พบผลการค้นหา 220 รายการ
- เห็นคำมากกว่าเห็นคน
เผยแพร่ครั้งแรก 1 พ.ค. 2545 ระหว่างวันที่ ๒๗–๒๙ มีนาคม ๒๕๔๕ ที่ผ่านมา ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ได้จัดการประชุมประจำปีทางมานุษยวิทยาเรื่อง ฅนมองฅน: นานาชีวิตในกระแสความเปลี่ยนแปลงขึ้น การประชุมครั้งนี้อาจนับได้ว่าเป็นครั้งแรกทางวิชามานุษยวิทยาในประเทศไทย ที่มีทั้งนักมานุษยวิทยารุ่นเก่าใหม่ นักศึกษาทางวิชามานุษยวิทยาและบรรดาผู้ที่สนใจจากสาขาวิชาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งคนอื่น ๆ ที่อยู่นอกวงวิชาการที่ให้ความสนใจในวิชานี้ ได้เข้ามาร่วมประชุมและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ความมุ่งหมายที่สำคัญของการประชุมก็คือ ต้องการแสดงให้เห็นถึงเนื้อหาสาระ ความหมาย และทิศทางของวิชามานุษยวิทยา ที่บรรดานักวิชาการที่เป็นคนไทยได้ทำการศึกษามาทั้งในอดีตและปัจจุบัน นับเป็นการมองวิชามานุษยวิทยาในมิติของการเปลี่ยนแปลงจากแนวคิดทฤษฎีและวิธีการ ที่เปลี่ยนแปลงจากอดีตที่เคยมีผู้รู้และผู้สนใจน้อย มาเป็นความเติบโตที่หลากหลายที่ผสมผสานด้วยวิธีคิด และวิธีการที่ทำให้มีการรับฟังและถกเถียงกันอย่างสนุก ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับวงการมานุษยวิทยาเป็นอย่างยิ่ง ที่ว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีก็เพราะผู้ที่เข้ามาร่วมประชุมเกือบทั้งหมดมีความคิดและการแสดงออกที่ไม่เหมือนแต่ก่อน ที่มาฟังแล้วไม่ค่อยกล้าแสดงความคิดเห็นในเชิงถกเถียงและคัดค้าน มักเชื่อหรือคล้อยตามวิทยากรที่เป็นนักวิชาการที่อาวุโสหรือมีชื่อเสียงไปเรื่อย ๆ แต่มาครั้งนี้คนเป็นจำนวนมากทั้งผู้มีอาวุโสน้อยและผู้มีอาวุโสมาก ต่างมีคำถามและความคิดเห็นทั้งในลักษณะเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับบรรดาผลงานศึกษาค้นคว้าที่มีผู้นำมาเสนอ ข้าพเจ้าสังเกตเห็นการพูดคุยและวิพากษ์วิจารณ์กันในกลุ่มเล็ก ๆ เวลาพักรับประทานอาหารทั้งอาหารกลางวันและอาหารว่าง แต่ที่สำคัญต่างกระตือรือร้นที่จะแสดงออกในเวลาที่เปิดให้มีการอภิปรายในชั่วโมงสุดท้ายของการประชุม สิ่งที่ข้าพเจ้าประทับใจและสะใจมากก็คือ มีผู้วิพากษ์วิจารณ์ว่าหัวข้อของการประชุมที่คณะผู้จัดการประชุมตั้งใจว่าเป็นเรื่องของ “คนมองคน” นั้นมันกลับกลายเป็นเรื่องของการ “เห็นคำมากกว่าเห็นคน” ไป ข้าพเจ้าคิดว่าในสายตาและความรู้สึกของคนรุ่นใหม่ ๆ ที่สนใจวิชามานุษยวิทยาแต่ไม่ได้เล่าเรียนมาทางนี้นั้น วิชามานุษยวิทยากำลังกลายเป็นจำเลย ที่ตกเป็นจำเลยก็เพราะการเติบโตและเปลี่ยนแปลงในเรื่องแนวคิดทฤษฎีรวมทั้งวิธีการทางมานุษยวิทยา ที่แลเห็นได้จากผลงานและการแสดงออกในความรู้สึกนึกคิดของนักมานุษยวิทยาเอง โดยเฉพาะนักมานุษยวิทยารุ่นเก่าที่กลายพันธุ์และนักมานุษยวิทยาพันธุ์ใหม่ ๆ ที่ให้ความสนใจและติดตามการเปลี่ยนแปลงทางแนวคิดทฤษฎีที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ในด้านหนึ่งของความคิดข้าพเจ้าชื่นชมและประทับใจในความรอบรู้ที่ทันโลกของนักวิชาการเหล่านี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้มีความรู้ดีในเรื่องภาษา อ่านตำราต่างประเทศแตกฉานจนสามารถนำมาอธิบายและวิเคราะห์ตีความให้เป็นความรู้ที่เป็นประโยชน์แก่คนไทยโดยทั่วไปได้ แต่ในอีกด้านหนึ่งของความคิด ข้าพเจ้าแลเห็นความเก่งที่กลายเป็นความหลงของคนเหล่านี้ไป สิ่งนี้แหละคือที่มาของการท้วงติงที่ว่า “เห็นคำมากกว่าเห็นคน” จากที่ประชุม ข้าพเจ้าแลเห็นนักมานุษยวิทยารุ่นเก่าที่กำลังกลายพันธุ์ และนักมานุษยวิทยาพันธุ์ใหม่ได้คิดและกำลังคิดว่าแนวคิด ทฤษฎี และวิธีการของนักมานุษยวิทยาพันธุ์เก่า ที่ยึดมั่นอยู่กับแนวคิดทางโครงสร้างและหน้าที่กับการต้องออกไปปฏิบัติงานสนามด้วยวิธีการเก็บข้อมูลที่เรียกว่า ชาติพันธุ์ศึกษา (ethnography) นั้น ล้าหลังและคับแคบ ไม่อาจอธิบายสภาวะความเป็นมนุษย์ในโลกที่เปลี่ยนแปลงที่เรียกว่าโลกาภิวัตน์ได้ จำเป็นต้องหันมาแต่งงานกับความคิดและวิธีการของพวกโพสท์โมเดิร์นเพื่อความอยู่รอด การกลายพันธุ์และการเป็นพันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้นก็คือการทิ้งความสำคัญของเรื่องโครงสร้าง-หน้าที่ และงานสนามทางด้านชาติพันธุ์ศึกษานั่นเอง แล้วหันมาเน้นแนวคิดและวิธีการของพวกโพสท์โมเดิร์นแทน เพราะพวกโพสท์โมเดิร์นนั้นคือพวกที่มีความคิดเป็นปรปักษ์กับพวกโครงสร้าง-หน้าที่ของพวกนักมานุษยวิทยาพันธุ์เก่านั่นเอง สิ่งใดที่เป็นเรื่องของโครงสร้างก็ต้องรื้อเสีย แต่ก็หาได้สร้างโครงสร้างอะไร ใหม่ ๆ ขึ้นมาแทน แต่สิ่งที่ดูเหมือนฮิตกันของพวกโพสท์โมเดิร์นก็คือ เรื่องตัวตน อัตลักษณ์ และวาทกรรม โดยเฉพาะเรื่องวาทกรรมนั้นก็คือเรื่องของ “คำ” นั่นเอง ในฐานะที่เป็นนักศึกษามานุษยวิทยาพันธุ์เก่าที่ไม่สามารถกลายพันธุ์ได้ ข้าพเจ้าค่อนข้างเห็นคล้อยตามกับผู้ร่วมประชุมที่วิพากษ์ว่าเป็นการเห็นคำมากกว่าเห็นคน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการมองวัฒนธรรมอย่างไม่สนใจบริบททางสังคมนั่นเอง วัฒนธรรมในความคิดของนักมานุษยวิทยาพันธุ์เก่าก็คือ สิ่งที่มนุษย์ที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มทางสังคมสร้างขึ้นเพื่อการมีชีวิตและความเป็นอยู่ร่วมกัน เมื่อตัดบริบททางสังคมออกไปจึงอยู่ลอย ๆ และไม่เห็นคน เรื่องของวาทกรรมก็คือเรื่องของวัฒนธรรมที่เป็นคำแต่ไม่เห็นคนนั่นเอง ในขณะเดียวกันข้าพเจ้าก็แลเห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นกับคำว่า ตัวตน และอัตลักษณ์ อีกไม่น้อย ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าทั้งสองคำนี้มีความหมายเป็นอย่างเดียวกันหรือไม่ เพราะดูใช้กันอย่างพร่ำเพรื่ออันเนื่องมาจากไม่มีบริบท แต่ในประสบการณ์ของข้าพเจ้า คำว่า ตัวตน ก็คืออัตตาของปัจเจกบุคคลเป็นสิ่งที่นักศึกษาวิชามานุษยวิทยาสมัยข้าพเจ้ามักถูกพร่ำสอนให้ทำลายเสียในช่วงเวลาของการออกไปทำงานสนาม เหตุนี้ครูทางมานุษยวิทยาบางท่านจึงถือว่าการทำงานสนามนั้น คือกระบวนการเรียนรู้ที่เปลี่ยนคนดิบให้เป็นคนสุก หรืออย่างในสังคมไทยก็เหมือนกับการออกบวชนั่นเอง แต่สิ่งนี้ก็ดูเป็นอุดมคติเพราะมีนักมานุษยวิทยาอีกเป็นจำนวนมากกลับพบตัวตนหรืออัตตาแรงกล้ากว่าเก่า พวกนี้มักจะมีการแสดงออกทั้งทางความคิดและกริยาท่าทางที่รวมไปถึงการแต่งเนื้อแต่งตัวที่ผิดแผกไปจากคนอื่น ๆ จะเป็น “คนใน” ก็ไม่เชิงหรือจะเป็น “คนนอก” ก็ไม่ใช่ แต่ความเป็นจริงแล้วก็คือรู้จักว่าตัว “เขื่อง” ในขณะที่คนอื่น ๆ เขาเห็นว่า “บวม ๆ” ต่างหาก ในสมัยที่ข้าพเจ้ายังเป็นนักศึกษาอยู่พบเห็นตัวตนเช่นนี้ของเพื่อนร่วมรุ่นที่เป็นฝรั่งและคนเอเชียบ่อย ๆ ขณะที่เรียนอยู่ก่อนออกไปทำงานสนามก็ดูดี แต่พอกลับมาจากงานสนามแล้วหลายคนดูเพี้ยนไป ที่ดูเป็นแบบเหมือน ๆ กันอย่างซ้ำ ๆ ซาก ๆ ก็คือชอบไว้หนวดเคราหรือไม่ก็แต่งตัวแบบง่าย ๆ และสกปรก อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าก็ไม่แน่ใจว่าการมีตัวตนที่พูดกันในการประชุมวิชาการทางมานุษยวิทยาครั้งนี้จะเป็นอย่างที่ว่านี้หรือเปล่า แต่ในที่อื่น ๆ มักพบคนไทยที่คลั่งไคล้กับความคิดและวิธีการของพวกโพสท์โมเดิร์น มักมีอาการ “เขื่อง” แบบนี้ ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่สุดโต่งไปถึงเรื่องการแต่งเนื้อแต่งตัวแบบบ้า ๆ บวม ๆ ก็ตาม แต่มักแสดงออกจากการพูดอะไรที่คนอื่นไม่รู้เรื่องและตามไม่ทัน หลาย ๆ คนมักบ่นกับข้าพเจ้าว่า เขากลายเป็นคนโง่ไปเลยก็มี ข้าพเจ้าเองก็มีความรู้สึกบ่อย ๆ ว่า ตัวเองก็เป็นเช่นนี้และคิดว่าคำบางคำที่อ้างว่าเป็นวาทกรรมนั้นดูคล้าย ๆ กับคำที่ในภาษาอังกฤษเรียก “จาร์กอน” (jargon) คือคำแปลก ๆ ที่คนในหมู่นักวิชาการสร้างขึ้น แต่สื่อความหมายไปให้คนข้างนอกไม่รู้เรื่อง ในส่วนเรื่องของอัตลักษณ์ ก็เช่นเดียวกัน เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นความเป็นลักษณะเฉพาะของกลุ่มคนหรือเปล่า ถ้าเป็นก็ดูเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับนักศึกษามานุษยวิทยาพันธุ์เก่าแบบข้าพเจ้า เพราะเป็นลักษณะที่แสดงออกของกลุ่มเขากลุ่มเราอย่างธรรมดานี่เอง และจะเห็นสิ่งนี้ได้ก็ต่อเมื่อการที่คนต่างกลุ่มมาปะทะสังสรรค์กัน อย่างเช่นในงานประเพณีท้องถิ่นในสังคมชนบทของไทย คนจากหลาย ๆ บ้าน (ชุมชน)มาพบปะกัน ต่างคนก็มักจะรู้จักกันว่าคนนี้หรือคนนั้นเป็นคนบ้านใด เป็นต้น ลักษณะเฉพาะกลุ่มเช่นนี้ถ้าเป็นสมัยก่อน ๆ อาจเห็นได้ง่ายจากการแสดงออกถึงการแต่งเนื้อแต่งตัว อย่างเช่นการแต่งกายของพวกผู้ไทยกับพวกกะเหรี่ยงอะไรทำนองนั้น แต่สิ่งที่นักมานุษยวิทยาสนใจก็คือ สิ่งที่อยู่ภายในที่แสดงออกในเรื่องของความคิดร่วมกันที่มีทั้งการปรับเปลี่ยน การสร้างขึ้นมาใหม่ เพื่อการดำรงอยู่ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง วิชามานุษยวิทยาในความคิดและประสบการณ์ของข้าพเจ้าก็คือ วิชาที่ต้องมีการปฏิบัติงานภาคสนาม เช่นออกไปท้องถิ่นพบปะสังสรรค์กับผู้คนที่อยู่ต่างกลุ่มกับตน จึงจะเห็นคนก่อนที่จะเห็นคำ แต่ก็ต้องออกไปโดยได้รับแนะนำความรู้พื้นฐานที่เกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ และวิธีการเก็บข้อมูลที่เรียกว่า ชาติพันธุ์ศึกษา (ethnography) เป็นสำคัญ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- เปิดพิพิธภัณฑ์บ้านเขายี่สาร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ 1 ต.ค. 2545 เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ นับเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งของชาวยี่สาร อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เนื่องในวโรกาสสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนิน ทรงเปิดพิพิธภัณฑ์บ้านเขายี่สาร ซึ่งก่อตั้งขึ้นมา ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๙ อย่างเป็นทางการ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ได้รับเงินสนับสนุนส่วนหนึ่งจากกองทุนชุมชน (SIF) โดยนำมาปรับปรุงศาลาการเปรียญของวัดเขา ยี่สาร ให้เป็นอาคารพิพิธภัณฑ์ และได้รับความช่วยเหลืองานทางด้านวิชาการและการจัดแสดงจากมูลนิธิเล็ก – ประไพ วิริยะพันธุ์ และสืบเนื่องจากงานพิพิธภัณฑ์ ชาวยี่สารได้รวมตัวกันจัดตั้งเป็น " กลุ่มเปลือกไม้บ้านเขายี่สาร " เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓ โดยรับทุนสนับสนุนส่วนหนึ่งจากกองทุนชุมชนเช่นเดียวกัน แรกเริ่มนั้นมีการจัดการฝึกอบรมการผลิตของที่ระลึกจากวัสดุท้องถิ่น ได้รับความร่วมมือจากศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงาน จังหวัดสมุทรสงคราม ฝึกอบรมการมัดย้อมผ้าด้วยสารเคมี ต่อมาชาวยี่สารเห็นว่า เดิมนั้นตนก็เคยย้อมผ้าไว้ใส่ทำงาน โดยใช้เปลือกไม้ในท้องถิ่นป่าชายเลน แม้จะไม่มีสีสันสดใสดังเช่นสารเคมี แต่การย้อมด้วยเปลือกไม้เหล่านั้น เป็นการสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นเอาไว้ เสื้อผ้าใส่ทำงานของชาวยี่สารที่ย้อมเปลือกไม้เรียกว่า "เสื้อน้ำปะเตา" ประกอบด้วยเปลือกไม้ ๓ ชนิดด้วยกัน คือ ตะบูน ปุโลง และมะเกลือ เปลือกไม้ตะบูนเมื่อนำมาย้อมจะได้สีน้ำตาลอมแดง ไม้มะเกลือให้สีน้ำตาลเข้ม ส่วนเปลือกปุโลงมียางที่ยึดติดใยผ้าได้ดี ผ้าที่ย้อมจึงมีคุณสมบัติ เหนียว ทนทาน ใส่สบาย สอดคล้องกับอาชีพของชาวยี่สารที่ทำประมงจับสัตว์น้ำ การเกษตร ตัดไม้โกงกาง เผาถ่าน เป็นต้น เสื้อผ้าเหล่านี้เมื่อใช้ไปสีจะซีด จึงต้องย้อมน้ำปะเตาไปเรื่อย ๆ และก็ใช้ได้นานกว่าจะขาด นอกจากเสื้อผ้าแล้ว ชาวยี่สารยังใช้น้ำปะเตาย้อม เครื่องมือจับสัตว์น้ำ เช่น แห อวน เพื่อเพิ่มความเหนียวและไม่อมน้ำอีกด้วย ภายหลังการฝึกอบรมการมัดย้อม กลุ่มเปลือกไม้เริ่มดำเนินการโดยกู้เงิน อบต. ยี่สาร จำนวน ๑๐๐, ๐๐๐ บาท เป็นขั้นแรก ต่อมามีการลงหุ้นของสมาชิกกลุ่ม ราคาหุ้นละ ๑๐๐ บาท ไม่เกินคนละ ๕๐ หุ้น ปัจจุบันสมาชิกของกลุ่มมีประมาณ ๒๐ คน สามารถแบ่งเงินปันผลให้สมาชิก ๒ ครั้งแล้ว และคืนเงินกู้ครั้งที่ ๑ให้กับ อบต . เนื่องจากสมาชิกส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ และมีสมาชิกจำนวนน้อย จึงรวมกลุ่มทำงานได้เพียงอาทิตย์ละ ๒ วัน แต่ก็มีความพยายามที่จะชักชวนคนรุ่นใหม่ให้เข้าร่วมกับกลุ่มฯ ด้วย โดยจะริเริ่มเป็นหลักสูตรท้องถิ่น ขณะเดียวกันทางกลุ่มเปลือกไม้ได้รับเชิญไปออกร้านแสดงผลิตภัณฑ์มัดย้อม ณ เมืองทองธานี ผลงานจึงเผยแพร่ออกสู่วงกว้าง และบุคคลภายนอกก็สนใจเข้ามาติดต่อขอซื้อผลิตภัณฑ์ไปจำหน่ายหลายราย นอกจากเปลือกไม้ทั้งสามชนิด ทางกลุ่มฯ ได้ริเริ่มนำเปลือกไม้ชนิดต่าง ๆ มาทดลองย้อมดู ทำให้ได้ผ้าที่มีสีสันแปลกตามากกว่าเดิม ท่านผู้ใดสนใจผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อม ของกลุ่มเปลือกไม้บ้านเขายี่สาร สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ ๐๑ – ๘๕๙๓๑๙๕ , ๐๑ – ๙๐๖๑๑๒๐ หรือที่หัวหน้ากลุ่ม นางทองปรุง ดรุณศรี ๐๓๔ – ๗๖๓๐๒๗ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ปฏิบัติการชุมชนและเมืองน่าอยู่ เมืองสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มิ.ย. 2547 ความเข้าใจเกี่ยวกับสังคมเมืองสำหรับประเทศไทยยังคงพบปัญหาและอุปสรรคอย่างมากมาย เพราะขาดการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงและการเติบโตของเมืองซึ่งมีความซับซ้อนรวมทั้งฐานการศึกษาที่ยังคงมุ่งเน้นอยู่แต่สังคมชนบทมากกว่า ตัวอย่างสำหรับการศึกษาเกี่ยวกับสังคมเมืองในประเทศไทยมีน้อยมาก จนอาจกล่าวได้ว่า เราแทบไม่เคยทำความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างสังคมเมืองทั้งในอดีตและปัจจุบันอย่างจริง ๆ จัง ๆ เลย มูลนิธิชุมชนไท, สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) และสำนักงานสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้จัดทำ โครงการปฏิบัติการชุมชนและเมืองน่าอยู่ ซึ่งมีแนวคิดจากการคาดการณ์ว่า ในอีก ๑๐ ปีข้างหน้า ชุมชนจำนวนมากในประเทศไทยจะปรับเปลี่ยนเข้าสู่สังคมเมือง จึงควรหาวิธีการรับมือการเติบโตของเมืองด้วยการสร้างกระบวนการพัฒนาแบบยั่งยืน การบริหารจัดการเมืองที่เหมาะสมโดยท้องถิ่น และการมีส่วนร่วมจากประชาคมชุมชนเมืองอย่างกว้างขวาง เพื่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ดี ประชาชนมีที่อยู่อาศัยอย่างถูกกฎหมายและได้มาตรฐาน ชุมชนมีสุขภาวะที่ดีและปลอดภัย โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อสร้างขบวนการของการพัฒนาเมืองที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างในท้องถิ่น และเกิดกลไกการพัฒนาเมืองที่ยั่งยืน โดยการมุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพของภาคประชาชน เชื่อมโยงให้เกิดเครือข่าย จัดทำข้อมูลของเมือง จัดเวทีให้เกิดการมีส่วนร่วมของขบวนการและกลุ่มต่าง ๆ จัดกิจกรรมร่วมกัน จัดการศึกษาดูงานแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับชาวเมืองอื่น ๆ เป็นต้น ก่อนหน้านั้น เทศบาลและประชาคมสามชุกมีแนวคิดที่จะปรับปรุงตลาดมาก่อน และมีโครงการ สามชุกเมืองน่าอยู่ ซึ่งเกิดขึ้นจากคณะกรรมการหลายฝ่ายที่เห็นร่วมกันว่าควรจะปรับปรุง ฟื้นฟู และอนุรักษ์ตลาดสามชุก แต่เมื่อเกิดความร่วมมือกับ โครงการปฏิบัติการชุมชนและเมืองน่าอยู่ การประชุม กำหนดการมีส่วนร่วม กิจกรรมเพื่อความร่วมมือต่าง ๆ จึงเกิดการรุดหน้าของโครงการอย่างรวดเร็ว นอกจากการสร้างประสิทธิภาพของกลุ่มต่าง ๆ ในชุมชนตลาดสามชุกให้เกิดความร่วมมือแล้ว ยังมีการจัดระเบียบตลาดสามชุกให้สะอาดและอนุรักษ์สภาพแวดล้อม และเชื่อมโยงเครือข่ายบุคคลและความรู้ทางวิชาการ ซึ่งมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ได้มีโอกาสเข้าร่วมกับโครงการดังกล่าว โดยช่วยเหลือให้คำปรึกษาจัดทำพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วบางส่วนคือ พิพิธภัณฑ์บ้านขุนจำนงค์จีนารักษ์ เป็นอาคารไม้สามชั้นอยู่ในตลาดสามชุก ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ของชุมชนและมุ่งหมายให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตชีวา โดยการดูแลของชาวเมืองสามชุกเอง ซึ่งขณะนี้ทำการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารจนอยู่ในสภาพที่เกือบสมบูรณ์แล้ว นอกจากนั้น ยังมีความร่วมมือกับชุมชนที่อยู่ใกล้เคียงนอกเหนือจากตลาดเก่า คือที่ วัดสามชุก อันเป็นศูนย์กลางของชุมชนสามชุกแต่เดิมก่อนที่จะเกิดตลาดใหญ่ฝั่งตรงข้ามริมน้ำสุพรรณบุรี และกำลังดำเนินการเก็บข้อมูลท้องถิ่นด้านต่าง ๆ พิพิธภัณฑ์ทั้งสองแห่งจึงกล่าวได้ว่า จะเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นสามชุกที่อธิบายเรื่องราวในอดีต ความเป็นมา และประวัติศาสตร์สังคมของท้องถิ่นที่มีทั้งชุมชนดั้งเดิมและชุมชนเมือง ซึ่งมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ยินดีที่จะได้มีส่วนร่วมกับชุมชนในเขตสามชุกสร้างพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นของตนเองต่อไป อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- เมืองด่านซ้ายกับพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น
เผยแพร่ครั้งแรก 1 พ.ย. 2550 ด่านซ้ายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์และคนในท้องถิ่นรู้คุณค่าเสน่ห์แห่งบ้านเมืองตนเอง กว่ายี่สิบปีแล้วตั้งแต่เริ่ม “ปีท่องเที่ยวไทย” เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๐ องค์กรของรัฐและธุรกิจการท่องเที่ยวโหมประชาสัมพันธ์ประเพณีสำคัญของท้องถิ่นที่มี “ผีตาโขน” เป็นพระเอก จนคนไทยคุ้นเคยกับคำว่า “เทศกาลผีตาโขน” ที่มีผู้คนท้องถิ่นแต่งตัวและใส่หน้ากากสีสันสดใสที่ทำจากหวดนึ่งข้าวเหนียว เต้นรำอย่างครึกครื้นไปทั่วเมือง โดยไม่มีใครพูดถึงที่มาที่ไปของเทศกาลนี้ว่าเป็น “งานบุญหลวง” หรืองานบุญใหญ่ที่สุดของท้องถิ่นในรอบปี ในบางปีองค์กรการท่องเที่ยวประชาสัมพันธ์ในแง่การตลาด ให้งานบุญของชาวด่านซ้ายกลายเป็น “เทศกาลฮาโลวีน” แบบฝรั่งไปเสีย เพื่อเลียนแบบหรือสื่อสารอย่างผิดๆ หวังให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าใจง่าย ๆ แต่สิ่งเหล่านี้ “หยาบและง่ายเกินไป” การแสดงแสงสีเสียงที่นิยมจัดขึ้นในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ตามเมืองเก่าต่าง ๆ ก็กลายมาเป็นการแสดงทางวัฒนธรรมที่ถูกเขียนบทขึ้นมาใหม่ แต่ด้วยความที่ใช้เวลาให้กับการศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจังน้อยมาก ประวัติศาสตร์ของเมืองด่านซ้ายที่แสดงออกมาจึงสับสนวกวน โยงเรื่องนั้นไปใส่เรื่องนี้ในช่วงเวลาที่ต่างกัน ประวัติศาสตร์เมืองด่านซ้ายจากแสงสีเสียงจึงกลายเป็นสิ่งที่ถูกตั้งคำถามเหมือนกับวิธีสั่งการของข้าราชการในอำเภอหรือจังหวัด หรือจากองค์กรส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐที่กำหนดวันเวลา รูปแบบพิธีกรรมในขบวนแห่ ซึ่งเชื่อว่าเป็นการนำเสนอสีสันของงานเทศกาลที่ดีแล้ว เหมาะแล้ว สำหรับนักท่องเที่ยว แต่พยายามลืมหรือลบความจริงของงานบุญที่มีความหมายต่อชาวบ้านท้องถิ่นไปโดยไม่ใส่ใจแต่อย่างใด เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่ด่านซ้าย แต่เกิดแก่เมืองท่องเที่ยวทุกแห่งที่รัฐเข้าไปจัดการ และท้องถิ่นย่อย ๆ อีกหลายแห่งที่เลียนแบบการจัดการการท่องเที่ยวแบบเบ็ดเสร็จ การสร้างเรื่องจากความเข้าใจของคนภายนอกขึ้นมาใหม่ให้คู่ขนานไปกับเรื่องราวจากภายใน จนทำให้คนในท้องถิ่นที่รู้จริงและทราบที่มาที่ไปในรากเหง้าทางสังคมและวัฒนธรรมท้องถิ่นต้องตั้งคำถามกับตนเองใหม่ และนำไปสู่กระบวนการสำรวจตรวจสอบค้นคว้าความหมายของประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ตำนานเรื่องเล่า สังคมและประเพณีที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป เพื่อสร้างความหมายที่ชัดเจนให้สังคมในท้องถิ่นและสังคมภายนอกรับรู้ลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรมของด่านซ้ายร่วมกัน การท่องเที่ยวแบบฉาบฉวยแม้จะมีความนิยมเพราะถูกบีบคั้นในช่วงเวลาหนึ่งนั้นไม่จีรัง เพราะที่ด่านซ้ายเกิดคำถามขึ้นมากมายและมีปฏิกิริยาของคนท้องถิ่นอย่างเงียบ ๆ แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่มีการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวอันเป็นกระบวนการเรียนรู้จากภายใน นายแพทย์ภักดี สืบนุการณ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย เป็นหัวแถวคนหนึ่งในเมืองด่านซ้ายที่นำเอาความเป็นนายแพทย์ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมาเชื่อมโยงกับกิจกรรมของเยาวชนและคนสูงวัยในด่านซ้าย และเชื้อเชิญให้ทางมูลนิธิฯ เข้าไปแลกเปลี่ยนพูดคุยแสดงความคิดเห็นร่วมกันกับกิจกรรมของคนในชุมชน ที่ต่อเนื่องไปถึงเรื่องการจัดการการท่องเที่ยวในท้องถิ่นที่มาจากรากฐานในชีวิตวัฒนธรรมของคนในท้องถิ่นเอง คุณหมอภักดีเล่าถึงสภาพภูมิศาสตร์ของเมืองด่านซ้ายและการทำงานร่วมกับมูลนิธิฯ ว่า “อำเภอด่านซ้ายเป็นอำเภอชายแดนในจังหวัดเลย ติดกับประเทศลาว โดยมีแม่น้ำเหืองเป็นแนวกั้น มีประวัติศาสตร์ที่สามารถสืบค้นได้ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาที่มีปูชนียสถานที่สำคัญคือ พระธาตุศรีสองรัก ลักษณะท้องถิ่นอยู่ในหุบเขา ในสมัยก่อนมีความลำบากในการติดต่อกับภายนอก จึงทำให้ยังคงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมได้เป็นอย่างดี แต่ในปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงภายนอกมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตคนในท้องถิ่นในด้านไม่ดีมากขึ้น ทางท้องถิ่นจึงรวมตัวกันที่จะหาแนวทางให้คนในท้องถิ่นได้เรียนรู้และเตรียมความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยใช้ทุนทางสังคมที่มีอยู่ซึ่งได้แก่ วิถีชีวิตที่เรียบง่ายสอดคล้องกับธรรมชาติที่มีความเชื่อในลักษณะเฉพาะ เป็นต้น ในแต่ละปีอำเภอด่านซ้ายมีงานประเพณีงานบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขนในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม ซึ่งแล้วแต่การกำหนดของเจ้าพ่อกวนซึ่งเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณที่เข้มแข็งของชาวด่านซ้าย แต่การจัดงานถูกบิดเบือนความเข้าใจที่ถูกต้อง และจุดประสงค์ของงานเป็นเพียงเพื่อการท่องเที่ยวและการค้าเท่านั้น ซึ่งละเลยคุณค่าหลัก ได้แก่ ความเอื้ออาทรภายในท้องถิ่น การเคารพต่อสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติ ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ได้มีโอกาสพบกับคุณวลัยลักษณ์ ทรงศิริ เจ้าหน้าที่มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ จึงได้ปรึกษาหารือเกี่ยวกับแนวโน้มของงานประเพณีดังกล่าว และนำไปสู่การวิจัยเรื่องโครงการอบรมและวิจัยเชิงปฏิบัติการทางประวัติศาสตร์โบราณคดีและชาติพันธุ์ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม กรณีศึกษาบ้านด่านซ้าย นาเวียง และนาหอ ลุ่มน้ำหมัน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย โดยคณะนักวิจัยท้องถิ่น บ้านด่านซ้าย บ้านนาเวียง บ้านนาหอ และงานวิจัยได้เสร็จสมบูรณ์ในเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ โดยมี รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม เป็นหัวหน้าโครงการ และ ดร.ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ ดร.สุเทพ สุนทรเภสัช รศ.ปรานี วงษ์เทศ เป็นที่ปรึกษา ผศ.เอกรินทร์ พึ่งประชา เป็นผู้ประสานงาน โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) หลังจากงานวิจัยเกิดการเปลี่ยนแปลงในท้องถิ่น เช่น มีการนำข้อมูลจากการวิจัยไปเผยแพร่ในรูปของหนังสือ การ์ตูนผีตาโขน หนังสือจากงานวิจัยเรื่อง ผีและพุทธ ศาสนาและความเชื่อในสังคมด่านซ้าย ดุลยภาพทางจิตวิญญาณของชาวบ้านในลุ่มน้ำหมัน มีคำถามในงานวิจัยเพิ่มขึ้น ซึ่งนำไปสู่การเก็บข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในโรงเรียนหลายแห่งได้กำหนดเป็นหลักสูตรท้องถิ่น นักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพมีความสนใจเรื่องราวของเมืองด่านซ้าย และติดต่อมาศึกษาดูงานมากขึ้น ที่สำคัญที่สุดเกิดความภาคภูมิใจภายในท้องถิ่น จนนำไปสู่การพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นผีตาโขน ที่วัดโพนชัย พิพิธภัณฑ์เมืองด่านซ้าย ที่พระธาตุศรีสองรัก พิพิธภัณฑ์วัดศรีภูมิ ที่บ้านนาหอ และยังมีอีกหลายหน่วยงานที่ให้ความสนใจในการรวบรวมข้อมูลและสิ่งของที่ใช้ในการดำรงชีวิตในสมัยก่อน เช่น โรงเรียนบ้านนาข่า ประกอบกับอำเภอด่านซ้ายมีผู้นำและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (เทศบาลตำบลด่านซ้าย และอบต.นาหอ) ที่เข้าใจและให้การสนับสนุน จึงได้ประชุมและเสนอให้ประสานกับมูลนิธิเล็ก- ประไพ วิริยะพันธุ์ ขอให้มาช่วยให้คำปรึกษาในการวางรูปแบบการจัดการพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้คนในท้องถิ่นได้เกิดสำนึกร่วมซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาในทุกด้าน ส่วนการท่องเที่ยวจะเป็นผลพลอยได้เท่านั้น จึงหวังว่าจะได้มีโอกาสร่วมทำกิจกรรมที่แสดงถึงความร่วมมือทางวัฒนธรรม การศึกษา และพัฒนาองค์ความรู้ ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ของมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ต่อไป” สำหรับมูลนิธิฯ เมืองด่านซ้ายนับว่ามีเรื่องราวที่น่าสนใจศึกษาให้มากขึ้นกว่าเดิม ทั้งในเรื่องประวัติศาสตร์โบราณคดีและประวัติศาสตร์สังคม โดยเฉพาะระบบความเชื่อที่มีรูปแบบแตกต่างไปจากท้องถิ่นอื่น ๆ อีกทั้งความเคลื่อนไหวที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นกระบวนการประชาสังคมที่แท้จริงของเมืองด่านซ้าย ที่สามารถรวบรวมเอาความคิดของคนหลากรุ่นหลากสถานภาพ ทั้งที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและชาวบ้าน ทั้งคนข้างในและข้างนอกมาบูรณาการเพื่อให้เกิดความคิดการขับเคลื่อนที่สามารถทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้จนมาถึงปัจจุบัน อย่างน้อยในวันที่ไปเยี่ยมเยือนเมืองด่านซ้ายอีกครั้ง ป้ายประชาสัมพันธ์ของการท่องเที่ยวที่เคยใช้แต่คำว่า “ประเพณีผีตาโขน” ก็กลายเป็น “ประเพณีบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขน” แทน เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ให้ความสำคัญกับที่มาของผีตาโขนที่เป็นประเพณีใหญ่ของชาวบ้านด่านซ้ายอย่างเห็นได้ชัด และคงมีที่มาจากงานวิจัยที่ชาวบ้านได้ร่วมแรงกันทำในปีที่ผ่านมา อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ก่อนจะเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นนาหอ
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มิ.ย. 2551 เยาวชนได้เรียนรู้ในการถ่ายภาพและทำทะเบียนโบราณวัตถุ โดยมีผู้เฒ่าผู้แก่ให้รายละเอียดของโบราณวัตถุนั้น ๆ ถือเป็นการทำงานร่วมกันอย่างลงตัวของคนสองวัย ใช่จะเป็นเรื่องยากแต่ก็ไม่ง่ายนักกับการจัดทำพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นสักแห่งขึ้นมา หากมีเพียงเนื้อหา สถานที่จัดแสดง และเจ้าหน้าที่จากภายนอก พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นดังกล่าวคงจะเกิดขึ้น แต่คงไม่มีชีวิตชีวา หรือคุณค่ามากนักเมื่อเทียบกับการที่ชาวบ้านหรือคนในพื้นที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมและเป็นกำลังสำคัญในการจัดพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นแห่งนั้นด้วย จากเหตุผลที่คนในพื้นที่น่าจะเป็นส่วนร่วมที่สำคัญในการจัดทำพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นข้างต้น ทางโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย โดยการนำของนายแพทย์ภักดี สืบนุการณ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล อีกทั้งโรงพยาบาลต้องการพัฒนาระบบบริการสุขภาพโดยส่งเสริมให้ประชาชนดูแลสุขภาพด้วยตนเอง โดยเสริมความมั่นคงทางจิตใจและความเข้าใจเกี่ยวกับวิถีชีวิต สังคมและวัฒนธรรมเข้ามาเป็นพื้นฐานเพื่อความเข้มแข็งของชุมชน ทางโรงพยาบาลจึงสนับสนุนให้มีโครงการพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในอำเภอด่านซ้ายขึ้น ๓ แห่ง คือ พิพิธภัณฑ์เมืองด่านซ้ายที่พระธาตุศรีสองรัก พิพิธภัณฑ์ผีตาโขนที่วัดโพนชัย และพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น เช่น พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นนาหอที่วัดศรีภูมิ การจัดทำพิพิธภัณฑ์โดยชาวบ้านได้เข้ามามีส่วนร่วม เพราะนอกจากชาวบ้านจะได้รู้จักประวัติศาสตร์ความเป็นมา รากเหง้า วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของตนเองแล้ว ยังรู้ว่าควรจะดูแลสุขภาพเบื้องต้นของตนเองได้อย่างไรอีกด้วย ด้วยเหตุดังกล่าว เจ้าหน้าที่มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ จึงได้เข้ามาช่วยเป็นพี่เลี้ยงในการดำเนินการเรื่องพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในด่านซ้าย ซึ่งกิจกรรมพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นร่วมกับชาวบ้านที่น่าสนใจคือการประชุมปฏิบัติการเพื่อจัดทำพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นนาหอในพื้นที่บ้านนาหอ เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคมถึง ๑ มิถุนายน ๒๕๕๑ ที่ผ่านมา เหตุที่เรียกว่า “พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นนาหอ” ไม่ใช่ “พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นบ้านนาหอ” แม้จะใช้พื้นที่บ้านนาหอที่วัดศรีภูมิเป็นหลัก เนื่องจากบริเวณนาหอนี้เป็นท้องถิ่นย่อยในลุ่มน้ำหมันที่มีหมู่บ้านหลายแห่งมีความสัมพันธ์กันทางเครือญาติและโครงสร้างสังคมและความใกล้ชิดของพื้นที่ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมก็เป็นชาวบ้านจากหมู่บ้านหลายแห่ง เช่น บ้านโพนหนอง หัวนาแหลม นาน้ำท่วม ที่ถือเอาวัดศรีภูมิเป็นวัดใหญ่ของท้องถิ่น กิจกรรมมีด้วยกัน ๒ วัน ในวันแรกเป็นการสร้างความเข้าใจง่าย ๆ ในเรื่องประวัติศาสตร์ท้องถิ่นและพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น พร้อมกันนั้นได้สอนเทคนิคการทำทะเบียนโบราณวัตถุ โดยใช้โปรแกรมที่ทางมูลนิธิฯ ออกแบบขึ้นมาเพื่อง่ายต่อการบันทึก ชาวบ้านแบ่งกลุ่มทำงานเพื่อเรียนรู้ชุมชนนาหอ ทั้งทางประวัติศาสตร์ สังคม ประเพณีและวัฒนธรรม ซึ่งต่างก็ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวชาวบ้านนาหอเลย ในการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ได้ให้คำอธิบายเกี่ยวกับความหมายของคำว่า ประวัติศาสตร์ [History] และตำนาน [Myth] ประวัติศาสตร์คือเรื่องราวที่มีข้อมูลหรือหลักฐานที่แน่นอน เชื่อถือได้ เป็นการศึกษาเชิงลึก เมื่อมีหลักฐานใหม่ ๆ ที่แน่ชัดกว่าก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ไม่จำเป็นต้องหาข้อยุติ ซึ่งต่างจาก “ตำนาน” ที่เป็นเรื่องราวที่มีการปนเปของความเชื่อของคนโดยเฉพาะในยุคปัจจุบันเข้าไปด้วย เมื่อมีความเชื่อ สิ่งที่ตามมาก็คือพิธีกรรม แต่ปัจจุบันคนไทยไม่สามารถแยกแยะระหว่างประวัติศาสตร์และตำนานออกจากกันได้หรือสับสนปนเปว่ากำลังใช้ข้อมูลความคิดที่เป็นประวัติศาสตร์ หรือกำลังใช้ความเชื่อแบบตำนานในการกล่าวถึงอดีตอยู่ จึงก่อให้เกิดปัญหาความไม่เข้าใจกันมากมายในสังคม เช่น กรณีเรื่องอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีที่โคราช หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ต่อเนื่องกับกรณี ๓ จังหวัดทางภาคใต้ เป็นต้น จากนั้นได้อธิบายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่น และพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นโดยรวมที่ว่า หัวใจของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น คือ การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นหรือชาติพันธุ์วรรณนา ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น [Local history] คือประวัติศาสตร์สังคมที่แสดงให้เห็นความเป็นมาของผู้คนในท้องถิ่นเดียวกันที่อาจมีความแตกต่างทางชาติพันธุ์ก็ได้ แต่เมื่อเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่เดียวกันตั้งแต่ ๒-๓ ชั่วคนสืบลงไป ก็จะเกิดสำนึกร่วมขึ้นเป็นคนในท้องถิ่นเดียวกัน มีจารีต ขนบประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อ และกติกาในทางเศรษฐกิจและสังคมร่วมกัน ทั้งนี้การเข้าถึงประวัติศาสตร์ท้องถิ่นต้องเข้าถึงและเห็นคนกับพื้นที่ซึ่งมีความสัมพันธ์กันโดยศึกษาโครงสร้างสังคม เก็บข้อมูลจากบุคคลในปัจจุบัน [Oral history] จะได้เห็นทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตอย่างต่อเนื่องว่ามีความเป็นมาและเปลี่ยนแปลงอย่างไร และน่าจะเป็นอย่างไรในอนาคต การศึกษาชาติพันธุ์วรรณนา [Ethnohistory] ก็เป็นสิ่งสำคัญที่เห็นการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม-สังคม ซึ่งถือเป็นการศึกษาชีวิตวัฒนธรรมที่มีพลวัตอย่างแท้จริง เมื่อเข้าถึงคนแล้วจำเป็นที่จะต้องเข้าถึงพื้นที่หรือประวัติศาสตร์สภาพแวดล้อม [Environmental history] ด้วย พื้นที่เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยและถิ่นกำเนิดของผู้คนในกลุ่มนั้น การศึกษาพื้นที่ต้องเริ่มจากชื่อสถานที่ทั้งที่เป็นธรรมชาติและวัฒนธรรม ชื่อสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งคนในท้องที่รู้จักสืบทอดกันมาจนปัจจุบัน นอกเหนือจากความเป็นมาของชื่อบ้านนามเมืองแล้ว เราจำเป็นต้องรู้จักสภาพแวดล้อมของท้องถิ่นด้วย เพื่อที่เราจะได้จัดการกับสภาพแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างสมบูรณ์ เช่น การจัดการน้ำ การดูแลรักษาหน้าดิน การเพาะปลูก ฯลฯ โดยมีเรื่องของภูมิปัญญาชาวบ้านมาร่วมด้วย ส่วนพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น คือพิพิธภัณฑ์ที่เกิดจากกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างคนในที่มีความรู้เรื่องอดีตและสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นของตนเองอย่างลุ่มลึก กับคนภายนอกที่มีความรู้เรื่องการจัดพิพิธภัณฑ์และเทคนิคการจัดแสดง การวิเคราะห์วัตถุสิ่งของ ความรู้ทางภาษาศาสตร์และโบราณคดีต่าง ๆ รวมถึงแนวคิดทฤษฎีทางมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ พร้อมกันนั้นได้ยกตัวอย่างพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นทั้งในและต่างประเทศให้ดูอีกด้วย ทั้งพิพิธภัณฑ์ชาวนาที่โอซากา ประเทศญี่ปุ่น หรือพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นวัดจันเสนในประเทศไทย เป็นต้น ในช่วงบ่ายเจ้าหน้าที่มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ได้สอนเทคนิคและสาธิตการถ่ายภาพโบราณวัตถุเพื่อจัดทำทะเบียน ในการสอนการทำทะเบียนวัตถุมีเยาวชนผู้ที่เข้าร่วมฝึกทำทะเบียนโบราณวัตถุและผู้ใหญ่ได้ช่วยเหลือในเรื่องของประวัติและลักษณะของโบราณวัตถุที่นำมายกตัวอย่าง ถือเป็นความร่วมมือกันอย่างสมบูรณ์ระหว่างคนสองวัยในชุมชน จากนั้นคุณหมอไพโรจน์ ทองคำ ซึ่งเป็นแพทย์แผนไทยจากโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชฯ ได้ อธิบายถึงสมุนไพรไทยที่มีประโยชน์และพบได้ง่ายในชุมชนนาหอ ส่วนในวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๑ ทางมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ได้จัดกลุ่มชาวบ้าน เพื่อทำกิจกรรมภาคสนามเป็นนักประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ศึกษาและสำรวจพื้นที่ในชุมชนนาหอและพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง จากนั้นจึงนำเสนอในที่ประชุม โดยมีทั้งหมด ๕ กลุ่ม คือ “กลุ่มนักประวัติศาสตร์ท้องถิ่น” สอบถามชื่อบ้านนามเมืองและประวัติหมู่บ้าน ค้นหาหลักฐานที่เป็นประวัติศาสตร์ของท้องถิ่น “กลุ่มนักสืบเครือญาติ” สอบถามที่มา ใครเป็นญาติใคร มาจากไหนบ้าง มีกี่ตระกูล “กลุ่มนักอนุรักษ์ประเพณีท้องถิ่น” สอบถามประเพณีท้องถิ่นที่สำคัญของบ้านนาหอเกี่ยวกับประเพณีสิบสองเดือน และประเพณีในชีวิตประจำวัน พร้อมกับอธิบายพิธีกรรมในประเพณีต่าง ๆ “กลุ่มนักนิเวศวัฒนธรรม” ศึกษาและสอบถามเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของหมู่บ้านนาหอที่แบ่งออกเป็นนิเวศแบบต่างๆ เช่น ลำน้ำ ท้องนา ต้นไม้ ภูเขา บรรยายถึงสภาพแวดล้อมดังกล่าวและสอบถามถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น “กลุ่มนักสืบสมุนไพร” สืบหาแหล่งสมุนไพรในหมู่บ้าน เสาะหาผู้ที่มีความรู้เรื่องสมุนไพรและจดบันทึกรายละเอียด ในแต่ละกลุ่ม สมาชิกภายในกลุ่มจะมีอายุแตกต่างกันไปเพื่อที่จะให้เด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและทำงานด้วยกันได้ สุดท้ายชาวบ้านที่เข้าร่วมกิจกรรมช่วยกันจัดตั้งชมรม “วัฒนธรรมนาหอ” ขึ้น โดยมีชาวบ้านทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่เข้าร่วมอบรมทุกคนเป็นสมาชิก และมีทีมโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้ายและมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ รับเป็นที่ปรึกษาให้ จากการจัดกิจกรรมประชุมปฏิบัติการทั้ง ๒ วัน สิ่งที่ชาวบ้านได้รับคือการได้รู้จักตนเอง รู้จักอดีต รากเหง้า วิถีชีวิต การทำมาหากิน ประเพณี พิธีกรรม รวมถึงรู้จักชุมชนนาหอมากยิ่งขึ้น โดยไม่คิดว่าเป็นเรื่องยากหรือไกลตัวอีกแล้ว ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นจึงไม่ได้เป็นสิ่งที่ผู้อื่นหยิบยื่นให้ แต่สามารถเกิดขึ้นได้จากชาวนาหอเอง ซึ่งเท่ากับว่ากิจกรรมดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นให้ชาวบ้านตระหนักและรักท้องถิ่นทั้งยังเป็นพลังผลักดันให้เกิดความร่วมมือในการจัดทำพิพิธภัณฑ์นาหอ และทำการกิจกรรมฟื้นฟูท้องถิ่นทั้งทางสังคม วัฒนธรรม และสภาพนิเวศต่อไป อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ชีวิตพิพิธภัณฑ์ที่ย่านวัดเกตุ
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2552 ย่านวัดเกตุ ริมน้ำปิงฝั่งตะวันออกในอดีต (ภาพจากหนังสือล้านนาเมื่อตะวา โดย บุญเสริม สาตราภัย) นับย้อนกลับไปกว่า ๑๐๐ ปี ชุมชนทางฝั่งตะวันออกของลำน้ำปิงใกล้กับสะพานนวรัตน์ ถูกจัดให้เป็นที่อยู่ของคนต่างชาติไม่ว่าจะเป็นชาวจีน ฝรั่ง คนพื้นเมือง มุสลิม ดังเห็นได้จากอาคารสถาปัตยกรรมที่ยังหลงเหลือมาจนปัจจุบัน ย่านดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันดีเรียกว่า “ย่านวัดเกตุ” เหตุที่เรียก ย่านวัดเกตุ เพราะมีวัดเกตุการามเป็นศูนย์กลางของชุมชน เป็นทั้งที่พักพิง สถานศึกษา บริเวณริมน้ำปิงท่าวัดเกตุ ครั้งหนึ่งยังเป็นท่าเรือที่ใช้ขนส่ง ซื้อขายสินค้าจากเชียงใหม่ไปขายยังปากน้ำโพ และกรุงเทพฯ การเป็นท่าเรือสินค้านี้เองที่ทำให้พื้นที่ย่านวัดเกตุการามมีคนจากที่อื่น ๆ เข้ามาอาศัยโดยเฉพาะชาวจีนที่มาทำการค้า ชาวจีนในย่านวัดเกตุมีมาหลายระลอกด้วยกัน จึงทำให้ย่านดังกล่าวมีชาวจีนสะสมอยู่จำนวนมาก นอกจากชาวจีนยังมีคนเชื้อชาติอื่นได้เข้ามาตั้งที่อยู่อาศัยและทำกิจการอีกเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ชาวอเมริกัน ที่เข้ามาเผยแผ่ศาสนา เราเรียกกันว่า มิชชันนารีหรือหมอสอนศาสนา มีการตั้งโรงพยาบาลแมคคอร์มิค โรงเรียนดาราวิทยาลัย โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย โรงเรียนเชียงใหม่คริสเตียน มหาวิทยาลัยพายัพ (พัฒนามาจากวิทยาลัยพยาบาลและผดุงครรภ์แมคคอร์มิค) ทั้งยังจัดตั้งคริสตจักรหลายแห่ง ชาวอังกฤษ ที่เข้ามาทำสัมปทานป่าไม้กับเจ้าเมืองเชียงใหม่และรัฐบาลไทย หรือที่รู้จักกันดีคือ บริษัท บริติช บอร์เนียว จำกัด ชาวซิกข์ จากแคว้นปัญจาบในอินเดีย ได้เดินทางผ่านทางพม่าเข้ามาตั้งรกรากและศาสนสถานยังชุนชนวัดเกตุ คนจีนยูนนาน หรือ จีนฮ่อ ที่ทำการค้าแบบวัวต่างม้าต่างจากถิ่นอื่นๆ มีทั้งที่นับถือศาสนาพุทธ และอิสลาม และคนมุสลิม มาจากปากีสถาน อินเดีย บังกลาเทศ ได้มาตั้งรกรากในการทำมาหากิน โดยเฉพาะเรื่องของการค้าเป็นหลัก ต่อมาเมื่อประชากรมากขึ้น จึงได้สร้างโรงเรียน มัสยิดและสุเหร่าขึ้นในย่านนี้ด้วย ทุกเชื้อชาติที่กล่าวมาล้วนเข้ามาตั้งรกรากยังย่านวัดเกตุอันเป็นย่านแห่งการค้าขายทั้งสิ้น และได้แต่งงานกับคนพื้นเมือง ผสมกลมกลืนกลายเป็นคนย่านวัดเกตุไปในที่สุด อีกนัยหนึ่งก็คือ คนต่างเชื้อชาติ ศาสนา ไม่ว่าจะเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม และซิกข์ พวกเขาสามารถอาศัยอยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัวและก่อให้เกิดประโยชน์แก่ท้องถิ่นอีกด้วย ประโยชน์ที่ผู้คนต่างเชื้อชาติได้นำเข้ามาในย่านวัดเกตุและเชียงใหม่ ได้ก่อให้เกิดความเจริญขึ้นในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นอาคารบ้านเรือน โรงเรียน โรงพยาบาล และศาสนสถานต่าง ๆ ทั้งหมดนี้ต่างหล่อหลอมรวมกันจนกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต ที่น่าเข้าไปเยี่ยมชมยิ่งนัก โรงเรียนนักธรรมวัดสระเกษ พระธาตุ และพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ภายในวัดเกตุการาม ภายในพิพิธภัณฑ์หลังใหญ่แห่งนี้มีหลายสิ่งที่อยากแนะนำ ก่อนอื่นขอแนะนำพื้นที่ในชุมชนเริ่มจากวัดเกตุการาม สันนิษฐานว่าสร้างเมื่อปี พ.ศ. ๑๙๗๑ เดิมชื่อ วัดสระเกษ สร้างขึ้นโดยพญาสามฝั่งแกน พระราชบิดาของพญาติโลกราช โดยมีพระยาเมือง พระยาคำ และพระยาลือ พร้อมด้วยบริวารถึง ๒,๐๐๐ คน ในการก่อสร้างวัดเกตุแห่งนี้ (ข้อมูลดังกล่าวหาอ่านได้จากจารึกประวัติวัดเกตุการามที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของวิหารภายในวัด) ภายในวัดเกตุการามแห่งนี้ประกอบด้วยวิหารหลังใหญ่ หรือที่เรียกว่า วิหารซด สร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น หลังคาซ้อนกัน หากรวมถึงบันไดก็เป็น ๕ ชั้น ถือเป็นวิหารที่หาดูได้ยากในปัจจุบัน อีกทั้งยังมีลวดลายการแกะสลักและปิดทองไว้อย่างสวยงาม ภายในวิหารมีธรรมาสน์ และสัตภัณฑ์ที่สมบูรณ์และสวยงามอยู่หน้าพระประธาน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขัดสมาธิราบ ก่ออิฐถือปูน ลงรักปิดทอง หลังพระประธานประดับด้วยพระแผง มีศิลาจารึกบอกเล่าเรื่องราวของวัดเกตุการามเป็นอักษรฝักขามอยู่หน้ามุขวิหารทางทิศใต้ พระอุโบสถแบบล้านนาประดับด้วยไม้แกะสลักลงรักปิดทอง บานประตูประดับด้วยไม้แกะสลักรูปเซี่ยวกางและประดับด้วยตัวกิเลน สิงโตจีนเหยียบมังกร และปลาพ่นน้ำ ซึ่งเป็นภาพที่ได้รับอิทธิพลจากจีน สิ่งที่สามารถอธิบายถึงความเป็นชุมชนที่มีบรรพบุรุษจีนได้ดีคงเป็นเจดีย์อัฐิหรือที่เก็บกระดูกของบรรพชนชาวจีนที่เรียงรายอยู่รอบวัด เจดีย์หรือพระธาตุที่วัดเกตุการามแห่งนี้ จำลองมาจากพระเกศแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นพระธาตุประจำปีของผู้ที่เกิดปีจอ ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องมาไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคล องค์พระธาตุจำลองปลายยอดจะเอียงเล็กน้อย เพราะเชื่อว่าต้องไม่ให้ยอดชี้ขึ้นไปตรงกับพระเกศแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ พระธาตุจุฬามณีเป็นเจดีย์ทรงกลมแบบ ล้านนา ฐานเป็นสี่เหลี่ยมย่อเก็จ หากอยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของลำน้ำปิงจะเห็นยอดพระธาตุเอียงอย่างชัดเจน มิสยิดอัต-ตักวา ศูนย์รวมจิตใจของชาวมุสลิมในย่านวัตเกตุ (ภาพจาก www.muslimthai.com) หลังอุโบสถและพระธาตุจะเห็นอาคารเรือนไม้สักสวยงามตั้งเด่นอยู่ นั่นคืออาคารโรงเรียนนักธรรม วัดสระเกษ (วัดเกตุการาม) สร้างขึ้นปีพ.ศ. ๒๔๖๒ โดยจีนอินทร์ ซิ้มกิมฮั่งเซ้ง (พ่อค้าขายของโชว์ห่วย) พร้อมด้วยนางจีบ ภรรยา โดยถวายให้เป็นโรงเรียนนักธรรมบาลี ภายหลังไม่มีการเรียนการสอน จึงใช้เป็นกุฏิพระและเณรแทน อาคารดังกล่าวเพิ่งมีการบูรณะปรับปรุงและลงรักปิดทองเมื่อไม่นานมานี้เอง ภายในวัดเกตุการาม ชาวบ้านย่านวัดเกตุยังได้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์วัดเกตุขึ้นที่กุฏิเจ้าอาวาสเดิมหรือโฮ่งตุ๊เจ้าหลวงเก่า โดยมีคุณตาแจ๊คหรือ จริณ เบน เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่ ภายในพิพิธภัณฑ์มีสิ่งของเครื่องใช้ในอดีตทั้งของพระและฆราวาสอยู่จำนวนมาก โดยได้มีการแบ่งห้องจัดแสดงอยู่ ๓ ส่วน ส่วนแรกจะเป็นเครื่องใช้ในอดีตทั่ว ๆ ไป ส่วนที่สองจะเป็นการแสดงของพระพุทธรูป พระพิมพ์ และส่วนสุดท้ายได้จัดแสดงเกี่ยวกับธงและเครื่องประดับ พัดยศ ทั้งของเจ้านายเมืองเหนือและพระภิกษุชั้นผู้ใหญ่ ด้านล่างของพิพิธภัณฑ์ยังเป็นลานจัดแสดงภาพเก่าเล่าขานเรื่องราวของชุมชนย่านวัดเกตุและเชียงใหม่ให้ผู้ที่สนใจเข้าไปศึกษาอีกด้วย พื้นที่อีกส่วนหนึ่งของวัดเกตุคือท่าเรือวัดเกตุ ถือเป็นจุดเริ่มต้นสิ่งต่าง ๆ ทั้งของย่านวัดเกตุและเมืองเชียงใหม่ก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผู้คน การค้า ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ท่าเรือดังกล่าวก็คือ บริเวณหัวสะพานจันทร์สมอนุสรณ์ทางฝั่งวัดเกตุนั่นเอง ออกจากประตูวัดเกตุการามเลี้ยวขวาไม่ถึง ๑๐๐ เมตร บริเวณทางซ้ายมือ ในอดีตเคยเป็นที่ตั้งของบริษัท บริติช บอร์เนียว จำกัด มาตั้งแต่ร้อยกว่าปีก่อนจนปัจจุบัน โดยบริษัทดังกล่าวได้รับสัมปทานตัดไม้จากเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่เป็นเวลา ๑๐๐ ปี คือ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๙๘ สมัยรัชกาลที่ ๔ สัญญาสิ้นสุดในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ในขณะที่ยังดำเนินการอยู่นั้น ได้มีการเข้ามาในย่านวัดเกตุของคนในบังคับอังกฤษด้วย ทั้งพม่า ไทใหญ่ เงี้ยว มอญ เพราะคนเหล่านี้เชี่ยวชาญในการตัดไม้ เป็นเหตุให้ย่านวัดเกตุมีอัตราการเพิ่มขึ้นของชาวต่างชาติ เมื่อเดินเข้าไปภายในรั้วดังกล่าว จะเห็นบ้าน ๓ หลัง แต่เดิมคือที่ทำการของบริษัท แต่ละหลังล้วนสร้างด้วยไม้สักเต็มใบ มีเสามากกว่า ๑๐๐ ต้น หลังใหญ่สุดมีเสามากถึง ๑๓๗ ต้น ปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวถูกแบ่งเป็นมูลนิธิบ้านสมานใจ (ศูนย์พัฒนาเพื่อสร้างสรรค์คนพิการ-ซาโอริ) แบ่งให้ต่างชาติเช่าบ้าง เป็นห้องพักบ้าง เพราะพื้นที่ย่านวัดเกตุ ปัจจุบันได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม ที่ชาวไทยและชาวต่างชาติถวิลหาแทบทั้งสิ้น ชุมชนมัสยิดอัต-ตักวา เป็นมัสยิดศูนย์กลางของชาวมุสลิมย่านวัดเกตุ มุสลิมที่อยู่ในย่านวัดเกตุมีมาจากหลายประเทศ หลายเชื้อชาติ กล่าวคือ ก่อนจะมาเป็นชุมชนมุสลิมอย่างเช่นทุกวันนี้ พื้นที่เดิมเคยเป็นที่อยู่อาศัยของคนพื้นเมืองกลุ่มใหญ่ ซึ่งเดิมอาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่ของโรงเรียนจิตต์ภักดีปัจจุบัน ก่อนหน้านั้นมีการอยู่ร่วมกันหลายชาติพันธุ์ ลักษณะเป็นชุมชนแออัด ขาดระเบียบวินัย มีทั้งซ่องโสเภณี ร้านขายเหล้าทั่วชุมชน มีมุสลิมอาศัยปะปนในชุมชนไม่เกิน ๑๐ ครอบครัว มีทั้งมุสลิมเชื้อสายจีนยูนนาน อินเดียปากีสถาน บังกลาเทศ ชาวมุสลิมที่นี่มีการเกาะกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่น มีการแต่งงานในกลุ่มมุสลิมกันเอง คนอินเดียเชื้อสายปากีสถานในย่านนี้เป็นคนที่อยู่ใต้ปกครองของนักล่าอาณานิคมอังกฤษ ติดตามเจ้านายอังกฤษเพื่อมาทำงานกลุ่มหนึ่ง และผู้อพยพกลุ่มหนึ่ง ความสัมพันธ์ของมุสลิมด้วยกันและมุสลิมกับคนท้องถิ่นในย่านนี้ค่อนข้างจะดี มีการไปมาหาสู่กันโดยผ่านทางวิถีประเพณีและพิธีกรรมทางศาสนา พระศาสนสถานคุรุดวารา เชียงใหม่ หรือวัดซิกข์ ตั้งอยู่ริมกำแพงวัดเกตุการาม ชาวซิกข์ในย่านวัดเกตุเกิดขึ้นจากชาวอินเดียในแคว้นปัญจาบ เดินทางมาค้าขายและอาศัยอยู่ในย่านการค้าวัดเกตุ ต่อมามีชาวซิกข์ด้วยกันอพยพเข้ามา จึงร่วมกันสร้าง พระศาสนสถานคุรุดวาราขึ้นริมกำแพงวัดเกตุ พร้อมทั้งตั้งบ้านเรือนอาศัยร่วมกันกับชาวพื้นเมืองและชาวจีนที่มีมากในชุมชน สถานศึกษาและสถานพยาบาลในย่านวัดเกตุ เกิดจากกลุ่มมิชชันนารีอเมริกาที่เข้ามาสอนศาสนาเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งย่านวัดเกตุมีสถานศึกษาและสถานพยาบาลที่สำคัญ คือ โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๐ เป็นโรงเรียนชายที่เกิดจากการเข้ามาสอนศาสนาของชาวอเมริกัน คือ ศาสนาจารย์เดวิด กอร์มเลย์ คอลลินส์ มิชชันนารีคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียน แต่เดิมโรงเรียนดังกล่าวชื่อว่า โรงเรียนชายวัดสิงห์คำ หรือ Chiang mai boy’s school ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของลำน้ำปิง ติดกับวังสิงห์คำ ต่อมานักเรียนมีจำนวนมากขึ้น จึงย้ายมาตั้งอยู่บริเวณปัจจุบัน คือ ใกล้ลำน้ำปิงฝั่งตะวันออกในปี พ.ศ. ๒๔๓๙ และปี พ.ศ. ๒๔๔๙ ได้รับพระราชทานนามโรงเรียนใหม่จากรัชกาลที่ ๖ ว่า The Prince Royal’s College โรงเรียนดาราวิทยาลัย เป็นที่ดินที่เจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าหลวงเชียงใหม่ ประทานให้แก่ ดร.แมคกิลวารี ที่เข้ามาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๓ ดร.แมคกิลวารีและภรรยา นางโซเฟีย แมคกิลวารี เห็นความสำคัญของการศึกษาเด็กหญิง จึงนำเด็กหญิงที่เข้ารีตศาสนาคริสต์มาสอนเย็บปักถักร้อย รวมถึงสอนอ่านและเขียนหนังสือ ต่อมาเมื่อมีมิชชันนารีจากกรุงเทพฯ มาช่วยสอนหนังสือ จึงเปิดการเรียนการสอนอย่างจริงจัง แรกเริ่มมีนักเรียนหญิงเพียง ๒๐ คน เดิมทีชาวบ้านเรียกว่า โรงเรียนสตรีสันป่าข่อย แต่เมื่อนักเรียนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จึงเปลี่ยนชื่อจากโรงเรียนสตรีเป็นโรงเรียนพระราชชายา เพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าดารารัศมี พระราชชายาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแทน โรงพยาบาลแมคคอร์มิค ก่อตั้งโดยมิชชันนารีโปรเตสแตนท์ คณะอเมริกันเพรสไบทีเรียน เริ่มจากการที่มิชชันนารีเอาใจใส่ดูแลและรักษาผู้บาดเจ็บด้วยการแบ่งยาสามัญประจำบ้าน ซึ่งพวกเขาได้นำติดตัวมาใช้กับตนเองและคนในครอบครัว ต่อมาจึงได้ตั้งสถานที่จ่ายยาขึ้น โดยมีแพทย์ชาวอเมริกันทำงานประจำ ในที่สุดเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๑ ได้พัฒนาเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็ก ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของน้ำปิง (สถานีกาชาดเชียงใหม่ในปัจจุบัน) และเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๓ ดร.อี.ซี.คอร์ท มิชชันนารีนายแพทย์ผู้อำนวยการคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียนร่วมกับ ดร.แมคกิลวารี ได้ก่อตั้งโรงพยาบาลใหม่ขึ้นทางฝั่งตะวันออก ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลในปัจจุบัน และให้ชื่อว่า โรงพยาบาลแมคคอร์มิค ตามชื่อสกุลของนางไซรัส แมคคอร์มิค (Mrs.Cyrus McCormick) ผู้บริจาคเงินในการก่อสร้างโรงพยาบาล นี่คือกลุ่มอเมริกันที่เข้ามายังพื้นที่เชียงใหม่และย่านวัดเกตุ ซึ่งได้ตั้งสถานที่ต่าง ๆ ทางทิศเหนือของวัดเกตุ การเข้ามาของคนกลุ่มนี้คืออีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ย่านวัดเกตุเกิดความหลากหลายและสามารถอยู่ร่วมกันฉันมิตรได้ ตลอดจนเกิดความเจริญขึ้นไม่ว่าจะเป็นการศึกษาและสาธารณสุขที่ดีขึ้น ความเจริญส่วนใหญ่อาจกล่าวได้ว่ามาจากทางย่านวัดเกตุก่อนจะขยายไปอีกฝั่งหนึ่งของน้ำปิงก็ว่าได้ พื้นที่วัดเกตุนอกจากจะมีการเข้ามาของคนที่หลากหลายแล้ว ชุมชนย่านวัดเกตุยังเชื่อมต่อกับชุมชนอื่น ๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นเส้นสันป่าข่อย (เส้นทางที่มีกิจการร้านรวงเกิดขึ้นมากมาย เมื่อเส้นทางรถไฟมาถึง) หรือจะเป็นเส้นทางข้ามน้ำปิงไปยังตลาดลำไย ตลาดวโรรส หรือถนนท่าแพ เป็นต้น “ย่านวัดเกตุ” จากอดีตถึงปัจจุบันทั้งในแง่วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ได้เปลี่ยนไปตามกาลเวลาอย่างมาก หากแต่การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นกลับนำมาซึ่งเรื่องราวอันหลากหลายของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ การค้า การเดินทาง การศึกษา ฯลฯ เพราะย่านวัดเกตุมีชีวิตพิพิธภัณฑ์ที่ใคร ๆ ก็สามารถเรียนรู้ได้ไม่รู้จบ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- เสียงจากคนวัดเกตุ ท้องถิ่นและพิพิธภัณฑ์วัดเกตุ
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ย. 2552 อาจเป็นเพราะความบังเอิญที่อยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับการค้าทางเรือในลุ่มน้ำปิง จึงทำให้ได้มารู้จักกับพิพิธภัณฑ์วัดเกตุ พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในย่านวัดเกตุ ริมน้ำปิง จังหวัดเชียงใหม่ “โฮงตุ๊เจ้าหลวงเก่า” อาคารที่ชาวบ้านย่านวัดเกตุเรียกร้องให้รักษาไว้ จนก่อเกิดเป็นพิพิธภัณฑ์วัดเกตุในที่สุด จุดเริ่มของพิพิธภัณฑ์วัดเกตุเกิดขึ้นจากทางวัดกำลังจะรื้อกุฏิเก่าของพระครูชัยศีลวิมล (เมืองใจ ธัมโม) หรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า “โฮงตุ๊เจ้าหลวงเก่า” (กุฏิเจ้าอาวาสรูปเก่า) อายุกว่า ๑๐๐ ปี สร้างและบูรณะโดยลูกหลานคนจีนย่านวัดเกตุ ลักษณะอาคารด้านหน้าเป็นไม้ระแนงโปร่ง มีลูกไม้ชายคา และไม้กลึงที่หน้าจั่ว เป็นอาคารที่สวยงามหลังหนึ่ง แต่ด้วยสภาพที่ทรุดโทรมของตัวอาคาร ทางวัดจึงต้องการรื้อและสร้างเป็นอาคารแบบใหม่แทน ทำให้ชาวบ้านจำนวนหนึ่งเรียกร้องให้ทางวัดเก็บรักษากุฏิหลังดังกล่าวไว้ ด้วยพื้นที่ย่านวัดเกตุเป็นย่านที่มีความสำคัญทางการค้าและการเข้ามาของผู้คนมาแต่อดีต เนื่องจากเป็นท่าเรือที่ใช้แลกเปลี่ยนขนส่งสินค้าจากเมืองเชียงใหม่ไปขายยังปากน้ำโพและกรุงเทพฯ ทำให้ชาวบ้านในย่านนี้มีของดีของโบราณจำนวนมาก จึงเกิดความคิดที่จะนำกุฏิดังกล่าวมาจัดทำพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ที่มีในอดีต โดยแกนนำในการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์คือ คุณลุงแจ๊ค หรือ จริณ เบน ชาวบ้านวัดเกตุ ลูกครึ่งไทย-อังกฤษ บุตรชายผู้จัดการบริษัทบอร์เนียวเบอร์มา วัย ๘๙ ปี ร่วมกับพระสงฆ์ ชาวบ้านและคณะศรัทธาวัดในละแวกใกล้เคียง หัวเรือใหญ่ในการจัดพิพิธภัณฑ์วัดเกตุ ลุงแจ็ค (จริณ เบน) เริ่มแรกของการจัดพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ คือทำการปรับปรุงอาคารกุฏิเจ้าอาวาสเดิม เริ่มตั้งแต่กลางเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ ลุงแจ๊ค เคยเล่าว่า ลำบากมาก เพราะสภาพอาคารก็ทรุดโทรมผุพัง ทั้งยังไม่มีทุน ถึงขั้นที่ว่า เอาฝาโลงศพมาต่อเป็นฝาผนังบ้าง ชั้นวางของที่ได้รับบริจาคมาบ้าง แต่ทั้งนี้ ความที่ชาวบ้านย่านวัดเกตุร่วมแรงร่วมใจกันอยากที่จะรักษาเอกลักษณ์รูปทรงอาคารของท้องถิ่นไว้ จึงช่วยกันคนละไม้คนละมือ ใครมีเงินออกเงิน ใครมีแรงออกแรง พิพิธภัณฑ์ดังกล่าวจึงแล้วเสร็จ เปิดให้คนทั่วไปได้เข้าชม เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๓ โดยใช้ชื่อว่า พิพิธภัณฑ์วัดสระเกษ อันเป็นชื่อเดิมของวัด ก่อนจะเปลี่ยนเป็น พิพิธภัณฑ์วัดเกตุ อย่างเช่นทุกวันนี้ ปัจจุบันนี้พิพิธภัณฑ์วัดเกตุเปิดมานานเกือบ ๑๐ ปี มีผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์สำคัญสามท่าน คือ ลุงจริณ เบน (ลุงแจ๊ค), ลุงอนันต์ ฤทธิเดช (ลุงอ๊อด) และลุงสมหวัง ฤทธ์เดช (ลุงหวัง) นอกจากนี้ยังมีชาวบ้านผู้เฒ่าผู้แก่รวมทั้งเด็กในย่านวัดเกตุแวะเวียนมาช่วยดูแลและรับแขกบ้างบางครั้ง การจัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์วัดเกตุ ภายในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดง แบ่งเป็น ๖ ส่วนที่เห็นได้ชัด ส่วนแรกของพิพิธภัณฑ์คือห้องโถงขนาดยาวเมื่อเข้าไปทางขวามือจะเป็นมุมกราบพระ อันเป็นพระพุทธรูปศิลปะแบบพม่าประดิษฐานเป็นพระประธานในพิพิธภัณฑ์ ถัดมาในส่วนที่สองทางซ้ายมือของโถงจะเป็นที่มุมเก็บอุปกรณ์และซ้อมดนตรีไทยของเยาวชนในย่านวัดเกตุ พร้อมทั้งเป็นมุมรับแขก รวมถึงการจัดแสดงเกี่ยวกับเครื่องใช้ในครัวเรือน อาทิ ตะเกียง กาต้มน้ำ ถาด พัดลม ที่ปั่นฝ้าย ฯลฯ อันเป็นสิ่งของในครัวเรือนที่หาได้ยากยิ่งในปัจจุบัน เพราะลวดลายของสิ่งของต่าง ๆ เป็นของเก่าแทบทั้งสิ้น อีกทั้งบางชนิดในปัจจุบันไม่นิยมใช้กันแล้ว เป็นต้น ถัดเข้าไปจากโถงยาวเป็นห้อง ๓ ห้อง ทะลุถึงกันได้หมด ในห้องแรกหรือส่วนที่ ๓ คือห้องที่จัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ในอดีต ทั้งเหรียญ ธนบัตร หนังสือเก่า เครื่องมือช่าง กำปั่นเหล็ก ถ้วยโถโอชาม เตารีดโบราณ เสื้อผ้า ผ้าทอ ผ้าปักดิ้น ซิ่น ฯลฯ โดยสิ่งของแต่ละชิ้นได้จัดเรียงอยู่ในตู้โชว์ไว้อย่างเป็นระเบียบ ถัดมาเป็นห้องกลางหรือส่วนที่ ๔ แสดงพระพิมพ์และพระพุทธรูปโบราณจากที่ต่าง ๆ ผ้าห่อคัมภีร์ใบลาน รูปภาพพระและวัดเมื่อครั้งอดีต ห้องที่ ๓ หรือส่วนที่ ๕ ของพิพิธภัณฑ์ คือห้องจัดแสดงธงสยาม (ธงช้างเผือก) ธงสัญลักษณ์ต่าง ๆ เช่น ธงมังกรและเครื่องอาภรณ์ของเจ้าเมืองเชียงใหม่ รวมถึงผ้าโบราณของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี เป็นอาทิ ในส่วนสุดท้ายหรือส่วนที่ ๖ จัดแสดงในศาลาบาตร อยู่นอกตัวอาคารพิพิธภัณฑ์เป็นที่จัดแสดงรูปภาพเก่าของเชียงใหม่เมื่อครั้งอดีต รวมถึงบุคคลสำคัญทั้งของเมืองเชียงใหม่และย่านวัดเกตุด้วย ทั้งหมดนี้คือส่วนในการจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ที่ได้จากการบริจาคของชาวบ้านเป็นส่วนใหญ่ และสิ่งของเครื่องใช้ในวัดอีกส่วนหนึ่ง ไม่เพียงเท่านี้ ทุกวันนี้ชาวบ้านยังคงทยอยนำสิ่งของโบราณ หรือเอกสารสำคัญมาให้พิพิธภัณฑ์จัดแสดงอยู่เนือง ๆ จนขณะนี้พิพิธภัณฑ์ดังกล่าว เต็มไปด้วยสิ่งของโบราณจำนวนมากและยากที่จะหาที่จัดเก็บ แต่ของยิ่งมากก็เสมือนเป็นเสน่ห์ของพิพิธภัณฑ์วัดเกตุไปเสียแล้ว เสน่ห์ของพิพิธภัณฑ์คือการมีโบราณวัตถุหลากหลายชนิด ทั้งที่ได้รับบริจาคจากชาวบ้าน และจากวัด และจากการที่ข้าพเจ้าและมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ได้เข้าไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์วัดเกตุอยู่เนือง ๆ จึงมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการจัดการสิ่งของที่จัดแสดงเป็นจำนวนมากว่าเหล่านั้น ว่าควรที่จะทำการแบ่งเป็นหมวดหมู่และจัดทำทะเบียนวัตถุให้เป็นระเบียบ ซึ่งภาพรวมของการจัดหมวดหมู่และจัดทำทะเบียนวัตถุยังเป็นการง่ายต่อการศึกษาค้นคว้าในภายหลังอีกประการหนึ่งด้วย อีกทั้งวัตถุสิ่งของส่วนใหญ่ในพิพิธภัณฑ์วัดเกตุ เป็นของดี มีค่า หายาก การจัดทำทะเบียนวัตถุก็เพื่อบันทึกถึงคุณลักษณะ การนำไปใช้และที่มาที่ไปของสิ่งของ เพราะขณะนี้คนในย่านวัดเกตุน้อยคนนักที่จะรับรู้เรื่องราวสิ่งของ และการใช้งานในอดีต ดังนั้นจึงต้องรีบทำในขั้นตอนนี้เสียก่อน ทั้งนี้ข้อเสนอแนะของทางมูลนิธิฯ ได้สอดคล้องกับความต้องการของทางผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ด้วยที่เห็นว่าสิ่งของมีมากขึ้นทุกขณะ การจัดเก็บสิ่งของให้เป็นหมวดหมู่และเลือกสิ่งที่สำคัญจัดแสดงน่าจะเป็นทางออกที่ดีทางหนึ่งของการจัดแสดงก็เป็นได้ ทางมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ จึงเข้าไปช่วยเหลือในเรื่องของการทำทะเบียนโบราณวัตถุ โดยทำการแนะนำการทำทะเบียนให้กับพระและผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ก่อนในเบื้องต้น ทั้งนี้ปัจจุบันทางพิพิธภัณฑ์วัดเกตุได้ทำการขยายพิพิธภัณฑ์โดยการต่อเติมห้องจัดแสดงไว้ทางด้านหลังของอาคารพิพิธภัณฑ์เดิม จากการสอบถามพูดคุยกับลุงสมหวัง ฤทธิเดช กล่าวว่า ห้องดังกล่าวต่อเติมมาเพราะได้เงินบริจาคจากชาวบ้านและผู้เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เป็นหลัก ส่วนการใช้ประโยชน์จากห้องนี้ทางเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลและกรรมการพิพิธภัณฑ์ยังไม่รู้จะใช้ทำอะไร อาจจะเป็นห้องจัดแสดงวัตถุสิ่งของหรือจะเป็นห้องเก็บโบราณวัตถุที่ไม่ได้เอาไปจัดแสดงก็เป็นได้ ซึ่งทางมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ได้เสนอแนะว่าห้องนี้ น่าจะจัดแสดงเรื่องราววิถีชีวิตของคนย่านวัดเกตุและการเกิดพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เพราะทั้งพื้นที่ย่านวัดเกตุและตัวพิพิธภัณฑ์วัดเกตุมีความน่านสนใจไม่น้อยไปกว่าสิ่งของเครื่องใช้ที่นำมาจัดแสดง เนื่องจากพื้นที่ย่านวัดเกตุมีความสำคัญเพราะเป็นที่อยู่ของกลุ่มหลากหลายชาติพันธุ์ทั้งยังเป็นจุดค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าทางน้ำที่สำคัญของเมืองเชียงใหม่อีกด้วย โดยทางลุงสมหวัง ฤทธิเดช ก็เห็นด้วยแต่ทั้งนี้ต้องถามความเห็นชอบของชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลและกรรมการคนอื่น ๆ อีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตามจากการเป็น “คนนอก” ที่มองไปยังพิพิธภัณฑ์ดังกล่าว เห็นว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ยังขาดการเชื่อมต่อระหว่างผู้ใหญ่และเด็ก เพราะทุกวันนี้ผู้ที่ดูแลและจัดการพิพิธภัณฑ์มีพียงแต่ผู้ใหญ่ ๓ ท่าน (ลุงแจ๊ค จริณ เบน, ลุงอนันต์ ฤทธิเดช และลุงสมหวัง ฤทธิเดช) รวมถึงชาวบ้านวัยดึกในย่านวัดเกตุและศรัทธาวัด เป็นหลัก หากแต่สิ่งสำคัญ ปัญหาและความต้องการอย่างแท้จริงที่ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์วัดเกตุ ต้องการกลับอยู่ที่การจัดการในเรื่องของความช่วยเหลือในเรื่องของข้อมูล ความรู้และประสบการณ์การทำพิพิธภัณฑ์จากที่ต่าง ๆ มากกว่า ลุงสมหวัง ฤทธิเดช รวมทั้งมัคคุเทศก์กล่าวกับข้าพเจ้าว่า เรื่องเงินในการดูแลพิพิธภัณฑ์ไม่ใช่ไม่มีปัญหา แต่ทางเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ยังสามารถหาทุนรอนมาเป็นทุนได้ ในส่วนของเด็กที่จะมารับช่วงในการดูแลพิพิธภัณฑ์ พวกลุงไม่กังวลมากนัก เพราะทุกวันนี้ก็มีเด็กในย่านวัดเกตุจำนวนหนึ่งมาช่วยพวกลุง ๆในการรับนักท่องเที่ยว (คนไทย) หากแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติยังเป็นกลุ่มลุงอยู่ เพราะเด็กยังไม่ได้รับการฝึกพูดภาษาอังกฤษ ตอนนี้ทางลุงสมหวังและลุงทั้งหลายได้ตั้งกลุ่มกิจกรรมสำหรับเยาวชนขึ้น นั่นคือ กลุ่มดนตรีไทยและตีกลองปู๋จา (กลองบูชา) ซึ่งเด็กเหล่านี้ถือเป็นรากฐานในการดูแลพิพิธภัณฑ์ต่อไป หากแต่ ณ ปัจจุบัน อยากที่จะมีการแลกเปลี่ยนทัศนคติระหว่างผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์จากที่ต่าง ๆ ระหว่างกันอันเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ มุมมอง และการจัดการของแต่ละพิพิธภัณฑ์ ทั้งนี้เพื่อจะได้นำข้อมูลที่ได้มาประยุกต์ใช้กับพิพิธภัณฑ์วัดเกตุเพราะผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านไม่มีความรู้ในเรื่องการจัดการพิพิธภัณฑ์ แต่อย่างใด หรือหากนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยี่ยมชมต้องการเสนอความคิดเห็นในเรื่องการจัดแสดง คำติชม แง่คิด มุมมอง ฯลฯ ก็อย่าได้นิ่งเฉย ทางพิพิธภัณฑ์ยินดีรับฟังเสมอ เพราะถือว่าการมีพิพิธภัณฑ์วัดเกตุต้องดำเนินไปพร้อมๆกันทั้งในเรื่องของการอนุรักษ์สิ่งของ อาคาร สถานที่และพัฒนาความเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เป็นศูนย์เรียนรู้ทั้งของชุมชนและสังคมต่อไป อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- พิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนไทยกับการพลิกฟื้นตำรายาโบราณที่ “อภัยภูเบศร”
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.พ. 2553 หากกล่าวถึง “อภัยภูเบศร” หลายท่านคงนึกถึงผลิตภัณฑ์และยาจากสมุนไพรของไทยรวมถึงชื่อโรงพยาบาลขึ้นชื่อจนเป็นที่ยอมรับในหมู่ประชาชนที่ต้องการทางเลือกในการรักษาสุขภาพ โดยเห็นได้จากยาสมุนไพรที่โรงพยาบาลผลิตออกสู่ท้องตลาด กลายเป็นสินค้าในตลาดยาสมุนไพรไทยที่มีคุณภาพสูง เนื่องจากมีกรรมวิธีในการแปรรูปยาสมุนไพรไทยที่รับประทานยากมาบรรจุในแคปซูลที่ทันสมัย ง่ายต่อการบริโภค ความนิยมในตัวยาสมุนไพรของที่นี่ นอกจากมีแหล่งจำหน่ายทั่วประเทศแล้ว ทุกวันก็จะกลุ่มนักท่องเที่ยวมาแวะซื้อสมุนไพรถึงภายในโรงพยาบาลเลยทีเดียว นอกจากสินค้าและความรู้เรื่องยาสมุนไพร ที่นี่ยังมีความสำคัญในด้านประวัติศาสตร์และการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมเพราะมีสถานที่สำคัญในพื้นที่โรงพยาบาล คือตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรซึ่งเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ๒ ชั้น ศิลปะแบบบาร็อค [Baroque] ของยุโรป สง่าและสวยงาม สร้างโดยเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) ในปี พ.ศ.๒๔๕๒ ที่ในปัจจุบันเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของโรงพยาบาลแห่งนี้ กว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เจ้าพระยาอภัยภูเบศร(ชุ่ม อภัยวงศ์) ได้ว่าจ้างบริษัทโฮวาร์ด เออร์สกิน จำกัด สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ประทับแรมของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว ในกรณีที่พระองค์เสด็จมายังมณฑลปราจีนบุรี แต่ภายหลังพระองค์ได้เสด็จสวรรคตเสียก่อนจึงมิได้ใช้รับเสด็จฯ กระทั่งในอีก ๓ ปีต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวใช้ประทับเมื่อคราวเสด็จมายังมณฑลปราจีนบุรี เมื่อเจ้าพระยาอภัยภูเบศรถึงแก่อนิจกรรมลงตึกแห่งนี้ได้ตกเป็นมรดกของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีในรัชกาลที่ ๖ (พระนามเดิมคือ คุณเครือแก้ว อภัยวงศ์) ผู้เป็นหลานปู่ของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงค์) จากนั้นในปี พ.ศ.๒๔๘๒ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ทรงมอบตึกหลังนี้ให้แก่ทางราชการ และในช่วงพ.ศ.๒๔๘๔ นับจากเกิดสงครามอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศสจนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ตึกหลังนี้กลายมาเป็นโรงพยาบาลสำหรับทหารที่ทำการรบในเขตเมืองพระตะบอง เสียมราฐและศรีโสภณ จนกระทั่งในช่วงหลังสงครามก็ยังถูกใช้เป็นโรงพยาบาลเรื่อยมาจนถึงปี พ.ศ.๒๕๑๒ จึงย้ายส่วนของการรักษาพยาบาลออกไปยังตึกผู้ป่วยที่สร้างขึ้นใหม่และตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรได้เปลี่ยนมาเป็นอาคารสำนักงานของโรงพยาบาลอภัยภูเบศรนับแต่บัดนั้น ด้วยความสถาปัตยกรรมที่งดงามและความเก่าแก่ของตัวอาคารที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญของประเทศหลายท่าน ในวันที่ ๒๕ ม.ค.๒๕๓๓ กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรเป็นโบราณสถานแห่งชาติ และในปีพ.ศ.๒๕๓๖ ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรก็ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร พิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศรเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรวบรวมองค์ความรู้และภูมิปัญญาด้านการแพทย์แผนไทยที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ โดยมีการเก็บรวบรวมและจัดแสดงตัวอย่างสมุนไพร เครื่องมือยาสมัยโบราณ รวมไปถึงตำรายาโบราณ ที่ส่วนใหญ่ได้รับมาจากมูลนิธิหมื่นชำนาญแพทยา (พลอย แพทยานนท์) และบางส่วนมาจากการบริจาคจากประชาชนทั่วไป ตำรายาโบราณดังกล่าว ส่วนใหญ่จะเขียนด้วยลายมือเป็นภาษาบาลี สันสกฤตและไทย จำนวนทั้งหมด ๒๓๓ เล่ม ประกอบด้วย หนังสือใบลาน ๑๖ ผูก สมุดข่อย ๑๓๐ เล่ม และหนังสือหายาก ๘๗ เล่ม ซึ่งในปัจจุบันทางโรงพยาบาลอภัยภูเบศรได้ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการหลายสาขาวิชาชีพเพื่อสังคายนาตำรายาโบราณ พร้อมทั้งจัดหมวดหมู่และแปลตำราเผยแพร่ให้นำไปสู่การใช้ประโยชน์จากการแพทย์แผนไทยให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น ปริวรรต พลิกฟื้นตำรายาโบราณ...พลิกฟื้นใบลานสู่การรักษา นับจากการสร้างตึกแห่งนี้เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๒ จนถึงปัจจุบัน ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรก็จะมีอายุครบ ๑๐๐ ปี ด้วยเหตุนี้ในวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๒ ที่ผ่านมา โรงพยาบาลอภัยภูเบศรจึงได้จัดงาน “เสวนาตำรายาโบราณเนื่องในวาระครบรอบ ๑๐๐ ปี ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรและฉลองพระชนมายุ ๘๔ พรรษา สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอเจ้าฟ้าเพชรรัตน์ราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี” ขึ้น โดยเชิญนักวิชาการในหลายสาขาอาทิเช่น รศ. ศรีศักร วัลลิโภดม ที่ปรึกษามูลนิธิเล็ก – ประไพ วิริยะพันธุ์ ดร.สุรสิทธิ์ ไทยรัตน์ และ ผศ.ดร.