พบผลการค้นหา 220 รายการ
- ตลาดสามชุกวันนี้
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ส.ค. 2554 นับจากยุคที่ตลาดสามชุกโรยราไปเมื่อกว่า ๔๐ ปีที่แล้ว พอพลิกฟื้นก็กลับกลายเป็นตลาดโบราณแบบใหม่เพื่อการท่องเที่ยวแบบทันสมัย เมื่อไปเยี่ยมเยือนเพื่อนเก่าที่ตลาดสามชุกก็ทำให้เข้าใจในความเปลี่ยนแปลง ความมุ่งหวังในอนาคตและปัญหาที่ยังคงดำรงอยู่ สามชุกเคยเป็นชุมทางเดินทางและค้าขายมาแต่อดีต หากนับตั้งแต่มีการปลูกข้าวทำนาเพื่อส่งออกในยุคต้นรัตนโกสินทร์ลงมา การขนส่งข้าวจากพื้นที่ราบปลูกข้าวขนาดใหญ่ในเขตทางเหนือของสุพรรณบุรีสู่ท่าเรือในกรุงเทพฯ ในยุคที่เรือขนส่งยังเป็นหัวใจของลุ่มน้ำลำคลอง ชาวนามักมาขายข้าวที่ตลาดสามชุกซึ่งมีนายภาษีอากรเชื้อสายจีน ผู้เป็นเจ้าของโรงเหล้า โรงยาฝิ่น เป็นคหบดีใหญ่อยู่หลายท่าน นอกจากนี้เรือเมล์ใหญ่สองชั้นที่จะไปยังกรุงเทพฯ ก็จะจอดที่สามชุกเป็นท่าสุดท้ายในแม่น้ำสุพรรณบุรี จากนี้ไปก็ต้องต่อเรือหรือขึ้นบกไปกันเอง จนทำให้ตลาดสามชุกกลายเป็นแหล่งจอดเรือบรรทุกสินค้า เรือรับส่งผู้โดยสาร และกลายเป็นแหล่งทำมาค้าขายที่คึกคักที่สุดตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ ๕ ตลาดเรือนแถวที่คึกคักใหญ่โตหลายแถวหลายแนวเรียงต่อกัน ทำให้การค้าขายที่สามชุกใหญ่โตตามไปด้วย ซึ่งก็คงไม่ต่างกับตลาดริมน้ำที่ศรีประจันต์หรือเก้าห้องที่อยู่ในเขตต่ำลงมา มาจนถึงราว พ.ศ.๒๕๐๐ อันเป็นยุคก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ และอีกสิบปีให้หลัง จนกระทั่ง ถนนไปสู่เขตป่าเขาภายใน และการสร้างประตูน้ำทั้งหลาย ทำให้การขนส่งข้าวและเรือเมล์รับส่งผู้โดยสารเลือนหายไปตามกาลเวลา นับแต่นั้นตลาดสามชุกก็ค่อยๆ ลดความแออัดจอแจของย่านตลาด กลายเป็นอดีตชุมชนการค้าที่นับวันจะรอแต่การรื้อถอนเพราะเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา ผู้คนที่มีรากฐานในตลาดต่างส่งลูกหลานไปศึกษาภายนอก และส่วนใหญ่ก็ไม่ได้กลับบ้านมาอยู่ที่ตลาดสามชุก ทำให้ชุมชนริมน้ำที่ร้างผู้คนอยู่แล้วกลายเป็นตลาดไม้เก่า ๆ ทรุดโทรมจนแทบจะพัง ตลาดใหม่ก็กลายเป็นอยู่ริมถนนปิดทางเข้าตลาดริมน้ำเอาไว้ จนตลาดเก่าริมน้ำกำลังจะถูกกรมธนารักษ์รื้อถอนไล่รื้อคนเช่าเดิมออกไป ก็มีการรวมตัวของคณะกรรมการตลาดเก่าขึ้นมาเพื่อค้นหาทางยืดลมหายใจของพื้นที่ตลาดสามชุกที่เป็นรากเหง้าของชุมชนมาไม่ต่ำกว่าร้อยปี คณะกรรมการพัฒนาตลาดสามชุกเป็นคนท้องถิ่น เกิดและเติบโต เห็นทั้งความรุ่งเรืองและร่วงโรย เพราะส่วนใหญ่เป็นในวัยที่จดจำความคึกคักของตลาดสามชุกได้เป็นอย่างดี พงษ์วิน ชัยวิรัตน์ ซึ่งเป็นนายกเทศมนตรีขณะนั้น เป็นประธาน ในตลาดยังมีร้านค้าและร้านอาหาร ร้านกาแฟเจ้าเดิมที่เคยค้าขายมาแต่ก่อนอยู่เหลือเพียงไม่กี่เจ้า เมื่อมีการประชุมร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ องค์กรพัฒนาเอกชนจากภายนอก ความช่วยเหลือเพื่อพัฒนาเมืองสามชุกให้น่าอยู่ก็เกิดขึ้นเมื่อราว พ.ศ. ๒๕๔๓ กว่าสิบปีที่คณะกรรมการพัฒนาตลาดสามชุกต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ ได้รับความร่วมมือ ความช่วยเหลือต่าง ๆ จากองค์กรและสถาบันการศึกษาจากภายนอกก็หลายแห่ง การเรียนรู้จากภายในนั้นกลับกลายเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญยิ่งกว่า งานอาสาสมัครที่เริ่มต้นทำมาด้วยกันเป็นกลุ่มอย่างไม่เป็นทางการ และการทุ่มเทของคนภายในกลับทำให้การดำเนินงานประสบผลมากกว่ากลุ่มท้องถิ่นอื่น ๆ ที่จัดกิจกรรมในช่วงเวลาเดียวกัน คณะกรรมการตลาดสามชุกซึ่งส่วนใหญ่มีเชื้อสายจีนกันอยู่ไม่มากก็น้อย จัดกิจกรรมฟื้นฟูประเพณีต่าง ๆ จากประเพณีท้องถิ่นแต่เดิม การฉลองหรือบูชาศาลเจ้าอันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำตลาดเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมของชาวบ้านในชุมชน วางแผนในการพัฒนาปรับปรุงตลาดทางกายภาพ โดยการหาทุนทรัพย์ต่าง ๆ มาบริหารจัดการ การจัดการตลาดขนาดใหญ่เพื่อการท่องเที่ยวโดยคนในท้องถิ่นเองเช่นนี้ ถือว่ายังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทย สามชุกกลายเป็นตลาดโบราณแห่งแรก ๆ ที่ทำแล้วประสบผลสำเร็จ ก็เพราะการจัดการท่องเที่ยวแต่เดิมนั้นมักจะมีหน่วยงานรัฐเข้ามาร่วมจัดการ เช่น สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยที่ตั้งในภูมิภาคต่างๆ เป็นต้น หรือไม่ก็นักการเมืองท้องถิ่น หรืออาจจะเป็นนโยบายของข้าราชการประจำ หรือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของเอกชนซึ่งสามารถดูแลจัดการได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่ไม่เคยมีกิจกรรมการท่องเที่ยวที่บริหารจัดการโดยท้องถิ่นเข้ามาจัดการดูแล เป็นคณะกรรมการพัฒนาตลาดที่ประสบผลสำเร็จในการดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากเช่นนี้มาก่อน เรื่องเหล่านี้กลายเป็นสิ่งท้าทาย เพราะไม่เพียงแต่จะจัดการเพื่อจัดระบบผู้ค้าขายและผู้ซื้อในแบบที่ไม่ตึงหรือหย่อนจนเกินไป ในขณะเดียวกันก็ต้องจัดการท่องเที่ยวที่มีทั้งเนื้อหาและความรู้แทรกไปพร้อม ๆ กัน โดยตั้งจุดมุ่งหมายไว้ว่า ตลาดสามชุกไม่ใช่ตลาดเพื่อการอนุรักษ์อดีตแต่จะต้องพัฒนาไปตามยุคสมัยที่วิถีชีวิตของผู้คนเปลี่ยนแปลงไป เป็นการอนุรักษ์ที่มีชีวิตชีวา วิถีชีวิตสัมผัสได้จริง ในช่วงหนึ่ง ตำแหน่งนายกเทศมนตรีนั้นกลายเป็นเรื่องทางการเมืองท้องถิ่น ทำให้เกิดความแตกต่างทางความคิด จน พงษ์วิน ชัยวิรัตน์ กลับมาเป็นนายกเทศมนตรีอีกครั้งในปัจจุบัน แต่ก็อยู่ช่วงวาระที่เหลืออีกไม่มากนัก อีกทั้งยังมีมีปัญหาความขัดแย้งกับการเมืองท้องถิ่นในระดับประเทศที่มีนักการเมืองเข้ามามีอิทธิพลในทุกเรื่องและทุกระดับ ก็เพราะชุมชนแบบสามชุกมักทำกิจกรรมประสบผลสำเร็จ มีผู้คนสนใจเข้ามาเที่ยวกันมากมาย แตกต่างจากการจัดการอื่นๆ ในจังหวัดสุพรรณบุรี ปัญหาทางการเมืองก็กลายเป็นสิ่งที่ทำให้การพัฒนาตลาดสามชุกเป็นไปได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะงานงบประมาณจากรัฐสนับสนุน แต่กลายเป็นความขาดแคลนที่เหมาะสม อันเนื่องจากการเติบโตอย่างเชื่องช้านี้ทำให้เกิดความคิดร่วมของคนสามชุกที่ร่วมกันพัฒนาตลาดเพื่อการต่อสู้กับอุปสรรคอย่างมั่นคงและมั่นใจ โดยไม่ต้องติดหนี้บุญคุณในทางการเมืองที่มักเกิดขึ้นกับชุมชนตลาดเก่าหลายแห่งและกิจกรรมทางสังคมที่รัฐเข้าไปครอบงำ ในปัญหาต่าง ๆ ชาวตลาดสามชุกเกิดความไม่เข้าใจกันมาหลายช่วงหลายครั้ง ทำให้ไม่ได้รับความร่วมมือจากชาวบ้านด้วยกันเอง และแนวทางการพัฒนาตลาดบางครั้งก็มีความเห็นไม่ตรงกับข้าราชการ การสนับสนุนทั้งทางการเมืองและระบบของข้าราชการประจำจึงมีน้อยอย่างยิ่ง ทุกคนในชุมชนมีความสุขมากขึ้น ลูกหลานกลับบ้านมาช่วยกันค้าขาย เศรษฐกิจดีถ้วนหน้า เกิดความภาคภูมิใจกับการได้เป็นต้นแบบแห่งการเรียนรู้ แหล่งท่องเที่ยวเชิงวิถีชีวิต วัฒนธรรมริมแม่น้ำ พงษ์วิน ชัยวิรัตน์ ผู้นำในการปรับปรุงตลาดสามชุกที่เปลี่ยนไปทั้งสวยสะอาดและเป็นระเบียบน่าเดินมากขึ้น แต่ก็ยังอยู่ในความนิยมที่มีนักท่องเที่ยวล้นหลามแทบทุกวัน แต่ผลเสียที่ตามมาก็คือ คนทั่วไปเริ่มนิยมการท่องเที่ยวในเชิงหวนหาอดีต การได้ไปเที่ยวตลาดเก่า ได้ซื้อของเล่นตั้งแต่สมัยยังเด็ก ได้รับประทานอาหารและจับจ่ายใช้สอยในสิ่งที่แทบจะหายไปจากตลาดในชีวิตประจำวันของพวกเขาแล้ว พิพิธภัณฑ์ของชาวบ้านสามชุกกลายเป็นเรื่องรองลงไปมาก จนแทบมีคนสนใจเข้าไปเยี่ยมชมไม่มากนัก การทำตลาดเพื่อการเรียนรู้กลายเป็นสิ่งที่กำลังจะถูกลืมเลือน ในขณะเดียวกันชีวิตของคนสามชุกวันนี้เริ่มเปลี่ยนแปลง ต่างคนต่างมีเวลาให้กันน้อยลง แม้แต่ในกลุ่มคณะกรรมการพัฒนาตลาดแต่เดิมก็ตาม เริ่มมีการมองหาผลประโยชน์มากขึ้น บางคนก็ไม่สนใจปฏิบัติตามกติกาชุมชน เกิดความเห็นแก่ได้เฉพาะหน้า เพราะการรวมกลุ่มโดยธรรมชาตินั้นไม่สามารถนำเอากฎหมายเข้ามาจัดการได้ นอกเสียจากกฎเกณฑ์ในการอยู่ร่วมกัน ซึ่งในชุมชนตลาดสามชุกยุคใหม่นี้ยังไม่สามารถจัดการปัญหาเหล่านี้ได้ แต่ปัญหาที่กำลังทำให้สามชุกกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าเหน็ดเหนื่อยมากกว่าที่อื่นๆ ก็เพราะจำนวนคนที่หลั่งไหลกันมาอย่างมากมายในวันหยุดและเทศกาลต่าง ๆ ทำให้ที่จอดรถไม่เพียงพอ และคนแออัดจนเกินความพอดี แม้จะมีวิธีการและมาตรการต่าง ๆ ทดลองใช้และพยายามแก้ปัญหาในรายละเอียดอันมากมาย ความนิยมในการเที่ยวตลาดท้องถิ่นแห่งนี้ก็ยังคงพบปัญหาทั้งเรื่องสถานที่ การเมืองภายในท้องถิ่นที่ทำให้ข้าราชการประจำไม่ขยับช่วยเหลือ ตลอดจนเรื่องของคนที่จำเป็นต้องเรียนรู้ในการสร้างองค์กรที่เข้มแข็งยิ่งกว่าเดิม นับเป็นการท้าทายความเข้มแข็งที่ต้องใช้ทั้งสติและปัญญา ตลอดจนความร่วมมือกันอย่างกล้าหาญทีเดียว อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ภูมิวัฒนธรรมและการเปลี่ยนแปลงสวยงามบนความเจ็บปวดของเรือกอและ
เผยแพร่ครั้งแรก 26 พ.ค. 2559 เรือประมงพื้นถิ่นในแถบจังหวัดปัตตานีและนราธิวาส รู้จักกันดีในชื่อของ เรือกอและ ด้วยสีสันฉูดฉาดสวยงาม รูปทรงแปลกตาไปกว่าเรือประมงชนิดอื่นๆ ทำให้กลายเป็นเอกลักษณ์ของชาวประมงมุสลิม และเป็นสัญลักษณ์ประจำจังหวัดนราธิวาสที่นำไปทำจำลองขายเป็นของที่ระลึกขาย นักท่องเที่ยวอีกด้วย เรือของชาวมุสลิมที่เรียกรวมๆ กันว่า เรือกอและ มีการแบ่งประเภทออกไปอีกมากมายตามลักษณะของลำเรือ เรือกอและเป็นเรือประมงชายฝั่งขนาดใหญ่บรรทุกลูกเรือได้คราวละ ๘ - ๑๐ คน หัวท้ายเรือยกสูงวาดสีสันลวดลายวิจิตรลงบนตัวเรือโดยเฉพาะหัวและท้าย ปัจจุบันเรือกอและแทบไม่มีการใช้งานอีกแล้วเพราะไม้ทำเรือขนาดใหญ่ๆ หายากเข้าทุกที ค่าจ้างต่อเรือสูง เพราะขนาดใหญ่จึงกินน้ำมันมากเวลาออกทะเล ทั้งยังต้องจ้างลูกเรืออีกหลายคน ทำให้เรือขนาดย่อมลงมาที่เรียกว่า ปาตะกือฆะ ซึ่งเป็นเรือท้ายตัด เพื่อใช้ติดเครื่องยนต์ กราบเรือแบนราบไม่โค้งอย่างตกท้องช้าง แต่หัวเรือยังเชิดสูงและระบายสีงดงามเช่นเดียวกับเรือกอและเข้ามาแทนที่ เรือชนิดนี้ใช้ลูกเรือเพียง ๒ - ๓ คน เบากว่า ประหยัดน้ำมันกว่า ชาวประมงหันมาใช้เรือชนิดนี้ออกวางอวนแทนที่เรือกอและมากว่า ๒๐ ปีแล้ว ( สกล ผดุงวงศ์ . อลังการแห่งกอและ . มติชน ๒๔ ก . ย . ๒๕๓๗ ) เรือกอและแต่เดิมใช้ใบในการแล่นโต้คลื่นลม เมื่อพัฒนามาเป็นแบบปะตะกือฆะ คือ ท้ายตัด เปลี่ยนมาเป็นการใช้เครื่องยนต์วางที่ท้ายเรือแทนที่การประดับตกแต่งลวดลาย และปักเสากระโดง การวางอวนก็มีขนาดลดลงไปด้วยแต่ไม่เพิ่มความเสี่ยงถ้าหากวางอวนแล้วไม่คุ้ม ทุน การพัฒนาของเรือกอและมาเป็นแบบท้ายตัด และมีขนาดเล็กลงบ่งบอกเรื่องราวของวิถีชีวิตชาวประมงชายฝั่งที่ต้องปรับ เปลี่ยนตามสภาพความเป็นอยู่ในปัจจุบันที่ยากลำบากขึ้น การรวมกลุ่มตั้งแต่ ๘ - ๑๐ คนขึ้นไปสำหรับการออกทะเลแต่ละครั้ง กลายเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับการประมงชายฝั่งทุกวันนี้ เรือกอและในปัจจุบัน คือ เรือลำเล็กใช้แรงงานในหมู่พี่น้อง ๒ - ๓ คน ออกเรือบ่ายๆ แล้วกลับเข้าฝั่งในช่วงสายของอีกวันหนึ่ง ใช้เวลาและความอดทนอุตสาหะมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อท้องทะเลอันอุดมสมบูรณ์เริ่มหมดไป การประมงชายฝั่งของชาวมุสลิมกลายเป็นเหยื่อระบบทุนของนายทุนเรือตังเกจากปาก น้ำเมืองใหญ่ๆ เช่นปากน้ำปัตตานี ที่แย่งชิงทรัพยากรชายฝั่งทะเลทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่กฎหมายของเมืองไทยไม่เคยมีความศักดิ์สิทธิ์ เรือตังเกเหล่านี้จึงยังกวาด กุ้ง หอย ปู ปลา จากชายฝั่งไปจนแทบจะเหลือเพียงพื้นทรายเปล่าๆ ไว้ให้เรือกอและเท่านั้น ที่หาดปะนาเระ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี มีเรือกอและจอดเรียงรายหลบแดดใต้หลังคาจากมากมาย ชาวประมงมุสลิมอยู่ในหมู่บ้านเลยชายหาดเข้าไปนิดหน่อย ผู้ชายออกเรือทำประมงชายฝั่ง ผู้หญิงแปรรูปผลผลิตจากทะเล เช่น ตากหมึก ตากปลา แกะเนื้อปู ส่งขายเถ้าแก่อีกทอดหนึ่ง ในความมีเสน่ห์ของน้ำใจซื่อๆ แก่คนแปลกหน้า พรานประมงรุ่นหนุ่มบอกเล่าถึงการออกเรือที่อาศัยเวลานานขึ้น แม้จะไม่ต้องเสียค่าน้ำมันมากเหมือนเรือใหญ่ๆ แต่ก็มักวางอวนได้ไม่มากเหมือนก่อน สัตว์น้ำเล็กลงและหายาก รายได้เพียงพอแค่หาเช้ากินค่ำเท่านั้น สายตาที่เหม่อมองออกไปสู่ท้องทะเลเมื่อเห็นเรือตังเกใหญ่จากปากน้ำปัตตานี แล่นอยู่ไปมาหลายต่อหลายลำเหมือนมองความว่างเปล่า เรื่องนี้ชาวเรือกอและพยายามเรียกร้องขอความยุติธรรมจากอธิบดีกรมประมง และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมาเป็นเวลานานแล้ว ความขัดแย้งเคยเงียบหาย สักพักก็เป็นอย่างเดิมอีก เรือกอและไม่มีทางสู้เรือตังเกได้ การแย่งชิงทรัพยากรเห็นอยู่เต็มตาทุกเมื่อเชื่อวัน หาดปะนาเระที่เคยใช้ตากหมึกตากปลา เริ่มกลายเป็นที่ทิ้งเปลือกปูและสัตว์น้ำอื่นๆ ที่ขายไม่ได้ ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว เพราะเถ้าแก่ต้องการเพียงเนื้อปู แต่ไม่ต้องการขยะ ดังนั้นชาวประมงต้องรับผิดชอบต่อความเน่าเหม็นเหล่านี้เอง ชีวิตของชาวเรือกอและไม่ได้สวยสดเหมือนลวดลายบนลำเรือ เรือกอและถือเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดนราธิวาส มีการทำเป็นของที่ระลึกดูสวยบนตู้โชว์ แต่ชีวิตของชาวเรือมุสลิมเหล่านี้กำลังถูกคุกคามและถูกแย่งชิงทรัพยากรโดย ไม่มีผู้ใดแก้ปัญหาให้ได้ อย่ามองเรือกอและแต่เพียงความสวยงามประดับตกแต่งท้องทะเลด้วยสีสันสดใสเท่านั้น ความเจ็บปวดของชาวเรือกอและจะมีใครรู้ว่าเมื่อไรจะจบสิ้นและกลับมาเป็นพราน ชายฝั่งที่ยิ่งใหญ่เช่นในอดีต อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- นิวกรุงเทพฯ นิวรัตนโกสินทร์ : การพัฒนาบ้านเมืองที่ไม่เห็นมนุษย์
เผยแพร่เมื่อ 28 ก.ย. 2559 ข้าพเจ้าพูดตอกย้ำมาตลอดเวลากว่า ๓๐ ปี ที่ผ่านมาว่า การพัฒนาเศรษฐกิจสังคมที่มีแผนพัฒนาแต่ครั้งรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้นมา ตั้งแต่แผนแรกจนแผนปัจจุบันนั้น เป็นการพัฒนาจากข้างบนลงล่างในลักษณะการบังคับให้มีการเปลี่ยนแปลง [Forced change] แบบแผนพัฒนาของประเทศที่เป็นสังคมนิยม หาเป็นการพัฒนาที่เป็นการวางแผน [Planned change] แบบประเทศเสรีประชาธิปไตยที่คำนึงถึงการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจของคนในท้องถิ่นที่เป็นพื้นที่ในการพัฒนาไม่ ตรอกพระยาเพชรปราณีฯ ชุมชนป้อมมหากาฬ กล่าวคือการพัฒนาเปลี่ยนแปลงใดทางเศรษฐกิจและสังคมนั้น ต้องได้ “ดุลยภาพต่อรองกันระหว่างการพัฒนาจากข้างบนกับการพัฒนาตนเองจากคนในพื้นที่ซึ่งอยู่ข้างล่าง” เพราะการพัฒนาคือการเปลี่ยนแปลงทั้งคนในพื้นที่และพื้นที่ จำเป็นต้องให้คนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ [Decision making] ด้วย แต่ที่ผ่านมา การพัฒนาในสังคมไทยนั้นเป็นการพัฒนาจากข้างบนที่การตัดสินใจมาจากคนข้างบนและคนข้างล่างโดยไม่เห็น “คนใน” ซึ่งเป็นการพัฒนาที่ตรงข้ามกับพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ว่า “เข้าถึง เข้าใจ และพัฒนา” นั่นคือการเข้าไม่ถึงคนและไม่เข้าใจคนในพื้นที่ซึ่งจะได้รับการเปลี่ยนแปลงนั่นเอง การพัฒนาแบบจากบนลงล่างที่ผ่านมาร่วมกึ่งศตวรรษแลไม่เห็นหัวคนในพื้นที่ดังกล่าวนี้ ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็น “การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม” อย่างที่เรียกกัน หากเป็น “การพัฒนาเศรษฐกิจและการเมือง” มากกว่า และทุกครั้งที่ผ่านมาทุกหนแห่งในประเทศ คือ การสร้างนิเวศทางเศรษฐกิจและการเมืองทับลงไปยังนิเวศทางสังคมวัฒนธรรมของคนในพื้นที่ของท้องถิ่นตลอดเวลา ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงล่มสลายของสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในสังคมเกษตรกรรมและความเป็นมนุษย์ของคนในท้องถิ่นที่อยู่กันมาเป็นครอบครัว เครือญาติ และชุมชนทั้งในระดับบ้านและเมือง ดังเห็นได้ว่า ก่อนยุคโลกาภิวัตน์อันเป็นยุคสงครามเย็นนั้น การพัฒนาเป็นเรื่องการเปลี่ยนประเทศและสังคมให้เป็นสังคมอุตสาหกรรมที่มีการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเข้าถึงแหล่งทรัพยากร มีการสร้างถนน การชลประทาน เขื่อนพลังงานไฟฟ้า และแหล่งเมืองใหม่ พร้อมกับการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานของคนในสังคมเกษตรกรรมที่อยู่ติดที่เป็นชุมชนบ้านและเมือง [Local communities] มาหากินเป็นแผนงานและผู้ประกอบการในเมือง เช่น แหล่งโรงงานอุตสาหกรรมแหล่งธุรกิจและสถานที่บริการ การพัฒนาทำให้เกิดสถานที่ทางอุตสาหกรรมและบ้านเมืองใหม่ในระยะแรกเริ่ม คือการพัฒนาแบบจากบนลงล่างโดยอำนาจของรัฐ อย่างเช่น การสร้างเขื่อนพลังงานไฟฟ้า ถนนหนทางที่ทำให้เกิดการเวนคืนจนเกิดความเดือดร้อนของคนในท้องถิ่น จนมีการออกมาเดินขบวนคัดค้านเรียกร้อง เป็นต้น โดยย่อก็คืออำนาจที่ใช้ในการเปลี่ยนแปลงพื้นพัฒนานั้นเป็นอำนาจของรัฐเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่มาถึงยุคโลกาภิวัตน์แต่สมัยรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นต้นมา เป็นยุคของการลงทุนที่มาจากภายนอก ซึ่งอำนาจในการเปลี่ยนแปลงเพื่อการพัฒนาหาได้มาจากอำนาจรัฐอย่างแต่เดิมไม่ หากมาจากอำนาจของทุนทั้งจากภายนอกและภายในที่เหนือทั้งตลาดและรัฐ สังคมไทยเปลี่ยนเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรมอย่างเต็มรูปแบบ มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาเพื่อการลงทุนทั้งด้านอุตสาหกรรมหนักและอุตสาหกรรมเบา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเบาที่หมายถึง “การท่องเที่ยว” เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดรายได้ประชาชาติ [GDP] แก่ประเทศชาติอย่างมากมาย เป็นผลให้เกิดการฟื้นฟูบ้านเมืองเก่าแก่และท้องถิ่นทางประวัติศาสตร์ให้ขานรับการท่องเที่ยวไปเกือบทุกทั่วภูมิภาคในประเทศ เมืองประวัติศาสตร์หลายเมืองถูกปรับปรุงใหม่ [Renovation] ที่ทำให้เกิดผังเมืองใหม่ ที่มีทั้งการอนุรักษ์และพัฒนา อย่างเช่น อยุธยา เชียงใหม่ สุโขทัย กำแพงเพชร และกรุงเทพฯ - ธนบุรี ซึ่งเป็นผลให้เกิดการกระทบกระเทือนกับผู้คนในชุมชนบ้านเมืองที่อยู่กันมาช้านาน โดยเฉพาะกรุงเทพฯ และธนบุรี อันเป็นเมืองราชธานีที่ตั้งอยู่สองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีผลกระทบเรื่อยมาไม่ต่ำกว่า ๒๐ ปีที่ผ่านมา เริ่มแต่การตัดถนนหนทางใหม่ทั้งสองฝั่งน้ำ สร้างคอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร โรงแรม ภัตตาคาร อาคารร้านค้าขึ้นมาตลอดเวลา เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรม [Culture landscape] ของบ้านเมืองสองฝั่งน้ำที่ใช้แม่น้ำเจ้าพระยาและบรรดาคลองขุดที่เป็นคลองซอยสองฝั่งน้ำที่มีมาแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ อย่างแทบไม่แลเห็นรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ ทางสังคมและวัฒนธรรมของบ้านเมืองแต่สมัยอยุธยาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ กระแสการพัฒนาบ้านเมืองในทางเศรษฐกิจแบบจากบนลงล่างเพื่อให้มีรายได้ทางเศรษฐกิจดีให้มี GDP มาก ๆ นั้น มีสองอย่างที่สำคัญในขณะนี้คือ ๑) การเปิดพื้นที่แหล่งทรัพยากรในแทบทุกภูมิภาคของประเทศให้มีนักลงทุนจากภายในและภายนอกประเทศเข้ามาลงทุนทางอุตสาหกรรม เกษตรอุตสาหกรรม สถานที่ประกอบธุรกิจย่านการค้า ซุปเปอร์มาเก็ต และแหล่งที่อยู่อาศัยที่เป็นคอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร แหล่งรื่นรมย์บริการต่าง ๆ ในรูปของ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่มีผลทำให้เกิดการเวนคืนที่ดินไล่รื้อชุมชนบ้านเมืองแต่เดิมในสังคมเกษตรกรรม ทำให้คนในท้องถิ่นที่อยู่กันอย่างเป็นชุมชนมาช้านานต้องบ้านแตกสาแหรกขาด โยกย้ายถิ่นฐานไปเป็นแรงงาน ประกอบอาชีพทำมาหากินในเมืองทั้งแหล่งอุตสาหกรรมหนักและแหล่งอุตสาหกรรมเบา ๒) การพัฒนาแหล่งเมืองประวัติศาสตร์และแหล่งประวัติศาสตร์โบราณคดีให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวจนเกิดตัณหาความอยากของคนในท้องถิ่น อยากทำให้เป็น “แหล่งมรดกโลก” กันอย่างแพร่หลาย กระแสการพัฒนาบ้านเมืองเก่าให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวนี้ดูรุนแรงกว่าการพัฒนาในเรื่องอื่น ๆ ขณะนี้ ทำให้ผู้คนชาวบ้านชาวเมืองที่อยู่กันอย่างเป็นชุมชนมาแต่เดิมได้รับความเดือดร้อน โดยที่ทางรัฐและผู้มีอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ หาเคยสำเหนียกไม่ เป็นการพัฒนาเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเห็นคนและความเป็นมนุษย์ของคนที่เป็นไพร่บ้านพลเมืองอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติ บ้านเรือนริมคลองเมือง คลองโอ่งอ่าง-บางลำพู ที่ยังพบว่าเป็นชุมชนชานพระนครแห่งสุดท้ายของกรุงเทพฯ กรุงเทพมหานคร - ธนบุรี และบ้านเมืองริมสองฝั่งน้ำเจ้าพระยาและลำคลองใหญ่น้อยที่เป็นบริวาร ของบ้านเมือง พื้นที่และผู้คนที่เป็นเป้าหมายของการพัฒนาจากข้างบนโดยอำนาจรัฐและอำนาจทุน โดยเฉพาะภายในเกาะเมืองกรุงเทพฯ ที่เป็นราชธานีมีคูน้ำที่เป็นคลองเมืองและกำแพงเมืองล้อมรอบ ได้รับการคุกคามเรื่อยมาแต่ครั้งรัฐบาลประชาธิปไตยเผด็จการรัฐสภาของพรรคการเมืองหนึ่ง เสนอให้มีการพัฒนาถนนราชดำเนินให้เป็นแบบถนนชองเอลิเซ่ของฝรั่งเศสที่จะทำให้เกิดการรื้อไล่บ้านเรือนราษฎรและร้านค้าทั้งสองฝั่งถนนให้เป็นแบบใหม่เพื่อการท่องเที่ยว ตามไปด้วยการที่จะขุดไชรอบกำแพงเมืองและถนนรอบเมืองให้เป็นเส้นทางรถไฟฟ้าใต้ดิน รวมทั้งการทำรถไฟฟ้าผ่าเมืองไปยังฝั่งธนบุรี แต่ที่รุนแรงก็คือการทำทางรถไฟฟ้าและสถานีผ่านบ้านไชน่าทาวน์ตามแนวถนนเยาวราช ราชวงศ์ไปข้ามฝั่งน้ำเจ้าพระยาในเขตคลองสานฝั่งธนบุรี ที่จะมีผลให้เกิดย่าน ศูนย์การค้า การท่องเที่ยวและสถานที่ใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาแทนที่บ้านช่องที่คนกรุงเทพฯ ย่านไชน่าทาวน์ เช่น เวิ้งนครเขษมเป็นต้น ต้องมีอันบ้านแตกมาถึงทุกวันนี้ ในยุครัฐบาล คสช. (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) ที่ข้าพเจ้าเห็นว่าดีกว่ารัฐบาลประชาธิปไตยของนักธุรกิจการเมืองที่แล้วมา การคุกคามไล่รื้อชุมชนบ้านเมืองของคนกรุงเทพฯ ก็หาได้ลดราไปไม่ ทำนองตรงข้ามกลับมากมายและซับซ้อนกว่าแต่เดิม เพราะมีหน่วยงานของทางรัฐไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพมหานคร กรมศิลปากร องค์กรอิสระ เช่น สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พระคลังข้างที่ ราชพัสดุ กลุ่มทุน และกลุ่มนักวิชาการไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรมผังเมืองจากหลายมหาวิทยาลัย สร้างโครงการต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงกรุงเทพมหานครและบริเวณโดยรอบในลักษณะคล้ายกันกับการสร้างใหม่ [Renovation] ด้วยเหตุผลนานาประการ โดยอ้างเหตุผลความชอบธรรมจากหลักฐานทางกฎหมายบ้าง การอ้างการดำริเห็นชอบจากผู้นำรัฐบาลและบุคคลสำคัญในคณะ คสช. ด้วยการออกข่าวทางสื่อหลาย ๆ ทาง การดำเนินการตามโครงการเหล่านี้ทั้งออกหน้าและเบื้องหลัง ถ้าสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีแล้ว คนไทยทั้งประเทศคงได้แลเห็นความเป็นบ้านเมืองเก่าแก่ของกรุงเทพมหานคร สภาพแวดล้อม และทิวทัศน์ทางวัฒนธรรมสองฝั่งน้ำเจ้าพระยาของกรุงรัตนโกสินทร์ในส่วนรวมกลายเป็น “นิวกรุงเทพฯ” และ “นิวรัตนโกสินทร์” อย่างแน่นอน และที่เลวร้ายอย่างสุด ๆ ก็คือการถูกขับไล่ออกไปของคนกรุงเทพฯ คนเก่าสองฝั่งน้ำเจ้าพระยา และตามลำคลองหลายแหล่ที่เคยเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของชุมชนบ้านเมืองมากว่าสามร้อยปี ในความคิดเห็นของข้าพเจ้า การดำเนินการตามโครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานของรัฐ องค์กรอิสระ กลุ่มทุน และกลุ่มนักวิชาการผังเมืองและประวัติศาสตร์ที่จะบันดาลให้เกิด “นิวกรุงเทพฯ” และ “นิวรัตนโกสินทร์” นี้ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบธรรม เพราะแลไม่เห็นคนกรุงเทพฯ คนรัตนโกสินทร์ที่อยู่กันอย่างเป็นชุมชนบ้านเมืองมาไม่ต่ำกว่า ๓๐๐ ปี ถ้าหากสำเร็จเป็นประสิทธิผลจะกลายเป็นตราบาปของประเทศชาติในเรื่องมนุษยธรรม เหตุที่การพัฒนาเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองแต่ละครั้งนับแต่อดีตมายังเป็นเช่นนี้ล้วนเป็นการพัฒนาและการดำเนินการที่แลไม่เห็นความเป็นมนุษย์และผู้คนในพื้นที่ และก็เพราะการให้การศึกษาทางประวัติศาสตร์บ้านเมืองที่มีมาแต่อดีตจนปัจจุบันเป็นประวัติศาสตร์ของบ้านเมืองในเรื่องสถานที่ เศรษฐกิจ การเมืองและศิลปวัฒนธรรม ดังเห็นได้จากการอ้างเหตุผลหรือความคิดของนักวิชาการโดยเฉพาะพวกสถาปัตยกรรมที่มีแต่โครงสร้าง รูปแบบ และวัตถุที่ดูสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาดหมดจดเหมือนกันกับการสร้างบ้านเมืองเนรมิต โดยหามีมิติของความสกปรกไม่เรียบร้อยของบ้านเรือนและชุมชนที่คนทั่วไปหลายระดับชั้นอยู่ไม่ ตัวอย่างที่เป็นอุทาหรณ์ได้ในเรื่องนี้ก็คือ เรื่อง “ชุมชนป้อมมหากาฬ” และชุมชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ซึ่งทางกรุงเทพมหานครกำลังดำเนินการอย่างเด็ดขาดในการไล่รื้อให้หมดไป โดยอ้างอำนาจความถูกต้องตามกฎหมายที่ล้วนสร้างขึ้นมาหลังการเกิดของชุมชนเป็นร้อยปี ในการศึกษาของข้าพเจ้าเรื่องผังเมืองกรุงเทพฯ เมื่อแรกสร้างในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น กรุงเทพฯ มีลักษณะเป็นเกาะเมืองเหมือนพระนครศรีอยุธยา คือเป็นเมืองที่มีแม่น้ำลำคลองล้อมรอบ ใช้แม่น้ำลำคลองเป็นเส้นทางคมนาคมและการใช้น้ำในการอุปโภคบริโภค มีลำน้ำเจ้าพระยาเป็นคูเมืองด้านตะวันตก ทางด้านตะวันออกเป็นคูขุดให้เรือเดินเข้าออกได้ ซึ่งข้าพเจ้าเรียกว่า “คลองเมือง” เพราะใหญ่กว่าการเป็นคูน้ำธรรมดา การมีลำน้ำล้อมรอบที่ใช้ประโยชน์ในการคมนาคมขนส่ง ทำให้ทั้งกรุงศรีอยุธยาและกรุงเทพฯ มีพื้นที่ว่างริมตลิ่งเป็นที่เรือแพมาจอดเทียบได้ เป็นที่มีผู้คนพลเมืองมาตั้งเรือนแพและบ้านเสาสูงอยู่อาศัย พื้นที่ล่างระหว่างริมตลิ่งน้ำและกำแพงเมืองดังกล่าวนี้เรียก “ชานกำแพงพระนคร” เป็นเช่นเดียวกันกับเมืองอยุธยาและเมืองใหญ่ ๆ อื่น ๆ ในสมัยอยุธยา จากชานกำแพงมาถึงกำแพงเมืองที่มีทั้งประตูใหญ่ตามทิศสำคัญและประตูช่องกุดที่มีถึง ๑๖ ประตู เพื่อให้คนในเมืองผ่านออกไปลงเรือขึ้นเรือริมฝั่งน้ำได้สะดวกโดยไม่ต้องรอใช้การเข้าออกทางประตูใหญ่ ก่อนการรื้อกำแพงเมืองพระนครเลียบคลองเมืองด้านตะวันออกนี้ ภายในเมืองเป็นที่ตั้งของวัดและวังของเจ้านายที่ทรงกรมมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๔-๕ บรรดาเจ้านายเหล่านี้ออกจากวังมาที่ลำคลองเมืองเพื่อการเดินทางโดยประตูใหญ่และประตูช่องกุดกันทุกวัง และมีบรรดาข้าราชบริพารและประชาชนมาสร้างที่อยู่อาศัยเป็นชุมชนเรียงรายอยู่ตามชานกำแพงเมืองที่มีทางเดินจากประตูเมืองและประตูช่องกุดตัดผ่านไปลงลำน้ำ ชุมชนตามชานกำแพงเหล่านี้จึงมีทั้งบุคคลที่เป็นข้าราชบริพาร ขุนนาง ของพวกเจ้านายและประชาชนจากที่ต่าง ๆ ที่มาตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัย ชุมชนเหล่านี้จึงเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ เป็นต้นมา แต่ดูเป็นปึกแผ่นที่แลเห็นความสัมพันธ์ทางสังคมและวัฒนธรรมระหว่างกันมาแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว อันเป็นสมัยเวลาที่มีการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ภูเขาทองขึ้น ณ วัดสระเกศ ยิ่งกว่านั้นบริเวณชานกำแพงเมืองตรงป้อมมหากาฬเป็นท่าจอดเรือสำหรับเจ้านายและคนภายในกำแพงเมืองผ่านประตูช่องกุดมาขึ้นเรือจากคลองเมืองไปคลองมหานาค ที่ผ่านวัดสระเกศไปทางตะวันออก ผ่านคลองเมืองผดุงกรุงเกษมที่ขุดครั้งรัชกาลที่ ๔ ออกไปติดต่อกับชุมชนตามสองฝั่งคลอง ผ่านปทุมวันไป ไปผสานกับคลองแสนแสบ ชุมชนป้อมมหากาฬเป็นชุมชนที่อยู่ต่อกันอย่างสืบเนื่องมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ ดังเห็นได้จากความสัมพันธ์ทางสังคมของคนรุ่นแรก ผ่านครอบครัวและตระกูลในรุ่นลูกหลานลงมาอย่างสืบเนื่อง ความเป็นปึกแผ่นแลเห็นได้ชัดจากบรรดาบ้านเรือนที่เป็นไม้ทั้งชั้นเดียวและสองชั้นที่มีทั้งบ้านไทยแบบเดิมหลังคาทรงหน้าจั่ว และเรือนรุ่นหลังหลังคาทรงปั้นหยาและบังกะโลตามลำดับ ทุกครัวเรือนอยู่กันอย่างมีพื้นที่ มีถนนติดต่อถึงกันด้วยการเป็นตรอก นับเป็นชุมชนชาวตรอกที่สะท้อนให้เห็นความเป็นชุมชนแบบเดิมได้เป็นอย่างดี ภายในบริเวณชุมชนมีศาลเจ้าพ่อป้อมพระกาฬ อันเป็นแหล่งพิธีกรรมในเรื่องความเชื่อของคนในชุมชน สิ่งที่โดดเด่นของการเป็นชุมชนคนกรุงเทพฯ ที่เก่าแก่ของเมืองกรุงเทพมหานครก็คือ การที่ยังรักษาต้นไม้ใหญ่ ๆ แต่เดิมนานาชนิดที่คนสมัยก่อนนิยมปลูกไว้ได้ดีกว่าพื้นที่ทุกแห่งภายในพระนครในทุกวันนี้ โดยย่อก็คือเป็นพื้นที่สีเขียวธรรมชาติที่ดีกว่าการจัดสวน การจัดสภาพแวดล้อมเป็นสวนของนักวิชาการผังเมืองที่ดีแต่อวดอ้างกันอยู่ในขณะนี้ ในการศึกษาของข้าพเจ้าเห็นว่าชุมชนป้อมมหากาฬคือชุมชนที่แท้จริงของคนกรุงเทพฯ ที่ควรแก่การอนุรักษ์ให้เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่มีชีวิต เพื่อให้ทั้งคนไทยและคนต่างประเทศที่เป็นนักท่องเที่ยวได้มาเห็นและได้เรียนรู้ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่คุณค่าความสำคัญของป้อมมหากาฬในลักษณะที่เป็นหลักฐานป้อมปราการกำแพงเมืองประตูช่องกุดและชานกำแพงที่ยังเหลืออยู่อย่างสมบูรณ์ที่สัมพันธ์กับชุมชนคนกรุงเทพฯ ที่ดีที่สุดกว่าแห่งอื่น ๆ ของเมืองกรุงเทพฯ ในขณะนี้ หน่วยราชการที่มีหน้าที่ดูแลและอนุรักษ์หาได้เข้าใจไม่ ทำนองตรงข้ามกลับพยายามเปลี่ยนแปลงรื้อถอนแล้วทำสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมาแทน หน่วยงานราชการที่ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ กรมศิลปากร กรุงเทพมหานคร และคณะกรรมการกรุงรัตนโกสินทร์ฯ ความบกพร่องของกรมศิลปากรอยู่ที่ความคับแคบในการขึ้นทะเบียนโบราณสถานที่เน้นเฉพาะตำแหน่งของโบราณสถานแต่เพียงอย่างเดียว ไม่คำนึงถึงพื้นที่สภาพแวดล้อมทางศิลปวัฒนธรรมที่สัมพันธ์กับตัวโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียน นั่นคือขึ้นทะเบียนแต่กำแพงเมืองและป้อมมหากาฬ โดยไม่คำนึงถึงว่าป้อมกำแพงเมือง ประตูช่องกุดล้วนสัมพันธ์กับพื้นที่ชานกำแพงเมืองที่มีผู้คนสร้างที่อยู่อาศัยเป็นชุมชนมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ และปล่อยให้ทางกรุงเทพมหานครมีสิทธิเป็นเจ้าของจะไปใช้ทำอะไรก็ได้ ความบกพร่องนี้เป็นเช่นเดียวกันกับการขึ้นทะเบียนกำแพงเมืองและประตูเมืองพระนครที่เหลืออยู่แห่งเดียวที่หน้าวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณคดีที่สำคัญเช่นเดียวกับป้อมมหากาฬและป้อมพระอาทิตย์ การขึ้นทะเบียนรักษาแต่เพียงประตูเมืองและกำแพงเมืองโดยไม่คำนึงถึงพื้นที่ชานกำแพงจากประตูเมืองไปยังฝั่งคลองเมือง (คลองบางลำพู) ทำให้ชานกำแพงตกเป็นของเอกชน แต่พื้นที่ชานกำแพงตรงประตูเมืองแห่งนี้เผอิญไม่มีชุมชนอาศัยอยู่แต่ก่อน มีเพียงโรงเลื่อยโรงไม้ที่ขนถ่ายสิ่งของจากลำคลองเท่านั้น จึงนำไปสร้างอาคารที่พักอาศัยและสถานที่ประกอบการค้าเป็นตึกขนาดใหญ่หลายชั้นคลุมพื้นที่ชานกำแพงเมืองอันเป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ บดบังประตูเมืองและกำแพงเมืองที่เป็นทางลงสู่ลำคลองเมืองจนเป็นทัศนอุจาดไป หน่วยงานอันดับสองที่มีความบกพร่องไม่ด้อยไปกว่ากรมศิลปากรก็คือ คณะกรรมการกรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า ที่ประกอบด้วยนักวิชาการสถาปัตยกรรมผังเมือง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกรมศิลปากรที่ส่วนใหญ่เกษียณราชการ เป็นผู้มีความรู้และเชี่ยวชาญทางโบราณคดี เป็นอาทิ ผู้ที่เป็นกรรมการที่รับผิดชอบเหล่านี้ไม่เคยสำเหนียกแม้แต่น้อยในเรื่องการมีอยู่ของชานกำแพงเมืองและไม่เคยนำเอามาพิจารณา เช่น ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของผังเมืองกรุงเทพมหานคร แต่ที่สำคัญอย่างสุด ๆ ก็คือ คณะกรรมการกรุงรัตนโกสินทร์ฯ เหล่านี้คิดว่า ผังเมืองและความเป็นเมืองของกรุงเทพมหานครนั้นมีแต่สิ่งที่เป็นพื้นที่และสถานที่ทางประวัติศาสตร์เท่านั้น หาได้คิดหรือไม่ว่ากรุงเทพมหานครก็เป็นเมืองที่มีมนุษย์อยู่ และรัชกาลที่ ๑ ไม่ได้ทรงสร้างเมืองให้เป็นเมืองเทพเมืองสวรรค์ที่ไม่มีคนอยู่ แต่ข้อบกพร่องในการพัฒนาบ้านเมืองทางประวัติศาสตร์ใด ๆ ในขณะนี้ก็คงไม่ต้องตกอยู่กับคณะกรรมการฯ ชุดนี้แต่เพียงฝ่ายเดียว หากยังรวมไปถึงนักประวัติศาสตร์และวงการประวัติศาสตร์ของบ้านเมือง ที่เวลาศึกษาประวัติศาสตร์ใด ๆ ก็ตาม มักเป็นประวัติศาสตร์การเมือง เศรษฐกิจ โบราณคดีและศิลปวัฒนธรรมไม่หมด ไม่มีพื้นที่ว่างกับประวัติศาสตร์ทางสังคมที่เป็นเรื่องของผู้คนในชุมชนและชีวิตวัฒนธรรมแต่อย่างใด โดยย่อก็คือขาดมิติทางสังคมที่เป็นเรื่องของคนในชุมชนและชีวิตวัฒนธรรมนั่นเอง บาปของการไม่มีมิติทางสังคมและชุมชนนี้จึงไปตกอยู่กับบรรดาหน่วยงานและองค์กรที่ต้องการพัฒนาบ้านเมือง โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครที่จะต้องรับผิดชอบเป็นอันดับสามในที่นี้ กรุงเทพมหานครไม่มีความรู้ความเข้าใจในพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ เช่น ชานกำแพงพระนครและการมีอยู่ของชุมชนประวัติศาสตร์อย่างเช่น ชุมชนป้อมมหากาฬในขณะนี้ จึงเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการไล่รื้อขึ้น สภาพบ้านเรือนส่วนหนึ่งที่ยินยอมให้รื้อถอนออกไปรั้ว ในความทรงจำของข้าพเจ้าเรื่องเกี่ยวกับป้อมมหากาฬนี้มีมานาน ครั้งแรกก็มีนายทุนทำภัตตาคารอาหาร เสนอขอเช่าใช้ป้อมมหากาฬให้เป็นสถานที่ขายอาหารและมีการแสดงมหรสพ แต่ถูกคัดค้านเลยยุติไป ต่อมาในสมัยที่นายสมัคร สุนทรเวช เป็นผู้ว่ากรุงเทพมหานครก็เริ่มด้วยโครงการเวนคืนที่ดินและให้ชุมชนออกไปเพื่อเอาพื้นที่ให้เป็นสถานที่ออกกำลัง เต้นแอโรบิคของคนเมือง จึงเกิดการขัดแย้งขึ้น แต่ก็สามารถชักนำให้คนส่วนใหญ่ในชุมชนยอมให้เวนคืนที่อยู่อาศัยและรับเงินค่าชดใช้ไปอยู่ในที่ใหม่ทางถนนฉลองกรุง แถบเขตลาดกระบังที่ทางกรุงเทพมหานครจัดหาไว้ แต่ก็อยู่ไม่ได้ก็เลยกลับมาที่ป้อมมหากาฬแบบเดิม ซึ่งทางกรุงเทพมหานครไม่ยินยอมและดำเนินการจัดการในการไล่ที่ต่อมาอย่างสืบเนื่องด้วยกระบวนการทางกฎหมาย และอ้างว่าสภาพของพื้นที่อยู่อาศัยในขณะนี้ไม่มีความเป็นชุมชน มีคนนอกจากที่อื่นที่ไม่มีสิทธิ์ในที่ดินและที่อยู่เข้ามาอยู่เป็นส่วนมาก การกระทำของกรุงเทพมหานครได้รับการขานรับจากบรรดาหน่วยงานทางกฎหมายและคนบางส่วนบางกลุ่มของสังคม โดยเฉพาะสื่อมวลชน นักวิชาการผู้ออกแบบสถาปัตยกรรมและผังเมืองที่มีส่วนได้เสียในการออกแบบสิ่งก่อสร้างใหม่ ๆ ของกรุงเทพมหานคร แต่บรรดานักวิชาการในหลาย ๆ สถาบันและคนกรุงเทพฯ ทั่วไปรวมทั้งข้าพเจ้าด้วยไม่เห็นด้วยกับการกระทำของกรุงเทพมหานครที่ไม่ชอบธรรมมาโดยตลอด กรุงเทพมหานครและหน่วยงานราชการทางกฎหมายและผู้สนับสนุนไม่เข้าใจคำว่า “ชุมชนและความเป็นชุมชน” จึงทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ตั้งแต่เริ่มเวนคืนที่ดินและชดใช้ค่าเสียหาย เพราะผิดกติกาในการรื้อย้ายชุมชน ในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยทั้งหลายที่เป็นอารยะนั้น การโยกย้ายชุมชนไม่ใช่การให้เงินชดใช้ค่าเสียหายเป็นรายทั่วไปในลักษณะปัจเจก เช่นให้ไปอยู่ตามลำพังแต่อย่างเดียวในพื้นที่ซึ่งไม่อาจเป็นชุมชนได้ จำเป็นต้องหาพื้นที่จัดโครงสร้างให้เป็นชุมชนใหม่ขึ้นมาทดแทน แล้วติดตามดูการตั้งถิ่นฐานใหม่ของคนที่ย้ายมาจากชุมชนเก่าจนกระทั่งความเป็นอยู่ที่เป็นชุมชนจะเกิดขึ้นมาคล้าย ๆ กันกับชุมชนเดิมก่อนที่จะย้ายมา แต่กรุงเทพมหานครไม่ทำในสิ่งที่เป็นกติกาแบบนี้ คนที่ย้ายออกไปจึงกลับเข้ามาอยู่ในชุมชนเดิมและรวมตัวกันอย่างมีสำนึกร่วมที่แสดงให้เห็นว่าชุมชนป้อมมหากาฬยังมีตัวตนอยู่ หาได้เป็นไปตามที่กรุงเทพมหานครกล่าวไม่ สิ่งที่ดูเป็นตลกร้ายในส่วนตัวข้าพเจ้าก็คือ กรุงเทพมหานครยังดื้อแพ่งอย่างสม่ำเสมอว่า “คนที่อยู่ที่ป้อมมหากาฬในทุกวันนี้ไม่เป็นชุมชน” เพราะมีคนขายที่ออกไปอยู่ที่อื่นและมีคนใหม่เข้ามา ผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจถึงความเป็นชุมชนนั้นย่อมทราบดีว่า ความเป็นชุมชนไม่ได้อยู่ที่เพียงคนเก่าออกไปอยู่ที่อื่นคนใหม่มาแทน หากความเป็นชุมชนอยู่ที่คนที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันมาหลายชั่วคน อย่างเช่นกลุ่มก้อนที่มีความสัมพันธ์ทางสังคมเป็นครอบครัว เครือญาติและเหล่าตระกูลที่มีสำนึกร่วมในพื้นที่บ้านเกิดเดียวกันมาหลายชั่วคน และอยู่กินกันอย่างมีแบบแผน ประเพณีวัฒนธรรมร่วมกันอย่างสืบเนื่อง การมีคนย้ายออกย้ายเข้านั้นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะคนที่ยังอยู่อย่างสืบเนื่องทางวัฒนธรรมนั้นสามารถบูรณาการให้คนใหม่คนนอกที่เข้ามาใหม่ให้เป็นคนป้อมมหากาฬ หรือคนในชุมชนป้อมมหากาฬอันเดียวกันได้ ท้ายสุดการที่กรุงเทพมหานครยังยืนยันความถูกต้องทางกฎหมายนั้น คือไม่ถูกต้อง เพราะชุมชนป้อมมหากาฬมีตัวตนอยู่เรื่อยมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ ก่อนการออกกฎหมายต่าง ๆ ที่กรุงเทพมหานครอ้างมาใช้นั้นทั้งสิ้น ซึ่งในสายตาของคนที่เป็นวิญญูชนทั่วไป กรุงเทพมหานครกำลังใช้อำนาจรัฐอย่างไม่ชอบธรรมแก่ผู้คนในชุมชนเก่าแก่ของกรุงเทพมหานคร การต่อสู้คัดค้านการขับไล่ชุมชนของคนป้อมมหากาฬครั้งนี้ คือ “การแสดงประชาขัดขืน” [Civil disobedience] อย่างแท้จริง และเมื่อกรุงเทพมหานครใช้อำนาจความถูกต้องตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด ความรุนแรงอาจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะจะนำไปสู่การไล่รื้อขับไล่ชุมชนคนกรุงเทพฯ ในย่านต่าง ๆ ทั่วทั้งพระนคร โดยกรุงเทพมหานครและองค์กรอื่น ๆ รวมทั้งการหวังผลประโยชน์ของกลุ่มทุนที่มีบรรดานักวิชาการทั้งด้านกฎหมาย ด้านผังเมือง ด้านเศรษฐกิจการท่องเที่ยวรวมอยู่ด้วย ดังเช่นโครงการขนาดใหญ่ที่ถ้าสำเร็จก็คือการทำลายทั้งชุมชนคนกรุงเทพฯ และภูมิวัฒนธรรมบ้านเมืองสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาของฝั่งพระนครและธนบุรี โครงการมหาวิบัติดังกล่าวนี้มีโครงการพัฒนาสร้างถนนขนาบน้ำสองฝั่งน้ำเจ้าพระยาที่นอกจากจะทำให้แม่น้ำเจ้าพระยามีสภาพเป็นคลองชลประทานขนาดใหญ่ขนาบด้วยเขื่อนคั่นถนนสองฝั่งน้ำที่ต้องไล่รื้อชุมชนที่เป็นบ้าน เป็นบาง มีวัดวาอารามเป็นศูนย์กลาง จนความเป็นกรุงเทพมหานครเมืองสองฝั่งน้ำที่มีแม่น้ำและลำคลองเป็นเส้นชีวิตให้หมดไป แล้วมีการสร้างบ้านเมืองแบบใหม่ ๆ ที่ไม่มีชุมชน ไม่มีมนุษย์ที่มีหัวนอนปลายเท้าจากที่ต่าง ๆ จากภายนอกทั้งในเมืองไทยและต่างชาติเข้ามาสิงสู่แทน เมื่อนั้นเราคงได้เห็น “นิวกรุงเทพฯ นิวรัตนโกสินทร์” เป็นแน่แท้ แต่สำหรับข้าพเจ้าผู้เป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิดและตระกูล การพัฒนาบ้านเมืองแบบที่เป็นอยู่นี้คือ “It’s the doom of Bangkok” -- (การลงทัณฑ์แก่เมืองกรุงเทพฯ) อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- จากนครวัดถึงพิษณุโลก
เผยแพร่ครั้งแรก 1 พ.ย. 2545 ระหว่างวันที่ ๒๖-๒๘ กันยายนที่ผ่านมา มีการจัดอภิปรายทางวิชาการเรื่องกองทหารของสยามที่เป็นภาพสลักอยู่ในกระบวนพระราชพิธีสวนสนามบนผนังระเบียงคดที่ประสาทนครวัด เพื่อเป็นการระลึกถึง จิตร ภูมิศักดิ์ ปราชญ์สามัญชนที่จะมีอายุครบ ๗๒ ปี ถ้าหากยังมีชีวิตอยู่ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือชื่อที่คนส่วนใหญ่เรียกกันว่า "วัดใหญ่" ภาพสลักนี้มีจารึกภาษาเขมรโบราณกำกับไว้ว่า “เนะ สยำ กุก” ซึ่งแปลว่า “นี่ เสียม กุก” ผู้รู้ทั่วไปมีความเห็นว่าเป็น กองทัพสยามที่น่าจะส่งมาร่วมด้วยจาเมืองสยามในลุ่มน้ำเจ้าพระยา แต่ว่าจิตร ภูมิศักดิ์ อ่านและเสนอใหม่ว่าน่าจะเป็นกองทัพชาวเสียมจากลุ่มแม่น้ำกก ซึ่งเป็นลำน้ำสาขาของแม่น้ำโขงในเขตจังหวัดเชียงราย โดยอ้างความสัมพันธ์กับวรรณกรรมเรื่องฮุ่งหรือเจือง อันเป็นวรรณกรรมเก่าแก่ที่เกี่ยวกับกษัตริย์และบ้านเมืองทั้งสองฝั่งโขงในเขตล้านนาและล้านช้าง ความต้องการของการอภิปรายนี้ หาใช่การมาถกเถียงเพื่อการหาข้อยุติแต่อย่างใดไม่ หากมุ่งหวังที่จะนำข้อเสนอของจิตร ภูมิศักดิ์มาถกเถียงเพื่อหาคำตอบใหม่ ๆ หรือข้อคิดใหม่ ๆ ซึ่งเป็นหัวใจของกระบวนการเรียนรู้ที่เรื่องราวทางประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมในปัจจุบัน ในที่นี้ข้าพเจ้าคงไม่นำอะไรเกี่ยวกับเรื่องของเสียมกุกมาถกเพิ่มเติม เพราะได้เขียนได้พูดอะไรต่ออะไรมามากมายแล้ว แต่จะนำสิ่งที่คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่รู้มาเสนอไว้ คือเรื่องของนครวัดซึ่งโดยทั่วไปรู้จักในนามว่า “นครวัดนครธม” ในลักษณะที่เป็นโบราณสถานใหญ่โตเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยิ่งกว่านั้นคนรุ่นใหม่ที่ไม่ค่อยรู้อิโหน่อิเหน่ก็มักจะได้รับคำบอกเล่ามาว่า ผู้ที่ค้นพบนครวัดนครธมนั้นคือ นาย ฮองรี มูโฮต์ (Henri Mouhot) นักค้นคว้าและสำรวจชาวฝรั่งเศส อะไรต่ออะไรก็เลยกลายเป็นเรื่องฝรั่งพบฝรั่งเสนอไปหมด และคนไทยบางคนก็เชื่อตาม นครวัดและนครธมต่างกันดังนี้ นครวัดเป็นเรื่องของศาสนสถานขนาดใหญ่ที่มีคูน้ำล้อมรอบจนดูเป็นเมืองจึงเรียกว่า นครวัด ในขณะที่นครธมหมายถึงเมืองที่ใหญ่กว่า เพราะคำว่า “ธม” แปลว่าใหญ่ คือใหญ่กว่านครวัดนั่นเอง แต่นครธมไม่ใช่ศาสนสถานอย่างนครวัด หาเป็นเมืองที่มีผู้คนและกษัตริย์ประทับอยู่ ความต่างกันระหว่างนครวัดกับนครธมอีกอย่างหนึ่งก็คือ นครวัดมีอายุเก่าแก่กว่านครธมไม่น้อยกว่า ๔๐ ปี นครวัดสร้างในรัชกาลของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ส่วนนครธมสร้างแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ที่อยู่ในสมัยหลังลงมา ความต่างกันนี้ทำให้นำไปสู่ความสงสัยที่ว่า เมื่อมีนครวัดเกิดขึ้นนั้น เมืองที่มีคนอยู่มีกษัตริย์ประทับนั้นอยู่ที่ใด จึงต้องมีข้อมูลและความรู้เพิ่มเติมว่า เมืองนั้นอยู่ในบริเวณนี้นั่นเอง หากเป็นเมืองที่มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ กว้างและยาวเท่ากันด้านละ ๔ กิโลเมตร คนทั่วไปเรียกว่า นครหลวง แต่มีชื่อทางราชการว่า ยโสธรปุระ สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๑๖ เป็นเมืองที่มีเขาและปราสาทพนมบาเคงเป็นศูนย์กลาง เมืองนครวัดวัดแระสร้างนั้นอยู่ภายในเขตเมืองนี้ แต่ประมาณ ๔๐ ปี ต่อมาได้มีการสร้างนครธมขึ้นเป็นเมืองแทนเลยทำให้อาณาบริเวณของเมืองเดิมหมดความสำคัญไป แต่ยังคงเหลือร่องรอยของแนวกำแพงและคูเมืองให้เห็นอยู่ในบางส่วน เมืองนครธมมีขนาดเล็กว่าเมืองหลวงเดิมและแยกกันอยู่ต่างห่างจากนครวัด แต่ใช้ชื่อทางราชการตามเมืองเดิมคือ ศรียโสธรปุระ ส่วนนครวัดนั้นแต่เดิมก็หาเรียกว่านครวัดไม่ เพราะไม่ได้เป็นพุทธสถาน หากเป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดูตามความเชื่อของคนในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๗ เป็นศาสนสถานเพื่อการพระราชพิธีพระบรมศพของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ที่มีจารึกกำกับไว้ที่ภาพสลักของพระองค์ในกระบวนแห่ที่ระเบียงคดว่า “กมรเตงชคตปรมวิษณุโลก” จากพระนามนี้เองที่ทำให้รู้ว่าชื่อนครวัดเต็มคือ วิษณุโลก หรือพิษณุโลก อีกทั้งเป็นสิ่งที่ยืนยันจากจารึกใน พ.ศ. ๒๑๗๕ ที่มีคำเรียกนครวัดและพระพิษณุโลก ปะปนกัน ซึ่งก็แน่นอนว่าเป็นช่วงเวลาที่แสดงให้เห็นว่าศาสนสถานแห่งนี้กลายมาเป็นพุทธสถานหรือวัดไป ยิ่งกว่านั้นยังมีหลักฐานอ้างว่าพระสงฆ์ที่ไปจากเมืองไทยเรียกว่า เชตพน หรือ เชตวัน ก็มี อย่างไรก็ตาม ชื่อพระพิษณุโลกนี้คนไทยสมัยอยุธยาตอนต้นย่อมรู้จักดี โดยเฉพาะในสมัยของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) ที่ทรงยกกองทัพไปตีนครธมและกวาดต้อนผู้คนมายังพระนครศรีอยุธยา ความรู้เรื่องเมืองพระนครจึงมาอยู่ทางเมืองไทยไม่ใช่น้อย และนำมาเลือกใช้ในงานทางประเพณีวัฒนธรรมของกรุงศรีอยุธยา โดยเฉพาะชื่อพระพิษณุโลกนั้นได้ถูกนำไปขนานเป็นชื่อเมืองใหม่ที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงสร้างขึ้นบนสองฝั่งของลำน้ำน่าน ที่ผนวกเมืองสองแควเดิมของสุโขทัยเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมืองนี้คือเมืองพิษณุโลกที่นักประวัติศาสตร์รุ่นก่อนเชื่อว่าเป็นราชธานีทางฝ่ายเหนือของกรุงศรีอยุธยา และในปัจจุบันก็คือจังหวัดพิษณุโลก สุดท้ายข้าพเจ้าคิดว่า คนไทยนั่นแหละเอาชื่อพิษณุโลกมาจากขอม แล้วเอาคำว่าวัดของไทยไปใส่ให้เข้าแทนจึงเรียกว่านครวัดไป แต่จากการเปลี่ยนพิษณุโลกมาเป็นนครวัดนั้นก็หาได้ทำให้ศาสนสถานแห่งนี้โรยราไปไม่ซึ่งก็รวมทั้งนครธมด้วย ผู้คนทั้งไทยและเขมรล้วนทราบดี เพราะยังเป็นวัดและเป็นเมืองเรื่อยมา โดยเฉพาะนครวัดนั้นมีผู้สร้างพระพุทธรูปสลักด้วยหินไปประดิษฐานไว้มากมายนับเป็นพันองค์ จนอาจนับได้ว่ากลายเป็นสถานที่จาริกแสวงบุญของผู้คนในระดับภูมิภาคก็ว่าได้ ส่วนที่นครวัดนั้นก็กลายเป็นสถานที่ซึ่งผู้คนในราชสำนักอยุธยาเรียนรู้ เพราะให้อิทธิพลกับการสร้างวัดและสร้างพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่สมัยรัชกาลของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจนถึงรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ที่เห็นชัด ๆ ในรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองก็คือ การบูรณะพระที่นั่งจักรวรรดิไพชยนต์มหาปราสาท การสร้างพระราชพิธีสนาม พระราชพิธีเกี่ยวกับพระบรมศพ การถวายพระเพลิง การสร้างวัดไชยวัฒนาราม และปราสาทนครหลวงที่วัดริมแม่น้ำป่าสัก เป็นต้น เพราะฉะนั้นนครวัดนครธมไม่ได้ร้าง คนที่บอกว่าร้างก็คือฝรั่งตาน้ำข้าวที่ชอบเล่นมายากลมาแต่สมัยล่าอาณานิคมนั่นเอง วัดไชยวัฒนาราม อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- การฝั่งศพครั้งที่ ๒ ที่ทุ่งกุลาร้องไห้
