พบผลการค้นหา 220 รายการ
- ความย่อยยับทางภูมิทัศน์วัฒนธรรมของเมืองประวัติศาสตร์กรุงเทพฯ ธนบุรี
เผยแพร่ครั้งแรก 1 เม.ย. 2558 มีข่าวที่น่าจะเป็นจริงออกมาว่า ผู้เป็นใหญ่ใน คสช. ได้แถลงข่าวว่าจะมีการสร้างถนนขนาบน้ำสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่สะพานพระปิ่นเกล้าไปจนถึงสะพานพระราม ๗ ที่จังหวัดนนทบุรี เพื่อเป็นการขยายเส้นทางคมนาคมให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น และโดยเฉพาะจะทำให้เป็นเส้นทางรถจักรยานแก่บรรดาชาวเมืองที่มีการตื่นตัวกันอย่างมากในสมัยนี้ ข้าพเจ้าในฐานะที่เป็นคนกรุงเทพฯ ธนบุรี โดยสายตระกูลทั้งฝ่ายพ่อและแม่ ก็เกิดปริวิตกว่าภูมิวัฒนธรรมของบ้านเมืองที่เป็นมหานครในที่ลุ่มน้ำลำคลองของประเทศที่มีความงดงามและเจริญรุ่งเรืองในอารยธรรมของคนตะวันออกคงถึงกาลพินาศเป็นแน่แท้ เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยมีข่าวคราวมาก่อนว่า มีนายทุนกว้านซื้อที่สองฝั่งน้ำเจ้าพระยาตั้งแต่บริเวณปากน้ำ เขตจังหวัดสมุทรปราการลงมาจนกรุงเทพฯ ธนบุรี เพื่อพัฒนาและก่อสร้างตึกสูง เป็นคอนโดมีเนียม ศูนย์การค้า แหล่งสันทนาการที่มีทิวทัศน์เป็นชายน้ำแบบยุโรปและทางตะวันตก และโครงการใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณถนนเจริญนคร ข้าพเจ้าเคยเห็นภาพโปรโมตเรื่องนี้แถวสนามบินและศูนย์การค้าในนามของ ‘ไอคอนสยาม’ สืบเนื่องจากเรื่องนี้ก็มีข่าวออกมาว่าทางกรุงเทพมหานครร่วมกันกับสถาบันทางศิลปะของมหาวิทยาลัยของรัฐและนักออกแบบผังเมืองที่เป็นนายทุนบางกลุ่มคิดเสนอการพัฒนาสองฝั่งน้ำเจ้าพระยาในเขตกรุงเทพฯ ธนบุรีให้เป็นมรดกโลก นับว่าจะมีการทำสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาให้คนทั้งสองฝั่งเดินไปมาได้สะดวก และจัดภูมิทัศน์ทางสถาปัตยกรรมผังเมืองใหม่ โดยมีการโยกย้ายบรรดาชุมชนของผู้คนที่อยู่กันมาช้านานริมแม่น้ำลำคลองออกไป แล้วสร้างทิวทัศน์สมัยใหม่แบบตะวันตกขึ้นมาแทน แต่สิ่งที่ทำแน่ ๆ ในขณะนี้ก็คือ ทั้งทุนและรัฐกำลังพัฒนาแบบทำลายล้างชุมชนสองฝั่งน้ำที่เป็นที่อยู่อาศัยของคนไทยเชื้อสายจีนตั้งแต่ปากคลองบางหลวงไปจนถึงปากคลองสวนทางฝั่งธนบุรี และบริเวณไชน่าทาวน์ตั้งแต่สำเพ็งไปจนตลาดน้อย ดังเห็นได้จากโครงการรถไฟฟ้าใต้ดินและโครงการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา รวมทั้งเวนคืนที่ดินและเลิกสัญญาเช่าเพื่อการก่อสร้างโครงสร้างใหม่ ๆ ขึ้นมาแทน ทัศนอุดจาด ในทัศนะของข้าพเจ้าอีกอย่างหนึ่งคือการก่อสร้างรัฐสภาใหม่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่เกียกกายโดยรื้อและย้ายโรงเรียนโยธินบูรณะไปไว้ที่อื่น เพราะเป็นโครงสร้างอาคารขนาดใหญ่ด้านริมแม่น้ำลำคลองทางฝั่งกรุงเทพฯ ลบภาพพจน์ของสถานที่ก่อสร้างขนาดใหญ่แต่เดิมที่เป็นวัดและพระราชวังที่เป็นศูนย์กลางของชุมชนที่เกิดขึ้นเป็นระยะไป อีกทั้งยังส่งผลกระทบไปสู่บ้านเรือนของผู้คนในชุมชนแต่เดิม รวมทั้งถนนหนทางแต่เดิมในด้านการจราจรอย่างแก้ไขไม่ได้ ถ้าหากจะมีโครงการทำถนนขนาบสองฝั่งน้ำเจ้าพระยาจากสะพานพระปิ่นเกล้าไปจนถึงสะพานพระราม ๖ และ ๗ ในเขตจังหวัดนนทบุรีแล้ว ก็น่าจะเป็นอวสานของภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของบ้านเมืองในบริเวณลุ่มน้ำลำคลองตั้งแต่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตจังหวัดสมุทรปราการ ผ่านขึ้นมากรุงเทพฯ ธนบุรีและเรื่อยขึ้นไปจนถึงนนทบุรีอย่างไม่ต้องสงสัย ที่กล่าวว่าถึงกาลอวสานก็เพราะบริเวณสองฝั่งน้ำเจ้าพระยาดังกล่าวนี้เป็นพื้นของสังคมชาวสวนที่มีพัฒนาการเป็นบ้านเมืองรัฐและการเป็นศูนย์กลางของประเทศมากกว่าสามร้อยปีขึ้นไปแต่สมัยอยุธยาจนปัจจุบัน เป็นสังคมที่อยู่บนแม่น้ำลำคลองที่มีการสัญจรไปมาทางน้ำด้วยเรือแพ คือคนตั้งถิ่นฐานทั้งบนตลิ่งและในแม่น้ำลำคลองที่ชาวต่างประเทศแต่เดิมเรียกว่า ‘เมืองลอยน้ำ’ เพราะในฤดูน้ำท่วมท้นตลิ่งแลเห็นบ้านเรือน เรือแพอยู่กันในน้ำไม่เห็นตลิ่งไม่เห็นพื้นดิน เพราะมีเรือกสวนปกคลุมเป็นพื้นหลัง ความเป็นเมืองน้ำสังคมชาวสวนของกรุงเทพฯ ธนบุรีนั้น โดยภูมิวัฒนธรรมครอบคลุมพื้นที่สองเกาะใหญ่ที่เกิดจากการขุดลัดแม่น้ำอ้อมสองแห่งคือ ‘เกาะบางกอก’ และ ‘เกาะบางกรวย’ เกาะบางกอกเป็นที่ตั้งของเมืองกรุงเทพฯ และธนบุรี ซึ่งเกิดจากการขุดลัดแม่น้ำอ้อมจากตำบลบางกอกน้อยมาออกตำบลบางกอกใหญ่ ในขณะที่เกาะบางกรวยเกิดจากการขุดลัดแม่น้ำอ้อมที่บางใหญ่มาออกบางกรวยเป็นที่ตั้งของเมืองนนทบุรี ทั้งสองเกาะนี้อยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา เมืองธนบุรีเกิดขึ้นทางฝั่งตะวันตกในขณะที่กรุงเทพฯ เกิดจากการย้ายเมืองมาฝั่งตะวันออก เมืองนนทบุรีเกิดขึ้นทางฝั่งตะวันออกแต่เดิมเรียกเมืองตลาดแก้วตลาดขวัญ ทุกเมืองล้วนเป็นเมืองของสวนผลไม้ที่มีชาวบ้านชาวเมืองส่วนใหญ่มีกำพืดเป็นชาวสวนไม่ใช่ชาวนาและอาศัยเส้นแม่น้ำลำคลองเป็นเส้นทางคมนาคมทุกฤดูกาล ชุมชนที่เป็นบ้านเป็นเมืองใหญ่น้อยล้วนเกิดขึ้นริมฝั่งแม่น้ำทั้งสองฝั่งที่มีลำน้ำลำคลองทั้งคลองธรรมชาติและคลองขุด แยกออกจากแม่น้ำทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออก ดูประดุจกระดูกสันหลังที่เปรียบได้กับแม่น้ำใหญ่ และกระดูกซี่โครงคือลำน้ำลำคลองที่แยกออกจากทั้งสองฝั่งและแต่ละคลองก็มีชื่อมีนามและมีการตั้งบ้านเรือนเป็นชุมชนริมคลองออกไปกลางทุ่ง แต่ละชุมชนที่เป็นบ้านก็มีวัดเป็นศูนย์กลาง โดยมีชุมชนเมืองอยู่ตรงปากคลองคือบริเวณที่ลำคลองมาสบกับแม่น้ำ ความเป็นชุมชนเมืองตรงปากคลองนี้นอกจากมีวัดใหญ่เป็นศูนย์กลางแล้ว ยังมีย่านตลาดที่อาศัยปากคลองเป็นตลาดขายของสดของคาวที่รู้จักกันในนามว่าตลาดน้ำ ความเป็นย่านตลาดของเมืองนั้น นอกจากมีวัดใหญ่แล้วยังมีศาลเจ้าจีนและบางแห่งก็มีโรงเจ เพราะเป็นที่คนจีนและเชื้อสายคนจีนที่เป็นคนค้าขายอยู่อาศัย นอกจากนี้หลายแห่งที่มีคนมุสลิมก็จะมีการสร้างมัสยิดรวมอยู่ด้วย สังคมบ้านสวนเมืองน้ำนี้ไม่มีถนนและทางบก นอกจากทางเดินเท้าเชื่อมต่อสวนในท้องถิ่น ความเป็นบ้านเป็นเมืองเรียงรายกันอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำและลำคลองที่ล้วนมีชื่อเสียงเรียงนามเป็นของตนเอง ท้องถิ่นที่อยู่อาศัยริมน้ำทุกหนแห่งล้วนเรียกว่า ