พบผลการค้นหา 220 รายการ
- เมื่อออกจากกระดอง
เผยแพร่ครั้งแรก 1 พ.ค. 2548 ระหว่างเดือนมีนาคม–เมษายน–พฤษภาคม ที่แล้วมา ข้าพเจ้ามีโอกาสเดินทางไปศึกษาภูมิวัฒนธรรมของประเทศเพื่อนบ้านบนพื้นแผ่นดินใหญ่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ เขมร พม่า เวียดนาม และลาว ตามลำดับ ความประสงค์ที่ไปก็เพื่อจะดูว่าเพื่อนของเราที่คนไทยมักดูแคลนมาเสมอว่าไม่มีอะไรทัดเทียมเราในด้านความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจสังคมและการเมืองนั้นเป็นอย่างไร เพราะในทำนองตรงข้าม บรรดาประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้ก็มีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อประเทศไทยเหมือนกัน อันเนื่องมาจากเหตุการณ์และความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยการล่าอาณานิคมของอาณาจักรนิยมอังกฤษและฝรั่งเศสจนมาถึงสมัยอเมริกาทำสงครามกับเวียดนาม โรงเรียนในบริเวณเวียดนามตอนกลาง สภาพที่ดูเปลี่ยนแปลง อาคารขยายใหญ่ขึ้นและใหม่ขึ้นกว่าเดิม ด้วยเวลาอันน้อยนิดแต่อยากรู้อยากเห็นมากๆ ข้าพเจ้าและคณะใช้วิธีศึกษาภูมิศาสตร์วัฒนธรรมสองข้างทางไปเรื่อย ๆ จากบริเวณหนึ่ง ท้องถิ่นหนึ่งไปเรื่อย โดยดูรายละเอียดบางจุดที่น่าสนใจเป็นสำคัญ เพราะการสังเกตการณ์ไปตลอดทางนั้นทำให้แลเห็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของ นิเวศวัฒนธรรม (cultural ecology) ได้ไม่มากก็น้อย ในการรับรู้และเรียนรู้ของข้าพเจ้าถือว่าความสัมพันธ์ของระบบนิเวศทั้งสองเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกันกับความมั่นคงทางสังคม และวัฒนธรรมของผู้คนในสังคมแต่ละประเทศเป็นอย่างมาก เมืองไทยหรือประเทศไทยของเราที่รัฐและประชาชนที่มีโอกาสทั้งหลายชอบโอ่เป็นนักหนาว่าเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจดีกว่าเพื่อนบ้านนั้น แท้จริงกำลังขาดดุลยภาพในเรื่องปฏิสัมพันธ์ระหว่างนิเวศวัฒนธรรมและนิเวศเศรษฐกิจการเมือง ด้วยกระทำของรัฐและประชาชนที่มีโอกาสเหล่านั้น การกระทำที่ทำให้เกิดการรุกล้ำของนิเวศเศรษฐกิจการเมืองอย่างไม่มีกาลเทศะนั้นคือการทำลายนิเวศวัฒนธรรมที่มีผลทำให้เกิดความไม่มั่นคงทางสังคมและวัฒนธรรมในแทบทุกภูมิภาคของประเทศในขณะนี้ เพราะการรุกล้ำของนิเวศเศรษฐกิจและการเมืองของบรรดาประชาชนที่ได้โอกาสหรือฉวยโอกาสก็คือการบุกรุกของนายทุนที่ใช้อำนาจทางการเมืองของรัฐเข้าไปแย่งพื้นที่และทรัพยากรท้องถิ่นของผู้คนที่ด้อยโอกาสในท้องถิ่น จนเกิดเป็นความขัดแย้งอย่างไม่รู้จบในปัจจุบัน เกิดความเคลื่อนไหวทั้งจากบรรดาปัญญาชนที่เป็นนักวิชาการสุจริตชนและองค์กรเอกชนร่วมมือกับบรรดาชาวบ้านชาวเมืองในท้องถิ่นที่ได้รับการเดือดร้อน โต้แย้ง คัดค้าน เดินขบวนกันอยู่เนือง ๆ ผลที่เกิดตามมาก็คือ แทบทุกเมื่อเชื่อวันจะมีการประชุมสัมมนาทั้งเป็นเรื่องของการเสนอผลงานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาชุมชนและท้องถิ่น และการอบรมการปฏิบัติการทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม โดยสถาบันการศึกษาจากทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคกันอย่างกว้างขวาง หลายต่อหลายแห่งก็มีการเชิญบรรดานักวิชาการผู้เชี่ยวชาญ ปราชญ์ผู้รู้ชาวบ้านที่มีชื่อเสียงมาให้ความรู้ทั้งแนวคิด ทฤษฎี และการปฏิบัติการกันเป็นประจำ ข้าพเจ้านับเป็นคนหนึ่งในบรรดาผู้ที่ถูกอุปโหลกว่าเป็นผู้รู้และเชี่ยวชาญ เคลื่อนไหวอยู่ในวังวนแห่งการวิจัยและการไปพูดไปสัมมนาอยู่กว่า ๑๔ – ๑๕ ปีที่ผ่านมา เมื่อมีโอกาสได้โผล่ออก นอกกระดอง ไปยังประเทศเพื่อนบ้านในครั้งนี้แล้วตกใจ เพราะเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมของเขาแล้วดูมีสมดุลระหว่างระบบนิเวศวัฒนธรรมและนิเวศเศรษฐกิจการเมืองที่จะยังให้เกิดความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจแก่คนทั้งหลายในชาติดได้ดีกว่าเรา ไม่ว่าเขมร เวียดนาม พม่า และลาวที่เคยเป็นสังคมนิยมต่างขานรับการลงทุนขนาดใหญ่จากภายนอกตามกระแสโลกาภิวัตน์ทั้งนั้น แต่ทั้งรัฐและสังคมจะคำนึงถึงผู้คนในท้องถิ่นเป็นสำคัญ หาได้ปล่อยให้นิเวศเศรษฐกิจการเมืองรุกล้ำเข้าไปทำลายนิเวศวัฒนธรรมของท้องถิ่นไม่ ประเทศเวียดนามคือตัวอย่างที่จะพูดถึงในที่นี้ ข้าพเจ้านั่งรถวิ่งผ่านแต่เมืองลาวบาวที่อยู่ต่อแดนประเทศลาว มายังเมืองดงฮา เมืองเว้ เมืองดานัง เมืองญาจัง เมืองพันราง เมืองฟันเทรียด เมืองไซ่ง่อนไปจนถึงเมือง กันเธอ ริมแม่น้ำโขง แลเห็นการเปลี่ยนแปลงแต่ละพื้นที่สองฝั่งถนนที่มีความแตกต่างกันทางภูมิศาสตร์จากเหนือจดใต้ชัดเจน จำได้ว่าเมื่อ ๑๔ ปีที่ผ่านมา บ้านเรือนของคนเวียดนามทั้งในเมืองและชนบทมีขนาดเล็กคับแคบและมีสภาพแวดล้อมที่สกปรก อาหารการกินและสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันดูขาดแคลน เพราะเป็นประเทศที่ถูกย่ำยีแหลกลาญโดยสงครามกับอมนุษย์ที่ใช้เทคโนโลยีทำลายล้างอย่างขี้ขลาดและบ้าคลั่งมาเมื่อ ๖ ปี ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าเข้าไปพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น แต่ก็ยังห่างไกลกับความเจริญในด้านความสะดวกสบายในชีวิตความเป็นอยู่จากผู้คนในประเทศไทยอีกมาก แม้ว่าอาหารการกินและการพัฒนาที่อยู่อาศัยรวมทั้งการเกษตรอุตสาหกรรมจะดีขึ้นเป็นอย่างมากก็ตาม แต่ทว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าได้เห็นแก่ตาในปีนี้ เวียดนามเจริญเติบโตอย่างคาดไม่ถึง แทบทุกหนแห่งบ้านเรือนที่เคยติดพื้นชั้นเดียวมี ๓ ห้อง มีการขยายตัว มีห้องเพิ่มขึ้น บางแห่งก็เป็นสองชั้น รวมทั้งเกิดบ้านและตึกของคนรวยเพิ่มขึ้น มีการขยายถนนและปรับปรุงถนนให้สะดวกสบายเพิ่มขึ้นให้เหมาะแก่การคมนาคมและสัญจรของคนในท้องถิ่น แทบทุกบ้านมีสวนครัวที่เลี้ยงตัวเองได้อย่างไม่ต้องพึ่งตลาด เพราะพื้นที่แทบทุกตารางนิ้ว หน้าบ้าน หลังบ้าน หรือรอบบ้านถูกใช้เป็นที่ปลูกพืชผักต่างๆ อย่างมีระเบียบ ผลผลิตที่ได้ไม่เพียงแต่จะใช้บริโภคภายในครัวเรือนเท่านั้น ส่วนเกินยังสามารถนำไปขายในตลาดสดเช้าเย็นที่มีอยู่ทุกย่านทุกตำบลด้วย เพื่อขายให้กับผู้คนในเมืองที่ไม่มีพื้นที่ทำสวนครัวได้ เวียดนามไม่มีซุปเปอร์มาร์เก็ตอย่างคลั่งไคล้และบ้า ๆ บอ ๆ แบบของไทย แต่มีตลาดสดเช้าเย็นที่อุดมสมบูรณ์ทั้ง ผัก ปลา หมู เป็ด ไก่ที่ชาวบ้านและผู้ผลิตรายย่อยที่มีทุนรอนน้อย ๆ สามารถทำมาค้าขายได้ ทำให้คนมีอาหารการกินอยู่ดีทุกระดับ สิ่งที่เวียดนามชนะไทยอย่างขาดลอยคือ การจัดการน้ำและการเกษตร เพราะแม้จะมีพื้นที่ทางเกษตรน้อยกว่าเมืองไทยและมีประชากรถึง ๘๒ ล้านคนมากกว่าหกสิบกว่าล้านคนของไทยก็ตาม ก็สามารถปลูกข้าวส่งออกได้เป็นอันดับสองรองจากไทย ที่ว่าชนะก็เพราะมีการกระจายรายได้ให้แก่ประชาชนทั่วไปได้ดีกว่าของไทย เห็นได้จากการทำนาทำไร่ตามที่นาหรือพื้นดินแปลงเล็ก ๆ เพียงไม่กี่ไร่ มักเป็นการร่วมแรงกันทำโดยคนกลุ่มเล็ก ๆ ประมาณ ๓–๖ คนและใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับกำลังทุนของแต่ละกลุ่ม เช่น ยังใช้วัวและความรวมทั้งแทรคเตอร์ขนาดเล็กในการเพาะปลูก การจัดการน้ำเข้านาและที่เพาะปลูกก็ยังเป็นแบบเดิม โดยอาศัยการชลประทานราษฎร์ที่ถนอมลำน้ำและทางน้ำธรรมชาติซึ่งมาจากที่สูง บรรดาลำน้ำธรรมชาตินี้แหละที่สัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานของคนเวียดนามและสามารถผันและดึงเข้าไปใช้ในการเพาะปลูกแบบแบ่งปันกันอย่างเสมอภาคหาได้เป็นการแย่งน้ำกันอย่างของเมืองไทยไม่ การสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ รวมทั้งการขุดคลองส่งน้ำในลักษณะที่เป็นชลประทานหลวงดูมีน้อย เพราะจะเป็นการทำลายสภาพแวดล้อมและความเป็นอยู่ของคนในท้องถิ่น แต่การปล่อยให้คนในท้องถิ่นจัดการร่วมกันไปตามธรรมชาติ ได้ทำให้ความเป็นอยู่ของคนในสังคมเกษตรกรรมของเวียดนามดูเป็นระเบียบเสมอภาคและสัมพันธ์กับธรรมชาติสภาพแวดล้อมอย่างกลมกลืน พื้นที่เกษตรกรรมกลายเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ แม่น้ำ ลำน้ำ และทางน้ำดูไม่ขาดแห้ง หรือดูดีเป็นแห่ง ๆ อย่างของไทย กลับดูเย็นตาคล้ายกันไปหมด โดยเฉพาะผู้คนที่ต่างคนออกไปทำงานอย่างขยันขันแข็งเป็นกลุ่มเป็นระเบียบ สิ่งเหล่านี้คนไทยแต่ก่อนเคยมี แต่เมื่อโรงงานอุตสาหกรรมเข้ามาและการทำเกษตรอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาแทนแรงงานคนและสัตว์ก็ทำให้เปลี่ยนแปลงไปจนหมดสิ้น จนเดี๋ยวนี้เราแยกคนที่เป็นชาวนาทำไร่กับคนที่เป็นกรรมกรใช้แรงงานในกิจกรรมทางอุตสาหกรรมไม่ออก วิถีชีวิตที่เคยอยู่กันเป็นกลุ่มก้อนและเป็นปึกแผ่นในระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเพียงพอหายไปหมดสิ้น แต่สภาพการเช่นนี้คือสิ่งที่แลเห็นในหมู่คนเวียดนาม สังคมอุตสาหกรรมและเกษตรอุตสาหกรรมในเมืองไทยกำลังเปลี่ยนให้คนไทยเป็นอมนุษย์ เพราะกำลังพัฒนาให้คนเป็นปัจเจกอย่างผิดวิสัยของมนุษยชาติ แต่เวียดนามพัฒนาคนให้อยู่เป็นกลุ่มเป็นเหล่าตามธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องเป็นสัตว์สังคม ในเวียดนามรัฐและสังคมดูเป็นอันหนึ่งเดียวกันในการพัฒนาให้มนุษย์อยู่ติดพื้นที่อันเป็นมาตุภูมิหรือแผ่นดินเกิด เพราะแทบทุกแห่งที่ผ่านไปจะพบว่าผู้คนในท้องถิ่นนอกจากมีความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนในลักษณะที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนที่ความสัมพันธ์ทางสังคมทั้งในระดับเครือญาติและเพื่อนร่วมท้องถิ่นและความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติในลักษณะที่มีการจัดการสภาพแวดล้อมธรรมชาติในเรื่องการทำมาหากิน การตั้งถิ่นฐาน การอยู่อาศัย และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติร่วมกันแล้ว ยังมีความสัมพันธ์กับสิ่งนอกเหนือธรรมชาติอย่างแนบแน่นและดูไม่เสื่อมคลายทั้ง ๆ ที่เป็นสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์ เพราะท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนั้น มีการจัดการกับหลุมศพเป็นเงาตามตัว บ้านบางบ้านสร้างหลุมศพของคนตายในครอบครัวไว้ในเขตบ้าน และในพื้นที่ทำกินไม่ว่าจะเป็นไร่นาและเรือกสวน เมื่อมองไปตามทุ่งนาจะแลเห็นหลุมศพกระจายกันอยู่เป็นหย่อม ๆ หรือบางที่ในบรรดาพื้นที่สาธารณะป่าเขาและบริเวณแห้งแล้งก็ปรับเปลี่ยนให้เป็นแหล่งฝังศพกระจายกันอยู่ทั่วไป เวียดนามคล้ายจีนแต่ไม่เหมือนจีน เป็นสังคมที่ให้ความสำคัญลัทธิบูชาบรรพบุรุษ (ancestor focus) แต่ไม่นำศพผู้ตายในครอบครัวหรือตระกูลไปฝังไว้รวมกันเป็นสุสานใหญ่ ๆ ในที่ห่างไกลกับเอาไว้ใกล้ตัว และบ้านเรือนดูกระเดียดไปทางข้างญี่ปุ่นมากกว่า บรรดาหลุมศพและแหล่งฝังศพทั้งที่พบตามบ้านและแหล่งทำกินดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่าคนเวียดนามและสังคมเวียดนามเน้นการอยู่ร่วมกันในถิ่นกำเนิดแต่แรกเกิดจนตาย ช่วงเวลาของการอยู่ร่วมกันในท้องถิ่นเดียวกันเป็นเวลาหลายชั่วคน คือสิ่งที่สร้างให้คนเวียดนามปรับสภาพแวดล้อมธรรมชาติของท้องถิ่นให้เป็นระบบนิเวศวัฒนธรรมร่วมกันได้ เกิดสถานที่และแหล่งประวัติศาสตร์ศิลปวัฒนธรรมที่จรรโลงสำนึกท้องถิ่นและความเชื่อท้องถิ่นที่มีทั้งประวัติศาสตร์ จารีต ประเพณี และพิธีกรรมรวมกัน ข้าพเจ้าคิดว่าคนไทยเคยมีในสิ่งเหล่านี้ แต่ปัจจุบันไม่มี เพราะถูกทั้งรัฐและนายทุนทำลาย ข้าพเจ้าเชื่อว่ารัฐเวียดนามมีจิตใจที่เอื้ออาทรต่อคนท้องถิ่นที่ไม่เหมือนรัฐไทย เพราะตลอดทางที่นั่งรถผ่านไปข้าพเจ้ามักบ่นถึงความล่าช้าในการเดินทาง คือเวียดนามนั้นแม้ว่าจะมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วก็ตาม แต่เรื่องเส้นทางคมนาคมดูล้าหลัง การคมนาคมจากกรุงฮานอยทางเหนือมายังเมืองไซ่ง่อนหรือโฮจิมินห์ทางใต้ขึ้นอยู่กับทางหลวงเพียงสายเดียว ซึ่งแม้ว่าจะทำถนนให้ดีและสะพานข้ามแม่น้ำลำน้ำสายต่าง ๆ ได้สะดวกกว่าแต่ก่อนก็ตาม แต่ก็เป็นถนนขนาดเล็กที่รถวิ่งสวนทางไปมาในช่องทางเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ ทำให้การขับขี่ยานยนต์ต้องมีการควบคุมความเร็วให้อยู่เพียง ๕๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพราะฉะนั้นการเดินทางจากเหนือไปใต้ด้วยรถยนต์จึงกินเวลาหลายวันทีเดียว บ้านเรือนในชนบทของเวียดนาม ที่เพาะปลูกไม่ไกลจากบ้านเรือนและยังมีการใช้แรงงานร่วมกัน แต่เมื่อแลเห็นบรรดาทุ่งนาและพื้นที่ทางเกษตรและที่อยู่อาศัยที่เขียวและชุ่มน้ำ ความรู้สึกในเรื่องตำหนิก็หมดไป เพราะคิดได้ว่า ถ้าหากเวียดนามพัฒนาถนนหนทางอย่างใหญ่โตและมากมายไปทุกหนแห่งแล้ว บรรดานักการเมือง พ่อค้า ข้าราชการและนายทุนคงร่ำรวยมิใช่น้อย เพราะค่าคอมมิชชั่นคงแพร่สะพัด และคนธรรมดาที่เป็นชาวบ้านในท้องถิ่นก็คงเดือดร้อน เพราะบรรดาถนนหนทางเหล่านั้นคือสิ่งที่กีดขวางทางเดินและการกระจายตัวตามธรรมชาติของน้ำที่จะยังความชุ่มชื้นให้แก่การเพาะปลูกและการอยู่อาศัยของผู้คนได้ ตลอดเส้นทางข้าพเจ้าแทบมองไม่เห็นภาพพจน์ของกรมทางหลวง กรมชลประทาน องค์กรจัดการไฟฟ้าพลังน้ำ และกรมป่าไม้แบบที่พบในประเทศไทยแต่อย่างใด รวมทั้งแทบไม่พบพื้นที่ทางอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่บรรดานายทุนข้ามชาติต่างแย่งเข้ามากันยึดครองพื้นที่สาธารณะและถิ่นทำกินของชาวบ้านอย่างเช่นในเมืองไทยที่แทรกซึมไปทั่วทุกระแหงจนคนไทยกลายเป็นทาสติดที่ดิน ที่พบเห็นในประเทศเวียดนามก็มีอยู่ในเขตเมืองไซ่ง่อนและบริเวณปริมณฑลที่มีนักลงทุนข้ามชาติของไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง ครั้นหวนกลับมาที่ถนนสายเดี่ยวที่สะท้อนความล้าหลังในเรื่องการพัฒนาอีกทีก็กลับทำให้ได้แลเห็นอะไรลุ่มลึกกว่าแต่เดิม เพราะถนนเส้นนี้ที่ต้องนั่งรถแลสองข้างทางไปอย่างช้า ๆ นี้ ไม่เพียงแต่ให้แลเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ร่มรื่นในชนบทแต่ละท้องถิ่นเท่านั้น หากเป็นเส้นทางที่ผ่านไปตามเมืองต่าง ๆ ทั้งระดับอำเภอและจังหวัด ทำให้ข้าพเจ้าได้แลเห็นโครงสร้างบางอย่างที่ทางรัฐได้พัฒนาให้เกิดขึ้นอย่างมีความหมาย ในเขตเมืองนั้น ย่านตลาด ร้านค้า ห้องแถว และที่อยู่อาศัยพัฒนาขึ้นตามสองฝั่งถนนแบบที่พบในเมืองไทยเมื่อราว ๓๐-๔๐ ปีก่อน แต่สิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตและโดดเด่นก็คือโรงเรียนที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด จากการเป็นอาคารขนาดเล็กชั้นเดียวมาเป็นสองชั้นขนาดใหญ่ที่มีบริเวณกว้างขวางมีสีสันที่สวยงาม ล้วนเป็นอาคารที่ใหญ่โตกว่าอาคารอื่นๆ รวมทั้งสถานที่ทางราชการและศูนย์กลางในการบริหารด้วย ข้าพเจ้าไม่เคยพบเห็นเช่นนี้ในเมืองไทย เพราะโรงเรียนแบบนี้มีเป็นจำนวนมาก นับเป็นศูนย์กลางของท้องถิ่นที่ขานตอบการศึกษาของเด็กนักเรียนในท้องถิ่นโดยแท้และเป็นสถานที่มีการเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก เพราะเด็กนักเรียนในท้องถิ่นต้องเข้าโรงเรียน ในเวลาไปโรงเรียนพักกลางวันและกลับบ้าน เด็กนักเรียนจะเดินและขี่รถจักรยานกันตามถนนดูแน่นไปหมด อันแสดงให้เห็นว่าตำแหน่งของโรงเรียนอยู่ใกล้บ้าน เดินทางกลับไปทานอาหารกลางวันที่บ้านได้อย่างสบาย ซึ่งผิดกับโรงเรียนในเมืองไทยราวฟ้าและดินที่โรงเรียนห่างบ้านและมีระดับสำรับคนรวยคนจน แต่ที่แย่ก็คือคนจนและคนด้อยโอกาสมักไม่ได้เรียนกัน ดูเหมือนความต่างกันของโรงเรียนในเมืองไทยกับเวียดนามในยุคปฏิรูปการศึกษาตั้งแต่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์มาจนถึงรัฐบาลพรรคไทยรักไทยก็คือ โรงเรียนของไทยอยู่ในเขตการศึกษาอันเป็นเขตการบริหารที่แลเห็นแต่ระบบการจัดการต่างๆ ในเรื่องตำแหน่งงานของผู้บริหาร ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และอุปกรณ์การศึกษาจนแลไม่เห็นเด็กนักเรียนกับวัฒนธรรมท้องถิ่น โรงเรียนในเวียดนามคือศูนย์กลางของท้องถิ่น เป็นสิ่งที่อยู่ในพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่สัมพันธ์กับกระบวนการอบรมทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น นับเป็นสถานที่สร้างสำนึกท้องถิ่นและกระตุ้นให้เด็กได้เรียนรู้ในวิชาการต่าง ๆ ทั้งในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับศักยภาพทางสังคมและเศรษฐกิจของท้องถิ่นโดยแท้ โรงเรียนในเวียดนามคือสถานที่เพื่อเตรียมคนในด้านความรู้เพื่อขานรับกับการรุกล้ำของนิเวศเศรษฐกิจการเมืองที่มาจากโลกาภิวัตน์ โรงเรียนคือสิ่งที่ทำให้เด็กในท้องถิ่นเรียนรู้นิเวศวัฒนธรรมและนิเวศเศรษฐกิจการเมืองเพื่อการปรับให้มีความสัมพันธ์กันอย่างมีดุลยภาพ โรงเรียนคือหัวใจของกระบวนการท้องถิ่นวัฒนา (localization) ซึ่งเป็นกระบวนการปฏิรูปการศึกษาที่เมืองไทยไม่เคยคิดที่จะให้ดี จากการที่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมดังกล่าวมานี้ ข้าพเจ้าก็มาถึงบางอ้อว่า การพัฒนาของเวียดนามนั้นแท้จริงคือสิ่งที่อยู่ในกรอบความคิดของคนตะวันออกที่มีมาแต่เดิม คือการเน้นให้ผู้คนอยู่ติดที่ ให้อยู่กันอย่างยั่งยืนมีรากเหง้าเป็นกลุ่มเป็นแหล่ง มีความเป็นอันหนึ่งเดียวกันในวัฒนธรรมจารีตและประเพณี ซึ่งต่างกันกับคนตะวันตกที่เน้นอุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี สนับสนุนให้คนโยกย้ายถิ่นไปตามที่ต่าง ๆ จนไม่มีโอกาสและเวลาที่จะอยู่ติดที่ร่วมกันจนเป็นชุมชนขึ้นมา มีแต่สร้างให้คนเป็นปัจเจกที่อาจมีบ้านพักทันสมัยโอ่อ่ามีความสะดวกสบาย แต่ต่างคนต่างอยู่ ต่างซุกหัวนอนไปวัน ๆ ดังเห็นได้จากการเกิดบ้านจัดสรร ทาวน์เฮ้าส์และคอนโดมิเนียมทั่วทุกระแหงในเมืองไทยขณะนี้ พลันข้าพเจ้านึกถึง คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิเล็ก–ประไพ วิริยะพันธุ์ขึ้น ครั้งเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่และออกเดินทางตระเวนไปตามท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย เพื่อศึกษารวบรวมข้อมูลมาสร้างเมืองโบราณ ท่านสังเกตว่ามีการเคลื่อนย้ายของผู้คนจากจังหวัดและท้องถิ่นหนึ่งไปท้องถิ่นหนึ่งเพื่อการทำงานตามสถานที่ประกอบการทางอุตสาหกรรมและการบริการอยู่ตลอดเวลา จึงบอกกับข้าพเจ้าว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีจะเกิดความยุ่งยากขึ้น การตรึงคนให้อยู่กับที่ซึ่งทำให้ท่านคิดอะไรที่ออกนอกไปจากการสร้างเมืองโบราณในขณะนั้นว่า อยากจะก่อตั้งโรงเรียนช่างสิบหมู่ขึ้นตามท้องถิ่นต่าง ๆ เพื่อให้คนในท้องถิ่นได้ฟื้นความรู้ที่เป็นภูมิปัญญาที่ถ่ายทอดกันมาช้านาน ในด้านปัจจัยสี่และสิ่งที่เป็นศิลปวัฒนธรรมมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นตามกาลเทศะและฤดูกาลขึ้นก็จะทำให้เกิดรายได้จากส่งที่เป็นอัตลักษณ์ของท้องถิ่น และเกิดพลังและความภูมิใจในถิ่นกำเนิดหรือมาตุภูมิของตนขึ้น ความคิดของท่านแม้ไม่อาจทำให้เป็นรูปธรรมได้ในขณะนั้น แต่ก็เป็นสิ่งสืบเนื่องมาเป็นงานอย่างหนึ่งของมูลนิธิฯ ในการออกไปช่วยจัดการในเรื่องความรู้เพื่อให้ท้องถิ่นจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นขึ้นมา รวบรวมหลักฐานข้อมูลทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาเพื่อถ่ายทอดให้เกิดสติปัญญา และสำนึกท้องถิ่นของชาวบ้านในท้องถิ่นต่าง ๆ ของประเทศ การได้มีโอกาสไปเวียดนามครั้งนี้ของข้าพเจ้าทำให้แลเห็นอย่างสว่างในความคิดของคุณเล็ก และแลเห็นการพัฒนาท้องถิ่นที่ผิดทิศทางอย่างแท้จริงในเมืองไทย ตราบใดที่คนไทย สังคมไทยยังเต็มไปด้วยการโยกย้ายถิ่นฐานไปทำมาหากินตามถิ่นต่าง ๆ อย่างไม่มีหัวนอนปลายตีนกันอยู่เช่นนี้ การลงหลักปักหลักที่เป็นปึกแผ่นทางสังคมและวัฒนธรรมไม่มีทางเกิดขึ้นได้ เพราะการพัฒนาความเป็นกลุ่มหรือชุมชนที่มีโครงสร้างสังคมจากระดับครอบครัว เครือญาติ ชุมชนและท้องถิ่นที่มีสำนึกร่วมกันทางชีวิตวัฒนธรรมนั้น ต้องใช้เวลาของการอยู่ในพื้นที่ร่วมกันไม่ต่ำกว่า ๒–๓ ชั่วคน สิ่งที่เป็นอยู่ในขณะนี้ดูเป็นเรื่องเปิดโอกาสให้ปัจเจกบุคคลที่เป็นนายทุนหรือผู้ที่ฉวยโอกาสทั้งหลายจากภายนอกเข้าไปตั้งถิ่นฐานแย่งทรัพยากร ตั้งตัวเป็นเจ้าพ่อเอาเปรียบชาวบ้านชาวเมืองในรูปแบบที่อ้างว่าทำเพื่อชุมชนหรือทำเพื่อคนส่วนรวมในระดับชาติอยู่ตลอดเวลา ข้าพเจ้าคิดว่าเวียดนามเดินทางมาถูกทาง และการพัฒนาทางสังคมวัฒนธรรมอยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้ ในขณะที่ของไทยผิดทั้งทิศทางและหลงทางจนไม่อาจแก้ไขอะไรได้ในขณะนี้ นอกจากโรงเรียนแล้ว โครงสร้างทางกายภาพที่โดดเด่นในสังคมเมืองอีกอย่างหนึ่งของเวียดนามที่นับว่าเป็นการดำเนินการของรัฐก็คือ อนุสาวรีย์ที่ฝังศพวีรชนในสงครามกับอเมริกัน ทุกอำเภอและจังหวัดจะมีอนุสาวรีย์และแหล่งฝังศพดังกล่าวนี้ดูเด่นเป็นสง่ามองเห็นแต่ไกล เหนือหลุมศพมีรายชื่อของวีรชนที่เสียชีวิตไว้อย่างชัดเจน อนุสาวรีย์นี้มีความสัมพันธ์กับโรงเรียนเป็นอย่างมาก เพราะดูเหมือนจะมีการกำหนดให้โรงเรียนและเด็กนักเรียนมาทำความสะอาดและขัดชื่อจารึกของวีรชนอยู่เป็นประจำ ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงคำพูดของประธานาธิบดีโฮจิมินห์ที่กล่าวต่อโลกในการทำสงครามกับมหาอำนาจอเมริกันว่า เวียดนามเป็นหนึ่งเดียวจะแบ่งแยกจากกันมิได้ แต่ความเป็นหนึ่งเดียวของท่านโฮจิมินห์นั้น คือการทำให้ผู้คนหลายชาติพันธุ์หลายศาสนาที่มีความแตกต่างกันตามท้องถิ่นต่าง ๆ ตั้งแต่เหนือจดใต้ มีสำนึกในการอยู่แผ่นดินเวียดนามเดียวกัน โดยแต่ละคนมีหน้าที่ร่วมรบเพื่อปกป้องแผ่นดินร่วมกันอย่างเสมอภาค บรรดาวีรชนที่มีชื่อปรากฏบนแผ่นดินเหนือหลุมศพแหล่งนั้น ล้วนเป็นคนในท้องถิ่นที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และศาสนาทั้งสิ้น เวียดนามแลเห็นเอกลักษณ์ท่ามกลางความหลากหลายในโครงสร้างสังคมที่เท่าเทียมและเสมอภาค ในขณะที่สังคมไทยและรัฐไทยเพ้อเจ้อและคุกคามให้ผู้คนที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และศาสนากลายเป็นคนไทยแบบเชื้อชาติเดียวกัน เหตุการณ์ในภาคใต้คือปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นในความคิดแบบนี้ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- นิเวศวัฒนธรรมในหุบปัตตานีและหุบสายบุรี