เผยแพร่ครั้งแรก 1 เมษายน 2546 จากผลการขุดค้นทางโบราณคดีที่บ้านเมืองบัว อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด ที่คุณสุกัญญา เบาเนิด นักโบราณคดีจากกรมศิลปากรได้ศึกษาไว้ ทำให้เห็นลักษณะเด่นของวัฒนธรรมอย่างหนึ่งในเขตทุ่งกุลาร้องไห้ได้ชัดเจน นั่นคือ ประเพณีเกี่ยวกับการตายของผู้คนในเขตนี้สัมพันธ์กับ “การฝังศพครั้งที่สอง” ซึ่งเป็นวิธีการจัดการกับศพและความเชื่อหลังความตายของมนุษย์อันมีลักษณะเป็นสากล เก็บกระดูกใส่โกศ พิธีกรรมเก่าแก่มีมาแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ การฝังศพครั้งที่สองคืออะไร วัฒนธรรมการฝังศพครั้งที่สอง [secondary burial] คือพิธีกรรมเกี่ยวกับการตายของมนุษย์ที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดการเกี่ยวกับร่างกายจากวิธีขุดหลุมฝังร่าง แล้วอุทิศสิ่งของเพื่อชีวิตภายหลังความตายในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชุมชน มาเป็นเรื่องที่ซับซ้อนขึ้น นั่นคือ เมื่อฝังศพครั้งแรกมาสักระยะหนึ่งแล้ว ก็จะมีการขุดร่างกายนั้นขึ้นมาใหม่ เลือกโครงกระดูกซึ่งอาจจะเป็นส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดใส่ลงในภาชนะใบใหญ่ ซึ่งมีสิ่งของเครื่องใช้ ภาชนะใส่ข้าวปลาอาหาร หรือของมีค่าต่าง ๆ อุทิศแก่ผู้ตายฝังรวมไปด้วย ในบริเวณซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หรือสุสานของตระกูลหรือของชุมชนซึ่งอาจจะเป็นสถานที่แห่งใหม่ ตอกย้ำให้เห็นถึงการให้ความสำคัญแก่กลุ่มเครือญาติหรือสายตระกูลและการเน้นลักษณะร่วมในความเป็นคนในชุมชนเดียวกันมากขึ้น ประเพณีการทำศพเช่นนี้เกิดขึ้นในสังคมทั่วโลก โดยเฉพาะสังคมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ อาจมีอยู่บ้างเป็นส่วนน้อยที่วิธีการปลงศพแตกต่างไป เช่น การปล่อยให้แร้งกัดกิน (เช่น เผ่า nandi ในเคนยา) แต่ก็เป็นข้อยกเว้นที่ปรากฏอยู่ไม่มากนัก ในระยะต่อมาการเผาศพ [cremation] กลายวิธีที่แพร่หลายมากกว่า ในประเทศไทยมักจะกำหนดว่าเป็นช่วงที่ได้รับอิทธิพลทางความเชื่อทางพุทธศาสนาแล้ว เถ้าหรือกระดูกก็ยังเป็นส่วนสำคัญที่ลูกหลานเก็บรักษาไว้ในโกศ ซึ่งอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น หม้อดินเผาธรรมดาจนกระทั่งถึงโกศทองเหลืองที่เราคุ้นเคยเห็นกันทั่วไปในปัจจุบัน คนในอดีตมักฝังเก็บไว้รอบฐานเจดีย์บ้าง โคนต้นไม้ใหญ่บ้าง บางแห่งนิยมสร้างเป็นโกศเจดีย์ขนาดใหญ่ หรือกระทั่งที่นิยมทำกันในปัจจุบันคือช่องตามกำแพงแก้วและรอบรั้ววัด แต่สิ่งที่เหมือนกันอันเป็นวิธีคิดที่ไม่ได้แตกต่างไปจากสมัยก่อนประวัติศาสตร์ คือ โกศกระดูก [urn] ในปัจจุบันมีหน้าที่เช่นเดียวกับภาชนะใส่กระดูก [jar burial] ในอดีต และพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในการเก็บกระดูกในวัดก็มีหน้าที่เช่นเดียวกับพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเนินสุสานของชุมชน ในการฝังศพครั้งที่สองช่วงก่อนประวัติศาสตร์เช่นกัน จากการศึกษาเปรียบเทียบประเพณีการฝังศพครั้งที่สองเมื่อไม่นานมานี้ นักมานุษยวิทยาเก็บข้อมูลเกี่ยวกับพิธีกรรมการตายในชุมชนชาวจีนที่เกาะไหหลำ และเป็นวัฒนธรรมที่ปรากฏทั่วไปในเขตจีนตอนใต้ ครอบครัวจะฝังศพผู้ตายราวสามสี่ปีในที่แห่งหนึ่ง ระยะเวลาขึ้นอยู่กับสภาพของดินที่จะทำให้ศพนั้นเน่าเปื่อย เมื่อถึงเวลาลูกหลานและผู้ชำนาญในการทำพิธีจะเชิญวิญญาณและขุดศพขึ้นมาเพื่อทำความสะอาดเอาเนื้อออกจากกระดูกตั้งแต่หัวจรดเท้า ชำระล้าง แล้วเอากระดูกใส่ในโกศหรือภาชนะนำไปฝังในฮวงซุ้ยของบรรพบุรุษอีกครั้งหนึ่ง การศึกษาทางโบราณคดีทั่วโลกลงความเห็นว่า การฝังศพครั้งที่สอง [secondary burial] หรือการฝังภาชนะบรรจุกระดูกน่าจะเกิดขึ้นในช่วง megalithic แหล่งที่พบมากที่สุดคือยุโรปตอนเหนือ (ยุโรปเหนือแห่งเดียวมีแหล่งที่อยู่ในยุค megalithic ถึง ๔๐,๐๐๐ แห่ง) การฝังศพครั้งที่สองในยุคนี้จะสัมพันธ์กับการตั้งหินขนาดใหญ่ล้อมรอบเนิน ซึ่งอาจจะเป็นห้องเก็บกระดูกของหัวหน้าหรือชนชั้นนำ บางแห่งสันนิษฐานว่าเก่าไปถึง ๑,๕๐๐ BC. ทีเดียว แต่การศึกษาในยุโรปปัจจุบันมีผู้เปลี่ยนแนวคิดใหม่โดยเสนอจากข้อมูลการขุดค้นว่า การฝังศพครั้งที่สองเกิดขึ้นภายหลังจากมีหลุมฝังศพในวัฒนธรรมแบบ megalith แล้ว แต่เป็นเพียงการใช้สถานที่เดิมซึ่งเคยเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และอาจรับรู้เรื่องราวโดยผ่านการบอกเล่า [oral tradition] ดังนั้น การฝังศพครั้งที่สองจึงไม่น่าเริ่มต้นในยุค megalithic วิธีคิดของมนุษย์เพื่อพิธีกรรมในการฝังศพครั้งที่สองในสถานที่ซึ่งมีความสำคัญหรือเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนปรากฏพบทั่วโลก รวมทั้งในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออก นักโบราณคดีในอินเดียพบแหล่งฝังศพครั้งที่สองมากกว่า ๗๕ แห่ง ในเขตรัฐทามิลนาดูซึ่งอยู่ทางชายฝั่งทะเลตอนใต้ใกล้กับเกาะลังกา และยังคงกำหนดชื่อว่าอยู่ในสมัย megalithic ภาชนะในการฝังศพครั้งที่สองขนาดสูงกว่า ๑ เมตร ภายในบรรจุภาชนะขนาดเล็กกว่าใส่สิ่งของเครื่องใช้เครื่องประดับและเมล็ดพืชที่อุทิศแก่ผู้ตาย โดยกำหนดอายุอย่างกว้างๆ อยู่ในราว ๑๐๐ BC.- AD.๑๐๐ สำหรับในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เขตหมู่เกาะนักวิชาการบางคนกำหนดว่าวัฒนธรรม megalith อยู่ในช่วงยุคหินใหม่ แต่บางพื้นที่ เช่น เกาะสุมาตรา เกาะเบอร์เนียว และเกาะสุลาเวสี พบหลักฐาน เช่น เครื่องประดับที่ได้รับจากวัฒนธรรมดองซอน แต่บนพื้นแผ่นดินใหญ่การมีอยู่ของวัฒนธรรมแบบ megalith ไม่พบอย่างชัดเจน นอกจากการศึกษาที่ทุ่งไหหิน แขวงเชียงขวาง ในประเทศลาว ซึ่ง แมดเดอลีน โคลานี [Madeleine Colani] นักโบราณคดีหญิงชาวฝรั่งเศสทำการขุดค้นและศึกษาไว้เมื่อราว ๗๐ กว่าปีก่อน โดยเสนอข้อมูลว่าเป็นวัฒนธรรมแบบ megalith ที่เกี่ยวข้องกับการฝังศพครั้งที่สอง อย่างไรก็ตาม การศึกษาในระยะต่อมาเริ่มคลี่คลายไปในทิศทางอื่น ไหหินในลาวไม่น่าเกี่ยวกับวัฒนธรรมหินตั้ง หรือ megalith ที่แสดงออกอย่างมั่นคงในยุโรป แต่มีลักษณะร่วมสมัยกับวัฒนธรรมในยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังที่จะได้กล่าวต่อไป ประเพณีการฝังศพครั้งที่สองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากการศึกษาเปรียบเทียบ ศาสตราจารย์เออิจิ นิตต้า [Prof.Eiji Nitta] นักโบราณคดีด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากมหาวิทยาลัยคาโกชิมา เป็นผู้ให้ความสำคัญกับการศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบการฝังศพครั้งที่สองหรือประเพณีการฝังไหใส่กระดูกในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะไทย เวียดนามและลาว โดยเป็นผู้ขุดค้นแหล่งโบราณคดีสำคัญในบริเวณรอบทุ่งกุลาร้องไห้ เช่นที่ โนนยาง บ้านเขวาโค้ง อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ และบ้านดงพลอง อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ ทั้งยังได้ขุดตรวจแหล่งโบราณคดีในบริเวณทุ่งไหหิน แขวงเชียงขวาง ประเทศลาว ซึ่งหลังจากการทำงานของโคลานีเป็นต้นมาก็ไม่มีผู้ใดขุดค้นในบริเวณนี้แต่อย่างใด รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาโครงการศึกษาวัฒนธรรมซาหวิ่นในเวียดนามโดยการสนับสนุนของมูลนิธิโตโยต้าในเมื่อเร็ว ๆ นี้ด้วย จากงานของศาสตราจารย์นิตต้าที่ชี้ว่า ในเขตเวียดนามตอนกลางซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของวัฒนธรรมซาหวิ่น [Sa Huynh] อันเป็นวัฒนธรรมที่มีประเพณีการฝังภาชนะใส่กระดูก ข้อมูลที่ได้จากเมืองฮอยอันซึ่งอยู่ในเวียดนามตอนกลาง และโฮจิมินซิตี้ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ พบการฝังภาชนะใส่กระดูกขนาดสูงใหญ่ทรงกระบอกก้นกลมและมีฝาปิด ในพื้นที่ซึ่งเป็นเนินทราย [sand dune] ใกล้ชายฝั่งทะเล มีการขุดค้นที่แหล่งโบราณคดีหัวซาและอันบาง [Hua Za, An Bang] ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองฮอยอัน แต่ไม่พบกระดูกมนุษย์ในภาชนะเหล่านี้ แต่พบภาชนะขนาดเล็ก เช่น หม้อที่มีลายขูดขีดเคลือบสีแดง เครื่องมือเหล็ก เช่น มีด ขวาน ลูกปัดแก้ว ลูกปัดหินคาร์นีเลียน พบอยู่ภายในและรอบ ๆ ไห ลูกปัดทองคำและต่างหูแบบเขาสองหน้า [bicefalous pendant] อันเป็นเครื่องประดับชิ้นเด่นในวัฒนธรรมซาหวิ่น เครื่องมือเหล็กหลากหลายชนิดเช่นนี้นับเป็นสิ่งสำคัญ เช่น เครื่องมือที่ใช้ในการเกษตร การขุดหรือแกะไม้ ขวานรูปแบบต่าง ๆ แบบมีบ้องและแบบแบน มีดมีห่วงที่เลียนแบบศิลปะในแบบราชวงศ์ฮั่น ขวาน ko-dagger ซึ่งรูปแบบเช่นนี้คล้ายกับสิ่งของที่อุทิศให้ศพจากบ้านดอนตาเพชร อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี ดังนั้น อายุของแหล่งนี้จึงพิสูจน์จากการเปรียบเทียบมีดแบบราชวงศ์ฮั่นว่าอยู่ในช่วงก่อนและหลังคริสตกาลไม่มากนัก [๒๐๖ BC.-AD.๒๒๐] แต่ค่าอายุจากแหล่งอันบางอยู่ ๓๘๐+-๙๐ BC. ซึ่งค่อนข้างสูง เมื่อเปรียบเทียบรูปแบบภาชนะในฝังศพครั้งที่สองจากฮอยอันที่มีอายุอยู่ในช่วง AD.๑๐๐ ที่แหล่ง Giong Ca Vo และ Giong Phet ใกล้กับเมืองโฮจิมินซิตี้ เวียดนามทางตอนใต้ ซึ่งเป็นแหล่งฝังศพครั้งที่สองที่สำคัญในเวียดนาม พบภาชนะค่อนข้างหนาแน่น ที่แหล่ง Giong Ca Vo เป็นแหล่งแรกในเวียดนามที่พบกระดูกมนุษย์ในภาชนะด้วย ส่วนใหญ่อยู่ในท่านั่ง ซึ่งคนขุดเองก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นการฝังครั้งแรกหรือครั้งที่สอง มีการฝังสิ่งของร่วมไปด้วยกับโครงกระดูก ค่าอายุทางการอยู่ที่ ๕๓๐+-๕๐ BC. ภาชนะที่นี่เป็นรูปทรงกลม ก้นกลม ประดับด้วยลายเชือกทาบ ซึ่งแตกต่างไปจากภาชนะในวัฒนธรรมซาหวิ่น สิ่งของที่พบได้แก่ เครื่องมือทำจากกระดูก ภาชนะดินเผา สำริด เหล็ก และทองคำ ทั้งเครื่องมือและเครื่องประดับจำนวนมาก รวมถึงแก้ว หยก [jade] ต่างหูเขาสองหน้า [bicefalous pendant] แบบวัฒนธรรมซาหวิ่น ค่าอายุทางการค่อนข้าง แต่จากการศึกษาเปรียบเทียบ [typology] น่าจะมีอายุในช่วง AD.๑๐๐ และภาชนะทรงกลมแบบนี้คล้ายกับภาชนะในการฝังศพครั้งที่สองซึ่งพบที่บ้านก้านเหลือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี การฝังศพครั้งที่สองที่บ้านก้านเหลือง ในจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งอยู่ในเขตปลายลำน้ำมูน พบว่ามีการฝังศพสืบเนื่องต่อกันเป็นเวลานาน ภาชนะบางใบพบกระดูกมนุษย์ซึ่งน่าจะเป็นการฝังศพครั้งที่สองอย่างชัดเจน ที่บ้านก้านเหลืองน่าจะเป็นตัวอย่างของการศึกษาเปรียบเทียบการฝังศพครั้งที่สองในดินแดนไทยกับเวียดนามได้ดี ลักษณะของสุสานเป็นเนินดินใหญ่ ภาชนะที่พบเป็นรูปทรงกลมเส้นผ่าศูนย์กลางราว ๑-๑.๒ เมตร สูงราว ๗๕-๘๐ เซนติเมตร บรรจุกระดูกและโบราณวัตถุรวมกันและมีภาชนะขนาดเล็กอยู่ภายใน บางใบพบแกลบข้าวอยู่จำนวนมาก ลักษณะของภาชนะเป็นแบบใบบนเล็กใบล่างใหญ่ปิดกันสนิทพอดี ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของภาชนะในการฝังศพครั้งที่สองแบบบ้านก้านเหลือง บางใบใส่กระดูก บางใบใส่สิ่งของอุทิศให้แก่ผู้ตาย เช่น เครื่องมือเหล็ก สำริด ภาชนะขนาดเล็ก ลูกปัดแก้ว เครื่องมือหิน เครื่องมือเหล็กส่วนมากเป็นพวกขวานและเครื่องมือใช้ขุด สำริดเป็นพวกเครื่องประดับ เช่น กำไล ก้องแขนคือ กำไลแขนทรงกระบอกขนาดยาว ซึ่งมักพบในวัฒนธรรมดองซอน (และเคยพบที่บ้านเชียง และโนนนกทาด้วย) ใบหอกสำริดรูปแบบปลายเงี่ยงโค้งคล้ายหัวลูกศร ซึ่งเคยพบที่โคกพลับ อำเภอบางแพ ราชบุรี ซึ่งเป็นเขตที่พบวัตถุที่สัมพันธ์กับวัฒนธรรมโกมึน [Ko Mun] หัวขวานสำริด ขวานแบบรูปรองเท้าบู้ท [assymmetrical yue-axe] ขวานสำริดแบบโค้งแหลมพบที่ดองนาย [Dong Nai] ขวานแบบนี้พบที่ตามลุ่มน้ำโขงทั่วไปและในไทยพบหลายแห่ง การฝังศพที่บ้านก้านเหลืองมีการฝังทับซ้อนกันหลายสมัย อยู่ในช่วงระยะเวลาที่ยาวนาน อายุของวัฒนธรรมที่บ้านก้านเหลืองน่าจะอยู่ร่วมสมัยกับช่วงสุดท้ายของวัฒนธรรมบ้านเชียง ช่วงเดียวกับบ้านดงพลอง และวัฒนธรรมโลหะยุคแรกของเวียดนาม อย่างไรก็ตาม เราไม่พบการฝังศพครั้งที่สองที่บ้านดงพลอง เพราะที่นั่นเป็นการฝังเหยียดยาวและในโลงไม้ การกำหนดอายุที่บ้านดงพลองอยู่ในราว ๒๐๐ BC. - ๓๐๐ BC. ซึ่งกำหนดจากการถลุงเหล็กซึ่งอยู่ด้านบนแหล่งฝังศพ ดังนั้น การฝังศพที่บ้านก้านเหลืองก็น่าจะอยู่ในช่วง ๒๐๐ BC. - ๓๐๐ BC. หรือหลังจากนั้น ส่วนที่โนนยาง บ้านเขาโค้ง อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยบนเนินดินขนาดใหญ่ ส่วนที่ฝังศพอยู่ชายเนินด้านหนึ่ง ภาชนะใส่กระดูกในการฝังศพครั้งที่สองกระจายอยู่ตั้งแต่ชั้นดินบนสุดถึงล่างสุด ชั้นล่างสุดขนาดของภาชนะใส่ได้เพียงกะโหลกซึ่งไม่ได้ถูกเผาไฟ กำหนดอายุได้ราว ๔๐๐ BC. ชั้นต่อมาพบภาชนะขนาดใหญ่ มีภาชนะรูปทรงกลมคล้ายหมวกเป็นฝาปิด กำหนดอายุราว ๒๐๐ BC. ส่วนชั้นดินด้านบนพบว่ามีภาชนะขนาดเล็กที่ใส่ได้เพียงหัวกะโหลกทั้งภาชนะและฝาปิดเป็นแบบเดียวกันคือคล้ายชามทรงกลมมีส่วนโค้งคล้ายหมวก ชั้นดินนี้กำหนดอายุในราว AD.๑๐๐ หรือหลังจากนั้น ส่วนชั้นดินด้านบนสุด ซึ่งพบโบราณวัตถุหลายชิ้นรวมทั้งภาชนะใส่กระดูก บางใบพบเพียงส่วนกะโหลก บางใบพบชิ้นส่วนของกระดูกอื่น ๆ ด้วย อายุของชั้นดินนี้ก็น่าจะหลัง AD.๑๐๐ แล้ว และกระดูกที่พบทั้งหมดไม่ใช่ทารก คนที่โนนยางรักษาวัฒนธรรมในเรื่องการฝังศพครั้งที่สองไว้ตั้งแต่การอยู่อาศัยแรกเริ่มเมื่อ ๔๐๐ BC. จนถึงยุคหลังสุดเมื่อหลังคริสตศตวรรษ วิธีปฎิบัติคือ น่าจะมีพิธีกรรมการฝังศพทั้งร่างก่อน และส่วนใหญ่จะเอาแต่กะโหลกศีรษะมาฝังครั้งที่สองอีกครั้งหนึ่ง โดยไม่มีการใส่สิ่งของลงในภาชนะใส่กระดูก ที่น่าสนใจคือที่บ้านดงพลองซึ่งตั้งอยู่ห่างไป ๕๐ กิโลเมตร นับเป็นอาณาบริเวณใกล้เคียงกัน การฝังศพเหยียดยาวที่นี่ ทำให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับศีรษะของผู้ตาย บางโครงหัวหายไป ส่วนบางโครงมีหัวอยู่ฝังในโลงไม้ซึ่งมีโคลนทับหน้า และมีเศษภาชนะขนาดใหญ่ปิดหน้าอีกที ซึ่งเป็นการฝังศพครั้งแรก แต่การขุดค้นที่ดงพลองเป็นการขุดเพื่อศึกษาแหล่งถลุงเหล็กจึงไม่พบฝังศพครั้งที่สองในชุมชนนี้ โดยกำหนอายุการถลุงเหล็กอยู่ในช่วง ๓๐๐ BC. - ๒๐๐ BC. ส่วนการฝังศพแบบเหยียดยาวน่าจะมีอายุมากกว่านั้น แต่การพบลักษณะเด่น ในการนำเฉพาะกะโหลกใส่ในภาชนะการฝังศพครั้งที่สองที่โนนยาง และการให้ความสำคัญแก่ศีรษะการฝังศพแบบเหยียดยาวที่บ้านดงพลอง ซึ่งทั้งสองแหล่งมีอายุใกล้เคียงกัน ก็น่าจะเห็นความสัมพันธ์และลักษณะของการฝังศพครั้งที่สองจากแหล่งโบราณคดีทั้งสองแห่งที่อยู่ในอาณาบริเวณใกล้เคียงกันได้ สำหรับแอ่งสกลนคร พบภาชนะใส่กระดูกเฉพาะเด็ก เช่น บ้านเชียงยุคแรก ๆ นอกนั้นก็ไม่พบอีก ส่วนที่บ้านนาดีพบภาชนะพร้อมฝาปิดในการฝังศพครั้งที่สอง ซึ่งกำหนดอายุไว้ ๒๐๐ AD. หรือหลังจากนั้น ซึ่งดูเหมือนกับภาชนะในชีวิตประจำวัน จำนวน ๔ ใน ๕ ใส่ศพเด็ก ซึ่งมีพวกเครื่องประดับ เครื่องมือเหล็กอุทิศไว้ด้วย กรณีนี้ไม่ใช่การฝังศพครั้งที่สอง แต่เป็นการฝังศพเด็กในภาชนะครั้งแรก สำหรับการกำหนดอายุของวัฒนธรรมการฝังศพครั้งที่สองในแอ่งโคราช ในยุคเริ่มแรกน่าจะมีอายุไปถึง ๓๐๐ BC. ได้อย่างแน่นอน ศาสตาจารย์นิตต้าขุดที่ทุ่งไหหิน ประเทศลาว เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๗ เป็นการขุดหลุมทดสอบรอบไหหินสองแห่ง มีภาพรูปมนุษย์แกะสลักอยู่ที่ไหหินใบหนึ่ง ชูมือขึ้นทั้งสองแขน ซึ่งเพิ่งพบนอกจากนี้มีภาพสัตว์ที่แกะบนแผ่นหินหรือฝาปิด บริเวณพื้นดินรอบ ๆ ไหหินพบหลุม ๗ หลุมขนาดราว ๆ ๒๐ เซนติเมตร มีแผ่นหินแบน ๆ ปิดอยู่ ภายในมีชิ้นส่วนกระดูกและฟันมนุษย์ซึ่งไม่ได้โดนเผาไหม้ หมายถึงเป็นการฝังศพครั้งที่สอง ส่วนในอีกหลุมหนึ่งลึกจากผิวดินประมาณ ๕๐ เซนติเมตร มีแผ่นหินปิดหลุมกว้างราว ๓๖ เซนติเมตรและลึก ๖๐ เซนติเมตร พบภาชนะเนื้อดินขนาดใหญ่และสูงพร้อมฝาปิด ภาชนะปากกว้าง ๒๕ เซนติเมตร สูง ๖๐ เซนติเมตร ก้นแบน ตกแต่งผิวด้วยลายขีดเป็นรูปคดโค้ง เคลือบมันสีน้ำตาลเหมือนแลคเกอร์ พบชิ้นส่วนกระดูกอยู่ภายใน เป็นโครงกระดูกเพศหญิง ซึ่งไม่ร่องรอยการเผาไหม้ สภาพกระดูกในภาชนะดีมากทั้งที่อยู่ในสภาพดินที่เป็นกรด รวมทั้งพบมีดเหล็กและลูกปัดแก้วด้วย ชั้นล่างสุดของไหหินนี้อยู่บนชั้นดินที่เป็นผิวของหลุมที่พบ หมายถึงไหหินนี้ร่วมสมัยกับหลุมการฝังศพครั้งที่สองหรือหลังจากนั้น นอกจากนี้ ยังพบเศษภาชนะดินเผาลายเชือกทาบและเครื่องประดับต่างหูดินเผาจากชั้นดินที่ต่ำกว่าชั้นการฝังศพครั้งที่สอง ซึ่งแสดงถึงทุ่งไหหินนี้เคยเป็นพื้นที่ในการอยู่อาศัยมาก่อนที่จะกลายเป็นสุสานหรือแหล่งฝังศพ ที่ทุ่งไหหินนี้เป็นสุสานสำหรับการฝังศพครั้งแรกและการฝังศพครั้งที่สอง ซึ่งทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นหลุมฝังศพครั้งแรก การฝังศพครั้งที่สอง การฝังภาชนะหรือการขุดหลุมเกิดขึ้นรอบ ๆ ไหหิน ทุ่งไหหินนี้น่าจะใช้สำหรับเป็นสัญลักษณ์ของอนุสรณ์สถานเกี่ยวกับพิธีศพของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่กล่าวมาแล้ว และมีความสืบเนื่องของการฝังศพครั้งที่สองในระยะต่อมา แต่ศาสตราจารย์นิตต้ากำหนดอายุการฝังศพครั้งที่สองและโบราณวัตถุที่พบ ว่าค่อนข้างต่างจากวัฒนธรรมการฝังศพครั้งที่สองจากเวียดนามและไทย ซึ่งน่าจะอยู่ในช่วงหลังมาก ๆ อาจจะล่วงเข้าจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๙-๑๐ อย่างไรก็ตาม การขุดค้นครั้งนี้ไม่มีการกำหนดค่าอายุจากค่า C14 ซึ่งแตกต่างอย่างยิ่งจากการศึกษาของนักโบราณคดีฝรั่งเศส แมดเดอลีน โคลานี [Madeleine Colani] ที่สรุปว่า ไหหินเหล่านี้ทำขึ้นในยุคสำริด ในช่วงที่เธอศึกษาเมื่อราว ๗๐ ปีที่แล้ว ได้บรรยายถึงไหหินที่บ้านอัง [Ban Ang] มีอยู่ ๒๕๐ ใบ ประมาณ ๕๐ ใบ น่าจะเป็นส่วนของกลุ่มผู้นำเพราะมีขนาดใหญ่กว่า ซึ่งอยู่ทางขอบด้านตะวันออกเฉียงเหนือของกลุ่ม และส่วนที่เป็นฝาพบน้อยมาก ไหหินส่วนใหญ่ทำพอดีกับฝาปิด ส่วน Henri Parmentier อ้างถึงข้อมูลจากเอกสารของ Vinet เมื่อ ค.ศ.๑๙๐๙ ว่า การทำเพาะปลูกที่ทุ่งไหหิน “พวกคนโต ๆ ก็มองหาลูกปัดคาร์นีเลียน ซึ่งเอาไปขายได้ ส่วนเด็ก ๆ ก็หาพวกของเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ” และสันนิษฐานถึงบางอย่างที่ใส่ในไหหินว่า ภาชนะสีดำ ขวาน เครื่องมือเหล็ก ลูกปัดแก้ว และลูกปัดคาร์นีเลียน ต่างหู กระดิ่งสำริด และชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์ แต่การขุดค้นรอบ ๆ ไหหินของ Colani ไม่พบอะไรสำคัญแม้แต่เครื่องมือสำริดและเหล็กที่ใช้ในการแกะไหหินแกรไนต์เหล่านั้น พบเพียงต่างหูดินเผาทาสีเข้มรูปเรขาคณิต หอยเบี้ย เครื่องประดับสำริดและระฆัง ซึ่งก็สันนิษฐานเช่นเดียวกับ Parmentier ว่าใช้เพื่อการอุทิศให้ศพ นอกจากนี้ Colani ยังเสนอข้อมูลที่น่าสนใจว่า ไหหินที่ทุ่งไหหินนี้น่าจะสัมพันธ์กับไหหินที่มีรูปแบบเดียวกันที่อินเดียเหนือซึ่งได้พบการใส่กระดูกมนุษย์ด้วย อีกทั้ง Colani ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมซาหวิ่น เพราะสิ่งของที่ฝังไว้เหมือนกับที่พบในทุ่งไหหิน และตามที่เธอคิดบริเวณทุ่งไหหินอยู่ในเส้นทางค้าเกลือในสมัยก่อนประวัติศาสตร์จากซาหวิ่นชายฝั่งเวียดนามตอนกลางเข้าสู่หลวงพระบาง อย่างไรก็ตาม สำหรับข้อมูลที่ขัดแย้งในเรื่องการกำหนดอายุ สิ่งที่ปรากฏในงาน Colani และศาสตราจารย์นิตต้า ไม่ได้บ่งบอกอย่างชัดเจนถึงรูปแบบสิ่งของวัตถุที่ร่วมสมัยกับวัฒนธรรมการฝังศพครั้งที่สองในเวียดนามและไทย แต่การฝังศพครั้งที่สองในไหหินอาจเกิดขึ้นในยุคเดียวกันก็เป็นได้แต่มีลักษณะล้าหลังกว่าในเขตที่เป็นชุมชนขนาดใหญ่เช่นในแอ่งโคราชหรือบริเวณชายฝั่งเวียดนาม แต่สิ่งที่เห็นชัดเจนกว่าก็คือ ผู้คนในระยะต่อมามองทุ่งไหหินนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จนทำให้เกิดความสืบเนื่องในการฝังศพครั้งที่สองสืบต่อมาในระยะหลังมาก ๆ จากการกำหนดอายุของศาสตราจารย์นิตต้าซึ่งเห็นว่าล่วงเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ ๑๐ ทีเดียว ประเพณีการฝังศพครั้งที่สองในเขตภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ได้หายไปจนไม่พบร่องรอยแต่อย่างใด แต่ถูกปรับเปลี่ยนหลังจากเริ่มมีการรับวัฒนธรรมทางศาสนาจากอินเดียเข้าสู่ยุคสมัยประวัติศาสตร์ และนิยมการเผาศพ [cremation] เพื่อนำเพียงเถ้าหรือกระดูกใส่ในภาชนะรูปแบบต่าง ๆ ฝังไว้ตามฐานศาสนสถานแทนที่จะเป็นสุสานหรือพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนดังแต่ก่อน นับเป็นการผสมผสานพิธีกรรมความเชื่อที่เข้ามาใหม่กับประเพณีรูปแบบเดิมที่ยังคงอยู่ เพราะวิธีคิดและโลกทัศน์ในการปฏิบัติระหว่าง การฝังศพ [burial] และ การเผาศพ [cremation] มีความแตกต่างอย่างชัดเจน โดยเฉพาะวิธีการเลือกรูปแบบของสิ่งที่เหลืออยู่สำหรับชีวิตหลังความตาย แต่ขั้นตอนสุดท้ายในการฝังศพครั้งที่สองคือ การบรรจุกระดูกในภาชนะแล้วเก็บรักษาไว้ยังคงมีอยู่ ซึ่งวิธีปฏิบัติเช่นนี้พบทั่วไปในวัฒนธรรมแบบทวารวดีในไทย วัฒนธรรมของพวกพยูสมัยก่อนพุกามในพม่า และวัฒนธรรมของพวกจามในจามปาและฟูนันในเวียดนาม ในขณะที่วัฒนธรรมการฝังศพและการฝังศพครั้งที่สอง โดยเฉพาะในจีนตอนใต้ยังคงถือปฏิบัติและส่งผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ในพม่า ศรีเกษตร [Srikshetra] เป็นเมืองสำคัญของพวกพยู อยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๕ – ๙ ตั้งอยู่ริมฝังแม่น้ำ อิรวดี ภายในเมืองมีการพบภาชนะใส่เถ้าและกระดูกหลายรูปแบบหลายขนาดตามเนินดินต่าง ๆ รวมทั้งพบภาชนะที่ทำจากทองแดงหรือหินอยู่บ้างแต่ไม่มากนักน่าจะใช้สำหรับพิธีศพของพวกชนชั้นนำ ซึ่งเห็นแน่ชัดจากไหหินสี่ใบที่พบใกล้กับเจดีย์ Payagy แต่ละใบมีจารึกสั้น ๆ เล่าเรื่องราชวงศ์เหล่านั้นและการตายอยู่ด้วย ในวัฒนธรรมทวารวดี เราพบภาชนะบรรจุเถ้าหรือกระดูกที่โดนเผาไหม้อยู่ตามฐานสถูปหรืออาคารสำคัญทางพุทธศาสนา ในชุมชนโบราณที่สืบเนื่องจากสมัยก่อนประวัติศาสตร์และเริ่มรับอิทธิพลทางพุทธศาสนาในลุ่มน้ำมูน-ชีหลายแห่ง เช่น ที่เมืองฟ้าแดดสงยาง จังหวัดกาฬสินธุ์ เมืองนครจำปาศรี จังหวัดมหาสารคาม การพบไหหินขนาดใหญ่ ฐานมีการแกะสลักลวดลายรูปกลีบบัวเพื่อบรรจุกระดูกจากเมืองนครปฐมโบราณ ซึ่งเป็นสิ่งที่คล้ายคลึงและร่วมสมัยกับภาชนะบรรจุกระดูกจากเมืองศรีเกษตรของพม่า และน่าจะเป็นของชนชั้นนำในสังคมเช่นเดียวกัน ประเพณีการบรรจุภาชนะใส่กระดูกในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเทียบได้กับการฝังศพครั้งที่สองนี้ กระจายทั่วไปในวัฒนธรรมยุคแรกเริ่มประวัติศาสตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สืบเนื่องเรื่อยมาและพบเห็นได้จนถึงปัจจุบัน การฝังศพครั้งที่สองที่ทุ่งกุลาร้องไห้ นอกจากการขุดค้นของ ดร.พรชัย สุจิตต์ และ ศ.นิตต้าที่โนนยาง บ้านเขวาโค้ง อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ และ ศ.นิตต้าที่แหล่งถลุงเหล็กขนาดอุตสาหกรรมบ้านดงพลอง อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ซึ่งห่างโนนยางไปราว ๕๐ กิโลเมตร แต่อยู่ในเขตติดต่อกับทุ่งกุลา รวมทั้งการขุดค้นที่โนนเดื่อ บ่อพันขัน จังหวัดร้อยเอ็ดของ ศ.ไฮแอม ทำให้เห็นลักษณะทางสังคมวัฒนธรรมของผู้คนในลุ่มน้ำมูน-ชีตอนกลาง นอกเหนือไปจากการสำรวจโบราณวัตถุที่พบบนผิวดิน เช่น งานของ รศ.ศรีศักร วัลลิโภดมและคณะ ในการสำรวจวิเคราะห์วัฒนธรรมลุ่มน้ำมูน-ชีตอนล่าง ดังนั้น การขุดค้นที่บ้านเมืองบัวของคุณสุกัญญา เบาเนิด ในทุ่งกุลาร้องไห้ครั้งนี้ นับว่าเพิ่มเติมความชัดเจนในเรื่องของวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับการตายของผู้คนในบริเวณนี้ได้เป็นอย่างดี จากข้อมูลที่เผยแพร่แล้ว ในการขุดค้นทางโบราณคดีที่บ้านเมืองบัว คุณสุกัญญาสรุปว่ามีทั้งการฝังแบบเดิม [primary burial] คือฝังทั้งร่างกายและอุทิศสิ่งของให้ผู้ตาย แต่ก็ไม่พบส่วนแขน มือ และกะโหลก และสันนิษฐานว่าถูกทำลายไปแล้ว (โดยไม่ระบุชัดเจนสาเหตุที่ถูกทำลาย) โดยกำหนดอายุว่าอยู่ในช่วง ๑,๒๖๐+ -๕๒๐ BC. และการฝังศพครั้งที่สอง [secondary burial] มีการนำโครงกระดูกมากกว่า ๑ โครงฝังรวมกัน เช่น โครงกระดูก ๓ โครงฝังทับซ้อนกัน ยกเว้นกะโหลกศีรษะที่เรียงกันอย่างเป็นระเบียบ และมีการอุทิศสิ่งของใส่ภาชนะรูปแบบต่าง ๆ แก่ผู้ตาย ส่วนบางโครงมีการครอบภาชนะทับศีรษะไว้ และบางส่วนหลุมพบเพียงชิ้นส่วนที่ปะปนกันไม่มีรูปร่างโครงกระดูกทั้งร่าง ซึ่งกำหนดอายุว่าอยู่ในช่วง ๖๐+-๒๖๐ BC. ที่น่าสนใจคือ การพบภาชนะใส่กระดูกในการฝังศพครั้งที่สองจำนวนมากในบริเวณใกล้เคียงกัน เป็นภาชนะรูปทรงยาวก้นกลมวางในแนวนอน มีฝาปิดรูปทรงถาดและภาชนะทรงหม้อก้นกลมปิดที่ก้นด้วย บางกลุ่มมีการเรียงต่อกันของภาชนะขนาดยาวนี้หลายใบ ซึ่งน่าจะมีความหมายบางอย่าง ภาชนะบรรจุกระดูกที่ขุดพบนี้มีรูปแบบหลากหลาย และมักมีการวางภาชนะขนาดเล็กในบริเวณใกล้เคียงอาจใส่สิ่งของที่อุทิศให้กับผู้ตาย แต่ข้อมูลทั้งหมดนี้เป็นการเสนอของคุณสุกัญญา เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๓ โดยยังไม่มีการตรวจสอบภายในภาชนะ หรือวิเคราะห์แสดงให้เห็นรูปแบบและองค์ประกอบของการวางของภาชนะอันหลากหลายนั้นอย่างเด่นชัด จนแม้กระทั่ง การเสนอความแตกต่างในวัฒนธรรมการฝังศพครั้งที่สองในแต่ละชั้นวัฒนธรรม ซึ่งเห็นได้จากหลุมขุดค้นที่แสดงออกอย่างชัดเจนในปัจจุบัน ในท้ายที่สุด ข้อเสนอของคุณสุกัญญาเห็นว่า ภาชนะขนาดใหญ่รูปทรงยาวเช่นที่เรียกกันทั่วไปว่า “แบบแคปซูล” ทั้งขนาดและรูปทรง “น่าจะสามารถบรรจุกระดูกได้ทั้งโครงโดยไม่ต้องชำแหละออกเป็นส่วน ๆ” ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องเป็นการฝังแบบครั้งที่สอง [secondary burial] เสมอไป และภาชนะแบบแคปซูลนี้ จึงมีหน้าที่ใช้งานแทนโลงศพ [coffin] การสรุปเช่นนี้อาจจะเร็วเกินไป อย่างไรก็ตาม สามารถเปลี่ยนแปลงแนวความคิดใหม่ได้ หากพิจารณาโดยลักษณะของการศึกษาเปรียบเทียบกับวัฒนธรรมลุ่มน้ำมูนตอนปลาย หรือแม้แต่วัฒนธรรมการฝังศพครั้งที่สองในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังที่ได้ยกตัวอย่างข้างต้น สิ่งที่อยากจะเสนอจากการพิจารณาหลักฐานที่ปรากฏในหลุมขุดค้นของคุณสุกัญญาก็คือ ๑. ตั้งแต่ชั้นดินเริ่มแรกของแหล่งโบราณคดีบ้านเมืองบัวเป็นการฝังศพครั้งที่สองแล้ว ในการพบโครงกระดูกที่ฝังแบบเหยียดยาว แต่แขน ข้อมือ และกะโหลกศีรษะหายไป แสดงให้เห็นการฝังศพครั้งแรกที่มีการรอมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง แล้วขุดเพื่อนำชิ้นส่วนกระดูกจากหลุมฝังศพนั้นมาทำการฝังศพครั้งที่สอง ซึ่งคล้ายคลึงกับโครงกระดูกที่มีการฝังร่างทับซ้อนกัน แต่เน้นในการเรียงศีรษะอย่างเป็นระเบียบ หรือบางโครงที่มีการใช้ภาชนะคุลมหน้าเอาไว้ ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับข้อสังเกตจากศ.นิตต้า ซึ่งขุดค้นที่โนนยางและดงพลองที่อยู่ไม่ไกลไปนักว่า มีการให้ความสำคัญกับศีรษะเป็นพิเศษ และพบเพียงกะโหลกในภาชนะใส่กระดูกในการฝังศพครั้งที่สอง ค่าอายุแรกอาจจะมากเกินไป แต่ค่าอายุในช่วง ๖๐ BC.+-๒๖๐ ก็สามารถยอมรับได้เพราะเป็นอายุที่ใกล้เคียงหรือร่วมสมัยกับวัฒนธรรมการฝังศพครั้งที่สอง ซึ่งเทียบกับค่าอายุที่บ้านดงพลอง โนนยาง บ้านก้านเหลือง หรือแม้แต่ชุมชนในวัฒนธรรมซาหวิ่นทางตอนกลางและตอนใต้ของเวียดนาม ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นวัฒนธรรมในยุคเหล็กหรือยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย ๒. การฝังศพซึ่งผู้ขุดค้นเข้าใจว่า อาจจะบรรจุร่างกายที่สิ้นชีวิตของมนุษย์ทั้งร่างในภาชนะทรงแคปซูลหลายใบต่อกัน เป็นสิ่งที่ผิดวิสัยของประเพณีการฝังศพในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะการฝังศพครั้งแรกในภาชนะพบเพียงการฝังศพทารกเท่านั้น เช่น ที่บ้านนาดีหรือบ้านเชียง และแม้ภาชนะจะมีความหนามาก แต่คงไม่สามารถทนกับร่างกายมนุษย์ที่เริ่มอืดบวมและกำลังเน่าเปื่อย ของเหลวในร่างกายจำนวนมากจะระบายออกจากรูที่พบในภาชนะได้หมดหรือไม่ และหากเป็นจริงไม่ต้องสงสัยเลยว่าภาชนะนั้นจะมีสภาพปริพังหรือเปื่อยยุ่ยเพียงใด ส่วนการชำแหละศพเป็นชิ้นส่วนเพื่อใส่ในภาชนะการฝังศพครั้งที่สองนั้นก็ไม่จำเป็น เพราะจากการศึกษาเปรียบในวัฒนธรรมของชาวจีนที่ยังคงฝังศพครั้งที่สองกันอยู่ ต้องใช้เวลาราว ๓-๔ ปี ในการกลับไปขุดหลุมศพนั้นขึ้นมาเพื่อทำความสะอาด โดยที่เนื้อตัวของผู้ตายยังอาจจะไม่ย่อยเปื่อยทั้งหมด ดังนั้น การเสนอว่าเป็นการฝังศพครั้งแรกในภาชนะขนาดใหญ่ ก็เป็นเรื่องที่กระโดดไปจากข้อเท็จจริงอยู่มาก โดยไม่อาจหาบริบทใดมารองรับ ๓. ชั้นวัฒนธรรมที่เห็นปรากฏชัดเจนว่ามีรูปแบบของภาชนะในประเพณีการฝังศพครั้งที่สอง ๒ ระยะ และมีรูปแบบภาชนะที่ต่างกัน ชั้นแรก คือการฝังภาชนะทรงกลมก้นกลม มีฝาปิดเป็นรูปโค้งครึ่งวงกลมฝังในแนวตั้ง ระดับต่ำกว่าการฝังภาชนะในชั้นต่อมาค่อนข้างมาก หลังจากนั้นพบความหลากหลายของภาชนะในการฝังศพครั้งที่สองมากมาย และเปลี่ยนรูปแบบของภาชนะไปอย่างสิ้นเชิง แต่ลักษณะเด่นคือภาชนะรูปทรงรียาวขนาดใหญ่ปากกว้างเหมือนที่เรียกกันทั่วไปว่า แบบแคปซูล การฝังก็วางนอนขนานกับพื้นดินเพราะคงไม่สามารถตั้งขึ้นได้เนื่องจากก้นรีมน ส่วนใหญ่ต่อกันราว ๒ ใบหรือมากกว่า และมีฝาปิดคล้ายภาชนะรูปอ่างครึ่งวงกลมและเป็นภาชนะรูปหม้อทรงกลม ซึ่งน่าแปลกที่ใช้ปิดทั้งหัวและท้าย วิธีการปฏิบัติและรูปแบบภาชนะในการฝังศพครั้งที่สองเช่นนี้ในระดับชั้นวัฒนธรรมนี้ ไม่เคยพบจากการขุดค้นที่ใดมาก่อน แม้ในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือแม้กระทั่งบ้านก้านเหลืองที่อยู่ปลายลำน้ำมูน หรือที่โนนยางซึ่งก็อยู่ไม่ไกลออกไปเท่าใดนัก น่าสนใจที่จะถอดรหัสแปลความหมายจากการปฏิบัติเช่นนี้อย่างมาก นอกจากนี้ยังมีภาชนะที่ฝังในแนวตั้งรูปทรงกระบอกขนาดใหญ่ ปากกว้างกระจายแทรกอยู่ในชั้นวัฒนธรรมนี้ด้วย และจากการข้อมูลของคุณสุกัญญา ซึ่งสำรวจแหล่งโบราณคดีทั้งหมดในเขตทุ่งกุลาร้องไห้ พบภาชนะเช่นนี้อยู่หลายแห่ง ทั้งพบรูปแบบภาชนะอื่น ๆ รูปแบบฝาปิดอื่น ๆ เช่น แบบฝาแบนขนาดใหญ่มีหูจับด้านบน แบบฝาเป็นรูปคล้ายหมวกกะโล่ จึงน่าจะยอมรับได้ว่า นี่เป็นวัฒนธรรมเด่นของพิธีกรรมการฝังศพเฉพาะในเขตทุ่งกุลา แม้ประเพณีเกี่ยวกับความตายที่เป็นการฝังศพครั้งที่สองในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ จะเป็นวัฒนธรรมเด่นของผู้คนในแถบนี้ก็ตาม แต่รายละเอียดรวมถึงรูปแบบและลักษณะของภาชนะกลับแตกต่างและมีความหลากหลาย แสดงถึงรูปแบบที่เปลี่ยนแปร [variation] ของการใช้รูปแบบภาชนะในทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งแม้จะอยู่ในภูมิประเทศและและพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกันและมีลักษณะเฉพาะของชุมชนที่อาจแสดงถึงความเป็นคนกลุ่มเดียวกันอยู่มาก แต่ก็ยังเห็นถึงความหลากหลายในการเลือกใช้รูปแบบภาชนะในพิธีการฝังศพครั้งที่สอง ซึ่งยังต้องค้นคว้ากันอีกมากว่า ความหลากหลายนี้เป็นอย่างไร ส่วนชั้นดินที่ไม่ถูกพูดถึงเลยคือ ชั้นดินด้านบนสุดซึ่งไม่ห่างจากชั้นดินในวัฒนธรรมการฝังศพครั้งที่สองในภาชนะแบบแคปซูล ซึ่งเป็นชั้นดินที่พบเศษภาชนะดินเผาแบบทุ่งกุลาหรือที่เรียกว่าแบบร้อยเอ็ดที่มีสีขาวนวลเนื้อดินสีขาวบางแกร่ง ตกแต่งด้วยลายเชือกทาบส่วนมากเขียนขอบปากสีแดงเป็นลวดลายเรขาคณิต อันเป็นภาชนะแบบพิเศษที่พบเฉพาะในบริเวณทุ่งกุลา ปะปนกับเศษภาชนะเนื้อแกร่งเคลือบน้ำตาลในวัฒนธรรมลพบุรี ที่สัมพันธ์กับกู่เมืองบัวหรือศาสนาสถานเนื่องในวัฒนธรรมขอมที่ตั้งไม่ห่างนัก ๔. จากหลุมขุดค้นไม่พบโบราณวัตถุอื่น ๆ และไม่มีการเสนอข้อมูลโบราณวัตถุที่ชาวบ้านพบหรือพบบนผิวดินเท่าใดนัก ทั้งที่เป็นสิ่งสำคัญในการศึกษาเปรียบเทียบ [typology] วัตถุทางวัฒนธรรมได้ดี สิ่งที่น่าสังเกต คือ มีการทำกำไลดินเผาที่เลียนแบบกำไลสำริด คล้ายที่พบที่บ้านก้านเหลืองและลูกปัดกลมทำด้วยดินเผาจำนวนมาก พบเครื่องมือเหล็ก ขวานสำริด และเครื่องประดับสำริด ลูกปัดแก้ว ลูกปัดหินคาร์นีเลียนและอาเกตเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับชุมชนนอกเขตทุ่งกุลาอื่น ๆ ชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในทุ่งกุลาร้องไห้คงไม่ใช่พื้นที่ซึ่งร่ำรวยแต่อย่างใด และไม่ใช่ชุมชนเนื่องในอุตสาหกรรม เช่น การผลิตเกลือและเหล็กซึ่งเกิดขึ้นอย่างมากมายในระยะนี้ จึงไม่มีวัตถุทางวัฒนธรรมเหมือนกับชุมชนเช่นบ้านก้านเหลืองที่อยู่ในเขตปลายลำน้ำมูนและอยู่ในระหว่างเส้นทางคมนาคมที่เชื่อมต่อชุมชนภายนอกใกล้เขตชายทะเล [hinterland] กับชุมชนภาคพื้นภายใน [inland] ชุมชนในท้องทุ่งกุลาร้องไห้ จึงเป็นเขตล้าหลังทางวัตถุวัฒนธรรม ไม่มีสิ่งของมีค่าจากแดนไกล ไม่สามารถผลิตเครื่องมือเครื่องใช้โลหะได้มากมาย แต่กลับมีความหลากหลายและมีสีสันของความเคลื่อนไหวทางประเพณีพิธีกรรม ที่เห็นได้จากประเพณีการฝังศพครั้งที่สอง ซึ่งมีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนชุมชนอื่น ๆ นอกทุ่งกุลาออกไป และสิ่งเหล่านี้คือตัวตนของวัฒนธรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายในทุ่งกุลา สรุป ประเพณีการฝังศพครั้งที่สองในแหล่งวัฒนธรรมสำคัญของภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีช่วงอายุใกล้เคียงกัน และมีความสัมพันธ์ในรูปแบบทางวัฒนธรรมอย่างชัดเจน โดยมีการติดต่อกันในเส้นทางเดินทางที่สำคัญจากชายฝั่งทะเลสู่ภายในแผ่นดิน เส้นทางสันนิษฐานหลักคือ การเดินทางตามแม่น้ำโขง อย่างไรก็ตาม เส้นทางบกที่ตัดตรงออกไปสู่ชายฝั่งทะเลในเวียดนามตอนกลางน่าจะสะดวกกว่า อาจเป็นเส้นทางติดต่อระหว่างชุมชนในวัฒนธรรมซาหวิ่น วัฒนธรรมดองซอน กับเขตแอ่งโคราช โดยเฉพาะจากลุ่มน้ำมูนตอนปลายเข้าสู่เขตอีสานใต้ ซึ่งเป็นแหล่งสำคัญของการทำพิธีประเพณีการฝังศพครั้งที่สอง ส่วนในภาคกลางฟากตะวันตกและตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ที่พบวัตถุทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม โกมึน ฟุงเหวียน ดองซอน และซาหวิ่น จากเวียดนาม น่าจะมีการติดต่อระหว่างนักเดินทางทางทะเลเลียบชายฝั่งกับชุมชนที่อยู่ภายในแผ่นดิน แต่บริเวณนี้ เราไม่พบการฝังศพครั้งที่สองในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายแต่อย่างใด สำหรับพื้นที่ในการฝังศพครั้งที่สอง ที่พบการใช้พื้นที่เดิมในเนินดินเดิม มักจะอยู่ในเขตเฉพาะส่วนส่วนใดส่วนหนึ่งของชุมชน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ กรณีของทุ่งไหหินที่ยังคงมีการฝังศพครั้งที่สองเรื่อยมารอบ ๆ ไหหินเหล่านั้นจนเข้าสู่ช่วงสมัยประวัติศาสตร์แล้ว ส่วนในเขตแอ่งโคราชหรือในเขตทุ่งกุลา การฝังศพครั้งที่สองพบตั้งแต่ชั้นดินแรกเริ่มในการตั้งถิ่นฐานและยังคงสืบเนื่องเรื่อยมาอีกหลายระยะ การใช้พื้นที่เหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นความเชื่อในพลังของพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่คนในสังคมให้ความนับถือร่วมกัน และตอกย้ำว่าพวกเขาเคยเป็นใครมาก่อน โดยการอ้างอิงหลุมฝังศพเดิม ๆ ซึ่งเป็นการบอกเล่าเรื่องราวความต่อเนื่องทางและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม อาจเป็นการบอกเล่าเรื่องราวแบบมุขปาฐะ [oral tradition] ที่ส่งผ่านสืบต่อกันมา วิธีการฝังศพครั้งที่สอง ได้แสดงออกอย่างชัดเจนถึงการโลกทัศน์และการให้ความสำคัญแก่กลุ่มเครือญาติหรือกลุ่มคนที่เป็นสายตระกูลเดียวกัน เพราะคงต้องมีการรวมญาติเพื่อที่จะมีการขุดหลุมศพผู้ตายนำไปประกอบพิธีกรรมอย่างประณีต โดยคัดเลือกทำความสะอาดกระดูก บรรจุไว้ในภาชนะที่มีรูปแบบเฉพาะกลุ่ม พร้อมทั้งสิ่งของมีค่า เครื่องประดับ ข้าวปลาอาหาร เพื่อให้วิญญาณผู้ตายได้เดินทางไปสู่โลกหลังความตายอย่างสมบูรณ์ และอาจวิเคราะห์ได้อีกว่า เป็นการประกาศถึงตัวตนของผู้ที่ยังอยู่ว่าตนมีเถือกเถาเหล่ากออย่างไร เป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกในสายตระกูลใด ซึ่งถือเป็นการประกาศสิทธิอำนาจและทรัพย์สินที่สืบทอดต่อมาจากบรรพบุรุษให้กับสมาชิกในสังคมได้รับรู้ และยังเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความเป็นท้องถิ่นหรือความเป็นชุมชนร่วมกัน เพื่อที่จะสร้างพลังในการบูรณาการให้เกิดขึ้นแก่สังคมอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเห็นตัวอย่างได้ชัดในสังคมจีน ที่ประเพณีการฝังศพครั้งที่สองเป็นสิ่งสำคัญของสังคมแบบวงศ์ตระกูล [clan society] ดังนั้น สังคมที่มีประเพณีการฝังศพครั้งที่สอง จึงมีความซับซ้อนของโครงสร้างทางสังคมอยู่มาก บรรณานุกรม กรมศิลปากร. โบราณคดีเขื่อนปากมูล บริษัทรุ่งศิลป์การพิมพ์ (1977) จำกัด กรุงเทพฯ ๒๕๓๕ สุกัญญา เบาเนิด. วัฒนธรรมทุ่งกุลาร้องไห้ ทุ่งกุลา อาณาจักรเกลือ ๒,๕๐๐ ปี จากยุคแรกเริ่มล้าหลัง ถึงยุคมั่งคั่ง ข้าวหอม สำนักพิมพ์มติชน กรุงเทพฯ, ๒๕๔๖ _______. ความตาย/ความเชื่อ/พิธีกรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย วัฒนธรรมทุ่งกุลาร้องไห้จากหลักฐาน ทางโบราณคดีกุลาร้องไห้ ทุ่งกุลา อาณาจักรเกลือ ๒,๕๐๐ ปี จากยุคแรกเริ่มล้าหลัง ถึงยุคมั่งคั่งข้าวหอม สำนักพิมพ์มติชน กรุงเทพฯ, ๒๕๔๖ Eiji Nitta. Comparative Study on the Jar burial tradition in Vietnam, Thailand and Loas Historical Science Reports of Kagoshima University Vol.43, July 1996. Russell Ciochon and Jamie James. Laos Keeps its Urns http: // www.uiowa.edu/ ~bioanth /laoskeep.html, 3/2/2003
- ข้อสังเกตจากการไปฟังเสวนาเรื่อง “ตามรอยสมเด็จเจ้าฟ้าอุทุมพร ในอมรปุระ เมียนมาร์”
เผยแพร่ครั้งแรก 1 เม.ย. 2556 เรื่องเล่าจากวงเสวนาเนื่องในงานสถาปนิก’๕๖ จัดโดยสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อวันเสาร์ที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ผู้ร่วมเสวนาคือ คุณวิจิตร ชินาลัย ผู้อำนวยการโครงการ Thailand Design Consortium Co., Ltd. ร่วมด้วย คุณมิคกี้ ฮาร์ท สถาปนิก-นักประวัติศาสตร์ กรณีเรื่องสถูปเจ้าฟ้าอุทุมพรที่ชานเมืองอมรปุระผู้เขียนเคยเขียนเรื่องนี้ใน จดหมายข่าวมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ฉบับที่ ๙๖ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๕) ก่อนที่จะมีการไปขุดค้นที่อมรปุระโดยคณะอาสาสมัครฯ ราวเดือนหรือสองเดือน โดยสรุปก็คือมีโอกาสอย่างมากที่บริเวณนี้จะเป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ ทั้งจากประวัติศาสตร์บอกเล่าและข้อมูลแวดล้อมที่เป็นเรื่องน่าสนใจซึ่งมาจากการบอกเล่าหรือข้อมูลมุขปาฐะจากลูกหลานที่ถือว่าตนเองคือเชื้อสายชาวโยดะยาที่รวมทั้งประเพณี พิธีกรรม และโบราณสถานบางส่วน แต่จะบ่งบอกว่าสถูปองค์ใดคือสถูปของเจ้าฟ้าอุทุมพรคงยาก จนถึงอาจจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบ่งบอก แต่การจัดการเพื่อเป็นสถานที่อนุสรณ์สถาน ไม่ว่าจะมีอยู่จริงหรือไม่ก็ควรทำ กรณีการบูรณะโบราณสถานที่ เกาะเมืองอยุธยานั้นยังไม่สามารถจัดการพื้นที่และให้ความหมายกับเจดีย์สักองค์ได้เลย การบูรณะหรืออนุรักษ์โดยแสดงข้อมูลการศึกษาอย่างชัดเจนก็น่าจะสร้างความรู้และความเข้าใจตลอดจนความสัมพันธ์ในระหว่างรัฐยุคใหม่ทุกวันนี้ได้มากกว่าอยู่กันเฉย ๆ แต่กรณีนี้นักโบราณคดีไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยเชื่อเพราะ ๑. มีข้อมูลน้อยมากเรื่องพระเจ้าอุทุมพรเมื่อไปพม่า โดยเฉพาะเรื่องคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรมที่คาดว่าได้ต้นฉบับที่แปลเป็นภาษามอญไปแล้วอีกทีก่อนแปลเป็นไทย แถมข้อมูลอื่น ๆ ที่มีก็กล่าวถึงการไปอยู่เมืองสะกายน์มากกว่าอมรปุระด้วย ส่วนเอกสารที่แปลจากภาษาพม่าโบราณ กล่าวถึงการถวายพระเพลิงพระบรมศพก็ไปเขียนถึงเจ้าฟ้าเอกทัศน์ไม่ใช่เจ้าฟ้าดอกเดื่อ นักประวัติศาสตร์และโบราณคดีไทยเลยยังคลางแคลงใจที่จะเชื่อถือเสียทั้งหมด จนถึงไม่นำข้อมูลส่วนนี้มาใช้เลย ๒. ไม่เชื่อถือ คุณหมอทิน มอง จี เพราะคิดว่าไม่รู้ภาษาไทยและมีลักษณะการผูกเรื่องเองสูง โดยมีประเด็นซ่อนเร้น เช่น ความต้องการให้คนไทยไปเที่ยวกันมาก ๆ เป็นต้น เมื่อมีโอกาสมารู้จัก คุณหมอ เห็นว่าเป็นคนที่ตื่นเต้นเป็นธรรมดาเวลาเจอเรื่องที่น่าสนใจและฝักใฝ่ในการแสวงหาความรู้ แม้ว่าจะอายุเจ็ดสิบกว่าปีก็ตาม การผูกเรื่องให้เชื่อมโยงกันมีเป็นธรรมดาของนักวิชาการที่ข้ามสาขา แต่ก็เป็นคนรับฟังเวลาเห็นข้อมูลใหม่ ๆ ไม่เข้าข้างตัวเองแบบที่ว่า คุณหมอมีข้อมูลน่าสนใจในทาง Ethnography อยู่มาก โดยเฉพาะการเป็นลูกหลานของครอบครัวโขนละครจากโยดะยาหรืออยุธยา และยังสนใจในดนตรีและนาฏศิลป์ งานของคุณหมอมาถูกทางหลายเรื่อง งานจะน่าสนใจมากถ้ามีการปรับเติมและค้นคว้าเพิ่มเติม แต่ก็ยังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ยังไม่สามารถทำได้โดยสะดวกนักจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา ๓. สำหรับการศึกษาทางโบราณคดี ถ้าเน้นดูเรื่องอิฐ เรื่องขนาด ความหนา ความยาว และเรื่องรูปแบบเจดีย์คงงงมากถ้าใช้วิธีนี้ บางท่านเห็นว่าเอารูปแบบเจดีย์แบบเมืองไทยไปเปรียบเทียบอีก ซึ่งน่าจะอยู่ต่างพื้นที่ต่างวัฒนธรรม คุณมิคกี้ ฮาร์ท ก็พยายามทำอะไรแบบนี้เหมือนกัน แต่อยู่ในบริบทของโบราณสถานในเมืองอมรปุระ ฟังจากวงพูดคุยคาดว่านักโบราณคดีพม่า ก็มาทำนองนี้ ดังนั้นการจะไปเห็นด้วยว่าเจดีย์ที่พบใหม่และพบโบราณวัตถุสำคัญคือสถูปพระเจ้าอุทุมพรอย่างเต็มที่คงไม่ใช่เรื่อง จึงเลี่ยงไปพูดเสียว่าการพบภาชนะบรรจุอัฐิของบุคคลชั้นสูงในเจดีย์องค์หนึ่ง แต่ไม่มีอะไรบ่งบอกว่า "ใช่" อย่างแน่นอน เพราะอาจจะเป็นเจ้านายในวงศ์อื่น ๆ ก็ได้ ๔. วิธีที่ทางหัวหน้ากลุ่มศึกษาและอาสาสมัครฯ บอกว่าจะนำชิ้นส่วนกระดูกอัฐิไปพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ เช่น ตรวจดีเอ็นเอ เพื่อสืบเชื้อสายโดยหากลุ่มตัวอย่างจากคนที่ว่าเขาเป็นเชื้อสายและอพยพไปอยู่อเมริกา หรือหาคนที่อยู่อมรปุระหลายชั่วคนไม่ย้ายไปไหน หรือคนอยุธยาที่เกาะเมืองอยุธยา น่าจะเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรที่จะค้นพบ ๕. มาถึงหลักฐานสำคัญที่ทำให้ชาวคณะภาคภูมิ เพราะดูจะ มีเป้าประสงค์ในใจอยู่แล้วว่า นี่คือการค้นหาหลักฐานของพระเจ้าอุทุมพร ก่อนกลับก็ได้ค้นพบภาชนะที่ทางกลุ่มเรียกว่า “บาตร” มีฝาปิด แม้อาจสันนิษฐานว่าเป็นภาชนะอื่น ๆ ได้เช่นกัน ในวงเสวนาบอกกันว่าทางคณะพม่าเชื่อสนิทใจร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเชื่อว่าเป็นรูปแบบภาชนะสำหรับคนสำคัญ เป็นของพระราชทานแน่นอน ตรงนี้เป็นประเด็นสำคัญ คนทางฝั่งพม่ารวมทั้งนักวิชาการต่าง ๆ คงต้องค้นหาข้อมูลมาเพิ่มให้มีความชัดเจน ซึ่งคิดว่าไม่น่ายาก เพราะคนทางพม่านั้นนิยมการบันทึกอยู่มาก ถึงแม้ระบบกษัตริย์จะสิ้นไปแล้วก็ตาม ภาชนะแบบนี้เป็นบาตรหรือไม่ในวัฒนธรรมพม่าก็ไม่น่ายาก การหาข้อมูลและศึกษาก่อนสรุปน่าจะดีกว่า ๖. เป้าหมายในใจของทั้งสองฝั่งเป็นเรื่องสำคัญ ฝ่ายคณะไทยไม่ต้องพูดถึง เพราะเรื่องแบบนี้จะออกแนวซาบซึ้งได้ง่ายมาก (ประเด็นเรื่องการพลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองนอนเป็นเรื่องสะเทือนใจในสังคมแบบพุทธศาสนาเสมอ) และพร้อมจะปฏิบัติการเพื่อทำให้ตรงนี้เป็นอนุสรณ์สถานอยู่แล้ว ฝั่งพม่าเมื่อนโยบายทางการเมืองเปลี่ยนทุกวันนี้ ในวงเสวนากล่าวว่าข้าราชการของ เมืองมัณฑะเลย์วิ่งเข้าไปที่เมืองหลวงใหม่เนปิดอว์บ่อย ๆ จากที่ให้ขุดเฉย ๆ มาเป็นให้ปรับปรุงสุสานทั้งหมดของพื้นที่เลย แล้วบูรณะเป็นแหล่งท่องเที่ยวอนุสรณ์สถานตามที่ทางฝั่งไทยอยากทำก็ควรทำ นับเป็นความชาญฉลาดของเจ้าของพื้นที่อย่างชัดเจน บางท่านเห็นว่าคล้าย ๆ กับการอธิบายเรื่องวังของพระนางสุพรรณกัลยาในพระราชวังวังบุเรงนองที่หงสาวดี ๗. สรุปว่าคณะฝั่งไทย (หรือรัฐบาลไทย) ต้องกลับไปบูรณะปรับแต่ง ฯลฯ ซึ่งก็ขึ้นกับระดับผู้นำในรัฐแล้ว ในความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเห็นว่า ยังมีความรู้เรื่องคนสยามหรือคนโยดะยาในเขต Upper Myanma ทั้งสองฝั่งแม่น้ำ อิรวดีไปจนถึงแม่น้ำชินดวินอีกมากที่สามารถอธิบายเรื่องราวของคนสยามที่ถูกกวาดต้อนไปในคราวสงครามกับพม่าครั้งต่างๆ ก็คงเช่นเดียวกับผู้คนจากทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขง คนมอญ คนมลายูที่กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของบ้านเมืองสยามในปัจจุบัน โดยเฉพาะในเขตที่ราบลุ่มภาคกลาง ในเวทีเสวนา คุณมิคกี้ ฮาร์ท ก็ยังเล่าถึงข้อมูลผู้สูงอายุที่ยังจำได้ว่ามีการเรียกเจดีย์ที่นี่ว่า “เจดีย์อุทุม” รวมทั้งข้อมูลจากคุณหมอทิน มอง จี ในการค้นพบเริ่มแรกก็มาจากประวัติศาสตร์บอกเล่าเสียทั้งนั้น จึงต้องอาศัยการทำงานเก็บรายละเอียดทางด้าน Ethnography และประวัติศาสตร์แบบมุขปาฐะก็น่าจะพอเห็นร่องรอยต่าง ๆ ได้ แต่การสรุปแบบรวดเร็วอาจทำให้ข่าวการค้นพบครั้งนี้ดูเงียบ ๆ ไม่ค่อยมีการเผยแพร่ละเอียด ๆ หรือเป็นข่าวคราวที่ดังพอ ๆ กับข่าวการจะเตรียมรื้อกลุ่มเจดีย์ที่สุสานนี้ ส่วนสุสานล้านช้างชื่อก็บอกแล้วว่าอาจจะเกี่ยวโยงถึงผู้คนในกลุ่มลาว สถูปที่คุณหมอทิน มอง จี คาดว่าจะเป็นของเจ้าฟ้าดอกเดื่อ ทีมคณะไทยไม่พบหลักฐานและเห็นว่าไม่น่าจะมีประเด็นแต่อย่างใด ทั้งที่เห็นชัดเจนว่ามีอิทธิพลของสถูปแบบ "บัว" ซึ่งนิยมทำสำหรับพระผู้ใหญ่ เช่นที่สถูปพระครูหลวงโพนสะเม็กที่จำปาสักอาจจะไม่สามารถจัดกลุ่มเข้าพวกได้จึงไม่ได้กล่าวถึงอีกแต่อย่างใด การเผยแพร่ข้อมูลในวงเสวนานี้จึงอาจจะไม่ใช่งานศึกษาอย่างละเอียดนักแต่เป็นการทำงานกึ่งกู้ภัยรักษาโบราณสถานมากกว่า [Salvage Archeology] สิ่งเหล่านี้มักเกิดขึ้นในโลกสมัยใหม่ที่ครอบงำไปด้วยประเด็นของกิจกรรมและอุตสาหกรรมเพื่อการท่องเที่ยว จึงน่าใส่ใจกันว่าจะมีการศึกษาเรื่องคนสยามหรือ คนโยดะยาในพม่ากันต่อหรือไม่ อย่างใด หลังจากจัดการพื้นที่เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานกันไปได้แล้ว อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ข้อสังเกตเรื่อง “ยุคเหล็กในลุ่มลพบุรี-ป่าสัก”
เผยแพร่ครั้งแรก 10 มิ.ย. 2559 การศึกษาทางโบราณคดีในบริเวณลุ่มลพบุรี-ป่าสัก นับว่ามีความสนใจศึกษากันอย่างกว้างขวางในราว ๑๐ ปีที่ผ่านมา (เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๐) การสำรวจแหล่งโบราณคดีเบื้องต้นของกรมศิลปากรในภูมิภาคนี้ทำให้ทราบว่ามีชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป นอกจากนี้ การเร่งรัดสร้างถนนหนทางและการเกษตรอุตสาหกรรม ทำให้พบโบราณวัตถุจำนวนมหาศาล ที่นำมาซึ่งการขุดหาของเก่าและรับซื้อโบราณวัตถุกันอย่างกว้างขวางในพื้นที่นี้ ภาพแผนที่แสดงตำแหน่งที่ตั้งโดยประมาณของพื้นที่ซึ่งเรียกว่าลุ่มลพบุรี-ป่าสัก ที่อยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำลพบุรีทางฝั่งตะวันออกและลุ่มป่าสักทางฝั่งตะวันตก แหล่งโบราณคดีจำนวนมากสูญเสียไปในช่วงเวลานี้ เท่าที่สามารถทำได้คือการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เป็นโบราณวัตถุและสำรวจพื้นที่ที่ถูกลักลอบขุด การศึกษาอย่างเป็นระบบโดยมีวัตถุประสงค์ในการศึกษา กระทำได้น้อยมาก การสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำป่าสัก พื้นที่น้ำท่วมส่วนหนึ่งเป็นแหล่งโบราณคดี การทำงานแข่งกับเวลาเพียง ๑- ๒ ปี กับแหล่งโบราณคดีที่ยังไม่เคยมีการศึกษามาก่อน ย่อมเป็นเรื่องน่าเสียดายและคงต้องยอมรับการสูญเสียที่ไม่สามารถเรียกกลับคืนได้ เท่าที่ทราบข้อมูลจากการการขุดค้นและการสำรวจของห้างหุ้นส่วนจำกัดปุราณรักษที่รับศึกษาผลกระทบทางโบราณคดีในพื้นที่น่ำท่วมจากการสร้างเขื่อน พบว่า พื้นที่น้ำท่วมแห่งนี้มีเรื่องราวสำคัญและน่าสนใจอยู่มาก หากแต่เป็นวิธีการทำงานในระดับนโยบายของงานโบราณคดีกู้ภัย [Salvage Archaeology] ในประเทศไทย ข้อมูลส่วนหนึ่งจึงสูญหายไปอย่างน่าเสียดายยิ่ง สภาพภูมิศาสตร์ของลุ่มลพบุรี-ป่าสัก ลุ่มลพบุรี-ป่าสัก คือบริเวณฝั่งตะวันออกของลำน้ำเจ้าพระยา พื้นที่เริ่มตั้งแต่ที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึงในเขตจังหวัดลพบุรี สิงห์บุรี และชัยนาท สู่พื้นที่ลอนลูกคลื่น ความสูงตั้งแต่ต่ำกว่า ๑๐ เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลางในที่ราบลุ่มจนถึงราว ๘๐-๑๒๐ เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง และมีภูเขา เทือกเขาอยู่ทั่วไปอยู่ในเขตอำเภอบ้านหมี่ อำเภอโคกสำโรง อำเภอหนองม่วง จังหวัดลพบุรี อำเภอตาคลี อำเภอตากฟ้า อำเภอไพสาลี อำเภอพยุหะคีรี จนถึงอำเภอเมือง รอบขอบบึงบรเพ็ด ในจังหวัดนครสวรรค์ ต่อมาทางตะวันออกเป็นเขตพื้นที่สูงและเทือกเขา เช่น เขาวังเปล เขากลอยใจ เขาสอยดาว เขาถมอรัตน์ เขาซับไม้แดง เขาหินกลิ้ง ซึ่งเป็นแนวเขายาวจากเหนือลงใต้ ก่อนเข้าสู่เขตลำน้ำป่าสักในบริเวณอำเภอพัฒนานิคม อำเภอท่าหลวง อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี และอำเภอศรีเทพ อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นที่ราบลอนลูกคลื่นเช่นเดียวกัน ก่อนจะกลายเป็นที่สูงเชิงเขาของเทือกเขาพังเหย อันเป็นขอบยกตัวของที่ราบสูงโคราชกั้นเขตภาคกลางกับภาคอีสาน สำหรับเส้นทางน้ำสำคัญสายหนึ่งได้แก่ ลำน้ำลพบุรี มีทางน้ำแยกย่อยที่บริเวณตัวจังหวัดลพบุรีหลายสาย สายหนึ่งเป็นเส้นทางเดินทางน้ำที่สำคัญในสมัยอยุธยาจากเกาะเมืองอยุธยาสู่เมืองลพบุรี ก่อนจะแยกออกจากเมืองลพบุรีไปทางตะวันตกผ่านอำเภอท่าวุ้ง ซึ่งแม่น้ำตอนนี้ชาวบ้านเรียกว่าคลองลพบุรีไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาแถว ปากบาง จังหวัดสิงห์บุรี พื้นที่ตอนเหนือของแม่น้ำลพบุรีส่วนนี้ มีทางน้ำโบราณหลายสายลักษณะเป็นกุดน้ำ บางส่วนกลายเป็นคลองเส้นเล็ก ๆ บางส่วนเป็นคุ้งน้ำกว้างใหญ่และไม่มีเส้นทางไปต่อกับแม่น้ำสายใหญ่สายอื่น จากคุ้งน้ำหน้าเมืองลพบุรี มีคลองบางทะลาย คลองบางคู้ ซึ่งมีทางไปต่อกับแม่น้ำบางขามผ่านเขาสมอคอน บางตอนเรียกว่าลำน้ำสนามแจง ผ่านเข้าอำเภอบ้านหมี่ ซึ่งมีลำคลองอยู่จำนวนมากและมีทางแยกออกไปทางตะวันตกคือลำโพธิชัย พื้นที่บริเวณนี้เป็นที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึง เส้นทางน้ำเหล่านี้มีชุมชนตั้งบ้านเรือนอยู่อย่างหนาแน่น และเป็นเส้นทางเศรษฐกิจสำคัญที่ใช้ในการเดินทางและค้าข้าวในช่วงต้นรัตนโกสินทร์อย่างเข้มข้น ในอดีตสายน้ำเหล่านี้อาจเป็นเส้นทางน้ำสายหลักในอดีตของเมืองสำคัญ เช่น เมืองลพบุรี ไปสู่บ้านเมืองในสมัย ทวารวดีที่ เมืองบางไผ่ อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี เมืองจันเสน อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ เมืองอู่ตะเภา อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท ทั้งมีวัดเก่าสมัยอยุธยาตั้งอยู่ริมลำน้ำนี้อีกเป็นจำนวนมาก ทำให้ยังพอมองเห็นความต่อเนื่องของเส้นทางเหล่านี้อยู่ พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) สันนิษฐานไว้ในหนังสือ “ระยะทางเสด็จพระราชดำเนินประพาสตั้งแต่พระราชวังจันทรเกษมถึงจังหวัดลพบุร” ในรัชกาลที่ ๖ ว่า เส้นทางสายนี้คงเป็นแม่น้ำลพบุรีเดิม และพระนางจามเทวีคงจะเดินทางจากเมืองละโว้ ขึ้นไปครองเมืองหริภุญไชย ผ่านตามเส้นทางน้ำซึ่งไปบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยาแถบหลังอำเภอพยุหะคีรี (หวน พินธุรักษ์, ๒๕๑๕ อ้างใน โบราณราชธานินทร์, พระยา เรื่องเกี่ยวกับพระนครศรีอยุธยา, ๒๕๐๓) ที่ราบลอนลูกคลื่นต่อเนื่องกับที่ราบลุ่ม ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ราบระดับต่ำ น้ำท่วมถึงในช่วงหน้าน้ำระยะสั้น ๆ อันได้แก่บริเวณเขตอำเภอบ้านหมี่ ซึ่งมีธารน้ำมากมายหล่อเลี้ยงพื้นที่บริเวณนี้ต่อเนื่องไปจนถึงเขตที่ลุ่มเหนือเมืองลพบุรี เส้นทางน้ำเหล่านี้เป็นลำธารสายเล็ก ๆ ที่ไหลจากเทือกเขาในอำเภอสระโบสถ์ เช่น เขาลับแล เขาวังเปล เขาเชือก เขากลอยใจ เขานมนาง ซึ่งมีความสูงระหว่าง ๔๕๐ - ๖๕๐ เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ไหลจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือสู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้รวมเป็นลำธารสายใหญ่ ด้านบนเรียกว่า ลำน้ำสนามแจง และมีลำธารต่าง ๆ แตกแขนงในชื่ออื่น ๆ ตามชื่อของชุมชนที่ไหลผ่าน แล้วไปรวมกับลำน้ำห้วยแก้วที่อำเภอบ้านหมี่ ซึ่งจะมีเส้นทางต่อกับแม่น้ำบางขามอีกทีหนึ่ง ตามลำน้ำมีชุมชนในปัจจุบันตั้งถิ่นฐานอยู่อย่างหนาแน่นโดยตลอด ส่วนเส้นทางน้ำด้านล่างไหลแยกออกจากลำน้ำสนามแจง คือ ลำมะเลง มีคลองถลุงเหล็กแยกออกไปสู่บ้านถลุงเหล็ก และคลองโพธิ์ทองสู่บ้านพรหมทินเหนือและบ้านพรหมทินใต้ บริเวณลุ่มน้ำทั้งสองสายนี้ แม้จะเป็นพื้นที่ราบลอนลูกคลื่น แต่ก็สามารถปลูกข้าวในแบบทำนาทดน้ำได้ และยังมีการตั้งถิ่นฐานในสมัยก่อนประวัติศาสตร์อย่างหนาแน่นเรื่อยมาจนถึงสมัยประวัติศาสตร์ อีกทั้งมีทรัพยากรแร่ธาตุในบริเวณใกล้เคียงอย่างอุดมสมบูรณ์ เช่น ที่เขาทับควาย และเทือกเขาวงพระจันทร์ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล (กองโบราณคดี ๒๕๓๑, Mudar, Karen. 1995) ที่สูงทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของตัวเมืองลพบุรี มีเทือกเขาสำคัญที่อุดมไปด้วยแหล่งทรัพยากรแร่ธาตุมากมาย ตั้งแต่เขาพระงาม เขาสามยอด เขาขวาง และเทือกเขาในหุบเขาวงพระจันทร์ เช่น เขาพุคา เขาวง และเขาวงพระจันทร์ ความสูงอยู่ในราว ๒๕๐-๖๕๐ เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง บริเวณนี้เป็นแหล่งถลุงทองแดงที่สำคัญสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในเขตลุ่มลพบุรี-ป่าสัก และในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย ภาชนะรูปแบบโดดเด่นแบบลายคดโค้งกดจุด [Rouletted meander] พบในจากการลักลอบขุดค้นในเขตจังหวัดลพบุรี พื้นที่ลอนลูกคลื่นระดับกลางและระดับสูง สภาพพื้นดินเหมาะสมกับการปลูกพืชไร่อยู่ในบริเวณบางส่วนของบริเวณอำเภอหนองม่วง อำเภอโคกเจริญ อำเภอสระโบสถ์ อำเภอตาคลี อำเภอพยุหะคีรี และอำเภอตากฟ้า จนถึงขอบบึงบรเพ็ด บริเวณนี้ยังมีภูเขาซึ่งมีแร่เหล็กประเภทเฮมาไทด์อยู่มากมาย เช่นที่เนินเขารอบ ๆ เขาแหลม และเขาแม่เหล็ก แถบหางน้ำสาคร เขาตีคลีในอำเภอตาคลี เขาบ่อแก้ว อำเภอพยุหะคีรี ส่วนพื้นที่ภูเขาทางตอนเหนือใกล้ ๆ กับอำเภอหนองบัวก็มีแหล่งแร่เหล็ก ตะกั่ว ดีบุก ยิปซั่ม มีทั้งเหมืองเก่าและเหมืองใหม่ที่ยังดำเนินการอยู่ แม้จะไม่มีเส้นทางน้ำสายใหญ่ ๆ แต่ก็มีลำห้วย ลำธารขนาดเล็กปรากฏอยู่มากมาย ลำธารเล็ก ๆ เหล่านี้หล่อเลี้ยงชุมชนได้ในหน้าน้ำ แต่แห้งขอดในฤดูแล้ง แหล่งน้ำสำคัญได้แก่แหล่งน้ำใต้ดินที่ชาวบ้านเรียกว่า พุ ซับ ชอน ซึ่งหมู่บ้านหลายแห่งที่อยู่ในบริเวณนี้ มักจะมีชื่อหมู่บ้านตามชื่อของแหล่งน้ำใต้ดินนี้ เช่น พุขมิ้น ซับลำไย ชอนสารเดช เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีแหล่งน้ำที่เป็นหนองน้ำ สระน้ำ ซึ่งก็มีชื่อเรียกชุมชนตามชื่อแหล่งน้ำอีกเช่นกัน บริเวณลุ่มน้ำป่าสัก สภาพพื้นที่เป็นที่สูงและที่สูงเชิงเขา ลักษณะเป็นลอนลูกคลื่นทั้งแบบลาดและชัน มีกลุ่มเขาสำคัญ เช่น เขากา เขาสมโภชน์ เขาลอมฟาง เขาหางตลาด เขาถมอรัตน์ เป็นต้น ลำน้ำป่าสักเป็นลำน้ำยุคเก่า มีความคดเคี้ยวและตลิ่งสูงชันมาก ต้นกำเนิดอยู่ในเขตอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ในช่วงหน้าน้ำน้ำจะเต็มฝั่งจนเอ่อท่วมในช่วงเวลาสั้นๆ หากเป็นหน้าแล้งน้ำจะแห้งขอดจนติดท้องน้ำ ปัญหาในเรื่องการชลประทานทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ ทำให้เกิดโครงการพัฒนาลุ่มน้ำป่าสักอันเนื่องมาจากพระราชดำริ บริเวณตำบลหนองบัว อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี ซึ่งจะเปิดทำการในราวปี พ.ศ.๒๕๔๑ เขื่อนจะทำให้น้ำท่วมอย่างถาวรในบริเวณสองฝั่งลำน้ำป่าสัก ตั้งแต่เขตอำเภอพัฒนานิคมขึ้นไปจนถึงอำเภอชัยบาดาล ในจังหวัดลพบุรี นอกจากนี้ยังมี ลำสนธิ ที่มีต้นน้ำในเขตอำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ แล้วไปบรรจบกับลำพญากลางซึ่งไหลผ่านช่องเขามาจากเขตจังหวัดนครราชสีมาที่บ้านโคกคลี จังหวัดลพบุรี ไหลลงสู่แม่น้ำป่าสักในตำบลบัวชุม อำเภอชัยบาดาล ในบริเวณลุ่มป่าสักมีแหล่งโบราณคดีกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ทั้งสมัยก่อนประวัติศาสตร์และสมัยประวัติศาสตร์แต่ไม่หนาแน่นเท่ากับในเขตลุ่มลพบุรี ในบริเวณพื้นที่ซึ่งมีลักษณะเป็นที่ราบลอนลูกคลื่นทั้งแบบลาดชันและลอนลาด โดยปกติพื้นดินที่เป็นลอนลูกคลื่นมักจะเป็นดินเหนียวและดินลูกรังที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ แต่พื้นที่ซึ่งเป็นดินกลุ่มชุดลพบุรี ชุดตาคลี ชุดปากช่อง ซึ่งเกิดจากการทับถมของหินมาร์ล ซึ่งเป็นผลมาจากการเสื่อมสลายของหินปูนอีกทีหนึ่ง ชั้นบนเป็นดินร่วนปนดินเหนียวสีดำ ชั้นล่างเป็นดินเหนียวปนทรายแป้งหรือดินเหนียวสีเทาเข้ม มักพบเม็ดปูนสีขาวอยู่ในเนื้อดิน และจะไม่มีดินลูกรัง เป็นดินชุดที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง ปฎิกริยาเป็นด่าง เหมาะสำหรับการปลูกพืชไร่จำพวก ข้าวโพด ฝ้าย ถั่ว อ้อย ข้าวฟ่าง และไม้ผลบางชนิด ซึ่งไม่เหมาะสำหรับการปลูกข้าวแบบทดน้ำ ดินดำชนิดนี้นับเป็นลักษณะพิเศษของพื้นที่ราบลอนลูกคลื่นบริเวณลุ่มลพบุรี-ป่าสัก แม้ภูมิอากาศในปัจจุบันจะค่อนข้างร้อนและแห้งแล้ง แต่ก็เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง ภูเขาและเทือกเขาในเขตนี้ ประกอบไปด้วยหินแกรไนต์ หินแอนดีไชต์ หินปูน ซึ่งอุดมด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ มากมาย ทำให้มีแร่ธาตุทั้งทองแดงและเหล็กจำนวนมาก มีหินตระกูลควอทซ์ [Quartz] หรือหินเขี้ยวหนุมานสีต่าง ๆ หินมาร์ลเนื้อละเอียดสีขาว หินเนพไฟน์ [Nephrite] ซึ่งเป็นหินตระกูลหยกสีเขียวอ่อนจนถึงเขียวแก่ เป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญของมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่อย่างหนาแน่นในบริเวณลุ่มลพบุรี-ป่าสักแห่งนี้ เพื่อใช้สำหรับทำเครื่องมือเครื่องใช้ และเครื่องประดับ แต่เดิมพื้นที่บริเวณนี้ เต็มไปด้วยป่าไม้ประเภทป่าเบญจพรรณ รวมทั้งป่าไผ่ ในจดหมายเหตุการเดินทางของบาทหลวงตาร์ชาร์ดและคณะสำรวจซึ่งเป็นวิศวกรชาวฝรั่งเศส กล่าวถึงสภาพภูมิประเทศในเขตนี้ไว้ว่า ป่าของเมืองละโว้เป็นป่าทึบบริเวณนี้มีช้างป่าจำนวนมากในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีการสร้างเพนียดจับช้างป่ากันอยู่เสมอ และเป็นพื้นที่แหล่งทรัพยากรแร่ธาตุที่มีผู้รู้จักกันดี โดยเฉพาะมีบันทึกถึงการไปสำรวจเหมืองแม่เหล็กที่คุณภาพดีหลายแห่ง รวมถึงสัตว์ป่าจำพวก เสือ ช้าง แรด กระบือ กวาง เก้ง สมัน ลิงป่า กระต่ายป่า นกกระทา ไก่ป่า นกยูง นกเขา นกกะเรียน (ซึ่งสูญหายไปจากบริเวณนี้จนหมดแล้ว) จำนวนมาก (สันต์ ท. โกมลบุตร ๒๕๑๙ : ๑๗๔ - ๑๗๕) พื้นที่บริเวณนี้มีการตั้งถิ่นฐานกันอยู่ค่อนข้างเบาบางในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นพื้นที่ของการบุกเบิกตั้งถิ่นฐาน เป็นซ่องโจร และเป็นชุมชนที่หลบอาญาของบ้านเมือง ภายหลังจึงมีการพัฒนาขึ้นเป็นชุมชนหมู่บ้านที่เริ่มสะดวกในการเดินทางไปมาติดต่อกับสังคมภายนอก ความเข้าใจเกี่ยวกับยุคโลหะในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การใช้โลหะเริ่มจากการนำแร่ทองแดงมาผสมแร่ดีบุกเป็นโลหะสำริด ใช้เป็นเครื่องมือหรือเครื่องประดับ ต่อมาจึงมีการใช้เหล็กทำเครื่องมือเครื่องใช้ ส่วนสำริดก็ยังคงมีการนำมาใช้เป็นเครื่องประดับอยู่ วัฒนธรรมสำริดในยูนนานและเวียดนามถือว่าเด่นชัดและใกล้ชิดกันที่สุด ส่วนวัฒนธรรมสำริดในประเทศไทยที่เคยเชื่อว่าเก่าที่สุดแห่งหนึ่งของโลกก็เป็นเรื่องผิดพลาดจากการกำหนดค่าอายุ เมื่อเรียนรู้และทราบข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ทำให้เห็นว่า วัฒนธรรมการใช้สำริดและเหล็กในดินแดนนี้มีความร่วมสมัยและไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวแต่อย่างใด หากขึ้นอยู่กับทรัพยากรธรรมชาติ เช่น แร่ธาตุ ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ความชำนาญและปริมาณการทำเครื่องมือเครื่องใช้ในพื้นที่ต่าง ๆ วัฒนธรรมในยุคโลหะที่โดดเด่นในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยสรุป มีดังนี้ วัฒนธรรมโลหะในยูนนาน ยูนนานในปัจจุบัน เป็นมณฑลหนึ่งของประเทศจีน ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศไทย ติดกับพรมแดนพม่า ลาว และเวียดนาม นักวิชาการจีนมีความเห็นว่า วัฒนธรรมสำริดในยูนนานมีอายุตั้งแต่ ๑,๒๐๐ BC. จนถึงต้นราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ราว ๑๐๐ BC. - ค.ศ.๑๐๐ หรือ ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว แบ่งออกเป็น กลุ่มวัฒนธรรมเตียน บริเวณทะเลสาบเตียน กลุ่มวัฒนธรรมเอ๋อไห่ ทางทิศตะวันตกของยูนนาน กลุ่มวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำแดง (แม่น้ำหงเหอ) อยู่ทางตะวันออกต่อกับเวียดนามบริเวณลุ่มแม่น้ำดำและแม่น้ำแดง นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มที่มีการพัฒนาน้อยกว่ากลุ่มที่กล่าวไปแล้ว บริเวณช่วงบนของแม่น้ำโขง หนูเกียง และจินซาเกียง และกลุ่มช่วงกลางและช่วงล่างของแม่น้ำโขง มีการขุดพบโบราณวัตถุทำจากสำริดมากมหาศาล ลักษณะเด่น ๆ เช่น กลองมโหระทึก จอบรูปใบไม้ ใบหอก ขวาน ขวานดาบสั้น [Ko : Dagger axes] ขวานเย่ว (รูปร่างคล้ายรองเท้าบู้ทหรือรูปร่างคล้ายเสี้ยวจันทร์) [Yue : Crescent blade axes] เครื่องใช้ในชีวิตประจำวันและพิธีกรรม เครื่องดนตรี เครื่องแต่งตัว และรูปปั้นสัตว์ชนิด ต่าง ๆ เป็นต้น การใช้สำริดในยูนนานมีปริมาณมาก เพราะอยู่ในแหล่งทรัพยากรที่มีทั้งแหล่งแร่ทองแดงและดีบุกอุดมสมบูรณ์ จนสามารถพัฒนาเทคนิคการหลอมโลหะอยู่ในขั้นสูงสุด และในปัจจุบันมณฑลยูนนานก็รู้จักในฐานะที่มีแหล่งแร่ทองแดงมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ส่วนการเข้าสู่ยุคเหล็กในยูนนาน อยู่ในราวปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันตก-ต้นราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ๑๐๐ BC. - ค.ศ.๑๐๐ หรือเมื่อราว ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว ซึ่งก็เป็นเพราะแร่เหล็กเป็นของหายากในบริเวณนี้ จึงมีปริมาณการใช้น้อยและล้าหลังกว่าที่อื่น วัฒนธรรมโลหะในเวียดนาม ศูนย์กลางวัฒนธรรมในยุคโลหะทางตอนเหนือของเวียดนาม เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อวัฒนธรรมดองซอน กระจายอยู่อย่างกว้างขวางในลุ่มแม่น้ำแดง ลุ่มแม่น้ำดำ สามเหลี่ยมแม่น้ำมาและแม่น้ำคา มีความสัมพันธ์ในด้านรูปแบบโบราณวัตถุกับวัฒนธรรมเตียนและวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำแดง (หรือแม่น้ำหงเหอ) ในยูนนาน ซึ่งสันนิษฐานว่าวัฒนธรรมทั้งสองมีการติดต่อสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด โดยวัฒนธรรมดองซอนน่าจะได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมเตียนมากกว่า โบราณวัตถุเด่น ๆ เช่น กลองสำริด ขวานดาบสั้น [Ko; Dagger axes] และขวานเย่ว [Yue] (รูปร่างคล้ายรองเท้าบู้ท) ซึ่งพบเป็นจำนวนมากในวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำแดง จนกล่าวว่าอาจจะเป็นแหล่งต้นกำเนิดของขวานชนิดนี้ วัฒนธรรมสำริดแบบดองซอน นับว่าเจริญสูงสุด ทั้งในด้านเทคโนโลยีการหลอมโลหะสำริดเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ และพัฒนาการทางด้านสังคม เมื่อเปรียบเทียบกับวัฒนธรรมในภาคกลางและภาคใต้ (พรชัย สุจิตต์ : ๒๕๓๒) วัฒนธรรมกลุ่มชายฝั่งทะเลในภาคกลางของเวียดนาม รู้จักกันในชื่อ วัฒนธรรมซาหวิ่งห์ [Sa-Huynh] มีศูนย์กลางอยู่ทางแถบชายฝั่งทะเลตอนกลางของเวียดนาม มีพัฒนาการตั้งแต่ยุคหินใหม่ตอนปลายจนถึงยุคโลหะ ส่วนช่วงที่อยู่ในระยะเวลาร่วมสมัยกับวัฒนธรรมดองซอน (๕๐๐ BC. - AD. ๑๐๐) พบโบราณวัตถุสำริดน้อยมาก ในขณะที่เครื่องมือเหล็กมีการพัฒนาถึงการผลิตระดับอุตสาหกรรม วัฒนธรรมซาหวิ่งห์ในเวียดนามตอนกลางถือว่ามีความสำคัญพอกับวัฒนธรรมดองซอนในภาคเหนือ และวัฒนธรรมเตียนในยูนนาน เพราะเห็นการแพร่กระจายโบราณวัตถุเนื่องในวัฒนธรรมดังกล่าว ในภาคพื้นและหมู่เกาะของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างชัดเจน วัฒนธรรมดอคเชอ [Doc Chua] ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของเวียดนามอยู่ในช่วงก่อนประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ยุคหินใหม่จนถึงยุคเหล็กเช่นกัน โบราณวัตถุที่พบเป็นแบบธรรมดาเหมือนกับที่พบในแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ทั่วไป ไม่มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ [Chinh and Tien, 1980] วัฒนธรรมโลหะในประเทศไทย วัฒนธรรมยุคสำริดที่สำคัญคือ กลุ่มวัฒนธรรมบ้านเชียงในแอ่งสกลนคร ชุมชนบ้านเชียงเริ่มรู้จักใช้สำริดตามค่าอายุที่ทบทวนใหม่โดยการนำมาเปรียบเทียบกับการขุดค้นที่บ้านนาดี คือ ยุคบ้านเชียงตอนต้นระหว่างช่วง ๑,๖๐๐ BC. - ๙๐๐ BC. ตอนกลางระหว่าง ๑,๑๐๐ BC.- ๘๐๐ BC. ส่วนตอนปลายประมาณ ๓๐๐ BC. - AD. ๓๐๐ [White, Joyce C. 1990] ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ต่ำจากการกำหนดอายุแต่เดิมมาก แต่ก็ยังเก่ากว่าวัฒนธรรมสำริดในจีนและเวียดนามอยู่เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม กลุ่มวัฒนธรรมบ้านเชียงเป็นเพียงตัวแทนหนึ่งที่รู้จักกันดี ในขณะที่วัฒนธรรมโลหะในภาคกลาง ที่มีการศึกษาและกำหนดอายุยุคที่มีการใช้สำริดไว้ราว ๑,๕๐๐ BC. - ๗๐๐ BC. และยุคเหล็กอยู่ในช่วง ๕๐๐ BC.-ค.ศ.๑๐๐ (สุรพล นาถะพินธุ, ๒๕๓๘) ซึ่งก็เป็นช่วงอายุที่ค่อนสูงกว่าจีนและยูนนานเช่นกัน จากการศึกษาโบราณคดีในรอบทศวรรษที่ผ่านมาพบว่า กลุ่มวัฒนธรรมสำริดและเหล็กในภาคกลางไม่น่าจะมีความสำคัญน้อยไปกว่ากลุ่มวัฒนธรรมบ้านเชียง และยอมรับกันว่าควรจะร่วมสมัยกับกลุ่มวัฒนธรรมโลหะอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้ด้วย หากการกำหนดค่าอายุที่ค่อนข้างสูงกว่ากลุ่มวัฒนธรรมที่มีการใช้เครื่องมือ เครื่องใช้ และเครื่องประดับทำจากสำริดที่มีรูปแบบหลากหลายอย่างยิ่งเช่นในยูนนานและเวียดนาม แล้วทำให้ ยุคสำริดในประเทศไทยคงความเก่าที่สุดในภูมิภาค จึงเป็นการมองข้ามความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มวัฒนธรรมภายในไปอย่างน่าเสียดาย ในอดีตเมื่อมีค่าอายุเป็นตัวกำหนดเช่นนี้ก็ไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับวัฒนธรรมอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้ได้ในเมื่อกำหนดให้ยุคสำริดในประเทศไทยมีมาก่อนยูนนานและเวียดนามกว่า ๓๐๐-๔๐๐ ปี แม้แต่การใช้สำริดในประเทศไทยเอง ระหว่างแอ่งสกลนครในกลุ่มวัฒนธรรมบ้านเชียงและภาคกลางของประเทศไทยก็ยังมีการกำหนดอายุที่ต่างกัน มีข้อสันนิษฐานว่าการถลุงทองแดงจำนวนมหาศาลในหุบเขาวงพระจันทร์คงมีขึ้นเพราะมีตลาดที่มีความต้องการนำทองแดงไปใช้ทำสำริดเพราะเวลานั้นปรากฏว่ามีการนิยมใช้สำริดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือกันมากแล้ว (สุรพล นาถะพินธุ ๒๕๓๙ : ๑๒๕) อันแสดงถึงการยอมรับในค่าอายุของยุคสำริดของกลุ่มวัฒนธรรมบ้านเชียงว่าเก่าแก่กว่าภาคกลาง และเสนอว่าการถลุงทองแดงในภาคกลางเป็นอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกด้วย มีชุมชนที่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่แน่นอนอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่คำถามคือ เกิดระบบตลาดระหว่างชุมชนที่ถลุงทองแดงกับชุมชนภายนอกอย่างไรในเวลานั้น เครื่องมือสำริดที่เรียกว่า Yue พบทั้งในจีน มณฑลยูนนานและเวียดนาม และพื้นที่อื่น ๆ บางแห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หากยอมรับว่าในประเทศไทยมีการใช้สำริดที่เก่ากว่าที่อื่น แต่การพบเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำจากสำริดและมีรูปแบบเดียวกับที่พบในยูนนานและเวียดนามตอนเหนือที่มีพัฒนาการทางสังคมค่อนข้างซับซ้อนแล้ว ในช่วงอายุต่ำกว่า ๑,๐๐๐ BC. ลงมา หลายชนิดและสามารถเทียบเคียงกันได้ แต่ไม่เห็นภาพของชุมชนที่มีความซับซ้อนในช่วงยุคสำริดในประเทศไทย กรณีเช่นนี้จะให้คำตอบได้อย่างไร มีความเข้าใจว่าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการติดต่อสัมพันธ์กันในระหว่างภูมิภาคทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งไม่ได้หมายความว่า จะต้องมีวัฒนธรรมต้นแบบในที่ใดที่หนึ่งแล้วแพร่กระจายไปสู่ชุมชนอื่น ๆ ที่ด้อยกว่า แต่เป็นการติดต่อผ่านการแลกเปลี่ยนระยะทางไกล ถ่ายทอดลักษณะทางวัฒนธรรมบางประการให้แก่กัน ซึ่งมีหลักฐานให้เห็นว่า ชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในดินแดนประเทศไทยก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงพบว่ามีการกระจายตัวของขวานดาบสั้น [Ko; Dagger axes] ดาบสั้น [Short swords] ดาบคมสองด้าน [Daggers] ขวานเย่ว [Yue axes] ซึ่งมีรูปแบบและการตกแต่งลวดลาย คล้ายกับต้นแบบวัฒนธรรมสำริดในยูนนานและเวียดนามตอนเหนือ พบในภูมิภาคต่าง ๆ โบราณวัตถุที่มีลักษณะเด่น ๆ ในกลุ่มวัฒนธรรมเตียน หงเหอ ดองซอน ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าส่งอิทธิพลด้านรูปแบบ หรือตัววัตถุเองให้กับชุมชนในภูมิภาคอื่น โดยเฉพาะในดินแดนประเทศไทย คือ หลักฐานการพบขวาน Ko ในแหล่งโบราณคดีชายฝั่งทะเลของกวางตุ้งตอนที่อยู่ตรงกันข้ามกับเกาะฮ่องกง [Magliali 1975] กวางโจว กวางสี เลย น่าน อุดรธานี นครพนม และกาญจนบุรี ส่วน ขวานเย่ว รูปทรงคล้ายรองเท้าบู้ทหรือพระจันทร์เสี้ยว พบว่ามีรูปแบบเหมือนกับขวานสำริดที่พบในกลุ่มวัฒนธรรมบ้านเชียงหลายแห่ง บ้างก็กำหนดไว้ในช่วงต้นใกล้ ๆ ๒,๐๐๐ BC. [Labbe, Armand.J 1985 :18] แต่การขุดค้นที่ดอนธงชัย อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร (โดยสำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ ๗ จังหวัดขอนแก่น สิงหาคม ๒๕๔๐) พบขวานรูปร่างนี้เช่นกัน แต่กำหนดอายุของแหล่งไว้ในช่วงวัฒนธรรมบ้านเชียงตอนปลาย ส่วน กลองสำริด แบบดองซอนหรือเฮเกอ1 หรือแบบซือไจ้ซาน พบที่เกาะสมุย เขาสามแก้ว นครศรีธรรมราชสงขลา หมู่เกาะสุมาตรา ถ้ำองบะ จังหวัดกาญจนบุรี อุตรดิตถ์ เชียงใหม่ (พิริยะ ไกรฤกษ์ ๒๕๓๓) และมีรายงานการพบกลองมโหระทึกแบบดองซอนในแถบตะวันตกอีกคือที่ เขาขวาก อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี เขาสะพายแร้ง อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี (สุรินทร์ เหลือลมัย : สัมภาษณ์ ๒๕๔๐) ซึ่งอยู่ในช่วงอายุ ๖๐๐ BC. ลงมาจนถึงช่วงต้น ๆ ของคริสตศตวรรษทั้งสิ้น ส่วนในเรื่องภาชนะดินเผา การขุดค้นที่โคกเจริญ มีการตั้งข้อสังเกตไว้ว่า การตกแต่งภาชนะดินเผาทรงกระบอกลายคดโค้ง [Rouletted meander] เช่นนี้ พบโดยทั่วไปในแหล่งโบราณคดีในภาคกลาง โนนนกทา กลุ่มวัฒนธรรมบ้านเชียง กัมพูชา ยูนนาน และเวียดนามตอนเหนือ [Watson 1992] ซึ่งก็เห็นจริงจากการที่พบการตกแต่งลวดลายนี้อยู่ทั่วไปในลุ่มลพบุรี-ป่าสัก ในกลุ่มบ้านเชียงระยะแรก และที่โนนนกทา จนถึงกลุ่มสำโรงเสนในกัมพูชา (ได้ข้อสรุปว่าเป็นเทคนิคการทำลวดลายกันโดยเฉพาะที่แหล่งโบราณคดีในเวียดนาม คือที่ เฮาลอค [Hoa Loc] และฟุงเหวียน [Phung Nguyen] [Rispoli, 1992] ลวดลายการตกแต่งแบบนี้มีการลงความเห็นว่ามีมาก่อน ๑,๕๐๐ BC. ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่จะมีการทำสำริดในลุ่มลพบุรี-ป่าสัก และ Rispoli เรียกการตกแต่งด้วยลายขีดเป็นเส้นโค้งผสมกับลาย “กดประทับเป็นลายเกล็ดปลา” [Scale-pattern impressed decoration] ซึ่งมีการทดลองทำ ปรากฏว่าลวดลายที่มีลักษณะเป็นจุดสี่เหลี่ยมเรียงต่อกันเป็นแถบของจุดสี่เหลี่ยม น่าจะทำโดยการใช้เชือกที่ด้านหน้าของไม้กดประทับลงบนผิวภาชนะต้องทำในลักษณะโยกไม้แบนที่มีเชือกพันให้ขยับเคลื่อนที่ไปที่ละน้อยตาม ขนาดความหนาของเส้นเชือก เกลียวของเชือกแต่ละเกลียวจะทำให้เกิดรอยประทับเป็นจุดสี่เหลี่ยม ๑ จุด (สุรพล นาถะพินธุ, ๒๕๓๙) ลวดลายนี้นับว่าเป็นที่นิยมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ โบราณวัตถุเนื่องในวัฒนธรรมซาหวิ่งห์ ยังมีการพบอยู่ทั่วไปในแถบภาคพื้นทวีปและหมู่เกาะ วัฒนธรรมซาหวิ่งห์ถือได้ว่าเป็นวัฒนธรรมที่โดดเด่นในช่วงยุคเหล็กที่สัมพันธ์กับวัฒนธรรมดองซอน รูปแบบภาชนะดินเผาที่ Kalanay ตอนกลางที่ฟิลิปปินส์ ซึ่ง โซลไฮล์ม [W.G Solheim] เปรียบเทียบว่ามีรูปแบบเดียวกับวัฒนธรรมซาหวิ่งห์ [Sa-huynh-Kalanay pottery forms] รูปแบบนี้พบอยู่ในชายฝั่งเวียดนามตอนกลาง ภาคกลางของฟิลิปปินส์ ตอนเหนือของมาเลเซีย ประเทศไทย ซาราวัก หมู่เกาะเซเลเบส และในสุมาตรา ในช่วงเวลาระหว่าง ๗๕๐ BC. - AD. ๒๐๐ [Solheim, 1967] รวมทั้งประเพณีการฝังศพครั้งที่สอง โดยใช้ภาชนะดินเผาครอบปากภาชนะอีกใบหนึ่ง ซึ่งพบโดยมากบริเวณลุ่มน้ำมูล-ชี ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก็เป็นลักษณะเดียวกับที่พบในวัฒนธรรมซาหวิ่งห์ในเวียดนามตอนกลางเช่นกัน ตุ้มหูแบบหัวสัตว์สองหัวและแบบมีปุ่มสามปุ่ม ซึ่งเป็นมรดกวัฒนธรรมของซาหวิ่งห์ เป็นตัวชี้ให้เห็นว่า มีการติดต่อระหว่างชุมชนชายฝั่งทะเลทางภาคกลางของเวียดนามและชุมชนร่วมสมัยในกัมพูชา ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียและไต้หวัน [Vu Cong Quy 1991] โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยที่อู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี และบ้านดอนตาเพชร จังหวัดกาญจนบุรี เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า มีการติดต่อเคลื่อนไหวกับชุมชนในวัฒนธรรมดองซอนและวัฒนธรรมซาหวิ่งห์ บ้านดอนตาเพชรนั้น เครื่องประดับจากหินมีค่าและแก้ว อาวุธและเครื่องมือเหล็กที่มีลักษณะเด่นเช่นมีดรูปจะงอยปากนก [billhook] นอกจากที่ดอนตาเพชรแล้ว ยังพบที่แหล่งโบราณคดีหลายแห่งในเขตลพบุรีและนครสวรรค์ อีกทั้งพบในแหล่ง Phuhou-Hoavinh ทางตอนกลางของเวียดนาม มีรูปแบบเดียวกับที่พบในวัฒนธรรมซาหวิ่งห์มากทีเดียว มีการติดต่อภายในภาคพื้นทวีปของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะชุมชนบริเวณชายฝั่งทะเลและลุ่มน้ำภายใน เขตเทือกเขาบางส่วน และชุมชนที่ติดต่อกันตามเส้นทางช่องเขา ลำน้ำสาขาต่าง ๆ ช่วงเวลาที่เกิดความเคลื่อนไหวอย่างเข้มข้น เหล่านี้น่าจะอยู่ในราวยุคเหล็กถึงยุคเหล็กตอนปลาย (๕๐๐ BC.-ค.ศ.๑๐๐) และเริ่มเข้าสู่สมัยกึ่งก่อนประวัติศาสตร์คือวัฒนธรรมจามปาในเวียดนามตอนใต้ และวัฒนธรรมทวารวดียุคเริ่มแรกในประเทศไทย เป็นช่วงเวลาแห่งความเคลื่อนไหวภายในภูมิภาคอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน การติดต่อระหว่างภูมิภาคเห็นได้ชัดเจนคือ ระหว่างชุมชนชายฝั่งทะเล และชุมชนภายในที่ใช้เส้นทางลุ่มน้ำภายนอกนำสู่ภายใน เช่นที่ อู่ทองและดอนตาเพชร ตลอดจนเส้นทางน้ำและบกภายใน เช่น ในแอ่งสกลนคร ริมฝั่งแม่น้ำโขง (ดอนตาลและอุบลราชธานี) และที่ราบลอนลูกคลื่นในภาคกลาง ความเคลื่อนไหวดังกล่าว อาจจะเป็นผลสืบเนื่องมาจาก ความต้องการทรัพยากรแร่ธาตุจากต่างถิ่น หรือจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนความสามารถในการเดินเรือเลียบชายฝั่งทะเลในระยะทางไกล ๆ ที่พัฒนาเพิ่มขึ้น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลาง พบแหล่งโบราณคดีซึ่งเห็นได้ชัดว่า เกี่ยวเนื่องกับวัฒนธรรมสำริดที่ร่วมสมัยกับวัฒนธรรมสำริดในยูนนานและเวียดนามตอนเหนือในช่วงเวลากว้าง ๆ คือ ราว ๑,๐๐๐ BC. ลงมา นอกจากติดต่อกับชุมชนภายนอกแล้ว โบราณวัตถุที่พบแสดงให้เห็นว่า มีการติดต่อระหว่างชุมชนภายใน เช่นในพื้นที่ราบภาคกลาง กินบริเวณกว้างของพื้นที่ลอนลูกคลื่น ตั้งแต่เทือกเขาเพชรบูรณ์จนถึงที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ข้ามไปจนถึงแอ่งสกลนครบริเวณกลุ่มวัฒนธรรมบ้านเชียงตอนต้นของแม่น้ำสงครามและน้ำสาขา กลุ่มโนนนกทาในลุ่มน้ำชีตอนบน จังหวัดขอนแก่น และทางชายฝั่งทะเลอาจจะเป็นโคกพนมดีในจังหวัดชลบุรีหรือที่อื่น ๆ เพราะพบหอยทะเลชนิดและขนาดต่าง ๆ ใช้ทำเครื่องประดับ เป็นของมีค่าอย่างยิ่งสำหรับชุมชนที่อยู่ห่างไกลชายฝั่ง แม้ค่าอายุของยุคสำริดโดยทั่วไปจะอยู่ในราว ๑,๒๐๐ BC. - ๑,๐๐๐ BC. หากโบราณวัตถุที่แสดงถึงความเคลื่อนไหวและติดต่อสัมพันธ์กับภูมิภาคอื่น ๆ อย่างกว้างขวางกลับอยู่ในช่วงยุคเหล็ก ราว ๕๐๐ BC. - ค.ศ.๑๐๐ ซึ่งยังคงใช้เครื่องประดับสำริดควบคู่ไปกับการใช้เครื่องมือเหล็ก โดยมีแหล่งทรัพยากรและความสืบเนื่องทางวัฒนธรรมเป็นตัว ในขณะที่การก้าวเข้าสู่ยุคเหล็กหรือช่วงที่มีเครื่องมือเหล็ก มีความแตกต่างที่เด่นชัดจากห้วงเวลายุคสำริด การอธิบายถึงชุมชนในยุคเหล็กที่เพิ่มปริมาณขึ้น สภาพสังคมและวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลง และการก้าวไปสู่พัฒนาการของรัฐ จึงเป็นสิ่งทีน่าสนใจ แผนที่แสดงตำแหน่งที่พบกลองมโหระทึกแบบเฮเกอร์ ๑ โบราณคดีในลุ่มน้ำลพบุรี-ป่าสัก ภาพรวมของการแบ่งยุคสมัยในลุ่มลพบุรี-ป่าสักที่โดดเด่น มาจากงานการขุดค้นและเปรียบเทียบรูปแบบโบราณวัตถุของผศ.