาด ซึ่งพื้นที่จะมีความยืดหดไม่เท่ากันในแต่ละช่วงเวลา สำหรับคนในพื้นที่มองว่าย่านตลาดพลูกินพื้นที่ริมคลองบางกอกใหญ่หรือคลองบางหลวงฝั่งซ้าย นับแต่วัดเวฬุราชินเรื่อยไปจนจรดวัดขุนจันทร์ ริมคลองด่านหรือคลองสนามชัย ส่วนตลาดพลูเริ่มตั้งแต่สะพานช้างตรงคลองวัดราชคฤห์ถึงบริเวณสะพานรัชดาภิเษก ซึ่งมีถนนตอนในเรียกว่า ถนนตลาดพลู ไม่เรียกตลาดวัดกลางว่าตลาดพลู แต่ตลาดวัดกลางจัดอยู่ในย่านตลาดพลู ขณะที่คนนอกพื้นที่กลับมองว่า ย่านตลาดพลูเริ่มตั้งแต่หัวเลี้ยวโรงพักบางยี่เรือเรื่อยไปตามแนวถนนเทอดไทถึงแยกถนนวุฒากาศ สิ้นสุดตรงบริเวณวัดขุนจันทร์ ส่วนตัวตลาดพลูอยู่ใต้สะพานรัชดาภิเษก ในท้องถิ่นย่านตลาดพลูมี ศาสนสถานสำคัญ ๆ หลายแห่ง ทั้งวัดในศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาลเจ้า และมัสยิดของอิสลาม เนื่องจากบริเวณย่านตลาดพลูเป็นพื้นที่ที่มีแม่น้ำลำคลองสำคัญพาดผ่าน โดยเฉพาะเป็นเส้นทางสัญจรที่ออกสู่อ่าวไทย และสามารถติดต่อไปยังหัวเมืองตะวันตกและทางตอนใต้ได้ จึงทำให้ผู้คนจากท้องถิ่นดังกล่าวนำสินค้าในพื้นที่มาขายแลกเปลี่ยนกับคนกรุงได้สะดวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในย่านตลาดพลูที่มีตลาดท้องน้ำตั้งอยู่ในจุดที่สบกันของคลองใหญ่ ๓ สาย คือ คลองบางหลวง คลองสนามชัย และคลองภาษีเจริญ (ขุดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔) อีกทั้งยังอยู่ใกล้ด่านเก็บภาษีอากรขนอนตลาดตรงปากคลองด่าน จึงเป็นศูนย์กลางการค้าทั้งสินค้าขาเข้าและขาออก สินค้าที่แลกเปลี่ยนค้าขายในท้องน้ำบริเวณนี้จึงหลากหลาย ไม่เพียงพืชผัก ส้มสูกลูกไม้ตามสวนในคลองซอยต่าง ๆ ของเมืองบางกอก แต่ยังมีเรือข้าวจากสุพรรณบุรี อ่างทอง เรือเกลือ เรือปลาทู กะปิ น้ำปลา ปลาเน่า ไม้แสม และของทะเลแห้งจากเพชรบุรีและเมืองสมุทร เรือพริก หอม กระเทียม จากบางช้าง เรือขนไม้รวกจากเมืองกาญจน์ เรือบรรทุกโอ่งอ่าง หม้อไห จากราชบุรี เรือน้ำตาลจากเพชรบุรีและแม่กลอง เพื่อมาค้าขายแลกเปลี่ยนกับสินค้าสำคัญที่เป็นที่ต้องการในทุกถิ่นที่ นั่นคือพลูและหมากที่ปลูกกันมากในสวนเมืองบางกอก อีกทั้งยังมีชื่อเสียงในเรื่องรสชาติ โดยเฉพาะพลูเหลืองที่ปลูกกันเป็นขนัดใหญ่ในแถบบางยี่เรือ ตั้งแต่คลองสำเหร่ คลองบางน้ำชน และคลองบางสะแก ซึ่งชาวสวนจะนำมาวางจำหน่ายกันริมคลองบางหลวงในย่านนี้ จนเป็นศูนย์กลางของการค้าหมากพลู อันกลายเป็นชื่อตลาดและคำเรียกขานย่านไปในที่สุด แม้เมื่อหมดยุคการค้าพลูไปแล้วก็ตาม ตลาดท้องน้ำในย่านนี้กินพื้นที่กว้างตั้งแต่ปากคลองด่านไปจนถึงหน้าวัดเวฬุราชิน แต่ที่หนาแน่นจะอยู่แถบหน้าวัดอินทาราม วัดจันทาราม และวัดราชคฤห์ ซึ่งชาวบ้านเรียกออกเป็นสองตลาดใหญ่ๆ คือ ตลาดวัดกลางกับตลาดพลู โดยขอบเขตพื้นที่ของตลาดวัดกลางและตลาดพลูปรากฏชัดเจนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่ระบุว่า ตลาดพลูกินพื้นที่บริเวณตั้งแต่ปากคลองบางน้ำชนไปถึงปากคลองบางสะแก ส่วนตลาดวัดกลางนั้นเริ่มตั้งแต่วัดอินทารามเรื่อยมาถึงวัดราชคฤห์ การเติบโตของย่านตลาดพลูนอกจากปัจจัยในเรื่องเส้นทางน้ำแล้ว การพัฒนาเส้นทางคมนาคมทางบกก็มีส่วนสำคัญ คือในปี พ.ศ. ๒๔๔๕ ได้มีการสร้างทางรถไฟสายท่าจีนจากคลองสาน จังหวัดธนบุรี ถึงมหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร ทำให้สะดวกต่อการขนส่งอาหารทะเลขึ้นมาขาย ทำให้ตลาดพลูมีความคึกคักยิ่งขึ้น ด้วยมีสถานีรถไฟเกิดขึ้นในย่านนี้ สินค้าทะเลสามารถส่งมาขายในตลาดได้รวดเร็วขึ้น และย่านตลาดพลูได้กลายเป็นชุมทางของการสัญจรที่คนในท้องที่สวนด้านในจากหนองแขม บางแค บางแวก บางขุนเทียน ที่มีแต่เส้นทางเรือสัญจรจะมาขึ้นย่านตลาดแห่งนี้ เพื่อต่อเรือเมล์หรือรถไฟเข้าไปในพระนครหรือเมืองแม่กลองและหัวเมืองทางใต้ ประกอบกับย่านตลาดพลูมีโรงบ่อนเบี้ยหลวง ซึ่งเป็นบ่อนการพนันที่ถูกกฎหมายของรัฐ ตลอดจนโรงหนัง โรงงิ้ว โรงยาฝิ่น ไว้ให้บริการแก่ชาวจีนที่นิยมเสพ โดยเฉพาะกุลีชาวจีนตามโรงสี โรงเลื่อย คานเรือ ที่มีดาษดื่นริมสองฝั่งคลองบางหลวง จึงทำให้ย่านตลาดพลูคลาคล่ำไปด้วยผู้คนเกือบตลอดทั้งวัน นับแต่รัชกาลที่ ๔ จนถึงก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นช่วงเวลาที่มีคนจีนอพยพเข้ามายังสยามอย่างต่อเนื่อง ชาวจีนบางส่วนพากันมาตั้งถิ่นฐานในย่านตลาดพลู ทำให้การค้าในพื้นที่นี้เติบโตกลายเป็นตลาดใหญ่สุดในย่านฝั่งธนฯ ที่ใคร ๆ ก็ต้องเดินทางมาจับจ่ายซื้อของ ด้วยมีของอุปโภคบริโภคบริบูรณ์ ทั้งผลิตในประเทศและจากเมืองจีน อาทิ เครื่องโต๊ะ เก้าอี้ ตู้เตียง ถ้วยชาม เต้าเจี้ยว ซีอิ๊ว น้ำปลา ลูกพลับ ลูกไหน ลิ้นจี่ดอง ใบชา เหล้าจีน เครื่องอัฐบริขาร เครื่องจันอับ ตลอดจนขนมและข้าวของเซ่นไหว้นานาชนิดของคนจีน กระทั่งช่วง พ.ศ. ๒๔๘๐ มีการตัดถนนเทอดไทผ่านเข้ามาในย่านตลาดพลู ส่งผลให้การคมนาคมสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นไปอีก ทำให้ชาวตลาดพลูเกิดการปรับเปลี่ยนจากการทำการเกษตรอย่างเดียวมาทำการค้าโชห่วย เปิดร้านอาหาร และธุรกิจอย่างอื่น เช่น โรงงานยาหม่องตราถ้วยทอง ยาหอมตรา ๕ เจดีย์ โรงทำเต้าเจี้ยว โรงนึ่งปลาทู โรงน้ำปลา เป็นต้น เกิดการจ้างงานของชาวจีนจำนวนมาก ช่วงเวลานี้ตลาดพลูนับเป็นช่วงที่มีความเจริญสูงสุด รวมทั้งการค้าพลูก็ยังคงมีความคึกคักเช่นเดิม เมื่อเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพาขึ้น การทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรทำให้ผู้คนฝั่งพระนครพากันอพยพหลบหนีเข้ามาอยู่ในสวน ประกอบกับเกิดน้ำท่วมใหญ่ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ส่งผลให้สวนล่ม และรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้มีนโยบายให้ยกเลิกการกินหมากพลู ส่งผลกระทบให้มีการทำลายต้นหมากพลู และการค้าพลูหยุดลง ชาวสวนที่สวนล่มจึงเห็นลู่ทางให้เช่าที่ปลูกบ้านแก่คนที่อพยพเข้ามาหลังสงคราม ประจวบกับในราว พ.ศ. ๒๕๐๐ เมื่อรัฐบาลมีแผนพัฒนากรุงเทพมหานคร โดยขยายเมืองและสร้างสาธารณูปโภคด้านต่างๆ รองรับ ส่งผลให้ตลาดพลูมีการเติบโตด้านเศรษฐกิจอย่างมาก พร้อม ๆ กับเกิดความเปลี่ยนแปลงภายในพื้นที่ด้วย เนื่องจากมีการถมคลอง สร้างบ้านเช่าห้างร้านมากขึ้น ทำให้พื้นที่สวนลดน้อยลงเรื่อยๆ ผู้คนจำนวนมากต่างเลิกทำสวน และเนื่องจากความสะดวกสบายที่เอื้อต่อการทำมาหากินในย่านนี้ ส่งผลให้ย่านตลาดพลูมีปัญหาแรงงานอพยพ พื้นที่ตามชุมชนต่าง ๆ เริ่มแออัดมากขึ้น พื้นที่การเกษตรถูกปรับเปลี่ยนเป็นย่านที่อยู่อาศัย พื้นที่การค้าหลักของย่านถูกถนนตัดคร่อม จากท่าพระถึงแยกถนนจรัญสนิทวงศ์ กอปรกับตัดเส้นทางรถไฟสายแม่กลองมาสิ้นสุดที่วงเวียนใหญ่ จึงทำให้ย่านวงเวียนใหญ่พัฒนาเป็นศูนย์กลางทางการค้าขึ้นมาแทนที่ คนมาจับจ่ายซื้อขายสินค้าในย่านตลาดพลูลดลง จนในที่สุดก็ซบเซาลงเรื่อย ๆ ปัจจุบันย่านตลาดพลูมีตลาดวัดกลางเป็นตลาดใหญ่ที่ยังคงขายอาหารสดและอาหารแห้ง รวมถึงของอุปโภคบริโภค โดยภายในตลาดมีทั้งแผงขายของและเรือนแถวไม้กับตึกแถว ส่วนแนวทางเดินริมเขื่อนที่เป็นถนนในมีร้านขายยา ร้านขายอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องจักสาน ไปจนถึงหลังวัดราชคฤห์ ตลาดวัดกลางจะคึกคักตั้งแต่เช้าตรู่ไปจนสายตลาดก็จะวาย ขณะเดียวกันร้านค้าบริเวณสองฝั่งถนนเทอดไทยังมีคลินิก ร้านค้าเปิดขายอยู่ ในบริเวณที่ใกล้กับสถานีรถไฟตลาดพลูไปจนจรดใต้ถนนรัชดาภิเษกจะค่อนข้างคึกคัก เพราะเป็นตลาดขายอาหาร มีร้านก๋วยเตี๋ยว หอยทอด ผัดไท ข้าวราดแกงต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีร้านขายขนมหวานขึ้นชื่อ เช่น ร้านขนมหวานตลาดพลู ร้านหมี่กรอบจีนหลี ร้านขายกุยช่าย ร้านข้าวหมูแดงหมูกรอบ เป็นต้น ตลาดริมทางรถไฟเปิดขายตั้งแต่เช้าและปิดในเวลา ๔-๕ โมงเย็น พอตกค่ำจะมีตลาดช่วงเย็นมาเปิดแทน หรือเรียกว่าตลาดโต้รุ่ง ปัจจุบันตลาดวัดกลางบริเวณริมคลองวัดจันทารามเป็นแผงขายของสด เช่น ผักสด ผักดอง ผลไม้ตามฤดูกาล ปลาน้ำจืด ปลาน้ำเค็ม หมู เนื้อ เป็นต้น ส่วนบริเวณแนวซอยถนนเทอดไท ๑๒ จะเป็นร้านขายของชำของคนจีน ของอุปโภคบริโภค บริเวณนี้มีลักษณะเป็นเรือนไม้และตึกแถว โดยชั้นล่างเปิดเป็นร้านขายของ ตลาดวัดกลางตั้งแผงตั้งแต่เช้ามืดและวายในตอนสาย ๆ ราว ๐๙.๐๐-๑๐.๐๐ น. ตลาดพลูเป็นตลาดที่มีการพัฒนามาจากตลาดชุมชน ซึ่งเป็นตลาดขายพลูและผลหมากรากไม้ จนพัฒนากลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าของฝั่งธนบุรี ที่มีทั้งสินค้าอุปโภคบริโภคนานาชนิด ตลอดจนเป็นแหล่งบันเทิงที่มีโรงมหรสพต่าง ๆ ไว้บริการ กระทั่งเจริญถึงขีดสุดก็ทรุดโทรมลงในเวลาต่อมา เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ที่เปลี่ยนผ่านไปตามกาลเวลา อย่างไรก็ดีย่านการค้าเก่าแก่อย่างตลาดพลูจะเงียบเหงาลงมากในปัจจุบัน หากแต่มิได้สิ้นสูญไป กลับปรับเปลี่ยนไปสู่ตลาดขายอาหารที่เป็นต้นทุนเดิมของชาวตลาดพลู ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนชาวจีนที่ยังสามารถธำรงเอกลักษณ์ความเป็นชุมชนชาวจีนและกลิ่นอายของความเป็นตลาดพลูในอดีตไว้ได้เช่นเดิม เอกสารอ้างอิง กวี รักษ์พลอริยะคุณ. การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของชุมชนย่านตลาดพลู. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร์ มหาบัณฑิต สถาบันราชภัฏธนบุรี. ๒๕๔๖. พวงร้อย กล่อมเอี้ยง และคณะ. โครงการวิจัยประวัติศาสตร์วิถีชีวิตท้องถิ่นย่านตลาดพลู. สำนักงานกองทุน สนับสนุนการวิจัย กลุ่มโครงการวิจัยประวัติศาสตร์ท้องถิ่นภาคกลาง. ๒๕๔๖. อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ลิเกเรียบ จากการสรรเสริญพระเจ้าสู่มหรสพ
เผยเเพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2554 ลิเกเป็นมหรสพการแสดงที่ชาวบ้านภาคกลางนิยมไม่แพ้ลำตัด ซึ่งทั้งสองอย่างมีที่มาจากการสวดของพวกแขกมุสลิม ซึ่งนักวิชาการอธิบายว่า “ลิเก” หรือ “ยี่เก” เพี้ยนมาจากคำเปอร์เซียว่า ซิกุร [Zikr] หรือ ซิเกรฺ หมายถึงพิธีสวดของพวกซูฟี ซึ่งร่องรอยของแหล่งที่มายังปรากฏในการแสดงลิเกทุกวันนี้ นั่นคือการเบิกโรงด้วยการ “ออกแขก” ที่ตอนหลังมาปรับปรุงเป็น “การออกภาษา” ไป การเล่นลิเกเรียบต้องอาศัยความพร้อมเพรียง ทั้งในการร้อง ตีกลอง และปรบมือ ซึ่งต้องคอยดูสัญญาณจากหัวหน้าวงเป็นสำคัญ หัวหน้าวงคณะทับช้างนาลุ่มก็คือ ฮัจญีฮาวัง มะหะหมัด ตาเฮด (คนคล้องผ้าสีดำในภาพ) ในเรื่องนี้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพก็ได้กล่าวถึงไว้ในหนังสือ ระเบียบตำนานละคร ว่า “คำว่า ดิเก เป็นภาษามลายู แปลว่า ขับร้อง เดิมนั้นเป็นแต่การสวดบูชาพระในทางศาสนาของพวกแขกอิสลาม สำรับหนึ่งมีนักสวดตีรำมะนาประมาณ ๑๐ คน สวดเพลงแขกเข้ากับจังหวะรำมะนา... ผู้เล่นลิเกหรือดิเกในขั้นต้นนั้น นั่งตีรำมะนาล้อมกันเป็นวงหลาย ๆ คน ปากก็ร้องเพลงภาษาแขกและมือก็ตีรำมะนากันไปด้วย คำร้องต่าง ๆ ที่พวกลิเกร้องนั้นรวมเรียกว่า ‘บันตน’ คำว่า บันตน นี้มาจากคำว่า ‘บันตุน’ ของชาวมลายู และชาวสุนดา ซึ่งเรียกชื่อกวีนิพนธ์และเรื่องเล่าชนิดหนึ่ง เมื่อพวกลิเกได้ร้องบันตนและตีกลองรำมะนาไปสุดสิ้นกระบวนความ ก็เริ่มแยกการแสดงพลิกแพลงออกไปได้เป็น ๒ สาขา สาขาหนึ่งเรียกว่า ‘ฮันดาเลาะ’ แสดงเป็นชุดต่าง ๆ เช่นชุดต่างภาษาบ้าง เรื่องเบ็ดเตล็ดบ้าง อีกสาขาหนึ่งเรียกว่า ‘ละกูเยา’ เป็นการแสดงว่ากลอนด้นแก้กัน อันเป็นต้นทางของ ‘ลิเกลำตัด’ หรือลำตัด” ในช่วงแผ่นดินรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๓ มุสลิมมลายูหัวเมืองภาคใต้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในกรุงเทพฯ จำนวนมาก ได้นำเอารูปแบบการสวดสรรเสริญพระเจ้ามาดัดแปลงขับเล่น พร้อมกับการตีกลองรำมะนา จนกลายเป็นเอกลักษณ์การแสดงของชาวมลายูในกรุงเทพฯ และภาคกลาง เรียกกันว่า ลิเกเรียบ หรือ ลิเกกลอง เพราะนั่งเรียบเสมอไปกับพื้น ไม่ได้ลุกขึ้นมายืนหรือเต้นอย่างลิเกทั่วไป อีกทั้งเครื่องดนตรีที่ใช้คือ กลองรำมะนา อย่างเดียว จากประวัติลิเกเรียบของ “คณะทับช้างนาลุ่ม” ในคลองประเวศม์ ที่บอกเล่าต่อ ๆ กันมากล่าวว่า เริ่มเล่นตั้งแต่ราวต้น พ.ศ. ๒๔๐๐ โดยมีโต๊ะครูดามัน ซึ่งเป็นชาวมลายูปัตตานีจากวัดตึก (วัดชัยชนะสงคราม) พาหุรัด พายเรือมาพักยังบ้านโต๊ะกีมุด ที่บ้านทับช้าง แล้วมาร้องเล่นกันที่นั่น เริ่มจากบ้านสองบ้าน ต่อมาโต๊ะกีซีนซึ่งมีลูกศิษย์ลูกหามากได้สอนให้คนอื่น ๆ เล่นจนเผยแพร่กันไปทั่ว ลิเกเรียบมีต้นเค้ามาจากลิเกเมาริดหรือการสวดสรรเสริญนบีของชาวมลายูภาคใต้ โดยการนำเอาคำโคลงคำกลอนภาษาอาหรับในหนังสือ บัรซันญี ของ อะบูซิดีน มาแปลงเป็นละฮูกลองหรือเพลงกลอง คือ ร้องเป็นทำนองและตีกลองด้วยการด้นสดเป็นภาษาไทย ซึ่งจะแต่งขึ้นเอง เป็นเรื่องสนุกสนานทั่วไป แต่ถ้าจะร้องสรรเสริญพระเจ้าก็จะใช้คำโคลงของอะบูซิดีน ร้องเป็นภาษาอาหรับด้วยท่วงทำนองของมลายู การเล่นลิเกเรียบจะนำคัมภีร์อัลกุรอ่านมาร้องไม่ได้เลย ใช้ได้แต่คำกลอนในหนังสือ บัรซันญี ที่แต่งโดยอะบูซิดีนเท่านั้น หนังสือเล่มนี้มีหลายบท ทั้งบทที่เล่าเรื่องราวประวัติของท่านศาสดามะหะหมัด บทที่ว่าด้วยการรักษาโรค บทที่ว่าด้วยการป้องกันหรือขับไล่สิ่งอัปมงคล ภัยพิบัติต่าง ๆ บทร้องสรรเสริญสดุดีที่สนุกสนาน ซึ่งลิเกเรียบจะเลือกบทที่เป็นการสรรเสริญสดุดี มีความครึกครื้น ไม่ใช่บทที่โศกเศร้าหรือไล่สิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ การแสดงลิเกเรียบนอกจากจะต้องมีไหวพริบปฏิภาณในการด้นเพลงสดแล้ว สิ่งสำคัญก็คือ ท่วงทำนองการร้องต้องร้องเสมอกัน ทั้งกลองที่ตีก็ต้องพร้อมกัน เสียงเสมอกัน ไม่มีเสียงเพี้ยนหรือโดดออกมา ดังนั้นการฝึกซ้อมให้ได้จังหวะพรักพร้อมจึงเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าคนไหนไม่ฝึกซ้อม ไม่มีทางทำได้ การร้องการตีกลองทุกอย่างต้องดูหัวหน้าวงเป็นสำคัญ เพราะจะเป็นผู้ให้สัญญาณในการเปลี่ยนทำนองเปลี่ยนจังหวะ “เวลาเล่นประชันวง การตัดสินเขาใช้วิธีฟังจาก หนึ่ง เสียงกลอง มันพร้อมเพรียงกันไหม สอง เสียงร้อง ต้องร้องเรียบเสมอกัน ไม่มีเสียงโดดออกมา เวลาเล่นลิเกเรียบ ขั้นตอนร้องแรก ๆ จะช้า แล้วจึงกระชั้นขึ้นเรื่อย ๆ พูดง่าย ๆ ว่า ลิเกครึ่งท่อน ภาษาลิเกเรียบว่า ‘ยืน’ หรือ ‘องค์’ หนึ่ง ยืนหนึ่งก็ชั่วโมงหนึ่ง หมายความว่ายกหนึ่ง มีหลายทำนอง ร้องช้าท่อนแรก พอไปสักครึ่งก็เร็วหน่อย ผู้ตัดสินจะฟังว่า ใครเสียงดี ใครจะแหบดัง ใคร (เสียง) จะเรียบร้อย แพ้กันตรงนี้แหละ” กลองรำมะนาปัจจุบันมีราคาแพงมาก ไม้ที่ทำเป็นหุ่นกลองต้องใช้ไม้มะค่าหรือไม้เต็ง ไม้แดง เขียงหนึ่งราคา (ราว ๑๐๐ ปีก่อน) ตกประมาณ ๘ บาท จัดว่าแพงมาก แต่ปัจจุบันตกราคา ๘,๐๐๐-๑๐,๐๐๐ บาทเมื่อกลึงเป็นรูปร่างแล้ว และยังต้องใช้หนังควายและหวายตะคร้าอีกด้วย ดังนั้นการดูแลรักษากลองจึงเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อเล่นเสร็จทุกครั้งต้องจัดใส่ถุงผ้าให้เรียบร้อย ฮัจญีฮาวัง หัวหน้าวงทับช้างนาลุ่มขยายความให้ฟัง ลิเกเรียบหนึ่งวงนั้นต้องมีผู้แสดงเต็มที่ไม่เกิน ๑๕ คน จะน้อยกว่านั้นก็ได้ แต่ไม่ควรต่ำกว่า ๙ คนเพราะจะเสียเปรียบเมื่อมีการเปรียบวงกัน ด้วยเสียงกลองตีอาจไม่ถึง เสียงเบาไม่มีใครอยากเปรียบด้วย เพราะหากเปรียบแล้ว ปรากฏว่าวงที่มีกลองน้อยเป็นฝ่ายชนะ วงที่ไปเปรียบด้วยก็จะเสียชื่อ จำนวนคนเล่นเท่าใดก็ต้องมีจำนวนกลองเท่านั้น เพราะลิเกเรียบตัดสินกันด้วยกลอง แม้จะว่าจ้างหรือหาไปแสดง ผู้ว่าจ้างก็จะคิดราคาตามจำนวนกลอง ไม่ได้คิดตามจำนวนคนที่ไป ซึ่งจะเอาไปผลัดกันตีกี่คนก็แล้วแต่ หากมีกลอง ๑๐ ใบ ก็คิดราคาหมื่นหนึ่ง และผู้แสดงลิเกเรียบมีข้อกำหนดเลยว่าต้องเป็นชายเท่านั้น จะมีผู้หญิงร่วมเล่นอย่างดิเกร์ฮูลูไม่ได้ เพราะเสียงผู้หญิงคนละโทนกับเสียงผู้ชาย หากร้องเสียงไม่เสมอเป็นอันใช้ไม่ได้ และที่สำคัญการตีกลองถือว่าหนัก ต้องใช้พละกำลังมากในการตีให้เสียงดังกระหึ่ม ขนาดที่ว่าหากตีในห้อง แล้วไม่เปิดประตูหน้าต่าง เสียงกลองทำให้กระจกแตกได้ หรือแม้แต่ลำโพงฉีกขาดก็เคยเกิดมาแล้ว ลักษณะเช่นนี้กระมังที่คนไทยโบราณมักมีคำติดปากห้ามลูกหลานว่า “อย่าฟังกลองแขก มันมักใจแตก” ซึ่งชาวคณะทับช้างนาลุ่มต่างเห็นพ้องกับคำกล่าวนี้ ด้วยพวกเขาบอกว่า คนเล่นเป็น เขาจะไม่มาดูมาฟัง เพราะของจะขึ้น มันจะคันไม้คันมือ อยากโดดลงไปเล่นด้วย ปัจจุบันลิเกเรียบแม้ยังมีสืบต่อกันหลายวงในกรุงเทพฯ แต่ก็น่าเป็นห่วง ด้วยผู้เล่นและผู้ฟังล้วนเปรียบเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง ต่างสูงวัยกันทั้งสิ้น บรรดาเยาวชนไม่ให้ความสนใจต่อมหรสพดังกล่าว จึงไม่ต้องหวังว่าจะมีการรับช่วงสืบต่อ อีกทั้งการทำกลองรำมะนาในปัจจุบัน ใบหนึ่งตกราคาเป็นหมื่น จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหาใครมาสนับสนุนมรดกวัฒนธรรมการแสดงประเภทนี้ของชาวมลายู อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ‘ภาษีเจริญ’ บนเส้นทางการเปลี่ยนแปลง
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ต.ค. 2554 ‘ภาษีเจริญ’ เป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของกรุงเทพมหานครตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาหรือฝั่งธนบุรี นับตั้งแต่เมื่อแรกมีคลองขุดภาษีเจริญในสมัยรัชกาลที่๔จนกระทั่งเป็นเขตหนึ่งของกรุงเทพฯ อย่างปัจจุบันภาษีเจริญเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงมากมายไม่ต่างไปจากพื้นที่อื่น ๆในฝั่งธนบุรีโดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงสังคมและวิถีชีวิตของผู้คนจากสังคมชาวสวนที่พึ่งพาอาศัยกันมีวิถีชีวิตที่ผูกพันกับสายน้ำมาสู่สังคมเมืองที่เต็มไปด้วยถนนหนทางตึกรามบ้านช่องแน่นขนัดเพื่อรองรับผู้คนจากต่างถิ่นที่หลั่งไหลเข้ามาและมีแนวโน้มว่าการเปลี่ยนแปลงจะยิ่งรุดหน้ารวดเร็วมากขึ้นในอนาคต ภาพคลองภาษีเจริญตอนในทางฝั่งธนฯ สมัย ร. ๕ ยังเห็นบ้านเรือนหลังคาจากหนาแน่น จากคลองขุดถึงเขตปกครอง พื้นที่ ‘ภาษีเจริญ’ ในฐานะเขตการปกครองของกรุงเทพมหานครมีอาณาเขตติดต่อกับพื้นที่ใกล้เคียงคือทิศเหนือติดต่อกับเขตตลิ่งชันทิศตะวันออกติดต่อกับเขตบางกอกใหญ่และเขตธนบุรีทิศใต้ติดต่อกับเขตจอมทองและเขตบางบอนทิศตะวันตกติดต่อกับเขตบางแคแบ่งพื้นที่การปกครองเป็น๗แขวงคือบางหว้าบางด้วนบางจากบางแวกคลองขวางปากคลองภาษีเจริญและคูหาสวรรค์การอธิบายภาพความเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมและวิถีชีวิตของผู้คนในพื้นที่ภาษีเจริญนั้นมิอาจจำกัดเพียงขอบเขตพื้นที่ที่แบ่งตามเขตการปกครองได้แต่ต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ทางวัฒนธรรมรวมถึงความสัมพันธ์กับพื้นที่โดยรอบที่สัมพันธ์ต่อการก่อร่างสร้างชุมชน จุดเริ่มต้นของพัฒนาการย่านภาษีเจริญเริ่มตั้งแต่การขุดคลองภาษีเจริญในสมัยรัชกาลที่ ๔ ผู้ริเริ่มขุดคลองดังกล่าวคือพระภาษีสมบัติบริบูรณ์ (เจ๊สัวยิ้ม) โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเปิดเส้นทางใหม่ที่สะดวกต่อการขนส่งอ้อยและน้ำตาลจากแหล่งผลิตใหญ่ที่นครชัยศรีมายังกรุงเทพฯรัชกาลที่ ๔ จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระภาษีสมบัติบริบูรณ์เป็นแม่กองงานดำเนินการขุดคลองเมื่อปีพ.ศ. ๒๔๑๐โดยเริ่มต้นจากวัดปากน้ำริมคลองบางกอกใหญ่ขุดออกไปทางทิศตะวันตกจรดแม่น้ำท่าจีนที่ตำบลดอนไก่ดีแขวงเมืองสมุทรสาครซึ่งมีโรงหีบอ้อยของเจ๊สัวยิ้มตั้งอยู่ คลองภาษีเจริญจึงกลายเป็นเส้นทางสำคัญในการติดต่อค้าขายระหว่างชุมชนในแถบแม่น้ำท่าจีนกับกรุงเทพฯ ทั้งยังมีจุดเชื่อมต่อกับคลองที่มีชื่อคล้องจองกันคือคลองดำเนินสะดวกซึ่งเป็นคลองที่ขุดขึ้นในระยะเวลาไล่เลี่ยกับคลองภาษีเจริญคลองดำเนินสะดวกเชื่อมระหว่างแม่น้ำท่าจีนที่ตำบลบางยางกับแม่น้ำแม่กลองที่ตำบลบางนกแขวกทำให้ชาวบ้านสามารถแจวเรือจากกรุงเทพฯตรงไปยังสมุทรสงครามราชบุรีและกาญจนบุรีได้โดยสะดวก ผู้คนจึงพากันย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานสองฝั่งคลองภาษีเจริญเมื่อเกิดการขยายตัวของชุมชนริมฝั่งคลองมากขึ้น ทางราชการจึงจัดตั้ง ‘อำเภอภาษีเจริญ’ ขึ้นในปีพ.ศ. ๒๔๔๒ มีฐานะเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดธนบุรีต่อมาทางราชการได้รวมจังหวัดพระนครกับจังหวัดธนบุรีเข้าด้วยกันเป็นจังหวัดนครหลวงกรุงเทพธนบุรีและเปลี่ยนเป็นกรุงเทพมหานครในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ พร้อมกับได้ยุบการปกครองท้องถิ่นแบบสุขาภิบาลและเทศบาลรวมทั้งเปลี่ยนการเรียกชื่อตำบลและอำเภอใหม่อำเภอภาษีเจริญจึงได้รับการเปลี่ยนแปลงฐานะเป็นเขตภาษีเจริญสืบมาถึงปัจจุบัน ทำนาทำสวนผักและทำสวนส้ม ระยะแรกผู้คนที่บุกเบิกพื้นที่ริมฝั่งคลองเป็นที่อยู่อาศัยโดยมากจะทำเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลักและมีการขุดคลองหลายสายเชื่อมต่อกับคลองภาษีเจริญไปยังพื้นที่เกษตรกรรมหรือเป็นเส้นทางลัดไปยังพื้นที่ใกล้เคียงเช่นคลองราชมนตรีคลองบางหว้าเป็นต้นสมัยนั้นพื้นที่แถบภาษีเจริญและละแวกใกล้เคียงหนาแน่นไปด้วยพื้นที่สวนและท้องนาตลอดริมฝั่งคลองดารดาษไปด้วยสวนผักสวนผลไม้ประเภทต่าง ๆ เช่น ส้มเขียวหวานส้มโอหมากมะพร้าวฯลฯ ส่วนท้องนามีอยู่ทั่วไปตั้งแต่บางแคบางแวกบางไผ่หนองแขมบางบอนฯลฯ “ตรงแถบคลองนี่เป็นสวนทั้งหมดปลูกส้มบางมดตั้งแต่นี่ไปถึงบางขุนเทียนบางมดส่วนสวนหมากสวนพลูสวนมะพร้าวแถบวัดอ่างแก้ววัดรางบัวตรงไปทางบางบอนก็สวนส้มแต่ทางบางแวกบางขี้แก้งบางไผ่เป็นท้องนาหมดบริเวณนี้จึงเป็นจุดนัดพบเอาของมาขาย” อาจารย์สุโชติดาวสุโขวัย 72 ปีซึ่งตั้งบ้านอยู่ริมคลองภาษีเจริญตั้งแต่รุ่นก๋งให้ภาพของสภาพพื้นที่ในอดีตกระจ่างมากขึ้น ต่อมาเกิดตลาดท้องน้ำขนาดใหญ่ขึ้นคือตลาดน้ำบางแคหรือตลาดน้ำหน้าวัดนิมมานรดีเป็นจุดนัดพบของพ่อค้าแม่ค้าชาวสวนเพื่อมาแลกเปลี่ยนพืชผลต่าง ๆ ตลาดน้ำบางแคตั้งอยู่ในคลองราชมนตรีตรงจุดเชื่อมต่อกับคลองภาษีเจริญกินอาณาเขตตั้งแต่หน้าวัดนิมมานรดีเรื่อยไปจนถึงท่าเกษตรในปัจจุบันทุกวันจะคับคั่งไปด้วยเรือสินค้าจำพวกพืชผลต่างๆทั้งเรือพายขายผักและผลไม้ของชาวสวนในละแวกบางแคบางขี้แก้งบางแวกบางไผ่ฯลฯ ตลอดจนเรือจากต่างถิ่นก็มีมาเช่นเรือเอี้ยมจุ๊นบรรทุกใบตองกล้วยหัวปลีมะพร้าวพริกหัวหอมหัวกระเทียมแห้งฯลฯ มาจากบางช้างพ่วงต่อกันมาจากคลองดำเนินสะดวกเข้ามาตามคลองภาษีเจริญเรือจากแม่กลองและท่าจีนมีพวกกะปิน้ำปลาปูเค็มปลาเค็มมาขายพ่อค้าแม่ค้าจากอยุธยานครสวรรค์สุพรรณบุรีล่องเรือลงมาหาซื้อพวกมะพร้าวหมากไปขายต่อยังพื้นที่ตน นอกจากตลาดในท้องน้ำแล้วริมคลองภาษีเจริญยังเป็นที่ตั้งของกิจการร้านค้าต่าง ๆ อย่างบริเวณตลาดน้ำบางแคทั้งริมฝั่งคลองภาษีเจริญและคลองราชมนตรีมีเรือนแถวขายของสารพัดอย่างตั้งอยู่หลายร้านส่วนใหญ่มีเจ้าของเป็นเถ้าแก่ชาวจีนส่วนกิจการอื่น ๆ ก็มีเช่นกิจการโรงสีข้าวโรงไม้โรงเชือดหมูเป็นต้นต่างก็อาศัยคลองภาษีเจริญเป็นเส้นทางขนส่งสำคัญสถานที่ราชการในระยะแรก ๆ ตั้งอยู่ริมฝั่งคลองเช่นกันดังเช่นที่ทำการอำเภอภาษีเจริญเดิมตั้งขึ้นเมื่อปีพ.ศ. ๒๔๔๒ ตัวอาคารตั้งอยู่ริมคลองตรงวัดรางบัวแขวงบางหว้าหรือสถานีตำรวจภาษีเจริญที่ตั้งขึ้นเมื่อปีพ.