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2549 ข้าพเจ้ามีความเห็นว่าพื้นที่บริเวณสามจังหวัดภาคใต้มีลักษณะพิเศษในเรื่องสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างไปจากบรรดาพื้นที่ในจังหวัดอื่น ๆ ที่อยู่ทางฝั่งทะเลตะวันออกด้วยกัน เช่น จังหวัดนครศรีธรรมราชและสงขลา คือเป็นพื้นที่บนคาบสมุทรมลายูที่ถูกกำหนดโดย เทือกเขาสันกาลาคีรี เพราะบริเวณนครศรีธรรมราชและสงขลานั้นถูกกำหนดโดย เทือกเขานครศรีธรรมราชกับเทือกเขาบรรทัด ซึ่งเป็นทิวเขายาวเหยียดตรงขนานไปกับชายฝั่งทะเลตั้งแต่อำเภอสิชลลงมาจนถึงจังหวัดพัทลุงและจังหวัดสงขลา ทำให้เกิดพื้นที่ราบชายฝั่งทะเลเป็นแนวยาว มีลำน้ำสายสั้น ๆ ไหลลงจากเทือกเขามาออกทะเลทางด้านตะวันออก ไม่มีทิวเขาและที่สูงขั้นระหว่างลำน้ำสายต่าง ๆ ที่ไหลลงทะเล และโดยการกระทำของคลื่นลมที่ซัดเข้าฝั่งทะเล ทำให้เกิดเป็นแนวสันทรายยาวขนานไปกับชายฝั่งทะเลหลายแนว แผนที่แสดงสภาพภูมิศาสตร์ในเขตภาคใต้ตอนล่าง แต่ทำนองตรงข้าม พื้นที่ในเขตเทือกเขาสันกาลาคีรีถูกกำหนดโดยเทือกเขาที่คดเคี้ยวจากเหนือลงใต้ และมีแขนงเขาแยกลงมาทางด้านตะวันออกเป็น ๘ ทิวด้วยกัน โดยพื้นที่ระหว่างเขามีลำน้ำไหลผ่ากลางจากทิศตะวันตกไปออกชายฝั่งทะเลทางตะวันออก ได้แก่ ลำคลองนาทับ ลำน้ำเทพา แม่น้ำปัตตานี แม่น้ำสายบุรี และแม่น้ำบางนรา พื้นที่ระหว่างเขาที่มีแม่น้ำทั้งห้าสายนี้ไหลผ่าน ล้วนเป็นพื้นที่ในหุบเขาที่กว้างมีทั้งที่ราบที่สามารถทำนาและทำสวนได้ แต่หุบเขาใหญ่ที่สัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานเป็นบ้านเมืองสำคัญนั้น ได้แก่ หุบเขาทางลุ่มน้ำปัตตานีและลุ่มน้ำสายบุรี ที่หุบปัตตานี แม่น้ำปัตตานีมีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาทางตะวันออกที่กั้นแดนประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย ผ่านเขตอำเภอเบตงลงมาสู่บริเวณที่ต่ำกว่าซึ่งกลายเป็นเขื่อนบางลาง ไหลผ่านจากที่ลาดลงสู่บริเวณบ้านหน้าถ้ำที่มีเขาหินปูนขนาบอยู่ทั้งสองฝั่งแม่น้ำ นับเป็นการสิ้นสุดของพื้นที่ราบระหว่างเขาเข้าสู่พื้นที่ราบกว้างใหญ่ที่เริ่มแต่เขตจังหวัดยะลาไปยังจังหวัดปัตตานี ลุ่มน้ำปัตตานีถูกแยกออกมาจากลุ่มน้ำสายบุรี โดยทิวเขาทางด้านตะวันออกที่ผ่านเขตอำเภอบันนังสตามายังอำเภอเมืองยะลาแล้วลดระดับความสูงเป็นกลุ่มเขาขนาดเล็กอันทำให้เกิดช่องทางคมนาคมจากลุ่มน้ำปัตตานีไปยังเขตอำเภอรามันในลุ่มน้ำสายบุรี ต่อจากนั้นก็ยกระดับขึ้นสูงตั้งแต่เขตอำเภอทุ่งยางแดงผ่านอำเภอมายอไปจนจรดชายทะเลที่อำเภอปะนาเระ ทิวเขานี้ทำให้เกิดลุ่มน้ำสายบุรีขึ้น เพราะถูกขนาบด้วยเทือกเขาบูโดทางด้านตะวันออกที่เริ่มจากเขตอำเภอสุคิริน ผ่านอำเภอจะแนะ อำเภอรือเสาะ อำเภอบาเจาะ ไปจนถึงอำเภอกะพ้อ ทางด้านตะวันออกของเขาบูโดก็คือ ที่ราบลุ่มต่ำไปจนจรดชายทะเล เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีพรุขนาดใหญ่เกือบครึ่งหนึ่งของพื้นที่ราบทั้งหมด และเป็นต้นกำเนิดของลำน้ำบางนรา ทั้งหมดอยู่ในพื้นที่ของอำเภอสุไหงโกลก อำเภอยี่งอ อำเภอเมือง อำเภอตากใบ และอำเภอไม้แก่น จังหวัดนราธิวาส ลุ่มน้ำสายบุรีในหุบสายบุรี เป็นหุบที่มีที่ราบริมฝั่งแม่น้ำยาวไกลกว่าหุบปัตตานี โดยเริ่มแต่อำเภอสุคิรินมายังอำเภอศรีสาคร ซึ่งมีพื้นที่ราบกว้างเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ได้ และตั้งแต่เขตอำเภอศรีสาครเป็นต้นมา ก็ยังมีลำน้ำสายเล็ก ๆ ไหลลงมาจากทิวเขาที่ขนาบทั้งทางด้านตะวันตกและตะวันออกไหลลงมาสมทบ โดยเฉพาะเขตอำเภอรือเสาะ จำนวนธารน้ำที่ไหลลงมาจากเขาทั้งสองข้างเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดหุบเขาเล็ก ๆ ที่ผู้คนเข้าไปตั้งถิ่นฐานได้ ความต่างกันของหุบเขาปัตตานีกับหุบสายบุรีก็คือ แม้จะมีลำน้ำยาวขนาดใหญ่พอกันก็ตาม แต่ลำน้ำปัตตานีไหลจากบริเวณต้นน้ำทางใต้ผ่านซอกเขาที่ไม่มีพื้นที่ราบมาจนถึงเขตอำเภอบันนังสตา ซึ่งทำให้ทางราชการใช้ประโยชน์ในการสร้างเขื่อนบางลางขึ้น กว่าจะมีที่ราบพอตั้งถิ่นฐานชุมชนและที่ทำกินของผู้คนได้ก็ต้องผ่านมายังเขตอำเภอเมืองยะลา ในเขตบ้านหน้าถ้ำ ซึ่งนับเป็นเขตปากหุบปัตตานี จาก บ้านหน้าถ้ำ ลำน้ำปัตตานีจึงไหลลงพื้นที่ที่เป็นแอ่งใหญ่ มีลำน้ำหลายสายทั้งจากซอกเขาและหุบเขาใกล้ ๆ ไหลมาสมทบเป็นแอ่งกว้างใหญ่ที่ทำให้เกิดบ้านเมืองในเขตอำเภอเมืองยะลา อำเภอโคกโพธิ์ อำเภอยะรัง อำเภอหนองจิก อำเภอยะหริ่ง และอำเภอเมืองปัตตานี ในทำนองตรงข้าม หุบสายบุรีกลับมีพื้นที่ราบตามลำแม่น้ำยาวลึกกว่าหุบปัตตานี แต่ต้นน้ำในเขตอำเภอสุคิรินลงมาก็มีพื้นที่ตั้งถิ่นฐานทำกินได้ พอถึงเขตอำเภอศรีสาครก็กลายเป็นพื้นที่ราบกว้างใหญ่ มีลำน้ำสาขาเล็ก ๆ ไหลลงมาจนสมทบกับลำน้ำสายบุรี ทำให้ลำน้ำใหญ่ขึ้นจนมีการเดินทางโดยทางเรือขนส่งและแลกเปลี่ยนสินค้าเข้ามาถึง แม่น้ำสายบุรีในหุบสายบุรี เมื่อเข้าเขตอำเภอรือเสาะ พื้นที่ราบจะมีลำน้ำเล็ก ๆ จากหุบเล็กและแอ่งเล็ก ๆ ไหลลงมาสมทบทำให้เกิดบริเวณที่ลุ่มน้ำขังที่เรียกว่า พรุ มากมาย แต่ละพรุก็คือ พื้นที่แก้มลิงที่กักน้ำและระบายน้ำตามธรรมชาติเข้าสู่ลำน้ำสายบุรี พรุที่สำคัญก็คือ พรุลานควายในเขตอำเภอรามัน ที่ทำให้ลำน้ำสายบุรีกว้างใหญ่ก่อนไหลไปออกทะเลที่อ่าวสายบุรี แต่ทว่าหุบสายบุรีแม้จะยาวลึกเป็นที่ผู้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานได้ก็ตาม แต่ก็ไม่มีบริเวณที่เป็นแอ่งใหญ่ติดกับทะเล เช่น หุบปัตตานี งานวิจัยการศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมในเขตสามจังหวัดภาคใต้ที่มูลนิธิเล็ก - ประไพ วิริยะพันธุ์ เข้าไปเกี่ยวข้อง ได้เลือกพื้นที่ในการศึกษาที่อยู่ภายในของทั้งหุบปัตตานีและหุบสายบุรีเป็นสำคัญ เพราะการศึกษาในพื้นที่ราบชายทะเลได้ทำการศึกษาไปแล้ว ในหุบปัตตานีได้เลือกชุมชนหมู่บ้าน [Village] ในเขต บ้านหน้าถ้ำและบริเวณใกล้เคียง เป็นแหล่งทำการศึกษารวบรวมข้อมูล พื้นที่บริเวณอยู่ในเขตรอยต่อระหว่างที่ราบในหุบเขาตามลำน้ำปัตตานีกับที่ราบของแอ่งปัตตานี อันเป็นที่ราบลุ่มกว้างใหญ่ไปจนถึงชายฝั่งทะเล ในขณะที่ทางหุบสายบุรีนั้น เริ่มตั้งแต่บริเวณต้นน้ำในเขตอำเภอสุคิริน ริมสองฝั่งลำน้ำสายบุรี จะมีพื้นที่ราบพอแก่การเพาะปลูกและตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนของผู้คน จากเขตอำเภอสุคิริน พื้นที่ราบริมฝั่งน้ำก็ขยายใหญ่จนเป็นทุ่งราบในเขตอำเภอศรีสาครอีกทั้งมีธารน้ำสายเล็ก ๆ จากทิวเขาทั้งทางด้านตะวันตกและตะวันออกมาสมทบด้วย เลยทำให้มีความสมบูรณ์ในเรื่องน้ำท่า อีกทั้งทำให้ลำน้ำสายบุรีกว้างขึ้นกลายเป็นท้องถิ่นที่มีหลายชุมชนเกิดขึ้น รวมทั้งเป็นบริเวณที่เรือค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าจากทางฝั่งทะเลที่ปากแม่น้ำสายบุรีเดินทางเข้ามาถึง ณ บริเวณภายในนี้ ทางโครงการวิจัยได้เลือกชุมชน บ้านซากอและบ้านกาเยาะมาตี เป็นตัวแทนในการศึกษาการเก็บข้อมูล ทำให้เห็นความสำคัญของท้องถิ่นนี้ในลักษณะที่เป็นศูนย์กลางการคมนาคมของบริเวณภายในของหุบสายบุรี เพราะนอกจากเป็นบริเวณที่เป็นท่าเรือจอดของเรือสินค้าจากปากน้ำสายบุรีเข้ามาถึง และนำสินค้าของกินจากทางชายทะเลเข้ามาแลกเปลี่ยนกับสินค้าเกษตรและของป่ากับกลุ่มคนที่อยู่ภายในแล้ว ยังเป็นที่ซึ่งคนที่อยู่ในหุบเล็กและที่สูงในเขตอำเภอสุคิรินที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น คนซาไกเดินทางโดยช้างและล่องแพมาติดต่อ แต่ที่สำคัญ พื้นที่ซึ่งเป็นทุ่งราบของอำเภอศรีสาครนั้น เป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงช้าง สัตว์ และโคกระบือได้ดี จึงทำให้กลายเป็นที่ตั้งของชุมชนหลาย ๆ ชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียงกัน เมื่อเดินทางตามลำน้ำสายบุรี ผ่านเขตอำเภอศรีสาครขึ้นไปก็จะถึงเขตอำเภอรือเสาะ อันเป็นบริเวณที่มีชุมชนตั้งอยู่ทั้งสองฝั่งแม่น้ำ มีเส้นทางผ่านช่องเขาบูโดไปยังอำเภอระแงะทางทิศตะวันออกไปลงแม่น้ำสายบุรีทางตะวันตก มีชุมชนหลายชุมชนตามหุบเขาเหล่านี้ ชุมชนที่เลือกขึ้นมาเป็นตัวแทนในการศึกษาครั้งนี้ คือ ชุมชนบ้านตะโหนด เหนืออำเภอรือเสาะขึ้นไปตามลำน้ำสายบุรีไปยังเขตอำเภอรามัน ภูมิประเทศสองฝั่งแม่น้ำเป็นที่ต่ำลงมีที่ลุ่มต่ำเป็นพรใหญ่น้อยไปจนถึงพรุลานควายที่เป็นพรุขนาดใหญ่ อันมีลักษณะเป็นแก้มลิงที่รับน้ำจากลำน้ำลำห้วยต่าง ๆ ที่ไหลลงจากที่สูงจากเทือกเขาทางด้านตะวันตกและตะวันออก โดยเฉพาะที่มาจากเขตอำเภอรามัน จึงทำให้มีน้ำไหลจากพรุลงสู่ลำน้ำสายบุรีทำให้เกิดเป็นลำน้ำใหญ่ไหลลงสู่ที่ราบลุ่มไปออกปากน้ำที่อำเภอสายบุรี ชุมชนที่เลือกทำการศึกษาในลุ่มน้ำสายบุรีในเขตอำเภอรามันนี้ ได้แก่ บ้านเกะรอ ที่ตั้งอยู่ใกล้กับพรุ ผู้คนในพื้นที่นี้ดังกล่าวได้ใช้พื้นที่ราบของพระปลูกข้าวเป็นนาพรุเพื่อเป็นอาหารหลักแต่โบราณมา จากการเลือกชุมชนศึกษาในบริเวณภายในของทั้งหุบปัตตานีและหุบสายบุรีตามที่กล่าวมาในทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่นและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมในขั้นแรกนี้ ได้ทำให้เห็นการตั้งถิ่นฐานของบ้านเมืองของผู้คนที่แตกต่างและเหมือนกัน ดังต่อไปนี้ ใน หุบปัตตานี นั้น แม้ว่าแม่น้ำปัตตานีจะเป็นลำน้ำใหญ่และยาวกว่าลำน้ำสายบุรีก็ตาม แต่การตั้งถิ่นฐานนั้นไม่เข้าไปลึกเท่ากับหุบสายบุรี เพราะตังแต่เขตอำเภอบันนังสตาไป พื้นที่สองฝั่งน้ำเป็นซอกเขาที่ไม่มีพื้นที่ราบพอแก่การตั้งถิ่นฐานของชุมชนการเกษตรได้ดี เป็นเรื่องของบริเวณที่สูงที่เป็นป่าเป็นเขาที่เหมาะกับผู้คนที่ทำไร่และเก็บของป่า เช่น พวกซาไก เป็นต้น ชุมชนสำคัญจึงไปเกิดที่เขตอำเภอยะหาและทางบ้านหน้าถ้ำแทน เพราะเป็นบริเวณที่นอกจากมีที่ราบใกล้ลำน้ำลำห้วยที่ทำการเพาะปลูกได้ดีแล้ว ยังเป็นชุมชนทางการคมนาคมทั้งทางบกและทางน้ำด้วย ทางบกก็คือเป็นชุมทางของการเดินทางข้ามคาบสมุทรจากต้นน้ำปัตตานีและเขตอำเภอเบตงลงมาพบกับเส้นทางเดินทางที่มาจากเขตอำเภอสงขลา ผ่านอำเภอโคกโพธิ์มายังอำเภอยะหา ในขณะที่ทางน้ำนั้น บริเวณนี้เป็นท่าเรือติดต่อไปออกทะเลที่เมืองปัตตานี โดยเหตุนี้จึงทำให้เกิดเป็นเมืองขึ้นภายในหุบปัตตานีขึ้นจนกลายเป็นเมืองยะลาในปัจจุบัน ซึ่งเท่ากับว่า เมืองปัตตานีคือ เมืองท่าชายทะเล ในขณะที่เมืองยะลาคือเมืองภายใน การเติบโตของชุมชนเป็นบ้านเป็นเมือง เริ่มแต่ บ้านยาลอ ในเขตอำเภอยะหา มายังเขต บ้านหน้าถ้ำ ก่อนที่จะเปลี่ยนตำแหน่งไปยังตัวจังหวัดยะลาในปัจจุบัน ในเขตบ้านหน้าถ้ำนั้นขนาบด้วยภูเขาหินปูนที่มีทั้งเขาหินอ่อนและถ้ำที่เป็นศาสนสถานมาแต่โบราณสมัยศรีวิชัย เพราะพบภาพเขียนสี พระพิมพ์ รวมทั้งการใช้เป็นศาสนสถานสืบเนื่องมาจนปัจจุบัน มีผู้คนทั้งคนมุสลิม คนจีน และคนไทยพุทธเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ด้วยกันอย่างสงบ ในบางพื้นที่ซึ่งคนมุสลิมเข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่ก่อน แต่พบว่าเป็นบริเวณที่มีโบราณสถานวัตถุทางพุทธศาสนาก็เลยมีการแลกที่กับกลุ่มคนซึ่งเป็นชาวพุทธ ส่วนคนจีนเข้ามาตั้งถิ่นฐานเพราะเป็นแหล่งที่เรือจากทะเลและปัตตานีมาจอดแลกเปลี่ยนสินค้ากับคนภายในที่มาจากทางโคกโพธิ์ บันนังสตา และอำเภอรามันในหุบสายบุรี จึงพบว่าชุมชนหมู่บ้านบางแห่งมีชื่อที่เกี่ยวข้องกับคนจีน ผู้คนที่เป็นชาวบ้านชาวเมืองในท้องถิ่นบ้านหน้าถ้ำไม่ว่าจะเป็นคนไทยพุทธ คนจีน และคนมุสลิมเคยมีความสัมพันธ์ต่อกันทางสังคมและเศรษฐกิจเป็นอย่างดี อย่างเช่น คนมุสลิมก็ร่วมงานประเพณีของคนพุทธ แม้ว่าจะไม่เข้าร่วมในพิธีกรรมทางศาสนาก็ตาม และคนทั้งสามกลุ่มคือ คนพุทธ คนมุสลิม และคนจีน เชื่อถือในโชคลางและข้อห้ามในระบบความเชื่อของท้องถิ่นที่เกี่ยวกับพิธีกรรมเกี่ยวกับชีวิต ความอุดมสมบูรณ์ และการรักษาพยาบาลร่วมกัน ในงานรื่นเริงในเวลามีพิธีกรรม เช่น การมีหนังตะลุง มะโย่ง และดีเกฮูลู ทั้งคนพุทธ คนมุสลิม และคนจีนก็มาดูการแสดงร่วมกัน เป็นต้น ส่วนในหุบสายบุรีนั้น มีความลึกของการตั้งถิ่นฐานตามลำน้ำสายบุรีไปจนเกือบถึงบริเวณต้นน้ำในเขตอำเภอสุคิรินที่ไกลกว่าหุบปัตตานี แต่ชุมชนที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มีอายุน้อยกว่าชุมชนในหุบปัตตานีมักเป็นชุมชนของคนมุสลิมที่ผู้คนจำนวนหนึ่งเคลื่อนย้ายมาจากเมืองโกตาบารู ในรัฐ กลันตันของมาเลเซีย คนพุทธทั่วไปตั้งถิ่นฐานน้อย ซึ่งแลเห็นได้จากการมีวัดทางพุทธศาสนาไม่กี่แห่ง อีกทั้งชุมชนใหญ่ ๆ จะเกิดขึ้นก็เฉพาะบริเวณที่เป็นชุมทางคมนาคมตั้งแต่เขตอำเภอศรีสาครลงมา เพราะมีท่าเรือที่ติดต่อมาออกทะเลที่อำเภอสายบุรีได้ ชุมชนในหุบสายบุรีนี้จะเกาะกลุ่มกันเป็นท้องถิ่น ๆ ไป เช่น บ้านซากอ และบ้านกาเยาะมาตี ในเขตอำเภอศรีสาครก็นับเนื่องเป็นกลุ่มที่อยู่ในนิเวศวัฒนธรรมหนึ่ง กับกลุ่มบ้านตะโหนดในหุบเขาทางตะวันออกเฉียงเหนือของอำเภอรือเสาะก็นับเนื่องเป็นอีกนิเวศวัฒนธรรมที่ต่างกันออกไป ในขณะที่บ้านเกะรอก็อยู่ในกลุ่มนิเวศวัฒนธรรมที่มีการทำนาพรุร่วมกัน บรรดาชุมชนในแต่ละนิเวศวัฒนธรรมเหล่านี้ ต่างอยู่แยกจากกัน จนเกิดเป็นความแตกต่างกันระหว่างท้องถิ่นขึ้น สิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างกัน เกิดจากการติดต่อกันทางสังคมและเศรษฐกิจน้อย ในขณะที่แต่ละท้องถิ่นมีความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนกระชับแน่น อันเนื่องจาก การแต่งงานกันเองจากภายใน [Village Endogamy] ประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่ง อาชีพหลักในการทำมาหากิน ได้แก่ การทำสวนดูซงและสวนยางนั้น เป็นสวนแบบสมรมที่ไม่เพียงแต่ปลูกพืชเศรษฐกิจเท่านั้น หากยังรวมไปถึงบรรดาต้นไม้และพืชพันธุ์ต่างๆ ที่เป็นทั้งวัสดุในการก่อสร้าง อาหารการกิน และยารักษาโรคด้วย รวมทั้งกิจกรรมทางสังคมและเศรษฐกิจร่วมกันอีกหลายอย่างที่ทำให้ท้องถิ่นมีลักษณะ อยู่ได้อย่างเพียงพอ [Self Contain] โดยไม่ต้องพึ่งพาภายนอกเท่าใด ผู้คนแต่ละชุมชนในท้องถิ่น ล้วนมีส่วนสำนึกร่วมกันสูง อีกทั้งมีศักยภาพในการจัดกลุ่มและองค์กรในเรื่องการศึกษาเศรษฐกิจและสังคมร่วมกันอย่างมั่นคง ผู้คนในหุบปัตตานีกับหุบสายบุรี แม้จะอยู่ในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ด้วยกันก็ตาม แต่ก็มีความแตกต่างทางวัฒนธรรมในระดับท้องถิ่นอย่างเห็นได้ชัด ในหุบปัตตานีมีพัฒนาการทางสังคมเป็นบ้านเป็นเมืองมาช้านาน จึงมีผู้คนหลายชาติพันธุ์ ทั้งคนมุสลิม คนไทยพุทธ และคนจีนสังสรรค์และอยู่ร่วมกันมาเป็นเวลานาน รับการเปลี่ยนแปลงจากภายนอกได้เร็วและง่ายกว่า ในขณะที่ทางหุบสายบุรี การตั้งถิ่นฐานของผู้คนเป็นชุมชนบ้านเมืองเกิดขึ้นไม่นานเท่าใด ผู้คนที่เกิดขึ้นเคลื่อนย้ายมาจากเมืองโกตาบารูในรัฐกลันตันของมาเลเซีย และผู้คนที่อยู่ในหุบ เช่น พวกซาไกและผู้ทำไร่หาของป่า เป็นต้น ผู้คนเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับผู้คนที่อยู่ในเขตอำเภอต่าง ๆ ของจังหวัดนราธิวาสที่ต่อไปยังเขตมาเลเซียมากกว่าทางจังหวัดปัตตานี การอยู่ในเขตภายในหุบเขาที่มีการติดต่อกับภายนอกในเขตชายทะเลน้อย ทำให้มีคนจีนและคนไทยพุทธไปเกี่ยวข้องด้วยน้อยมาก ดังนั้น เมื่อนำมาเปรียบเทียบระหว่างกันแล้ว ก็จะเห็นได้ว่า ผู้คนในหุบปัตตานียังเปิดโอกาสให้มีการติดต่อเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนภายนอกได้ดีกว่าคนในหุบสายบุรีที่มีลักษณะเป็นสังคมปิด แต่ท่ามกลางความแตกต่างระหว่างผู้คนในสองหุบเขาก็มีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกันในหมู่คนมุสลิมในเรื่องของความเชื่อ วิถีชีวิต และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม นั่นคือ ศาสนา โดยเฉพาะคำสอนของพระเจ้ายังคงเป็นส่วนสำคัญในการดำรงชีวิตคนมุสลิมยังคงยึดมั่นในพิธีละหมาด ผู้ที่เคร่งครัดจะต้องทำกันวันละ ๕ ครั้ง และเชื่อว่าสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกเป็นของพระเจ้า ความเชื่อและพิธีกรรมดังกล่าวนี้ คือพื้นฐานสำคัญที่ทำให้คนมุสลิมมองมนุษย์ทุกคนเสมอภาคกันหมด ไม่ว่าคนไทยพุทธและคนจีน ถัดลงมาจากพระเจ้าก็คือ ผู้นำทางคุณธรรม เช่น โต๊ะครูและโต๊ะอิหม่าม โดยเฉพาะโต๊ะครูนั้นดูเหมือนเป็นผู้นำทั้งทางโลกและทางธรรม เพราะเป็นคนปกครองโรงเรียนปอเนาะที่เป็นสถาบันการศึกษาที่สำคัญของสังคม โต๊ะครูคือบุคคลที่มักได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์ที่คนนำเอาคำพูดคำสอนไปปฏิบัติ แต่ก่อนคนศักดิ์สิทธิ์แบบนี้คลุมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสหรือผู้รู้ที่รู้ในเรื่องเวทมนต์คาถาที่สามารถปัดเป่าความชั่วร้ายและให้การรักษาพยาบาลในเรื่องโรคภัยไข้เจ็บด้วย คนศักดิ์สิทธิ์ประเภทนี้ไม่จำกัดอยู่แต่เฉพาะคนมุสลิมเท่านั้น หากยังเป็นคนที่คนพุทธและคนจีนเคารพนับถือด้วย ในเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรม ผู้คนในสองหุบเขาก็มีอะไรที่คล้ายคลึงกัน ผลกระทบทางเศรษฐกิจและความเจริญทางวัตถุทำให้คนมุสลิมที่เคยมีภรรยาหลายคน เปลี่ยนมาเน้นการมีภรรยาคนเดียว ลูกผู้หญิงส่วนใหญ่มีการศึกษาดีกว่าลูกผู้ชาย รวมทั้งการจัดประเพณีพิธีกรรมเกี่ยวกับชีวิตก็ลดความใหญ่โตและการสิ้นเปลืองลง แต่ที่สำคัญคนส่วนใหญ่เลิกประกอบอาชีพพื้นฐานทางเกษตรกรรม เช่น การปลูกข้าวและการทำน้ำตาลโตนด จึงเกิดมีนาร้าง โดยเฉพาะคนทำนาพรุนั้นแทบจะหมดไปแล้วก็มี การทำสวนยาง ทำไร่ และทำสวนผลไม้ แม้ว่ายังดำรงอยู่ แต่ราคาของผลิตผลกลับขึ้น ๆ ลง ๆ เช่น ลองกอง เป็นต้น ชาวบ้านเตรียมต้นกล้าสำหรับดำนา แต่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเห็นจะได้แก่ ช่องว่างระหว่างวัยของคนรุ่นลูกรุ่นหลาน ที่มีการมองโลกแบบใหม่และคิดใหม่ ไม่ยึดมั่นในการประกอบอาชีพและการดำรงชีวิตของคนรุ่นเก่า ไม่ใคร่สนใจกับการเรียนทางศาสนาอย่างแต่เดิม ออกไปทำงานนอกบ้านและมีการสังสรรค์ระหว่างกันตามโรงน้ำชา รวมทั้งการเที่ยวเตร่และสนใจในสิ่งอบายมุขเพิ่มขึ้น นับเป็นความเข้าใจในขั้นพื้นฐานทางประวัติศาสตร์สังคมของท้องถิ่น รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมที่สามารถนำมาตั้งคำถามเพื่อการดำเนินการรวบรวมข้อมูลเชิงลึกทางด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมต่อไป อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- เมืองไทยเป็นสองเมืองหรือ? ปัญหาระหว่างประชาธิปไตยกับธรรมาธิปไตย
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2549 เหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศที่นับวันจะรุนแรงจนถึงอาจควบคุมอะไรไม่ได้ทุกวันนี้ ในความคิดของข้าพเจ้านับเนื่องเป็นวิกฤติทางศีลธรรมของสังคมในระบอบประชาธิปไตยที่ชอบอ้างความชอบธรรมในเรื่อง “ ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ” จนถึง “ ประชาชนกว่า ๑๙ ล้านคนเลือกข้าฯ ขึ้นมาบริหารราชการแผ่นดิน ” หรือที่ดังแว่ว ๆ ในทีวีเมื่อเร็วนี้ว่า “ คน ๑๖ ล้านคนเลือกข้าฯ ” อะไรทำนองนั้น ถ้าพูดให้ทันสมัยหน่อย วาทะเช่นนี้ดูเป็นวาทกรรมที่ผลิตซ้ำแล้วซ้ำเล่าในบรรดาพรรคการเมืองที่ผลัดกันเข้ามาเป็นรัฐบาล เพราะจำได้ว่าเมื่อครั้งคนปากมูนเดินขบวนเรียกร้องรัฐบาลในการสร้างเขื่อนปากมูน ทั้งรัฐบาลและรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลชุดก่อน ๆ พูดออกมาทำนองเดียวกันว่า “ ต้องทำเพื่อคน ๖๐ ล้านคน ” ความชั่วร้ายซึ่งเป็นพื้นฐานวิกฤติทางศีลธรรมที่ดูเหมือนตกผลึกอยู่ในสังคมประชาธิปไตยของประเทศไทยก็คือ การทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นสิ่งที่แก้ไม่ตกในกระบวนการประชาธิปไตยแบบไทย ๆ ทั้งที่มักจะมีผู้นำทางปัญญาของชาติออกมาตำหนิและแนะหนทางแก้ไขอยู่เป็นประจำก็ตาม ข้าพเจ้าจำได้ว่าสมัยที่แล้วเมื่อพรรคประชาธิปัตย์ครองเมืองก็มีผู้เสนอคำว่า “ ธรรมาภิบาล ” ซึ่งเน้นความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ แต่ก็ไม่มีผู้นำทางการเมืองและผู้รับผิดชอบในรัฐบาลนำไปปฏิบัติ จนรัฐบาลที่แล้วสิ้นสุดไปเพราะพ่ายแพ้การเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย พรรคไทยรักไทยเข้ามาครองแผ่นดินแทน ได้ทำอะไรค่อนข้างสว่างไสวอยู่ ๒-๓ ปี ก็กลายเป็นแดนสนธยาที่มาถึงทุกวันนี้ บ้านเมืองอยู่ในสภาพอับแสงและมืดมิดทั้งทางปัญญาและศีลธรรม คนโง่ ๆ อย่างข้าพเจ้านึกอะไรไม่ออกนอกจากคิดได้เป็นอย่างเดียวว่า นี่คือทางตันของระบอบประชาธิปไตย ประชาธิปไตยในทัศนะของคนในวัฒนธรรมตะวันตก เป็นทั้งเครื่องมือและอุดมการณ์ที่ยังความเสมอภาคและเป็นธรรมแก่ประชาราษฎร์ แต่ประชาธิปไตยในเมืองไทยกลับเป็นวิธีการและเทคนิคของคนฉลาดที่คดโกงขาดสำนึกทางศีลธรรม ได้ใช้สร้างตัวเองและพรรคพวกจากสภาวะที่เคยเป็นศูนย์มาเป็นราชามหาเศรษฐีกันอย่างคับบ้านคับเมืองในเวลานี้ กระแสทุนนิยมแบบข้ามชาติได้เปลี่ยนความเป็นมนุษย์ที่เคยเป็นสัตว์สังคมที่มีศีลธรรมของคนไทยที่มีมากว่าพันปีในอดีต ให้กลายเป็นสัตว์เดรัจฉานกินหญ้ากินเนื้อและกินเลือดกันเองไป ทุกวันนี้คนระดับรากหญ้ากลายเป็นคนกินหญ้า คนชั้นกลางกลายเป็นพวกไม่มีหัวนอนปลายตีนและสายตาสั้น ซึ่งก็รวมทั้งคนที่มีปัญญาที่บ้าประชาธิปไตยจนติดกรอบ ทางตันดังกล่าวนี้ทำให้รัฐในปัจจุบันกำลังกลายเป็นทรราช เพราะรัฐกับประชาชนมีช่องว่างจนไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสังคมได้ จึงเกิดปัญหาทางสังคมและวัฒนธรรมที่แก้ไขอะไรไม่ได้ ดังเช่น ปัญหาของผู้คนในสามจังหวัดภาคใต้และที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร ตลอดจนอีกหลายแห่งทั่วประเทศที่กำลังตามมา ปรากฏการณ์ของความขัดแย้งที่รุนแรงในขณะนี้ นักรัฐศาสตร์ นักปกครอง มักพูดว่าเป็นเรื่องของ รัฐล้มละลาย [Failed State] หรือที่ปัญญาชนส่วนใหญ่มองไปในแง่ความล้มเหลวทางจริยธรรม แต่ข้าพเจ้าคิดตามภาษาคนโง่ว่าเป็น การล้มเหลวทางศีลธรรม [Demoralization] อย่างชัดแจ้ง ซึ่งถ้าปล่อยให้เกิดความขัดแย้งที่รุนแรงต่อไป ก็จะนำไปสู่ ความล่มสลายของความเป็นสัตว์มนุษย์ [Dehumanization] ได้ อันเนื่องมาจากทุกวันนี้สำนึกเดรัจฉานกระจายไปทั่วทั้งแผ่นดิน ในช่วงเวลากว่าปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้ามีประสบการณ์ในสังคมภาคใต้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและฝั่งทะเลอันดามันจนทำให้รู้สึกหดหู่ โกรธแค้น และสิ้นหวัง ทางฝั่งอ่าวไทยข้าพเจ้าเรียนรู้หลายอย่างจากการได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการคนหนึ่งในคณะกรรมการสมานฉันท์แห่งชาติ ได้แลเห็นและเข้าใจปัญหาและข้อเท็จจริงที่น่าจะแก้ไขได้จนถึงแก้ไขไม่ได้และควบคุมไม่ได้ในที่สุด เพราะความเป็นรัฐล้มละลายนั่นเองจึงทำให้มีการใช้ความรุนแรงที่ถูกกฎหมายปะทะกับความรุนแรงที่ไม่ถูกกฎหมายจนไม่มีทางสมานฉันท์ได้ รัฐไทยสามารถทำให้คนในโลกมุสลิมและโลกสากลตำหนิและตั้งคำถามในเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยธรรม รวมทั้งการทำให้คนมุสลิมภายในขัดแย้งฆ่ากันเอง ซึ่งก็รวมไปถึงบรรดาคนพุทธ ครู และข้าราชการในท้องถิ่นด้วย แต่กลับสามารถสร้างภาพพจน์ที่อธิบายทางสื่อให้คนส่วนใหญ่ในชาติเห็นว่าคนมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้คือพวกที่ต้องการแบ่งแยกดินแดน ในขณะที่คนทางฝั่งอันดามันที่ด้อยโอกาส ไม่ว่าเป็นชาวบ้านซึ่งเป็นคนไทย คนมุสลิม และชาวเลซึ่งได้รับภัยพิบัติจากคลื่นยักษ์สึนามิจนหมดตัว หมดฐานะแล้ว ยังกลายเป็นคนไร้ปัฐพี เพราะแผ่นดินที่อยู่อาศัยถูกยึดครองและขับไล่โดยพวกนายทุนทั้งในชาติ ข้ามชาติ และนานาชาติ ในทำนองตรงข้าม เมื่อมองผ่านสิ่งต่าง ๆ เข้าไปกลับกลายเป็นดินแดนสวรรค์ของการท่องเที่ยวที่จะทำรายได้อย่างมหาศาลเข้าประเทศ ข้าพเจ้าแลเห็นความขัดแย้งและความเดือดร้อนในทำนองนี้ที่แผ่ขยายไปแทบทุกภูมิภาคของประเทศ แต่ก็ต้องยอมรับด้วยความอัศจรรย์ใจที่ว่า ท่ามกลางการเป็นรัฐที่ล้มเหลวของรัฐบาลนี้ รัฐมีศักยภาพเป็นพิเศษในการครอบงำให้ผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศมีความสุขสันต์ชื่นชมรัฐท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่เป็นนรก แต่ห้วงความรู้สึกมืดมิดและสิ้นหวังทางสังคมที่กล่าวมา เผอิญมีแสงสว่างบางอย่างเกิดขึ้นที่น่าเปลี่ยนทัศนคติจากร้ายกลายเป็นดี เมื่อเกิดมีการเคลื่อนไหวทางสังคมเรียกกันว่า ม็อบสะพานมัฆวาน ที่เกิดขึ้นมาต้านระบอบทักษิณของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ม็อบนี้เป็นม็อบแค่ชื่อเพราะความจริงเป็นการชุมชนเคลื่อนไหวที่มีโครงสร้างแตกต่างไปจากม็อบอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็น ม็อบรถอีแต๋นกับม็อบดอกกุหลาบ ม็อบมัฆวานเริ่มต้นจากการเคลื่อนไหวที่เป็นม็อบตั้งแต่บริเวณสวนลุมพินีจนถึงท้องสนามหลวง เกิดจากแกนนำม็อบเพียงคนเดียว แต่ภายหลังวันที่ ๔ มีนาคมที่แล้วมา ก็เกิดแนวร่วมและความคิดร่วมขึ้นจากกลุ่มคนที่หลากหลายทั้งอาชีพและวัยวุฒิ แต่กลุ่มที่ข้าพเจ้าให้ความสำคัญและเห็นเป็นนิมิตหมายที่มีทางสังคมก็คือ กลุ่มนิสิตนักศึกษาที่ดูเหมือนจะถูกกลบจมปัฐพีไปด้วยการผลิตแบบปริมาณของแทบทุกมหาวิทยาลัยและความต้องการเศษกระดาษที่เป็นปริญญามากกว่าความรู้ มาครั้งนี้เกิดการเคลื่อนไหวอย่างน่าอัศจรรย์ใจจากการรวมกลุ่มของนักศึกษาเช่นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ออกมาแสดงความคิดเห็นและประกาศการรวบรวมรายชื่อประชาชน ๕๐,๐๐๐ คน เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมของนายกรัฐมนตรี ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีก็เพราะ บรรดานักศึกษาผู้มีความคิดเหล่านั้นหาได้มีความคิดเห็นและมุมมองที่เป็นแบบเดียวกันไม่ แต่ต่างคนมาพูดคุยกันเพื่อหาจุดร่วมกันอย่างเป็นสมานฉันท์ [Unity] ในขณะเดียวกัน กลุ่มนักศึกษาดังกล่าวก็หาได้เห็นพ้องกับความคิดและการดำเนินการของแกนนำม็อบที่ท้องสนามหลวงไม่ แต่มีความเห็นตรงกันในการจัดการกับการกระทำของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลที่ไม่ชอบด้วยจริยธรรม หลังจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษาก็เกิดการตื่นตัวกันในหมู่คนมากมายหลายกลุ่ม เรียกว่าทั่วประเทศก็ได้ เป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่มีทางปกปิดหรือปิดบังได้ถึงแม้ว่ารัฐจะควบคุมกลไกต่างๆ ในการสื่อสารได้มากกว่ารัฐบาลในสมัยใด ๆ ก็ตาม ท่ามกลางการเคลื่อนไหวที่มีขึ้นอย่างมากมายเกือบทั่วประเทศนั้น ได้มีจุดร่วมกันเป็นรูปธรรมที่สะพานมัฆวานรังสรรค์บนถนนราชดำเนินนอก ซึ่งเป็นเส้นทางไปสู่รัฐสภาและทำเนียบรัฐบาล พฤติกรรมของม็อบนี้เป็นสันติวิธีที่หลีกเลี่ยงความรุนแรง คนแก่ ๆ อย่างข้าพเจ้าก็สนใจอยากไปดูไปเห็นก็เลยสวมหัวใจความเป็นนักมานุษยวิทยาสมัยหนุ่ม ๆ เข้าไปสังเกตการณ์ทั้งตอนกลางวันและกลางคืน ตอนกลางวันอากาศร้อนดูเหมาะกับคนที่ร่างกายแข็งแรง และมีความคิดความอ่านที่ร้อนแรง จึงมีคนมาชุมนุมน้อยกว่าตอนเย็นและกลางคืน กลุ่มคนตอนกลางวันที่ข้าพเจ้าเห็นนั้น ดูคุ้น ๆ หน้าไปหมดเพราะมีทั้งพวกครูบาอาจารย์ นักศึกษา และปัญญาชนต่าง ๆ ที่เคยพบเห็น ทั้งตามสถาบันการศึกษาและการประชุมสัมมนาตามที่ต่างๆ ของประเทศ เลยเดินทักทายกันไปตั้งแต่เชิงสะพานผ่านฟ้าจนถึงสะพานมัฆวานและหน้าทำเนียบ คนที่มาชุมนุมเหล่านี้จับกันเป็นกลุ่มๆ พุดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ถึงความเป็นไปที่เลวร้ายของบ้านเมือง เป็นการชุมนุมแบบมีโครงสร้างความสัมพันธ์กันหาใช่ม็อบไม่ เพราะแต่ละกลุ่มก็มีความคิดเห็นเป็นตัวเองไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังและทำตามคำแนะนำและความคิดของกลุ่มแกนนำเสมอไป แม้แต่กลุ่มแกนนำเองก็มีความแตกต่างในมุมมองทางความคิด แต่ท่ามกลางสิ่งที่เสมือนกั้นธารน้ำใหญ่น้อยมากมายหลายสาขาจากที่อื่น ๆ ต่างก็มารวมเป็นกระแสเดียวในเรื่องการเรียกร้องให้เกิดสิ่งที่เป็นความถูกต้องทางจริยธรรมในสังคมไทย เพราะฉะนั้น ปัญหาและจุดร่วมกันของการชุมนุมที่เรียกว่าม็อบมัฆวานนี้ก็คือเรื่องจริยธรรมไม่ใช่เรื่องความถูกต้องตามกระบวนการประชาธิปไตยที่ทำอะไรต่ออะไรต้องถูกต้องตามกฎหมายและข้อบังคับของรัฐธรรมนูญตามแนวคิดและนโยบายประชานิยมของรัฐบาล แต่สิ่งที่เป็นอัศจรรย์แก่ข้าพเจ้าที่คิดว่าตนเองเป็นคนแก่ท่ามกลางม็อบหนุ่มสาวก็คือ ได้พบคนแก่กว่าข้าพเจ้าอีกมากในตอนกลางวันนี้ ที่ว่าแก่กว่าก็เพราะท่านเหล่านั้นล้วนมีอายุกว่า ๗๐ ปีขึ้นไป บ้างเป็นทหาร ตำรวจ ข้าราชการ พลเรือน ครูบาอาจารย์ พ่อค้า นักธุรกิจที่จัดเป็นพวกบำนาญแทบทั้งสิ้น คนเหล่านี้ออกมาพูดคุยแสดงความคิดเห็นที่ไม่เกี่ยวกับความถูกต้องทางประชาธิปไตยหรือความชอบธรรมทางจริยธรรมแต่เพียงอย่างเดียว แต่แสดงความเกี่ยวข้องทางศีลธรรมของบ้านเมืองโดยตรง ประสบการณ์และความมีอายุคือสิ่งที่ท่านเหล่านี้เคยเห็นความสันติสุขที่เคยมีมาแต่เดิมเป็นอย่างไร ถึงแม้ว่าจะไม่มียุคใด สมัยใดที่สมบูรณ์แบบตามอุดมคติหรืออุดมการณ์ก็ตาม แต่ก็ไม่เคยอยู่ในภาวะที่ “ ฉิบหาย ” เหมือนคราวนี้ ข้าพเจ้าประทับใจมากเมื่อมีคนไทยเชื่อสายเจ๊กที่ท่าทางเป็นนักธุรกิจอาวุโสพูดสำเนียงภาษาไทยไม่ค่อยชัด ออกมาแสดงอารมณ์ความขุ่นเคืองถึงความเหลวแหลกทางพฤติกรรมของคนรุ่นลูกหลานที่ไม่อยู่ในภาวะความเป็นมนุษย์ที่มีศีลธรรมในขณะนี้ และประกาศก้องออกมาว่าเป็นความผิดอย่างมหันต์ของรัฐบาล เพราะฉะนั้น ปัญหาของการเคลื่อนไหวของการชุมนุมที่เรียกว่าม็อบนี้ ไม่ใช่เพียงจริยธรรมเท่านั้น หากหมายไปถึงการเคลื่อนไหวทางศีลธรรมที่เกี่ยวข้องกับสถาบันทางสังคมและวัฒนธรรมที่เคยจรรโลงความมั่นคงดังกล่าวนี้ด้วย ตอนกลางคืน ยิ่งเย็นยิ่งดึกคนยิ่งมากและยิ่งแน่นมาแทบทุกสาระทิศ ไม่ใช่เรือนหมื่นแต่เป็นเรือนแสน ทำให้พื้นที่บนถนนราชดำเนินนอกเกือบทั้งหมดกลายเป็นพื้นที่การแสดงมหรสพทางปัญญาที่เปิดตำราไม่พบในการชุมนุมที่เรียกว่า ม็อบ ทั้งหลายที่แล้ว ๆ มา ตรงเวทีใหญ่ที่บรรดาแกนนำที่เป็นดาราแสดงใหญ่ต่างผลัดกันออกมากล่าวโจมตีและขับไล่นายกรัฐมนตรี สลับด้วยดารารับเชิญที่เป็นนักวิชาการและนักอะไรต่ออะไรที่มาจากหลายกลุ่มหลายเหล่า ดูคล้าย ๆ กับการแสดงคอนเสริต์ของวัยรุ่นในทุกวันนี้ เพราะรอบ ๆ เวทีจะมีคนรุ่นหนุ่มรุ่นสาวและรุ่นแก่ที่ยังมีแรงแออัดยกไม้ยกมือส่งเสียงแสดงพลังรับเป็นลูกคู่แบบมีส่วนร่วม ถัดเวทีใหญ่ไปตามพื้นที่ถนนและพื้นที่โดยรอบ ได้มีการตั้งจอใหญ่ถ่ายทอดภาพและเสียงของบรรดานักแสดงบนเวทีไปให้คนที่มาชุมนุมนั่งฟังกันเป็นบริเวณ ๆ ไป คนที่อยู่หน้าจอเหล่านี้อาจมีส่วนร่วมในการขานรับเป็นลูกคู่ให้กับการปลุกระดมจากเวทีใหญ่เป็นครั้งเป็นคราว แต่เป็นจำนวนมากมีการจับกลุ่มเป็นกลุ่มเล็ก ๆ หันหน้าเข้าหากันพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดและประสบการณ์กัน กลุ่มคนเหล่านี้มีทั้งคนจนคนรวยที่ถ้ามองเผิน ๆ แล้วจะถูกเหมารวมๆ ว่าเป็นคนชั้นกลาง ข้าพเจ้าแลเห็นบรรดาคนจนที่เป็นพวกคนรับจ้าง ไม่ว่าพวกมอเตอร์ไซด์ แท็กซี่ หรือกรรมกรที่มาจากที่ต่าง ๆ ก็มีการจับกลุ่มและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้คนที่เดินผ่านไปมาและทักทายกัน ข้าพเจ้าเองได้รับทราบความเดือดร้อนของคนเหล่านี้จากการพูดคุยเช่นกัน โดยเฉพาะรับรู้ว่าการเข้ามาชุมนุมของคนเหล่านี้ไม่มีใครจ้างมาต่างพากันมาเองโดยหัวใจ ลักษณะอีกอย่างหนึ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนก็คือ บรรดาผู้มาร่วมชุมนุมทั้งหลายเหล่านั้นเป็นจำนวนมากต่างพากันมาทั้งครอบครัว มีทั้งพ่อแม่ลูกรวมทั้งบางคนเอาญาติผู้ใหญ่มาด้วย พากันนั่งเป็นกลุ่ม ๆ อยู่หน้าจอถ่ายทอดการแสดงออกของดาราแกนนำ ตามสองข้างทางริมถนนนอกจากเป็นที่สัญจรไปมาของคนที่มาร่วมชุมนุมแล้วยังพวกพ่อค้า แม่ค้า นำอาหารและสิ่งของมาขาย ทำให้ผู้มาชุมนุมไม่อดอยาก เด็ก ๆ ก็มีของกินและของเล่น มีเต็นท์แสดงข่าวสารข้อมูลและกิจกรรมที่ให้ความรู้ รวมทั้งการอบรมสอนให้เด็ก ๆ เขียนภาพต่าง ๆ ที่ต่างคนต่างแสดงความคิดเห็นและจินตนาการจากเรื่องราวปัญหาของการขัดแย้ง ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้ภาพพจน์ของนายกรัฐมนตรีเป็นจุดรวม สำหรับผู้ชุมนุมที่เจ็บป่วยก็มีอาหารและยาแจก รวมทั้งอาหารมังสวิรัติของพวกกองทัพธรรมที่มาปักหลักชุมนุมแบบค้างแรม และมีโรงครัว โรงทานทำอาหารแจกอาหารไปด้วย สำหรับคนที่มาชุมนุมอีกเป็นจำนวนมากที่อยากแสดงความคิดเห็นโดยผ่านสื่อในทำนองเดียวกับที่ทางราชการจัดให้มีการส่งไปรษณียากรจากผู้คนในสังคมที่เขียนมาเชียร์นายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบนั้น ม็อบมัฆวานก็มี คือการจัดเศษกระดาษเปล่า ๆ ให้ผู้คนที่มาร่วมชุมนุมเขียนแสดงความคิดเห็นแล้ววางไว้บนพื้นแบกะดินแทนผู้รับแสดงความคิดเห็นแบบทำเนียบ ข้าพเจ้าได้ยืนอ่านด้วยความเพลิดเพลิน เพราะนอกจากได้แลเห็นความคิดเห็นนานาชนิดแล้ว ยังเห็นคำพูดและความคิดที่เป็นกวี เป็นศิลปะของผู้มาชุมนุมด้วย จนรู้สึกว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวทางศิลปวัฒนธรรมไปด้วย คงจะไม่มีใครปฏิเสธในขณะนี้เลยได้ว่า เพลงดนตรีและการ์ตูน “ไอ้หน้าเหลี่ยม” นั้นเป็นผลผลิตทางสังคมที่เป็นศิลปะร่วมสมัยทั้งผู้ใหญ่และเด็กร่วมกัน ม็อบมัฆวานข้างทำเนียบที่มาจากผู้คนร่วมสมัยในสังคมที่หลากหลายในความคิดเห็นหาได้คิดแบบเดียวและอย่างเดียวกันกับผู้ที่เป็นแกนนำของม็อบไม่ อีกทั้งไม่ใช่ม็อบอย่างที่เคยคิดเห็นกัน หากเป็นการเคลื่อนไหวทางปัญญาของกลุ่มคนที่หลากหลายแต่มีจุดร่วมกันทางสังคมอย่างเป็นสมานฉันท์ (Unity) คือจะทำอย่างไรกับความชั่วร้ายทางสังคมในด้านจริยธรรมและศีลธรรม เพราะทุกคนเห็นว่า ความเป็นธรรมที่มาจากกฎหมาย จากกระบวนการที่เป็นประชาธิปไตยนั้นล้มเหลว เจตนารมณ์วันนี้ส่งผลไปถึงการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรที่เกิดขึ้นตามกติกาประชาธิปไตยหลังการยุบสภาของนายกรัฐมนตรีแห่งพรรคไทยรักไทย จึงเกิดการไม่ยอมรับการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นว่าเป็นความชอบธรรม พรรคการเมืองใหญ่ ๆ ทางฝ่ายค้านปฏิเสธที่จะเข้าร่วม การปฏิเสธความชอบธรรมของการเลือกตั้งครั้งนี้ ได้ส่งผลให้เห็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งในเจตนารมณ์ของปัญญาชน คือการไม่เลือกใครเลยเป็นผู้แทน ปรากฏการณ์โนโวต นี้ไม่เคยปรากฏเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนในการเลือกตั้งที่เคยมีมาแต่ก่อน เป็นสิ่งที่รัฐบาลและสังคมต้องนำมาพิจารณา แต่ผลปรากฏว่าไม่เป็นเช่นนั้นทางฝ่ายรัฐและฝ่ายสนับสนุนกลับไม่ให้ความสำคัญ กลับไปสนใจกับการที่บรรดาผู้สมัครผู้แทนทางฝ่ายตนได้รับการเลือกตั้งจึงทำให้มาประกาศชัยชนะแบบเดิม ๆ ว่า “ ประชาชน ๑๖ ล้านคน ” เลือกตนและประสบผลสำเร็จในการรักษาประชาธิปไตย ในฐานะที่เป็นคนไทย ข้าพเจ้าอดสูแก่ประชาโลกและหวาดกลัวความแตกแยกที่จะนำไปสู่ความรุนแรงที่ไม่อาจควบคุมได้ในอนาคต การลงจากตำแหน่งที่มีอำนาจของนายกรัฐมนตรีที่อ้างการรักษากติกาประชาธิปไตยครั้งนี้ หาใช่คำตอบขั้นสุดท้ายของการเคลื่อนไหวทางปัญญาของสังคมไม่ เพราะการที่จะนำประเทศชาติและสังคมไทยเข้าสู่สันติสุขได้นั้น รัฐบาลหรือผู้นำประเทศต้องตอบปัญหาและจัดการความชอบธรรมทางจริยธรรมและศีลธรรม ซึ่งเป็นความจำเป็นพื้นฐานก่อน เพราะเป็นความจำเป็นสากลของมนุษยชาติ ความเป็นประชาธิปไตยทั้งในลักษณะเป็นเครื่องมือหรืออุดมการณ์นั้น คือสิ่งที่จะต้องตั้งอยู่บนฐานทางศีลธรรมและจริยธรรม ถ้าหาไม่แล้วสิ่งที่เป็นอธรรมก็ครองโลก โลกที่เต็มไปด้วยประชาธิปไตยแบบไร้คุณธรรมเช่นนี้ ถ้าหันกลับไปคำนึงถึงความคิดของคนโบราณ ก็คงจะได้เห็นแต่การส่ายหน้าและบอกว่าต่อให้มีสิบพระเป็นเจ้าก็ช่วยอะไรไม่ได้ มาถึงตรงนี้ทำให้ข้าพเจ้าต้องไปอ้างคำพูดและข้อเขียนของบุคคลที่เป็นปราชญ์ทางพุทธศาสนาที่ผู้คนทั้งหลายยกย่องคือ ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดนราธิวาส ที่ออกมาทันเหตุการณ์พอดีคือ “ธรรมาธิปไตยไม่มา จึงหาประชาธิปไตยไม่พบ” ข้าพเจ้าและเพื่อนมนุษย์ในม็อบมัฆวานโหยหาธรรมาธิปไตย ไม่ใช่ประชาธิปไตยในขณะนี้ ก่อนจบ ข้าพเจ้านึกเห็นอะไรจากหน้าจอทีวีเมื่อเร็ว ๆ นี้ จนเกิดความสังเวช เริ่มแต่นักการเมืองข้างทำเนียบฝ่ายรัฐมาออกรายการทีวีตอบโต้นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ในเรื่อง โนโวต ว่าไม่เห็นมีความสำคัญ เพราะคิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ การที่มีโนโวตมากในภาคใต้ก็เพราะเป็นพวกพรรคประชาธิปัตย์ การอ้างเช่นนี้ดูสอดคล้องกับความเห็นของผู้ที่เข้าข้างฝ่ายรัฐบาลอีกเป็นจำนวนมาก นับเป็นการสร้างภาพที่ให้คนส่วนใหญ่เข้าใจไปว่าเมืองไทยขณะนี้แบ่งออกเป็นสองฝ่ายสองเมืองแล้วหรือ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงก็น่าจะเป็นการยอมรับว่า บุคคลที่เป็นผู้นำของรัฐบาลคือบุคคลล้มละลายทั้งศักยภาพและความชอบธรรมในการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของประเทศชาติได้ ประเทศไทยจึงต้องเป็นสองอย่างที่ว่ามา ดังนั้นการที่ผู้นำของประเทศที่ล้มเหลวประกาศเว้นวรรคทางการเมืองนั้นก็ดีแล้ว ซึ่งข้าพเจ้าอดสงสารไม่ได้ถึงความโศกเศร้าของพวกบริวารที่ปรากฏในจอทีวี ยิ่งมีปุโรหิตประจำทำเนียบขึ้นมากล่าวไว้อาลัยแล้ว ก็ยิ่งใจหายเพาะมีการอ้างบทวรรณคดีในเรื่องกฤษณาสอนน้อง “ พฤษกภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง ” มาอุปมาอุปไมย ธรรมดาคำร้อยกรองชุดนี้มักปรากฏในลักษณะเป็นประเพณีในคำอาลัยแก่ผู้ตายในงานศพ มักจะมากับพวงหรีด ท่านปุโรหิตอาจจะเผลอเลยเว้นวรรคไม่อ่านวลีสำคัญในบทร้อยกรองนี้ที่ว่า “ นรชาติที่วางวาย ” อีกทั้งยังอ้างไม่หมดถึงบทต่อไปที่ว่า “ ความดีจะปรากฏ เกียรติยศก็ฤาชา ความชั่วจะนินทา ทุรยศยินขจร ” การอ่านวรรณคดีแบบพื้น ๆ เหล่านี้เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าผู้ชอบอ่านบทวรรณคดีอย่างเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตต้องมีอาการเพี้ยนตามไปด้วย เมื่อวันหนึ่งก่อนรุ่งสางเกิดละเมอฝันไปถึงบทละครเรื่องรามเกียรติ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ตอนพิเภกอย่าศึกกุมภกรรณ เมื่อกุมภกรรณด่าพิเภกว่า “ประเทศไทยเป็นของมึงหรือ จึงแบ่งยื้อให้เป็นเหนือเป็นใต้” อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- หกสิบปีของในหลวงกับร้อยปีพุทธทาส
เผยแพร่ครั้งแรก 2 มี.ค. 2559 สังคมไทยในวันนี้วิกฤติจนน่าเป็นห่วง เพราะกำลังมาถึงทางตันที่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจแบบรุนแรงอย่างที่เคยเกิดกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม ลาว กัมพูชา และจีน เมื่อครึ่งศตวรรษที่แล้วมา อาจเป็นเพราะประเทศไทยไม่เคยเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกมาก่อนก็ได้ที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างไม่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนคนปรับตัวตามไม่ทันเหมือนประเทศเพื่อนบ้าน แต่นั่นก็หาได้หมายความว่าจะรอดพ้นอิทธิพลของตะวันตกไม่ เพราะได้ตกเป็นทาสทางความคิดและสติปัญญาแบบตะวันตกมาโดยตลอด วิกฤติการทางการเมืองและสังคมที่ผ่านมาในสองสามเดือนนี้คือสิ่งที่กำลังบอกว่าเวรและเวลาได้มาถึงแล้ว แต่ก่อนทั้งไทย ลาว เขมรและเวียดนาม ต่างก็มีโครงสร้างสังคมและเศรษฐกิจคล้ายคลึงกัน คือเป็น สังคมชาวนา [Peasant Society] ที่มีโครงสร้างสองโครงสร้างซ้อนกันอยู่ คือ โครงสร้างแบบเสมอภาคของผู้คนที่อยู่ร่วมกันในท้องถิ่นต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร กับโครงสร้างศักดินาของคนเมืองที่มีลักษณะเหลื่อมล้ำ แต่ว่ามีลักษณะเกื้อกูลกับโครงสร้างแรกด้วยระบบอุปถัมภ์ ทำให้สังคมชาวนาไม่อยู่อย่างอิสระหากเป็นส่วนหนึ่ง [Part Society] ของสังคมใหญ่เสมอมา เมื่อตกเป็นเมืองขึ้นและอาณานิคมของตะวันตก โครงสร้างศักดินาที่สัมพันธ์กับสถาบันศาสนาและกษัตริย์ก็ถูกแทนที่โดย โครงสร้างโลกวิสัย [Secularized] ของเจ้าของอาณานิคมชาวตะวันตก อันเป็นโครงสร้างทางวัตถุนิยมที่เน้นความมีสิทธิและชอบธรรมของปัจเจกบุคคลในระบบเศรษฐกิจแบบเสรีทุนนิยม ซึ่งเมื่อพัฒนาจนเป็นอุดมการณ์แล้วมีชื่อเรียกว่า ประชาธิปไตย โครงสร้างนี้มีลักษณะครอบงำและสืบเนื่อง แม้ว่าบ้านเมืองที่เคยเป็นอาณานิคมจะเป็นอิสระแล้วก็ตาม ได้ทำความเดือดร้อนให้แก่ผู้คนในสังคมชาวนาจนทนไม่ได้ จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบปฏิวัติที่ใช้ความรุนแรง เพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างที่ไม่เหมาะสมนี้มาเป็นโครงสร้างสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์ สังคมไทยยังไม่เคยผ่านการปรับเปลี่ยนโครงสร้างแบบนี้ เพราะยังเข้ากันได้กับสังคมศักดินาที่ค้ำจุนโดยสถาบันศาสนาและกษัตริย์ แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองมาเป็นประชาธิปไตยตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นต้นมาก็ตาม ทั้งโครงสร้างเสมอภาคของสังคมชาวนากับโครงสร้างศักดินาของคนเมืองและคนชั้นปกครองก็ยังคงดำรงอยู่ แต่นับตั้งแต่สมัย ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นต้นมา การผันเงินสู่ชนบทเพื่อช่วยเหลือประชาชนในด้านเศรษฐกิจได้ทำลายโครงสร้างแบบเสมอภาคของสังคมชาวนาที่เคยอยู่ได้ด้วยตนเองแบบเกื้อกูลซึ่งกันและกันในทางเกษตรกรรม มาเป็นสังคมอุตสาหกรรมที่พึ่งตัวเองไม่ได้ ต้องพึ่งพิงสังคมเมืองที่บรรดาคนชั้นบริหารที่เคยเป็น ขุนนาง ข้าราชการที่เคยมีคุณธรรมเพี้ยนมาเป็นผู้แสวงหาอำนาจและผลประโยชน์ให้กับตนเองและพรรคพวก สังคมเสรีประชาธิปไตยตั้งแต่สมัยรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นต้นมา เป็นระยะเวลาที่แลเห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในโครงสร้างของคนชั้นศักดินา สมัยศักดินาราชาธิปไตย มักมีคำพังเพยแบบแดกดันว่า “ ยศช้างขุนนางพระ ” เพราะเห็นแก่ยศศักดิ์เป็นใหญ่ แต่มาสมัยนี้กลายเป็น “ ยศพระขุนนางพ่อค้า ” แทน ขุนนางพระในสมัยนี้มั่งคั่งร่ำรวยกว่าแต่ก่อน ซึ่งแลเห็นง่าย ๆ จากบรรดาอาคารในสังฆาวาสและพาหนะขับขี่ราคาแพง ๆ อาจรวมทั้งบัญชีเงินฝากในธนาคารด้วย ที่น่าสงสารก็คือ ขุนนางช้างไม่มี เพราะนอกจากจะใกล้สูญพันธ์แล้วยังถูกนำไปใช้ลากซุง ร่อนเร่ขอทาน และแสดงละครสัตว์ในมหกรรมแสงเสียงของการท่องเที่ยว แต่ขุนนางใหม่ขึ้นมาแทนคือ ขุนนางพ่อค้านั้นได้พัฒนาตัวเองจากการที่เคยอยู่ใต้ใบบุญและพึ่งพิงขุนนางเดิมที่มีอำนาจทางฝ่ายบุ๋นและบู๊ มาเป็นเจ้าพระเดช นายพระคุณแทน พวกขุนนางเหล่านี้คือกลุ่มคนที่เป็นใหญ่เป็นโตมีอำนาจทางเศรษฐกิจ การเมือง ไม่มีชาติแต่ข้ามชาติและพร้อมที่จะขายชาติ บุคคลเหล่านี้ไม่มีอุดมการณ์ที่เป็นประชาธิปไตย แต่อาศัยกระบวนการประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเองและพรรคพวกในการที่จะเข้ามาเป็นใหญ่ในแผ่นดิน บุคคลเหล่านี้ทั้งกายและใจเน้นความมีตัวตนและการเป็นปัจเจกบุคคลนิยมตามลัทธิเศรษฐกิจแบบเสรีทุนนิยม ไม่มีความดีและความเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณและเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง มนุษย์เป็นเพียงแต่ทรัพยากรที่ตนสามารถกำหนดและบังคับใช้ได้ บุคคลเหล่านี้คือ ผู้ที่ใช้ความรู้ทางวิทยาการและเทคโนโลยีสร้างสิ่งที่เป็นสมองกลและสิ่งเสมือนจริง [Virtual Reality] ขึ้นมอมเมาเยาวชนและคนรุ่นใหม่ให้กลายพันธุ์จนเป็นเดรัจฉานไม่เป็นมนุษย์ เพราะความเป็นมนุษย์อยู่ที่การเป็นสัตว์โลกที่เป็นสัตว์สังคมหรือสัตว์หมู่ที่อยู่ร่วมกันได้ ด้วยความเชื่อทางศาสนาและจริยธรรมที่นำไปสู่การเป็นคนมีศีลธรรมของสังคม ด้วยประการที่กล่าวมานี้ ก็จะทำให้เห็นว่าสังคมไทยวันนี้กำลังอยู่ภายใต้อิทธิพลและการครอบงำของระบบเศรษฐกิจข้ามชาติ ทุนนิยมเสรีที่นับเนื่องเป็นโครงสร้างของเดรัจฉานโดยแท้ กำลังอยู่ในสภาพที่ตกผลึกจนยากที่จะแก้ไขได้ คนรากหญ้ากลายเป็นคนกินหญ้า คนชั้นกลางที่พอมีสติปัญญาก็กลายเป็นคนมักได้และสายตาสั้น เพราะฉะนั้น การโหยหาของปัญญาชนที่รักประชาธิปไตยเป็นอุดมการณ์ในเรื่องการแก้แต่เพียงรัฐธรรมนูญอย่างเดียวนั้นไม่น่าจะทำอะไรได้ เพราะอมนุษย์เหล่านี้รู้จักที่จะจ้างบรรดามือปืนทางกฎหมายมาแก้ต่างแก้ไขได้ไม่ยาก ปัญหาพื้นฐานที่เป็นอันตรายของชาติบ้านเมืองในทุกวันนี้ก็คือ การแบ่งทรัพยากรของผู้คนในแผ่นดินที่ทำให้ภาคใต้เลือดท่วม และภาคเหนือน้ำท่วมอย่างที่เห็นกันอยู่ รวมทั้งภูมิภาคอื่น ๆ ด้วยที่กำลังจะตามมาด้วยความรุนแรงอีกหลายอย่าง แต่ท่ามกลางความขัดแย้งรุนแรงและมืดมน ก็ยังมีแสงสว่างอยู่บ้างที่อาจเตือนสติและนำทางให้แก่ปัญญาชนทั่วไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงเป็นที่พึ่งของคนทั้งชาติในที่สุด คงไม่จำเป็นต้องพูดถึงพระราชกรณียกิจที่ทรงทำและทะนุบำรุงการเกษตรอันเป็นเศรษฐกิจพื้นฐานของแผ่นดิน โดยการเสด็จออกไปเยี่ยมเยียนราษฎร ทรงสอนและสนับสนุนให้ประชาชนมีที่ดินและแหล่งน้ำเพื่อการเพาะปลูก รวมทั้งการนำเอาอุตสาหกรรมที่เหมาะสมเข้ามาเชื่อมโยง จนเมื่อไม่กี่ปีมานี้ทรงชี้หนทางการอยู่รอดด้วยแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงที่สามารถต้านทานหรือต่อรองกับเศรษฐกิจอุตสาหกรรมแบบเสรีทุนนิยมได้ ความสำคัญของเศรษฐกิจพอเพียงนั้นอยู่ที่ต้องเป็นคนพอเพียงทั้งกายและใจ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นบุคคลที่พอเพียง เหตุที่เศรษฐกิจพอเพียงเคลื่อนไปได้ช้าก็เพราะคนเป็นจำนวนมากในสังคมไม่เป็นคนพอเพียงนั่นเอง โดยเฉพาะบรรดาขุนนางพ่อค้าที่เป็นใหญ่เป็นโตในสังคม เลยทำให้ต้องคิดถึง ท่านพุทธทาส ที่ได้ให้ ความหมายของคำว่าพอเพียงว่าเป็นสิ่งที่ไม่เกินและไม่ขาด สังคมไทยควรเป็น ธรรมิกสังคมนิยม คือเอาการเป็นอยู่รวมกันอย่างพอเพียงไม่เกินไม่ขาดเป็นอุดมการณ์ แต่การจะบรรลุถึงได้นั้นต้องมีธรรมะ ท่านพุทธทาสสิ้นไปนานแล้วแต่สิ่งที่ท่านเทศน์ ท่านสอนหาสิ้นไปไม่ โดยเฉพาะการแสดงธรรมว่า ถ้าไม่มีธรรมะ การเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยก็เป็นการเลือกตั้งที่โกง ผู้แทนที่เลือกมาก็โกง รัฐสภาที่เกิดขึ้นก็โกง และในที่สุดก็ได้รัฐบาลโกง และสำหรับคนที่บูชาประชาธิปไตยจนตกขอบ ท่านก็เตือนสติไว้ว่า เสียงประชาชนไม่ใช่เสียงสวรรค์เสมอไป อาจเป็นเสียงนรกก็ได้ ถ้าหากไร้ศีลธรรม และการเมืองที่ดีก็คือ การมีศีลธรรมนั่นเอง รวมทั้งคนที่ยึดมั่นในศาสนาและพิธีกรรมตามรูปแบบ ก็ต้องเข้าใจว่าการเข้าถึงธรรมะที่แท้จริงนั้นก็คือการเห็นพระพุทธเจ้า คงไม่ใช่แต่เพียงการกราบไหว้บูชาพระพุทธรูป สร้างพระพุทธรูปใหญ่น้อยเป็นสำคัญ เพราะพระจักรพรรดิราชและพระยามารก็มีรูปลักษณะได้เช่นเดียวกับพระพุทธองค์ ถ้ามีสติและทบทวนให้ดีสังคมไทยอาจรังสรรค์ธรรมิกสังคมนิยมตามแนวคิดของท่านพุทธทาสโดยไม่ยาก เพราะยังมีพระมหากษัตริย์ที่ทรงทัดดินต่างปิ่นเกล้า เป็นพระธรรมิกราชอยู่ แต่การเข้าถึงพระองค์นั้นคงไม่ใช่อยู่ที่การทำอะไรใหญ่โตอย่างสิ้นเปลืองจนเกินความพอเพียง การเป็นบุคคลที่มีความพอเพียงทั้งกายและใจต่างหากที่จะนำไปสู่การแก้ไขในสิ่งที่ไม่มีดุลยภาพของสังคมและบ้านเมืองในขณะนี้ได้ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ไทย : สังคมบ้านแตกหรือสติแตก