สุรพล นาถะพินธุ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งมีการกำหนดแหล่งโบราณคดีสำคัญที่มีค่าอายุจากวิธีการคาร์บอน - ๑๔ เป็นดรรชนีในการเปรียบเทียบยุคสมัยจากการขุดค้นแหล่งฝังศพต่าง ๆ การแบ่งอายุสมัยของชุมชนในลุ่มลพบุรี - ป่าสัก มีดังนี้ (สุรพล นาถะพินธุ : ๒๕๓๙) วัฒนธรรมระยะที่ ๑ กำหนดอายุไว้ราว ๒,๕๐๐ BC. - ๑,๕๐๐ BC. มีการใช้ขวานหินขัด เครื่องประดับจากเปลือกหอยทะเล ไม่มีการใช้โลหะ ภาชนะดินเผาที่เด่นคือ ที่ตกแต่งผิวภาชนะเป็นลายหนังช้าง (เป็นร่องลึกหยาบอาจทำโดยการใช้เชือกเส้นใหญ่กดประทับเหมือนรอยย่นของหนังช้าง) และลายเกล็ดปลาที่มีลายคดโค้ง (อาจทำจากการใช้เชือกพันแกนไม้กดประทับ) ซึ่งอาจารย์สุรพลเห็นว่ามีอิทธิพลจากรูปแบบภาชนะในวัฒนธรรมซาหวิ่งห์ทางตอนเหนือของเวียดนามที่อยู่ในระยะเวลาใกล้เคียงกัน วัฒนธรรมระยะที่ ๒ กำหนดอายุไว้ราว ๑,๕๐๐ BC. - ๗๐๐ BC. มีการผลิตทองแดงระดับอุตสาหกรรมที่หุบเขาวงพระจันทร์ โบราณวัตถุที่พบยังคงมีการตกแต่งภาชนะเป็นลายเกล็ดปลาคดโค้งหรือลายแกนไม้พันเชือก ทรงพานฐานสูง และภาชนะรูปวัว มีการใช้เครื่องประดับเปลือกหอย ส่วนวัตถุที่ทำจากสำริดนั้นพบน้อยมาก วัฒนธรรมระยะที่ ๓ กำหนดอายุไว้ราว ๗๐๐ BC. - ๓๐๐ BC. ยังมีการผลิตทองแดงระดับอุตสาหกรรมที่เทือกเขาวงพระจันทร์อยู่ พร้อมกันนั้นก็มีการใช้เหล็กปรากฏขึ้น ระยะเวลานี้พบว่ามีการใช้ลูกปัดหินกึ่งรัตนชาติจำนวนมากแล้ว และเครื่องประดับทำจากเปลือกหอยทะเลและหินเนื้ออ่อนมีจำนวนลดลง วัฒนธรรมระยะที่ ๔ กำหนดอายุไว้ราว ๓๐๐ BC. - AD. ๕๐๐ มีการใช้ลูกปัดหินกึ่งรัตนชาติและลูกปัดแก้วกันมากแล้วและมีการใช้เครื่องมือเหล็กทำเครื่องมือเครื่องใช้กันอย่างแพร่หลายแล้ว การแบ่งช่วงอายุของแหล่งโบราณคดีในลุ่มลพบุรี-ป่าสัก ที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นมีความคล้ายคลึงกัน แม้จะมีการกำหนดอายุที่ไม่ตรงกันทั้งหมด แต่ก็อยู่ในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง และในแหล่งโบราณคดีแห่งหนึ่งอาจจะมีมากกว่า ๑ ระยะ ซึ่งก็มักจะพบเป็นปกติ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ได้แนวดิ่ง คือช่วงเวลาที่ปรากฏผู้คนอยู่ในบริเวณนี้ได้โดยตลอดเป็นเวลามากกว่า ๓,๐๐๐ ปี โดยแบ่งออกเป็น ๔ ระยะ แต่สิ่งที่ขาดไปนั่นคือ ลักษณะทางวัฒนธรรมของกลุ่มชุมชนที่อยู่ในลุ่มลพบุรี - ป่าสัก ที่มีลักษณะทางวัฒนธรรมย่อยที่เป็นศูนย์กลางในแหล่งหนึ่ง ๆ [Cultural complex] นั้น ยังไม่มีความชัดเจน อาจมีสาเหตุจากโครงการศึกแหล่งโบราณคดีไม่ได้ทำการศึกษาอย่างต่อเนื่องในพื้นที่กว้างขวางและข้อมูลถูกทำลายจากการขุดหาของเก่าซึ่งไม่สามารถบันทึกข้อมูลได้ทัน จึงทำให้ไม่อาจแบ่งลักษณะย่อยทางวัฒนธรรมของชุมชนในระยะต่าง ๆ ได้ ทั้งที่ลักษณะทางวัฒนธรรมของชุมชนในเขตนี้น่าจะแบ่งย่อยเป็นกลุ่มที่มีความแตกต่างในรายละเอียดทางสังคมได้หลายกลุ่ม แต่ไม่อาจหาหลักฐานแน่นอนมาแบ่งได้อย่างชัดเจนและเด็ดขาด สำหรับบทความนี้อยู่ในกรอบความคิดที่ว่า มีความเคลื่อนไหวของสังคมในชุมชนยุคเหล็กอย่างมาก (ราว ๕๐๐ BC. ลงมาจนถึงการเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์) เป็นช่วงเวลาของพัฒนาการสำคัญที่จะนำเข้าสู่การเป็นรัฐ เป็นบ้านเมืองที่ซับซ้อนในสมัยทวารวดี ดังนั้น ผู้เขียนจึงแบ่งช่วงเวลาในการศึกษาออกเป็น ๓ ระยะด้วยกัน เพื่อสามารถทำความเข้าใจพัฒนาการของชุมชนในลุ่มลพบุรี-ป่าสัก ตามการเปลี่ยนแปลงของสังคม มิใช่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีแต่เพียงอย่างเดียว โดยแบ่งช่วงอายุในกลุ่มวัฒนธรรมลุ่มลพบุรี-ป่าสัก แบ่งออกเป็น ๓ ช่วง โดยมียุคเหล็กเป็นแกนสำคัญ หากเป็นช่วงเวลาประมาณได้ว่า ช่วงแรกก่อนเวลา ๕๐๐ BC. ช่วงที่สองระหว่าง ๕๐๐ BC. จนถึงการมีศูนย์กลางชุมชนขนาดใหญ่ระดับรัฐยุคเริ่มแรก ราว AD. ๓๐๐ - ๔๐๐ ช่วงที่สาม คือ AD. ๓๐๐ - ๔๐๐ จนเข้าสู่การมีบ้านเมืองระดับนครรัฐในสมัยทวารวดี แต่ละยุคมีลักษณะ ดังนี้ ก่อนยุคเหล็ก คือชุมชนหมู่บ้านขนาดเล็ก ๆ ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง ไม่ขาดแคลนน้ำยามแล้ง เพราะมีตาน้ำ เช่น น้ำซับหล่อเลี้ยงชุมชน พืชที่ใช้เพาะปลูกก็น่าจะเป็นจำพวกพืชไร่ ถ้าปลูกข้าวก็เป็นข้าวนาไร่ที่ไม่ใช่การทำนาทดน้ำและไม่ปลูกพืชเป็นไร่นาขนาดใหญ่ เพราะสภาพภูมิประเทศและขนาดประชากรไม่มีความจำเป็นในการผลิตอาหารจำนวนมาก และมีความเชื่อชีวิตในโลกหน้าอย่างแน่นแฟ้นผ่านพิธีกรรมฝังศพที่ประณีตสะท้อนรูปแบบความคิดและวิถีชีวิตอย่างมีขั้นตอนและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน มีช่างฝีมือผู้ชำนาญงานหัตถกรรมในระดับก้าวหน้ากว่าช่างฝีมือในยุคอื่น ๆ มีการติดต่อกับชาวประมงชายฝั่งแถบริมทะเล และมีการติดต่อกับสังคมภายนอกภูมิภาคในวิถีทางใดทางหนึ่ง ค่านิยมให้ความสำคัญกับของแปลกที่ไม่ใช่ทรัพยากรในชุมชน เมื่อมีการพบแหล่งวัตถุดิบทองแดงและเรียนรู้เทคโนโลยีในการผลิตได้ นำไปสู่การมีชุมชนที่ผลิตรอบเขตภูเขาที่มีแร่ทองแดง ความต้องการแร่ธาตุผลักดันให้ชุมชนหมู่บ้านขนาดเล็กเปลี่ยนแปลงไป เกิดการเป็นเจ้าของทรัพยากรหายากในช่วงเวลานั้นทำให้สถานภาพของคนในสังคมย่อมไม่เท่ากัน ซึ่งต้องแลกเปลี่ยนกับความป่วยไข้ของผู้ถลุงทองแดงจากสารพิษที่เกิดขึ้น การติดต่อกับชุมชนภายนอกมีมากขึ้น การแลกเปลี่ยนทรัพยากรระหว่างภูมิภาคน่าจะทำให้เกิดเป็นสังคมเปิด นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างรวดเร็วกว่าชุมชนอื่น ๆ เกิดศูนย์กลางที่จะพัฒนาเป็นเมืองเล็ก ๆ และมีหมู่บ้านบริวารรายรอบได้ ยุคเหล็ก เมื่อสามารถนำแร่เหล็กมาใช้แทนเครื่องมือทำจากสำริดที่มีความทนทานน้อยกว่าและผลิตได้ยากกว่า ชุมชนหมู่บ้านที่มีจำนวนมากขึ้นเรียนรู้เทคนิคการผลิตขั้นพื้นฐานและทรัพยากรในพื้นที่ลุ่มลพบุรี-ป่าสัก ซึ่งอุดมไปด้วยแร่เหล็ก พบแร่เหล็กมากกว่าแร่ทองแดง และไม่ต้องทำเหมืองขุดหาสายแร่เหมือนกับการทำเหมืองทองแดง เป็นวิธีการนำแร่ธาตุมาใช้ที่สะดวกกว่ามาก ด้วยเทคนิควิทยาดังกล่าว เป็นการเปลี่ยนแปลงลักษณะของชุมชนครั้งใหญ่ในบริเวณนี้ จำนวนแหล่งถลุงเหล็กในชุมชนต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นจนในที่สุดกลายเป็นวิธีการผลิตขั้นพื้นฐานที่สามารถทำได้ในหมู่บ้านเกือบทุกแห่ง แต่กระนั้นผู้ชำนาญที่เชี่ยวชาญเรื่องการตีเหล็กที่มีคุณภาพคงมีสถานภาพพิเศษกว่าผู้อื่น งานฝีมือสามารถทำเหล็กกล้าคุณภาพดีและรูปทรงมาตรฐานงดงามยังเป็นเรื่องเฉพาะของบางกลุ่มคนเท่านั้น เครื่องมือเหล็กที่พัฒนารูปแบบได้มากกว่าเมื่อครั้งใช้สำริดอย่างเดียว เปิดโอกาสให้จัดการและควบคุมธรรมชาติได้มากกว่า แต่การทำเหมืองทองแดงก็ไม่ใช่จะเลิกทำ เมื่อมีการแทนที่อุปกรณ์หนักด้วยเหล็ก สำริดได้กลายเป็นเครื่องประดับหรือเครื่องใช้ประเภทฟุ่มเฟือยต่าง ๆ ซึ่งเห็นได้ชัดจากรูปแบบสิ่งของที่ร่วมสมัยในวัฒนธรรมดองซอน รูปแบบในพิธีกรรมฝังศพยังคงอยู่ แต่วัสดุสิ่งของที่ทำอุทิศให้ศพดูจะขาดความประณีตลง ค่านิยมของแปลกจากแดนไกลยังคงอยู่และเพิ่มมากขึ้นเมื่อสิ่งของหายากมาจากดินแดนที่ห่างไกลมากขึ้น ๆ เกิดช่วงชั้นในสังคมอย่างเห็นได้ชัด มีการแบ่งผู้ชำนาญการพิเศษในแต่ละด้านอย่างชัดเจน มีการควบคุมสังคมโดยผู้นำที่มีเครือข่ายระหว่างหมู่บ้าน และมีศูนย์กลางของหมู่บ้านต่าง ๆ ณ ที่ใดที่หนึ่ง มีการกระจายตัวของหมู่บ้านที่ห่างไกลศูนย์กลางมากขึ้นในพื้นที่ที่ห่างออกไป ความคุ้นเคยในพื้นที่แบบเก่าเริ่มเปลี่ยนแปลง ความคิดในการจัดการแหล่งน้ำพัฒนาเป็นอย่างมาก ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากวิวัฒนาการของเครื่องมือเหล็ก ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงการปลูกพืช ซึ่งเป็นพืชในที่ลุ่ม ชุมชนขนาดใหญ่ที่จะพัฒนาขึ้นเป็นศูนย์กลางของรัฐแบบมีคูน้ำคันดิน มักจะตั้งอยู่ระหว่างชายขอบที่สูงและที่ราบลุ่ม ดังที่จันเสน แล้วจึงพัฒนามาตั้งชุมชนในที่ลุ่มต่ำช่วงระยะหลังของสมัยทวารวดี ชุมชนในระดับนี้มีความซับซ้อนมากกว่าในยุคก่อนที่ไม่ใช่เป็นเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ แต่พัฒนาการอยู่ในระดับ Chiefdom หรือ Early state เพียงแต่ยังไม่มีการรับความเชื่อทางพุทธศาสนาและวรรณคดีต่าง ๆ อย่างชัดเจน แต่เราจะเห็นว่า เริ่มมีการสั่นคลอนทางความเชื่อในพิธีกรรมฝังศพแล้วอย่างเป็นรูปธรรม หลังจากความเจริญสูงสุดในยุคเหล็กที่ยังมีการฝังศพอย่างเต็มรูปแบบ ก่อนจะค่อย ๆ สู่ภาวะเปลี่ยนผ่าน พิธีกรรมฝังศพเปลี่ยนเป็นการเผาแล้วใส่หม้อกระดูกซึ่งจะอุทิศสิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ผู้ตาย เปรียบเทียบกับยุคก่อนหน้าไม่ได้ในเรื่องสิ่งของที่อุทิศให้ผู้ตาย อันหมายถึงความเชื่อเรื่องหลังความตายได้เปลี่ยนแปลงไป สถานที่ฝังหม้อกระดูกก็จะไม่ใช่เป็นแหล่งฝังขนาดใหญ่เหมือนเช่นเดิม แต่จะกระจัดกระจาย ไม่หนาแน่น แต่พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนในอดีตยังทำหน้าที่อยู่ เพียงเปลี่ยนมาเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางพุทธศาสนาเช่นศาสนสถานในภายหลัง การติดต่อกับดินแดนห่างไกลที่เป็นแหล่งอารยธรรมซึ่งพัฒนาระบบความคิดความเชื่อที่ซับซ้อน และอาจเหมาะสมกับวิธีคิดในการจัดการชุมชนที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้พุทธและฮินดูคือศาสนาและความเชื่อที่ผู้คนบริเวณนี้รับมาแทนรูปแบบความเชื่อดั้งเดิมของตนเอง หลังยุคเหล็ก หลังจากแรกรับวัฒนธรรมความคิด ความเชื่อจากภายนอกและปรับตัวอยู่ในระยะหนึ่ง รากฐานของการเกิดรัฐมั่นคงมากขึ้น จนกลายเป็นบ้านเมืองที่มีชุมชนขนาดใหญ่และหมู่บ้านบริวารที่มีความซับซ้อนทางสังคมและวัฒนธรรมสูง เกิดการควบคุมสภาพแวดล้อมมากขึ้น จัดการระบบกักเก็บน้ำขนาดใหญ่สำรองไว้ยามแล้ง ทำนาทดน้ำในพื้นที่เกษตรแบบไร่นา เลี้ยงคนในชุมชนจำนวนมาก ส่วนทรัพยากรแร่ธาตุ ความต้องการทองแดงลดลง จนลืมเรื่องอุตสาหกรรมเหมืองทองแดงอย่างสิ้นเชิง แต่การถลุงเหล็กก็ยังดำเนินต่อมาและกลายเป็นหน้าที่ของชาวบ้านที่ว่างจากงานการเกษตร การถลุงเหล็กและทอผ้า เป็นกิจกรรมสำคัญของผู้คนในยุคทวารวดีในบริเวณนี้ ในระยะเวลาของการเปลี่ยนผ่านจนเข้าสู่สมัยทวารวดีอย่างสมบูรณ์นั้น อาจมองจากหลักฐานทางโบราณคดีว่ามีน้อย ซึ่งต้องเปรียบเทียบว่าความคิดในเรื่องการจัดการกับความตายได้เปลี่ยนไป ดังนั้น หลักฐานที่จะเหลือนั้นก็น้อยลงไปด้วย เพราะการศึกษาทางโบราณคดีส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่แหล่งฝังศพเป็นสำคัญ สรุป เมื่อสร้างภาพสังคมยุคก่อนประวัติศาสตร์ในช่วงยุคก่อนเหล็ก ยุคเหล็ก จนถึงยุคหลังเหล็กก็คือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเข้าสู่สมัยวัฒนธรรมแบบทวารวดี แสดงให้เห็นว่ายุคเหล็กคือการเริ่มต้นของความเข้มข้นในการตั้งถิ่นฐานอย่างถาวร และมีขอบเขตทางวัฒนธรรมของชุมชนศูนย์กลางต่าง ๆ ที่มีความหลากหลาย อาจจัดอยู่ในช่วงเวลาราว ๆ ๕๐๐ BC. จนถึง AD. ๓๐๐ - ๔๐๐ ชุมชนยุคเหล็กมีพัฒนาการสืบเนื่องกับชุมชนในยุคสำริดและกระจายตัวลงสู่รอบ ๆ บริเวณที่ราบน้ำท่วมถึง ลักษณะสำคัญของสังคมและวัฒนธรรมในยุคนี้ คือ เกิดชุมชนขนาดเล็กและใหญ่มากมายที่มีความสัมพันธ์กันในลักษณะเครือข่ายแบบชุมชนที่เป็นศูนย์กลางกับชุมชนที่เป็นบริวาร หมู่บ้านขนาดเล็กหรือชุมชนที่เป็นบริวารมีโครงสร้างทางสังคมแบบง่าย ๆ มักตั้งอยู่ใกล้บริเวณแหล่งน้ำและที่ลุ่มเพื่อทำการเพาะปลูกแบบเลี้ยงตัวเองได้หรือไม่ก็อยู่ใกล้กับแหล่งทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ ในขณะที่ชุมชนที่เป็นศูนย์กลางหรือชุมชนเมืองมีขนาดใหญ่กว่าและมีโครงสร้างทางสังคมซับซ้อนกว่าอันเนื่องมาจากมีคนหลายกลุ่มหลายอาชีพอยู่รวมกัน เกิดการแบ่งงานและแบ่งกลุ่มผู้คนตามความชำนาญต่าง ๆ เช่น กลุ่มช่างฝีมือ กลุ่มผู้ชำนาญการพิเศษทางเทคโนโลยี กลุ่มแรงงานไร้ฝีมือ ผู้ชำนาญการปั่นด้ายและทอผ้า กลุ่มคนกลางในระบบแลกเปลี่ยน กลุ่มพระหรือผู้ที่สามารถสื่อกับอำนาจเหนือธรรมชาติ และกลุ่มผู้ปกครอง การเติบโตและความซับซ้อนของสังคมในยุคเหล็ก เห็นได้จากลักษณะและรูปแบบของโบราณวัตถุ ซึ่งมีทั้งสำริดและเหล็ก เครื่องมือเครื่องใช้และเครื่องประดับสำริดเกิดจากการใช้เทคโนโลยีชั้นสูงที่มีความสวยงามและประณีต ส่วนเครื่องมือเหล็กที่พบก็มีประสิทธิภาพในการใช้งานสูงและมีคุณภาพชั้นยอด ความหลากหลายในเรื่องรูปแบบของเครื่องมือเครื่องใช้ ทำให้เห็นบทบาทของคนที่อยู่ในสังคมยุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะในยุคเหล็ก ซึ่งติดต่อสัมพันธ์กับชุมชนภายในและชุมชนภายนอก อีกทั้งสามารถบ่งบอกถึงพัฒนาการทางสังคมแบบเรียบง่ายมาเป็นสังคมที่ซับซ้อน มีประชากรมากกว่าก่อน เริ่มเกิดความไม่ทัดเทียมกันอันนำไปสู่การมีชนชั้นทางสังคมสะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการทางเทคโนโลยีที่สัมพันธ์กับความชำนาญพิเศษในระบบเศรษฐกิจของสังคมที่มีซับซ้อน [Complexed Society] สมมุติฐานในบทความนี้คือ ยุคเหล็กคือจุดเริ่มต้นพัฒนาการของรัฐแรกเริ่ม [Early state] ก่อนที่จะเกิดรัฐ [State] ขึ้นในเวลาต่อมา บรรณานุกรม ชิน อยู่ดี. สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย กรมศิลปากร, กรุงเทพฯ, ๒๕๒๙ ไทยคดีศึกษา, สถาบัน. โบราณคดีไทย-เวียดนามเปรียบเทียบ วัฒนธรรมยุคโลหะ เอกสารประกอบการ ประชุมเชิงปฏิบัติการนานาชาติ, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๑ พรชัย สุจิตต์. วัฒนธรรมสำริดของยูนนาน เวียดนาม และไทย, เมืองโบราณ ปีที่ ๑๕ ฉบับที่ ๒ เมษายน – มิถุนายน ๒๕๓๒ พิริยะ ไกรฤกษ์. ประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีในประเทศไทย อัมรินทร์พริ้นติ้งกรุ๊พ, กรุงเทพฯ, ๒๕๓๓ วัลลภา รุ่งศิริแสงรัตน์, ผศ. ลพบุรี : อดีต - ปัจจุบัน, บริษัทโรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จำกัด พิมพ์ครั้งที่ ๑, ๒๕๓๗ สุรพล นาถะพินธุ. วัฒนธรรมสมัยโบราณที่บ้านใหม่ชัยมงคลและข้อคิดเห็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรม สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายในภาคกลางของประเทศไทย สังคมและวัฒนธรรมจันเสน เมืองแรกเริ่ม ในลุ่มลพบุรี - ป่าสัก, โรงพิมพ์เรือนแก้วการพิมพ์, ๒๕๓๙ สันต์ ท. โกมลบุตร. จดหมายเหตุการเดินทางครั้งที่ ๒ ของบาทหลวงตาชาร์ด (๑๖๘๗ - ๑๖๘๘), กรมศิลปากร, กรุงเทพฯ, ๒๕๑๙ หวน พินธุรักษ์. ลพบุรีที่น่ารู้, สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, พิมพ์ครั้งที่ ๒, ๒๕๑๕ Fontaine,Henri . On the extent of the Sa-huynh culture in continental Southeast Asia, Asian Perspective V.13 No.1, 1980 Glover,Ian C. Ban Don Ta Phet: The 1984 - 85 excavation Southeast Asian Archaeology 1986, Bar International, Great Britain, 1990 Houng Xuan Chinh,Bui Van Tien. The Dongson culture and cultural centres inthe Metal Age in Vietnam, Asian Perspective V.13 No.1, 1980 Mudar, Karen M. Evidence for prehistoric dryland farming in mainland Southeast Asia : Results of regional survey in Lopburi province, Thailand. Asian Perspectives Vol.34 No.2, 1995 Rispoli, Fiorella. Preliminary report on the pottery from Tha Kae, Lopburi, Central Thailand. Asian Archaeology 1990 Centre for South East Asian studies University of Hull, Great Britain, 1992 Solheim, Wilhelm G. Two pottery tradition of late prehistoric times in Southeast Asia. Historical archaeology and linguistic studies on Southern China, Southeast Asia and Hong Kong region. Hong Kong University Press.1967 Vu Cong Quy. The SaHuynh culture : recent Archaeological findings and relations with other ancient cultures in Southeast Asia Recent research in Archaeology in Thailand Silapakorn University ,Bangkok, 1991 Watson, William. Pre-Han communication from west China to Thailand. Early Metallurgy trade and urban centres in Thailand and SEA White Lotus ,Bangkok 1992 White, Joyce C. The Ban Chiang Chronology Revised. Southeast Asian Archaeology 1986 Bar International, Great Britain, 1990
- ข้ามเขาสุดขอบฟ้ากว่าจะถึง....บ่อเกลือเมืองน่าน
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ต.ค. 2534 “ที่ต้นน้ำน่านมีบ่อเกลือและมีการทำเกลือเป็นจำนวนมาก” พระวิภาคภูวดลบันทึกข้อความนี้ไว้เมื่อ พ.ศ.๒๔๓๒ คราวขึ้นเหนือไปสำรวจเพื่อทำแผนที่สากลฉบับแรกของประเทศไทย บ่อเกลือที่บ้านบ่อเกลือในปัจจุบัน และการผลิตที่ยังคงรูปแบบเดิมไว้ พระวิภาคภูวดล หรือนายเจมส์ แมคคาร์ธี ท่านนี้ ได้เป็นเจ้ากรมแผนที่คนแรกและบุกเบิกงานสำรวจเพื่อทำแผนที่อย่างจริงจัง ดังนั้น บันทึกความทรงจำของท่านจึงเป็นเอกสารที่บอกกล่าวเรื่องราวของภูมิภาคต่าง ๆ ในประเทศสยามยุคนั้นได้อย่างกระจ่างชัดเรื่องหนึ่ง เกลือสินเธาว์ มีความสำคัญมากสำหรับชุมชนที่อยู่ไกลชายฝั่งทะเล ดังเช่น พระวิภาคภูวดลบันทึกไว้ว่า ในเขตอินโดจีนที่แห่งใดซึ่งมีเกลือจะเป็นที่รู้จักกันอย่างดี และเกลือจะมีค่าราวกับทองคำ ผู้ที่ไม่เคยอดเกลือเช่นเรา ๆ ท่าน ๆ คงจะไม่รู้พิษสงว่าในยามขาดเกลือเป็นเช่นไรและคงนึกไม่ออกว่า ทองคำกับเกลือนั้น นำมาเปรียบเทียบกันได้ตรงไหน ร่องรอยของความสำคัญของเกลือสินเธาว์ในภาคอีสาน อาจจะมีผู้คนศึกษาสำรวจเก็บข้อมูลกันอย่างแพร่หลายจำนวนหนึ่งแล้ว แต่ในภาคเหนือ เกลือสินเธาว์ที่พูดกันว่ามีค่าราวกับทองคำนั้น ยังเป็นเรื่องที่ต้องการข้อมูลอีกมาก ที่ต้นน้ำน่าน เป็นที่รู้กันแพร่หลายว่ามีการผลิตเกลือสินเธาว์เป็นจำนวนมาก และหากต้องการจะทราบความสำคัญของเกลือสินเธาว์ต่อบ้านเมืองในล้านนาก็เป็นเรื่องแน่นอนที่ต้องเข้าไปหาแหล่งข้อมูลให้ถึงที่ อุบัติการณ์ข้ามเขาสุดขอบฟ้า เพื่อจะไปหาแหล่งผลิตเกลือที่เมืองน่านจึงเริ่มต้นด้วยเหตุนี้ บ่อหยวก ริมน้ำว้า ตำบลบ่อเกลือเหนือ ปัจจุบันมีเพียงการผลิตเพื่อการบริโภคเท่านั้น เมืองบ่อชุมชนในหุบเขา จุดที่ตั้งของบ่อเกลือเมืองน่าน ในแผนที่ของพระวิภาคภูวดลลงชื่อไว้ว่า “M.baw” หรือ “เมืองบ่อ” ซึ่งน่าจะหมายถึงบริเวณตำบลบ่อเกลือเหนือและตำบลบ่อเกลือใต้ เขตกิ่งอำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน ในยุคที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยยังมีบทบาทอย่างสูง พื้นที่ในแถบเทือกเขาด้านตะวันตกของจังหวัดน่านตามพรมแดนไทย-ลาว กลายเป็นสิ่งต้องห้ามในการเดินทางเข้าไปของนักเดินทางปกติ (แต่คงยินดีต้อนรับผู้ที่หนีร้อนและต้องการเข้าป่า) พื้นที่เหล่านี้รวมถึงบริเวณบ่อเกลือด้วยแน่นอน การเดินทางเข้าไปอย่างสะดวกสบายเพิ่งจะเริ่มต้นเมื่อไม่นานมานี้ เมื่อตั้งกิ่งอำเภอบ่อเกลือ โดยแยกออกจากอำเภอปัวใน พ.ศ.๒๕๓๑ ถนนลาดยางตัดข้ามเขาลูกแล้วลูกเล่าเพื่อจะเชื่อมโยงพื้นที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่าพื้นที่สีแดง และแดงอย่างจัดจ้านเสียด้าย ทำให้ผู้คนในแถบนั้นมีโอกาสมีส่วนร่วมกับโลกภายนอกมากขึ้น การเดินทางไปสู่กิ่งอำเภอบ่อเกลือทำได้ ๒ ทางคือ จากจังหวัดน่านผ่านกิ่งอำเภอสันติสุข, บ้านน้ำยาว ถึงกิ่งอำเภอบ่อเกลือ รวมระยะทาง ๑๕๒ กิโลเมตร และทางสายใหม่จากอำเภอปัวตัดตรงข้างเขาเข้ากิ่งอำเภอบ่อเกลือ ระยะทาง ๔๘ กิโลเมตร รวมระยะทางจากน่านถึงกิ่งอำเภอบ่อเกลือ ๑๑๘ กิโลเมตร ซึ่งไม่ว่าทางใดก็ต้องข้ามเทือกเขาสลับซับซ้อนทั้งสิ้น พรมแดนไทย-ลาว ด้านจังหวัดน่านแบ่งคั่นด้วยสันปันน้ำของเทือกเขาหลวงพระบาง ในบริเวณนี้เป็นต้นกำเนิดของลำน้ำสำคัญหลายสาย เช่น น้ำน่าน, น้ำมาง, น้ำว้า, น้ำแคะ เป็นต้น ซึ่งลำน้ำเหล่านี้ไหลลัดเลาะอยู่ตามหุบเขา ช่วยให้กำเนินที่ราบแคบ ๆ ริมน้ำในเทือกเขาเหล่านี้ด้วย และแน่นอน ผู้คนส่วนใหญ่ย่อมเป็นชาวดอยที่เรียกตนเองว่า ลัวะ หากแต่ทางราชการเรียกพวกเขาว่า “ถิ่น” ตั้งบ้านเรือนกันตั้งแต่บนยอดดอย บนไหล่เขา และที่ราบริมน้ำ ส่วนผู้ที่เรียกตนเองว่า “คนเมือง” ก็มีอยู่จำนวนหนึ่งซึ่งรวมอยู่เป็นกลุ่ม เรียงตามที่ราบแคบ ๆ ของน้ำมางในตำบลบ่อเกลือใต้ ซึ่งกลุ่มคนเมืองเหล่านี้ล้วนมีสาเหตุการอพยพเข้ามาอาศัยในเขตหุบเขาเนื่องจากการผลิตเกลือเป็นส่วนใหญ่ เมืองน่านมีที่ราบแคบ ๆ อยู่ ๓ แห่ง แห่งหนึ่งคือที่ราบในเขตอำเภอปัว ซึ่งอยู่ติดกับเทือกเขาที่จะเข้าสู่บ่อเกลือ ผู้คนที่ควรจะคุ้นเคยและน่าจะอยู่กับพื้นราบมากกว่า แต่อพยพเข้าไปอยู่ในที่สูงอันทุรกันดารนั้น คงต้องมีสิ่งจูงใจเป็นพิเศษ และน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อทราบว่าสิ่งจูงใจนั้นคือ “เกลือสินเธาว์” จากบ่อเกลือที่ไม่เคยเหือดแห้ง เกลือเมืองน่านกับอดีตอันยาวไกล ในเขตตำบลบ่อเกลือเหนือ มีบ่อเกลืออยู่หลายบ่อ คือบ่อหยวกและบ่อตองอยู่บริเวณเดียวกับริมน้ำว้า บ้านบ่อหยวก, บ่อเวนที่บ้านบ่อเวน, บ่อน่านและบ่อกึ๋นอยู่บริเวณต้นน้ำน่าน, บ่อแคะที่ใกล้ ๆ น้ำแคะ, บ่อเกร็ดที่บ้านสว้า บ่อเหล่านี้ปัจจุบันไม่มีการต้มเพื่อขายอีกแล้ว บางบ่อเช่น บ่อหยวกที่เคยมีการผลิตเป็นจำนวนมากก็เปลี่ยนเป็นต้มเพื่อใช้กินกันในครัวเรือน หรือบางบ่อถูกน้ำพัดดินมาถล่มกลบบ่อจนกู้คืนอีกไม่ได้ แต่สาเหตุที่น่าจะสำคัญคือ ไม่มีคนมาซื้อเกลือดังเช่นแต่ก่อน เพราะหนทางที่ค่อนข้างลำบากและปริมาณน้ำเกลือที่เจือจาง เมื่อต้มแล้วก็จะไม่คุ้มทุนนัก ศูนย์กลางการผลิตเกลือในหุบเขาเหล่าที่อยู่ที่บ้านบ่อหลวง ตำบลบ่อเกลือใต้ยังมีหลักฐานสนับสนุนอีกหลายประการถึงความสำคัญของบ่อเกลือที่บ้านบ่อหลวง ที่ตั้งของบ้านบ่อหลวงอยู่ในพื้นที่เริ่มต้นของที่ราบแคบ ๆ ระหว่างเทือกเขาริมน้ำมาง ซึ่งที่ทราบนี้จะเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านอีก ๘ หมู่บ้าน จนถึงบริเวณที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดที่บ้านสบมาง ความกว้างของที่ราบเหล่านี้ โดยประมาณแล้วราว ๒๐๐-๔๐๐ เมตร เป็นระยะทาง ๖-๗ กิโลเมตร พื้นที่ดังกล่าวใช้ทำนาปลูกข้าวเพียงปีละครั้ง และไม่เคยเพียงพอต่อการบริโภคตลอดทั้งปี กลุ่มชาวพื้นราบทั้ง ๘ หมู่บ้าน เป็นกลุ่มคนเมืองกลุ่มใหญ่ที่สุดของชุมชนในหุบเขาบริเวณนี้ บ้านบ่อหลวงมีบ่อเกลือสาธารณะอยู่ ๒ บ่อ (หมายถึงผู้ใดในหมู่บ้านก็มีสิทธิ์ใช้น้ำเกลือได้เท่าเทียมกัน) เรียกว่า บ่อ ๑ และบ่อ ๒ หรือบ่อเหรือและบ่อใต้ บ่อเหนือ อยู่ริมน้ำมาง ส่วนบ่อใต้ ห่างออกมาราว ๕๐๐ เมตร ติดเชิงเขาท้ายหมู่บ้าน ทั้ง ๒ บ่อกรุขอบด้วยคอกไม้กันดินปากหลุมถล่ม และมีนั่งร้านสำหรับยืนตักน้ำเกลืออยู่ข้าง ๆ บ่อเกลือทั้ง ๒ มีน้ำเกลือซึ่งมีความเข้มข้นสูงกว่าบ่อ อื่น ๆ ในเขตบ่อเกลือเหนือ โดยวัดจากการใช้ปริมาณเชื้อฟืนและเวลาที่ใช้เป็นตัวคงที่ ปริมาณเกลือของบ้านบ่อหลวงจะได้มากกว่า ในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๑๐ เรื่องพงศาวดารเมืองน่าน มีข้อความกล่าวถึงแหล่งผลิตเกลือที่เป็นสาเหตุให้พระเจ้าติโลกราชยกทัพมายึดเมืองน่าน เมื่อ พ.ศ.๑๙๔๓ โดยอ้างว่าต้องการเกลือจาก บ่อมาง ไปเป็นส่วนค้า ให้กับทางเมืองเชียงใหม่ เกลือจากบ่อมางดังกล่าว น่าจะหมายถึงบ่อเกลือที่บ้านบ่อหลวงเพราะบ่อเกลือที่ติดกับน้ำมางมีเพียงแห่งเดียวคือที่บ้านบ่อหลวง นอกจากนี้ ยังพบหลักฐานทางโบราณคดีเป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันถึงความสำคัญของบ่อเกลือที่บ้านบ่อหลวงในยุคสมัยใกล้เคียงกับตำนานเมืองน่านได้เป็นอย่างดี บริเวณที่ก่อสร้างโรงพยาบาลประจำกิ่งอำเภอบ่อเกลือ ซึ่งอยู่บนไหล่เขาฟากตรงข้ามกับบ่อเกลือ ๑ เคยเป็นที่ตั้งของวัดร้างชื่อวัดต้นตองและวัดตาลชุม เป็นชื่อที่ชาวบ้านบ่อหลวงเรียกสืบทอดกันต่อๆ มาราวปี พ.ศ.๒๕๓๓ ซากอาคารของวัดทั้งสองนี้ถูกกลบทับปรับที่เพื่อสร้างโรงพยาบาล โดยไม่มีผู้ใดนึกเฉลียวใจว่าได้กลบทับหลักฐานทางโบราณคดีสำคัญของเมืองน่านแห่งหนึ่งให้อยู่ใต้ดินลึกกว่า ๓ เมตร โดยไม่มีทางใดที่จะกู้คืนขึ้นมาได้อีก แต่หลักฐานทางโบราณคดีเท่าที่หลงเหลือนับเป็นตัวชี้ถึงอายุสมัยและความสำคัญของชุมชนโบราณแห่งนี้เช่น เศษเครื่องเคลือบจากแหล่งเตาล้านนา เช่น กลุ่มเตาเวียงกาหลง, กลุ่มเตาพานหรือโป่งแดง, กลุ่มเตาม่อนออม จังหวัดพะเยา, กลุ่มเตาบ่อสวก จังหวัดน่าน นอกจากนี้ยังพบเศษเครื่องถ้วยจากแหล่งเตาศรีสัชนาลัยและเศษเครื่องถ้วยลายครามสมัยราชวงศ์หมิงซึ่งพอจะตีความรวม ๆ ได้ว่า ควรจะมีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ จารึกหลักที่ ๗๕ ซึ่งตีพิมพ์ใน “ประชุมศิลาจารึกภาคที่ ๓ ประมวลจารึกที่พบในภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ภาคตะวันออกและภาคกลางของประเทศไทย” ลงศักราช จ.ศ.๙๒๗ หรือตรงกับ พ.ศ.