ศ. ๒๔๕๔ เดิมชื่อสถานีตำรวจอ่างแก้วเพราะตั้งอยู่ริมคลองใกล้กับวัดอ่างแก้วแขวงบางหว้าเป็นต้นนอกจากนี้ยังมีวัดที่สร้างขึ้นริมคลองหลังการขุดคลองภาษีเจริญแล้วหลายวัดส่วนใหญ่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔-๕ ที่สำคัญเช่นวัดอ่างแก้ววัดรางบัววัดนิมมานรดีวัดม่วงวัดหนองแขมเป็นต้น คลองภาษีเจริญเป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญเรื่อยมาจนกระทั่งเมื่อตัดถนนเพชรเกษมชีวิตที่เคยหันหน้าสู่ลำคลองจึงถูกแทนที่ด้วยความเจริญริมถนนถนนเพชรเกษมหรือทางหลวงแผ่นดินหมายเลข๔เริ่มต้นที่สะพานเนาวจำเนียร บางกอกใหญ่ ผ่านภาษีเจริญ บางแคหนองแขมแล้วผ่านลงไปยังจังหวัดภาคใต้ สร้างเสร็จเมื่อพ.ศ. ๒๔๙๓ ระยะแรกถนนเพชรเกษมเป็นเพียงถนนลูกรังคนจึงย้ายไปอยู่ริมถนนเพชรเกษมไม่มากนักกระทั่งต่อมาเมื่อถนนราดยางรถราวิ่งได้โดยสะดวกผู้คนจึงพากันไปจับจองพื้นที่ริมถนนเพชรเกษมมากขึ้นตลาดน้ำบางแคเริ่มซบเซาลงเกิดตลาดสดแห่งใหม่ริมถนนเพชรเกษมคือตลาดทวีทรัพย์จนขยายเป็นตลาดสดที่ใหญ่โตคึกคักมาจนทุกวันนี้ “ก่อนเกิดตลาดทวีทรัพย์ข้างถนนเพชรเกษมมีบ่อหลาคนต่างเอาสินค้ามาขายที่บ่อหลามีเรือลอยขายคนเดินทางทางรถก็มาซื้อตลาดน้ำที่บางแคข้างทวีทรัพย์ก็เกิดขึ้นมาได้เพราะเพชรเกษมเจริญตลาดเรือจากบ่อหลาก็ขยายมาที่หน้าวัดนิมมานรดีมาเจริญมาก ๆ เมื่อเกิดตลาดใหม่บางแคและตลาดทวีทรัพย์ซึ่งถมบ่อหลามาสร้างตลาด” ผู้ใหญ่เดือนซึ่งเป็นอดีตผู้ใหญ่บ้านและมีบ้านตั้งอยู่ริมคลองภาษีเจริญขยายความถึงพัฒนาการของตลาดในย่านนี้ให้ฟัง ยุคถนนและโรงงาน ในช่วงหลังพ.ศ.๒๕๐๐ ย่านนี้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วผู้คนเริ่มแออัดหนาแน่นมากขึ้นหลังแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๒๕-๒๕๒๙) ควบคู่ไปกับแผนพัฒนากรุงเทพฯที่กระจายเขตอุตสาหกรรมออกไปยังชานเมืองทำให้พื้นที่รอบนอกอย่างภาษีเจริญบางแคหนองแขมราษฎร์บูรณะจอมทองบางขุนเทียนกลายเป็นแหล่งโรงงานอุตสาหกรรมที่ดินมีราคาค่างวดสูงขึ้นชาวนาชาวสวนจึงพากันตัดที่ดินขายส่งผลให้พื้นที่สวนและท้องนาลดลงอย่างรวดเร็ว คนจากต่างถิ่นก็เข้ามาแสวงหาหนทางทำกินจากโรงงานที่เปิดใหม่จำนวนมาก เปรียบเทียบกับภาพปัจจุบันที่เดียวกัน สองฝั่งเป็นบ้านตึกไปหมดแล้ว พื้นที่ภาษีเจริญจึงเต็มไปด้วยตึกแถวเรียงรายเต็มสองฟากถนน โรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เกิดขึ้นจำนวนมากทั้งโรงงานย้อมผ้าทอผ้าเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูปโรงเหล็กโรงกลึงโรงงานน้ำตาลฯลฯตามตรอกซอกซอยต่าง ๆ แน่นขนัดไปด้วยตึกแถวห้องเช่าเพื่อรองรับผู้คนจากต่างถิ่นที่เดินทางเข้ามาอย่างต่อเนื่อง พื้นที่สวนมีหลงเหลืออยู่ไม่มากนักเช่นสวนผักในแถบบางแวกบางขี้แก้งสวนผลไม้ในแถบบางหว้าเป็นต้น ส่วนคลองภาษีเจริญถูกลดความสำคัญลงกลายเป็นแหล่งรองรับน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมและบ้านจัดสรรที่มีมากขึ้นริมฝั่งคลองประกอบกับปัญหาขยะมูลฝอยจำนวนมากที่ถูกทิ้งลงลำคลองส่งผลให้น้ำในคลองเริ่มเน่าเสียไม่เหลือภาพน้ำใสสะอาดอย่างที่คนรุ่นปู่ย่าตายายเล่าให้ฟังว่ามีกุ้งหอยปูปลาเหลือเฟือและน้ำก็สะอาดจนดื่มกินได้ “ค่อย ๆ เลิกทำสวนราวปี ๒๕๐๖-๒๕๐๘ มีการขายที่ทำโรงงานเพราะถนนผ่านสะดวกโรงงานแรก ๆ ตั้งริมถนนเพชรเกษมเป็นพวกโรงงานทอผ้าอย่างโรงงานแสงหิรัญโรงงานแสงฟ้าแล้วมีโรงงานถ่านไฟฉาย ๕ แพะโรงงานรองเท้านันยางพวกนี้เป็นโรงงานดั้งเดิมเลยต่อมาก็มีโรงงานทำหม้ออะลูมิเนียมโรงงานทำยากันยุงและโรงงานห้องแถวต่าง ๆ พวกตัดผ้าเย็บผ้าทำให้คนอพยพเข้ามาทำโรงงานมากขึ้นเลิกสวนมาปลูกบ้านเช่าแล้วต่อมาขยายเป็นอาคารพาณิชย์คนเข้ามาอยู่หนาแน่นราวปี ๒๕๑๖ เป็นต้นไป คนงานมีทั้งคนอีสานและคนภาคกลางจากสุพรรณฯ เมืองกาญจน์แล้วต่อมาโรงงานก็ขยายไปอ้อมน้อยอ้อมใหญ่ทำให้ตลาดบางแคคึกคักเพราะเสาร์อาทิตย์คนงานหยุดก็มาจับจ่ายดูหนังที่ตลาดบางแคจนเกิดศูนย์การค้าใหม่ ๆ ขึ้นก็พากันไปแหล่งใหม่” ป้าจำรัสซึ่งเกิดริมฝั่งคลองภาษีฯตั้งแต่หลังสงครามมหาเอเชียบูรพาบอกเล่าประสบการณ์ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตที่ได้ทำสวนส้มระยะหนึ่งก่อนจะเลิกไปมีชีวิตเป็นสาวโรงงานยุคแรก การขยายถนนขนาดใหญ่ยังคงมีอย่างต่อเนื่องเช่นถนนสายราชพฤกษ์เริ่มสร้างตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๓๓ เป็นเส้นทางเชื่อมกรุงเทพฯกับนนทบุรีโดยเริ่มต้นจากถนนสมเด็จพระเจ้าตากสินแขวงบุคคโลเขตธนบุรีผ่านพื้นที่ดาวคะนองจอมทองตัดกับถนนเพชรเกษมที่แขวงปากคลองภาษีเจริญ เข้าสู่พื้นที่แขวงคูหาสวรรค์แขวงบางจากและบางแวกเขตภาษีเจริญต่อไปยังพื้นที่เขตตลิ่งชันก่อนเข้าเขตจังหวัดนนทบุรีถนนกัลปพฤกษ์เริ่มเวนคืนที่ดินเพื่อก่อสร้างเมื่อพ.ศ. ๒๕๓๗ เริ่มจากถนนราชพฤกษ์ที่ทางแยกต่างระดับสวนเลียบผ่านพื้นที่แขวงบางค้อเขตจอมทองแขวงบางหว้าเขตภาษีเจริญแขวงบางขุนเทียนเขตจอมทองและแขวงบางแคเขตบางแคก่อนตัดกับถนนบางแค จนบรรจบกับถนนกาญจนาภิเษกที่ทางแยกต่างระดับบางโคลัดระหว่างพื้นที่แขวงบางแคและแขวงหลักสองการสร้างถนนทั้งสองสายนี้ถึงแม้ว่าจะทำให้การเดินทางสะดวกสบายมากขึ้นจริงแต่ในทางกลับกันก็ต้องแลกมาด้วยการเวนคืนที่ดินจำนวนมากในหลายพื้นที่เช่นจอมทองภาษีเจริญตลิ่งชันที่มีพื้นที่สวนเก่าแก่หลงเหลืออยู่และสวนที่แปรเปลี่ยนมาอยู่ริมถนนเริ่มกลายสภาพเป็นหมู่บ้านจัดสรรเรียงรายไปตลอดแนวถนนราชพฤกษ์และกัลปพฤกษ์ ทุกวันนี้ภาษีเจริญยังคงรุดหน้าไปสู่สังคมเมืองมากขึ้นทุกวันโดยเฉพาะการมาถึงของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่เชื่อมต่อหัวลำโพงถึงบางแคได้ทำให้พื้นที่นี้กลายเป็นทำเลทองแหล่งใหม่ถึงแม้ว่ารถไฟฟ้าสายนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้างแต่ก็ดึงให้กลุ่มนายทุนที่เห็นโอกาสเข้ามาแสวงหาผลกำไรมีการสร้างห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ตึกคอนโดมิเนียมตามเส้นทางรถไฟฟ้าที่เปิดให้จับจองตั้งแต่เริ่มสร้างเพื่อรองรับผู้คนที่จะหลั่งไหลเข้ามามากขึ้นในอนาคต นับแต่นี้ ‘ภาษีเจริญ’ คงไม่ต่างจากเขตเมืองอื่นๆในกรุงเทพมหานครที่เต็มไปด้วยผู้คนแออัดตึกระฟ้าและบรรดาสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่ได้มาพร้อมกับความล่มสลายของชุมชน อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- วันวานที่ย่านบางลำพู
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2555 ปัจจุบันบางลำพูเป็นย่านธุรกิจที่สำคัญของกรุงเทพฯ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว หากย้อนกลับไปเมื่อราว ๗๐-๘๐ ปีก่อน บางลำพูก็เป็นย่านการค้าที่คึกคักมากแห่งหนึ่งในเวลานั้น ตลาด ห้างร้าง แหล่งบันเทิงต่าง ๆ เกิดขึ้นจำนวนมาก เพื่อรองรับผู้คนหลากหลายฐานะ ตั้งแต่เจ้านาย ข้าราชการ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ร่วมกันในย่านนี้ บรรยากาศการค้าในวันวานของย่านบางลำพูจึงเป็นหนึ่งสีสันที่แต่งแต้มภาพประวัติศาสตร์ของบางลำพูให้มีชีวิตชีวา ทั้งยังสะท้อนวิถีชีวิตอันหลากหลายของผู้คนที่ก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงของสังคมในแต่ละยุคสมัย ภาพคลองบางลำพู ตอนล่างของภาพคือสะพานนรรัตน์ ทางฝั่งขวาของคลองคือตลาดทุเรียน ส่วนฝั่งตรงข้ามกันเป็นตลาดนานา บางลำพูเริ่มเติบโตเป็นย่านการค้าจากการค้าขายตามลำคลองในยุคแรก ๆ ผ่านทางคลองสำคัญของย่านคือ คลองบางลำพู จนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ ๕ บางลำพูได้รับผลจากการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความศิวิไลซ์ตามแบบวัฒนธรรมตะวันตกไม่ต่างจากย่านอื่น ๆ มีถนนหลายสายตัดผ่าน พร้อมการสร้างตึกแถวสมัยใหม่ขึ้นบนสองฟากถนน การคมนาคมรูปแบบใหม่อย่างรถรางรถเมล์ก็เดินทางมาถึง บางลำพูจึงกลายเป็นทำเลทองในการขยายกิจการร้านค้า มีตลาดและห้างร้านเกิดขึ้นมากมาย เรียกได้ว่ามีครบสมบูรณ์ ตั้งแต่ของกินไปถึงของใช้ ทั้งที่มีราคาถูกหรือของฟุ่มเฟือยราคาแพง ใครอยู่ย่านบางลำพูแทบไม่ต้องไปหาซื้อของจากที่อื่นเลย ตลาด ๓ แบบของคนบางลำพู ที่ว่ามีตลาด ๓ แบบที่บางลำพูนั้น เพราะย่านนี้มีตลาดสดถึง ๓ ตลาด ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกัน คือ ตลาดเช้า ตลาดผลไม้ และตลาดของกินยามค่ำคืน ตลาดทั้งสามอยู่ใกล้กับสะพานนรรัตน์--สะพานโค้งข้ามคลองบางลำพู อันเป็นจุดเด่นของย่านบางลำพูสมัยนั้น ตลาดยอด เป็นตลาดเช้า ตั้งอยู่บริเวณเชิงสะพานนรรัตน์ฝั่งทิศใต้ ปัจจุบันคือที่ตั้งห้างนิวเวิลด์ (ปิดตัวไปแล้ว) ตรงสี่แยกบางลำพู ถือเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในสมัยนั้น ตลาดแห่งนี้มีมาตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ก่อนขยายใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่มีการปรับปรุงตลาดเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๕ ลักษณะของตลาดยอดเป็นอาคารโรงสูง ทำด้วยไม้ มุงหลังคากระเบื้อง ซึ่งเป็นแบบแผนเดียวกันกับตลาดในยุคนั้น ภายในมีแผงสินค้าตั้งเรียงรายกัน มีทางเข้าออก ๔ ช่องทาง คือ เข้าทางถนนพระสุเมรุ ๒ ช่อง ทางถนนจักรพงษ์ ๒ ช่อง แล้วยังมีตรอกที่เป็นทางเดินไปออกทางถนนสิบสามห้างและทางถนนตานี (แต่ก่อนเรียกถนนบ้านแขก) พ่อค้าแม่ค้ามาเปิดแผงขายกันตั้งแต่ตอนเช้ามืด ส่วนใหญ่เป็นพวกของสดประเภทต่าง ๆ เช่น เนื้อสัตว์ กุ้ง หอย ปู ปลา ทั้งแบบสดและแบบแห้ง ผักผลไม้ ตามแบบตลาดเช้าทั่วไป ไม่ใช่แค่คนฝั่งพระนครเท่านั้นที่มาซื้อขายสินค้ากันที่ตลาดยอด ชาวสวนจากฝั่งธนฯ ก็นำผลผลิตจากสวนใส่เรือมาขายด้วยเช่นกัน “พวกทางฝั่งธนฯ จะต้องไปตลาดที่บางลำพู ไปขายใบตอง ขายผัก ขายอะไรต่าง ๆ เรียกว่าเป็นตลาดใหญ่พอสมควร มีทั้งของสด ของเค็มก็อยู่ท้ายตลาด... เด็ก ๆ ฉันอยู่กับตายายก็จะนั่งหัวเรือ พายเรือเอาชมพู่ไปขาย เอาเงาะไปขายที่ตลาดยอด ถ้าของสวยหน่อยก็จะขายได้ราคาดี บางทีร้อยละบาท ห้าสลึง แต่ถ้าไม่ค่อยสวยขายได้แค่ ๕๐ สตางค์ เราขายเป็นร้อยไม่ได้ชั่งกิโลเหมือนสมัยนี้ แต่ว่าจะขายคนอื่นนะ พวกร้านที่เขายกแผง เขาไม่ซื้อเราหรอก เพราะเขาซื้อแต่ของสวย ๆ แล้วไปขาย ๑๒ ใบ ราคา ๑ เฟื้อง ถ้าเหลือนะเขาเททิ้งลงคลองตรงเชิงสะพานนรรัตน์ปัจจุบัน” คุณยายสังวาลย์ สุนทรักษ์ วัย ๙๕ ปี ผู้เคยอาศัยอยู่ในสวนแถบบางยี่ขัน ฝั่งธนบุรี ก่อนย้ายมาอยู่ที่บางลำพู เล่าเรื่องราวเมื่อครั้งนำของจากสวนที่บ้านมาขายที่ตลาดยอด พอตกบ่ายร้านของสดประเภทต่าง ๆ เริ่มปิดแผง แต่บรรดาของแห้ง อาหาร ขนม และของใช้ชนิดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น กระบุง ตะกร้า ถ้วยโถโอชาม เครื่องหนัง เครื่องประดับ ฯลฯ ยังคงมีขายตลอดจนถึงช่วงเย็น ร้านหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากในตลาดยอดคือ ร้านบัวสอาด เป็นร้านขายน้ำอบไทย ธูปเทียนชนิดต่าง ๆ เช่น ธูปเทียนแพ เทียนพรรษา เทียนอบขนมกลิ่นกำยาน รวมไปถึงดอกไม้ พวงมาลัย พอตกค่ำตลาดยอดก็มีข้าวต้มกุ๊ย เป็นอาหารแบบ ‘ยองยองเหลา’ ซึ่งเป็นคำเรียกล้อกับอาหารเหลาหรืออาหารที่ขายในภัตตาคารหรู ซึ่งเริ่มมีขึ้นตั้งแต่ช่วงรัชกาลที่ ๗ เพราะเป็นอาหารที่นั่งกินกันข้างทางและมีราคาถูก ตรงข้ามกับตลาดยอดทางด้านถนนพระสุเมรุเป็นที่ตั้งของตลาดขายผลไม้ คือ ตลาดทุเรียน คุณยายอรุณศรี รัชไชยบุญ เกิดเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๔ มาอยู่ที่บางลำพูตั้งแต่อายุ ๑๐ ปี บอกเล่าความทรงจำเกี่ยวกับย่านบางลำพูที่เกี่ยวกับตลาดทุเรียนไว้ในหนังสือพิมพ์ ‘ข่าวบางลำพู’ ของประชาคมบางลำพู ตอนหนึ่งว่า “ในหน้าทุเรียน ทุเรียนจะมาขึ้นที่คลองบางลำพู โดยขนมาจากเมืองนนท์ เขาเอาไม้ระแนงมากั้นเป็นคอก กว้าง x ยาวประมาณ ๒ เมตร ทุเรียนจะตั้งเป็นกอง ๆ สมัยนั้นมีแต่ทุเรียนนนท์และบางยี่ขัน ทุเรียนเมืองจันท์ยังไม่มี ทุเรียนที่แพงที่สุดจะเป็นทุเรียนก้านยาว ลูกละ ๑-๑๐ บาท อีรวงเป็นทุเรียนชั้นต่ำ ลูกละไม่ถึง ๑ สตางค์ ถ้าเป็นทุเรียนกบจะแพงนิดหน่อย คนจึงชอบหลอกว่าอีรวงเป็นกบ” ทุเรียนในสมัยนั้นจัดเป็นผลไม้ที่มีราคาสูงอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะตั้งแต่น้ำท่วมใหญ่ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ สวนเมืองนนท์ล่ม ทำให้ราคาทุเรียนยิ่งแพงขึ้นมาอีก คนที่ได้ลิ้มรสทุเรียนอย่างดีส่วนใหญ่จึงเป็นกลุ่มคนมีเงิน แต่ก็ใช่ว่าตลาดทุเรียนจะมีแค่ทุเรียนขายเพียงอย่างเดียว ยังมีผลไม้นานาชนิดที่ชาวสวนฝั่งธนฯ แถบบางยี่ขันแจวเรือข้ามฟากมาขาย เช่น เงาะบางยี่ขัน ชมพู่สาแหรก มังคุด กระท้อน เป็นต้น นอกจากนี้มีอาหารขายอยู่หลายร้าน ทั้งข้าวแกง ก๋วยเตี๋ยวผัด หมูสะเต๊ะ หอยแครงลวก ขนมเบื้องไทยและญวน ล้วนแต่มีราคาย่อมเยา คนทั่วไปจึงนิยมมาหาของกินที่นี่ ทางด้านหลังตลาดริมคลองบางลำพูมีอาคารห้องแถวขายของจิปาถะ ส่วนใหญ่เป็นของใช้ราคาถูก เมื่อข้ามคลองบางลำพูมาฝั่งตรงข้ามกับตลาดทุเรียน มีตลาดอีกแห่งหนึ่งคือ ตลาดนานา เจ้าของตลาดคือคุณเล็ก นานา มุสลิมย่านคลองสาน ในตอนกลางวันตลาดนานามีบรรยากาศเงียบเหงา ผิดกับยามค่ำคืนที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน เพราะใกล้บริเวณตลาดมีโรงหนังและวิกลิเกตั้งอยู่ จึงมีร้านอาหารต่าง ๆ ขายกันจนถึง ๒ ยาม พอดีกับตอนโรงหนังและลิเกเลิก ร้านอาหารส่วนใหญ่เป็นพวกหาบเร่ แผงลอย มีทั้งข้าวแกง บะหมี่ เย็นตาโฟ ซึ่งกลุ่มลูกค้าขาประจำเป็นคอหนังคอลิเก หรือพวกวัยรุ่นที่จับกลุ่มเที่ยวเตร่กันตอนกลางคืน ด้านหน้าห้าง ต.เง็กชวน ประดับรูปครุฑ เนื่องด้วยได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้เป็นผู้จำหน่ายสินค้าประเภทเครื่องหีบเสียงและจานเสียง ในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม นานาห้างร้าน แหล่งสินค้า ‘มีระดับ’ นอกจากแผงขายของในตลาดสด ย่านบางลำพูมีห้างร้านที่จัดว่ามีระดับอยู่หลายร้าน ร้านค้าเหล่านี้เป็นร้านตึกแถวตั้งอยู่ที่ริมถนนต่าง ๆ ที่สำคัญคือถนนพระสุเมรุ ถนนจักรพงษ์ ถนนสิบสามห้าง มีทั้งร้านตัดเสื้อผ้าอาภรณ์ รองเท้า เครื่องประดับ รวมไปถึงของฟุ่มเฟือยประเภทต่าง ๆ ที่สั่งนำเข้ามาจากต่างประเทศ เช่น สบู่ น้ำหอม ของเล่น อันถือเป็นของนำสมัยและค่อนข้างมีราคาสูง ลูกค้าจึงเป็นกลุ่มผู้ดีมีฐานะที่มีอยู่มากในย่านบางลำพู ร้านที่มีชื่อเสียงในสมัยก่อนก็เช่น ห้าง ต. เง็กชวน อยู่ริมถนนพระสุเมรุ เป็นร้านจำหน่ายสินค้าหลากชนิด ตั้งแต่เครื่องประดับ ของใช้ ของเล่น สินค้าที่กล่าวขานกันมากคือสร้อยและกำไลทองชุบ เรียกว่าเป็นทองวิทยาศาสตร์ มีราคาถูก จึงเป็นที่นิยมกันมาก นอกจากนี้ ต. เง็กชวน เป็นร้านบันทึกเสียงในยุคแรก ๆ ด้วย ปัจจุบันร้าน ต. เง็กชวน เปลี่ยนมาขายขนมเบื้องไทย ซึ่งเป็นของอร่อยขึ้นชื่ออย่างหนึ่งในย่านบางลำพู ร้านเครื่องแต่งกายก็มีอยู่หลายร้าน ขายเสื้อผ้าทันสมัยในยุคนั้น เช่น ร้านนพรัตน์ ขายพวกเสื้อผ้าสำเร็จรูป ร้านสมใจนึก เดิมเป็นร้านขายของใช้ทั่ว ๆ ไป ต่อมาจึงเปิดรับจ้างตัดเสื้อผ้าและผลิตเสื้อเชิ้ตสำเร็จรูปยี่ห้อ Seamaster ก่อนจะผลิตชุดนักเรียนจนมีชื่อเสียงมาถึงปัจจุบัน ร้านไทยประณีต ขายเสื้อผ้า ผ้าไหม ร่ม ห้างแก้วฟ้า ร้านตัดรองเท้าหนังที่มีชื่อเสียงมากในหมู่ข้าราชการและนักศึกษา นอกจากนี้ยังมีร้านไทยไพรัช ปัจจุบันคือที่ตั้งของห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง ร้านนี้ขายหุ่นโชว์เสื้อ อุปกรณ์เย็บปักถักร้อย และรับสอนเย็บจักร ซึ่งสะท้อนการเป็นแหล่งผลิตเสื้อผ้าชั้นนำของบางลำพูได้เป็นอย่างดี ส่วนย่านทันสมัยที่สุดในบางลำพูต้องยกให้ สิบสามห้าง เดิมเป็นห้องแถวไม้ ยาวจากถนนบ้านแขกถึงมุมถนนพระสุเมรุ มีร้านขายของโปเกหรือของเก่า ร้านขายเสื้อผ้า เครื่องประดับ ต่อมาห้องแถวไม้นี้โดนไฟไหม้จึงสร้างเป็นตึกแถวสองชั้น ช่วงหลังปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นต้นมา สิบสามห้างโด่งดังเรื่องความล้ำสมัย มีของแปลกใหม่หลายอย่างบริการลูกค้า เป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่น เช่น ร้านขายไอศกรีม บางร้านมีบริการโทรทัศน์ แผงขายหนังสือ ฯลฯ ในอีกด้านหนึ่งสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของสิบสามห้างคือกลุ่มจิ๊กโก๋หรือนักเลงวัยรุ่นชายที่มีรสนิยมตามอย่างวัฒนธรรมอเมริกันที่เข้ามาในรูปแบบภาพยนตร์ ทั้งในด้านการแต่งกายและกิริยาท่าทางเลียนแบบดาราดังสมัยนั้น อดีตย่านบางลำพูมีนักเลงทำนองนี้อยู่หลายพวก ตั้งตนเป็นเจ้าถิ่นอยู่ตามตรอกซอกซอยต่าง ๆ ซึ่งหลายคนในยุคปัจจุบันคงคุ้นเคยภาพนักเลงเหล่านี้จากภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง ‘๒๔๙๙ อันธพาลครองเมือง’ ที่ออกฉายเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ได้ดี โรงหนัง โรงละคร วิกลิเก แหล่งบันเทิงยามค่ำคืน ปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้บางลำพูสมัยก่อนคึกคักตลอดทั้งกลางวันกลางคืน คือแหล่งบันเทิงต่าง ๆ ที่เริ่มเกิดมากขึ้นตั้งแต่ช่วงสมัยรัชกาลที่ ๗ เป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็นโรงหนัง โรงละคร วิกลิเก มีให้เลือกชมกันตามรสนิยม ยุคที่กิจการภาพยนตร์ในกรุงเทพฯ กำลังเฟื่องฟู บางลำพูมีโรงหนังเกิดขึ้นด้วย โรงหนังบุศยพรรณ ตั้งอยู่ที่เชิงสะพานนรรัตน์ฝั่งเหนือ เดิมชื่อ ตงก๊ก ภาพยนตร์ที่ฉายส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศ โดยมีนักพากย์ชื่อดังคือทิดเขียว หรือนายสิน สีบุญเรือง แต่ละรอบฉายมีคนมาออซื้อตั๋วกันที่หน้าโรงเป็นจำนวนมาก นายสมัคร สุนทรเวช ผู้เคยใช้ชีวิตอยู่ตรอกหลังวัดสังเวชฯ บางลำพู ได้เล่าภาพของโรงหนังแห่งนี้ ไว้ในตอนหนึ่งของหนังสือ ‘จดหมายเหตุกรุงเทพฯ’ ว่า “โรงหนังบุษยพรรณมีหลังคาโค้ง มี ๒ ชั้นตามแบบโรงหนังทั่วไป ชั้นล่างเป็นที่ตั้งเก้าอี้เป็นแถวยาว นั่งได้แถวละ ๗-๘ คน ตั้งเรียงกันตั้งแต่หน้าเวทีเรียงถอยหลังไปเป็นล็อก ๆ ส่วนชั้นบนทำเป็นเฉลียงอยู่บนหลังคาของห้องฉาย ยื่นออกไปทั้งซ้ายขวาเติมที่นั่งได้ทั้งสองด้าน ที่นั่งด้านหลังยกสูงเป็นอัฒจันทร์ ด้านนอกโรงเป็นห้องขายตั๋ว มีที่ให้คนมาชมภาพตัวอย่างหนัง เรียกกันว่า ‘หนังแผ่น’ คนที่บอกว่าได้ไปดูแค่หนังแผ่น คือคนที่ไม่มีเงินไปดูหนังจริง ๆ ใน โรงหนังแห่งนี้เคยมีฉายตอนกลางวัน โดยต้องใช้ผ้าดำมาบุโรง บุหน้าต่างให้มืดพอจะฉายได้ เหตุที่ฉายหนังกลางวันเพราะต้องการเอาสตางค์แดงที่ทำด้วยทองแดงไปทำหัวลูกปืน ส่วนราคาตั๋วนั้น ถ้ากลางคืน คนละ ๕, ๑๐ หรือ ๑๕ สตางค์ก็แล้วแต่ แต่ตอนกลางวันประกาศว่าเอาแค่สตางค์แดงเดียวเท่านั้น...” เมื่อข้ามฟากคลองบางลำพูไปที่ตลาดทุเรียนก็มีอยู่อีกหนึ่งโรงคือ โรงหนังน่ำแช ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น ศรีบางลำพู มีคนดูมากไม่แพ้กัน ตรงริมคลองบางลำพูใกล้ธนาคารไทยพาณิชย์ในปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงละครแม่บุนนาค ก่อตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๗ แสดงละครร้อง ซึ่งเป็นมหรสพที่เริ่มแพร่หลายมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ เรื่องที่นำมาแสดงละครร้องส่วนใหญ่มักเป็นวรรณกรรมที่มีเนื้อหาร่วมสมัยหรือวรรณกรรมแปล เช่นเรื่องสาวเครือฟ้า ละครร้องจึงเป็นความบันเทิงที่ถูกรสนิยมชนชั้นสูงในสมัยนั้น ตรงกันข้ามกับลิเกหรือยี่เก มหรสพที่นิยมแพร่หลายกันมากในหมู่ชาวบ้าน แต่เป็นที่เหยียดหยามของหมู่ผู้ดีมีฐานะ จนเกิดบทดอกสร้อยที่ว่า “อันยี่เกลามกตลกเล่น รำเต้นสิ้นอาย ขายหน้า” แต่ด้วยเนื้อหาที่เป็นเรื่องราวแบบชาวบ้าน ดำเนินเรื่องรวดเร็ว สอดแทรกความตลกขบขัน ลิเกจึงเป็นที่นิยมในหมู่คนทั่วไป วิกลิเกชื่อดังในย่านบางลำพูคือ วิกลิเกหอมหวล มีชื่อเสียงมากในทศวรรษ ๒๔๙๐ ตั้งอยู่ในตลาดทุเรียน ทางฝั่งตลาดนานาก็มีวิกลิเกอยู่เช่นกัน โดยเริ่มเล่นกันตั้งแต่ ๒ ทุ่ม เลิกตอน ๒ ยาม สิ่งที่ขาดไม่ได้ที่ด้านหน้าโรงลิเกคือหาบขายของกินสารพัดอย่าง ตั้งคอยบริการผู้ชมที่มารอดูลิเกกันแน่นขนัดในทุกคืน โฉมหน้าของบางลำพูย่อมแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ปัจจุบันตลาดทั้งสามแบบของบางลำพู คือ ตลาดยอด ตลาดทุเรียน และตลาดนานา ไม่เหลือร่องรอยใด ๆ ไว้นอกจากในความทรงจำ ตลาดยอดหลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้ในปี พ.ศ. ๒๕๑๐ เจ้าของได้สร้างเป็นห้างสรรพสินค้านิวเวิลด์ต่อมา แต่อยู่ได้ไม่นานก็มีคำสั่งจาก กทม. ให้รื้อทิ้ง เนื่องจากมีความสูงเกินกำหนดของอาคารที่อยู่ใกล้กับเขตกรุงรัตนโกสินทร์ชั้นใน ปัจจุบันจึงเหลือเพียงอาคารร้างที่ยังรื้อถอนไม่เสร็จตรงสี่แยกบางลำพู ตลาดทุเรียนเริ่มซบเซาลงเพราะมีการตัดถนนเข้าถึงเมืองนนทบุรี ปัจจุบันจึงเหลือเพียงตลาดสดขายของเล็ก ๆ น้อย ๆ เรียกกันว่า ตลาดนรรัตน์ ส่วนตลาดนานากลายสภาพเป็นโรงแรม ห้างร้านเก่าแก่ต่างๆ ที่เคยคึกคักเริ่มทยอยปิดตัวลง ที่ยังเปิดอยู่ก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย เช่นเดียวกับแหล่งบันเทิงต่าง ๆ ที่เลิกราตาม ๆ กันไป เมื่อไม่กี่สิบปีมานี้ ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยวขยายตัวอย่างรวดเร็ว ภาพจำของบางลำพูจึงกลายเป็นภาพนักท่องเที่ยวนานาชาติเดินขวักไขว่กันตามท้องถนน มีสถานเริงรมย์ยามค่ำคืน แต่อย่างไรก็ดี ‘บางลำพู’ ยังไม่ทิ้งภาพย่านการค้าที่รุ่งเรือง เพราะยังคงเป็นแหล่งรวมอาหารอร่อย ห้างร้านหลายระดับราคาเปิดบริการอยู่มากมาย และคนจำนวนมากยังแวะเวียนมาสร้างความทรงจำใหม่ ๆ ที่ย่านบางลำพูแห่งนี้ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ย่านเก่าและชุมชนเมืองกรุงเทพมหานคร ต่อสู้การไล่รื้อชุมชนท่ามกลางกระแสท่องเที่ยวแบบหวนหาอดีต