จักร แสงมา จากหน่วยปฏิบัติการเคมีสารสนเทศ คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คุณกีรติวจน์ ธนภัทรธุวานันท์ จากศูนย์จารึกและเอกสารโบราณ สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คุณเกริก อัครชิโนเรศ จากคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และดร.อุษา กลิ่นหอม จากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดยมีอาจารย์ฆัสรา ขมะวรรณ มุกดาวิจิตร รองผู้อำนวยการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ดำเนินรายการ และเภสัชกรหญิง.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เป็นผู้สรุปและบันทึกการเสวนา ผู้ร่วมเสวนาได้นำเสนอประเด็นเกี่ยวกับการวิเคราะห์เนื้อหาของตำรายาที่อยู่ในคัมภีร์ใบลานซึ่งมีความเชื่อและคติแฝงอยู่ด้วย ทั้งที่เป็นคัมภีร์ใบลานที่เก็บไว้ในวัด เช่น แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ที่มีเนื้อหาประกอบด้วย คัมภีร์ปฐมจินดา คัมภีร์พรหมปุโรหิต คัมภีร์ธาตุวิภังค์ ว่าด้วยธาตุพิการตามฤดู และคัมภีร์สมุฏฐานวินิจฉัยซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการวินิจฉัยโรคและประกอบตัวยา ซึ่งในหนึ่งหน้ามีตัวยาแก้โรคหลายชนิด ในศาสนาอิสลามพบว่าได้มีการบัญญัติวิธีการรักษาโรคไว้ในคัมภีร์กุรอ่าน นอกจากนี้ ในกลุ่มชาติพันธ์ต่างๆ เช่น ไทยใหญ่ มอญ ก็มีการบันทึกสูตรยารักษาโรคไว้ในคัมภีร์ใบลานของตนด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งกระบวนการสำคัญของการศึกษาตำรายาโบราณดังกล่าว คือการปริวรรตคัมภีร์ใบลานที่ต้องอาศัยการถอดรหัสและตีความภาษาที่เป็นปริศนาเกี่ยวกับสูตรยา ซึ่งต้องใช้ความรู้และเวลาที่ยาวนานในการศึกษา เมื่อผ่านการปริวรรตจนได้สูตรยาต่างๆ มาแล้ว ในทางวิทยาศาสตร์จะนำเอาพืชสมุนไพรที่ถูกระบุว่าเป็นองค์ประกอบของสูตรยานั้นๆ ไปศึกษาหาสารเคมีประกอบของตัวยาที่มีผลต่ออาการของโรค ว่ามีสรรพคุณทางยาเป็นอย่างไร จึงเรียกได้ว่าเป็นการระดมสรรพวิชาทั้งภาษาศาสตร์ สังคมศาสตร์และวิทยาศาสตร์เพื่อใช้ในการถอดรหัสและตีความเพื่อนำสู่การทำความเข้าใจและศึกษาอย่างมีระบบระเบียบอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ รวม-แลกสูตรยา เพื่อร่วมพัฒนาตำรายาไทย นอกจากการศึกษาเรื่องตำรายาโบราณที่มีอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของตนเองแล้วโรงพยาบาลอภัยภูเบศรยังได้ใช้วิธีการแลกเปลี่ยนสูตรยาระหว่างกัน โดยหากมีผู้สนใจจะมาขอสูตรยาของโรงพยาบาลก็จะต้องมีสูตรยาของตนมาแลกเปลี่ยนด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งหลังจากที่โรงพยาบาลได้สูตรยาเหล่านั้นไปแล้วก็จะรวบรวมนำไปศึกษาและพัฒนาให้เป็นสูตรยาสมุนไพรเพื่อรักษาโรคต่างๆ ให้ได้ผลดีต่อไป ในวันนี้ผลของการแบ่งปันองค์ความรู้เรื่องตำรายาของโรงพยาบาลอภัยภูเบศรได้ส่งผลให้เกิดเครือข่ายภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนายาแผนไทยให้ก้าวหน้ามากขึ้น โดยเห็นจากกลุ่มสมาชิกที่เข้าร่วมกิจกรรมในการเสวนาในครั้งนี้ต่างมาจากหลากหลายท้องถิ่นซึ่งนับว่าเป็นแนวโน้มที่ดีในการพลิกฟื้นตำรายาโบราณให้กลับมามีคุณค่ามากกว่าจะถูกเก็บไว้ในตู้โชว์เพียงอย่างเดียว อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- จากกระรอกด่อนถึงปลาไหลเผือก : ตำนานความวิบัติของบ้านเมือง
เผยแพร่ครั้งแรก 1 พ.ย. 2552 จากการศึกษานิเวศวัฒนธรรมของข้าพเจ้าพบว่า “นิเวศทางธรรมชาติ” ที่เหมาะสมกับการสร้างบ้านแปงเมืองและนครรัฐในอดีตของดินแดนสยามประเทศหลายแห่งพัฒนาขึ้นในบริเวณรอบๆ หนองน้ำขนาดใหญ่ที่เรียกในปัจจุบันว่า แก้มลิง ตามคำนิยามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกล่าวถึงในการพัฒนาแหล่งน้ำให้กับประชาชน ลักษณะของหนองน้ำหรือบึงใหญ่เช่นนี้ ในภาษาอังกฤษมักเรียกว่าเป็น ทะเลสาบตามฤดูกาล [Seasonal lake] เป็นทะเลสาบภายในที่น้ำไม่นิ่งแบบซังกะตาย แต่มีการถ่ายเทตามฤดูกาล ในฤดูแล้งพื้นที่น้ำขังจะลดถอยและแห้งจนเหลือพื้นที่น้ำขังเพียง ๑ ใน ๓ หรือ ๑ ใน ๔ ของบริเวณทั้งหมด อย่างในภาคอีสานจะเรียกพื้นที่แห้งรอบๆ ว่า ทาม ในขณะที่พื้นที่ซึ่งยังมีน้ำอยู่เรียกว่า บุ่ง หรือ บึง นั่นเอง ซึ่งทำให้แลเห็นความต่างกันของบึงและหนองอย่างชัดเจน คือในกรณีนี้ บึงคือส่วนที่มีน้ำ ส่วนหนองหมายถึงพื้นที่ซึ่งมีทั้งทามและบุ่งหรือบึงในฤดูแล้ง จากหลักฐานทางโบราณคดี เช่น ร่องรอยของชุมชนโบราณที่เป็นบ้านเมืองและตำนาน [Myth] พบว่ามีเมืองขนาดใหญ่ที่เป็นนครรัฐเกิดขึ้นตามหนองใหญ่ๆ เช่นนี้มากมาย อย่างเช่นทะเลสาบคุนหมิง และทะเลสาบต้าลี่ในมณฑลยูนนานทางตอนใต้ของจีน ทะเลสาบคุนหมิงเป็นที่ตั้งของเมืองสำคัญของอาณาจักรเทียน ที่เป็นแหล่งอารยธรรมแรกเริ่มของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุควัฒนธรรมสำริดและเหล็ก ในขณะที่ทะเลสาบต้าลี่คือหนองแสในตำนานประวัติศาสตร์ชนชาติไทยที่กล่าวถึงกลุ่มชาติพันธุ์ที่เคลื่อนย้ายลงมาตั้งถิ่นฐานในลุ่มน้ำโขงตอนล่างตั้งแต่เชียงแสน เชียงราย ลงมาจนถึงปากน้ำโขงในประเทศเวียดนาม ในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงตอนล่างนี้มีหนองใหญ่ดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ที่เป็นแหล่งการเกิดบ้านเมืองใหญ่ๆ มากมาย เช่น หนองหล่ม ในเขตอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย กว๊านพะเยา ในเขตจังหวัดพะเยา หนองหานภุมภวาปี อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี และ หนองหานหลวง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร รวมทั้ง บึงราชนก ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก นอกจากนั้นยังมีร่องรอยอีกหลายแห่งตามบึงใหญ่ หนองใหญ่ ที่ปัจจุบันตื้นเขินไป โดยเฉพาะในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งอยู่บนที่ราบสูง [Plateau] ซึ่งแบ่งออกเป็น ๒ แอ่ง คือ แอ่งโคราชและแอ่งสกลนคร อันเป็นพื้นที่ดินเค็มที่มีหินเกลืออยู่ข้างใต้ การละลายของเกลือทำให้แผ่นดินยุบเกิดเป็นหนองบึง [Seasonal lake] ใหญ่น้อยในหลายๆ พื้นที่ โดยเฉพาะในแอ่งสกลนครและบริเวณใกล้เคียงเกิดหนองน้ำขนาดใหญ่ เช่น หนองหานสกลนคร หนองหานน้อยและหนองหานกุมภวาปีในเขตจังหวัดอุดรธานี เป็นต้น หนองน้ำที่กล่าวมานี้เป็นที่เกิดชุมชนมาแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งพัฒนาขึ้นเป็นเมืองใหญ่แต่สมัยทวารวดี-ลพบุรี มาจนปัจจุบัน มีตำนานเมืองเล่าขานกันสืบมา เหตุที่เกิดชุมชนและเมืองขึ้นก็เพราะเป็นนิเวศธรรมชาติที่ในฤดูแล้งพื้นที่ของท้องน้ำในหนองลดลงประมาณ ๒-๓ เท่า แบ่งพื้นที่แห้งรอบๆ ของหนองให้เป็นพื้นที่ ทาม เป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์เพราะมีตะกอนทับถมตามฤดูกาล เหมาะแก่การเพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร ส่วนตรงที่มีน้ำขังนั้นเรียก บุ่ง กลายเป็น แหล่งเก็บน้ำ [Tank] เพื่อการอุปโภคบริโภคของคนเมือง ตำนานเมืองของหนองใหญ่เหล่านี้สะท้อนให้เห็นการรับรู้ของผู้คนที่มีต่ออำนาจเหนือธรรมชาติที่เป็นเจ้าของหนองน้ำและทรัพยากรธรรมชาติอันอำนวยความสมบูรณ์พูนสุขแก่คนเมือง ว่าเป็นแหล่งที่อยู่ของพญานาคอันพำนักอยู่ใต้น้ำ ถ้าหากผู้คนประพฤติดีพลีถูกก็ดูแลคุ้มครองให้ แต่ถ้าหากประพฤติเลวทรามก็ลงโทษ โดยเฉพาะถ้าคนเมืองประพฤติชั่วร้ายตั้งแต่เจ้าเมือง เจ้านาย จนถึงไพร่ฟ้าประชาชนก็จะบันดาลให้เมืองล่มจมและผู้คนล้มตาย ตำนานเมืองที่โดดเด่นและมีเนื้อหาเหมือนกันทุกหนองน้ำอันเป็นที่ตั้งของบ้านเมืองก็คือ ตำนานผาแดง-นางไอ่ อันมีใจความโดยย่อว่า เมืองหนองหานนั้นเป็นเมืองพญานาคสร้าง กษัตริย์ผู้ครองเมืองมีธิดาชื่อ นางไอ่ ในชาติก่อนนางเป็นคู่รักกับพังคีผู้เป็นลูกพญานาค แต่ในชาตินี้นางไอ่มีคู่รักใหม่เป็นคนต่างเมืองชื่อ ผาแดง ในขณะที่พลอดรักกันอยู่ในเมืองนั้น พังคีได้ขึ้นมาจากบาดาล แปลงเป็นกระรอกขาวที่คนอีสานเรียกว่า กระรอกด่อน มาแอบดู เผอิญนางไอ่เหลือบเห็นกระรอกด่อนก็อยากได้ ขอร้องให้ผาแดงไปจับมาให้ แต่ผาแดงให้คนของตนไปจับและยิงกระรอกตาย เมื่อตายกระรอกก็โตใหญ่ขึ้นหลายสิบเท่า เป็นที่สนใจของคนเมือง พากันมาแล่เนื้อกระรอกไปกิน ยกเว้นหญิงหม้ายกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้ไปแล่เนื้อมากินกับเขา พอตกกลางคืนพญานาคผู้เป็นบิดาของพังคีก็แสดงฤทธิ์ถล่มเมืองหนองหานจมลง ผู้คนที่กินกระรอกด่อนล้มตายจนหมดสิ้น รวมทั้งผาแดงและนางไอ่ที่ควบม้าหนีตาย แผ่นดินก็ถล่มตามไปจนต้องตาย คนที่ไม่ตายก็คือบรรดาหญิงหม้ายที่ไม่ได้กินเนื้อกระรอกด่อน จึงเกิดมีเกาะแม่หม้ายหรือดอนแม่หม้ายขึ้นในบริเวณหนองน้ำในปัจจุบัน เรื่องราวเกี่ยวกับการฆ่ากระรอกด่อนและการล่มจมของเมืองก็เกิดเป็นชื่อของสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าลำน้ำ หนองบึง ที่สูง และชุมชนตามถิ่นต่างๆ ทั้งในพื้นที่หนองน้ำและรอบๆ หนอง เช่น บ้านเชียงแหง บ้านดอนสาย บ้านสีพันดอน เป็นต้น ปลาไหลเผือก ความเชื่อในเรื่องพญานาคว่าเป็นเจ้าของท้องน้ำและแผ่นดินนี้เป็นอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของคนล้านนาและล้านช้าง ซึ่งในพื้นที่ล้านนาในภาคเหนือของประเทศไทยก็มีปรากฏตามหนองน้ำใหญ่ๆ อันเป็นพื้นที่ที่มีการสร้างบ้านแปงเมืองมาแต่โบราณ ดังเช่น บึงราชนก ในเขตเมืองพิษณุโลก กว๊านพระเยา จังหวัดพะเยา และหนองหล่มในเขตอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย แต่ต่างจากทางภาคอีสานอันเป็นพื้นที่ทางวัฒนธรรมล้านช้างในเรื่องสัตว์ต้องห้ามที่ไม่ใช่กระรอกด่อนอันเป็นสัตว์บก แต่เป็น ปลา ซึ่งเป็นสัตว์น้ำแทน คือ บึงราชนกในเขตพิษณุโลกเป็น ปลาหมอ กว๊านพะเยาเป็น ปลาตะเพียน ซึ่งก็คล้ายๆ กันกับ ปลานิล ทั้งปลาหมอและปลาตะเพียนเป็นปลามีเกล็ด แต่หนองหล่มอันเป็นหนองใหญ่ของเชียงรายเป็น ปลาไหลเผือก เป็นประเภทปลาหนังไม่มีเกล็ด ตำนานหนองหล่มมีคนรู้จักมากกว่าตำนานบึงราชนกและกว๊านพะเยา เพราะไปสัมพันธ์กับตำนานประวัติศาสตร์ชาติไทย ตำนานนี้มีที่มาจากลักษณะภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของความเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ที่สัมพันธ์กับความเชื่อในเรื่องอำนาจเหนือธรรมชาติประการหนึ่ง กับเรื่องการเคลื่อนย้ายของผู้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานเป็นบ้านเป็นเมืองอีกประการหนึ่ง ประการแรก คือ เหตุที่เรียกหนองใหญ่นี้ว่า หนองหล่ม คำว่า “หล่ม” ไม่ได้หมายถึงล่ม แต่หมายถึงบริเวณที่เป็นหล่มมีน้ำขัง และน้ำนั้นมาจากน้ำใต้ดิน หาใช่ไหลมารวมจากผิวดิน หนองน้ำเช่นนี้เป็นหนองน้ำศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นน้ำสะอาดใช้ในการดื่มกินและอุปโภคได้ คนลาวไม่ว่าจะเป็นลาวล้านนาหรือลาวล้านช้างเชื่อว่าเป็นที่สถิตของพญานาคผู้เป็นเจ้าน้ำและแผ่นดิน เช่น คนลาวล้านช้างจะเชื่อว่าหนองน้ำเช่นนี้เป็นรูพญานาค ในขณะที่ตำนานการสร้างบ้านแปงเมือง เช่น เวียงจันทน์ หนองหาน และเวียงหนองหล่ม แสดงให้เห็นว่าพญานาคมาสร้างเมืองให้แก่คน ทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองเป็นเมืองใหม่ ความเชื่อในเรื่อง นาค เป็นเจ้าของแผ่นดินและน้ำในท้องถิ่นนี้ ข้าพเจ้าคิดว่ามีที่มาจากทางโลกหิมาลัยที่ผ่านมาทางแม่น้ำโขง หาใช่เป็นความเชื่อเช่นนาคของทางอินเดียไม่ ส่วน ประการที่สอง อันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายของผู้คนมาตั้งถิ่นฐานที่หนองหล่มนั้น ปรากฏอยู่ในตำนานสิงหนวัติที่กล่าวว่า เจ้าสิงหนวัติผู้เป็นพระโอรสของกษัตริย์ในที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน เคลื่อนย้ายผู้คนอพยพมาแต่ลุ่มน้ำพางที่อยู่เหนือลุ่มน้ำอิระวดี ผ่านลำน้ำสาละวินเข้ามายังลุ่มน้ำกก ผ่านเชียงรายลงมาถึงหนองหล่มในเขตอำเภอเชียงแสน ที่มีพญานาคตนหนึ่งชื่อ พันธุ์นาคราช มาเนรมิตบ้านเมืองให้ เจ้าสิงหนวัติจึงขนานนามเมืองว่า โยนกนาคพันธุ์ หรือเรียกว่า โยนก คำว่า โยนก จึงกลายมาเป็นชื่อของผู้คนที่เป็นชาวเมือง อันเพี้ยนมาเป็น ยวน เกิดคำว่า ไทยวน ที่หมายถึงคนเมืองในเขตแคว้นล้านนาประเทศ เจ้าสิงหนวัติเป็นกษัตริย์ครองเมืองโยนกนาคพันธุ์ มีลูกหลานสืบมาหลายชั่วคน จนถึงยุคหนึ่งผู้คนพลเมืองไม่ประพฤติธรรม เกิดความชั่วร้าย เวียงโยนกก็เลยเกิดภัยพิบัติล่มจมไปเป็นบึงหนองหล่มอย่างที่เห็นในทุกวันนี้ ตำนานบอกว่าเหตุที่เมืองล่มเพราะผู้คนในเมืองจับปลาไหลเผือกแล้วนำมาแล่แจกกันกิน พอตกกลางคืนก็เกิดพายุ น้ำท่วมเมืองจมไป ผู้คนรวมทั้งเจ้านายในราชวงศ์กษัตริย์หนีตายไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในที่อื่น เกิดเมืองใหม่ขึ้นหลายแห่ง เช่น เวียงไชยนารายณ์ ไชยปราการ เวียงปรึกษา และเวียงพานคำ โดยเฉพาะเวียงพานคำนั้นอยู่ริมแม่น้ำสายในเขตอำเภอแม่สาย ติดกับอำเภอท่าขี้เหล็กของพม่า เป็นที่ประสูติของพระเจ้าพรหมมหาราช ผู้เป็นมหาราชองค์แรกของชนชาติไทในตำนานประวัติศาสตร์ ลายเขียนสีบนภาชนะดินเผาแบบบ้านเชียง ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เรื่องของคนกินปลาไหลเผือกที่หนองหล่มได้เผอิญเข้ามาในความสนใจของข้าพเจ้าอีกวาระหนึ่ง เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้รับเชิญจากคุณเล็ก นครเชียงราย บรรณาธิการหนังสือนครเชียงรายให้ไปร่วมเสวนาเรื่อง ตำนานเวียงพางคำ ตามรอยพระเจ้าพรหมมหาราช ที่อำเภอแม่สายกับบรรดาผู้รู้ของเมืองแม่สาย เผอิญในตอนเช้าก่อนเดินทางกลับได้แวะไปเที่ยวตลาดแม่สายที่มีของพื้นเมืองนานาชนิดที่คนหลายชาติพันธุ์เข้ามาขาย มีพ่อค้าปลาคนหนึ่งนำปลาไหลเผือกประมาณ ๗-๘ ตัว มาวางขายรวมกับปลาไหลและปลาอื่นๆ ทำให้ประหลาดใจและสนใจว่าปลาไหลเผือกนั้นหาใช่ปลาไหลที่สมมติขึ้นในตำนานหนองหล่มไม่ หากเป็นสัตว์ที่มีจริงในท้องถิ่น คนขายปลาไหลเล่าให้ฟังว่า ปลาไหลเผือกที่เห็นบ่อยๆ แล้วเคยนำมาออกโทรทัศน์ คนที่ซื้อไปนั้นไม่ได้นำไปกิน แต่นำไปเลี้ยงและปล่อยเป็นการทำบุญบ้าง ลักษณะของปลามีทั้งสีขาว สีทองอมแดง และกระขาวกระดำ มีทั้งตัวใหญ่และตัวเล็ก แต่ที่เตะตาที่สุดคือ หัวของปลาไหลเหล่านี้ค่อนข้างใหญ่ ดูคล้ายอวัยวะเพศชาย ทำให้หวนรำลึกถึงภาพเขียนสีประดับหม้อบ้านเชียงและลายนูนต่ำของภาชนะดินเผายุคก่อนประวัติศาสตร์ที่หลายคนเห็นว่าเป็นงูนั้นน่าจะเป็นปลาไหลมากกว่า เพราะตรงหัวดูกลมคล้ายๆ กัน ข้าพเจ้าคิดว่าทั้งปลาไหลและงูนั้นคล้ายกันในลักษณะที่เป็นสัตว์สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก นับเป็นสัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ในการรับรู้และความเชื่อของคนมาแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ปลาไหลต่างจากงูในลักษณะนี้ เพราะเป็นสัตว์ไม่มีพิษมีภัย ไม่มีอำนาจ แต่งูมี จึงเกิดมีคนนิยมงูมากกว่า โดยเฉพาะในสมัยประวัติศาสตร์ลงมา งูจึงเป็นสัญลักษณ์ทั้งทางอำนาจและความอุดมสมบูรณ์ แต่คนยุคประวัติศาสตร์มักให้ความสำคัญต่อพิธีกรรมในเรื่องความอุดสมบูรณ์เป็นสำคัญ จึงมักเน้นพิธีกรรมที่มองสัตว์ที่มีความคล้ายคลึงกับอวัยวะเพศมากกว่า ซึ่งนอกจากปลาไหลแล้วก็มีพวกปลาช่อน ปลาชะโด ที่มีลักษณะในเรื่องนี้ โดยเฉพาะปลาช่อนนั้นมีการทำพิธีสวดคาถาปลาช่อนในการขอฝนขอน้ำกันในหมู่ชาวบ้านเรื่อยมาจนทุกวันนี้ เพราะปลาไหลเผือกเป็นสัตว์หายาก ผิดปกติไม่ใช่ธรรมดา จึงทำให้คนเชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับอำนาจเหนือธรรมชาติที่ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากเกี่ยวข้องด้วยไม่ดีแล้วจะนำไปสู่ความโชคร้ายและวิบัติได้ จึงกลายเป็นสัตว์ต้องห้าม [Taboo] ตามตำนาน การรับรู้ดังกล่าวรวมทั้งการเป็นสัตว์ที่มีจริงในธรรมชาติ ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่คนในท้องถิ่นเชียงแสน-เชียงราย นำเอาไปสร้างเป็นตำนานเพื่อปรามคนในสังคมไม่ให้ประพฤติผิดศีลธรรม เช่นเดียวกับตำนานกระรอกด่อนของคนอีสาน ทั้งตำนานกระรอกด่อนและปลาไหลเผือกต่างเป็นตำนานที่สะท้อนให้เห็นความเป็นนิเวศวัฒนธรรมของสังคมท้องถิ่น อันเป็นเรื่องที่สร้างขึ้นจากความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน ในลักษณะที่ต้องอยู่รวมกันเป็นบ้านเป็นเมือง ความสัมพันธ์ของคนกับสภาพแวดล้อมธรรมชาติ ตั้งแต่การกำหนดรากเหง้าที่อยู่อาศัย แหล่งทำกิน แหล่งสาธารณะอันเป็นของส่วนรวมและแหล่งศักดิ์สิทธิ์ที่สัมพันธ์กับอำนาจเหนือธรรมชาติ รวมทั้งการเกี่ยวข้องกับสัตว์ พืชพันธุ์ที่เป็นอาหารการกินและยารักษาโรค ความสัมพันธ์ที่ขาดไม่ได้ก็คือคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติที่ถูกสร้างให้เห็นระบบความเชื่อและสัญลักษณ์ที่มีอำนาจในการควบคุมพฤติกรรมของคนในสังคม [Social sanction] เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างราบรื่นและสันติสุข อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- การค้าโบราณ
เผยแพร่ครั้งแรก 1 เม.ย. 2527 พัฒนาการของสังคมมนุษย์ในอดีต จากการเป็นชุมชนที่อยู่ติดที่ เป็นหมู่บ้านที่อาศัยการเพาะปลูกเป็นหลัก จนถึงมีการขยายตัวเป็นเมืองเป็นรัฐขึ้นมานั้น หาได้เกิดขึ้นจากปัจจัยภายในสังคม เช่น การมีแหล่งทำมาหากินที่สามารถผลิตอาหารเลี้ยงคนเป็นจำนวนมากแต่เพียงอย่างเดียวไม่ หากต้องอาศัยปัจจัยจากภายนอกโดยเฉพาะการค้าขายติดต่อกับสังคมอื่นที่อยู่ใกล้และไกลมากกระตุ้นให้สังคมมีโครงสร้างสลับซับซ้อน มีการรับศิลปะวิทยา ศาสนา อักษรศาสตร์ วรรณคดี และขนบประเพณีจากภายนอกเข้ามาปรุงแต่ง ทำให้เกิดความเจริญในชั้นที่เรียกว่า “อารยธรรม” ขึ้น เมื่อเกิดแหล่งที่เป็นศูนย์กลางอารยธรรมขึ้น เมื่อเกิดแหล่งที่เป็นศูนย์กลางอารยธรรมขึ้น ณ แห่งใดแห่งหนึ่งแล้วก็มักมีการสร้างหรือแผ่ขยายเครือข่ายทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองไปยังแหล่งอื่นๆ ทำให้เกิดรูปแบบทางวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกัน และร่วมสมัยเกิดขึ้นระหว่างบรรดาเมืองหรือรัฐที่มีความสัมพันธ์กันเหล่านั้น พัฒนาการของบ้านเมืองและรัฐในประเทศไทย เมื่อดูจากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและสังคมแล้ว อาจกล่าวได้ว่ามีความสัมพันธ์กับการค้าขายเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เพราะเป็นประเทศที่มีแหล่งทำกันที่อุดมสมบูรณ์กว้างขวาง แต่มีประชากรน้อย คนจึงพร้อมที่จะแยกตัวไปตั้งแหล่งทำมาหากินหรือแหล่งชุมชนอิสระได้ง่ายๆ ถ้าหากได้รับความกดดันทางเศรษฐกิจและการเมือง ยิ่งกว่านั้น การที่เป็นดินแดนในเขตลมมรสุมซึ่งพัดพาฝนมาตกเป็นประจำทุกฤดูกาล ก็ยิ่งทำให้การปลูกข้าวซึ่งเป็นอาชีพหลักและอาหารหลักของประชาชนเป็นสิ่งที่ไม่มีอุปสรรค ไม่มีความจำเป็นต้องแสวงหาเทคโนโลยีมาสร้างสรรค์การชลประทานให้มีผลิตผลอย่างมาก ถึงปีก็ปลูกกันทีหนึ่งให้พอกินได้ครบปี พอปีหน้า ฝนมาก็ปลูกกันใหม่ จากการที่ไม่มีอุปสรรคดังกล่าวนี้ ทำให้ผู้คนแยกกันตั้งแหล่งชุมชนไปตามท้องถิ่นต่างๆ ในลักษณะที่กระจายอยู่ในรูปของชุมชนเล็กๆ บ้านเมืองเล็กๆ การรวมตัวทางการเมืองการปกครองขึ้นเป็นรัฐจึงมีลักษณะเป็นรัฐอิสระเล็กๆ หรือนครรัฐอยู่ทั่วไป สิ่งที่กระตุ้นให้เกิดพัฒนาการของรัฐหรือความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ การค้าขายกับภายนอกนั่นเอง ตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และทรัพยากรทางธรรมชาตินั้น เป็นปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้เกิดการค้าขายซึ่งมีผลไปถึงพัฒนาการของเมืองและรัฐเป็นอย่างมาก ในเรื่องตำแหน่งทางภูมิศาสตร์นั้นเห็นได้ว่า ประเทศไทยตั้งอยู่บนแผ่นดินใหญ่และคาบสมุทรเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงอยู่บนเส้นการค้าขายทางทะเลระหว่างตะวันตก (อินเดีย) กับตะวันออก (จีน) การค้าขายไปมาระหว่าง ๒ ดินแดนดังกล่าวนี้ ย่อมผ่านและจอดแวะประเทศไทยก่อนเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทาง ส่วนทรัพยากรธรรมชาตินั้น ได้แก่บรรดาของป่าต่างๆ เช่น หนังสัตว์ ไม้หอม และแร่ธาตุ ซึ่งมีอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ เป็นสิ่งที่บ้านเมืองภายนอกต้องการ เพราะฉะนั้น การเดินทางมาค้าขายของชาวต่างประเทศ จึงไม่จำกัดเฉพาะมาแวะจอดพักเพื่อจะผ่านไปยังที่อื่นเท่านั้น หากยังเป็นจุดหมายปลายทางในการซื้อหาของป่าอีกด้วย การค้าขายของป่ากับต่างประเทศเป็นผลให้เกิดการสังสรรค์กันขึ้นระหว่างบ้านเมืองที่อยู่ในเขตชายทะเลซึ่งทำหน้าที่ขายของให้กับพ่อค้าชาวต่างประเทศที่มาซื้อกับชุมชนที่อยู่ภายใน ซึ่งจะส่งสินค้าป่าลงมาให้กับบ้านเมืองที่อยู่ชายทะเล ผลของการสังสรรค์ดังกล่าวทำให้เกิดเส้นทางการค้าทางบกจากบ้านเมืองแถวชายทะเลหรือปากแม่น้ำไปยังภายใน ณ บนเส้นทางการค้านี้เอง ที่ชุมชนภายในอันประกอบด้วยกลุ่มชนที่มีเผ่าพันธุ์ต่างๆ เคลื่อนย้ายมารวมตัวเป็นบ้านเป็นเมืองขึ้น บางแห่งก็กลายเป็นรัฐอิสระ แต่บางแห่งก็กลายเป็นหัวเมืองของรัฐที่อยู่ชายทะเลซึ่งมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมด้วย โดยทั่วไปแล้วบ้านเมืองทางชายทะเลมักเกิดขึ้นเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมก่อน คือเป็นฝ่ายที่รับสินค้าจากภายในไปขายออกสู่ภายนอก ในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่กระจายสินค้าฟุ่มเฟือย และวัฒนธรรมของตนมายังบ้านเมืองภายใน ความสัมพันธ์ดังกล่าวนี้ได้คลี่คลายไปเป็นความสัมพันธ์ทางการเมืองด้วย กล่าวคือ การเกิดของเมืองหรือรัฐภายในนั้นมักได้รับการผลักดันหรือการสนับสนุนจากรัฐที่เป็นศูนย์กลางที่อยู่ชายทะเลหรือปากแม่น้ำ ในชั้นแรกก็คงพยายามให้เป็นหัวเมืองที่อยู่ในเครือข่ายทางเศรษฐกิจและการเมืองของตน แต่ในชั้นหลังหัวเมืองภายในนี้อาจสร้างตัวเองเข้มแข็งขึ้นเป็นรัฐอิสระและสร้างความสัมพันธ์ทางการเมืองกับรัฐอื่นๆ ทั้งที่อยู่ภายในด้วยกันกับบรรดาที่อยู่ใกล้ทะเลหรือปากแม่น้ำ อย่างไรก็ตาม เมื่อดูตามการคลี่คลายของสังคมและวัฒนธรรมตามเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์แล้ว จะเห็นว่าถึงแม้การค้าขายจะสร้างความมั่งคั่งแก่ชุมชนจนเกิดเป็นเมืองเป็นรัฐขึ้นมาในลักษณะที่เป็นทางบวกก็ตาม แต่ก็มีสิ่งที่เป็นทางลบ นั่นก็คือการสร้างให้เกิดการแข่งขันและแก่งแย่งทางเศรษฐกิจการเมืองขึ้นทั้งภายในสังคมเองและกับบ้านเมืองหรือรัฐอื่นๆ ภายนอก การรบพุ่งระหว่างรัฐต่อรัฐ เช่น ระหว่างนครศรีธรรมราชกับเพชรบุรีในสมัยก่อนการสร้างพระนครศรีอยุธยาก็ดี การสงครามระหว่างกรุงศรีอยุธยากับพม่าก็ดี หรือการขัดแย้งระหว่างกรุงศรีอยุธยากับฮอลันดาก็ดี ล้วนแต่มีความสาเหตุที่สำคัญอย่างหนึ่งมาจากการแข่งขันกันในการค้าขายทั้งสิ้น ภายในแต่ละรัฐเองการแข่งขันชิงดีกันในการค้า ทำให้เกิดการขัดแย้งอำนาจกันระหว่างขุนนางเจ้านายและพระมหากษัตริย์ผู้ปกครองเสมอ จนกล่าวได้ว่าเป็นสาเหตุที่สำคัญอย่างหนึ่งในการเสียพระนครศรีอยุธยาให้แก่พม่าครั้งที่สองใน พ.ศ. ๒๓๑๐ ทีเดียว บทบรรณาธิการวารสารเมืองโบราณ ปีที่ ๑๐ ฉ. ๒ (เมษายน-พฤษภาคม ๒๕๒๗)