๒๑๐๘ ข้อความกล่าวถึง การสร้างอารามเพื่ออุทิศถวายพระชั้นผู้ใหญ่ โดยเจ้าหัวแสนและขุนนางคนอื่นๆ ตัวอักษาที่จารึกเป็นอักษรในช่วงระหว่างการใช้ตัวอักษรไทยมาเป็นอักษรธรรมแบบล้านนา ที่เรียกว่า “อักษรฝักขาม” แม้จะเป็นกลุ่มชนที่โดดเดี่ยว อยู่ท่ามกลางขุนเขาและติดต่อกับโลกภายนอกได้ลำบาก (จากคำบอกเล่าของผู้สูงอายุกล่าวว่าจะต้องใช้เวลา ๒ วัน กับ ๑ คืน ในการเดินทางจากบ่อหลวงไปปัว) เมื่อวัดจากโบราณวัตถุที่พบ เช่น หลักฐานสำคัญทั้งสองประการ น่าจะเป็นสิ่งสนับสนุนข้อความในพงศาวดารถึงความสำคัญของเกลือสินเธาว์ที่ควรจะมีต่อชุมชนต่าง ๆ ในล้านนา ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ถึง ๒๒ แต่ผู้ผลิตเกลือในพุทธศตวรรษดังกล่าวก็ไม่ได้อยู่ต่อเนื่องมาเป็นชาวบ้านบ่อหลวงในปัจจุบัน ชาวบ่อหลวงในปัจจุบันมีประวัติกลุ่มชนของตนเองที่บอกเล่าสืบต่อ ๆ กันมา แม้จะไม่แจ่มชัดนัก แต่เมื่อนำมาประมวลเข้ากับลักษณะทางความเชื่อ, พิธีกรรม และข้อมูลทางประวัติศาสตร์อาจจะกล่าวได้ว่า กลุ่มชาวบ้านบ่อหลวง น่าจะมีบรรพบุรุษเป็นชาวไตลื้อ (แม้จะไม่มีผู้ใดกล่าวว่าตนเป็นคนไตลื้อ) ที่อพยพมาจากทางใต้ของสิบสองปันนาแถบเมืองบ่อแฮ่และบ่อหลวง ซึ่งมีการผลิตเกลือเป็นจำนวนมาก และนำพาลักษณะวิธีการผลิตที่คล้ายคลึงกันมาด้วย การอพยพย้ายถิ่นฐานก็อยู่ในเส้นทางที่สามารถเป็นไปได้ คือล่องน้ำทามาออกน้ำโขงแล้วพักอยู่ที่เชียงแสนระยะหนึ่ง จากนั้นเดินผ่านเชียงแสนผ่านเทิง ข้ามเขามาสู่เมืองน่านและบ้านบ่อหลวงตามลำดับ ส่วนระยะเวลานั้น น่าจะอยู่ในช่วงที่บ้านเมืองในล้านนา “บ่มั่นบ่เที่ยงสักบ้านสักเมืองแล” ระหว่างแผ่นดินกรุงธนบุรีต่อเนื่องกับกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นช่วงที่วีรบุรุษของชาวบ่อหลวง คือ เจ้าหลวงมโน ที่ได้ถูกยกให้เป็นผีเมืองหรือเทวดาเมือง มีชีวิตอยู่ นอกจากนี้ เรายังสามารถเปรียบเทียบลักษณะพิธีกรรม เช่น การบูชาเสาใจเมือง, การเลี้ยงผีเมืองประจำปี, การเลี้ยงผีบ้านซึ่งจะนับถือผีเป็นสายตระกูล โดยมีบันทึกเรื่อง “ไทยสิบสองปันนา” ของ คุณบุญช่วย ศรีสวัสดิ์ เป็นหลักฐานสำคัญให้สามารถเปรียบเทียบกับพิธีกรรมของชาวไตลื้อในสิบสองปันนาตอนใต้ได้เป็นอย่างดี ร่องรอยเหล่านี้ น่าจะช่วยยืนยันว่า ชาวบ่อหลวงในปัจจุบันเป็นกลุ่มคนที่เข้ามาใหม่ เพื่อผลิตเกลือโดยเฉพาะ เมื่อราว ๒๐๐ ปีที่ผ่านมา ผลผลิตเกลือจากเมืองน่าน สามารถเลี้ยงชุมชนรายรอบได้ไม่เกิน ๓ หัวเมืองเท่านั้น (ศึกษาเปรียบเทียบและคำนวณจากการผลิตในปัจจุบันเทียบกับการผลิตในอดีตและประชากรเมื่อราวต้นรัชกาลที่ ๕) ซึ่งหัวเมืองเหล่านั้นน่าจะอยู่ในบริเวณรอบ ๆ เมืองน่าน เช่น แพร่, ลำปาง, พะเยาหรือเชียงราย ส่วนในล้านนาภาคตะวันออกอาจจะใช้เกลือสินเธาว์จากเมืองบ่อแฮ่ในสิบสองปันนาหรือเกลือทะเลจากพม่านั้นยังไม่สามารถยืนยันได้ นอกจากนี้ยังไม่พบว่ามีการกล่าวถึงบ่อเกลือเขตนี้เลย นับเป็นเรื่องราวน่าติดตามเพื่อให้เกิดความกระจ่างเกี่ยวกับเรื่องเกลือของภูมิภาคล้านนาทั้งหมด ก่อนฟ้าสางลัวะเมืองน่านและนกเขาไฟ สองชื่อหน้าเป็นชื่อหนังสือ นวนิยายของ สุรชัย จันทิมาธร เรื่องหนึ่ง และงานวิจัยของ ชลธิรา สัตยาวัฒนา เรื่องหนึ่ง ส่วนชื่อหลังเป็นบทเพลงของ พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ ซึ่งทั้งหมดเป็นงานที่กลั่นกรองจากการใช้ประสบการณ์ร่วมกับชาวลัวะบนภูดอยแห่งเมืองน่าน หรือจะให้แคบเข้าไปอีก คือชาวลัวะในบริเวณพื้นที่ของกิ่งอำเภอบ่อเกลือในปัจจุบัน นอกจากข้อมูลของพระวิภาคภูวดลแล้ว การสืบหาบ่อเกลือแห่งเมืองน่านก็ได้จากเรื่องราวข้างต้น เป็นข้อมูลซึ่งให้บรรยากาศมากกว่าจะให้รายละเอียดของพื้นที่บริเวณนี้ เรื่องราวของชาวลัวะมีมิติอันลึกล้ำเกินกว่าจะเข้าใจได้ง่าย ๆ เหมือนกับที่เราไม่สามารถทำความเข้าใจบทบาทของชาวลัวะที่มีปรากฏอยู่ในตำนานต่าง ๆ ควบคู่มากับบ้านเมืองในล้านนาได้ กลุ่มคนที่สืบสายมาจากบรรพบุรุษซึ่งเป็นชาวลัวะมีอยู่หลายกลุ่ม ทั้งที่อยากจะลืมอดีตและไม่อยากจะให้ใครถามว่าตนเป็นคนลัวะหรือไม่ และกลุ่มที่เป็นลัวะอย่างเคร่งครัดทั้งขนบและประเพณี นอกจากนี้พื้นที่บางแห่งซึ่งมีชาวลัวะอยู่อาศัย ก็ยังมีซากโบราณสถานที่เรียกว่าวัดร้างอยู่หลายแห่ง ทั้งที่มีการนับถือผีกันโดยทั่วไป พื้นที่เกือบทั้งหมดของบ่อเกลือ เป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ เป็นเขตรักษาต้นน้ำสำคัญและเขตอุทยานแห่งชาติ การเข้ามาของทางราชการทำงานได้เล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับพื้นที่และการตั้งกิ่งอำเภอที่มีนโยบายไม่ชัดเจนต่อการพัฒนาพื้นที่แถบนี้ ทำให้อนาคนของชาวลัวะอาจจะมืดมนไปมากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะฝ่ายราชการไม่สามารถเข้าใจความเป็นลัวะของเขาได้ โดยเฉพาะเรื่องสำคัญ คือ การฝ่าพรมแดนข้ามประเพณีการถือผีของชาวลัวะ ซึ่งยังไม่สามารถทำได้ และเป็นปัญหาสำคัญที่ควรจะพิจารณาอย่างรอบคอบ บ่อเกลือในปัจจุบัน สวยงามด้วยภูมิประเทศ ควันหลงของสงครามอาจมีอยู่บ้างเพียงประปราย และพื้นที่นี้กำลังจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของเมืองน่าน นอกเหนือไปจากนั้นยังเป็นพื้นที่ซึ่งควรจะมีการศึกษาอีกในหลาย ๆ ด้าน ทั้งเรื่องราวของชาวลัวะ ซึ่งยากจะเข้าใจได้อย่างแท้จริง, เรื่องของกลุ่มคนเมืองและความสัมพันธ์กับชาวลัวะ การศึกษาทางธรณีวิทยาของบ่อเกลือ หรือแม้แต่ธรรมชาติศึกษา แต่อย่างไรก็ตาม เราจำเป็นจะต้องข้ามขุนเขาสุดขอบฟ้าไปให้ถึงบ่อเกลือเสียก่อนเป็นอันดับแรก
- จากจักรพรรดิฝรั่งเศส–อังกฤษ ถึง จักรพรรดิอเมริกา: กระบวนการสนตะพายคนไทยสยาม
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2551 ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ลงมา เกิดคนสยามรุ่นใหม่ที่ได้รับการศึกษาและรับรู้เรื่องราวของผู้คนและบ้านเมืองตะวันตกกันอย่างมากมาย จนให้ความสำคัญว่า คนตะวันตกเจริญก้าวหน้ากว่าตนจนต้องเอาอย่างจึงจะเป็นคนศิวิไลซ์ [Civilize] และการเป็นชาติที่ศิวิไลซ์ คือ มีอารยธรรมนั่นเอง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้นำเอาจักรพรรดิอเมริกาสู่สังคมไทย การทำตัวศิวิไลซ์ดังกล่าวนี้คือสิ่งที่ทำให้คนตะวันตกโดยเฉพาะชาติที่เป็นจักรวรรดินิยมยอมรับและไม่คุกคามทางการเมืองเพื่อเอาเป็นอาณานิคม คนสยามรุ่นนี้และพวกนี้คือคนที่เรียกว่า คนไทย และเป็นไทยอย่างสมบูรณ์เมื่อมีการยกเลิกชื่อประเทศสยามอย่างแต่เดิมมาเป็นประเทศไทย ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ความนิยมชมชื่นของคนไทยต่อคนฝรั่งตะวันตกดังกล่าวนี้ทำให้มีการเอาครูฝรั่งมาอบรมการศึกษาแบบใหม่ให้ทันสมัยเรื่อยมา ไม่ว่าการศึกษาแต่ระดับอุดมศึกษาขั้นมหาวิทยาลัย จนถึงขั้นมัธยมและประถมก็ล้วนแต่ดำเนินตามโครงสร้างแบบฝรั่งแทบทั้งสิ้น ความรู้ทางวิชาการอย่างหนึ่งในบรรดาความรู้นานาชนิดทั้งหลายคือความรู้ทางประวัติศาสตร์ที่ฝรั่งสั่งสอนอบรมให้ ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องของ คน กับ ดินแดน เวลาฝรั่งมาศึกษาเพื่อเอามาเป็นประโยชน์ในการล่าอาณานิคมนั้น ศึกษาทั้งด้านโบราณคดี [Archaeological past] ซึ่งเป็นเรื่องของอดีตความเป็นมาของดินแดน กับด้านชาติวงศ์วรรณนา [Ethnographical presen] ซึ่งเป็นเรื่องของผู้คนในสังคมปัจจุบันของดินแดนนั้น การเข้าใจเรื่องทั้งสองนี้นำไปสู่การเข้าถึงความเป็นจริงทางสังคมและเศรษฐกิจที่จะเป็นประโยชน์ทางการเมืองของพวกตน การศึกษาเรื่องราวทางโบราณคดีเป็นเรื่องอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วเป็นยุคเป็นสมัย แต่การศึกษาทางชาติวงศ์วรรณนาเป็นเรื่องการสืบเนื่องทางสังคมและวัฒนธรรมของคนในสังคมท้องถิ่น ฝรั่งเข้าใจการมองการเปลี่ยนแปลงทั้งสองอย่างนี้ แต่เวลาสั่งสอนอบรมให้คนไทยเรียนรู้กลับให้ความสำคัญเฉพาะการศึกษาเรื่องราวทางโบราณคดีเป็นส่วนใหญ่ เลยทำให้คนไทยเรียนรู้ประวัติศาสตร์แบบไม่เห็นคน กลับเห็นเพียงรูปแบบทางศิลปะและสมัยเวลาของโบราณสถานวัตถุเป็นสำคัญ วิชาหลักที่ฝรั่งสอนคนไทยให้เชื่อและฟังกันอย่างตกผลึกมาจนทุกวันนี้ก็คือ วิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ เพราะมีศักยภาพในการสื่อสารได้อย่างเป็นรูปธรรมในเรื่องประวัติศาสตร์การเมืองที่ฝรั่งสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ในการล่าอาณานิคม ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสซึ่งเป็นนักล่าอาณานิคมตัวฉกาจในยุคนั้น ใช้หลักฐานทางโบราณสถานวัตถุทางศาสนาที่เป็นศิลปกรรมมาวิเคราะห์สร้างเป็นประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของบรรดาบ้านเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกด้วยโครงสร้างการเมืองการปกครองของยุโรปสมัยวิกตอเรีย ที่มีลักษณะรวมศูนย์เป็นราชอาณาจักรหรือจักรวรรดิ ประสบความสำเร็จในเรื่องการเป็นศูนย์กลางของอำนาจของบ้านเมืองและผู้คนในภูมิภาคนี้ เช่น เรื่องของอาณาจักร ฟูนัน ทวารวดี เจนละ ศรีวิชัย และเมืองพระนคร เป็นต้น บรรดารัฐรวมศูนย์เหล่านี้สะท้อนการแสดงออกของการขยายดินแดนหรือครอบงำบ้านเล็กเมืองน้อยหรือบ้านเมืองใกล้เคียงด้วยการปกครองแบบจักรภพอังกฤษที่มีการส่งขุนนางตัวแทนเข้าไปปกครองเมืองขึ้นต่าง ๆ อำนาจเหนือบ้านเมืองและผู้คนนั้นแลเห็นได้จากรูปแบบทางศิลปกรรมและจารึกที่เป็นศิลปะอักษรและภาษาของเมืองที่เป็นศูนย์กลาง ประวัติศาสตร์แบบนี้ผู้คนในบ้านเมืองของไทย เขมร ลาว ญวน พม่า เขียนไม่เป็น เพราะมีแต่ประวัติศาสตร์แบบตำนาน ดังนั้นเมื่อต้องการความศิวิไลซ์และทันสมัยจึงต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์การเมือง ประวัติศาสตร์ศิลปะแนวคิดและวิธีการจากฝรั่งเท่านั้น ผลพวงจากการทำตัวให้ศิวิไลซ์และทำประเทศให้ทันสมัยแบบตะวันตกนี้เองทำให้มีการรับเอาความรู้และวิธีการในการศึกษา การปฏิรูปการปกครอง การบริหาร ตลอดจนแนวคิดทฤษฎีต่าง ๆ ของประเทศนักล่าอาณานิคมมาใช้ โดยเฉพาะการปฏิรูปการปกครองให้ประเทศสยามเป็นรัฐรวมศูนย์ที่มีโครงสร้างแบบฝรั่ง จึงมีผู้รู้มักพูดว่าเป็นการสร้าง อาณานิคมภายใน [Internal colonization] ความเป็นรัฐรวมศูนย์ [Centralized state] นี้ เคยมีมาแล้วแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา แต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถที่ให้อิทธิพลสืบมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ แต่ว่าเป็นรัฐรวมศูนย์แบบโบราณที่เคยมีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาก่อน คือ มีโครงสร้างทางสังคมและการเมืองกับผู้คนตามท้องถิ่น เมืองขึ้น และบ้านเมืองใกล้เคียงอย่างหลวม ๆ หากระชับและน่าอึดอัดแบบโครงสร้างของรัฐรวมศูนย์ที่เป็นอิทธิพลของพวกล่าอาณานิคมไม่ โครงสร้างแบบใหม่นี้เองที่ทำลายความสัมพันธ์ทางสังคมและการเมืองที่เคยมีกับเมืองขึ้นและบ้านเมือง เพื่อนบ้านที่เคยมีมาแต่เดิมให้หมดไป แต่ที่สำคัญก็คือ การปกครองท้องถิ่นที่เกิด หมู่บ้าน ตำบล จังหวัด ได้ทำลายระบบการปกครองท้องถิ่นแต่เดิม จนทำให้เกิดปัญหาในปัจจุบัน ยุคนี้เกิดนักวิชาการของสยามที่มีความศิวิไลซ์และทันสมัยมากมายหลายแขนงซึ่งล้วนแต่ได้รับการอบรมแนะนำและสั่งสอนโดยนักปราชญ์และนักวิชาการของมหาอำนาจนักล่าอาณานิคมทั้งสิ้น พวกนี้ไม่เพียงแต่ลอกเลียนและท่องจำความรู้ต่าง ๆ ของฝรั่งมาใช้ หากมีรูปแบบในการแต่งกาย การสร้างที่อยู่อาศัยและอะไรต่ออะไรหลายอย่างในการดำรงชีวิตลอกเลียนแบบฝรั่งเกือบทั้งสิ้น ซึ่งทำให้เห็นและคิดได้ว่า คนสยามแม้จะไม่เป็นเมืองขึ้นทางการเมืองของมหาอำนาจนักล่าอาณานิคมก็ตาม แต่ก็มีลักษณะเป็นอาณานิคมทางปัญญามาโดยตลอด และต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน ข้าพเจ้าคิดว่าคนสยามก็ดี หรือคนในปัจจุบันก็ดี ส่วนใหญ่มักอยู่ได้ในบุญทางปัญญาของจักรพรรดิตะวันตกมาถึงสองระยะคือ จักรพรรดิฝรั่งเศส-อังกฤษ แต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ลงมากับจักรพรรดิอเมริกาตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรีจนกระทั่งปัจจุบัน ภายใต้อิทธิพลของจักรพรรดิฝรั่งเศส-อังกฤษนั้น สังคมไทยมีการปกครองแบบรัฐธรรมนูญ (แบบฝรั่งยุคอาณานิคม) ที่คิดว่าคนไทยคือเชื้อชาติที่ยิ่งใหญ่ และคนอื่น ชาติพันธุ์อื่น ต้องต่ำกว่าตัวไปหมด ปลูกฝังให้เกิดสำนึกเช่นนี้ด้วยประวัติศาสตร์ของรัฐของชาติที่ได้รับการอบรมมาจากฝรั่งยุคอาณานิคม มีผลทำให้เกิดการขัดแย้งกับเพื่อนบ้าน เช่น ปัญหาเรื่องเขตแดนและการแบ่งแยกดินแดนทางภาคใต้ซึ่งนับวันจะรุนแรงขึ้นทุกที ตั้งแต่ยุครัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ รัฐบาลไทยอยู่ภายใต้การบงการของจักรพรรดิอเมริกา เพื่อพัฒนาบ้านเมืองให้เป็นประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง และความมั่งคั่งทางวัตถุให้เป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ร่ำรวยทุกสิ่งทุกอย่างเลียนแบบจากฝรั่งอย่างโงหัวไม่ขึ้น พร้อมกันนั้นก็ร่วมมือกับจักรพรรดิอเมริกาทำลายล้างประเทศเพื่อนบ้านที่มีความคิดทาง สังคมนิยม อันเป็นปรปักษ์กับ ชนชั้นนิยม ที่ได้รับการปลูกฝังและตอกย้ำเรื่อยมา ความคิดทางสังคมนิยมของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว และเวียดนามมีความเป็นมาจากคนข้างล่างที่ได้รับความเดือดร้อนจากการเอารัดเอาเปรียบของคนจากข้างบนที่เป็นชนชั้นที่ทำตัวศิวิไลซ์แบบตะวันตก รับค่านิยมแของนายทุนแบบตะวันตกมาปฏิบัติ จนในที่สุดผู้คนข้างล่างที่เดือดร้อนทนไม่ได้ก็ก่อการปฏิวัติทำลายร้างกันอย่างรุนแรง จนทำให้เกิดการเผชิญหน้าในยุคสงครามเย็น ระหว่างฝรั่งสังคมนิยมในนามของพวกคอมมิวนิสต์กับฝ่ายชนชั้นนิยมที่เป็นพวกทุนนิยมในนามของเสรีประชาธิปไตย ซึ่งคนไทยอยู่ข้างฝ่ายหลังนี้ สังคมไทยนั้น นับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นประชาธิปไตย การเปลี่ยนแปลงไม่เคยริเริ่มมาจากความเดือดร้อนของคนข้างล่างเลย หากมาจากกลุ่มของชนชั้นข้างบนทั้งสิ้น ความขัดแย้งมาจากชนชั้นรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่นั่นเอง โดยมีฐานสำนึกเป็นชนชั้นร่วมกันแต่ความคิดแตกต่างกัน ชนชั้นรุ่นใหม่มักเป็นพวกนักเรียนนอกที่ไปเรียนกับประเทศที่เป็นจักรพรรดิทางปัญญา เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกา แลเห็นความศิวิไลซ์แบบประชาธิปไตยที่เป็นทุนนิยมเสรีของจักพรรดิตะวันตกเหล่านั้น ก็เลยคลั่งไคล้เอามาปฏิวัติเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองเพื่อให้ศิวิไลซ์และทันสมัยบ้าง ความสำเร็จที่เกิดขึ้นก็คือหลังจากโค่นล้างคนรุ่นเก่าสำเร็จก็ยังทำตัวเป็นชนชั้นอยู่ร่ำไป ความเป็นประชาธิปไตยที่รับเข้ามาจึงกลายเป็นประชาธิปไตยแบบชนชาติ ค่านิยมของความเป็นชนชั้นยังคงสืบเนื่องมาจากคนรุ่นอยู่นั่นเอง แต่ดูเหมือนชั่วร้ายกว่าเสียอีก เพราะพวกนี้เป็นวัตถุนิยมอย่างสุดโต่งเห็นแก่ประโยชน์ของตัวเองและพรรคพวก รวมทั้งคิดอะไรต่ออะไรในลักษณะเลียนแบบจักรพรรดิอเมริกันทั้งสิ้น ความชั่วร้ายที่สุด ๆ ของชนชั้นรุ่นใหม่เหล่านี้ก็คือ ได้พัฒนาให้เกิดสำนึกความเป็นคนข้ามชาติและเป็นนายทุนข้ามขาติขึ้น เลยทำให้เมืองไทยทั้งประเทศกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่มีนายทุนข้ามชาติยึดครอง แล้วเอาชาวบ้านชาวเมืองทั่วไปที่ตามไม่ทันเป็นทาสแรงงานราคาถูก ๆ ทาสคนไหนไม่พอใจก็เคลื่อนย้ายไปเป็นแรงงานข้ามชาติยังประเทศอื่น พวกนายทุนชั่วร้ายเหล่านั้นทำการอิมพอร์ตแรงงานทาสข้ามชาติจากประเทศเพื่อบ้านเข้ามาในลักษณะละเมิดกฎหมาย เกิดปัญหาค้าทาส ค้ามนุษย์ยุคใหม่ขึ้น ในขณะที่จักรพรรดิอเมริกันมุ่งจะมาแก้เกี้ยวด้วยการประณามผลที่เกิดขึ้นในเรื่อง สิทธิมนุษยชน อยู่ทั่วไป ทั้งภายใต้การชี้แนะของจักรพรรดอเมริกันที่ชอบตอกย้ำการปกครองประชาธิปไตย มีสิทธิและเสรีภาพ ต้องเลือกตั้งภายใต้การเลียนแบบและสำรอกแต่เปลือกของจักรพรรดิอเมริกันมาพัฒนาประเทศและบริหารประเทศของรัฐบาล นายทุนของชนชั้นรุ่นใหม่บนสังคมไทยคือ สังคมแห่งการละเมิดกฎหมาย [Law violating society] เต็มไปด้วยเดรัจฉานข้ามชาติมาปกครอง ในขณะที่สังคมของประเทศเพื่อนบ้านที่เคยเรียกว่าสังคมเผด็จการคอมมิวนิสต์นั้นกลายเป็นสังคมมนุษย์ที่คนในชาติมีสำนึกความรักชาติ [Patriotism] และเป็นสังคมเคารพกฎหมายที่จัดการกับคอรัปชั่นได้อย่างเด็ดขาด [Law abiding society] ในที่สุดนี้ อยากจะพูดว่าภายใต้รัฐประชาธิปไตยตามแบบจักรพรรดิอเมริกันนั้น รัฐบาลหลายสมัยที่ผ่านมาเป็นรัฐบาลของนายทุนข้ามชาติที่ไม่มีสำนึกความเป็นชาติ มักใช้การแก้ไข้กฎหมายรัฐธรรมนูญที่หลอกประชาชนว่าเป็นกฎหมายที่มีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ เพื่อความชอบธรรมในการแสวงหาประโยชน์ ความสุขและความมั่งคั่งเพื่อตัวเองและพวกพ้องทั้งสิ้น กฎหมายรัฐธรรมนูญจึงนับได้ว่าเป็นกฎหมายศักดิ์สิทธิ์ที่อาภัพอัปภาคที่สุดเพราะถูกละเมิดอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมา นับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- “จากยศช้างขุนนางพระ ถึงยศพระขุนนางพ่อค้า”การเปลี่ยนแปลงสังคมวัฒนธรรมในรัชกาลพระภูมิพล*
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2553 “ตัวตน” และ “ชนชั้น” ในสังคมไทย แก่นแท้ของวัฒนธรรมนั้นก็คือ เรื่องของความคิด หรือถ้าจะพูดให้กระชับขึ้นก็คือความคิดและวิธีคิดของกลุ่มชนที่อยู่รวมกันเป็นสังคม เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการแสดงออกร่วมกันทางพฤติกรรมที่เป็นรูปแบบ ทั้งในทางรูปธรรมและนามธรรม สิ่งที่เป็นรูปแบบทางรูปธรรมนั้นเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ง่าย ในขณะที่สิ่งที่เป็นนามธรรมเป็นสิ่งที่ค่อนข้างหยุดนิ่งเปลี่ยนแปลงได้ยากและช้า ความล่าช้าดังกล่าวนี้อาจเป็นสาเหตุให้สังคมที่เป็นเจ้าของวัฒนธรรมนั้น ๆ อยู่ในภาวะที่เรียกว่า “ล้าหลังทางวัฒนธรรม” ก็ว่าได้ ในโลกปัจจุบัน บรรดาประเทศโลกที่สามซึ่งแต่ก่อนนี้เรียกกันว่าประเทศด้อยพัฒนาบ้าง หรือกำลังพัฒนาบ้างนั้น นับเป็นกลุ่มประเทศที่ประสบกับภาวการณ์ล้าหลังทางวัฒนธรรม อันเนื่องมาจากไม่อาจปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมทางจิตใจให้เข้ากับความเจริญทางวัตถุที่ได้อิทธิพลมาจากภายนอกได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะว่า ประเทศโลกที่สามจำนวนมากเหล่านั้นเป็นสังคมแบบประเพณีที่มีความเจริญเป็นอาณาจักรและมีอารยธรรมมาช้านาน โดยเฉพาะประเทศในเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีประเทศไทยร่วมอยู่ด้วยประเทศหนึ่ง สิ่งที่เป็นแก่นแท้ของความคิดที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ “ค่านิยม” อันเป็นสิ่งที่คนในสังคมคิดและมีความเห็นร่วมกันว่าเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี มักเป็นสิ่งที่เกิดจากการสังสรรค์และการถ่ายทอดกันมาช้านานของผู้คนที่อยู่ในสังคมเดียวกัน เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ยากมาก โดยเฉพาะในสังคมแบบประเพณีที่มีความเก่าแก่ เคยมีอารยธรรมมานั้น ดูจะยากกว่าสังคมที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ มากทีเดียว ความขัดแย้งเช่นนี้ทำให้ข้าพเจ้าเห็นว่าประเทศที่เคยมีอารยธรรมเก่าแก่เช่นประเทศไทยอาจนับเป็นประเทศโลกที่สามกับเขาได้ การที่มาถูกกล่าวหาหรือถูกกำหนดให้เป็นประเทศโลกที่สามหรือประเทศด้อยพัฒนาดังกล่าวนี้ ก่อให้เกิดความไม่พอใจแก่บุคคลในสังคมนั้นเป็นอย่างมาก เลยทำให้มีการพัฒนาบ้านเมืองกันอย่างมากมายเพื่อประกาศให้โลกรู้ว่าตนนั้นไม่ด้อยพัฒนา ทว่า การพัฒนาดังกล่าวนั้นมักเป็นเรื่องการพัฒนาทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นทางด้านวัตถุเสียมาก ผลที่ตามมาก็คือกลับยิ่งไปขยายช่องว่างระหว่างความเจริญทางวัตถุและค่านิยมซึ่งเป็นเรื่องของความคิดจิตใจมากกว่าแต่เดิม จนเกิดคำกล่าวให้ได้ยินยอมบ่อย ๆ ว่า “modernization without development” คือ ความทันสมัยแต่ไม่พัฒนา นับเป็นความขัดแย้งระหว่างภาวะทางวัตถุกับทางจิตใจนั่นเอง เมื่อเข้ากันไม่ได้ การปรับตัวให้ทันสมัยก็ไม่เกิดผล จึงดำรงอยู่ในภาวะความล้าหลังเมื่อเปรียบเทียบกับสังคมอื่นที่เขาปรับตัวเองได้ ผลของความล้าหลังที่เกิดขึ้นก็คือช่องว่างทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดขึ้น ระหว่างรัฐกับเอกชนจะเห็นว่าเกิดความเจริญเติบโตทางองค์กรธุรกิจเอกชนอย่างมากมายที่สามารถเปรียบได้กับประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ในระบบราชการและองค์กรของรัฐยังอยู่ในสภาพล้าหลังที่ควบคุมและสร้างดุลยภาพระหว่างกันไม่ได้ เท่ากับไม่สามารถรักษาบทบาทหน้าที่ของรัฐในการควบคุมขององค์กรทางธุรกิจไม่ให้แสวงหาผลประโยชน์จากสังคมถ่ายเดียวไม่ได้ ทำให้คนในสังคมเอารัดเอาเปรียบกัน คือคนที่มีการศึกษาดีกว่า ฉลาดกว่า ก็กลายเป็นผู้ฉวยโอกาสจากคนด้อยโอกาสที่มีเป็นจำนวนมาก สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ คนถูกมองเป็นทรัพยากร เรียกว่า “ทรัพยากรมนุษย์” มีค่าเท่ากับทรัพยากรธรรมชาติและอื่น ๆ ในกรอบความคิดที่เป็นเศรษฐกิจไป ผลที่ตามมาก็คือ ทั้งคนและสิ่งแวดล้อมธรรมชาติที่ถูกมองว่าเป็นสิ่งของทางเศรษฐกิจถูกทำลายอย่างย่อยยับ ดังที่แลเห็นภาพการล่มสลายของครอบครัวและชุมชน ตลอดจนภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างในทุกวันนี้ สิ่งที่โดดเด่นอันเป็นผลพวงมาจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในประเทศไทยขณะนี้ก็คือ การเกิดชนชั้นกลุ่มใหม่ที่เข้ามามีอำนาจในการปกครองบ้านเมือง ซึ่งส่วนใหญ่มีพื้นฐานมาจากชนชั้นกลางที่เป็นพ่อค้า ซึ่งอาศัยช่องว่าทางการเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรม ชนกลุ่มนี้ก้าวขึ้นสู่ความเป็นผู้นำในด้านเศรษฐกิจและการเมือง บางคนกลายเป็นสมาชิกของบริษัทข้ามชาติที่เชื่อมโยงเข้ากับระบบเศรษฐกิจของโลกในยุคโลกานุวัตรไปก็มี ดังนั้น สิ่งที่เห็นในสังคมไทยยุคใหม่ที่สำคัญก็คือ ความมั่งคั่งกับอำนาจกลายเป็นสิ่งเดียวกันอย่างแยกไม่ออก และผู้ที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจก็คือผู้ที่มีอำนาจทางการเมืองและการปกครองโดยปริยาย การเปลี่ยนแปลงที่เห็นนี้ ถ้ามองอย่างเผิน ๆ แล้ว ก็จะเห็นว่าประเทศไทยและสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก แต่นั่นก็เป็นไปในมิติทางเศรษฐกิจและสังคมเท่านั้น ถ้าหากนับวัฒนธรรมรวมเข้าไปด้วยแล้ว ก็บอกได้แต่เพียงว่า วัฒนธรรมบางส่วนบางเรื่องเท่านั้นที่เปลี่ยน แต่สิ่งที่เป็นแก่นแท้ทางวัฒนธรรม เช่น ค่านิยม หาได้เปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วอย่างที่คิดไม่ ค่านิยมที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปนี้ก็มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองเช่นที่แลเห็นได้ในปัจจุบัน ค่านิยมสำคัญที่ว่านี้มีสองอย่าง คือ ความเป็นปัจเจกบุคคล ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากพุทธศาสนาหินยานหรือเถรวาทกับ ความยากมีตัวตนและชนชั้น ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากระบบขุนนาง หรือระบบศักดินาที่มีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เวทีประท้วงที่เชิงสะพานผ่านฟ้า ค่านิยมทั้งสองอย่างนี้มีตัวตนอยู่ในระบบค่านิยมและโครงสร้างทางวัฒนธรรมของสังคมไทยมาทุกยุคทุกสมัย แต่ในที่นี้จะวิเคราะห์เพียงค่านิยมอย่างที่สอง คือเรื่องความมีตัวตนและชนชั้นเท่านั้น ขอกล่าวแต่เพียงคร่าว ๆ ว่า ความเป็นปัจเจกบุคคลที่ได้รับมาจากพุทธศาสนา สอนให้คนเป็นที่พึ่งแห่งตน และรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองนั้น เข้ากันได้ดีกับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรีในปัจจุบัน ส่วนค่านิยมในเรื่องความมีตัวตนและชนชั้นนั้น ถ้ามองในแง่มุมสังคมแบบประชาธิปไตยแล้วก็คือสิ่งที่ขัดขวางความเจริญอย่างชัดเจนและเป็นรากเหง้าของความแตกต่างกันระหว่างตะวันตกกับตะวันออก เพราะค่านิยมในเรื่องความเสมอภาคคือผลิตผลของสังคมประชาธิปไตยในตะวันตก เป็นคุณธรรมที่ถ่วงดุลไม่ให้ค่านิยมในเรื่องความเป็นปัจเจกบุคคลดำเนินไปอย่างสุดโต่งและเป็นสิ่งพื้นฐานที่ลักดันให้เกิดเรื่องสิทธิมนุษยชนขึ้น เมื่อสังคมไทยรับระบอบประชาธิปไตยเข้ามา จึงเกิดความขัดแย้งโดยไม่รู้ตัว เพราะไม่กำจัดค่านิยมที่เกี่ยวกับชนชั้นและความไม่เสมอภาคออกไปจากสำนึกและโครงสร้างในระบบราชการ ดังเห็นได้ชัดเจนว่า เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตยและยกเลิกฐานันดรศักดิ์ ยศชั้น ศักดินาแล้วก็ตาม ความรู้สึกในเรื่องยศชั้นก็ยังคงสิงอยู่ต่อไปในยศชั้นทหารและข้าราชการพลเรือน เช่น นายพัน นายพล หรือชั้นโท ชั้นเอก ชั้นพิเศษ สิ่งที่ตอกย้ำและกระตุ้นความรู้สึกสำนึกในเรื่องนี้ตลอดเวลาก็คือการมีเครื่องแบบที่บ่งบอกถึงความแตกต่างในลักษณะต่ำ-สูง เป็นการตอกย้ำทั้งในเวลาทำงานปกติและงานพระราชพิธี หรือรัฐพิธี สำนึกในการมีตัวตนและชนชั้นดังกล่าวนี้ นับวันดูเหมือนเพิ่มพูนขึ้นจนสังเกตได้ชัดเจนในการหาเสียงเลือกตั้งผู้แทนราษฎรแทบทุกครั้งทุกคราว เพราะผู้สมัครรับเลือกตั้งมักนิยมแต่งเครื่องแบบในลักษณะโอ่กันว่าใครเด่นกว่ากันจากเครื่องราชอิสริยาภรณ์และสายสะพาย ดูแล้วลานตาดี บางคนที่ไม่มีสายสะพายหรือรู้สึกด้อยกว่าเขา แต่มีดีกรีการศึกษาดีกว่า ก็นำเอาครุยปริญญามาใส่อวด น้อยคนนักที่ไม่แต่งเครื่องแบบ ที่โดดเด่นจนแปลกไปจากคนอื่นก็เห็นจะเป็นพลตรีจำลอง ศรีเมือง ท่านเดียวที่ใส่เสื้อม่อฮ่อมถ่ายรูปหาเสียง พฤติกรรมเหล่านี้นับเป็นการแสดงออกที่เห็นชัดเจนในสำนึกและค่านิยมที่ตรงข้ามกับการเป็นประชาธิปไตย จนกระทั่งกลายเป็นความมุ่งหมายและต้องการอย่างหนึ่งของผู้สมัครเสียด้วย ที่กล่าวเช่นนี้ ก็เพราะมีพฤติกรรมผลพวงตามมาให้เห็นอยู่เนือง ๆ นั่นก็คือผู้แทนราษฎรเมื่อได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีหรือบุคคลสำคัญแล้ว มักนิยมนั่งรถที่โอ่อ่า เช่น รถเมอร์เซเดส เบนซ์ หรือรถอื่น ๆ ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน เป็นสิ่งแสดงฐานะความร่ำรวย มีรถตำรวจนำ มีขบวนผู้ติดตามเป็นพรวน สิ่งเหล่านี้ทำให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ว่า ความต้องการเข้าไปเป็นผู้แทนราษฎรก็คือต้องการที่จะเข้าไปเป็นนายประชาชน หาใช่เพื่อเสียสละเพื่อส่วนรวม และรับใช้ประชาชนไม่ ดูเหมือนความต้องการเป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีนั้น คือความมุ่งหมายทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมชั้นสุดยอดของผู้สมัครรับเลือกตั้งส่วนมาก เพราะมีการตั้งเป้าหมายและวางแผนกันมาก่อนการสมัครและเมื่อได้รับเลือกตั้งแล้วก็เกิดความขัดแย้งชิงเก้าอี้กันเป็นปกติวิสัย จนเป็นเหตุให้เกิดการแตกแยกและจ้องหาทางล้มล้างกันแทนการทำงานเพื่อรับใช้ส่วนร่วมตามอุดมคติของการปกครองแบบประชาธิปไตย ในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชที่ดำรงมาถึง ๕๐ ปีในขณะนี้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงการดำรงอยู่ของค่านิยมในเรื่องการมีตัวตนและชนชั้นที่ไม่เสื่อมสลายไปจากอดีตแม้แต่น้อย เป็นการดำรงอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองโดยแท้ นับเป็นวัฒนธรรมที่ไม่เปลี่ยนในขณะที่สังคมมีการเปลี่ยนแปลง เลยทำให้นึกถึงคำพังเพยในอดีต ที่เกิดจากการนินทาและแดกดันสังคมในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ว่า “ยศช้างขุนนางพระ” แสดงให้เห็นถึงความเข้มข้นในค่านิยมนี้ที่มีไปถึงช้างและพระด้วย มาบัดนี้การเปลี่ยนแปลงมีแต่เพียงยศช้างหายไป พระยังคงมีอยู่ แต่ว่าสิ่งที่เข้ามาแทนช้างก็คือขุนนางพ่อค้า จึงใคร่วิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างและเหมือนกันของทั้งสองสมัย คือจากยศช้างขุนนางพระ มาเป็นยศพระขุนนางพ่อค้า ดังต่อไปนี้ “ยศช้างขุนนางพระ” นวกรรมในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถครั้งกรุงศรีอยุธยา คือการสร้างระบบศักดินาขึ้นเพื่อการปกครองประเทศและการบริหารราชการให้เป็นผลดี ทั้งนี้เพราะกรุงศรีอยุธยาในเวลานั้นมีอาณาเขตกว้างใหญ่ อันเนื่องมาจากการรวมหัวเมืองและรัฐอิสระหลายแห่งมาอยู่ใต้อำนาจ มีประชาชนมากมายหลายเผ่าพันธุ์ที่เข้ามาเป็นพลเมือง จำเป็นต้องยกระดับขึ้นเป็นราชอาณาจักร และรวมอำนาจมาไว้ที่ศูนย์กลางภายใต้การนำของพระมหากษัตริย์ สิ่งที่จะทำให้รวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางได้ดีนั้น จำเป็นต้องมีบูรณาการทางวัฒนธรรมและการเมืองที่จะทำให้ผู้คนซึ่งมีความแตกต่างกันในทางชาติพันธุ์มีความรู้สึกร่วมกัน กลไกที่ทำให้เกิดสำนึกร่วมกันดังกล่าวนี้ก็คือภาษาและศาสนา ในด้านภาษานั้น รัฐได้เลือกเอาภาษาไทยเป็นภาษากลางและเป็นเครื่องมือสื่อสารที่สำคัญในราชอาณาจักร ความสำเร็จในเรื่องนี้เห็นได้จากเอกสารของชาวยุโรป โดยเฉพาะฝรั่งเศสที่เข้ามาในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่ระบุว่า ชาวสยามเรียกตัวเองว่าเป็นคนไทย ส่วนในด้านศาสนา รัฐได้ยกพระพุทธศาสนาขึ้นเป็นศาสนาหลักของราชอาณาจักร พระมหากษัตริย์ทรงอุปถัมภ์และยกย่องมากกว่าศาสนาใด มีการสร้างวัดราษฎร์และวัดหลวงให้เป็นศูนย์กลางของชุมชนบ้านและเมือง ผลที่ตามมาก็คือผู้คนแม้จะหลากหลายในด้านชาติพันธุ์และความเป็นมา แต่เมื่อมาอยู่รวมกันในดินแดนนี้ก็เป็นชาวพุทธร่วมกัน ซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกในด้านความจงรักภักดีเชื่อมโยงไปถึงพระมหากษัตริย์และบ้านเมืองด้วย นั่นคือพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์และบำรุงพระศาสนา หากใครมาทำอันตรายหรือคิดร้ายก็เท่ากับทำลายพระพุทธศาสนา เพราะเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ หากมีข้าศึกมาย่ำยี ก็หมายความว่าเป็นการย่ำยีทำลายพระศาสนาเช่นกัน ทั้งภาษาและศาสนานับเป็นกลไกที่สำคัญในการทำให้เกิดการบูรณาการทางสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ส่งทอดไปถึงการสร้างระบบศักดินาอันมีความหมายในเรื่องบูรณาการทางการเมืองด้วย นั่นก็คือเป็นระบบที่กลั่นกรองและยกระดับผู้คนที่รัฐและพระมหากษัตริย์เห็นว่าจะทำหน้าที่และมีประโยชน์แก่แผ่นดินขึ้นมาเป็นขุนนางและข้าราชการ โดยจัดอันดับสูงต่ำให้ลดหลั่นกันไปตามความสามารถและความดีความชอบที่พระมหากษัตริย์เห็นสมควร แม้ว่าในสายพระเนตรของพระมหากษัตริย์นั้น ทุกคนเหมือนกันหมด อาจได้รับการลงโทษได้เท่า ๆ กัน เช่น พระองค์สามารถถอดคนที่เป็นเสนาบดีให้เป็นตะพุ่นหญ้าช้าง หรือโปรดฯ ให้ตะพุ่นหญ้าช้างเป็นเสนาบดีได้ในพริบตาเดียวก็ตาม คนส่วนใหญ่ในสังคมก็ยังคงยอมรับพระราชอำนาจนี้ เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้โอกาสมีหน้ามีตาและมีความสำคัญได้เท่าเทียมกัน นิยายเรื่องขุนศึกที่เคยฉายอยู่ในทีวีก็เป็นเรื่องที่สะท้อนให้เห็นว่าแม้แต่คนที่มีฐานะเป็นทาส หรือไพร่ เช่นไอ้เสมา ก็สามารถก้าวข้ามบันไดสังคมไปเป็นขุนนางศักดินากับเขาได้ ระบบศักดินาไม่ได้หยุดนิ่งอย่างที่มีขึ้นแต่แรกในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเท่านั้น หากยังได้รับการปรุงแต่งและส่งเสริมเรื่อยมา ดังสังเกตได้จากหลักฐานทางเอกสาร ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายตราสามดวง หรือพระราชพงศาวดารที่เกี่ยวกับเรื่องยศ–ชั้นของขุนนางผู้ใหญ่ กล่าวคือในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถนั้นคงมีแต่เพียงออกญาหรือพระยาเป็นที่สุด แต่สมัยหลังลงมาเกิดมีเจ้าพระยาและสมเด็จเจ้าพระยา เป็นต้น โดยเฉพาะสมเด็จเจ้าพระยานั้น น่าจะพัฒนาขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์นี้เอง นอกจากนี้ ก็ยังมีเครื่องแสดงยศถาบรรดาศักดิ์ เช่น ดาบ กระบี่ พานหมาก เสลี่ยง เรือ เป็นต้น ที่พัฒนามากเห็นจะเป็นตั้งแต่สมัยพระเจ้าปราสาททองและสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อันเป็นสมัยที่มีของจากภายนอกเข้ามามาก และมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีพอสมควร ยุคนี้เวลาเจ้านายและขุนนางตายก็มีการใส่โกศหรือใส่หีบทองพระราชทาน มีเครื่องประดับยศหรูหราเป็นรูปธรรมขึ้น พอมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เวลาขุนนางตายมีโอกาสได้เผาศพในเมรุมาศคล้าย ๆ กันกับพระมหากษัตริย์ทีเดียว แต่ที่โดดเด่นทันสมัยและเข้าใจว่าสมบูรณ์ที่สุดนั้น ก็คือสมัยรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ ที่มีการรับอิทธิพลการแต่งกายมาจากฝรั่ง มีการให้เหรียญตราและสายสะพายขึ้น กลายเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมชมชอบ เป็นที่ปรารถนาของคนทั่วไปแม้แต่คนที่เป็นสมเด็จเจ้าพระยาก็ยังต้องการ คือในสมัยรัชกาลที่ ๕ เกิดความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันระหว่างพระพุทธเจ้าหลวงกับสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ในเรื่องวันฉัตรมงคล เพื่อยุติความขัดแย้ง รัชกาลที่ ๕ จึงโปรดฯ ให้สร้างตราจุลจอมเกล้าขึ้นพระราชทานในวันฉัตรมงคล ซึ่งสมเด็จเจ้าพระยาฯ ก็ได้รับพระราชทานด้วย ความขัดแย้งจึงหมดไป แต่สิ่งนี้จะมองในลักษณะที่มอมเมาไม่ได้ เพราะทั้งผู้ให้และผู้รับนั้นอยู่ในระบบคุณธรรมเสมอกัน พระเจ้าแผ่นดินนั้นหาได้อยู่ในฐานะที่จะเห็นใครชอบใครแล้วพระราชทานให้ไม่ แต่ต้องมีกฎเกณฑ์และมีกรอบคุณธรรมที่เรียกอย่างกว้าง ๆ ว่า “ทศพิธราชธรรม” ควบคุมอยู่ ถ้ามองอย่างเจาะจงแล้ว จะเห็นว่ารัชกาลที่ ๕ ทรงเป็นสุขุมาลชาติ ทรงมีความละเอียดอ่อน รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ ไม่หักหาญกับสมเด็จเจ้าพระยาฯ ในขณะเดียวกัน สมเด็จเจ้าพระยาฯ ก็โอนอ่อน แลเห็นความหมายของกุศโลบายของตราจุลจอมเกล้าที่มุ่งเชิดชูผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับแผ่นดินที่สืบทอดไปถึงลูกหลาน นั่นก็คือ การสร้างสำนึกในเรื่องตระกูลวงศ์ขึ้น ตระกูลวงศ์จะดำรงอยู่อย่างได้รับการยกย่องก็ต่อเมื่อบุคคลในตระกูลนั้นมีคุณธรรม มีความซื่อตรงต่อแผ่นดิน เพราะฉะนั้น ระบบศักดินาจึงไม่ใช่ระบบที่เป็นกลไกในการสร้างบูรณาการทางการเมืองและการปกครองอย่างโดด ๆ หากมีความสัมพันธ์เป็นส่วนหนึ่งในโครงสร้างของระบบคุณธรรมในยุคนั้นสมัยนั้นทีเดียว เป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับจากชนทุกชั้นในสังคมจนกลายมาเป็นค่านิยมที่ฝังอยู่ในสำนึกของคนไทยมาช้านาน คำว่า “ยศช้างขุนนางพระ” นั้นจึงหาได้เป็นคำพังเพยแบบแดกดันแต่เพียงอย่างเดียวไม่ หากมีนัยของระบบคุณธรรมแอบแฝงอยู่ อย่างเช่นคำว่า “ยศช้าง” คือแม้แต่ช้างก็มียศ มีราชทินนาม เช่น เจ้าพระยาไชยานุภาพ เจ้าพระยาปราบไตรจักร เป็นต้น ก็เพราะช้างในสมัยนั้นเป็นสัตว์มีคุณเป็นพาหนะที่ใช้ทำศึกสงคราม เปรียบได้กับรถเกราะหรือรถถังในปัจจุบัน การให้ยศนั้นคือการแสดงออกถึงการให้คุณค่าและที่สำคัญก็คือความกตัญญูรู้คุณช้าง ดูแล้วผิดกับคนสมัยนี้ที่ไม่มีคุณธรรม เอาช้างมาลากซุงทรมาน เอามาเป็นพาหนะรับใช้นักท่องเที่ยวและเอามาแสดงปาหี่ต่าง ๆ จนเกือบจะสูญพันธุ์อยู่แล้ว ส่วนเรื่องขุนนางพระนั้น ก็มีความจำเป็นที่พระมหากษัตริย์ต้องเกี่ยวข้องด้วย พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของทางธรรม ไม่นิยมให้พระสงฆ์มาเกี่ยวข้องกับทางโลกโดยไม่จำเป็น พระมหากษัตริย์จึงต้องเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภกบำรุงศาสนาและจัดตั้งองค์กรสงฆ์ที่แยกออกจากทางโลกโดยเฉพาะและให้พระสงฆ์ควบคุมกันเองภายใต้การดูแลของพระมหากษัตริย์ จึงเกิดตำแหน่งขุนนางพระขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าพระสงฆ์ไม่ประพฤติในทางที่ถูกที่ควรก็จะถูกลงทัณฑ์ได้ ยกตัวอย่างเช่นในสมัยรัชกาลที่ ๑ ได้มีการถอดยศและลงทัณฑ์พระเถระที่ประพฤติผิดหลายรูป รวมทั้งได้มีการกำหนดพระสงฆ์ขึ้นควบคุมดูแลด้วย ความชั่วดีและการได้ยศศักดิ์นั้นอยู่ที่พระสงฆ์เอง แต่สำหรับพระสงฆ์ที่เป็นพระจริง ๆ แล้ว ท่านก็มักไปติดยึดกับยศถาบรรดาศักดิ์ ดังเช่นท่านพุทธทาส เป็นต้น ทั้งที่โดยฐานะและตำแหน่งท่านคือเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุไชยา และมียศเป็นชั้นธรรมแต่ท่านไม่ติดกับสิ่งเหล่านี้ กลับแยกไปสร้างสวนโมกข์และปฏิบัติธรรมอย่างเป็นเอกเทศ ในขณะเดียวกันก็ไม่ปฏิเสธและขัดขืนความต้องการของแผ่นดิน ผิดกับพระอีกเป็นจำนวนมาก ในสมัยนี้ ที่ต้องการได้พัดยศ ได้ตำแหน่ง และยุ่งในทางโลกจนเป็นที่ติฉินนินทาของคนทั่วไป เท่าที่กล่าวเรื่องยศช้างขุนนางพระมานี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ความรู้สึกอยากมีตัวตนและชนชั้นที่เป็นค่านิยมของคนไทยทุกวันนี้นั้น เป็นสิ่งที่มีมากับโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรมแต่เดิม และตกทอดมาจนทุกวันนี้ “ยศพระขุนนางพ่อค้า” สมัยยศช้างขุนนางพระเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กับโครงสร้างสังคมและวัฒนธรรมในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่อำนาจและความชอบธรรมในการปกครองแผ่นดินมาจากเบื้องบน คือศาสนาและพระมหากษัตริย์ ซึ่งในช่วงเวลานั้นสังคมยังไม่มีขนาดใหญ่โตซับซ้อนดังที่เห็นในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าในสมัยรัชกาลที่ ๔ สยามมีประชากรเพียง ๕ ล้านคน พอถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ ก็เพิ่มเป็น ๗ ล้านคน การดูแลความประพฤติของขุนนางข้าราชการยังทำได้ทั่วถึง เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. ๒๔๗๕ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ที่ถือว่าอำนาจในการปกครองแผ่นดินมาจากประชาชนที่อยู่เบื้องล่างนั้น แท้จริงก็คือการเปลี่ยนแปลงเพียงที่มาของอำนาจ ไม่เป็นกลุ่มเผด็จการทหารเท่านั้น โครงสร้างและค่านิยมแต่เดิมยังคงดำรงอยู่ สิ่งที่ตามมาและเห็นได้ชัดเพียงอย่างเดียวก็คือการเล่นพรรคเล่นพวกและการคอร์รัปชั่น เพราะอำนาจกระจายไปยังผู้คนต่างๆ มากกว่าแต่เดิม และระบบคุณธรรมที่เคยควบคุมความประพฤติแต่เดิมก็สั่นคลอน กระนั้นก็ดี ก็ยังแลเห็นว่าใครเป็นใคร เพราะประชาชนน้อยและขุนนางรุ่นเก่ายังมีอยู่มาก เช่นในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม มีประชาชนอยู่ ๑๘ ล้านคน และจอมพล ป. เองก็มีสำนึกเรื่องประชาธิปไตยอยู่มิใช่น้อย สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๔ เป็นต้นมา เป็นการเปลี่ยนรุ่นของข้าราชการ พวกที่เคยเป็นขุนนางมาแต่เดิมก็หมดไป เกิดคนรุ่นใหม่เป็นจำนวนมากที่ได้รับการศึกษาจากต่างประเทศเข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญทางราชการแทน ทำให้เกิดการพัฒนาระบบราชการ มีสถาบันสอนวิชารัฐประศาสนศาสตร์ วิชาศึกษาศาสตร์ และให้ความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นเรื่องใหญ่ จนเกิดแผนพัฒนาขึ้นมาหลายฉบับ เพราะฉะนั้น ตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์เป็นต้นมานั้น อาจนับเป็นยุคใหม่ของระบบราชการก็ว่าได้ ความเป็นยุคใหม่นี้ที่เห็นชัดเจนก็คือ ระบบคุณธรรมที่เคยมีมาแต่เดิมได้หมดไปโดยสิ้นเชิง ในขณะที่ค่านิยมในการมีตัวตนและชนชั้นยังคงดำรงอยู่อย่างสืบเนื่อง แต่เป็นการสืบเนื่องชนิดที่ไม่มีระบบคุณธรรมควบคุมอย่างแต่ก่อน สิ่งโดดเด่นที่ทำให้คนมีหน้ามีตา และก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งใหญ่โตทางราชการที่สำคัญ ก็คือการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่ามักเป็นการศึกษาเฉพาะด้าน และเน้นในเรื่องเศรษฐศาสตร์ เทคโนโลยีเป็นสำคัญ เพราะถือว่าเป็นพื้นฐานในการพัฒนาประเทศ ผลที่ตามมาก็คือมีคนรุ่นใหม่จบปริญญาโท-เอก จากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก มีทั้งที่ไปโดยทุนส่วนตัว ทุนราชการโดยมูลนิธิต่าง ๆ ไปจนถึงทุนต่างประเทศ ได้กลับมารับราชการ มีตำแหน่งและความก้าวหน้าทางฐานะอย่างรวดเร็วทำให้คนส่วนใหญ่แลเห็นว่าการศึกษาเป็นหนทางไต่เต้าไปสู่การมีฐานะและมีหน้าตา ครอบครัวเป็นจำนวนมากสนับสนุนให้ลูกหลานเรียนจบไว ๆ เพื่อให้ได้ปริญญาตั้งแต่อายุน้อย ๆ จะได้มีความก้าวหน้ารวดเร็ว เป็นเหตุให้เกิดโรงเรียนกวดวิชาขึ้นเป็นดอกเห็ด ขาดการควบคุมมาตรฐานการเรียน เรียนกันแบบท่องจำ คิดไม่เป็น เพื่อให้ได้คะแนนดี ได้เกียรตินิยม มีหน้ามีตา ฯลฯ คนรุ่นใหม่ นักวิชาการรุ่นใหม่ และข้าราชการรุ่นใหม่เหล่านี้ คือผู้ที่ทิ้งระบบคุณธรรมและความรู้ต่าง ๆ ที่เป็นภูมิปัญญาของแผ่นดินที่เคยจรรโลงบ้านเมืองให้อยู่สืบเนื่องมาแต่เดิมเสียสิ้น แต่หาได้ทิ้งค่านิยมแห่งการมีหน้ามีตาและยึดถือในชนชั้นที่มีมาแต่เดิมไม่ ยังคงรับไว้เพื่อเป็นประโยชน์แก่ตนเอง เลยกลายเป็นสิ่งที่ทำลายจรรยาของวิชาชีพและจริยธรรมอันดีงามของสังคมไป เกิดการทำงานแบบเอารัดเอาเปรียบ ไม่รอบคอบ และมองอะไรแต่เฉพาะเพื่อตนเองและผลประโยชน์ของกลุ่มตน โดยเฉพาะเกิดกลุ่มผลประโยชน์มากมาย เพราะวิชาที่เรียนมากเป็นวิชาเฉพาะหรือวิชาที่เน้นเทคโนโลยี ไม่ช่วยยกระดับจิตใจให้กว้างขวางแต่อย่างใด ทำให้สังคมไทยมีความซับซ้อนด้วยกลุ่มวัฒนธรรมย่อยที่มีบทบาทในทางลบมากกว่าทางบวก สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานที่ทำให้วัฒนธรรมไทยมีทิศทางไปในเรื่องวัตถุนิยมและปัจเจกบุคคลนิยมอย่างสุดโต่ง สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ แม้ว่าจะไม่รุ่งเรืองทางเศรษฐกิจก็ตาม แต่ก็เป็นยุคที่มีการเพาะคนรุ่นใหม่ที่สานไม่ติดกับอดีต และในขณะเดียวกันก็สร้างโครงสร้างภายใน เช่น ถนน เขื่อน ชลประทาน เพื่อรองรับการขยายตัวของบ้านเมืองเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยตรง ซึ่งก็ทำให้เกิดผลในสมัยต่อมา เช่นในสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร แต่เป็นผลของความเจริญทางเศรษฐกิจเชิงทำลายเพราะป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติเริ่มหมดไป เกิดเผด็จการทหารที่ร่วมกับพวกพ่อค้านายทุนสร้างความเดือดร้อนให้กับบ้านเมือง จนเป็นเหตุให้เกิดกลุ่มปัญญาชนและขบวนการรักชาติขึ้น จนนำไปสู่เหตุการณ์นองเลือด ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ และ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ตามลำดับ ซึ่งนับเป็นขบวนการที่ต่อต้านเผด็จการและพวกนายทุนโดยตรง เหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ทำให้เกิดการถ่วงดุลระหว่างฝ่ายรัฐบาลที่อยู่ในเมือง ซึ่งประกอบด้วยนายทุนเป็นจำนวนมาก กับขบวนการรักชาติที่อยู่ในป่าซึ่งเป็นพวกสังคมนิยม ก็นับว่ายังโชคดีที่บรรดาทรัพยากรหลายๆ แห่งในประเทศ โดยเฉพาะป่าไม้ไม่ถูกทำลาย แต่แล้วก็เป็นไปได้ไม่นานเพราะหลังจากที่มีการประนีประนอมกันในสมัยรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์แล้ว ขบวนการรักชาติออกจากป่า ก็เกิดการเลือกตั้งตามระบบประชาธิปไตยขึ้นมาใหม่ การเติบโตของเศรษฐกิจและสังคมเชิงวิบัติก็กลับมามีอำนาจดังเดิม แต่สิ่งที่กลับร้ายยิ่งกว่าเดิมก็คือการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ที่เติบโตและร่ำรวยขึ้นภายหลังจากขบวนการรักชาติดออกจากป่านั้น มีการตัดไม้ทำลายป่าแสวงหาทรัพยากรธรรมชาตินานาชนิดควบคู่ไปกับการค้าของเถื่อน และกิจกรรมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไปทั่วทุกท้องถิ่น เกิดระบบเจ้าพ่อและผู้มีอิทธิพลโยงใยกันเป็นเครือข่ายจากระดับท้องถิ่นถึงรัฐสภา สิ่งที่เปิดโอกาสให้กลุ่มคนเหล่านี้เข้ามามีอำนาจก็คือคำว่า “ประชาธิปไตย” และสิ่งที่อาจกล่าวได้ว่าเป็น “เปลือกนอกของประชาธิปไตย” นั่นเอง เพราะเปิดโอกาสให้คนทุกกลุ่มเหล่าเข้ามาเลือกตั้งได้ พวกนายทุนและพ่อค้าที่ไม่มีคุณธรรมก็เข้ามาได้โดยอาศัยช่องว่างของคำว่าประชาธิปไตยและพื้นฐานทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีมาแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พ่อค้านายทุนสามารถใช้อิทธิพลทั้งอำนาจและการเงินซื้อเสียงให้ชาวบ้านเลือกตนเข้ามานั่งในสภาได้ และจากสภาก็เข้าสู่การดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีที่มีอำนาจในการปกครองและบริหารประเทศเต็มที่ เมื่อนำระบอบประชาธิปไตยมาใช้อย่างผิวเผิน ก็เป็นเหตุให้อำนาจการปกครองเปลี่ยนมือจากพระมหากษัตริย์ และจากเผด็จการทางทหารมาเป็นเผด็จการพ่อค้าและนายทุนแทน ปัจจุบัน พวกพ่อค้านายทุนไม่จำเป็นต้องติดสินบนข้าราชการ หรือกราบไหว้ข้าราชการเพื่อให้อำนวยประโยชน์แก่ตนอีกต่อไป เพราะพวกพ่อค้าสามารถเข้ามาเป็นขุนนางและเสนาบดีที่อยู่เหนือหัวบรรดาข้าราชการอยู่แล้ว ฉะนั้น ระบอบราชการที่เคยดำรงอยู่ในการทำคุณประโยชน์ให้แก่ส่วนร่วมก็กลายมาเป็นระบบที่ล้าหลัง และเป็นเครื่องมือของพวกพ่อค้านายทุนไป แต่ที่ร้ายที่สุดที่ทำให้พวกพ่อค้านายทุนมีอำนาจยิ่งใหญ่ ก็คือ ค่านิยมในเรื่องการมีตัวตนและชนชั้นที่ยังดำรงอยู่ เพราะนอกจากทำให้พวกพ่อค้าที่เป็นขุนนางมีหน้ามีตาแล้ว ยังมีอำนาจที่จะแต่งตั้งและช่วยเหลือข้าราชการที่รับใช้ตนให้มีอำนาจมีหน้ามีตาด้วย สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นจากการมีเครื่องแบบ มีเครื่องประดับยศศักดิ์ทั้งสิ้น เมืองไทยจึงเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ที่เต็มไปด้วยเครื่องแบบและความเหลื่อมล้ำของชนชั้นที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งในโลกก็ว่าได้ ค่านิยมในเรื่องการมีตัวตนและชนชั้นเป็นสิ่งที่มีมานานแต่สมัยราชอาณาจักรอยุธยา เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากระบบศักดินาแต่ครั้งสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ในสมัยศักดินาหรือในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ค่านิยมนี้ไม่ได้อยู่อย่างโดด ๆ หากเป็นส่วนหนึ่งในระบบคุณธรรมที่มีค่านิยมอื่นหรือองค์ประกอบอื่นคอยถ่วงดุลไม่ให้มีลักษณะที่เกินเลยไปจนเป็นผลร้ายต่อสังคม ดังเช่นการมีหน้ามีตาก็เป็นสิ่งที่ควบคู่ไปกับการอับอายขายหน้าเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ผู้ที่อยากเป็นคนเด่นคนดังก็จำเป็นต้องระมัดระวัง มีการตรวจสอบจากเบื้องบนคือพระมหากษัตริย์และขุนนางผู้ใหญ่ ดังเช่นสมเด็จพระบรมราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ทรงนิพนธ์ไว้ในเพลงยาวรบพม่าว่า “...สุภาษิตทานกล่าวเป็นราวมา จะแต่งแต่งเสนาธิบดี ไม่ควรอย่าให้อัครฐาน จะเสียการแผ่นดินกรุงศรี เพราะไม่ฟังตำนานโบราณมี จึงเสียทีเสียวงศ์กษัตรา เสียยศเสียศักดิ์นคเรศ เสียทั้งพระนิเวศวงศา เสียทั้งตระกูลนานา เสียทั้งไพร่ฟ้าประชากร สารพัดจะเสียสิ้นสุด...” นับเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่าการให้ยศถาบรรดาศักดิ์แก่คนนั้น ถ้าไม่ดีอาจทำให้บ้านเมืองพินาศได้ ส่วนสิ่งที่ควบคุมขึ้นมาจากเบื้องล่างอันดับแรกก็คือตระกูลของผู้ที่ได้รับยศศักดิ์นั่นเอง การเป็นคนที่อยู่ในตระกูลนั้นจะต้องผ่านการอบรมทางด้านศาสนา ศีลธรรม และคุณธรรม อันเป็นสิ่งที่ชอบในสังคมด้วย ถ้าประพฤติไม่ดี ไม่เหมาะสม ตระกูลก็เสียหายขายหน้า นำไปสู่การติฉินนินทาของคนทั่วไป เพราะฉะนั้น การนินทาก็นับเนื่องเป็นกลไกในการควบคุมจากเบื้องล่างอีกระดับหนึ่งเหมือนกัน ดังในวรรณคดีเรื่อง กฤษณาสอนน้องกล่าวว่า “...ความดีก็ปรากฏ กฤติยศฦๅชา ความชั่วก็นินทา ทุรยศยินขจร...” หรือจะกล่าวอย่างย่อ ๆ ว่า การมีตัวตนมีหน้ามีตาเป็นชนชั้นของคนสมัยก่อนนั้น กว่าจะมีได้ก็ต้องผ่านการอบรมทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีกลไกต่าง ๆ ทางคุณธรรมและจริยธรรมคอยดูแลควบคุมไว้นั่นเอง ปัจจุบัน สังคมเปลี่ยนจากระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตยแบบทางตะวันตก แต่ค่านิยมในเรื่องการมีตัวตน มีหน้ามีตาและชนชั้นนั้นก็มิได้เสื่อมลงไปด้วย กลับดำรงอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลง แต่เป็นการดำรงอยู่ในระบบค่านิยมและวัฒนธรรมแบบใหม่ ที่ไม่มีกลไกทางคุณธรรมรองรับหรือคอยถ่วงดุลอย่างแต่ก่อน ระบอบประชาธิปไตยแบบผิวเผินนี้ได้ทำให้พวกพ่อค้าที่มีโลกทัศน์และแนวคิดเพียงแต่กำไร-ขาดทุนมีโอกาสเข้ามาเป็นขุนนาง เลยทำให้ค่านิยมในเรื่องชนชั้นดังกล่าวยิ่งกลับมาส่งเสริมให้ความมั่งคั่งในเรื่องเงินตราและอำนาจ โดยเฉพาะอำนาจในการปกครองและการบริหารราชการแผ่นดินก็กลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไป ข้าราชการที่แต่ก่อนนี้เคยเชื่อว่า “สิบพ่อค้าก็ไม่เท่าหนึ่งพระยาเลี้ยง” ก็ต้องมาสยบกับพวกพ่อค้าที่เข้ามาเป็นเสนาบดีเพื่อที่คนจะได้เลื่อนตำแหน่งยศศักดิ์และมีหน้ามีตา ถึงตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะอัญเชิญพระนิพนธ์ของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทอีกตอนหนึ่ง “...ชาติไพร่หลงฟุ้งแต่ยศถา ครั้นทัพเขากลับยกมา จะองอาจอาสาก็ไม่มี แต่เลี้ยวลดปดเจ้าทุกเช้าค่ำ จนเมืองคร่ำเป็นผุยยับยี่ ฉิบหายตายล้มไม่สมประดี เมืองยับอัปรีย์จนทุกวันฯ...ฯ ทุกวันนี้ กรุงเทพฯ ก็คืออยุธยาดังที่ว่านี้ วัฒนธรรมแบบพ่อค้าได้ทำลายคุณธรรมอย่างหนึ่งที่เป็นกลไกคอยควบคุมไม่ให้ค่านิยมในเรื่องการมีตัวตน และชนชั้นเป็นไปในทางที่เสียหายให้หมดไปอย่างสิ้นเชิง คุณธรรมที่ว่านี้คือ “หิริโอตตัปปะ” หรือความละอายและเกรงกลัวต่อบาป เป็นสิ่งที่ทำให้คนแต่ก่อนไม่หน้าด้านเอาแต่ได้ เมื่อมาหมดไปเช่นนี้ความหน้าด้านเอาแต่ได้ก็เข้ามาแทนที่ และเป็นสิ่งส่งเสริมการมีหน้ามีตาของคนในสังคมปัจจุบัน ที่น่าสลดใจก็คือ แม้แต่ชุมชนทางวิชาการ เช่น ในมหาวิทยาลัย ก็ได้รับผลกระทบดังกล่าว ซึ่งเห็นได้จากการขอตำแหน่งทางวิชาการของอาจารย์ เป็นต้น ซึ่งเป็นความคิดริเริ่มและถูกครอบงำจากผู้บริหารที่มีคุณสมบัติเป็นนักธุรกิจ นับเป็นการทำลายความมีหิริโอตตัปปะที่เป็นคุณสมบัติและคุณธรรมของครูบาอาจารย์โดยแท้ ถ้าจะมองให้กระชับลงไปกว่านี้ก็อาจกล่าวได้ว่า การดำรงอยู่ของค่านิยมในเรื่องการมีตัวตน มีหน้ามีตาและชนชั้น ก็คือสิ่งที่ขัดแย้งอย่างยิ่งกับอุดมการณ์ของความเป็นประชาธิปไตย เพราะเป็นสิ่งขัดขวางไม่ให้ค่านิยมในเรื่องความเสมอภาคและความเป็นมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันอย่างเรียบง่ายเกิดขึ้นในสังคมนี้