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2555 ในระยะหลายปีหลังที่ผ่านมา เหตุการณ์ไล่รื้อชุมชนที่เคยเป็นย่านสำคัญของกรุงเทพมหานครปรากฏข่าวเป็นระยะ ๆ บางกรณีเป็นข่าวต่อเนื่องยาวนานและเกือบจะเกิดความรุนแรงจากการต่อต้านของคนในพื้นที่ก็หลายครั้ง เช่น เรื่องของบ้านครัว ชุมชนเก่าแก่ของชาวจามอาสา ย่านทอผ้าไหมชื่อดังในอดีต ชุมชนหลังป้อมมหากาฬ ย่านบ้านเก่า “ชานพระนคร” แห่งสุดท้ายของกรุงเทพฯ จนถึงการทุบตึกแถวบนที่ดินของวัดยานนาวาของชุมชนซอยหวั่งหลี ไล่ผู้อาศัยที่อยู่มากว่า ๓-๔ ชั่วคนออกไป ตามความประสงค์ของวัดที่กลายเป็นนิติบุคคล และปัจจุบันก็ไม่สามารถพัฒนาพื้นที่ให้เกิดประโยชน์มากไปกว่าจัดตลาดนัดให้คนมาค้าขายชั่วคราว วัดกัลยาณมิตรที่กำลังมีปัญหาในการไล่รื้อชุมชนในพื้นที่ ปัญหาของการไล่รื้อชุมชนในเมืองหลวงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามมูลค่าของกรรมสิทธิ์ที่ดินในพื้นที่ต่าง ๆ ตามราคาประเมินของการจัดผังเมืองและพื้นที่ประเมินทางเศรษฐกิจที่คาดการณ์ล่วงหน้า และแทบทุกพื้นที่ตัดทิ้งมูลค่าของผู้คนที่อยู่อาศัยอาชีพ วิถีชีวิตที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน แม้จะต่อเนื่องบ้างหรือไม่ต่อเนื่องเลยก็ตาม ในกรณีของผู้คนจากชนบทที่อพยพเข้ามาทำมาหากินในเมือง เป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการของเมืองใหญ่ที่เกิดขึ้นทั่วโลก สิ่งเหล่านี้ไม่มีการคำนวนมูลค่าทางเศรษฐกิจไว้แต่อย่างไร คนในเมืองและย่านต่าง ๆ ทั้งเก่าและใหม่จึงกลายเป็นผู้รับเคราะห์กรรมของการจัดสรรผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ประเมินโดยเจ้าของกรรมสิทธิ์ไม่กี่คน และการโยนหรือโอนพื้นที่สำคัญที่มีคุณค่าของเมืองหลวงเก่านี้ให้กับองค์กรธุรกิจหรือนิติบุคคลที่เคยเป็นที่พึ่งพาโดยธรรมชาติแก่ชาวบ้านรอบ ๆ เช่น “วัด” องค์กรที่ดูแลพื้นที่สาธารณะที่เคยเป็นของหลวง ดังนั้นการตัดสินใจจึงเป็นไปเฉพาะประโยชน์ตนเสียมากจากบุคคลที่มีอำนาจการตัดสินใจในช่วงเวลานั้น ๆ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์, สำนักพระคลังข้างที่, กรุงเทพมหานคร, วัดต่าง ๆ เจ้าของที่ดินตระกูลใหญ่ในราชสกุลบางกลุ่ม กลายเป็นกลุ่มที่มีบทบาทต่อการปรับเปลี่ยนพื้นที่การใช้สอยของเมืองกรุงเทพฯ ในยุคนี้ โดยเฉพาะพื้นที่ซึ่งอยู่ในเขตย่านเก่าของเมืองหลวงที่ยังไม่มีกำหนดขอบเขตและนิยามให้ชัดเจน ปัญหาเรื่องที่ดินหมักหมมไว้นาน โดยทั้งประเทศมีปัญหาเรื่องการออกเอกสารสิทธิ์ไม่ทันต่อความต้องการและการเปลี่ยนมือ ขณะที่องค์กรหน่วยงานที่อ้างสิทธิ์ในการครอบครองพื้นที่ออกประกาศพระราชกฤษฎีกาต่าง ๆ จนชาวบ้านจำนวนมหาศาลในประเทศนี้กลายเป็นผู้บุกรุกทั้งหมดโดยไม่มีการยกเว้น ทั้งผู้บุกรุกใหม่และผู้ที่อยู่อาศัยมาแต่เดิม ปัญหาการใช้งานที่ดินต่าง ๆ จึงกลายเป็นดินพอกหางหมู ยากที่จะสางแก้ไข การยึดแต่กฎหมายในการถือสิทธิ์นั้นขัดต่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างยิ่ง ยิ่งปรากฏกระบวนการใช้กฎหมายเข้าบีบบังคับกลุ่มชาวบ้านที่อยู่มาแต่เดิม ตึกอาคาร เจดีย์ที่ระลึกในวัด ตึกแถวที่เคยทำการค้า ย่านธุรกิจเก่าแก่ สร้างผลกระทบจนถึงขั้นทำลายรากฐานความเป็น “พระนคร” และ “เมืองหลวง” อันมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ ปีนี้อย่างชัดเจน รากฐานของพระนครทางกายภาพนั้นกำลังถูกบ่อนทำลายไปเรื่อย ๆ แต่ขณะเดียวกันการสร้างกระแสอนุรักษ์ “ย่าน” “บ้านเก่า” “วัดวาอาราม” “วัง” “ตึกอาคารร้านค้า” ที่ผ่านมานั้น มีวิธีคิดที่ไม่ได้ล้ำลึกเข้าไปถึงปัญหาของผู้คนที่ยังมีการอยู่อาศัย บางกรณีเมื่อเห็นว่าดูออกจะรกรุงรัง แผนแม่บทเกาะรัตนโกสินทร์ในช่วงเวลาหนึ่งไม่สนใจจนถึงขั้นลบออกไปจากแผนที่อย่างง่าย ๆ สังคมในเมืองหลวงเก่าแก่แห่งนี้ถูกมองว่าผู้คนที่เข้ามาอยู่อาศัยในพื้นที่ดั้งเดิมนั้นไม่มีความเป็น “ชุมชน” เหลืออยู่ แต่ถูกมองจากสภาพเสื่อมโทรมของอาคารต่าง ๆ ที่ถูกทิ้งไม่ได้ซ่อมแซมหรือบูรณะให้มีความสวยงามแก่สายตา เพราะคนเก่า ๆ ตระกูลเก่าแก่ เจ้าของเดิมต่างขายทิ้งหรืออพยพโยกย้ายเมื่อกลายเป็นครอบครัวใหญ่ขึ้น หรือออกไปรับราชการ ทำมาหากินในพื้นที่อื่น ๆ ตามการขยายตัวของเมืองที่กระจายออกไปทั่วทุกทิศ เกิดการเคลื่อนย้ายจนเมืองหรือชุมชนหรือย่านต่าง ๆ แทบไม่หลงเหลือผู้คนเดิม ๆ ตั้งแต่เมื่อแรกสร้างอย่างชัดเจน แต่ก็ยังคงมีชีวิตของชาวบ้านย่านเก่าต่าง ๆ ที่ยังคงมีอยู่ แต่รวยรินจนแทบขาดช่วง และการ “มีอยู่” ก็เหมือนเป็นการหลบ ๆ ซ่อน ๆ จากสายตาของผู้คน เพราะภาพของตึกอาคารสมัยใหม่บดบังไว้เสียสิ้น นิยามของความเป็น “ชุมชน” ในเมือง โดยเฉพาะย่านเก่าแก่ควรแก่การอนุรักษ์ ไม่ใช่เพราะว่าเคยเป็นวัดหรือวัง แต่ต้องเห็นถึงความมีชีวิตและชีพจรที่ยังเต้นอยู่ของการค้า แม้แต่จะเป็นแบบดั้งเดิม แต่นี่คือเสน่ห์ที่หายากของ “ความเป็นย่านเก่า” ที่เมืองเก่าทั่วโลกพยายามเสาะรักษาไว้ แม้จะทำได้แบบมีชีวิตบ้าง หรือเหลือแต่ตึกเก่าที่ปรับปรุงใหม่บ้าง แต่นิยามดังกล่าวยังไม่ปรากฏในการอ้างอิงถึงอย่างชัดเจน เพราะนำไปเปรียบเทียบกับความเป็น “ชุมชน” ในชนบท ดังนั้นความกว้างขวางของนัยในเรื่อง “ชุมชน” [Communities] ที่บางแห่งไปไกลเกินกว่าทางกายภาพ เช่นชุมชนในเชิงจินตนาการกันแล้ว ก็ยังไม่สามารถนำมาใช้เปรียบเทียบถึงรูปแบบของปัญหาจากการไล่รื้อชุมชน ทรัพย์สินส่วนรวมของคนเมืองให้เป็นที่ยอมรับได้ เมื่อมีการนำปัญหาเหล่านี้ไปถึงศาลต่าง ๆ ในประเทศไทยปัจจุบัน ในกระแสของการท่องเที่ยวที่ระบาดไปทั่วทุกหนแห่งของประเทศนี้ เมืองแบบกรุงเทพมหานคร เสนอการท่องเที่ยวแบบตลาดน้ำให้ชาวบ้านในหลายแห่ง บ้างกลางสวน บ้างกลางหมู่บ้านจัดสรร บ้างกลางเมืองไปแล้ว มีพื้นที่นำเสนอสิ่งที่เหลืออยู่ได้พอประมาณ แต่ก็กลายเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวค้าขายเพื่อตอบสนองการท่องเที่ยวของคนเมืองในการรำลึกถึงอดีตอย่างชัดเจน แต่เป็นเพียงอดีตที่ไม่เห็นทางว่าจะย้อนกลับหรือปรับปรุงสร้างเงื่อนไขการอยู่อาศัยของผู้คนให้ดีขึ้นได้อย่างไร สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์หรือกรุงเทพมหานคร เป็นเจ้าของพื้นที่ส่วนใหญ่ที่เป็นทั้งย่านเก่าที่กลายเป็นย่านธุรกิจหลาย ๆ แห่งก็ปรับตัวรับมือ หาวิธีการแก้ปัญหาที่ไม่ใช่การไล่รื้อแต่เพียงอย่างเดียว แต่พยายามปรับพื้นที่ไปพร้อม ๆ กับให้ชาวบ้านที่ยังคงอยู่มีส่วนร่วม สร้างมูลค่าของพื้นที่ย่านเก่าให้กลายเป็นพื้นที่ชุมชนหรือย่านที่น่าสนใจทางประวัติศาสตร์ ตอบสนองความต้องการท่องเที่ยวของคนชั้นกลางในเมืองที่ยังรำลึกถึงความสุขในวัยเยาว์ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ยังเป็นไปได้ไม่ถึงชั่วคนเสียด้วยซ้ำ ความทรงจำในพื้นที่แห่งความสุขของคนที่มีรากเหง้าในความเป็นคนกรุงเทพฯ สร้างสุขและโอกาสในการแสวงหาข้อมูลความรู้เพื่อการท่องเที่ยวอย่างขนานใหญ่ แต่ไม่อาจตอบโจทย์ของ “การไล่รื้อ” จัดระเบียบเพื่อความสวยงามของวัดต่าง ๆ ขององค์กรเพื่อดูแลผลประโยชน์แบบนิติบุคคลบางแห่งไว้ได้ น่าประหลาดที่กระแสการท่องเที่ยว ท่องวัด ชมวัง มุดรั้ว เดินตรอก ล่องคลอง ฯลฯ กำลังมีอยู่อย่างคึกคักไปพร้อม ๆ กับการเผชิญปัญหาการฟ้องร้องไล่ที่ การฟ้องร้องเพื่อทุบทำลาย การบีบบังคับให้ชาวบ้านย้ายออกไปจากพื้นที่เพื่อจัดภูมิทัศน์ให้งดงามรองรับการท่องเที่ยวและความพอใจของพระของเจ้าหน้าที่บางส่วน ความมีชีวิตของย่านเก่า ชุมชนเดิม ไม่สามารถมองเห็นได้จากนิทรรศการที่เน้นแต่นำเสนอรูปแบบ เช่น “วิถีไทย” ในการจัดแสดง หรือเห็นเพียงวัด วัง การเป็นอยู่ของคนสมัยก่อนเท่านั้น สิ่งเหล่านี้สร้างภาพเพื่อขายแก่การท่องเที่ยวได้อย่างหวือหวา ทั้งกรณีนิทรรศน์รัตนโกสินทร์จนถึงพิพิธภัณฑ์สยามที่ท่าเตียน ทั้งสองแห่งอยู่ในย่านเก่าที่นิทรรศการภายในไม่ได้แสดงให้เห็นคนที่มีลมหายใจในปัจจุบันว่ากำลังเผชิญหน้ากับปัญหาใดบ้างและอย่างไร การต่อสู้ดิ้นรนของผู้คนกลุ่มหนึ่งในการรักษาพื้นที่อยู่อาศัยและทรัพย์สินส่วนรวม [Common property] ที่มีมาอย่างยาวนาน กับการชื่นชมและสัมผัสถึงข้อมูลทางประวัติศาสตร์ การท่องเที่ยวที่นำไปสู่การหวนไห้อาลัยอดีตที่กำลังเป็นที่นิยมกันในเมืองเก่า โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครนั้นจะมีทางบรรจบกันอย่างไร หรือเพราะทุกวันนี้เป็นยุคสมัยแห่งความพึงในปัญหาใครปัญหามัน หากเช่นนี้จะดูไม่แปลกแยกยอกย้อนต่อประเด็นการพัฒนาเมืองที่ควรจะเป็นและควรทำกันไปหน่อยหรือ หรือเราจะเดินตามนโยบายการท่องเที่ยวแบบที่อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม เขียนไว้ในบทความหนึ่งว่า “อนิจจาสยามประเทศ ร่ำรวยในวัฒนธรรมเพื่อขาย แต่ล้มละลายในชีวิตวัฒนธรรม” อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- “กรมอู่ทหารเรือธนบุรี” ในประวัติศาสตร์ราชนาวีไทย
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ธ.ค. 2555 วัดวงศมูลวิหารตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของอู่เรือหมายเลข ๒ เป็นวัดร้าง เพราะไม่มีพระสงฆ์จำพรรษามาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๕๙ แต่มิได้ร้างจากผู้ดูแล เพราะถือว่าเป็นศูนย์รวมจิตใจของบุคลากรภายในกรมอู่ทหารเรือเสมอมา อีกทั้งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอาคารโบราณสถานโดยกรมศิลปากรอีกด้วย โรงเรือพระราชพิธีภายในกรมอู่ทหารเรือ ย้อนกลับไปในสมัยธนบุรี พื้นที่บริเวณกรมอู่ทหารเรือปัจจุบันซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดระฆังโฆสิตาราม เป็นเขตนิวาสสถานเดิมของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมื่อครั้งยังมิได้เสด็จขึ้นครองราชย์ ต่อมาหลังจากพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว ได้พระราชทานให้เป็นวังของเจ้านายหลายพระองค์สืบต่อมา สมัยที่พระองค์เจ้าประยงค์ กรมขุนธิเบศร์บวร พระราชโอรสของกรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ ๒ เสด็จมาประทับ ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดขึ้นในวังที่ประทับ แต่ยังมิทันแล้วเสร็จก็สิ้นพระชนม์ไปเสียก่อน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมหมื่นอนันตการฤทธิ์ พระอนุชาต่างพระมารดาของกรมขุนธิเบศร์บวรเสด็จมาประทับที่วังแห่งนี้ และเป็นแม่กองสร้างวัดต่อจนแล้วเสร็จ พระราชทานนามวัดแห่งนี้ว่า “วัดวงศมูลวิหาร” จนเมื่อกรมหมื่นอนันตการฤทธิ์สิ้นพระชนม์ในสมัยรัชกาลที่ ๕ มิได้มีเจ้านายพระองค์ใดเสด็จมาประทับอีก ด้วยเหตุนี้รัชกาลที่ ๕ จึงพระราชทานที่ดินบริเวณนี้ให้เป็นที่ตั้งของกรมอู่ทหารเรือ ส่วนวัดวงศมูลวิหารนั้นยังคงมีอยู่เรื่อยมา กระทั่งสมัยรัชกาลที่ ๖ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้ขอพระบรมราชานุญาตยกเลิกวัดแห่งนี้ เพราะถูกห้อมล้อมด้วยหน่วยงานของกองทัพจนไม่สามารถพัฒนาได้อีก ต่อมากองทัพเรือได้ขอพื้นที่วัดวงศมูลวิหารเพิ่มเติมจากกรมการศาสนา ส่วนพระสงฆ์ที่เคยจำพรรษาก็ให้ย้ายไปยังวัดเครือวัลย์วรวิหาร คงเหลือแต่อาคารพระอุโบสถมาถึงปัจจุบัน ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธวงศมูลมิ่งมงคล พระประธานปางมารวิชัย ตั้งหันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือตามส่วนยาวของอาคาร ไม่เหมือนตามแบบแผนที่นิยมกันมา เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะเมื่อครั้งสร้างวัด กรมขุนธิเบศร์บวรประชวรบ่อยครั้ง เชื่อว่าเป็นเพราะพระประธานตั้งหันพระพักตร์มาทางพระตำหนักซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระอุโบสถ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายตำแหน่งที่ตั้งของพระประธานให้หันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือแทน ถึงแม้ว่าจะไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่แล้ว แต่กรมอู่ทหารเรือยังคงใช้พระอุโบสถนี้ประกอบพิธีสำคัญของข้าราชการภายในกรมอู่ทหารเรืออย่างสม่ำเสมอ เช่น การจัดพิธีอุปสมบท พิธีประดับยศทหาร การทำบุญวันคล้ายวันสถาปนากรมอู่ทหารเรือ เป็นต้น และสามารถเข้าเยี่ยมชมวัดวงศมูลวิหารได้ทุกวัน ยกเว้นวันหยุดราชการ สำหรับแหล่งเรียนรู้ภายในกองทัพเรือฝั่งธนบุรี นอกจากกรมอู่ทหารเรือแล้ว ไม่ไกลกันนักยังมีพระราชวังเดิมซึ่งเป็นที่ตั้งของกองบัญชาการกองทัพเรือปัจจุบัน นอกจากนี้ในย่านใกล้เคียงยังมีสถานที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง อาทิ ย่านวัดอรุณ ย่านวังหลัง บ้านขมิ้น บ้านมะตูม บ้านช่างหล่อ เป็นต้น ซึ่งสามารถนำมาเชื่อมโยงสร้างเส้นทางเรียนรู้ทางวัฒนธรรม เพื่อเข้าใจย่านประวัติศาสตร์แห่งนี้ให้สมบูรณ์มากขึ้นด้วย ** ท่านที่สนใจเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์อู่เรือหลวง เฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา กรุณาติดต่อล่วงหน้าที่กรมอู่ทหารเรือ เลขที่ ๒ ถนนอรุณอมรินทร์ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ ๑๐๗๐๐ โทร. ๐-๒๔๗๕-๔๑๘๕ เพื่อเข้าชมเป็นหมู่คณะ (๑๕–๒๐ คน) โดยไม่เสียค่าเข้าชม
- องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นกับการทำลายมรดกทางวัฒนธรรมของคนแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ส.ค. 2553 ข่าวจากหนังสือพิมพ์ “เสียงเชียงใหม่” ประจำเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๓ กล่าวถึงกรณีเทศบาลแม่ลาน้อยก่อสร้างพระเจดีย์ใหม่ครอบเจดีย์แบบไทใหญ่ที่เป็นพระเจดีย์ประจำท้องถิ่นขนาดเล็กให้มีขนาดใหญ่โตกว่าสองเท่า โดยไม่ได้แจ้งหรือประกาศแก่ชาวบ้านหรือเจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากรซึ่งมีหน้าที่ดูแลโบราณสถาน เนื้อข่าวความว่า “ชาวบ้านไม่รู้คุณค่าโบราณวัตถุยอมให้ท้องถิ่นก่ออิฐครอบเจดีย์องค์เดิมเหมือนกับฝังทั้งเป็น กรมศิลป์ลงมาฟันผิดหลักการบูรณะ แต่โดนม็อบต้านทำอะไรไม่ได้แค่ห้ามสร้างเพิ่มเติม” นายตระกูล หาญทองกูล หัวหน้ากลุ่มงานอนุรักษ์โบราณสถาน กรมศิลปากร ภาค ๘ เดินทางมาตรวจสอบเจดีย์กลางบ้านในตัวเทศบาลตำบลแม่ลาน้อย อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตามหนังสือร้องเรียนจากวัฒนธรรมอำเภอแม่ลาน้อย ว่าองค์เจดีย์ดังกล่าวคงสร้างมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ถูกทางเทศบาลนำงบไทยเข้มแข็งมาบูรณะองค์พระเจดีย์ แต่ไม่ทำตามหลักการอนุรักษ์โบราณสถาน มีการก่ออิฐถือปูนครอบองค์เจดีย์เดิมเหมือนฝังองค์เจดีย์ทั้งองค์ไว้ในองค์เจดีย์ใหม่ที่ว่าเป็นการบูรณะ ทางกรมได้รับหนังสือร้องเรียนและสั่งการมายังสำนักภาค ๘ เชียงใหม่ ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงมาดูครั้งแรก ทางช่างสำรวจให้หยุดการก่อสร้างบูรณะเอาไว้ก่อนจนกว่าจะมีการปรับปรุงแบบแปลน จากนั้นทางสำนักภาค ๘ ได้มีหนังสือสั่งการมายังสำนักงานเทศบาลตำบลแม่ลาน้อย ให้ระงับการก่อสร้างบูรณะพระเจดีย์องค์นี้เอาไว้ก่อน จนกว่าทางเทศบาลจะนำแบบแปลนที่ก่อสร้างมาแก้ไขเปลี่ยนแปลงใหม่ และทางเทศบาลยังอ้างว่าแบบแปลนที่นำมาปรับปรุงบูรณะก็มาจากกรมศิลปากรที่นำมาสร้างให้วัดแม่ปาง นายตระกูลยอมรับว่าใช่เป็นแบบแปลนของกรมศิลป์ แต่ไม่ได้ออกแบบมาสร้างในลักษณะนี้ ใช้พื้นที่ผิดกัน เขาใช้นำมาสร้างในที่โล่งแจ้ง เช่น ทุ่งนา กลางสนามที่ราบเรียบ วันนี้ที่กรมศิลปากรให้มาดูว่าตามที่ยังมีผู้ร้องเรียนเข้ามาว่า ทางการก่อสร้างยังไม่หยุดและดำเนินการก่อสร้างไปเรื่อย ๆ อยู่ กรมจึงมอบหมายหน้าที่ให้มาดูว่าเป็นไปตามผู้ร้องเรียนไหม เมื่อตนมาเห็นแล้วรู้ว่าเป็นความจริงตามผู้ร้องเรียน ตนจึงเข้าดำเนินการร้องทุกข์แจ้งความกับเจ้าพนักงานสอบสวน ดำเนินคดีกับผู้ฝ่าฝืนกระทำความผิดครั้งนี้ และในขณะที่เจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากรกำลังเข้าร้องทุกข์แจ้งความอยู่นั้น ได้มีชาวบ้านจำนวนเกือบ ๒๐๐ คน มารวมตัวกันหน้าสถานีตำรวจภูธรแม่ลาน้อย ไม่พอใจเจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากรที่สั่งระงับการก่อสร้าง และแจ้งความดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องการก่อสร้างบูรณะเจดีย์ในครั้งนี้ ทำให้พันตำรวจเอก กิตติพันธุ์ คงทวีพันธ์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรแม่ลาน้อยต้องเข้ามาไกล่เกลี่ยกับชาวบ้านที่มาประท้วงเจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากร และพยายามบังคับเจ้าหน้าที่ให้เปิดเผยชื่อผู้ร้องเรียนไปทางกรมศิลปากร ทางเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องเปิดเผยรายชื่อเจ้าหน้าที่วัฒนธรรมอำเภอให้กับชาวบ้านที่มาชุมนุม เพื่อลดการกดดัน นอกจากให้เจ้าหน้าที่ถอนการร้องทุกข์แจ้งความให้เป็นเพียงบันทึกข้อตกลง โดยให้ทางเทศบาลนำแบบแปลนเข้าไปเสนอต่ออธิบดีกรมศิลปากรเพื่อแก้ไขแบบแปลนก่อสร้างนี้ต่อไป นายตระกูล หาญทองกูล ยังได้เปิดเผยถึงกรณีนี้ว่าตนได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการสำนักงานศิลปากร ภาค ๘ เชียงใหม่ ให้มาทำข้อตกลงใหม่กับทางเทศบาลตำบลแม่ลาน้อยว่า โดยมีข้อที่หนึ่งให้หยุดดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้นในโบราณสถานแห่งนี้ ข้อที่สอง ให้ทางเทศบาลดำเนินการยื่นแบบรายละเอียดเพื่อขออนุมัติรูปแบบต่ออธิบดีอีกทีหนึ่ง ข้อที่สาม คือให้ยุติและกระทำใด ๆ ทั้งสิ้นกับโบราณสถานแห่งนี้ และเมื่อท่านขัดคำสั่งเมื่อไหร่จะดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์อีกครั้งหนึ่ง หากจะกล่าวว่าชาวบ้านไม่รู้คุณค่าโบราณสถานก็อาจจะไม่ถูกต้อง เพราะผู้ที่เป็นแกนนำต่อต้านนั้นเป็นคนในแม่ลาน้อยที่มาทราบกันก็ต่อเมื่อมีการสร้างอาคารรูปแบบคล้ายเจดีย์เดิม แต่ตามแบบมีขนาดใหญ่กว่าราวสองเท่า ซึ่งทั้งชาวบ้านแม่ลาน้อยในจังหวัดแม่ฮ่องสอนและเจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากรได้พยายามเข้าไปทัดทาน แต่ก็ยังมีปัญหาในการจัดการที่ไม่สามารถทำให้เทศบาลทำตามกฎหมายโบราณสถานได้ เจดีย์กลางบ้านองค์นี้อายุเกินกว่าร้อยปี ทั้งยังมีหลักเกณฑ์หรือข้อห้ามในการสร้างเจดีย์ครอบโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ เพราะเพียงเจดีย์องค์เล็กแต่ก็ยังไม่ได้มีสภาพทรุดโทรมมากจนต้องสร้างครอบแต่อย่างใด แต่การกระทำดังกล่าวนี้ถือเป็นตัวอย่างของการเข้ามามีอำนาจในการจัดการท้องถิ่นของผู้แทนซึ่งเป็นนักการเมืองในสำนักงานเทศบาล และเป็นคนจากท้องถิ่นอื่นที่ไม่เข้าใจรากเหง้าและความคิดความรู้สึกของคนในท้องถิ่น การใช้อำนาจบริหารคนในสังคมวัฒนธรรมท้องถิ่นเช่นนี้กำลังสร้างปัญหาไปทุกหย่อมย่าน เพียงเพราะคาดหวังจากการใช้งบในการก่อสร้างซึ่งเป็นสิ่งที่นักการเมืองถนัด และเมื่อเข้าไปแตะต้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ใช่ถนนหนทาง จึงเกิดปัญหาการยอมรับได้ยากอย่างยิ่งจากคนในพื้นที่ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ระบาดไปทั่วทุกหนแห่งในประเทศไทย ตราบใดที่อำนาจสาธารณ์รุกล้ำอำนาจศักดิ์สิทธิ์โดยธรรมชาติ ปัญหาก็ต้องเกิดตามมาอย่างไม่จบสิ้น และที่แม่ลาน้อยเมืองเล็ก ๆ ในหุบเขา การต่อสู้นี้ก็ยังดำเนินต่อไป… อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเมืองด่านซ้ายกับการหายไปของ ‘ความเป็นท้องถิ่น’
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มิ.ย. 2555 เพียงแค่ป้ายชื่อก็ระบุไว้ชัดเจนว่า พิพิธภัณฑ์แห่งนี้คือ ‘พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเมืองด่านซ้าย’ เมืองด่านซ้าย เป็นชุมชนโบราณเก่าแก่ของราชอาณาจักรล้านช้างที่ตั้งอยู่ติดกับบริเวณเขตต่อแดนระหว่างกรุงศรีอยุธยากับล้านช้าง มีพระธาตุศรีสองรักสร้างขึ้นเป็นสัญลักษณ์เขตแดนและไมตรีระหว่างสองราชอาณาจักรเป็นประจักษ์พยาน เมืองด่านซ้ายในปัจจุบันคือบริเวณอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย นักวิชาการสันนิษฐานกันว่า เมืองด่านซ้ายน่าจะสร้างขึ้นพร้อม ๆ กับพระธาตุศรีสองรักซึ่งเกิดจากการร่วมสร้างของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยากับสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชแห่งล้านช้างใน พ.ศ. ๒๑๐๓ และแล้วเสร็จใน พ.ศ. ๒๑๐๖ ชาวเมืองด่านซ้ายโบราณน่าจะเป็นกลุ่มคนที่พระมหากษัตริย์ทั้งสองราชอาณาจักรกัลปนาหรืออุทิศให้เป็นข้าพระธาตุ คือมีหน้าที่ดูแลรักษาองค์พระธาตุซึ่งเปรียบเสมือนอุเทสกเจดีย์องค์หนึ่ง นอกจากนี้ จากการศึกษาของโยซิยูกิ มาซูฮารา ยังพบว่า เมืองด่านซ้ายเป็นแหล่งรวบรวมสินค้าของป่าที่สำคัญแห่งหนึ่งของล้านช้างในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ อีกด้วย ถึงแม้ว่าภายหลังเมืองด่านซ้ายจะถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของสยามในราว พ.ศ. ๒๓๗๐ แต่ลักษณะสังคม วัฒนธรรม และร่องรอยศิลปะสถาปัตยกรรมของเมืองก็ยังคงเป็นแบบล้านช้างอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่วัดโพนชัยในตัวเมืองด่านซ้าย ซึ่งมีวิหารหลวงและพระประธานศิลปะล้านช้าง และเป็นสถานที่สำคัญในงานประเพณีบุญหลวงหรือที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไปว่า ‘การละเล่นผีตาโขน’ มรดกทางวัฒนธรรมของเมืองด่านซ้ายที่มีการสืบทอดมาอย่างยาวนาน วัดโพนชัยจึงเป็นโบราณสถานสำคัญของชุมชนคู่กับพระธาตุศรีสองรัก และได้รับการปรับปรุงสภาพแวดล้อมภายในวัดในหลายด้าน รวมทั้งมีการสร้าง ‘พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเมืองด่านซ้าย’ (พิพิธภัณฑ์ผีตาโขน) ขึ้นภายในวัดอีกด้วย หุ่นผีตาโขน หน้ากากผีตาโขน ขั้นตอนการทำหน้ากาก และรูปแบบการจัดแสดงที่เคยจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์ฯ (เมษายน ๒๕๕๐) ผู้เขียนซึ่งมีความสนใจทางด้านประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ได้มีโอกาสเดินทางมาทัศนศึกษาและเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเมืองด่านซ้ายที่วัดโพนชัยด้วยกัน ๓ ครั้ง ครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายน ๒๕๕๐ ครั้งที่ ๒ เมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๓ และครั้งที่ ๓ เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา จากการเดินทางมาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเมืองด่านซ้าย ๓ ครั้งในระยะเวลาเกือบ ๕ ปี ทำให้เห็นความเปลี่ยนแปลงของพิพิธภัณฑ์ฯ ทั้งในทางที่น่าชื่นชมและในทางที่ต้องตั้งข้อสงสัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังจากการมาเยี่ยมชมครั้งล่าสุด ในครั้งแรกผู้เขียนมีความรู้สึกชื่นชมเจ้าอาวาสวัดโพนชัย คณะสงฆ์ กรรมการวัด คณะเจ้าพ่อกวน-เจ้าแม่นางเทียม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและชาวด่านซ้ายที่มีการจัดทำพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเมืองด่านซ้ายขึ้น โดยปรับปรุงจากอาคารไม้ทรงไทยชั้นเดียวยกพื้นซึ่งสร้างมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๘ และเมื่อได้รับงบประมาณจากการจัดงานประเพณีบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขนใน พ.