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ย. 2549 สิ่งที่น่าสังเกตในปัจจุบันก็คือ สังคมไทยทุกวันนี้มีลักษณะโดดเดี่ยวจากประเทศเพื่อนบ้านเพราะมองอะไรต่ออะไรแบบกรอบเดียวอย่างไม่มีการทบทวนและเปรียบเทียบ ดังเช่นการมองเหตุการณ์และสถานการณ์ความขัดแย้งในสังคมไทยในขณะนี้ว่าเป็น วิกฤตทางประชาธิปไตย อันเนื่องจากการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาลที่แล้วมา รวมไปถึงการปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลที่อ้างสิทธิความเป็นประชาธิปไตยจากการเลือกตั้งโดยฝ่ายทหาร ถึงแม้ว่าขณะนี้ได้มีการจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวขึ้นเพื่อดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญและเตรียมการจัดการให้มีการจัดการเลือกตั้งเพื่อให้เกิดรัฐบาลที่มีคุณสมบัติเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยตามอุดมการณ์หรือจินตนาการแบบสากล (ตะวันตก) ก็ตาม ก็ยังมีอาการของการต่อต้านและขัดแย้งอยู่ตลอดเวลา จึงกลายเป็นอุปสรรคหลาย ๆ ประการที่นำไปสู่การจัดการตามขั้นตอนเพื่อให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่ราบรื่นนัก จึงสมควรที่ผู้มีสติปัญญาทั้งหลายได้มีการทบทวนอะไรต่ออะไรกันบ้าง โดยหันกลับไปมองเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในการล้มล้างรัฐบาลชุดที่แล้ว ซึ่งเป็นชุดที่เรียกได้ว่าเป็นประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ในการจัดการบริหารประเทศกลับไม่เป็นประชาธิปไตยในอุดมคติที่ใคร ๆ ต้องการ ทำนองตรงข้าม กลับมีพฤติกรรมที่รวบอำนาจและคอรัปชั่นฉ้อราษฎร์บังหลวงและมอมเมาประชาชนที่ด้อยโอกาสเพื่อประโยชน์ของตนเองกับพรรคพวกจนเป็นเหตุให้เกิดการเคลื่อนไหวของบรรดาปัญญาชนขึ้นมาต่อต้าน ซึ่งก็มีลักษณะยืดเยื้อ อันอาจจะนำไปสู่ความรุนแรงที่ควบคุมไม่ได้เพราะรัฐบาลที่แล้วกุมอำนาจเบ็ดเสร็จไว้หมด ในที่สุดก็ยุติลงด้วยการที่ฝ่ายทหารเข้ามาปฏิวัติล้มอำนาจรัฐบาลเดิมสำเร็จและจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวขึ้น แต่ก็ดูยังเป็นที่ไม่พอใจของบรรดาปัญญาชนที่มองประชาธิปไตยเป็นอุดมคติและอุดมการณ์อยู่นั่นเอง จึงมีการเคลื่อนไหวออกมาวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ นานาว่าเป็นการกระทำที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยทั้งที่การเคลื่อนไหวแบบประชาธิปไตยก็ไม่อาจจัดการกับรัฐบาลที่ชั่วร้ายนั้นได้ ถึงกับหลายคนยังหันไปพึ่งการเรียกร้องในเรื่องนายกพระราชทานซึ่งก็ไม่เป็นประชาธิปไตยอีกเช่นกัน ข้าพเจ้าคิดว่าเหตุหนึ่งที่บรรดาปัญญาชนไม่พอใจก็เพราะไปเปรียบเทียบกับการปฏิวัติของทหารสมัย รสช. ที่ก็น่าคิด แต่ก็ควรให้เวลากับการปฏิวัติของทหารครั้งนี้ โดยเอาประชาธิปไตยในอุดมคติมาไว้ข้าง ๆ ก่อนแล้วมุ่งพิจารณาในเรื่องสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้รัฐบาลประชาธิปไตยซึ่งมาจากการเลือกตั้งชุดที่แล้วล้มเหลวและชั่วร้าย ความชั่วที่ไม่อาจอภัยได้คือการคอรัปชั่นฉ้อราษฎร์บังหลวง ทั้งเป็นเหตุแท้จริงที่ประชาชนส่วนใหญ่ให้การสนับสนุน ในส่วนของข้าพเจ้าเองใคร่สนับสนุนฝ่ายทหารให้ทำการจัดการกับคอรัปชั่นอย่างถึงที่สุด โดยทหารต้องทำหน้าที่ในลักษณะของผู้เฝ้าระวังให้กับประชาธิปไตยในอุดมคติ [Watchdog of Democracy] ถ้าหากมีรัฐบาลไหนโกงอีกก็ปราบอีก ปราบแล้วก็กลับเข้ากรมกองไป ทำจนบรรดานักการเมืองที่ชั่วร้ายเข็ดหลาบไม่กล้าโกงกินอีกก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้นักการเมืองที่ดีเกิดขึ้นและมีโอกาสเข้ามารังสรรค์สิ่งที่เป็นประชาธิปไตยในอุดมคติได้ ข้าพเจ้าคิดว่าในเวลานี้ควรให้เวลากับ คมช. และรัฐบาลชั่วคราว แต่ขณะเดียวกันควรหันมาให้ความสนใจต่อปัญหาที่เลวร้ายลึกไปกว่าเรื่องคอรัปชั่นฉ้อราษฎร์บังหลวง นั่นคือ การขาดสิ่งที่เป็นคุณธรรมในสังคม อันได้แก่จริยธรรม ศีลธรรมและความเป็นมนุษย์ที่กำลังเพี้ยนไปกว่าแต่เดิมมากมาย เนื่องมาจากสังคมไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔-๕ ลงมาจนถึงปัจจุบัน ได้หักเหวิธีคิดในอารยธรรมตะวันออกที่มีมาแต่โบราณกาลมาตามแบบอย่างอารยธรรมตะวันตกแทน มาถึงทุกวันนี้ คนรุ่นกลางและรุ่นเด็กต่างก็มองอะไรและคิดอะไรเป็นแบบตะวันตกหมด อาจจะพูดอย่างเต็มปากได้ว่าสังคมไทยแม้จะไม่เป็นอาณานิคมทางการเมืองของมหาอำนาจทางตะวันตกอย่างประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลายก็ตาม แต่ก็เป็นอาณานิคมทางปัญญาอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง ซึ่งผิดกับบรรดาประเทศเพื่อนบ้านอย่างมากที่ปัญญาชนของเขาล้วนแต่เป็นอิสระทางความคิดและปัญญาจากการครอบงำของตะวันตกแล้ว ความแตกต่างกันดังกล่าวนี้ เห็นได้จากการแสดงความคิดเห็นของนักวิชาการและปัญญาชนในสังคมไทยเมื่อเปรียบเทียบกับคนในสังคมเพื่อนบ้าน ผู้ที่เป็นปัญญาชนของไทยส่วนใหญ่เป็นนักวิชาการที่มีดีกรีจากการศึกษาในมหาวิทยาลัยมักมีกรอบและแนวคิดทฤษฎีที่เล่าเรียนมาเป็นตัวนำในความคิด ในขณะที่ปัญญาชนของสังคมเพื่อนบ้านมักไม่ผูกติดกับการเป็นนักวิชาการที่มีกรอบและทฤษฎี หากเป็นพวกมากด้วยประสบการณ์มักเอาสิ่งที่ได้เห็นได้สัมผัสและเข้าใจมาเป็นตัวนำก่อนการกำหนดกรอบและแนวคิดทฤษฎีเพื่อนำมาช่วยให้เกิดความเข้าใจอย่างลุ่มลึก ความถนัดและเข้าใจในเรื่องดังกล่าวจึงเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการดำเนินการใด ๆ ได้อย่างเป็นองค์รวมและรูปธรรม ที่บอกว่าเป็นรูปธรรมก็เพราะสามารถเสนอภาพของความเป็นจริงที่สื่อให้กับคนอื่น ๆ ทั่วไปได้ ซึ่งตรงข้ามกับบรรดานักวิชาการและผู้รู้ในสังคมไทย มักเสนอหรือแสดงอะไรในลักษณะที่เป็นเสี่ยง ๆ ตามความถนัดของตน จนเกิดความขัดแย้งกันเองเพราะแนวคิดทฤษฎีและกรอบแตกต่างกัน ทำให้เชื่อมโยงเป็นองค์รวมอย่างเป็นรูปธรรมไม่ได้ และในที่สุดก็สื่อกับคนทั่วไปไม่ได้นอกจากพวกเดียวกัน ถ้าจะให้ยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมมาแสดงในขณะนี้ก็คือ ระหว่างสังคมไทยและสังคมเวียดนามที่อยู่ในประเทศและดินแดนเอเชียอาคเนย์ที่มีความใหญ่โตของพื้นที่และจำนวนประชากรที่เสมอกัน อีกทั้งมีพัฒนาการเป็นรัฐใหม่หรืออาณาจักรเสมอกันมาแต่โบราณ หลังสงครามโลกครั้งที่สองอันเป็นช่วงเวลาของสงครามเย็น การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเมืองทำให้เวียดนามเป็นสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์ ในขณะที่สังคมไทยเป็นสังคมประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เลยทำให้เวียดนามกับไทยกลายเป็นปรปักษ์กันในด้านความคิดและอุดมการณ์ อย่างเช่นทางไทยมองว่าการเป็นคอมมิวนิสต์นั้นโหดร้ายทารุณและฆ่าผู้คนเสียนับมิถ้วน ทำลายสถาบันกษัตริย์ ศาสนา ศีลธรรม และประเพณีที่ดีงามของอารยธรรมตะวันออก ในขณะที่ทางเวียดนามเองก็เห็นว่าไทยเป็นขี้ข้าอเมริกันและมีลัทธินายทุนที่เอารัดเอาเปรียบผู้คนในสังคม การส่งกองทัพของอเมริกันเข้ามาทำสงครามที่เวียดนามและเขมร ไทยก็ช่วยเหลือฝ่ายอเมริกันอย่างออกหน้าทั้งให้พื้นที่ในประเทศเป็นฐานทัพและส่งกองกำลังเข้าร่วมสงครามครั้งนั้น ได้ทำให้ทั้งเวียดนามและเขมรกลายเป็นสังคมเมืองแตก [War torn Countries] ที่ผู้คนพลเมืองต้องตายในสงครามหลายล้านคน ทำให้ยากต่อการฟื้นฟูบ้านเมืองและผู้คนให้คืนดีและเป็นสุขได้ด้วยเวลาอันสั้น แต่ภายหลัง ๒๐ ปีที่ผ่านมาจนทุกวันนี้เวียดนามฟื้นตัวเองจากสังคมบ้านแตกได้อย่างมหัศจรรย์ จนมีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมล้ำหน้าไปกว่าสังคมไทยที่ไม่เคยมีสภาพบ้านแตกเสียด้วยซ้ำ ลุงโฮ โฮจิมินห์ แบบอย่าของผู้นำทางวัฒนธรรมที่น่าเคารพ สังคมเวียดนามปัจจุบันเป็นสังคมที่ไม่อาจพูดได้ว่าเป็นสังคมเผด็จการคอมมิวนิสต์ที่โหดร้ายทารุณฆ่าฟันประชาชน ทำลายศาสนาและศีลธรรมอีกทั้งเป็นสาวกของประเทศมหาอำนาจคอมมิวนิสต์ใหญ่ ๆ อย่างรัสเซียและจีนอีกต่อไปได้แล้ว หากเป็นประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์แบบรักชาติรักแผ่นดิน [Patriotism] ที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลก บุคคลที่เป็นคอมมิวนิสต์มีเพียงหยิบมือเดียวในประเทศและเป็นบุคคลที่สังคมยอมรับและยกย่องว่าเป็นบุคคลที่มีอุดมคติไม่บ้าอำนาจและโกงกิน ไม่มีสมบัติพัสถานใดและการมีผลประโยชน์แบบแฝงกับธุรกิจใด ๆ อันเป็นที่ติฉินนินทาจากประชาราษฎร์ได้ ในขณะที่ผู้คนในประเทศทุกกลุ่มเหล่าต่างได้อิสระในการดำรงชีวิตในกรอบประเพณีและกฎเกณฑ์ที่ทำให้บ้านเมืองอยู่ในลักษณะที่สงบสุขเป็นสำคัญ ภาพพจน์ที่แลเห็นในทุกวันนี้เวียดนามไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์แบบตกขอบและบ้าวัตถุแบบตะวันตกแม้กระทั่งแบบจีนในปัจจุบัน หากเป็นประเทศสังคมนิยมที่เป็นแบบตะวันออกที่ยังคงรักษาศาสนา ศีลธรรม และความเป็นมนุษย์ได้อย่างดี สังคมเวียดนามทุกวันนี้เป็นสังคมสมานฉันท์ที่มีการปรองดองและเอื้ออาทรระหว่างคนกลุ่มต่าง ๆ ที่เคยขัดแย้งแตกแยกและหนีภัยออกนอกประเทศ คนที่เคยออกไปกลับมาช่วยฟื้นฟูประเทศให้ก้าวหน้าด้วยความรู้แบบใหม่ที่เห็นว่าเหมาะสมกับผู้คนและสังคม สังคมเวียดนามคือสังคมที่มีความเสมอภาพและมีความเป็นปึกแผ่นทางสังคมนับแต่ท้องถิ่นจนถึงส่วนกลาง คนหลายชาติพันธุ์หลายหมู่เหล่าอยู่กันอย่างเท่าเทียมในนามของคนเวียด เวียดนามมีผู้นำที่ดีที่ควรเป็นแบบอย่างของผู้นำทางวัฒนธรรมที่ควรเคารพ คือ ลุงโฮ (โฮจิมินห์) ที่ไม่บ้ายศตำแหน่งเงินทองและความมั่งคั่งดังเช่นคนในสังคมไทย ความสำเร็จของบักโฮหรือลุงโฮในการสร้างเวียดนามปัจจุบันก็คือการขจัดความขัดแย้งภายใน รวมเวียดนามเหนือและใต้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันด้วยกระบวนการสมานฉันท์ภายหลังการขับไล่อริศัตรูอเมริกันและสาวกที่คุกคามสำเร็จ ในทำนองตรงข้าม สังคมไทยเมืองไทยไม่เคยมีศัตรูจากภายนอกมารุกล้ำและไม่เป็นสังคมบ้านแตกแบบเวียดนาม หากเป็นสังคมสติแตกที่กำลังเกิดความขัดแย้งกันในเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง และอุดมการณ์อย่างสุด ๆ ที่กำลังมีผลนำไปสู่ความรุนแรงและฆ่าฟันกันเองในที่สุด อันเนื่องมาจากการศึกษาอบรมของคนในชาติและการบริหารจัดการของรัฐที่ลอกเลียนแบบตะวันตกจนโงหัวไม่ขึ้น ความขัดแย้งที่โดดเด่นในปัจจุบันก็คือความบ้าประชาธิปไตยแบบตะวันตกแบบอเมริกันนั่นเอง ทำไมไม่คิดบ้างว่าความเป็นประชาธิปไตยหรือความเสมอภาคนั้นก็เป็นสิ่งสากลที่มีในอารยธรรมตะวันออกมาช้านาน โดยเฉพาะประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเป็นประชาธิปไตยที่ถูกจริตกับวัฒนธรรมของผู้คนในสังคม แต่หามีผู้ใดสนใจและนำมาขบคิดพิจารณากันบ้าง ถึงแม้ว่าจะมีอะไรดีในทางตะวันตกแต่ก็ควรนำมาทบทวนผสมผสานกับสิ่งที่ดีและมีมาในสังคมที่แล้วมาบ้าง ประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนาเป็นประชาธิปไตยที่ให้ความเสมอภาคความเอื้ออาทรที่ตั้งอยู่บนฐานของสัจธรรมทางพระศาสนาและศีลธรรม แต่ประชาธิปไตยแบบตะวันตกมีแต่พูดถึงเศรษฐกิจการเมือง ความเป็นปัจเจกบุคคลอันเป็นคุณสมบัติของเดรัจฉานผิดมนุษย์ และอ้างความยุติธรรมที่มาจากตัวบทกฎหมาย ขาดทั้งความเข้าใจวัฒนธรรมกับสังคม และขาดทั้งพื้นฐานทางศาสนาและศีลธรรม ดังเห็นได้จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลแต่ละชุดแต่ละฉบับ จนทำให้ศาสนาและศีลธรรมขาดไปจากสำนึกของผู้คนที่เป็นประชาชนรุ่นกลางและรุ่นเด็กในทุกวันนี้ ทำนองตรงข้าม กลับรับเอาความเชื่อที่เป็นไสยศาสตร์และคุณไสยเข้ามาแทนที่เพื่อความมั่นคงทางจิตใจของบรรดาเดรัจฉานที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่อำนาจและเงิน ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่มักพร่ำแต่คำว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” ตามรับสั่งของในหลวง แต่ไม่เคยถอดรหัสได้เลยว่าคืออะไร และจะทำอย่างไร ถ้าหากยังบ้าตะวันตกอยู่ก็คงไม่มีทาง ผู้มีสติควรไปเรียนรู้จากเวียดนามและประเทศเพื่อบ้านบ้างก็คงจะดี อ่านเพิมเติมได้ที่:
- พระพุทธบาทที่บัวเชดและช่องบาระแนะ
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ย. 2550 ในรอบปีที่ผ่านพ้นมาได้พบหลักฐานและข้อมูลใหม่เกี่ยวกับพุทธศาสนาเถรวาทในท้องถิ่นอีสานใต้เพิ่มขึ้น นั่นคือ พระพุทธบาทที่เขาศาลา อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ และ พระพุทธบาทคู่ที่ช่องบาระแนะ อำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์ ทั้งสองแห่งอยู่ในบริเวณเทือกเขาพนมดงเร็ก นับเป็นการพบใหม่สำหรับข้าพเจ้า จากการบอกเล่าและนำทางของคนท้องถิ่น พระพุทธบาททั้งสองแห่งหาได้สร้างขึ้นไว้ในมณฑปหรืออูปมุงอย่างเช่นพบตามวัดที่มีมาแต่สมัยสุโขทัยและอยุธยาอย่างที่ได้รับรู้และคุ้นเคยไม่ หากพบอยู่บนโขดหินและเขาธรรมชาติในบริเวณที่ห่างไกลชุมนุมชน โดยทั่วไปพฤติกรรมในการสร้างรอยพระพุทธบาทนั้นอาจมองอย่างแยกแยะได้เป็น ๒ ลักษณะ อย่างแรกคือสร้างเป็นรอยพระพุทธบาทแล้วจำหลักสัญลักษณ์ที่เป็นมงคลเกี่ยวกับจักรวาลลงบนรอย บางพระบาทก็มี ๑๐๘ สัญลักษณ์ หรือบางพระบาทก็แกะหรือจำหลักเฉพาะรูปธรรมจักรหรือดอกบัวอยู่ตรงกลางเท่านั้น แล้วนำไปประดิษฐานตามวัดหรือแทนที่สำคัญทางศาสนา ส่วนอย่างที่สองก็คือ การสลักลงบนโขดหินหรือเนินหินธรรมชาติที่ถูกกำหนดให้เป็นแหล่งศักดิ์สิทธิ์ [Supernatural Sites] จะไม่ใคร่พบ แต่ที่คุ้น ๆ กันก็คือรอยพระพุทธบาทที่เขาพระพุทธบาทและที่เขาพระพุทธฉาย จังหวัดสระบุรี ที่มีการสร้างตำนานขึ้นมาอธิบายแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมครั้งกรุงศรีอยุธยาตอนปลายเป็นต้นมา พระพุทธบาทสองแห่งที่ทั้งบัวเชดและบาระแนะนับเนื่องในลักษณะอย่างที่สองที่กล่าวมานี้ และเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าให้ความสำคัญในที่นี้เพราะได้สะท้อนให้เห็นความคิดและความเชื่อในตำแหน่งศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติที่มีมาแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ข้าพเจ้าคิดว่าสังคมมนุษย์แทบทุกท้องถิ่นมีการกำหนดภูมิทัศน์และสภาพแวดล้อมธรรมชาติที่ตนตั้งถิ่นฐานเป็น ภูมิวัฒนธรรม [Cultural Landscape] โดยการตั้งชื่อสร้างตำนานอธิบายเพื่อการใช้ร่วมกันในกิจกรรมทางความเชื่อ กิจกรรมทางเศรษฐกิจ-สังคม และการเมืองการปกครอง ในด้านความเชื่อนั้นมักกำหนดด้านลักษณะธรรมชาติที่ดูโดดเด่นผิดปกติเป็นที่สะดุดตาให้เป็นบริเวณศักดิ์สิทธิ์ อันสัมพันธ์กับอำนาจเหนือธรรมชาติ อย่างเช่น ผาแต้ม ริมฝั่งแม่น้ำโขงที่อำเภอโขงเจียม ประตูผา ที่จังหวัดลำปางซึ่งมีการเขียนภาพสีมือแดงและสัญลักษณ์อื่น ๆ ลงไป บริเวณเวิ้งน้ำมีวังน้ำวนว่าเป็นที่อยู่ของจระเข้เผือกในภาคอีสาน หรือเขาลูกโดด เช่น เขาถมอรัตน์ ในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์ เขาสามยอด ของจังหวัดลพบุรี หรือแม้แต่ เขาพระวิหาร บนเทือกพนมดงเร็กที่อยู่ต่อแดนเขมร หรือ เขาภูเก้า ที่เมืองจำปาสักของลาวที่มีแท่งหินธรรมชาติบนยอดเขาคล้ายกับศิวลึงค์ แม้แต่บนเทือกพนมดงเร็กในเขตจังหวัดบุรีรัมย์ก็มีโขดหินธรรมชาติที่พวกขอมโบราณสลักเป็นแท่งศิวลึงค์แล้วสร้าง ปราสาทตาเมือนธม ครอบ ซึ่งเป็นตำแหน่งศักดิ์สิทธิ์บนช่องตาเมือนที่ผ่านและขึ้นลงจากเขมรต่ำ รอยพระพุทธบาทที่บาระแนะมีความคล้ายกับโขดหินที่ปราสาทตาเมือน เพราะอยู่บนช่องเขาแบบเดียวกัน ที่ผู้คนผ่านไปมาจะต้องแวะเข้าทำพิธีกราบไหว้เพื่อความปลอดภัยและความเป็นสวัสดิมงคลในการข้ามเขตแดนหนึ่งไปสู่อีกเขตหนึ่ง ในขณะที่รอยพระพุทธบาทที่บัวเชดอยู่ในตำแหน่งที่อาจไม่ใช่ทางผ่าน แต่เป็นเพิงหินที่มีลักษณะโดดเด่นอยู่ท่ามกลางพื้นหินโดยรอบ อีกทั้งตั้งอยู่ในระดับความสูงที่เป็นศูนย์กลางของสภาพแวดล้อมที่เป็นที่คนมาชุมนุม ประกอบพิธีกรรมร่วมกันได้เป็นจำนวนมาก ตำแหน่งที่เลือกเป็นตำแหน่งศักดิ์สิทธิ์นี้ก็ไม่ไกลไปจากเชิงเขาที่ปัจจุบัน เป็นที่ตั้งวัดเขาศาลาที่เต็มไปด้วยโขดและเพิงหินที่พระสงฆ์หรือฤาษีชีไพรมาพำนักบำเพ็ญภาวนา ดูคล้าย ๆ กันกับบริเวณ พระพุทธบาทบัวบก บนเทือกเขาภูพานในเขตอำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ที่ทางราชการไปกำหนดเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท บริเวณนี้มีความสำคัญมากเพราะเคยเป็นที่พระป่าของอีสาน เช่น หลวงปู่มั่น ท่านเคยธุดงค์ไปวิปัสสนา เมื่อมาถึงตรงนี้ข้าพเจ้าก็ใคร่สรุปว่า รอยพระพุทธบาทบัวเชดนั้นสร้างขึ้นบนเพิงหินศักดิ์สิทธิ์อันเป็นแหล่งประกอบประเพณีพิธีกรรมของพระภิกษุทางพุทธศาสนาที่มีสำนักอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น สำนักพระป่า ก็ได้ สำนักพระป่าและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาตินี้นับเป็นประเพณีของพระภิกษุอรัญวาสีของภาคอีสานมาแล้วแต่สมัยทวารวดี เพราะมีหลักฐานหลายแห่งมากมาย โดยเฉพาะแหล่งที่มีการสลักพระพุทธรูปนอนขนาดใหญ่ตามเขาต่าง ๆ เช่น พระนอนที่เขาภูเวียง อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น พระนอนที่ภูปอและภูค่าวจังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นต้น แต่ปัญหาและคำถามที่สำคัญสำหรับรอยพระพุทธบาททั้งที่บัวเชดและบาระแนะก็คือ ไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยทวารวดีอย่างเช่นในที่อื่นที่กล่าวมาแล้ว อีกทั้งบริเวณเทือกเขาพนมดงเร็กนี้เป็นพื้นที่ของศาสนาฮินดูและพุทธมหายานในวัฒนธรรมขอม-กัมพูชาทั้งสิ้น ซึ่งก็ทำให้มีผู้รู้อย่างเผิน ๆ เป็นจำนวนมากมักอธิบายว่าพุทธศาสนาเถรวาทแพร่เข้ามาในอีสานใต้โดยพวกลาวล้านช้างและจำปาสัก ราวสมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๒-๒๓ ลงมา โดยอาจมีการเคลื่อนไหวในรัชกาลของสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชแห่งนครเวียงจันทน์ ข้าพเจ้ายอมรับว่าคนลาวล้านช้างนิยมสร้างรอยพระพุทธบาทเหมือนกันกับทางสุโขทัยและอยุธยา เพราะติดมาจากพุทธลังกาและพุกาม อีกทั้งมีแพร่หลายมากราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ ลงมา แต่ยังแลไม่เห็นรอยพระพุทธบาทใดในอีสานและลาวที่มีอายุเก่ากว่าพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ขึ้นไป ยกตัวอย่างเช่น การสร้างรอยพระพุทธบาทบนภูพานที่บ้านผือ ไม่ว่าที่พระพุทธบาทบัวบาน พระพุทธบาทบัวบก พระพุทธบาทหลังเต่า หรือแม้แต่ที่เวินพระบาทริมแม่น้ำโขงในเขตอำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ก็น่าจะเป็นของที่สร้างขึ้นแต่สมัยการทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาของ พระครูหลวงโพนเสม็ก ในพุทธศตวรรษที่ ๒๓ ลงมา ข้าพเจ้าคิดว่าประเพณีการสร้างรอยพระพุทธบาทที่มาจากลังกานั้นมากับ ตำนานและความเชื่อในเรื่องของพระเจ้าเลียบโลก ที่สามารถอธิบายได้ถึงการสร้างรอยพระพุทธบาทตามที่ต่าง ๆ ในสุโขทัย อยุธยา ล้านนา และล้านช้าง โดยเฉพาะของล้านช้างนั้นเห็นชัดเจนในตำนานอุรังคธาตุของพระธาตุพนม แต่ความแตกต่างของรอยพระพุทธบาทนี้กับบรรดาพระพุทธบาทอื่น ๆ ไม่ว่าเป็นรุ่นลพบุรี สุโขทัยหรืออยุธยา แม้แต่ล้านช้างและเขมรก็คือ สัญลักษณ์ที่เป็นมงคล ๑๐๘ ประการ เป็นสัญลักษณ์ที่เปรียบเทียบไม่ได้กับสัญลักษณ์ที่เป็นมงคลในที่ไหน ๆ เลย ซึ่งธรรมดาแล้วมงคล ๑๐๘ ประการของพระพุทธบาทคือสิ่งที่ทำให้เห็นจักรวาลทางพุทธที่แตกต่างไปจากคติของศาสนาฮินดูในด้านภพภูมิ เพราะจะแสดงลำดับชื่อให้แลเห็นความเป็นไตรภูมิที่ประกอบด้วย กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ ค่อนข้างชัดเจน รอยพระพุทธบาทของทางพุกามและสุโขทัยแลเห็นภาพสัญลักษณ์ในรูปต่าง ๆ ที่ไม่มีรูปคนและเทพเป็นตัวแทน แต่ทางลพบุรีและอยุธยามักมีรูปเทพแสดงภพภูมิต่างลำดับชั้น แต่รอยสัญลักษณ์ของพระบาทบัวเชดกลับเป็นรูปสัตว์และพันธุ์ไม้พันธุ์พืชนานาชนิดที่อยู่ในตำแหน่งที่สับสน กำหนดลำดับชั้นของภพภูมิไม่ได้เลย โดยเฉพาะสัตว์นั้นมีนับแต่สัตว์บก สัตว์น้ำ สัตว์เลื้อยคลาน ทาก กิ้งกือ ตะขาบ แมงป่อง หอย ปู ปลา และสัตว์อากาศ เช่น นก แมลง ดูแล้วเหมือนยกบรรดาสัตว์และพืชพันธุ์ทั้งหลายในป่ามาแสดงไว้ ฉะนั้น นับเป็นระบบสัญลักษณ์เฉพาะตัวที่สื่อกันเฉพาะคนในกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันในท้องถิ่นหนึ่ง ๆ เท่านั้น บุคคลที่เป็นคนนอกคงไม่สามารถถอดรหัสความหมายได้ ซึ่งในที่นี้ทำให้ข้าพเจ้าต้องคิดเลยเถิดไปถึงความเป็นภาษาของสัญลักษณ์ในแต่ละช่องที่ทำให้ภาพมงคล ๑๐๘ ประการของพระพุทธบาทแห่งนี้เป็นภาษาในจารึกที่ผู้คนในท้องถิ่นใช้สื่อกันเอง ดังนั้น ถ้านำมาติดต่อเป็นบันทึกก็คงได้ความหมายที่ต้องการจะสื่อก็ได้ ข้าพเจ้าเชื่อว่ารอยพระพุทธบาทนี้ แม้ว่าจะมีกรอบโดยรอบเป็นบัวคว่ำบัวหงายตามประเพณีทางอารยธรรมอินเดียก็ตามที่เป็นพุทธหรือฮินดูก็ตาม แต่ลายสัญลักษณ์ที่เป็นสัตว์ พืช แมลง และอื่น ๆ นั้นสะท้อนให้เห็นถึงระบบความเชื่อแบบดังเดิมที่ใช้สัตว์ ต้นไม้ และสิ่งในธรรมชาติอื่นๆ เป็นสัญลักษณ์ในเรื่องความเชื่อ อีกทั้งล้วนเป็นรูปสัญลักษณ์ของคนอยู่ป่ามากกว่าอยู่ในเมือง เมื่อมาถึงตรงนี้แล้วก็ต้องมาหยุดอยู่ที่คำถามที่ว่า แล้วคนที่มาทำพิธีกรรมกราบไหว้รอยพระพุทธบาทนี้คือใคร คนเมืองหรือคนเผ่า ก็คงไม่ใช่คนเผ่าไท เผ่าลาว และเผ่าเขมร แล้วเป็นใคร ถ้าจะเดาคนเผ่าเหล่านี้ก็น่าจะเป็นคนในเผ่าพันธุ์มอญ-เขมร ที่ทางลาวเรียก ข่า ทางเหนือเรียก ลัวะ อะไรทำนองนั้น แต่ในเขตอีสานใต้นี้กลุ่มชาติพันธุ์ที่เกี่ยวข้องคงน่าจะเป็นพวกกูย พวกเยอ ที่น่าจะเคลื่อนย้ายเข้ามาแต่โบราณแล้ว แต่คนเหล่านี้ไม่ได้เลี้ยงช้างจึงไม่เรียกว่าส่วย หากมีอาชีพทำการเพาะปลูกและเก็บของป่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ก็มีงานวิจัยท้องถิ่นที่ผ่านตาข้าพเจ้ามาว่า กูยพวกหนึ่งที่มีอาชีพทำการเพาะปลูกนั้นเวลาทอผ้าได้ทำลายผ้าให้มีลายตะขาบรวมอยู่ในบรรดาลายต่าง ๆ ทั้งหลาย หรือคนกูยที่ไม่ใช่เลี้ยงช้างที่บ้านตรึมในเขตจังหวัดสุรินทร์และศรีสะเกษ มีการบูชาตะกวดเป็นสัตว์สัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ บางทีบรรดาสัตว์ ต้นไม้ และแมลงที่ปรากฏอยู่ในรอยพระพุทธบาทก็น่าจะเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ที่สืบเนื่องมาแต่ความเชื่อดั้งเดิมก็ได้ ยังมีอีกแนวทางหนึ่งในการทำความเข้าใจกับรอยพระพุทธบาทแห่งนี้ก็คือ น่าจะเป็นอาการแรกเริ่มของกลุ่มชาติพันธุ์ที่หันมานับถือพระพุทธศาสนาเถรวาท ซึ่งยังไม่มีความเข้าใจในเรื่องของหลักธรรมคำสอนทางปรัชญาหากเน้นในด้านพิธีกรรมเป็นสำคัญ โดยใช้สัญลักษณ์ทางพุทธศาสนาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สมบูรณ์ในตัวเอง ดังเช่นในงานวิจัยเรื่องคนกะเหรี่ยงในเขตจังหวัดราชบุรีของอาจารย์สุรินทร์ เหลือลมัย ระบุว่า คนกะเหรี่ยงเปลี่ยนเสาหลักบ้านให้เป็นเสาหงส์เมื่อเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา เลยทำให้เสาหงส์กลายเป็นสัญลักษณ์ของวัดไป ชาวกะเหรี่ยงเรียนรู้พุทธศาสนาผ่านพระธุดงค์ที่เข้าไปช่วยรักษาคนด้วยน้ำมันที่เป็นพุทธมนต์ ก็เลยเอาน้ำมันนั้นไปกราบไหว้บูชาเรียกว่า หลวงพ่อน้ำมัน โขดหินอันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธบาทแห่งนี้น่าจะเคยเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของคนในท้องถิ่นนี้มาก่อน และใช้ในการเดินทางเข้ามาประกอบพิธีกรรมตามฤดูกาลเพื่อความอุดมสมบูรณ์ นับเป็นที่ชุมนุมของคนหลายกลุ่มเหล่าทั้งใกล้และไกล ต่อเมื่อรับนับถือพระพุทธศาสนาก็เปลี่ยนให้เป็นรอยพระพุทธบาทโดยอาศัยกรอบบัวคว่ำบัวหงาย การกำหนดดอกบัวให้เป็นสัญลักษณ์จักรวาลและกรอบแสดงสัญลักษณ์มงคล ๑๐๘ ประการเป็นตัวบ่งชี้ เมื่อมากราบไหว้ประกอบพิธีกรรมกันตามฤดูกาลก็มีการนำเอากิ่งไม้หรือต้นไม้ขนาดเล็กมาค้ำไว้โดยรอบโขดหิน เพื่อแสดงการค้ำจุนพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนและเพื่อต่ออายุของตนเองเช่นเดียวกันกับคนเหนือเอาไม้ไปค้ำต้นโพธิ์ต้นไม้ใหญ่ในวัด ปัจจุบันร่องรอยของซากกิ่งไม้ ลำต้นที่แห้ง ๆ จึงถูกนำมาค้ำรอยพระพุทธบาทที่เป็นเพิงหินไว้ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- จากจักรพรรดิฝรั่งเศส–อังกฤษ ถึง จักรพรรดิอเมริกา: กระบวนการสนตะพายคนไทยสยาม
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2551 ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ลงมา เกิดคนสยามรุ่นใหม่ที่ได้รับการศึกษาและรับรู้เรื่องราวของผู้คนและบ้านเมืองตะวันตกกันอย่างมากมาย จนให้ความสำคัญว่า คนตะวันตกเจริญก้าวหน้ากว่าตนจนต้องเอาอย่างจึงจะเป็นคนศิวิไลซ์ [Civilize] และการเป็นชาติที่ศิวิไลซ์ คือ มีอารยธรรมนั่นเอง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้นำเอาจักรพรรดิอเมริกาสู่สังคมไทย การทำตัวศิวิไลซ์ดังกล่าวนี้คือสิ่งที่ทำให้คนตะวันตกโดยเฉพาะชาติที่เป็นจักรวรรดินิยมยอมรับและไม่คุกคามทางการเมืองเพื่อเอาเป็นอาณานิคม คนสยามรุ่นนี้และพวกนี้คือคนที่เรียกว่า คนไทย และเป็นไทยอย่างสมบูรณ์เมื่อมีการยกเลิกชื่อประเทศสยามอย่างแต่เดิมมาเป็นประเทศไทย ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ความนิยมชมชื่นของคนไทยต่อคนฝรั่งตะวันตกดังกล่าวนี้ทำให้มีการเอาครูฝรั่งมาอบรมการศึกษาแบบใหม่ให้ทันสมัยเรื่อยมา ไม่ว่าการศึกษาแต่ระดับอุดมศึกษาขั้นมหาวิทยาลัย จนถึงขั้นมัธยมและประถมก็ล้วนแต่ดำเนินตามโครงสร้างแบบฝรั่งแทบทั้งสิ้น ความรู้ทางวิชาการอย่างหนึ่งในบรรดาความรู้นานาชนิดทั้งหลายคือความรู้ทางประวัติศาสตร์ที่ฝรั่งสั่งสอนอบรมให้ ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องของ คน กับ ดินแดน เวลาฝรั่งมาศึกษาเพื่อเอามาเป็นประโยชน์ในการล่าอาณานิคมนั้น ศึกษาทั้งด้านโบราณคดี [Archaeological past] ซึ่งเป็นเรื่องของอดีตความเป็นมาของดินแดน กับด้านชาติวงศ์วรรณนา [Ethnographical presen] ซึ่งเป็นเรื่องของผู้คนในสังคมปัจจุบันของดินแดนนั้น การเข้าใจเรื่องทั้งสองนี้นำไปสู่การเข้าถึงความเป็นจริงทางสังคมและเศรษฐกิจที่จะเป็นประโยชน์ทางการเมืองของพวกตน การศึกษาเรื่องราวทางโบราณคดีเป็นเรื่องอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วเป็นยุคเป็นสมัย แต่การศึกษาทางชาติวงศ์วรรณนาเป็นเรื่องการสืบเนื่องทางสังคมและวัฒนธรรมของคนในสังคมท้องถิ่น ฝรั่งเข้าใจการมองการเปลี่ยนแปลงทั้งสองอย่างนี้ แต่เวลาสั่งสอนอบรมให้คนไทยเรียนรู้กลับให้ความสำคัญเฉพาะการศึกษาเรื่องราวทางโบราณคดีเป็นส่วนใหญ่ เลยทำให้คนไทยเรียนรู้ประวัติศาสตร์แบบไม่เห็นคน กลับเห็นเพียงรูปแบบทางศิลปะและสมัยเวลาของโบราณสถานวัตถุเป็นสำคัญ วิชาหลักที่ฝรั่งสอนคนไทยให้เชื่อและฟังกันอย่างตกผลึกมาจนทุกวันนี้ก็คือ วิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ เพราะมีศักยภาพในการสื่อสารได้อย่างเป็นรูปธรรมในเรื่องประวัติศาสตร์การเมืองที่ฝรั่งสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ในการล่าอาณานิคม ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสซึ่งเป็นนักล่าอาณานิคมตัวฉกาจในยุคนั้น ใช้หลักฐานทางโบราณสถานวัตถุทางศาสนาที่เป็นศิลปกรรมมาวิเคราะห์สร้างเป็นประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของบรรดาบ้านเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกด้วยโครงสร้างการเมืองการปกครองของยุโรปสมัยวิกตอเรีย ที่มีลักษณะรวมศูนย์เป็นราชอาณาจักรหรือจักรวรรดิ ประสบความสำเร็จในเรื่องการเป็นศูนย์กลางของอำนาจของบ้านเมืองและผู้คนในภูมิภาคนี้ เช่น เรื่องของอาณาจักร ฟูนัน ทวารวดี เจนละ ศรีวิชัย และเมืองพระนคร เป็นต้น บรรดารัฐรวมศูนย์เหล่านี้สะท้อนการแสดงออกของการขยายดินแดนหรือครอบงำบ้านเล็กเมืองน้อยหรือบ้านเมืองใกล้เคียงด้วยการปกครองแบบจักรภพอังกฤษที่มีการส่งขุนนางตัวแทนเข้าไปปกครองเมืองขึ้นต่าง ๆ อำนาจเหนือบ้านเมืองและผู้คนนั้นแลเห็นได้จากรูปแบบทางศิลปกรรมและจารึกที่เป็นศิลปะอักษรและภาษาของเมืองที่เป็นศูนย์กลาง ประวัติศาสตร์แบบนี้ผู้คนในบ้านเมืองของไทย เขมร ลาว ญวน พม่า เขียนไม่เป็น เพราะมีแต่ประวัติศาสตร์แบบตำนาน ดังนั้นเมื่อต้องการความศิวิไลซ์และทันสมัยจึงต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์การเมือง ประวัติศาสตร์ศิลปะแนวคิดและวิธีการจากฝรั่งเท่านั้น ผลพวงจากการทำตัวให้ศิวิไลซ์และทำประเทศให้ทันสมัยแบบตะวันตกนี้เองทำให้มีการรับเอาความรู้และวิธีการในการศึกษา การปฏิรูปการปกครอง การบริหาร ตลอดจนแนวคิดทฤษฎีต่าง ๆ ของประเทศนักล่าอาณานิคมมาใช้ โดยเฉพาะการปฏิรูปการปกครองให้ประเทศสยามเป็นรัฐรวมศูนย์ที่มีโครงสร้างแบบฝรั่ง จึงมีผู้รู้มักพูดว่าเป็นการสร้าง อาณานิคมภายใน [Internal colonization] ความเป็นรัฐรวมศูนย์ [Centralized state] นี้ เคยมีมาแล้วแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา แต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถที่ให้อิทธิพลสืบมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ แต่ว่าเป็นรัฐรวมศูนย์แบบโบราณที่เคยมีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาก่อน คือ มีโครงสร้างทางสังคมและการเมืองกับผู้คนตามท้องถิ่น เมืองขึ้น และบ้านเมืองใกล้เคียงอย่างหลวม ๆ หากระชับและน่าอึดอัดแบบโครงสร้างของรัฐรวมศูนย์ที่เป็นอิทธิพลของพวกล่าอาณานิคมไม่ โครงสร้างแบบใหม่นี้เองที่ทำลายความสัมพันธ์ทางสังคมและการเมืองที่เคยมีกับเมืองขึ้นและบ้านเมือง เพื่อนบ้านที่เคยมีมาแต่เดิมให้หมดไป แต่ที่สำคัญก็คือ การปกครองท้องถิ่นที่เกิด หมู่บ้าน ตำบล จังหวัด ได้ทำลายระบบการปกครองท้องถิ่นแต่เดิม จนทำให้เกิดปัญหาในปัจจุบัน ยุคนี้เกิดนักวิชาการของสยามที่มีความศิวิไลซ์และทันสมัยมากมายหลายแขนงซึ่งล้วนแต่ได้รับการอบรมแนะนำและสั่งสอนโดยนักปราชญ์และนักวิชาการของมหาอำนาจนักล่าอาณานิคมทั้งสิ้น พวกนี้ไม่เพียงแต่ลอกเลียนและท่องจำความรู้ต่าง ๆ ของฝรั่งมาใช้ หากมีรูปแบบในการแต่งกาย การสร้างที่อยู่อาศัยและอะไรต่ออะไรหลายอย่างในการดำรงชีวิตลอกเลียนแบบฝรั่งเกือบทั้งสิ้น ซึ่งทำให้เห็นและคิดได้ว่า คนสยามแม้จะไม่เป็นเมืองขึ้นทางการเมืองของมหาอำนาจนักล่าอาณานิคมก็ตาม แต่ก็มีลักษณะเป็นอาณานิคมทางปัญญามาโดยตลอด และต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน ข้าพเจ้าคิดว่าคนสยามก็ดี หรือคนในปัจจุบันก็ดี ส่วนใหญ่มักอยู่ได้ในบุญทางปัญญาของจักรพรรดิตะวันตกมาถึงสองระยะคือ จักรพรรดิฝรั่งเศส-อังกฤษ แต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ลงมากับจักรพรรดิอเมริกาตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรีจนกระทั่งปัจจุบัน ภายใต้อิทธิพลของจักรพรรดิฝรั่งเศส-อังกฤษนั้น สังคมไทยมีการปกครองแบบรัฐธรรมนูญ (แบบฝรั่งยุคอาณานิคม) ที่คิดว่าคนไทยคือเชื้อชาติที่ยิ่งใหญ่ และคนอื่น ชาติพันธุ์อื่น ต้องต่ำกว่าตัวไปหมด ปลูกฝังให้เกิดสำนึกเช่นนี้ด้วยประวัติศาสตร์ของรัฐของชาติที่ได้รับการอบรมมาจากฝรั่งยุคอาณานิคม มีผลทำให้เกิดการขัดแย้งกับเพื่อนบ้าน เช่น ปัญหาเรื่องเขตแดนและการแบ่งแยกดินแดนทางภาคใต้ซึ่งนับวันจะรุนแรงขึ้นทุกที ตั้งแต่ยุครัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ รัฐบาลไทยอยู่ภายใต้การบงการของจักรพรรดิอเมริกา เพื่อพัฒนาบ้านเมืองให้เป็นประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง และความมั่งคั่งทางวัตถุให้เป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ร่ำรวยทุกสิ่งทุกอย่างเลียนแบบจากฝรั่งอย่างโงหัวไม่ขึ้น พร้อมกันนั้นก็ร่วมมือกับจักรพรรดิอเมริกาทำลายล้างประเทศเพื่อนบ้านที่มีความคิดทาง สังคมนิยม อันเป็นปรปักษ์กับ ชนชั้นนิยม ที่ได้รับการปลูกฝังและตอกย้ำเรื่อยมา ความคิดทางสังคมนิยมของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว และเวียดนามมีความเป็นมาจากคนข้างล่างที่ได้รับความเดือดร้อนจากการเอารัดเอาเปรียบของคนจากข้างบนที่เป็นชนชั้นที่ทำตัวศิวิไลซ์แบบตะวันตก รับค่านิยมแของนายทุนแบบตะวันตกมาปฏิบัติ จนในที่สุดผู้คนข้างล่างที่เดือดร้อนทนไม่ได้ก็ก่อการปฏิวัติทำลายร้างกันอย่างรุนแรง จนทำให้เกิดการเผชิญหน้าในยุคสงครามเย็น ระหว่างฝรั่งสังคมนิยมในนามของพวกคอมมิวนิสต์กับฝ่ายชนชั้นนิยมที่เป็นพวกทุนนิยมในนามของเสรีประชาธิปไตย ซึ่งคนไทยอยู่ข้างฝ่ายหลังนี้ สังคมไทยนั้น นับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นประชาธิปไตย การเปลี่ยนแปลงไม่เคยริเริ่มมาจากความเดือดร้อนของคนข้างล่างเลย หากมาจากกลุ่มของชนชั้นข้างบนทั้งสิ้น ความขัดแย้งมาจากชนชั้นรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่นั่นเอง โดยมีฐานสำนึกเป็นชนชั้นร่วมกันแต่ความคิดแตกต่างกัน ชนชั้นรุ่นใหม่มักเป็นพวกนักเรียนนอกที่ไปเรียนกับประเทศที่เป็นจักรพรรดิทางปัญญา เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกา แลเห็นความศิวิไลซ์แบบประชาธิปไตยที่เป็นทุนนิยมเสรีของจักพรรดิตะวันตกเหล่านั้น ก็เลยคลั่งไคล้เอามาปฏิวัติเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองเพื่อให้ศิวิไลซ์และทันสมัยบ้าง ความสำเร็จที่เกิดขึ้นก็คือหลังจากโค่นล้างคนรุ่นเก่าสำเร็จก็ยังทำตัวเป็นชนชั้นอยู่ร่ำไป ความเป็นประชาธิปไตยที่รับเข้ามาจึงกลายเป็นประชาธิปไตยแบบชนชาติ ค่านิยมของความเป็นชนชั้นยังคงสืบเนื่องมาจากคนรุ่นอยู่นั่นเอง แต่ดูเหมือนชั่วร้ายกว่าเสียอีก เพราะพวกนี้เป็นวัตถุนิยมอย่างสุดโต่งเห็นแก่ประโยชน์ของตัวเองและพรรคพวก รวมทั้งคิดอะไรต่ออะไรในลักษณะเลียนแบบจักรพรรดิอเมริกันทั้งสิ้น ความชั่วร้ายที่สุด ๆ ของชนชั้นรุ่นใหม่เหล่านี้ก็คือ ได้พัฒนาให้เกิดสำนึกความเป็นคนข้ามชาติและเป็นนายทุนข้ามขาติขึ้น เลยทำให้เมืองไทยทั้งประเทศกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่มีนายทุนข้ามชาติยึดครอง แล้วเอาชาวบ้านชาวเมืองทั่วไปที่ตามไม่ทันเป็นทาสแรงงานราคาถูก ๆ ทาสคนไหนไม่พอใจก็เคลื่อนย้ายไปเป็นแรงงานข้ามชาติยังประเทศอื่น พวกนายทุนชั่วร้ายเหล่านั้นทำการอิมพอร์ตแรงงานทาสข้ามชาติจากประเทศเพื่อบ้านเข้ามาในลักษณะละเมิดกฎหมาย เกิดปัญหาค้าทาส ค้ามนุษย์ยุคใหม่ขึ้น ในขณะที่จักรพรรดิอเมริกันมุ่งจะมาแก้เกี้ยวด้วยการประณามผลที่เกิดขึ้นในเรื่อง สิทธิมนุษยชน อยู่ทั่วไป ทั้งภายใต้การชี้แนะของจักรพรรดอเมริกันที่ชอบตอกย้ำการปกครองประชาธิปไตย มีสิทธิและเสรีภาพ ต้องเลือกตั้งภายใต้การเลียนแบบและสำรอกแต่เปลือกของจักรพรรดิอเมริกันมาพัฒนาประเทศและบริหารประเทศของรัฐบาล นายทุนของชนชั้นรุ่นใหม่บนสังคมไทยคือ สังคมแห่งการละเมิดกฎหมาย [Law violating society] เต็มไปด้วยเดรัจฉานข้ามชาติมาปกครอง ในขณะที่สังคมของประเทศเพื่อนบ้านที่เคยเรียกว่าสังคมเผด็จการคอมมิวนิสต์นั้นกลายเป็นสังคมมนุษย์ที่คนในชาติมีสำนึกความรักชาติ [Patriotism] และเป็นสังคมเคารพกฎหมายที่จัดการกับคอรัปชั่นได้อย่างเด็ดขาด [Law abiding society] ในที่สุดนี้ อยากจะพูดว่าภายใต้รัฐประชาธิปไตยตามแบบจักรพรรดิอเมริกันนั้น รัฐบาลหลายสมัยที่ผ่านมาเป็นรัฐบาลของนายทุนข้ามชาติที่ไม่มีสำนึกความเป็นชาติ มักใช้การแก้ไข้กฎหมายรัฐธรรมนูญที่หลอกประชาชนว่าเป็นกฎหมายที่มีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ เพื่อความชอบธรรมในการแสวงหาประโยชน์ ความสุขและความมั่งคั่งเพื่อตัวเองและพวกพ้องทั้งสิ้น กฎหมายรัฐธรรมนูญจึงนับได้ว่าเป็นกฎหมายศักดิ์สิทธิ์ที่อาภัพอัปภาคที่สุดเพราะถูกละเมิดอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมา นับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ม็อบมัฆวานฯกับการสู้อย่างอหิงสา
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ย. 2551 ข้าพเจ้าไม่ชอบคำว่า “ ม็อบ ” เช่นเรียกการเคลื่อนไหวเรียกร้องของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่าเป็นม็อบ แต่ก็ต้องใช้ในที่นี้เพื่อการสื่อให้เข้ากับความเข้าใจของคนทั่วไปในสังคม เหตุที่ไม่ชอบใช้คำว่า “ม็อบ” นี้ก็เพราะเป็นการมองปรากฏการณ์ในลักษณะที่เป็นรูปแบบอย่างผิวเผินจากภายนอก อีกทั้งมักได้รับการชี้แนะจากสิ่งที่เป็นแนวคิดทฤษฎีที่มาจากพวกนักวิชาการ การเคลื่อนไหวเรียกร้องของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เรียกว่า ม็อบพันธมิตร ในขณะนี้ เป็นขบวนการสืบเนื่องมาจากม็อบมัฆวานฯ ในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร นั้น แท้จริงหาใช่ม็อบ [Mop] ไม่ เพราะไม่ได้เป็นเพียงการที่ผู้คนมารวมกลุ่มกันแบบเฮโลเป็นพัก ๆ แล้วหยุดไปโดยไม่รู้จักมักคุ้นกัน แต่มีความสัมพันธ์ระหว่างกันที่ยาวนานและต่อเนื่อง โดยย่อก็คือไม่มีความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างที่ยืนนานนั่นเอง ม็อบพันธมิตรคือการเคลื่อนไหวทางสังคมที่เกิดการเห็นพ้องและรวมตัวของผู้คนในสังคมต่างกลุ่มและต่างชนชั้นที่มีความเห็นทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่แตกต่างไปจากรัฐบาลและคนส่วนใหญ่ในสังคม ในรัฐบาลของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เรียกการบริหารการจัดการทางเศรษฐกิจ การเมืองของรัฐบาลว่าเป็นระบอบทักษิณ ซึ่งเป็นเผด็จการทางรัฐสภาที่ปิดโอกาสการมีส่วนร่วมของประชาชนในระดับรากหญ้า แต่เปิดโอกาสให้เศรษฐกิจแบบทุนนิยมสามาลย์เข้าครอบงำทรัพยากรและสภาพแวดล้อมธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่นด้วยนโยบายประชานิยม จนสังคมท้องถิ่นล่มสลายตั้งแต่ครอบครัวและชุมชน การเคลื่อนไหวดังกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นจากการแสดงความคิดเห็นต่อต้านและวิจารณ์รัฐบาลโดยผ่านสื่อมวลชน และการเรียกร้องชุมชนกันตามที่ต่าง ๆ และในที่สุดก็เกิดการรวมตัวกันขึ้นเพื่อขับไล่รัฐบาลในนามของม็อบมัฆวานฯ เพราะได้อาศัยพื้นที่ส่วนใหญ่ใน ถนนราชดำเนินนอก บริเวณสะพานมัฆวานฯรังสรรค์ซึ่งเป็นต้นทางไปสู่ศูนย์กลางแห่งอำนาจสองแห่ง คือ ทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภา เป็นพื้นที่ในการต่อสู้และต่อรอง การเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมืองนี้มีลักษณะที่เรียกว่า อหิงสา คือไม่ใช้ความรุนแรงด้วยกำลัง นับเป็นวิถีทางที่เป็นสันติวิธี จึงเป็นเหตุเกิดมีผู้นำหรือแกนนำของคนหลายกลุ่มที่มีความคิดเห็นเหมือนกันมารวมตัวกันในลักษณะที่เป็นแนวร่วม บุคคลที่เป็นแกนนำเหล่านี้แม้ว่าจะมีความคิดในเรื่องต้านระบอบทักษิณร่วมกันก็ตาม แต่ก็แตกต่างกันในความคิดเห็นส่วนตัว เพราะมีพื้นฐานความเป็นมาที่แตกต่างกัน บางคนก็เป็นนักหนังสือพิมพ์และเป็นนายทุน บางคนเป็นทหาร บางคนเป็น NGO เป็นต้น ทำให้การรวมตัวและการเรียกร้องของคนเหล่านี้เป็นไปแบบไม่มีใครเป็นผู้นำโดยเด็ดขาด มักมีการปรึกษาหาหรือถกเถียงกันจนมีเอกภาพจึงได้ดำเนินการ จากประสบการณ์ของแต่ละคนแต่ละกลุ่มที่เคยมีมาแต่สมัยความรุนแรงไม่ว่า ๑๔ ตุลา ๑๖ หรือ ๖ ตุลา ๑๙ หรือพฤษภาทมิฬ ได้ทำให้เกิดกระบวนการเรียกร้องและต่อสู้เป็นไปในลักษณะสันติวิธีที่เรียกว่า อหิงสา จึงเป็นเหตุให้บรรดาคนที่เป็นปัญญาชนไม่ว่านักวิชาการ พ่อค้า คหบดี ข้าราชการที่เป็นชนชั้นกลางและคนชั้นล่างที่เป็นกรรมกรและชาวบ้านเข้ามาร่วมด้วยเป็นกลุ่มพลังขนาดใหญ่ที่มีตัวแทนแของคนทุกภาคและแทบทุกจังหวัดมาร่วมด้วยในพื้นที่ของถนนราชดำเนิน จากสนามหลวงไปจนถึงรัฐสภา ถนนราชดำเนิน คือถนนที่เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและการปกครองมาแทบทุกยุคทุกสมัย ที่เชื่อมต่อระหว่างพระบรมมหาราชวังถึงรัฐสภาอันเป็นสัญลักษณ์ของศูนย์อำนาจ [Seat of power] จากสมัย สมบูรณาญาสิทธิราช ถึงสมัยการปกครองระบอบประชาธิปไตย ประกอบด้วยพื้นที่สำคัญในการรวมตัวกัน ๓ แห่ง คือบริเวณท้องสนามหลวง หน้าพระบรมมหาราชวังในถนนราชดำเนินใน อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในถนนราชดำเนินกลาง และลานพระบรมรูปทรงม้า หน้ารัฐสภาในบริเวณปลายถนนราชดำเนินนอก การชุมนุมกันของกลุ่มคนที่ต่อต้านรัฐบาลทักษิณสมัยนั้นเริ่มแต่บริเวณข้างสนามหลวงไปหยุดอยู่ที่สะพานมัฆวานฯ อันเป็นพื้นที่ต้นทางที่จะไปยังรัฐสภาและทำเนียบรัฐบาลอันเป็นตำแหน่งแห่งอำนาจของรัฐแต่ละครั้ง การเคลื่อนไหวของผู้คนที่เรียกร้องและต่อต้านรัฐบาลจะมุ่งที่ทำเนียบเสมอมา อย่างเช่นการเรียกร้องของสมัชชาคนจนในกรณีเขื่อนปากมูล เป็นต้น ที่มีคนจนและชาวบ้านจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาเรียกร้อง แต่การชุมนุมครั้งนี้แตกต่างไปจากการชุมนุมของกลุ่มสมัชชาคนจน เพราะแทนที่จะไปอยู่บริเวณรอบทำเนียบรัฐบาลอย่างเคย กลับใช้พื้นที่บนถนนราชดำเนินนอกอันมีสะพานมัฆวานรังสรรค์เป็นศูนย์กลาง ทางรัฐบาลและคนทั่วไปจึงเรียกว่า “ ม็อบมัฆวานฯ ” ม็อบมัฆวานฯ ต่างกับม็อบสมัชชาคนจนในลักษณะที่มีองค์ประกอบที่ไม่ใช่คนจนและชาวบ้านแต่เพียงอย่างเดียว หากประกอบด้วยคนเมืองคนชั้นกลาง คนที่เป็นแรงงาน นักธุรกิจ ข้าราชการบำนาญ และกลุ่มปัญญาชนกรรมกร การชุมนุมก็แตกต่างไปจากการเข้ามายึดพื้นที่ค้างแรมเรียกร้องและกีดขวางการคมนาคมของกลุ่มสมัชชาคนจนมาเป็นการใช้พื้นที่ ทั้งต่อต้านกีดขวางเรียกร้อง และเป็นพื้นที่ทางสังคมทั้งในด้านสันทนาการและเวทีการแสดงความคิดเห็น และการเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเศรษฐกิจร่วมกัน แต่ที่สำคัญคนส่วนใหญ่ไม่ปักหลักอยู่ในพื้นที่ตลอดเวลา หากมีกาลเทศะ คือตอนเช้า-สายและบ่ายแดดร้อนและไม่สะดวก คนส่วนใหญ่ก็กลับบ้านหรือไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ต่อตอนเย็นและค่ำจึงมาชุมนุมกันจนกระทั่งเที่ยงคืนหรือกว่านั้นเล็กน้อย โดยเฉพาะผู้ชุมนุมที่เป็นคนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ก็มักจะพาลูกหลาน พ่อแม่ และตายายมาร่วมชุมนุมด้วย เกิดกลุ่มย่อยๆ มากมาย ตั้งวงสนทนาแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนกันในกิจกรรมทางการเมือง โดยฟังการบรรยายและการปราศรัยของพวกแกนนำ และแขกรับเชิญบนเวที หรือในจอโทรทัศน์บ้างเป็นครั้งเป็นคราว ในขณะที่เด็ก ๆ ก็มีของกิน ฟังดนตรี หรือฝึกการเขียนรูปหน้าตานักการเมือง จนหลาย ๆ คนเขียนรูป ไอ้หน้าเหลี่ยม เป็นกันเกือบทุกคน พวกที่มีบทบาทดังกล่าวนี้ ก็คือบรรดาศิลปินที่ช่วยสร้างการบันดาลใจอะไรต่ออะไรในทางความเป็นมนุษย์ให้กับเยาวชน ในขณะเดียวกันบรรดานักศึกษาจากสถาบันการศึกษาที่มีมากมายหลายคณะหลายมหาวิทยาลัย ก็เข้ามามีส่วนร่วมและได้รับการเรียนรู้การเมือง การปกครองด้วยประสบการณ์นอกห้องเรียน นอกทฤษฎีของพวกครูบาอาจารย์ที่ชอบลอกเลียนฝรั่งมา การชุมนุมของม็อบมัฆวานฯ นี้ ย่อมไม่ใช่ม็อบ หากเป็นการเคลื่อนไหวทางสังคมที่มีการเติบโตและขยายตัวโดยใช้การหลีกเลี่ยงความรุนแรงที่เรียกว่า อหิงสา เป็นสำคัญ ในที่สุดก็ขยายพื้นที่ไปชุมนุมเรียกร้องหน้าทำเนียบรัฐบาล ทำให้ทางฝ่ายรัฐที่ถือว่าตนมีอำนาจชอบธรรมตามกฎหมาย มีความคิดที่จะจัดการปราบปรามด้วยมาตรการที่รุนแรงอันจะนำไปสู่การนองเลือด จึงเปิดโอกาสให้ฝ่ายทหารอ้างความชอบธรรมมายุติด้วยการปฏิวัติในลักษณะเดียวกันกับครั้งยุคพฤษภาทมิฬที่ทำให้เกิด รสช. การปฏิวัติครั้งนี้เรียกว่า คมช . ก็อีหรอบเดียวกันกับครั้ง รสช . เพราะแรกเริ่มคนส่วนใหญ่ก็มาให้พวงมาลัยและช่อดอกไม้ แต่ตอนท้ายกลับให้พวงหรีดแทน ความล้มเหลวทั้งสองครั้งกลับทำให้เกิดรัฐบาลที่มีนักการเมืองและนายทุนในระบอบทักษิณกลับมาครองเมืองอีกและดูเข้มแข็งขึ้นอย่างเดิม แต่ก็กำลังถูกต่อต้านจากขบวนการเคลื่อนไหวที่สืบเนื่องมาจากครั้งม็อบมัฆวานฯ ของกลุ่มชนหลายชั้นหลายกลุ่มเพิ่มขึ้น มีการขยายตัวจากพื้นสะพานมัฆวานฯ มายึดทำเนียบรัฐบาลอันเป็นที่ทำการแบ่งอำนาจของรัฐบาลสำเร็จด้วยกระบวนการที่หลีกเลี่ยงความรุนแรงหรือที่เรียกว่า อหิงสา เช่นเดิม โดยใช้คำกล่าวใหม่ว่า “ อารยะขัดขืน ” [Civil disobediences] ครั้งนี้ ม็อบมัฆวานฯ เปลี่ยนชื่อมาเป็น ม็อบพันธมิตร (พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย-PAD) ที่แสดงอาการเคลื่อนไหวอย่างมีระบบและอุดมการณ์มากมายกว่าแต่เดิม พื้นที่ภายในทำเนียบรัฐบาลและสะพานมัฆวานฯ ได้ถูกปรุงแต่งให้เป็นชุมชนชั่วคราวขนาดใหญ่ที่อาจเรียกได้ว่า เป็นค่ายของกองทัพในลักษณะที่เรียกว่า บางระจัน ก็ได้ เพราะเป็นที่รวมกำลังของคนหลายชนชั้นหลายกลุ่มอาชีพแทบทุกภูมิภาคของประเทศ ที่มีความคิดเห็นทางการเมืองการปกครองเหมือนกัน แต่โครงสร้างของค่ายหรือชุมชนแห่งนี้หาใช่ชุมนุมชนเพื่อการทำสงครามด้วยการใช้กำลังที่ใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทำลายล้างชีวิตไม่ หากเป็นค่ายศึกแบบอหิงสาที่มีผู้หญิงและคนแก่เป็นไพร่พลเป็นสำคัญ โครงสร้างทางกายภาพของชุมชนเฉพาะกาล ค่ายรบแบบอหิงสานี้ แบ่งพื้นที่เป็นสองส่วนชั้นนอกและชั้นใน ภายในรั้วของทำเนียบคือชั้นใน เป็นทั้งที่ตั้งเวที ที่พักของพวกแกนนำและผู้คนที่มาร่วมชุมนุม รอบ ๆ ลานเวทีเป็นเต้นที่พักแรมมากมายหลายขนาด ที่ผู้ชุมนุมจัดหามาเพื่อใช้เวลาทั้งวันได้โดยตลอด ไม่ต้องกลับกลับบ้านหรือเข้าออกไปมาบ่อย ๆ เป็นเหตุให้การแสดงความคิดเห็นและการแสดงอะไรต่าง ๆ บนเวทีเป็นไปได้ตลอดวัน เมื่อเกิดความเมื่อยล้าก็นอนพักได้ พอหายเมื่อยแล้วก็รุกขึ้นมานั่งฟังและรวมกลุ่มกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อ นับเป็นการตรึงให้คนอยู่กับที่ได้อย่างยาวนาน แต่ที่สำคัญบรรดาผู้ที่มาแสดงความคิดเห็นการบ้านการเมืองบนเวทีนั้น ไม่ใช่จำกัดอยู่เฉพาะกลุ่มแกนนำที่มีราวสิบกว่าคนเท่านั้น หากเปิดโอกาสให้แขกรับเชิญที่เป็นผู้รู้ที่หลากหลายทั้งประสบการณ์ ความรู้และแนวคิด ทฤษฎีพลัดกันขึ้นมา นับเป็นการระดมสมองที่กว้างไกลและลุ่มลึกกว่า ความคิดเห็นของพวกแกนนำแต่ฝ่ายเดียว อีกทั้งเป็นการให้พวกแกนนำมีเวลาพักผ่อนและดำเนินนโยบายและยุทธวิธีที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้ ผู้คนที่อยู่ในบริเวณชั้นในภายในรั้วทำเนียบนั้น คือคนแก่ทั้งชายและหญิง คนวัยกลางคนและคนหนุ่มสาวที่ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลาง คนแก่ที่เป็นชายมักเป็นข้าราชการบำนาญ มีทั้งทหารและพลเรือน รวมทั้งนักธุรกิจอาวุโส ส่วนพวกคนแก่ที่เป็นหญิงมักมากับลูกสาวและหลาน ๆ หลายคนมีฐานะและภูมิฐานนั่งเก้าอี้ฟังอย่างสงบ พวกที่ชอบบู๊ก็มีคาดผ้าสัญลักษณ์ที่ศีรษะและแสดงอารมณ์ ส่วนคนวัยกลางคนและคนสาวหลายคนแต่งตัวสะอาดทันสมัยแบบไปเที่ยวปิกนิค มีมากมายหลายระดับล้วนแล้วแต่มีการศึกษาและมีอาชีพฐานะทั้งสิ้น คนเหล่านี้มีอาชีพค้าขายมากกว่าเป็นข้าราชการ มีเวลาพอเพียงที่จะมาร่วมชุมนุม แถมยังนำเอาลูกเต้ามานั่งเล่นนั่งฟังในเวลาที่ว่างจากโรงเรียน แต่ที่สำคัญคนเล่านี้ไม่ได้มามือเปล่า หากยังนำเงินทองสิ่งของมาร่วมบริจาคและต่อสู้ โดยเฉพาะอาหารและเครื่องอำนวยความสะดวกในการนั่งนอนอย่างสบาย การปรุงแต่งพื้นที่ไม่ให้มีการน้ำท่วมและกันฝนนั้น เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้กองทัพควบคุมอุปสรรคจากดินฟ้าอากาศ โดยเฉพาะฝนและพายุฝนได้ ภายในรั้วทำเนียบอีกเช่นกันที่มีเต๊นท์ของกลุ่มคนที่มาจากต่างจังหวัดหลายๆ จังหวัดอยู่โดยรอบ มีกลุ่มคนอาสาสมัครที่เป็นผู้รักษาความปลอดภัยดูแลตรวจตราและอำนวยความสะดวก มีแหล่งนำอาหารแจกฟรีที่รวมทั้งบรรดาอาหารที่ผู้มาชุมนุมนำมาสมทบ ทำให้มีเสบียงอาหารเลี้ยงกันอย่างพอเพียง แต่ที่สำคัญการกินอยู่มีระเบียบ มีกาลเทศะและไม่พร่ำเพรื่อ โดยเฉพาะไม่เอาเข้ามานั่งกินนั่งแทะกันในระหว่างฟังการอภิปรายและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น บริเวณนอกรั้วทำเนียบนับเป็นชั้นนอก มีเต๊นท์ของผู้รวมชุมนุมจากจังหวัดต่าง ๆ รวมทั้งคนที่เข้ามาสมทบใหม่กระจายกันอยู่สลับไปด้วย สถานที่ประกอบอาหารแจกอาหาร สถานที่พยาบาลและยารักษาโรค มีหน่วยรักษาความปลอดภัยของชายอาสาสมัครรวมอยู่ด้วยตามจุดต่าง ๆ พื้นที่บริเวณนี้มีซุ้มของร้านและโต๊ะที่ตั้งขายสิ่งของอันเป็นอุปกรณ์ทางสัญลักษณ์ของการเป็นกลุ่มพันธมิตร เรียงรายอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็นเสื้อ ผ้าคาดหัว เครื่องประดับ และเครื่องใช้ต่าง ๆ แต่ที่สำคัญก็คือ มือตบ ที่นับได้ว่าเป็นอัตลักษณ์ของการเป็นพันธมิตรเป็นอาวุธของการต่อสู้แบบอหิงสา มีมากมายกลายเป็นทั้งของที่ระลึกและเพื่อการท่องเที่ยว โต๊ะขายของที่ระลึกนี้เรียงรายไปสองข้างทางตั้งแต่หน้าทำเนียบไปตามถนนหน้าสำนักงาน ก.พ.ร. จนถึงลานพระบรมรูปทรงม้าและหักมุมไปตามถนนคู่ขนานริมทางของถนนราชดำเนินนอกไปจนมาสะพานมัฆวานฯ อันเป็นแหล่งชุมนุมของเหล่านักศึกษาและเยาวชนพันธมิตรที่มีเวทีอภิปรายเด่นตระหง่านอยู่กลางถนนราชดำเนิน บนสะพานมัฆวานรังสรรค์ พื้นที่ขายของที่ระลึกนี้สลับกันไปกับร้านขายอาหารการกินที่พ่อค้าแม่ขายจากที่ต่าง ๆ นำมาตั้งขายแก่ผู้คนที่อยากกินแบบเสียสตางค์ และพวกคนจากถิ่นต่างๆ ที่พากันมาเที่ยวทำให้บริเวณรอบนอกของค่ายพันธมิตรดูเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่ง เพราะในเวลาตอนเช้าและกลางวันผู้คนที่เข้ามาในบริเวณนี้มักเป็นพวกมาเที่ยวดูมากกว่ามาชุมนุม โดยมีคนหลายกลุ่มที่มาจากต่างจังหวัดรวมทั้งชาวต่างชาติเข้ามาในรูปของการจัดการท่องเที่ยว ที่เรียกว่า ทัวร์พันธมิตร ในความเป็นอยู่ของผู้คนในค่ายพันธมิตรที่ทำเนียบนี้ นอกจากมีการส่งเสบียง การจัดเสบียงให้คนมีกินมีอยู่อย่างสบายแล้ว การจัดการในรูปของห้องน้ำและห้องส้วมก็ดูมีระเบียบ แม้ว่าจะไม่สะดวกสบายอย่างความเป็นอยู่ในบ้านและในชุมชนก็ตาม อีกทั้งการจัดการในเรื่องการทำความสะอาด และกิจกรรมในชีวิตประจำวันก็มักเป็นการร่วมมือร่วมแรงกัน ทำในลักษณะที่เสมอภาคและช่วยเหลือกันเอง แต่ที่สำคัญไม่แลเห็นร่องรอยของความขัดแย้งที่มาจากการลักขโมยและการทะเลาะวิวาทกันเองแต่อย่างใด ตามที่กล่าวมาแล้วนี้ คือการวิเคราะห์และพรรณนาให้เห็นถึงสถานที่และโครงสร้างทางกายภาพของชุมชนเฉพาะกาลที่เรียกว่า ค่ายพันธมิตร อันมีลักษณะที่แตกต่างไปจากสิ่งที่เรียกว่า “ ม็อบ ” เป็นสำคัญ แต่ต่อไปจะเป็นเรื่องของการอธิบายให้เห็นว่า คนพันธมิตร นั้นเป็นอย่างใด ถ้ามองจากภายนอกอย่างที่บรรดานักวิชาการส่วนใหญ่มองแต่ครั้งเริ่มการเคลื่อนไหวมาแต่สมัยยังเป็น ม็อบมัฆวานฯ คนที่เป็น ม็อบพันธมมิตร ก็คือคนชั้นกลางเป็นส่วนใหญ่ จึงมักมีการตีความและอธิบายจากข้อมูลที่ผิวเผินว่า คนพวกนี้คือพวกที่มีความหน่อมแน้มและสบายแบบคนในเมืองที่ไม่รู้สึกร้อนหนาวกับความเดือดร้อนของคนชั้นล่าง โดยเฉพาะคนจนที่เคยมารวมกลุ่มกันเป็นสมัชชาคนจนต่อต้านรัฐบาล และเป็นกลุ่มคนที่ไม่ใคร่มีมันสมองถูกปลุกระดมโดยบรรดากลุ่มแกนนำให้มาต่อต้านรัฐบาลชุดที่แล้ว ที่ก็ยังมีการดำเนินการแบบประชานิยมเพื่อช่วยเหลือคนจน จึงทำให้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มคนจนและออกมาต่อต้านเผชิญหน้ากับกลุ่มพันธมิตรที่เป็นชนชั้นกลาง นักวิชาการเหล่านี้ แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับนโยบายประชานิยมของรัฐบาลที่เอาเงินไปแจกชาวบ้านในลักษณะกองทุนหมู่บ้านก็ตาม แต่ก็ดูให้น้ำหนักไปในทางการเห็นใจและต่อสู้เพื่อคนจนและคนชั้นล่างจนเกินไป โดยไม่คำนึงว่าม็อบพันธมิตรนั้นไม่ใช่ม็อบแบบม็อบสมัชชาคนจน ที่มารวมตัวกันเป็นครั้งคราวแล้วเลิกไป อีกทั้งเป็นม็อบที่ทางรัฐบาลสามารถปลุกระดมให้มาสนับสนุนตนได้ด้วยเงินค่าจ้าง อันพอ ๆ กับเงินซื้อเสียง จากการที่ได้เข้าไปสังเกตและสัมผัสม็อบพันธมิตรที่มีทั้งโครงสร้างทางกายภาพและโครงสร้างสังคมด้วยตนเอง ข้าพเจ้าก็ยังยืนยันว่า ม็อบพันธมิตรไม่ใช่ม็อบ หากเป็นการเคลื่อนไหวของผู้คนในสังคมหลายชนชั้นและกลุ่มเหล่าที่มีความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับการเมืองแบบประชาธิปไตยเหมือนกันที่มารวมตัวกันอย่างเนือง ๆ จนมีระยะเวลาเกือบสี่เดือน กลุ่มคนเหล่านี้มาจากคนเมืองในกรุงเทพฯ และภาคกลาง ร่วมกับคนกรรมกร และชาวบ้านชาวเมืองในภาคใต้เป็นสำคัญ แม้ว่าจะมีชาวบ้านชาวเมืองจากภาคอื่น ๆ ไม่ว่าภาคเหนือและภาคอีสาน บ้างก็เป็นส่วนน้อย คนเหล่านี้ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมืองของระบอบทักษิณที่เป็นทุนนิยมแบบปัจเจกเดรัจฉานในยุคโลกาภิวัตน์ โดยก่อนหน้ากันไม่ว่าจะเป็นคนชั้นกลาง คนเมืองและกรรมกร คนเหล่านี้คือคนที่ปรับตัวเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรมที่มีความคิดเห็นนอกเห็นในได้ดี ซึ่งต่างกันกับคนในม็อบสมัชชาคนจนที่ยังอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของคนชาวนาที่มีมาแต่สมัยสังคมชาวนา รวมทั้งคนเมืองและคนชั้นกลางรุ่นใหม่ที่เป็นพวกนายทุนสามานย์ ได้รับผลตอบแทนจากระบอบทักษิณ คนชั้นกลางของฝ่ายพันธมิตรก็คือกลุ่มคนที่เป็นคนรวยเก่าที่มีสำนึกในการเป็นคนที่มีโคตรเง่าและรักการเกิดในแผ่นดินไทย แลเห็นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจการเมืองแบบโลกาภิวัตน์ คือแบบข้ามชาติและเป็นทุนนิยมแบบปัจเจกเดรัจฉานจนขาดความเป็นมนุษย์กับคนชั้นกลางในระดับล่างพ่อค้าแม่ขายที่พอมีพอกิน ที่ถูกเบียดเบียนโดยการครอบงำของทุนนิยมข้ามชาติ คนเหล่านี้มักเป็นคนกรุงเทพฯ และคนส่วนใหญ่ตามเมืองในภาคกลาง ในขณะที่คนจากภาคใต้นั้นเป็นกลุ่มชนที่มีพัฒนาการเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรมเป็นคนที่ดูทันโลกและรักในท้องถิ่นแผ่นดินเกิดที่ไม่เอาทุนนิยมแบบโลกาภิวัตน์ข้ามชาติ เหตุนี้คนพันธมิตรจึงอาจเรียกได้ว่าเป็น คนมีชาติ ในทางตรงข้ามทางฝ่ายรัฐบาลคือกลุ่มของนายทุนข้ามชาติ ที่เข้ามาบริหารประเทศสืบเนื่องแต่รัฐบาลที่แล้ว ซึ่งนอกจากจะยึดมั่นในระบอบทักษิณเหมือนเดิมแล้ว ยังพยายามแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญเพื่อช่วยเหลืออดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรให้พ้นผิดจากการถูกศาลตัดสินลงโทษในกรณีคอร์รัปชั่นและโกงชาติ การเป็นฝ่ายรัฐบาลนั้นคือการอ้างและอาศัยความชอบธรรมทางกฎหมายจากได้รับเลือกตั้งเข้ามาตามระบอบประชาธิปไตย ทำให้มีอำนาจทางกฎหมายที่จะจัดการกับฝ่ายพันธมิตร กลุ่มคนข้ามชาติที่เป็นนักธุรกิจและนักการเมืองที่มีอำนาจอยู่ในขณะนี้ จึงมีบรรดานักวิชาการจากมหาวิทยาลัยและสถาบันทางการศึกษาอีกจำนวนหนึ่งที่สนับสนุนทั้งทางตรงและทางอ้อม คนเหล่านี้ได้รับการอบรมแบบตะวันตกให้มีความคิดแบบข้ามชาติเช่นเดียวกัน ผู้ที่สนับสนุนทางตรงก็คือผู้ที่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาและทำงานกับรัฐบาลตามหน้าที่ทางราชการ ส่วนพวกที่สนับสนุนทางอ้อมก็คือ พวกที่อยากทำตัวเป็นกลางตามหลักเหตุผล แนวคิดทฤษฎีและตีความง่าย ๆ อย่างขาดข้อเท็จจริง รวมทั้งมีเป็นจำนวนมากที่มีอคติกับทางพระมหากษัตริย์ในเหตุการณ์รุนแรงสมัย ๖ ตุลา อย่างไรก็ตาม การดำเนินการตอบโต้ของทางฝ่ายรัฐบาลนั้น ก็ไม่มีแต่เฉพาะกลุ่มคนข้ามชาติเท่านั้น หากยังมีคนในชาติรวมอยู่ด้วย เพราะสามารถปลุกระดมและว่าจ้างมาเข้าเป็นพวกเป็นฝ่ายเพื่อให้เกิดความชอบธรรมทางกฎหมายรัฐธรรมนูญได้ คนในชาติเหล่านี้ก็คือพวกชาวบ้านและคนจนที่ส่วนใหญ่ในจังหวัดทางภาคเหนือและภาคอีสาน คนเหล่านี้คือกลุ่มคนยังมีสำนึกเป็นคนชาวนาในสังคมชาวนา [Peasant society] แต่เดิมที่ปรับตัวไม่ทันโลกในเส้นทางการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรม คนเหล่านี้ยังยึดมั่นในระบบอุปถัมภ์ที่เคยมีมากแต่เดิมระว่างชนชั้นปกครองและชนชั้นที่ถูกปกครอง แต่ระบบสังคมศักดินาจึงถูกพวกข้ามชาติสามารถมอมเมาด้วยวิธีการประชานิยมนำมาเป็นพวกพ้องและเครื่องมือในการต่อต้านและปราบปรามทางฝ่ายพันธมิตร ทำให้การจัดการกับกลุ่มพันธมิตรที่ใช้วิธีอหิงสาและสันติวิธีต้องเผชิญกับการใช้อำนาจปราบปรามด้วยอำนาจกฎหมายที่นำไปสู่ความรุนแรง ซึ่งก็เห็นได้จากความแตกต่างในการชุมนุมทางฝ่ายพันธมิตรเรียกร้องด้วยการชุมนุมมีเวทีแสดงความคิดเห็น และมีมือตบเป็นอาวุธ อีกทั้งคนส่วนใหญ่เป็นหญิงคนแก่รวมทั้งเด็ก ในขณะที่ทางฝ่ายรัฐสนับสนุนม็อบ นปก. ที่จัดตั้งให้มาชุมนุมตอบโต้ แต่บ่อยครั้งกลับล้ำเส้นล้ำเขตเข้ามาทุบตีก่อความรุนแรง ซึ่งแต่ละครั้งก็แลเห็นประจักษ์จากสื่อมวลชนไม่ว่าหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์ การเกิดความรุนแรงขึ้นแต่ละครั้งนั้น ทางฝ่ายรัฐบาลมักออกมาแก้ตัวและกล่าวหาว่าฝ่ายพันธมิตรเป็นผู้กระทำทั้งสิ้น แต่ก็ดูเหมือนเสียเปรียบแทบทุกครั้งไป เพราะความไม่ทันสมัยและล้าหลังในการสื่อสารของฝ่ายรัฐเอง ในขณะที่ทางพันธมิตรมีความทันสมัยทั้งวิธีการและการเสนอข่าว การแสดงความคิดเห็นที่ทำให้ปัญญาชนและวิญญูชนแลเห็นข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ได้ รวมทั้งอาจตรวจสอบความจริงใจของทางฝ่ายพันธมิตรได้ นั่นก็คือแม้ว่าทางพันธมิตรจะด้อยกว่าทางรัฐในแง่ของการสื่อทางหนังสือพิมพ์ ที่มีหลาย ๆ ฉบับเอียงไปทางข้างรัฐบาล แต่ทางพันธมิตรก็มี ASTV เป็นสื่อไปทั้งในและนอกประเทศให้แลเห็นขั้นตอนต่าง ๆ ที่ทำให้ผู้ฟังแลเห็นภาพรวมได้อย่างตลอด โดยเฉพาะภาพที่เห็นในค่ายพันธมิตรตามที่กล่าวมาแล้วนั้น เป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองและสังคม ที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นพฤติกรรมของม็อบ การต่อสู้ของพันธมิตรอย่างอหิงสาหรือสันติวิธีนั้นเป็นการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ เพื่อให้อำนาจทางสังคมได้เข้ามาจัดการควบคุมและต่อรองให้รัฐได้ดำเนินการไปในทางที่ถูกต้อง [Social sanction] หาใช่การต่อสู้ด้วยกำลังเพื่อบีบบังคับจนเกิดบาดเจ็บอะไรไม่ การเข้ายึดทำเนียบนั้นนับเป็นชัยชนะของวิธีการอหิงสา ความสำคัญก็คือเป็นการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์อีกเช่นกัน เพราะเป็นศูนย์อำนาจทางการบริหาร ซึ่งก็น่าชมทางรัฐบาลและตำรวจที่ไม่ใช้การปราบปรามด้วยกำลังรุนแรง ต่อมาการเคลื่อนคนเข้าปิดล้อมรัฐสภาก็เป็นอหิงสาเช่นกัน เพื่อขัดขวางการประชุมของสภาไม่ให้มีการแก้กฎหมายได้เร็ว นับเป็นการทำลายเชิงสัญลักษณ์ของอำนาจทางนิติบัญญัติ และรอเวลาให้ทางฝ่ายศาลยุติธรรมได้ตัดสิน ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าฝ่ายพันธมิตรหวังพึ่ง หวังเห็น ศูนย์อำนาจหลักหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยได้ทำหน้าที่อย่างชอบธรรม โดยเหตุนี้การเข้าปิดล้อมรัฐสภา จึงไม่มีการรุกล้ำเข้าข้างในให้เกิดการกล่าวหาว่าจะมีการใช้กำลังรุนแรง แกนนำที่ทำไปก็กล่าวห้ามและเตือนผู้ชุมนุมตลอดเวลาไม่ให้เข้าไปในบริเวณรัฐสภาและเตรียมพร้อมที่จะยืนหยัดรับการจัดการทางฝ่ายตำรวจที่จะใช้แก๊สน้ำตาตามกระบวนการปราบจลาจลของรัฐบาลที่เป็นอารยะ เพราะจะไม่มีทางที่เกิดการบาดเจ็บจนเสียชีวิตได้ พฤติกรรมการเคลื่อนไหวนี้แลเห็นจากทีวีและภาพของสื่อมวลชนเป็นอย่างดี ในขณะเดียวกันก็ได้แลเห็นการปราบปรามที่ทั้งผิดขั้นตอนของการใช้แก๊สน้ำตาด้วยวิธีทางอายะมาเป็นวิธีการรุนแรงแบบมุ่งหมายเอาชีวิตและทำลายล้าง การใช้การยิงแก๊สน้ำตาแบบทำลายล้างก็ดี รวมทั้งการแฝงด้วยอาวุธระเบิดก็ดี เป็นการกระทำที่ป่าเถื่อนของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รัฐบาลจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ แต่ที่เลวร้ายและไร้มนุษยธรรมก็คือ ทางฝ่ายรัฐได้แถลงข่าวและทำทุกอย่างในลักษณะโกหกเพื่อปฏิเสธความรุนแรงที่ทำให้คนได้เสียชีวิตและบาดเจ็บโดยสิ้นเชิง รวมทั้งเกิดขบวน การเคลื่อนไหวที่มีการปลุกขึ้น และจัดตั้งม็อบแบบ นปก. ให้มาเพื่อก่อความรุนแรงแบบทำลายล้างในเวลาที่จะมาถึงอีก สิ่งที่แสดงถึงการโกหกแบบอัปรีย์ชนของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งก็คือ การให้สัมภาษณ์ว่า ผู้หญิงที่โดนระเบิดตายนั้นมาจากการหนีบระเบิดไว้ที่ตัวเอง ทุกวันนี้สังคมไทยแบ่งแยกเป็น ๒ ขั้ว โดยมีสีเหลืองและสีแดงเป็นสัญลักษณ์ กลุ่มเสื้อเหลืองคือกลุ่มของคน มีชาติ มีศาสนาและมีพระมหากษัตริย์ ส่วนพวกเสื้อแดงเป็นกลุ่มของคน ข้ามชาติที่ไม่มีชาติ คือแผ่นดินเกิดเป็นพวกที่ต้องการเป็นสากลจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้ เป็นพวกที่ไม่มีศาสนา เพราะนับถือแต่เงินและหลงใหลในทางวัตถุตามแบบสังคมตะวันตกอันมีอเมริกาและอังกฤษเป็นตัวอย่าง และคงจะไม่มีพระมหากษัตริย์ด้วย คนข้ามชาติ คือคนที่ไม่มีชาติ พร้อมที่จะขายชาติและขายตัวเพื่อความเป็นสากล แต่ก็พร้อมที่จะปลุกระดมและมอมเมาคนในชาติที่เป็นชาวบ้านให้เป็นคนคลั่งชาติและรับใช้นายทุนต่างชาติ ส่วนคนมีชาตินั้นคือคนรักชาติ ที่อาจจะต้องต่อสู้ด้วยวิธีที่ไม่ใช่อหิงสาหรือสันติวิธีอีกต่อไปก็ได้ เป็นที่น่ากลัวว่าในไม่ช้าความขัดแย้งและความรุนแรงที่เกิดขึ้นในภาคใต้ซึ่งรัฐที่มีกำลังตำรวจและทหารไม่มีน้ำยาในการจัดการให้สงบได้ กำลังจะมาเยือนคนไทยทั้งชาติในเร็ววันนี้ ...สังคมไทยกำลังเจ็บป่วย ที่เต็มไปด้วยคนบาปข้ามชาติ โอ้ ความวิบัติ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ต่อรองโลกาภิวัตน์ ต่อต้านโลกาวิบัติต้องขจัดโลกียวิสัย
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2553 ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๘ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๓ ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าทำหน้าที่เป็นวิทยากรนำคณะท่องเที่ยวเพื่อทางเลือกของบริษัทสยามมิชลิน กรุ๊ป จำกัด อันมีผู้ใหญ่ของเครือซีเมนต์ไทยร่วมเดินทางไปด้วยเช่นทุกปี ไปที่จังหวัดแพร่และน่านเพื่อเรียนรู้และสัมผัสสิ่งที่เป็นศิลปวัฒนธรรมและชีวิตวัฒนธรรมของคนเมืองแพร่และคนเมืองน่าน เขาช้างผาด่าน ผาแดง ยามเช้าที่เมืองแพร่ โดยทั่วไป การไปเที่ยวนั้นมักมุ่งแต่เรื่องศิลปวัฒนธรรมแต่โสดเดียว ซึ่งก็เป็นการแลเห็นและสัมผัสเพียงรูปแบบที่สวยงามน่าตื่นตาตื่นใจแต่เพียงอย่างเดียว หาให้ความสำคัญกับสิ่งที่เป็นความหมายและสัญลักษณ์ที่เป็นเรื่องลึกลงไปถึงชีวิตวัฒนธรรมของผู้คนในชุมชนและสังคมไม่ การเลือกเดินทางไปเมืองน่านในครั้งนี้ได้แลเห็นทั้งศิลปวัฒนธรรมและชีวิตวัฒนธรรมที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปของผู้คนปัจจุบันในแอ่งแพร่และแอ่งน่าน แอ่งแพร่เป็นแอ่ง [Basin] ของลำน้ำยม ในขณะที่แอ่งน่านเป็นแอ่งของลำน้ำน่าน อันเป็นแควสำคัญที่เป็นต้นน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยาในภาคกลาง การเดินทางไปน่านต้องผ่านแอ่งแพร่ก่อน จึงต้องทำความรู้จักกับแอ่งแพร่ในเวลาสั้น ๆ ที่บริเวณวัดพระธาตุช่อแฮซึ่งคนล้านนาและคนไทยปัจจุบันเห็นว่าเป็นพระธาตุประจำปีขาลหรือปีเสือ พระธาตุช่อแฮ เป็นพระบรมธาตุเจดีย์ที่เก่าแก่ของเมืองแพร่ มีพัฒนาการมาแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนาลังกาวงศ์ที่มาจากสุโขทัย ในทางศิลปวัฒนธรรม พระธาตุช่อแฮคือสิ่งสวยงามและเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของบ้านเมืองที่แสดงถึงความรุ่งเรืองทางศิลปกรรมและอารยธรรมที่คนนอกอยากมาเห็นมากราบไหว้ และคนในพากันมาทำพิธีกรรมกราบไหว้และฉลองตามฤดูกาลที่กำหนดในรอบปี ในปัจจุบันนับเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของเมืองแพร่จนมีการบูรณะและพัฒนาเพื่อการท่องเที่ยวของ ททท. อันเป็นโลกียวิสัย จนกลายเป็นแหล่งเสื่อมโทรมทางวัฒนธรรมแห่งหนึ่งของจังหวัดแพร่ โดยเฉพาะบริเวณเขาอันเป็นเขตพุทธาวาสที่ภายในประดิษฐานพระมหาสถูปที่ประดิษฐานพระบรมธาตุ และเจดีย์อันเป็นพระวิหารได้ถูกรายล้อมไปด้วยอาคารสมัยใหม่ที่เป็นกุฏิพระสงฆ์ ที่เข้ากันไม่ได้กับบรรยากาศของความขรึมขลังศรัทธา ในขณะที่เบื้องล่างก็กลายเป็นแหล่งตลาดค้าขายสินค้าเพื่อการท่องเที่ยวที่ทำให้เกิดป่าคอนกรีตขึ้นมาแทนที่ความร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่ที่เคยมีมาแต่อดีต อันสภาพแวดล้อมและสิ่งก่อสร้างใหม่ในปัจจุบันดังกล่าวสร้างขึ้นเพื่อขานรับการท่องเที่ยวแบบล้างผลาญ [Mass tourism] ของ ททท. เช่นนี้ คือสิ่งที่บดบังและทำลายความสำคัญทางประวัติศาสตร์และสังคมวัฒนธรรมของคนแพร่แต่โบราณจนหมดสิ้น ผู้ที่เสียหายก็คือคนท้องถิ่น [Local stakeholder] ที่ต้องเผชิญกับการล่มสลายทางสังคมแบบประเพณีที่มีมาช้านาน ข้าพเจ้าเรียนรู้จากผู้รู้ของเมืองแพร่และจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณคดีและชาติพันธุ์ว่า ตำแหน่งที่ตั้งของพระธาตุช่อแฮนั้นเป็นจุดสำคัญทางสังคมวัฒนธรรมของเมืองแพร่ เป็นบริเวณเชิงเขาที่ลาดลงมาจากทิวเขาทางตะวันออกของแอ่งแพร่ที่สัมพันธ์กับเขาช้างผาด่านและผาแดง อันเป็นเขาศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นต้นน้ำของลำห้วยที่ไหลผ่านที่ราบลุ่มเชิงเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดพระธาตุช่อแฮลงสู่ที่ราบลุ่มสองฝั่งลำน้ำยม อันเป็นที่ตั้งของเมืองแพร่ ลำน้ำลำห้วยเหล่านี้คือต้นน้ำที่ทำให้เกิดการทำฝายและขุดเหมืองหล่อเลี้ยงพื้นที่ราบลุ่มเพื่อการเกษตรกรรมและเพื่อการมีน้ำกินน้ำใช้ของคนเมืองแพร่ทางฝั่งตะวันออกของลำน้ำยม ก่อนพุทธศตวรรษที่ ๒๐ เมืองแพร่แต่เดิมตั้งอยู่ ณ บริเวณพระธาตุช่อแฮ อันเป็นบริเวณที่คนจากที่สูงคือพวกลัวะซึ่งเป็นชนเผ่าดั้งเดิมเคลื่อนย้ายลงมารวมกับกลุ่มคนไทยและลาวที่เป็นคนในที่ลุ่ม รู้จักการชลประทานแบบเหมืองฝาย การผสมผสานของคนจากที่สูงและคนจากที่ลุ่มนี้สะท้อนให้เห็นจากการมี ศาลขุนลัวะอ้ายก้อม อยู่หน้าดอยซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระธาตุช่อแฮ สมัยก่อนบริเวณบันไดขึ้นสู่พระวิหารบนดอยที่อยู่หน้าพระธาตุนั้นเป็นลานกว้าง มีศาลขุนลัวะอ้ายก้อมอยู่ข้าง ๆ หันหน้าลงสู่ที่ราบลุ่มทางตะวันตกเฉียงเหนือและแลเห็นเขาช้างผาด่านและผาแดงอันเป็นเขาศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นต้นน้ำแต่ไกล ลานกว้างนี้เป็นแหล่งชุมนุมของผู้คนเมืองแพร่เผ่าต่าง ๆ ที่มาประกอบพิธีกรรมในการไหว้พระบรมธาตุ แต่ปัจจุบันทางวัดและทางจังหวัดทำถนนเข้ามาให้เป็นลานจอดรถสำหรับคนขึ้นไปเที่ยวไหว้พระธาตุ เลยไม่ไยดีกับศาลขุนลัวะอ้ายก้อมที่ในอดีตคือแหล่งของอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่ดูแลพระบรมธาตุและคนเมืองแพร่ พระธาตุแช่แห้งที่เมืองน่าน การเกิดเมืองแพร่บนฝั่งน้ำยมที่มีการสร้างกำแพงเมืองและขุดคูเมืองอย่างที่เห็นในปัจจุบันนี้ เป็นผลที่สืบเนื่องมาจากการเคลื่อนย้ายของผู้คนมาบริเวณชุมชนเก่าที่พระธาตุช่อแฮลงมาตามลำน้ำและเหมืองฝาย เป็นผลมาจากการเรียนรู้ในการจัดการร่วมกันของการสร้างบ้านแปงเมืองอย่างชัดเจน เพราะการจัดการในเรื่องการชลประทานเหมืองฝายนั้น ทำให้สามารถควบคุมการตั้งหลักแหล่งที่อยู่อาศัยบนที่ราบลุ่มที่น้ำท่วมถึงได้ นั่นคือไม่เพียงแต่จะตั้งหลักแหล่งเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่สามารถทำการเพาะปลูกในพื้นที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึงได้ดี แต่ยังสามารถควบคุมน้ำไม่ให้ท่วมเมืองที่ตั้งอยู่บริเวณที่น้ำเอ่อท่วมในบริเวณที่ตั้งเมืองได้ ดังเห็นได้จากการดำรงอยู่ของเวียงแพร่ที่มีกำแพงดินเป็นกำแพงเมืองแบบที่ไม่ก่ออิฐ มีใบเสมารับทางปืน มีป้อมปราการแบบตะวันตกเช่นเดียวกับเวียงร่วมสมัยในที่อื่น ๆ เหตุที่กำแพงเวียงแพร่ไม่เปลี่ยนแปลงก็เพราะยังคงทำหน้าที่ในการป้องกันน้ำท่วมเมืองได้อย่างที่เคยเป็นมาแต่อดีต เพราะฉะนั้น การมาที่พระธาตุช่อแฮได้แลเห็นตำแหน่งที่ตั้งและภูมิประเทศ ตลอดจนการเรียนรู้ประวัติความเป็นมานั้นจะทำให้เข้าใจถึงกระบวนการสร้างบ้านแปงเมืองของเมืองแพร่ ที่เกิดจากการเคลื่อนย้ายของกลุ่มชนเผ่าลัวะบนที่สูง บริเวณเทือกดอยช้างผาด่าน ผาแดง ลงสู่ที่ราบลุ่มบริเวณพระธาตุช่อแฮ ผสมผสานกับกลุ่มชนในที่ราบลุ่มที่มีความรู้ในเรื่องการสร้างฝายและขุดเหมือง อันเป็นกลไกในการจัดการน้ำทั้งเพื่ออุปโภคและบริโภค ตลอดจนการเพาะปลูก ขยายแหล่งที่ทำกินและแหล่งที่อยู่อาศัยลงสู่ที่ราบลุ่ม จนมีการสร้างเมืองแพร่ริมฝั่งน้ำยมขึ้นในที่สุด เขาช้างผาด่าน ผาแดง คือภูศักดิ์สิทธิ์อันเป็นแหล่งผีต้นน้ำของบรรดาลำน้ำลำห้วยที่ไหลลงสู่ที่ราบลุ่ม ทำให้เกิดการสร้างฝายและเหมืองและสร้างบ้านแปงเมืองจากบริเวณพระธาตุช่อแฮมายังเมืองแพร่ เหมืองฝาย คือการจัดการน้ำอันเป็นทรัพยากรร่วมของคนเมืองแพร่ในอดีตที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ทั้งที่ลงมาจากที่สูงและคนจากที่ราบซึ่งเคลื่อนย้ายมาจากที่อื่น เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้เกิดการขยายที่ทำกินและที่อยู่อาศัยเป็นบ้านเป็นเมืองขึ้น เหมืองฝายเป็นภูมิปัญญาของผู้คนที่มีสำนึกร่วมกันของคนเมืองแพร่ เป็นการจัดการน้ำที่แลเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนที่จะต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเหล่า ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติ อันได้แก่ น้ำ ดิน และสภาพแวดล้อมในลักษณะที่เป็นนิเวศวัฒนธรรมและความสัมพันธ์ระหว่างคนกับอำนาจเหนือธรรมชาติในทางศาสนา ผีและพุทธอันรวมศูนย์อยู่ ณ บริเวณพระธาตุช่อแฮที่เชื่อมโยงระหว่างลำน้ำลำห้วยจากเขาศักดิ์สิทธิ์ช้างผาด่านมายังที่ราบลุ่มพระธาตุช่อแฮและลงสู่ที่ราบลุ่มริมน้ำยมอันเป็นที่ตั้งของเมืองแพร่ เหมืองฝายเป็นการจัดการน้ำที่เป็นชลประทานราษฎร์ของผู้คนในท้องถิ่น แต่ปัจจุบันแอ่งแพร่และบ้านเมืองได้ถูกทำลายจนเกิดภาวะน้ำท่วมและดินถล่ม [Landslide] จากการจัดการน้ำและที่ดินของรัฐอันเป็น ชลประทานหลวง ที่เป็นเทคโนโลยีมาจากภายนอก การจัดการน้ำแบบชลประทานหลวงคือการข่มขืนธรรมชาติ เป็นการตัดความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติ คือการขุดคลองชลประทานและทำเขื่อนตัดทางน้ำที่เป็นลำน้ำลำห้วยแล้วเบนน้ำไปใช้ตามพื้นที่การเพาะปลูกหรือพื้นที่ทางอุตสาหกรรมของบรรดานายทุน และผู้ประกอบการที่มาจากภายนอก หรือไม่ก็เอาไปกระตุ้นการผลิตแบบละเมิดฤดูกาลธรรมชาติ เช่น การทำนาปรัง เป็นต้น ในขณะที่การจัดการน้ำแบบชลประทานราษฎร์แบบเหมืองฝายของคนแพร่และคนล้านนาโดยทั่วไปแต่โบราณนั้น คือ การจัดการทรัพยากรร่วมของคนท้องถิ่น [Common property] มีความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คือไม่ทำเพื่อปัจเจกบุคคล หากเป็นการทำเพื่อการอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มทางสังคม มีความสัมพันธ์กับธรรมชาติในเรื่องการทำกิน แหล่งทำกินที่สัมพันธ์กับชุมชนทั้งในระดับบ้านเมือง และมีความสัมพันธ์กับสิ่งเหนือธรรมชาติทางศาสนาและระบบความเชื่อที่ควบคุมให้คนอยู่ร่วมกัน ทำงานร่วมกันในกรอบของกติกาทางสังคม ศีลธรรม และจริยธรรมเพื่อมีชีวิตรอดร่วมกันอย่างราบรื่น แต่การจัดการชลประทานหลวงของรัฐนั้นเป็นการจัดการแบบโลกีย์ เพื่อตอบสนองความต้องการทางวัตถุที่ไม่มีมิติทางความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติ และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติแม้แต่น้อย ผลที่ตามมาก็คือเมืองแพร่ถูกทำลายโดยการทำเกษตรอุตสาหกรรมแบบไม่มีฤดูกาล อย่างเช่นเมื่อสองปีที่แล้วมา พื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของพระธาตุช่อแฮซึ่งเป็นที่ลาดเชิงเขาจากดอยศักดิ์สิทธิ์ เช่น เขาช้างผาด่าน ผาแดง ถูกโคลนดินถล่ม [Landslide] เรือกสวนไร่นาถูกทำลาย รวมทั้งบ้านช่องเสียหายยับเยิน แต่คนแพร่ในปัจจุบันที่เป็นการผสมผสานของคนรุ่นใหม่ที่เคลื่อนย้ายจากถิ่นต่าง ๆ เข้ามาพร้อมกับอำนาจการจัดการแบบเศรษฐกิจการเมืองของรัฐ พวกคนเหล่านี้คือคนที่คิดเป็นปัจเจก ยุ่งแต่เรื่องวัตถุที่เป็นโลกียวิสัย จึงยากที่จะแก้ไขและบูรณาการเศรษฐกิจสังคมให้มีดุลยภาพดังเช่นอดีตได้ ยิ่งในกระแสโลกาภิวัตน์ของปัจจุบันที่แผ่โครงสร้างเดรัจฉานที่มากับเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีที่เน้นคนเป็นปัจเจกหรือเดรัจฉานนั้นคือพาหะสำคัญที่บรรดานักการเมือง นักธุรกิจการเมือง ข้าราชการและนักวิชาการที่เป็นทาสของระบบการปกครองประชาธิปไตยแบบตะวันตก และระหว่างเศรษฐกิจแบบเดรัจฉานลงสู่และครอบงำผู้คนในท้องถิ่นนั้น ผลที่ตามมาก็คือโลกาวิบัติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เมื่อข้าพเจ้าและคณะเดินทางข้ามเขาจากแอ่งเมืองแพร่มาสู่แอ่งเมืองน่านก็แลเห็นความแตกต่างระหว่างคนน่านกับคนแพร่ แอ่งน่านและคนน่านยังไม่อยู่ในลักษณะการครอบงำของโลกาภิวัตน์อย่างเมืองแพร่ เพราะแอ่งน่านอยู่ไกลกว่า การคมนาคม เช่น ถนนขนาดใหญ่ และการลงทุนจากพวกเดรัจฉานยังไม่เคลื่อนเข้ามาเท่าใดนัก ทำให้เมืองน่านยังเป็นสังคมที่ผู้คนยังมีหัวนอนปลายตีนอยู่ เพราะสืบเนื่องกันมาอย่างมีรากเหง้า ยังมีภูมิปัญญาทางความคิดและเทคโนโลยีที่ยังพึ่งตนเองได้ในการทำให้เกิดการทำมาหากินที่เป็นเศรษฐกิจแบบพอเพียง ที่ยังคงรักษาความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติ และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติในลักษณะที่ต่อรองกับโลกาภิวัตน์อยู่ โลกของคนน่านจึงเป็นโลกของคนที่เป็นมนุษย์ ทั้งในสังคมชนบทและสังคมเมือง ในสังคมชนบทผู้คนยังมีที่ทำกิน ทำเกษตรแบบพอเพียง บ้านเรือนแม้จะเปลี่ยนแปลงไป แต่ก็ไม่ดูใหม่อย่างฟุ่มเฟือยแบบที่อื่น ๆ ในสังคมเมืองยังไม่มีตึกสูงในรูปของคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร วัดวาอารามทั้งวัดประจำบ้านและประจำเมืองยังเป็นวัดที่เรียบง่าย สะอาด มีการจัดพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์และสาธารณ์ได้อย่างเหมาะสม ไม่เต็มไปด้วยป่าคอนกรีตที่แออัดแบบวัดในเมืองใหญ่ที่มีพวกขุนนางพระที่เป็นเจ้าอาวาสเป็นเจ้าของ ข้าพเจ้าแลเห็นสิ่งที่ต่างกันราวฟ้ากับดินระหว่างวัดพระธาตุแช่แห้งซึ่งเป็นวัดพระบรมธาตุแห่งเมืองน่านกับวัดพระธาตุช่อแฮของเมืองแพร่ แต่ที่สำคัญเมืองน่านมีการเคลื่อนไหวทางภูมิปัญญาของคนรักเมืองน่านทั้งคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ในการอนุรักษ์และพัฒนาสังคมเศรษฐกิจและวัฒนธรรมในภาคประชาชน ที่แตกต่างไปจากกระบวนการพัฒนาของรัฐ วิธีคิดและกระบวนการอนุรักษ์และพัฒนาสภาพแวดล้อมและชีวิตวัฒนธรรมของคนรักเมืองน่านนั้น มีลักษณะเป็นองค์รวมที่แลเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คือไม่ใช่เป็นปัจเจกแต่เป็นการร่วมกันของคนในชุมชนท้องถิ่นระดับบ้านและเมือง ที่มีสำนึกร่วมในบ้านเกิดเมืองนอนเดียวกัน ดังเช่นคนในบ้านดอนมูล อำเภอท่าวังผา ที่ได้จัดการอนุรักษ์ลำน้ำน่านและสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นให้เป็นของส่วนรวมด้วยภูมิปัญญาที่มีมาแต่เดิม ผสมผสานกับแนวคิดและการใช้เทคโนโลยีแบบใหม่ ชาวบ้านดอนมูลและชุมชนใกล้เคียงล้วนเป็นลูกหลานของคนเมืองหล้า อันเป็นคนไทลื้อที่เคลื่อนย้ายมาจากลุ่มน้ำโขงในแดนประเทศลาว หันมาพึ่งอำนาจเหนือธรรมชาติเพื่อการอยู่ร่วมกันและการจัดการทรัพยากรร่วมกันจากเจ้าหลวงเมืองล้าซึ่งเป็นผู้นำทางวัฒนธรรม ด้วยการฟื้นฟูศาลผีเมืองซึ่งเป็นศาลมเหสักข์และการปั้นรูปเจ้าหลวงขึ้นกราบไหว้ เป็นประธานในพิธีกรรมทางความศักดิ์สิทธิ์ร่วมกัน สร้างพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอันเป็นที่รวมของความรู้และภูมิปัญญาในการดำรงชีวิตวัฒนธรรมร่วมกัน เพื่อให้คนทั้งรุ่นปัจจุบันและรุ่นหลังได้เรียนรู้รากเหง้าของตนเอง ในขณะเดียวกันก็อนุรักษ์วัดวาอารามที่เป็นศิลปกรรมแบบไทลื้อ อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมให้มีความงดงามเป็นอัตลักษณ์ของพวกตนอย่างน่าภูมิใจ ทั้งหมดนี้เป็นทั้งการอนุรักษ์และพัฒนาจากคนใน อันเป็นการดำเนินการของภาคประชาชนที่สามารถต่อรองกับการรุกล้ำทรัพยากรและการพัฒนาทางเศรษฐกิจการเมืองที่มาจากภาครัฐได้อย่างดียิ่ง อนุสาวรีย์เจ้าเมืองล้าที่บ้านดอนมูล ตั้งอยู่ริมน้ำน่านและชาวบ้านจัดเรือนแบบไตลื้อให้เป็นตัวอย่างพิพิธภัณฑ์ที่แสดงวิถีชีวิตแบบคนไตลื้อ การเคลื่อนไหวจากภาคประชาชนโดยคนในเพื่อประโยชน์ของคนในท้องถิ่นเช่นนี้ คือสิ่งที่ทำให้เมืองน่านกลายเป็นเมืองที่น่าอยู่และดูเหมือนจะขานรับความสนใจของคนนอก โดยเฉพาะจากแดนมิคสัญญีในกรุงเทพฯ ด้วยการโยกย้ายถิ่นฐานและสำมะโนครัวมาเป็นคนเมืองน่านกัน ก็เลยอดวิตกไม่ได้ว่า ถ้าท่านเหล่านั้นมาด้วยน้ำใสใจจริงแล้วก็ดีไป แต่ถ้าหากยังมากับความคิดที่เป็นวัตถุนิยมที่เป็นโลกียวิสัยดังเช่นคนกรุงเทพฯ แล้ว ก็นับว่าน่าเสียใจสำหรับเมืองน่านทีเดียว อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- “จากยศช้างขุนนางพระ ถึงยศพระขุนนางพ่อค้า”การเปลี่ยนแปลงสังคมวัฒนธรรมในรัชกาลพระภูมิพล*
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2553 “ตัวตน” และ “ชนชั้น” ในสังคมไทย แก่นแท้ของวัฒนธรรมนั้นก็คือ เรื่องของความคิด หรือถ้าจะพูดให้กระชับขึ้นก็คือความคิดและวิธีคิดของกลุ่มชนที่อยู่รวมกันเป็นสังคม เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการแสดงออกร่วมกันทางพฤติกรรมที่เป็นรูปแบบ ทั้งในทางรูปธรรมและนามธรรม สิ่งที่เป็นรูปแบบทางรูปธรรมนั้นเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ง่าย ในขณะที่สิ่งที่เป็นนามธรรมเป็นสิ่งที่ค่อนข้างหยุดนิ่งเปลี่ยนแปลงได้ยากและช้า ความล่าช้าดังกล่าวนี้อาจเป็นสาเหตุให้สังคมที่เป็นเจ้าของวัฒนธรรมนั้น ๆ อยู่ในภาวะที่เรียกว่า “ ล้าหลังทางวัฒนธรรม ” ก็ว่าได้ ในโลกปัจจุบัน บรรดาประเทศโลกที่สามซึ่งแต่ก่อนนี้เรียกกันว่าประเทศด้อยพัฒนาบ้าง หรือกำลังพัฒนาบ้างนั้น นับเป็นกลุ่มประเทศที่ประสบกับภาวการณ์ล้าหลังทางวัฒนธรรม อันเนื่องมาจากไม่อาจปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมทางจิตใจให้เข้ากับความเจริญทางวัตถุที่ได้อิทธิพลมาจากภายนอกได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะว่า ประเทศโลกที่สามจำนวนมากเหล่านั้นเป็นสังคมแบบประเพณีที่มีความเจริญเป็นอาณาจักรและมีอารยธรรมมาช้านาน โดยเฉพาะประเทศในเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีประเทศไทยร่วมอยู่ด้วยประเทศหนึ่ง สิ่งที่เป็นแก่นแท้ของความคิดที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ “ ค่านิยม ” อันเป็นสิ่งที่คนในสังคมคิดและมีความเห็นร่วมกันว่าเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี มักเป็นสิ่งที่เกิดจากการสังสรรค์และการถ่ายทอดกันมาช้านานของผู้คนที่อยู่ในสังคมเดียวกัน เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ยากมาก โดยเฉพาะในสังคมแบบประเพณีที่มีความเก่าแก่ เคยมีอารยธรรมมานั้น ดูจะยากกว่าสังคมที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ มากทีเดียว ความขัดแย้งเช่นนี้ทำให้ข้าพเจ้าเห็นว่าประเทศที่เคยมีอารยธรรมเก่าแก่เช่นประเทศไทยอาจนับเป็นประเทศโลกที่สามกับเขาได้ การที่มาถูกกล่าวหาหรือถูกกำหนดให้เป็นประเทศโลกที่สามหรือประเทศด้อยพัฒนาดังกล่าวนี้ ก่อให้เกิดความไม่พอใจแก่บุคคลในสังคมนั้นเป็นอย่างมาก เลยทำให้มีการพัฒนาบ้านเมืองกันอย่างมากมายเพื่อประกาศให้โลกรู้ว่าตนนั้นไม่ด้อยพัฒนา ทว่า การพัฒนาดังกล่าวนั้นมักเป็นเรื่องการพัฒนาทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นทางด้านวัตถุเสียมาก ผลที่ตามมาก็คือกลับยิ่งไปขยายช่องว่างระหว่างความเจริญทางวัตถุและค่านิยมซึ่งเป็นเรื่องของความคิดจิตใจมากกว่าแต่เดิม จนเกิดคำกล่าวให้ได้ยินยอมบ่อย ๆ ว่า “modernization without development” คือ ความทันสมัยแต่ไม่พัฒนา นับเป็นความขัดแย้งระหว่างภาวะทางวัตถุกับทางจิตใจนั่นเอง เมื่อเข้ากันไม่ได้ การปรับตัวให้ทันสมัยก็ไม่เกิดผล จึงดำรงอยู่ในภาวะความล้าหลังเมื่อเปรียบเทียบกับสังคมอื่นที่เขาปรับตัวเองได้ ผลของความล้าหลังที่เกิดขึ้นก็คือช่องว่างทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดขึ้น ระหว่างรัฐกับเอกชนจะเห็นว่าเกิดความเจริญเติบโตทางองค์กรธุรกิจเอกชนอย่างมากมายที่สามารถเปรียบได้กับประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ในระบบราชการและองค์กรของรัฐยังอยู่ในสภาพล้าหลังที่ควบคุมและสร้างดุลยภาพระหว่างกันไม่ได้ เท่ากับไม่สามารถรักษาบทบาทหน้าที่ของรัฐในการควบคุมขององค์กรทางธุรกิจไม่ให้แสวงหาผลประโยชน์จากสังคมถ่ายเดียวไม่ได้ ทำให้คนในสังคมเอารัดเอาเปรียบกัน คือคนที่มีการศึกษาดีกว่า ฉลาดกว่า ก็กลายเป็นผู้ฉวยโอกาสจากคนด้อยโอกาสที่มีเป็นจำนวนมาก สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ คนถูกมองเป็นทรัพยากร เรียกว่า “ ทรัพยากรมนุษย์ ” มีค่าเท่ากับทรัพยากรธรรมชาติและอื่น ๆ ในกรอบความคิดที่เป็นเศรษฐกิจไป ผลที่ตามมาก็คือ ทั้งคนและสิ่งแวดล้อมธรรมชาติที่ถูกมองว่าเป็นสิ่งของทางเศรษฐกิจถูกทำลายอย่างย่อยยับ ดังที่แลเห็นภาพการล่มสลายของครอบครัวและชุมชน ตลอดจนภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างในทุกวันนี้ สิ่งที่โดดเด่นอันเป็นผลพวงมาจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในประเทศไทยขณะนี้ก็คือ การเกิดชนชั้นกลุ่มใหม่ที่เข้ามามีอำนาจในการปกครองบ้านเมือง ซึ่งส่วนใหญ่มีพื้นฐานมาจากชนชั้นกลางที่เป็นพ่อค้า ซึ่งอาศัยช่องว่าทางการเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรม ชนกลุ่มนี้ก้าวขึ้นสู่ความเป็นผู้นำในด้านเศรษฐกิจและการเมือง บางคนกลายเป็นสมาชิกของบริษัทข้ามชาติที่เชื่อมโยงเข้ากับระบบเศรษฐกิจของโลกในยุคโลกานุวัตรไปก็มี ดังนั้น สิ่งที่เห็นในสังคมไทยยุคใหม่ที่สำคัญก็คือ ความมั่งคั่งกับอำนาจกลายเป็นสิ่งเดียวกันอย่างแยกไม่ออก และผู้ที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจก็คือผู้ที่มีอำนาจทางการเมืองและการปกครองโดยปริยาย การเปลี่ยนแปลงที่เห็นนี้ ถ้ามองอย่างเผิน ๆ แล้ว ก็จะเห็นว่าประเทศไทยและสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก แต่นั่นก็เป็นไปในมิติทางเศรษฐกิจและสังคมเท่านั้น ถ้าหากนับวัฒนธรรมรวมเข้าไปด้วยแล้ว ก็บอกได้แต่เพียงว่า วัฒนธรรมบางส่วนบางเรื่องเท่านั้นที่เปลี่ยน แต่สิ่งที่เป็นแก่นแท้ทางวัฒนธรรม เช่น ค่านิยม หาได้เปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วอย่างที่คิดไม่ ค่านิยมที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปนี้ก็มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองเช่นที่แลเห็นได้ในปัจจุบัน ค่านิยมสำคัญที่ว่านี้มีสองอย่าง คือ ความเป็นปัจเจกบุคคล ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากพุทธศาสนาหินยานหรือเถรวาทกับ ความยากมีตัวตนและชนชั้น ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากระบบขุนนาง หรือระบบศักดินาที่มีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เวทีประท้วงที่เชิงสะพานผ่านฟ้า ค่านิยมทั้งสองอย่างนี้มีตัวตนอยู่ในระบบค่านิยมและโครงสร้างทางวัฒนธรรมของสังคมไทยมาทุกยุคทุกสมัย แต่ในที่นี้จะวิเคราะห์เพียงค่านิยมอย่างที่สอง คือเรื่องความมีตัวตนและชนชั้นเท่านั้น ขอกล่าวแต่เพียงคร่าว ๆ ว่า ความเป็นปัจเจกบุคคลที่ได้รับมาจากพุทธศาสนา สอนให้คนเป็นที่พึ่งแห่งตน และรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองนั้น เข้ากันได้ดีกับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรีในปัจจุบัน ส่วนค่านิยมในเรื่องความมีตัวตนและชนชั้นนั้น ถ้ามองในแง่มุมสังคมแบบประชาธิปไตยแล้วก็คือสิ่งที่ขัดขวางความเจริญอย่างชัดเจนและเป็นรากเหง้าของความแตกต่างกันระหว่างตะวันตกกับตะวันออก เพราะค่านิยมในเรื่องความเสมอภาคคือผลิตผลของสังคมประชาธิปไตยในตะวันตก เป็นคุณธรรมที่ถ่วงดุลไม่ให้ค่านิยมในเรื่องความเป็นปัจเจกบุคคลดำเนินไปอย่างสุดโต่งและเป็นสิ่งพื้นฐานที่ลักดันให้เกิดเรื่องสิทธิมนุษยชนขึ้น เมื่อสังคมไทยรับระบอบประชาธิปไตยเข้ามา จึงเกิดความขัดแย้งโดยไม่รู้ตัว เพราะไม่กำจัดค่านิยมที่เกี่ยวกับชนชั้นและความไม่เสมอภาคออกไปจากสำนึกและโครงสร้างในระบบราชการ ดังเห็นได้ชัดเจนว่า เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตยและยกเลิกฐานันดรศักดิ์ ยศชั้น ศักดินาแล้วก็ตาม ความรู้สึกในเรื่องยศชั้นก็ยังคงสิงอยู่ต่อไปในยศชั้นทหารและข้าราชการพลเรือน เช่น นายพัน นายพล หรือชั้นโท ชั้นเอก ชั้นพิเศษ สิ่งที่ตอกย้ำและกระตุ้นความรู้สึกสำนึกในเรื่องนี้ตลอดเวลาก็คือการมีเครื่องแบบที่บ่งบอกถึงความแตกต่างในลักษณะต่ำ-สูง เป็นการตอกย้ำทั้งในเวลาทำงานปกติและงานพระราชพิธี หรือรัฐพิธี สำนึกในการมีตัวตนและชนชั้นดังกล่าวนี้ นับวันดูเหมือนเพิ่มพูนขึ้นจนสังเกตได้ชัดเจนในการหาเสียงเลือกตั้งผู้แทนราษฎรแทบทุกครั้งทุกคราว เพราะผู้สมัครรับเลือกตั้งมักนิยมแต่งเครื่องแบบในลักษณะโอ่กันว่าใครเด่นกว่ากันจากเครื่องราชอิสริยาภรณ์และสายสะพาย ดูแล้วลานตาดี บางคนที่ไม่มีสายสะพายหรือรู้สึกด้อยกว่าเขา แต่มีดีกรีการศึกษาดีกว่า ก็นำเอาครุยปริญญามาใส่อวด น้อยคนนักที่ไม่แต่งเครื่องแบบ ที่โดดเด่นจนแปลกไปจากคนอื่นก็เห็นจะเป็นพลตรีจำลอง ศรีเมือง ท่านเดียวที่ใส่เสื้อม่อฮ่อมถ่ายรูปหาเสียง พฤติกรรมเหล่านี้นับเป็นการแสดงออกที่เห็นชัดเจนในสำนึกและค่านิยมที่ตรงข้ามกับการเป็นประชาธิปไตย จนกระทั่งกลายเป็นความมุ่งหมายและต้องการอย่างหนึ่งของผู้สมัครเสียด้วย ที่กล่าวเช่นนี้ ก็เพราะมีพฤติกรรมผลพวงตามมาให้เห็นอยู่เนือง ๆ นั่นก็คือผู้แทนราษฎรเมื่อได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีหรือบุคคลสำคัญแล้ว มักนิยมนั่งรถที่โอ่อ่า เช่น รถเมอร์เซเดส เบนซ์ หรือรถอื่น ๆ ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน เป็นสิ่งแสดงฐานะความร่ำรวย มีรถตำรวจนำ มีขบวนผู้ติดตามเป็นพรวน สิ่งเหล่านี้ทำให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ว่า ความต้องการเข้าไปเป็นผู้แทนราษฎรก็คือต้องการที่จะเข้าไปเป็นนายประชาชน หาใช่เพื่อเสียสละเพื่อส่วนรวม และรับใช้ประชาชนไม่ ดูเหมือนความต้องการเป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีนั้น คือความมุ่งหมายทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมชั้นสุดยอดของผู้สมัครรับเลือกตั้งส่วนมาก เพราะมีการตั้งเป้าหมายและวางแผนกันมาก่อนการสมัครและเมื่อได้รับเลือกตั้งแล้วก็เกิดความขัดแย้งชิงเก้าอี้กันเป็นปกติวิสัย จนเป็นเหตุให้เกิดการแตกแยกและจ้องหาทางล้มล้างกันแทนการทำงานเพื่อรับใช้ส่วนร่วมตามอุดมคติของการปกครองแบบประชาธิปไตย ในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชที่ดำรงมาถึง ๕๐ ปีในขณะนี้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงการดำรงอยู่ของค่านิยมในเรื่องการมีตัวตนและชนชั้นที่ไม่เสื่อมสลายไปจากอดีตแม้แต่น้อย เป็นการดำรงอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองโดยแท้ นับเป็นวัฒนธรรมที่ไม่เปลี่ยนในขณะที่สังคมมีการเปลี่ยนแปลง เลยทำให้นึกถึงคำพังเพยในอดีต ที่เกิดจากการนินทาและแดกดันสังคมในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ว่า “ ยศช้างขุนนางพระ ” แสดงให้เห็นถึงความเข้มข้นในค่านิยมนี้ที่มีไปถึงช้างและพระด้วย มาบัดนี้การเปลี่ยนแปลงมีแต่เพียงยศช้างหายไป พระยังคงมีอยู่ แต่ว่าสิ่งที่เข้ามาแทนช้างก็คือขุนนางพ่อค้า จึงใคร่วิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างและเหมือนกันของทั้งสองสมัย คือจากยศช้างขุนนางพระ มาเป็นยศพระขุนนางพ่อค้า ดังต่อไปนี้ “ยศช้างขุนนางพระ” นวกรรมในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถครั้งกรุงศรีอยุธยา คือการสร้างระบบศักดินาขึ้นเพื่อการปกครองประเทศและการบริหารราชการให้เป็นผลดี ทั้งนี้เพราะกรุงศรีอยุธยาในเวลานั้นมีอาณาเขตกว้างใหญ่ อันเนื่องมาจากการรวมหัวเมืองและรัฐอิสระหลายแห่งมาอยู่ใต้อำนาจ มีประชาชนมากมายหลายเผ่าพันธุ์ที่เข้ามาเป็นพลเมือง จำเป็นต้องยกระดับขึ้นเป็นราชอาณาจักร และรวมอำนาจมาไว้ที่ศูนย์กลางภายใต้การนำของพระมหากษัตริย์ สิ่งที่จะทำให้รวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางได้ดีนั้น จำเป็นต้องมีบูรณาการทางวัฒนธรรมและการเมืองที่จะทำให้ผู้คนซึ่งมีความแตกต่างกันในทางชาติพันธุ์มีความรู้สึกร่วมกัน กลไกที่ทำให้เกิดสำนึกร่วมกันดังกล่าวนี้ก็คือภาษาและศาสนา ในด้านภาษานั้น รัฐได้เลือกเอาภาษาไทยเป็นภาษากลางและเป็นเครื่องมือสื่อสารที่สำคัญในราชอาณาจักร ความสำเร็จในเรื่องนี้เห็นได้จากเอกสารของชาวยุโรป โดยเฉพาะฝรั่งเศสที่เข้ามาในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่ระบุว่า ชาวสยามเรียกตัวเองว่าเป็นคนไทย ส่วนในด้านศาสนา รัฐได้ยกพระพุทธศาสนาขึ้นเป็นศาสนาหลักของราชอาณาจักร พระมหากษัตริย์ทรงอุปถัมภ์และยกย่องมากกว่าศาสนาใด มีการสร้างวัดราษฎร์และวัดหลวงให้เป็นศูนย์กลางของชุมชนบ้านและเมือง ผลที่ตามมาก็คือผู้คนแม้จะหลากหลายในด้านชาติพันธุ์และความเป็นมา แต่เมื่อมาอยู่รวมกันในดินแดนนี้ก็เป็นชาวพุทธร่วมกัน ซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกในด้านความจงรักภักดีเชื่อมโยงไปถึงพระมหากษัตริย์และบ้านเมืองด้วย นั่นคือพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์และบำรุงพระศาสนา หากใครมาทำอันตรายหรือคิดร้ายก็เท่ากับทำลายพระพุทธศาสนา เพราะเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ หากมีข้าศึกมาย่ำยี ก็หมายความว่าเป็นการย่ำยีทำลายพระศาสนาเช่นกัน ทั้งภาษาและศาสนานับเป็นกลไกที่สำคัญในการทำให้เกิดการบูรณาการทางสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ส่งทอดไปถึงการสร้างระบบศักดินาอันมีความหมายในเรื่องบูรณาการทางการเมืองด้วย นั่นก็คือเป็นระบบที่กลั่นกรองและยกระดับผู้คนที่รัฐและพระมหากษัตริย์เห็นว่าจะทำหน้าที่และมีประโยชน์แก่แผ่นดินขึ้นมาเป็นขุนนางและข้าราชการ โดยจัดอันดับสูงต่ำให้ลดหลั่นกันไปตามความสามารถและความดีความชอบที่พระมหากษัตริย์เห็นสมควร แม้ว่าในสายพระเนตรของพระมหากษัตริย์นั้น ทุกคนเหมือนกันหมด อาจได้รับการลงโทษได้เท่า ๆ กัน เช่น พระองค์สามารถถอดคนที่เป็นเสนาบดีให้เป็นตะพุ่นหญ้าช้าง หรือโปรดฯ ให้ตะพุ่นหญ้าช้างเป็นเสนาบดีได้ในพริบตาเดียวก็ตาม คนส่วนใหญ่ในสังคมก็ยังคงยอมรับพระราชอำนาจนี้ เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้โอกาสมีหน้ามีตาและมีความสำคัญได้เท่าเทียมกัน นิยายเรื่องขุนศึกที่เคยฉายอยู่ในทีวีก็เป็นเรื่องที่สะท้อนให้เห็นว่าแม้แต่คนที่มีฐานะเป็นทาส หรือไพร่ เช่นไอ้เสมา ก็สามารถก้าวข้ามบันไดสังคมไปเป็นขุนนางศักดินากับเขาได้ ระบบศักดินาไม่ได้หยุดนิ่งอย่างที่มีขึ้นแต่แรกในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเท่านั้น หากยังได้รับการปรุงแต่งและส่งเสริมเรื่อยมา ดังสังเกตได้จากหลักฐานทางเอกสาร ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายตราสามดวง หรือพระราชพงศาวดารที่เกี่ยวกับเรื่องยศ–ชั้นของขุนนางผู้ใหญ่ กล่าวคือในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถนั้นคงมีแต่เพียงออกญาหรือพระยาเป็นที่สุด แต่สมัยหลังลงมาเกิดมีเจ้าพระยาและสมเด็จเจ้าพระยา เป็นต้น โดยเฉพาะสมเด็จเจ้าพระยานั้น น่าจะพัฒนาขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์นี้เอง นอกจากนี้ ก็ยังมีเครื่องแสดงยศถาบรรดาศักดิ์ เช่น ดาบ กระบี่ พานหมาก เสลี่ยง เรือ เป็นต้น ที่พัฒนามากเห็นจะเป็นตั้งแต่สมัยพระเจ้าปราสาททองและสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อันเป็นสมัยที่มีของจากภายนอกเข้ามามาก และมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีพอสมควร ยุคนี้เวลาเจ้านายและขุนนางตายก็มีการใส่โกศหรือใส่หีบทองพระราชทาน มีเครื่องประดับยศหรูหราเป็นรูปธรรมขึ้น พอมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เวลาขุนนางตายมีโอกาสได้เผาศพในเมรุมาศคล้าย ๆ กันกับพระมหากษัตริย์ทีเดียว แต่ที่โดดเด่นทันสมัยและเข้าใจว่าสมบูรณ์ที่สุดนั้น ก็คือสมัยรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ ที่มีการรับอิทธิพลการแต่งกายมาจากฝรั่ง มีการให้เหรียญตราและสายสะพายขึ้น กลายเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมชมชอบ เป็นที่ปรารถนาของคนทั่วไปแม้แต่คนที่เป็นสมเด็จเจ้าพระยาก็ยังต้องการ คือในสมัยรัชกาลที่ ๕ เกิดความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันระหว่างพระพุทธเจ้าหลวงกับสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ในเรื่องวันฉัตรมงคล เพื่อยุติความขัดแย้ง รัชกาลที่ ๕ จึงโปรดฯ ให้สร้างตราจุลจอมเกล้าขึ้นพระราชทานในวันฉัตรมงคล ซึ่งสมเด็จเจ้าพระยาฯ ก็ได้รับพระราชทานด้วย ความขัดแย้งจึงหมดไป แต่สิ่งนี้จะมองในลักษณะที่มอมเมาไม่ได้ เพราะทั้งผู้ให้และผู้รับนั้นอยู่ในระบบคุณธรรมเสมอกัน พระเจ้าแผ่นดินนั้นหาได้อยู่ในฐานะที่จะเห็นใครชอบใครแล้วพระราชทานให้ไม่ แต่ต้องมีกฎเกณฑ์และมีกรอบคุณธรรมที่เรียกอย่างกว้าง ๆ ว่า “ ทศพิธราชธรรม ” ควบคุมอยู่ ถ้ามองอย่างเจาะจงแล้ว จะเห็นว่ารัชกาลที่ ๕ ทรงเป็นสุขุมาลชาติ ทรงมีความละเอียดอ่อน รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ ไม่หักหาญกับสมเด็จเจ้าพระยาฯ ในขณะเดียวกัน สมเด็จเจ้าพระยาฯ ก็โอนอ่อน แลเห็นความหมายของกุศโลบายของตราจุลจอมเกล้าที่มุ่งเชิดชูผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับแผ่นดินที่สืบทอดไปถึงลูกหลาน นั่นก็คือ การสร้างสำนึกในเรื่องตระกูลวงศ์ขึ้น ตระกูลวงศ์จะดำรงอยู่อย่างได้รับการยกย่องก็ต่อเมื่อบุคคลในตระกูลนั้นมีคุณธรรม มีความซื่อตรงต่อแผ่นดิน เพราะฉะนั้น ระบบศักดินาจึงไม่ใช่ระบบที่เป็นกลไกในการสร้างบูรณาการทางการเมืองและการปกครองอย่างโดด ๆ หากมีความสัมพันธ์เป็นส่วนหนึ่งในโครงสร้างของระบบคุณธรรมในยุคนั้นสมัยนั้นทีเดียว เป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับจากชนทุกชั้นในสังคมจนกลายมาเป็นค่านิยมที่ฝังอยู่ในสำนึกของคนไทยมาช้านาน คำว่า “ ยศช้างขุนนางพระ ” นั้นจึงหาได้เป็นคำพังเพยแบบแดกดันแต่เพียงอย่างเดียวไม่ หากมีนัยของระบบคุณธรรมแอบแฝงอยู่ อย่างเช่นคำว่า “ยศช้าง” คือแม้แต่ช้างก็มียศ มีราชทินนาม เช่น เจ้าพระยาไชยานุภาพ เจ้าพระยาปราบไตรจักร เป็นต้น ก็เพราะช้างในสมัยนั้นเป็นสัตว์มีคุณเป็นพาหนะที่ใช้ทำศึกสงคราม เปรียบได้กับรถเกราะหรือรถถังในปัจจุบัน การให้ยศนั้นคือการแสดงออกถึงการให้คุณค่าและที่สำคัญก็คือความกตัญญูรู้คุณช้าง ดูแล้วผิดกับคนสมัยนี้ที่ไม่มีคุณธรรม เอาช้างมาลากซุงทรมาน เอามาเป็นพาหนะรับใช้นักท่องเที่ยวและเอามาแสดงปาหี่ต่าง ๆ จนเกือบจะสูญพันธุ์อยู่แล้ว ส่วนเรื่องขุนนางพระนั้น ก็มีความจำเป็นที่พระมหากษัตริย์ต้องเกี่ยวข้องด้วย พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของทางธรรม ไม่นิยมให้พระสงฆ์มาเกี่ยวข้องกับทางโลกโดยไม่จำเป็น พระมหากษัตริย์จึงต้องเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภกบำรุงศาสนาและจัดตั้งองค์กรสงฆ์ที่แยกออกจากทางโลกโดยเฉพาะและให้พระสงฆ์ควบคุมกันเองภายใต้การดูแลของพระมหากษัตริย์ จึงเกิดตำแหน่งขุนนางพระขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าพระสงฆ์ไม่ประพฤติในทางที่ถูกที่ควรก็จะถูกลงทัณฑ์ได้ ยกตัวอย่างเช่นในสมัยรัชกาลที่ ๑ ได้มีการถอดยศและลงทัณฑ์พระเถระที่ประพฤติผิดหลายรูป รวมทั้งได้มีการกำหนดพระสงฆ์ขึ้นควบคุมดูแลด้วย ความชั่วดีและการได้ยศศักดิ์นั้นอยู่ที่พระสงฆ์เอง แต่สำหรับพระสงฆ์ที่เป็นพระจริง ๆ แล้ว ท่านก็มักไปติดยึดกับยศถาบรรดาศักดิ์ ดังเช่นท่านพุทธทาส เป็นต้น ทั้งที่โดยฐานะและตำแหน่งท่านคือเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุไชยา และมียศเป็นชั้นธรรมแต่ท่านไม่ติดกับสิ่งเหล่านี้ กลับแยกไปสร้างสวนโมกข์และปฏิบัติธรรมอย่างเป็นเอกเทศ ในขณะเดียวกันก็ไม่ปฏิเสธและขัดขืนความต้องการของแผ่นดิน ผิดกับพระอีกเป็นจำนวนมาก ในสมัยนี้ ที่ต้องการได้พัดยศ ได้ตำแหน่ง และยุ่งในทางโลกจนเป็นที่ติฉินนินทาของคนทั่วไป เท่าที่กล่าวเรื่องยศช้างขุนนางพระมานี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ความรู้สึกอยากมีตัวตนและชนชั้นที่เป็นค่านิยมของคนไทยทุกวันนี้นั้น เป็นสิ่งที่มีมากับโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรมแต่เดิม และตกทอดมาจนทุกวันนี้ “ยศพระขุนนางพ่อค้า” สมัยยศช้างขุนนางพระเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กับโครงสร้างสังคมและวัฒนธรรมในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่อำนาจและความชอบธรรมในการปกครองแผ่นดินมาจากเบื้องบน คือศาสนาและพระมหากษัตริย์ ซึ่งในช่วงเวลานั้นสังคมยังไม่มีขนาดใหญ่โตซับซ้อนดังที่เห็นในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าในสมัยรัชกาลที่ ๔ สยามมีประชากรเพียง ๕ ล้านคน พอถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ ก็เพิ่มเป็น ๗ ล้านคน การดูแลความประพฤติของขุนนางข้าราชการยังทำได้ทั่วถึง เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. ๒๔๗๕ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ที่ถือว่าอำนาจในการปกครองแผ่นดินมาจากประชาชนที่อยู่เบื้องล่างนั้น แท้จริงก็คือการเปลี่ยนแปลงเพียงที่มาของอำนาจ ไม่เป็นกลุ่มเผด็จการทหารเท่านั้น โครงสร้างและค่านิยมแต่เดิมยังคงดำรงอยู่ สิ่งที่ตามมาและเห็นได้ชัดเพียงอย่างเดียวก็คือการเล่นพรรคเล่นพวกและการคอร์รัปชั่น เพราะอำนาจกระจายไปยังผู้คนต่างๆ มากกว่าแต่เดิม และระบบคุณธรรมที่เคยควบคุมความประพฤติแต่เดิมก็สั่นคลอน กระนั้นก็ดี ก็ยังแลเห็นว่าใครเป็นใคร เพราะประชาชนน้อยและขุนนางรุ่นเก่ายังมีอยู่มาก เช่นในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม มีประชาชนอยู่ ๑๘ ล้านคน และจอมพล ป. เองก็มีสำนึกเรื่องประชาธิปไตยอยู่มิใช่น้อย สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๔ เป็นต้นมา เป็นการเปลี่ยนรุ่นของข้าราชการ พวกที่เคยเป็นขุนนางมาแต่เดิมก็หมดไป เกิดคนรุ่นใหม่เป็นจำนวนมากที่ได้รับการศึกษาจากต่างประเทศเข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญทางราชการแทน ทำให้เกิดการพัฒนาระบบราชการ มีสถาบันสอนวิชารัฐประศาสนศาสตร์ วิชาศึกษาศาสตร์ และให้ความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นเรื่องใหญ่ จนเกิดแผนพัฒนาขึ้นมาหลายฉบับ เพราะฉะนั้น ตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์เป็นต้นมานั้น อาจนับเป็นยุคใหม่ของระบบราชการก็ว่าได้ ความเป็นยุคใหม่นี้ที่เห็นชัดเจนก็คือ ระบบคุณธรรมที่เคยมีมาแต่เดิมได้หมดไปโดยสิ้นเชิง ในขณะที่ค่านิยมในการมีตัวตนและชนชั้นยังคงดำรงอยู่อย่างสืบเนื่อง แต่เป็นการสืบเนื่องชนิดที่ไม่มีระบบคุณธรรมควบคุมอย่างแต่ก่อน สิ่งโดดเด่นที่ทำให้คนมีหน้ามีตา และก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งใหญ่โตทางราชการที่สำคัญ ก็คือการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่ามักเป็นการศึกษาเฉพาะด้าน และเน้นในเรื่องเศรษฐศาสตร์ เทคโนโลยีเป็นสำคัญ เพราะถือว่าเป็นพื้นฐานในการพัฒนาประเทศ ผลที่ตามมาก็คือมีคนรุ่นใหม่จบปริญญาโท-เอก จากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก มีทั้งที่ไปโดยทุนส่วนตัว ทุนราชการโดยมูลนิธิต่าง ๆ ไปจนถึงทุนต่างประเทศ ได้กลับมารับราชการ มีตำแหน่งและความก้าวหน้าทางฐานะอย่างรวดเร็วทำให้คนส่วนใหญ่แลเห็นว่าการศึกษาเป็นหนทางไต่เต้าไปสู่การมีฐานะและมีหน้าตา ครอบครัวเป็นจำนวนมากสนับสนุนให้ลูกหลานเรียนจบไว ๆ เพื่อให้ได้ปริญญาตั้งแต่อายุน้อย ๆ จะได้มีความก้าวหน้ารวดเร็ว เป็นเหตุให้เกิดโรงเรียนกวดวิชาขึ้นเป็นดอกเห็ด ขาดการควบคุมมาตรฐานการเรียน เรียนกันแบบท่องจำ คิดไม่เป็น เพื่อให้ได้คะแนนดี ได้เกียรตินิยม มีหน้ามีตา ฯลฯ คนรุ่นใหม่ นักวิชาการรุ่นใหม่ และข้าราชการรุ่นใหม่เหล่านี้ คือผู้ที่ทิ้งระบบคุณธรรมและความรู้ต่าง ๆ ที่เป็นภูมิปัญญาของแผ่นดินที่เคยจรรโลงบ้านเมืองให้อยู่สืบเนื่องมาแต่เดิมเสียสิ้น แต่หาได้ทิ้งค่านิยมแห่งการมีหน้ามีตาและยึดถือในชนชั้นที่มีมาแต่เดิมไม่ ยังคงรับไว้เพื่อเป็นประโยชน์แก่ตนเอง เลยกลายเป็นสิ่งที่ทำลายจรรยาของวิชาชีพและจริยธรรมอันดีงามของสังคมไป เกิดการทำงานแบบเอารัดเอาเปรียบ ไม่รอบคอบ และมองอะไรแต่เฉพาะเพื่อตนเองและผลประโยชน์ของกลุ่มตน โดยเฉพาะเกิดกลุ่มผลประโยชน์มากมาย เพราะวิชาที่เรียนมากเป็นวิชาเฉพาะหรือวิชาที่เน้นเทคโนโลยี ไม่ช่วยยกระดับจิตใจให้กว้างขวางแต่อย่างใด ทำให้สังคมไทยมีความซับซ้อนด้วยกลุ่มวัฒนธรรมย่อยที่มีบทบาทในทางลบมากกว่าทางบวก สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานที่ทำให้วัฒนธรรมไทยมีทิศทางไปในเรื่องวัตถุนิยมและปัจเจกบุคคลนิยมอย่างสุดโต่ง สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ แม้ว่าจะไม่รุ่งเรืองทางเศรษฐกิจก็ตาม แต่ก็เป็นยุคที่มีการเพาะคนรุ่นใหม่ที่สานไม่ติดกับอดีต และในขณะเดียวกันก็สร้างโครงสร้างภายใน เช่น ถนน เขื่อน ชลประทาน เพื่อรองรับการขยายตัวของบ้านเมืองเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยตรง ซึ่งก็ทำให้เกิดผลในสมัยต่อมา เช่นในสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร แต่เป็นผลของความเจริญทางเศรษฐกิจเชิงทำลายเพราะป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติเริ่มหมดไป เกิดเผด็จการทหารที่ร่วมกับพวกพ่อค้านายทุนสร้างความเดือดร้อนให้กับบ้านเมือง จนเป็นเหตุให้เกิดกลุ่มปัญญาชนและขบวนการรักชาติขึ้น จนนำไปสู่เหตุการณ์นองเลือด ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ และ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ตามลำดับ ซึ่งนับเป็นขบวนการที่ต่อต้านเผด็จการและพวกนายทุนโดยตรง เหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ทำให้เกิดการถ่วงดุลระหว่างฝ่ายรัฐบาลที่อยู่ในเมือง ซึ่งประกอบด้วยนายทุนเป็นจำนวนมาก กับขบวนการรักชาติที่อยู่ในป่าซึ่งเป็นพวกสังคมนิยม ก็นับว่ายังโชคดีที่บรรดาทรัพยากรหลายๆ แห่งในประเทศ โดยเฉพาะป่าไม้ไม่ถูกทำลาย แต่แล้วก็เป็นไปได้ไม่นานเพราะหลังจากที่มีการประนีประนอมกันในสมัยรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์แล้ว ขบวนการรักชาติออกจากป่า ก็เกิดการเลือกตั้งตามระบบประชาธิปไตยขึ้นมาใหม่ การเติบโตของเศรษฐกิจและสังคมเชิงวิบัติก็กลับมามีอำนาจดังเดิม แต่สิ่งที่กลับร้ายยิ่งกว่าเดิมก็คือการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ที่เติบโตและร่ำรวยขึ้นภายหลังจากขบวนการรักชาติดออกจากป่านั้น มีการตัดไม้ทำลายป่าแสวงหาทรัพยากรธรรมชาตินานาชนิดควบคู่ไปกับการค้าของเถื่อน และกิจกรรมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไปทั่วทุกท้องถิ่น เกิดระบบเจ้าพ่อและผู้มีอิทธิพลโยงใยกันเป็นเครือข่ายจากระดับท้องถิ่นถึงรัฐสภา สิ่งที่เปิดโอกาสให้กลุ่มคนเหล่านี้เข้ามามีอำนาจก็คือคำว่า “ ประชาธิปไตย ” และสิ่งที่อาจกล่าวได้ว่าเป็น “ เปลือกนอกของประชาธิปไตย ” นั่นเอง เพราะเปิดโอกาสให้คนทุกกลุ่มเหล่าเข้ามาเลือกตั้งได้ พวกนายทุนและพ่อค้าที่ไม่มีคุณธรรมก็เข้ามาได้โดยอาศัยช่องว่างของคำว่าประชาธิปไตยและพื้นฐานทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีมาแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พ่อค้านายทุนสามารถใช้อิทธิพลทั้งอำนาจและการเงินซื้อเสียงให้ชาวบ้านเลือกตนเข้ามานั่งในสภาได้ และจากสภาก็เข้าสู่การดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีที่มีอำนาจในการปกครองและบริหารประเทศเต็มที่ เมื่อนำระบอบประชาธิปไตยมาใช้อย่างผิวเผิน ก็เป็นเหตุให้อำนาจการปกครองเปลี่ยนมือจากพระมหากษัตริย์ และจากเผด็จการทางทหารมาเป็นเผด็จการพ่อค้าและนายทุนแทน ปัจจุบัน พวกพ่อค้านายทุนไม่จำเป็นต้องติดสินบนข้าราชการ หรือกราบไหว้ข้าราชการเพื่อให้อำนวยประโยชน์แก่ตนอีกต่อไป เพราะพวกพ่อค้าสามารถเข้ามาเป็นขุนนางและเสนาบดีที่อยู่เหนือหัวบรรดาข้าราชการอยู่แล้ว ฉะนั้น ระบอบราชการที่เคยดำรงอยู่ในการทำคุณประโยชน์ให้แก่ส่วนร่วมก็กลายมาเป็นระบบที่ล้าหลัง และเป็นเครื่องมือของพวกพ่อค้านายทุนไป แต่ที่ร้ายที่สุดที่ทำให้พวกพ่อค้านายทุนมีอำนาจยิ่งใหญ่ ก็คือ ค่านิยมในเรื่องการมีตัวตนและชนชั้นที่ยังดำรงอยู่ เพราะนอกจากทำให้พวกพ่อค้าที่เป็นขุนนางมีหน้ามีตาแล้ว ยังมีอำนาจที่จะแต่งตั้งและช่วยเหลือข้าราชการที่รับใช้ตนให้มีอำนาจมีหน้ามีตาด้วย สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นจากการมีเครื่องแบบ มีเครื่องประดับยศศักดิ์ทั้งสิ้น เมืองไทยจึงเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ที่เต็มไปด้วยเครื่องแบบและความเหลื่อมล้ำของชนชั้นที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งในโลกก็ว่าได้ ค่านิยมในเรื่องการมีตัวตนและชนชั้นเป็นสิ่งที่มีมานานแต่สมัยราชอาณาจักรอยุธยา เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากระบบศักดินาแต่ครั้งสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ในสมัยศักดินาหรือในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ค่านิยมนี้ไม่ได้อยู่อย่างโดด ๆ หากเป็นส่วนหนึ่งในระบบคุณธรรมที่มีค่านิยมอื่นหรือองค์ประกอบอื่นคอยถ่วงดุลไม่ให้มีลักษณะที่เกินเลยไปจนเป็นผลร้ายต่อสังคม ดังเช่นการมีหน้ามีตาก็เป็นสิ่งที่ควบคู่ไปกับการอับอายขายหน้าเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ผู้ที่อยากเป็นคนเด่นคนดังก็จำเป็นต้องระมัดระวัง มีการตรวจสอบจากเบื้องบนคือพระมหากษัตริย์และขุนนางผู้ใหญ่ ดังเช่นสมเด็จพระบรมราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ทรงนิพนธ์ไว้ในเพลงยาวรบพม่าว่า “... สุภาษิตทานกล่าวเป็นราวมา จะแต่งแต่งเสนาธิบดี ไม่ควรอย่าให้อัครฐาน จะเสียการแผ่นดินกรุงศรี เพราะไม่ฟังตำนานโบราณมี จึงเสียทีเสียวงศ์กษัตรา เสียยศเสียศักดิ์นคเรศ เสียทั้งพระนิเวศวงศา เสียทั้งตระกูลนานา เสียทั้งไพร่ฟ้าประชากร สารพัดจะเสียสิ้นสุด ...” นับเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่าการให้ยศถาบรรดาศักดิ์แก่คนนั้น ถ้าไม่ดีอาจทำให้บ้านเมืองพินาศได้ ส่วนสิ่งที่ควบคุมขึ้นมาจากเบื้องล่างอันดับแรกก็คือตระกูลของผู้ที่ได้รับยศศักดิ์นั่นเอง การเป็นคนที่อยู่ในตระกูลนั้นจะต้องผ่านการอบรมทางด้านศาสนา ศีลธรรม และคุณธรรม อันเป็นสิ่งที่ชอบในสังคมด้วย ถ้าประพฤติไม่ดี ไม่เหมาะสม ตระกูลก็เสียหายขายหน้า นำไปสู่การติฉินนินทาของคนทั่วไป เพราะฉะนั้น การนินทาก็นับเนื่องเป็นกลไกในการควบคุมจากเบื้องล่างอีกระดับหนึ่งเหมือนกัน ดังในวรรณคดีเรื่อง กฤษณาสอนน้องกล่าวว่า “... ความดีก็ปรากฏ กฤติยศฦๅชา ความชั่วก็นินทา ทุรยศยินขจร ...” หรือจะกล่าวอย่างย่อ ๆ ว่า การมีตัวตนมีหน้ามีตาเป็นชนชั้นของคนสมัยก่อนนั้น กว่าจะมีได้ก็ต้องผ่านการอบรมทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีกลไกต่าง ๆ ทางคุณธรรมและจริยธรรมคอยดูแลควบคุมไว้นั่นเอง ปัจจุบัน สังคมเปลี่ยนจากระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตยแบบทางตะวันตก แต่ค่านิยมในเรื่องการมีตัวตน มีหน้ามีตาและชนชั้นนั้นก็มิได้เสื่อมลงไปด้วย กลับดำรงอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลง แต่เป็นการดำรงอยู่ในระบบค่านิยมและวัฒนธรรมแบบใหม่ ที่ไม่มีกลไกทางคุณธรรมรองรับหรือคอยถ่วงดุลอย่างแต่ก่อน ระบอบประชาธิปไตยแบบผิวเผินนี้ได้ทำให้พวกพ่อค้าที่มีโลกทัศน์และแนวคิดเพียงแต่กำไร-ขาดทุนมีโอกาสเข้ามาเป็นขุนนาง เลยทำให้ค่านิยมในเรื่องชนชั้นดังกล่าวยิ่งกลับมาส่งเสริมให้ความมั่งคั่งในเรื่องเงินตราและอำนาจ โดยเฉพาะอำนาจในการปกครองและการบริหารราชการแผ่นดินก็กลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไป ข้าราชการที่แต่ก่อนนี้เคยเชื่อว่า “ สิบพ่อค้าก็ไม่เท่าหนึ่งพระยาเลี้ยง ” ก็ต้องมาสยบกับพวกพ่อค้าที่เข้ามาเป็นเสนาบดีเพื่อที่คนจะได้เลื่อนตำแหน่งยศศักดิ์และมีหน้ามีตา ถึงตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะอัญเชิญพระนิพนธ์ของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทอีกตอนหนึ่ง “... ชาติไพร่หลงฟุ้งแต่ยศถา ครั้นทัพเขากลับยกมา จะองอาจอาสาก็ไม่มี แต่เลี้ยวลดปดเจ้าทุกเช้าค่ำ จนเมืองคร่ำเป็นผุยยับยี่ ฉิบหายตายล้มไม่สมประดี เมืองยับอัปรีย์จนทุกวันฯ ... ฯ ทุกวันนี้ กรุงเทพฯ ก็คืออยุธยาดังที่ว่านี้ วัฒนธรรมแบบพ่อค้าได้ทำลายคุณธรรมอย่างหนึ่งที่เป็นกลไกคอยควบคุมไม่ให้ค่านิยมในเรื่องการมีตัวตน และชนชั้นเป็นไปในทางที่เสียหายให้หมดไปอย่างสิ้นเชิง คุณธรรมที่ว่านี้คือ “ หิริโอตตัปปะ ” หรือความละอายและเกรงกลัวต่อบาป เป็นสิ่งที่ทำให้คนแต่ก่อนไม่หน้าด้านเอาแต่ได้ เมื่อมาหมดไปเช่นนี้ความหน้าด้านเอาแต่ได้ก็เข้ามาแทนที่ และเป็นสิ่งส่งเสริมการมีหน้ามีตาของคนในสังคมปัจจุบัน ที่น่าสลดใจก็คือ แม้แต่ชุมชนทางวิชาการ เช่น ในมหาวิทยาลัย ก็ได้รับผลกระทบดังกล่าว ซึ่งเห็นได้จากการขอตำแหน่งทางวิชาการของอาจารย์ เป็นต้น ซึ่งเป็นความคิดริเริ่มและถูกครอบงำจากผู้บริหารที่มีคุณสมบัติเป็นนักธุรกิจ นับเป็นการทำลายความมีหิริโอตตัปปะที่เป็นคุณสมบัติและคุณธรรมของครูบาอาจารย์โดยแท้ ถ้าจะมองให้กระชับลงไปกว่านี้ก็อาจกล่าวได้ว่า การดำรงอยู่ของค่านิยมในเรื่องการมีตัวตน มีหน้ามีตาและชนชั้น ก็คือสิ่งที่ขัดแย้งอย่างยิ่งกับอุดมการณ์ของความเป็นประชาธิปไตย เพราะเป็นสิ่งขัดขวางไม่ให้ค่านิยมในเรื่องความเสมอภาคและความเป็นมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันอย่างเรียบง่ายเกิดขึ้นในสังคมนี้