ศ. ๒๕๔๖ จึงปรับปรุงเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเมืองด่านซ้ายหรือพิพิธภัณฑ์ผีตาโขน และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเรื่อยมา หุ่นผีตาโขนใหญ่และผีตาโขนเล็กที่ชาวบ้านร่วมกันสร้างไว้ในพิพิธภัณฑ์ฯ (พฤศจิกายน ๒๕๕๓) จากประตูทางเข้าที่หันไปทางตะวันตกสู่วิหารหลวงและเจดีย์ประธานของวัด ด้านซ้ายมือเป็นมุมของที่ระลึกที่เกี่ยวข้องกับผีตาโขน เช่น ตุ๊กตาผีตาโขนขนาดต่างๆ พวงกุญแจผีตาโขนและหน้ากากผีตาโขนจำลอง เป็นต้น รายได้จากการจำหน่ายของที่ระลึกนั้นก็จะมีการนำไปใช้ในการดูแลรักษาพิพิธภัณฑ์ นอกจากนี้มุมนี้ยังมีเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นคนในชุมชนคอยให้บริการข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ ให้แก่นักท่องเที่ยวด้วยภาษาไทยที่มีกลิ่นอายของสำเนียงไทเลยซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่น และยังมีการเปิดดนตรีพื้นบ้านอีสาน เช่น โปงลาง พิณ และแคน ขับกล่อมสร้างบรรยากาศให้กับนักท่องเที่ยวในระหว่างเข้าชมพิพิธภัณฑ์ ทำให้นักท่องเที่ยวได้ซึมซับหรือรับรู้ถึงความเป็นท้องถิ่นไปด้วยอีกทางหนึ่ง ศิลปินอาสาสมัครและเยาวชนที่มาฝึกการทำหน้ากากผีตาโขนและคอยให้ข้อมูลนักท่องเที่ยว ที่พิพิธภัณฑ์ฯ ซึ่งไม่มีภาพเช่นนี้ปรากฏแล้วหลังการปรับปรุงพิพิธภัณฑ์ฯ ครั้งล่าสุด (พฤศจิกายน ๒๕๕๓) บริเวณภายในอาคารพิพิธภัณฑ์ มีการแบ่งออกเป็น ๓ ห้อง ห้องที่ ๑ ห้องเมืองด่านซ้ายและพระธาตุศรีสองรัก เป็นห้องที่จัดแสดงข้อมูลและภาพถ่ายที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเมืองด่านซ้ายตั้งแต่กว่า ๔๐๐ ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน วิถีชีวิตของผู้คนลุ่มน้ำหมัน และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพระธาตุศรีสองรัก เช่น ประวัติการสร้าง ตำนานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องและงานประเพณีบูชาพระธาตุศรีสองรัก เป็นต้น ซึ่งภายในตกแต่งด้วยวัสดุที่เรียบง่ายและหาได้ในท้องถิ่น ไม่มีการจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้หรือโบราณวัตถุอย่างพิพิธภัณฑ์ทั่วไป หากแต่นำเสนอข้อมูลและภาพถ่าย ทำให้พิพิธภัณฑ์ฯ แห่งนี้แตกต่างไปจากที่อื่น ลักษณะรูปแบบการนำเสนอข้อมูลต่าง ๆ ในพิพิธภัณฑ์ฯ ก่อนการปรับปรุงครั้งล่าสุด (เมษายน ๒๕๕๐) ห้องที่ ๒ ห้องผีตาโขน เป็นห้องที่แสดงถึงวัฒนธรรมของชาวด่านซ้าย งานประเพณีบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขน ประวัติความเป็นมาและคติความเชื่อเกี่ยวกับการละเล่นผีตาโขน รวมทั้งแสดงขั้นตอนในการทำหน้ากากผีตาโขน นอกจากนี้ยังมีการนำหุ่นผีตาโขนจำลอง หน้ากากผีตาโขนเก่าที่เคยใช้และหน้ากากผีตาโขนแบบที่นิยมในปัจจุบันมาจัดแสดงให้นักท่องเที่ยวได้เห็นถึงพัฒนาการของหน้ากากผีตาโขนด้วย ห้องที่ ๓ ห้องสื่อวีดีทัศน์ สำหรับห้องนี้เป็นห้องที่จัดฉายวีดีทัศน์เกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ ของเมืองด่านซ้าย งานประเพณีบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขนผ่านจอโทรทัศน์ ซึ่งมีเก้าอี้ไม้จัดไว้รองรับนักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่ง การเดินทางมาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเมืองด่านซ้ายครั้งแรก ทำให้ผู้เขียนมีความรู้สึกประทับใจและภาคภูมิใจแทนชาวด่านซ้ายที่มีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเป็นของชุมชนและบริหารจัดการโดยคนในชุมชนเอง ซึ่งจะทำให้คนในชุมชนเข้าใจท้องถิ่นของตนมากยิ่งขึ้น และนักท่องเที่ยวก็จะได้เข้าใจถึงความเป็นท้องถิ่นของชาวด่านซ้ายด้วย ลักษณะรูปแบบการนำเสนอข้อมูลต่าง ๆ ในพิพิธภัณฑ์ฯ ก่อนการปรับปรุงครั้งล่าสุด (เมษายน ๒๕๕๐) หลังจากที่ประทับใจเมื่อแวะมาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเมืองด่านซ้ายในครั้งแรก เมื่อมีโอกาสเดินทางผ่านอำเภอด่านซ้าย ผู้เขียนจึงแวะเข้าไปเยี่ยมชมอีก ในครั้งนี้พบว่าพิพิธภัณฑ์ฯ มีการปรับปรุงไปในทางที่ผู้เขียนมีความเห็นว่าดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก มีการนำหุ่นผีตาโขนเล็ก-ผีตาโขนใหญ่จำลองมาตั้งไว้บริเวณห้องโล่งด้านหน้าห้องจัดแสดง เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชมและถ่ายภาพเป็นที่ระลึกอย่างใกล้ชิด ส่วนทางขวามือของทางเข้าก็มีศิลปินพื้นบ้านที่เป็นอาสาสมัครมาสาธิตการทำหน้ากากผีตาโขน และมีการสอนให้กับผู้ที่สนใจทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ ซึ่งได้รับงบประมาณสนับสนุนจากงบพัฒนาท้องถิ่นของผู้ว่าราชการจังหวัดเลย ในครั้งนั้นผู้เขียนเห็นเยาวชนชาวด่านซ้ายเกือบ ๑๐ คนที่มานั่งระบายสีหน้ากากผีตาโขนขนาดเล็ก และเยาวชนดังกล่าวยังได้ทำหน้าที่เป็นเสมือนยุวมัคคุเทศก์คอยนำชมพิพิธภัณฑ์ฯ และแนะนำข้อมูลให้กับนักท่องเที่ยวด้วย การมียุวมัคคุเทศก์หรือมีเยาวชนให้ความสนใจเรื่องราวหรือศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่นในลักษณะเช่นนี้ ส่วนตัวผู้เขียนมีความเห็นว่าถือเป็นความสำเร็จอย่างยิ่งในการจัดทำพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น มากกว่าการได้รับรางวัลหรือมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมจำนวนมากด้วยซ้ำไป เห็นแล้วก็อดชื่นชมคณะทำงานของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเมืองด่านซ้ายไม่ได้ นอกจากนี้ที่อาคารขนาดเล็กด้านซ้ายห่างจากพิพิธภัณฑ์ฯ เล็กน้อย ยังมีการปรับปรุงเป็นร้านจำหน่ายของที่ระลึกที่เกี่ยวข้องกับการละเล่นผีตาโขนโดยเฉพาะ ซึ่งคนในชุมชนได้รวมกลุ่มกันทำขึ้น เช่น โคมไฟ พวงกุญแจ แก้วน้ำ ที่วางแก้วน้ำ เข็มกลัด ตุ๊กตา ที่ใส่ปากกา หัวดินสอ กระเป๋าผ้า หน้ากากผีตาโขนขนาดต่าง ๆ และของที่ระลึกอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้นนอกจากการประกอบอาชีพหลักอีกด้วย หุ่นผีตาโขนของใหม่ในรูปแบบการจัดแสดงใหม่หลังการปรับปรุงครั้งล่าสุด (กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕) และครั้งที่ ๓ ครอบครัวของผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางมาท่องเที่ยวที่อำเภอด่านซ้าย ผู้เขียนจึงภูมิใจนำเสนอพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเมืองด่านซ้ายที่วัดโพนชัยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งที่ ๒ ต่อจากพระธาตุศรีสองรัก แต่ทว่าการเดินทางมาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเมืองด่านซ้ายครั้งนี้ต้องทำให้ผู้เขียนผิดหวัง เสียความตั้งใจและต้องตั้งข้อสงสัยไปด้วยในระหว่างการเดินชม เนื่องจากว่าพิพิธภัณฑ์ฯ ได้ถูกปรับปรุงครั้งใหญ่โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดเลย ซึ่งได้จัดสรรงบประมาณจำนวนไม่น้อยเพื่อโครงการนี้โดยเฉพาะ รูปแบบการนำเสนอและจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ฯ ได้ถูกเปลี่ยนแปลงทั้งหมดแทบไม่เหลือเค้ารูปแบบเดิม ภายในมีการปรับปรุงผนังห้องให้ราบเรียบ มีการจัดแสดงข้อมูลและภาพถ่ายที่เกี่ยวข้องกับเมืองด่านซ้าย พระธาตุศรีสองรัก และเน้นนำเสนอภาพงานประเพณีบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขนเป็นหลัก แม้ว่าจะยังคงใช้ชื่อห้องจัดแสดงคล้ายคลึงชื่อเดิม แต่ภายในห้องมีการจัดแสดงข้อมูลและภาพถ่ายคล้ายกับการจัดนิทรรศการตามงานต่าง ๆ ทั่วไป ภาพแต่ละภาพอยู่ในตู้กระจกและมีหลอดไฟคอยส่องสว่าง ในแต่ละห้องมีคอมพิวเตอร์บันทึกข้อมูลหรือเรื่องราวเอาไว้ โดยให้นักท่องเที่ยวสามารถเปิดศึกษาหรือเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง (แล้วอนาคตยุวมัคคุเทศก์จะเป็นอย่างไร?) มีการนำหน้ากากผีตาโขนใหม่ๆ เข้ามาจัดแสดงจำนวนมาก และมีการนำหุ่นจำลอง หน้ากากของเดิม ป้ายข้อมูลและภาพถ่ายที่เคยจัดแสดงออกไป ส่วนหนึ่งนำไปจัดแสดงไว้ที่อาคารข้าง ๆ ส่วนหนึ่งนำไปตั้งไว้ที่ระเบียงวิหารหลวง บริเวณที่เคยเป็นที่จำหน่ายของที่ระลึกและมีเจ้าหน้าที่คอยให้ข้อมูลกับนักท่องเที่ยวก็ถูกปรับปรุงให้กับเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ทั่วไป โดยภาพรวมของพิพิธภัณฑ์ฯ ถูกเปลี่ยนให้คล้ายกับพิพิธภัณฑ์ของทางราชการที่มีอยู่มากมายทั้งในกรุงเทพฯ และตามจังหวัดต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาคที่ไม่มีความเป็นท้องถิ่นอยู่ในพิพิธภัณฑ์เลย ยกเว้นแต่เพียงข้อมูลเท่านั้น หุ่นผีตาโขนใหญ่และผีตาโขนเล็กของเดิมที่เคยจัดแสดงถูกนำออกมาตั้งไว้ที่ระเบียงวิหารหลวง แล้วมีการนำของใหม่เข้ามาจัดแสดงแทน (กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕) จากการสอบถามชาวด่านซ้ายในละแวกวัดโพนชัยหลายคนได้ความคล้ายกันว่า “เดิมทีนั้นทางคณะกรรมการได้เขียนโครงการไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัดเลยเพื่อของบประมาณมาปรับปรุงพิพิธภัณฑ์ฯ แต่ต่อมาก็มีคนนอกเข้ามาใช้อำนาจและสั่งปรับปรุงพิพิธภัณฑ์ฯ เมื่อช่วงต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา โดยเปลี่ยนเป็นแบบใหม่ทั้งหมด องค์การบริหารส่วนจังหวัดเลยจะส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาดำเนินการดูแลพิพิธภัณฑ์ฯ ส่วนของเดิมนั้นได้ถูกนำออกมา บ้างก็หักพัง บ้างก็มีสภาพคงเดิม การเข้ามาดำเนินการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเลยนั้น แม้จะเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจและอาจมีความปรารถนาดีต่อพิพิธภัณฑ์ฯ แต่ชาวบ้านที่เคยทำงานร่วมกันกับวัดไม่เคยรู้เรื่องอะไรด้วยเลย จนกระทั่งวันนี้ยังไม่ได้รับการชี้แจงหรืออธิบายอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานดังกล่าว ชาวบ้านทำอะไรไม่ได้ นอกจากเฝ้ามองด้วยความรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่พวกเขาเคยร่วมแรงร่วมใจกันสร้างมา และสงสัยกับการเข้ามาปรับปรุงพิพิธภัณฑ์ฯ ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดโดยที่ไม่เปิดโอกาสให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นใด ๆ เลย” การปรับปรุงพิพิธภัณฑ์ให้เป็นแบบทั่วไปหรือราชการนิยมนั้น น่าจะเป็นไปเพียงเพื่อความต้องการตอบสนองกับการท่องเที่ยวที่มาพร้อมกับงานประเพณีบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขน เพราะว่าวัดโพนชัยเป็นสถานที่สำคัญในการประกอบพิธีกรรม การท่องเที่ยวที่ได้รับการส่งเสริมโดยหน่วยงานภาครัฐหรือคนภายนอกที่ไม่เข้าใจความเป็นท้องถิ่นนี้เองที่ทำให้วัฒนธรรมท้องถิ่นเปลี่ยนไปจนคนท้องถิ่นแทบปรับตัวตามไม่ทัน และอาจส่งผลเสียต่อวัฒนธรรมและคนท้องถิ่นอย่างรุนแรงอย่างที่คุณวลัยลักษณ์ ทรงศิริ เคยแสดงความคิดเห็นไว้ในบทความเรื่อง “เทศกาลผีตาโขน/ประเพณีงานบุญหลวง พิธีกรรมท่องเที่ยวในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ของคนด่านซ้าย” ซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือพิพิธภัณฑ์ของคนธรรมดา โดย มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่ผ่านมา หน้ากากผีตาโขนใหม่ที่มีการนำมาตั้งแสดงในพิพิธภัณฑ์ฯ ซึ่งดูคล้ายกับงานนิทรรศการทางศิลปะมากกว่าการเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น (กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕) ณ วันนี้ บรรยากาศของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเมืองด่านซ้ายที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเป็นท้องถิ่น และมีมนต์เสน่ห์ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชม ดังที่อนุสาร อสท. ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเคยนำเสนอไว้ในอนุสาร อสท. ปีที่ ๕๑ ฉบับที่ ๑ เดือนสิงหาคม ๒๕๕๓ หาได้เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว เมื่อชาวบ้าน ชุมชน หรือท้องถิ่นไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการเอง ความเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นและความเป็นท้องถิ่นของพิพิธภัณฑ์จะคงอยู่คู่พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเมืองด่านซ้ายได้อย่างไร บรรยากาศพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเมืองด่านซ้ายกว่า ๔ ปีในความทรงจำอันแสนประทับใจของผู้เขียนได้หายไป พร้อมกับการเกิดข้อสงสัยว่า เหตุใดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับท้องถิ่นถึงไม่เข้าใจความเป็นท้องถิ่นของแต่ละพื้นที่? ทำไมต้องนำรูปแบบพิพิธภัณฑ์จากส่วนกลางมายัดเยียดให้พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเมืองด่านซ้าย? และพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเมืองด่านซ้ายจะเป็นอย่างไรต่อไป หลังจากการหายไปของความเป็นท้องถิ่น? อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นควรสร้างเพื่อใคร?
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2556 ด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์ภูพานตั้งอยู่ติดกับหนองหารหลังโรงเรียนอนุบาลสกลนคร ในราวต้นทศวรรษ ๒๕๓๐ พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทยยังคงเป็นสิ่งใหม่ ๆ ที่ผู้คนยังไม่คุ้นเคย แต่เริ่มมีการเสวนาพูดคุยกันถึงการรวบอำนาจการจัดการพิพิธภัณฑ์ของรัฐไทยที่ผูกขาดเรื่องราวของประวัติศาสตร์แห่งชาติเอาไว้ที่ตนเองฝ่ายเดียว กระแสการจัดการความรู้ในอดีตของชาติเช่นนี้ทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านในแวดวงคนทำงานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีจำนวนหนึ่ง ในขณะนั้นเองก็มีการกล่าวถึงวิธีการจัดแสดงและนำเสนอเนื้อหาเรื่องราวในพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในต่างประเทศ ที่ไม่จำเป็นจะต้องมีเพียงโบราณวัตถุหรือวัตถุอื่นใดเป็นข้อกำหนดในการศึกษาที่ตายตัวและหยุดนิ่งเท่านั้น มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ เป็นองค์กรหลักแรก ๆ ในการสนับสนุนการทำงานเรื่องพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นทั่วประเทศ โดยมีที่ปรึกษาของมูลนิธิฯ อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม เป็นผู้นำในการเผยแพร่แนวคิดตามสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ และตามท้องถิ่นที่มีการจัดโดยองค์กรของชาวบ้าน มูลนิธิฯ จัดสัมมนาขึ้นหลายครั้ง รวมทั้งจัดทำพิพิธภัณฑ์เป็นตัวอย่างเพื่อนำร่องขึ้นหลายแห่ง ซึ่งในช่วงทศวรรษนี้ถือเป็นการเริ่มต้น และตื่นตัวอย่างยิ่งในช่วงทศวรรษต่อมา ๒๕๔๐ และกระบวนการจัดทำพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเลื่อนไหลไปตามจังหวะของบริบทในแต่ละพื้นที่และสถานการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น จากการเฝ้าดูการจัดพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นมาจนถึงปัจจุบัน พิพิธภัณฑ์กลายเป็นพื้นที่ความรู้ที่ไม่ได้ถูกผูกขาดโดยรัฐส่วนกลางเท่านั้นอีกต่อไปแล้ว แต่แตกกอต่อยอดไปอีกมากมาย ทั้งที่ได้รับอิทธิพลหรือแรงกระเพื่อมจากการจัดพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นยุคแรก ๆ ที่เน้นการสร้างความรู้ที่เป็นของคนท้องถิ่นเพื่อสร้างพลังในการรู้จักตนเองและเท่าทันสังคมระดับชาติและระดับประเทศ หรือบางแห่งที่ไม่ได้ทราบแนวคิดดังกล่าว แต่ทำเพราะเป็นกระแสความนิยม จนมีหน่วยงานราชการและองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นต่างๆ เห็นเป็นช่องทางในการใช้งบประมาณอีกทางหนึ่ง จึงเกิดบริษัทรับเหมาจัดทำพิพิธภัณฑ์ตามท้องถิ่นต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย จนกลายเป็นธุรกิจเชิงวิชาการที่ทำรายได้ให้กลุ่มคนจำนวนมากเช่นกัน การจัดพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นแต่ละแห่งหากไม่ใช่หน่วยราชการก็ยังคงพบความยากลำบากเพราะใช้งบประมาณจำนวนมาก เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยที่ชุมชนเล็ก ๆ จะมีเงินทองมาใช้จ่ายในกรณีเช่นนี้ได้ แต่ก็พบว่ามีหลายแห่งที่จัดสร้างโดยทุนท้องถิ่น บริหารด้วยคนท้องถิ่น และสร้างกิจกรรมทั้งให้ความรู้และการท่องเที่ยวท้องถิ่นได้อย่างประสบผลสำเร็จ โดยไม่มีคนของรัฐหรือเงินของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องมากนัก ทุกวันนี้มีองค์กรท้องถิ่นที่สามารถนำงบประมาณจำนวนมากมาใช้เพื่อการจัดสร้าง “พิพิธภัณฑ์” ประจำเมืองหรือประจำจังหวัดหลายแห่ง ก็นับว่าเป็นความสำเร็จก้าวใหญ่ของการศึกษานอกระบบสำหรับประเทศนี้มิใช่หรือ? เพราะมีงบประมาณมากพอและศักยภาพของหน่วยงานและจำนวนบุคลากรรองรับไม่ใช่น้อย การประชุมร่วมกับผู้ใหญ่ นักวิชาการ และภาคประชาสังคม โดยมีองค์การบริหารส่วนจังหวัดสกลนครเป็นเจ้าภาพในประเด็นเรื่อง “การปรับปรุงพิพิธภัณฑ์ภูพาน” แต่หลายปีที่ผ่านมานั้น มูลนิธิฯ กลับพบเห็นว่าเป็นไปในสิ่งที่ตรงกันข้าม การจัดการสร้างพิพิธภัณฑ์ด้วยงบประมาณมหาศาลแทบจะทั้งหมดนี้ขาดมิติของเรื่องราวจากท้องถิ่น กลายเป็นความบกพร่องของเนื้อหาการจัดแสดงที่ขาดความรับผิดชอบต่อสังคมไปอย่างสิ้นเชิง เพราะใช้วิธีคัดลอก ตัดแปะข้อมูลที่น่าจะเกิดจากการทำงานศึกษาอย่างจริงจังเพื่อนำเสนอแง่มุมและรายละเอียดของเรื่องเล่าภายในที่คนท้องถิ่นเป็นเจ้าของ และสมควรที่จะภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ตัวตนของพวกเขาอย่างเต็มที่ กลับต้องมาสูญหายไประหว่างทางในการจัดแสดงอย่างน่าเสียดาย ในขณะที่ชาวบ้านซึ่งมีศักยภาพสูง แต่ไม่มีโอกาสและเงินทองยังคงมีอยู่อย่างมากมาย มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ จึงเบี่ยงแนวทางจากการมุ่งศึกษาค้นคว้าและสนับสนุนการจัดพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นมาเป็นการสนับสนุนให้ชาวบ้านเป็นนักวิจัยท้องถิ่น โดยเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิฯ เป็นพี่เลี้ยงและร่วมกันทำกิจกรรมเพื่อศึกษาท้องถิ่นของตนเอง และผลที่ได้นั้นนอกจากจะได้นักศึกษาที่เป็นชาวบ้านที่มีประสิทธิภาพในการตั้งคำถามแล้ว ยังได้ข้อมูลท้องถิ่นมากมายหลากหลายที่อาศัยทำโดยชาวบ้านเอง และสามารถนำไปใช้เพื่อกิจกรรมในชุมชนโดยที่ไม่ต้องหวังพึ่งพาการจัดพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นแต่เพียงอย่างเดียว นำไปใช้ทั้งการสร้างหลักสูตรสำหรับเด็ก ๆ ในโรงเรียน การจัดกิจกรรมเสริมเพื่อทำความเข้าใจท้องถิ่น การสร้างยุวมัคคุเทศน์ การทำหนังสือเผยแพร่ การจัดนิทรรศการกลางแจ้ง การท่องเที่ยว หรือการสร้างเครือข่ายพลังประชาคมท้องถิ่นเพื่อรักษาดูแลท้องถิ่นของตนเอง ที่สกลนครก็มีการจัดสร้าง “พิพิธภัณฑ์ภูพาน” ใช้งบประมาณรัฐไปหลายสิบล้านบาท ตั้งอยู่ริมหนองหารด้านหนึ่งของตัวเมืองสกลนครบริเวณหลังโรงเรียนอนุบาลสกลนคร พิพิธภัณฑ์ภูพานเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๕ และได้ทดลองเปิดพิพิธภัณฑ์ภูพานอย่างไม่เป็นทางการตั้งแต่เดือนเมษายนแล้ว เอกสารจากข่าวต่าง ๆ อ้างอิงข้อมูลที่ตัวแทนจากจังหวัดซึ่งเป็นฝ่ายหรือองค์กรรับผิดชอบโครงการมาแต่แรกเริ่ม ชี้แจงวัตถุประสงค์ของพิพิธภัณฑ์ภูพาน วัตถุประสงค์ส่วนใหญ่รองรับ “การท่องเที่ยว” ในกลุ่มจังหวัดที่เรียกกันว่า “สนุก” และภาคตะวันออกเฉียงเหนือโดยรวม เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดสกลนครที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวที่เดินทางจากเส้นทางกลุ่มจังหวัด “สนุก” (สกลนคร นครพนม มุกดาหาร กาฬสินธุ์) ให้แวะเข้ามาเที่ยวชมเพื่อรับทราบข้อมูลการท่องเที่ยวผ่านนิทรรศการที่นำเสนอผ่านสื่อแบบ Interactive ก่อนจะเดินทางต่อไปยังจังหวัดอื่น ๆ และเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นจากการขายสินค้า การให้บริการด้านต่าง ๆ การจัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์ภูพาน ภายในอาคารและด้านนอกจัดแสดง ๙ โซน ได้แก่ ห้องโหมโรง ห้องแสดงนิทรรศการ “มหัศจรรย์ภูพาน” ห้องป่าบุ่ง ป่าทาม ป่าพรุอีสาน ห้องหนองหารกับการตั้งเมืองสกลนคร ห้องคนสกลนคร ห้องอาศิรวาทองค์ราชัน องค์ราชินี ห้องนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ ห้องดินแดนแห่งธรรมและการแสดงประติมากรรมลานกลางแจ้งแสดงวิถีชีวิต วัฒนธรรม อัตลักษณ์ สะท้อนความเป็นสกลนคร ในนิยามเมืองแห่ง ๔ ธรรม ประกอบด้วย ธรรมะ ธรรมชาติ วัฒนธรรม และอารยธรรม และเปิดให้เข้าชมฟรีจนถึงปัจจุบัน ทั้งเด็กนักเรียน ครู และผู้ใหญ่เข้าชมกันมากมายล้นหลาม แสดงถึงความขาดแคลนสถานที่ให้ความรู้ในเชิงพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นอย่างชัดเจน โดยมีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดดูแลในเบื้องต้นพร้อมเจ้าหน้าที่เกือบสิบท่าน แต่ก็ยังไม่มีแนวทางที่ควรจะวางแผนล่วงหน้าก่อนการเปิดมานานแล้วว่า การจัดการพิพิธภัณฑ์ซึ่งถือได้ว่า “เป็นงานบริการชุมชนที่จัดการให้ประสบความสำเร็จได้ยากที่สุดในโลก” งานหนึ่งจะเดินต่อไปอย่างไร ฝ่ายใดจะมีหน้าที่บริหารจัดการสิ่งเหล่านี้ให้เปิดบริการได้ต่อไปและควรมีกิจกรรมเสริมเพื่อเผยแพร่ความรู้ให้ผู้คนในสกลนครและจังหวัดอื่น ๆ ใช้ได้อย่างต่อเนื่องไปได้อย่างไร กล่าวกันว่าพิพิธภัณฑ์ภูพานแห่งนี้ใช้เวลาจัดสร้างนานมาก และพบอุปสรรคปัญหาหลายประการ และเมื่อเข้าไปชมนิทรรศการจริงก็พบว่าปัญหาและอุปสรรคใหญ่เหล่านั้นก็ยังไม่เท่ากับการสื่อสารของพิพิธภัณฑ์ที่น่าจะพูดได้ว่า แม้จะใช้เทคโนโลยีการจัดแสดงแบบมัลติมีเดียหลายรูปแบบเพื่อดึงดูดใจให้สนุก ดูไม่น่าเบื่อ แต่เนื้อหาที่จัดแสดงนั้นถึงขั้นย่ำแย่หรือไม่สามารถสื่อข้อเท็จจริงทั้งของเทือกเขาภูพานและความเป็นเมืองสกลนครได้อย่างชัดเจน ถูกต้อง หรือน่าสนใจค้นหาความรู้อย่างต่อเนื่องแต่อย่างใด ซึ่งถือเป็นความล้มเหลวในการสื่อสารสำหรับพิพิธภัณฑ์ที่ลงทุนลงแรงมหาศาลสถานที่หนึ่งทีเดียว จากเทศบาลนครสกลนครผู้ดูแลเบื้องต้นเพราะเป็นพื้นที่สถานที่ตั้ง ปรับมาให้อยู่ในการดูแลขององค์กรบริหารส่วนจังหวัดสกลนคร จนเป็นที่มาของการประชุมเมื่อไม่นานมานี้ ที่มูลนิธิฯ ได้รับเชิญให้เข้าร่วมให้ความเห็น โดยมีอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ที่ปรึกษามูลนิธิฯ และนักวิชาการด้านมานุษยวิทยาและโบราณคดี อาจารย์เสรี พงศ์พิศ นักพัฒนาจากบ้านท่าแร่ สกลนคร วลัยลักษณ์ ทรงศิริ เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ร่วมกับผู้อาวุโสและนักวิชาการในเมืองสกลนคร รวมทั้งเครือข่ายจากท้องถิ่นสกลนคร เช่น องค์กรที่ต้องเข้ามาทำงานร่วมกัน หอการค้า กลุ่มเครือข่ายรักษาดอนสวรรค์เพื่อไทสกล รวมทั้งองค์กรการศึกษาที่สนใจในกิจกรรมพิพิธภัณฑ์จำนวนหนึ่ง การจัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์ภูพาน เพื่อพิจารณาหารือร่วมกันระหว่างองค์กรทางวิชาการจากภายนอกและเครือข่ายภาคีภายในท้องถิ่นสกลนคร และหาแนวทางในการปรับปรุงการจัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์ ปรับปรุงโครงสร้างการจัดการพิพิธภัณฑ์เพื่อท้องถิ่น ตลอดจนวางแผนการจัดกิจกรรมต่อเนื่องเพื่อสร้างและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับแอ่งวัฒนธรรมอีสานเหนือและเมืองสกลนครแก่เยาวชนและคนในท้องถิ่นให้ได้ประสิทธิภาพที่มากขึ้น อาจจะเป็นไปได้ที่การเคลื่อนไหวเพื่อปรับปรุงพิพิธภัณฑ์ภูพานนี้เป็นผลมาจากการรวมตัวของคนท้องถิ่นไทสกลที่เกิดขึ้น เนื่องจากปัญหาการบุกรุกพื้นที่สาธารณะดอนสวรรค์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการรวมตัวและปลุกวิญญาณของความเป็นคนท้องถิ่นที่ต้องการเห็นบ้านเมืองปรับเปลี่ยนและพัฒนาไปในทิศทางที่ข้าราชการทั้งประจำและฝ่ายการเมืองคงจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรับฟังความคิดเห็นของคนท้องถิ่นให้มากขึ้น ไม่ใช่เป็นเช่นการกระทำอย่างที่เคยผ่านมา ซึ่งไม่ได้ร่วมปรึกษาหารือกับใคร และใช้งบประมาณสร้างในสิ่งที่ไม่สามารถนำไปใช้ให้คุ้มค่าได้เช่นนี้ การปรึกษาหารือรับฟังความคิดเห็นจากเครือข่ายต่างๆ ที่เป็นคนภายในสกลนครผสมผสานกับผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองให้ข้อคิดเห็นมากมาย สิ่งเหล่านี้อาจจะเกิดการต่อต้านจากคนภายในก็ได้ เพราะอยู่ในช่วงเริ่มต้นพูดคุย แต่บรรยากาศที่มีการแสดงความคิดเห็นหลากหลายและร่วมกันขบคิดเพื่อกิจกรรมสาธารณะเช่นนี้ในเมืองสกลนครที่เริ่มจะมองเห็นความหวังในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอยู่บ้างแล้ว ก็น่าติดตามว่า ในอนาคตพิพิธภัณฑ์ภูพานที่ชาวบ้านชาวเมืองขอให้ปรับมาเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษาเพื่อเผยแพร่ความรู้ให้แก่เยาวชนและผู้คนทั่วไปมากกว่าจะเป็นเพียงสถานที่เพื่อรองรับกิจกรรมการท่องเที่ยวนั้นจะเปลี่ยนไปได้อย่างไร สถานที่เพื่อการศึกษานอกระบบเช่นนี้จะสามารถกลายมาเป็นพื้นที่ให้ความรู้สาธารณะที่มีคุณภาพได้หรือไม่ ทั้งมูลนิธิฯ และไทสกลนครทั้งมวลกำลังสังเกตการณ์อยู่เช่นกัน เพราะพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นควรสร้างเพื่อคนท้องถิ่น ไม่ใช่เพื่อข้าราชการประจำหรือข้าราชการการเมือง หรือพ่อค้าผู้รับเหมาบางกลุ่มบางคน การศึกษาท้องถิ่นอันมีการจัดสร้างกระบวนการทำพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเป็นเป้าหมาย ยังมีความสำคัญต่อสังคมไทยในอนาคตอย่างมาก ก็เพื่อเรียนรู้สังคมอื่น เพื่อการรู้จักสังคมของตนเองอย่างถ่องแท้ และเข้าใจในโลกและสังคมไทยที่เปลี่ยนแปลงไปโดยไม่ตกเป็นเหยื่ออำนาจของฝ่ายใด แม้เวลาจะผ่านไปกว่ายี่สิบปี สิ่งเหล่านี้กลับเคลื่อนที่ไปได้อย่างช้า ๆ บางครั้งก็เหมือนจะถอยหลังกลับอย่างน่าฉงนจนเหน็ดเหนื่อยหัวใจ ถ้าพิพิธภัณฑ์ที่สกลนครปรับเปลี่ยนได้ ความหวังในใจของคนมูลนิธิฯ ที่มีต่อกิจการพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นซึ่งช่วยกันเริ่มต้นและร่วมใจกันทำงานมาอย่างยาวนานไม่น้อยก็อาจพองฟูขึ้นมาบ้างก็ได้ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:









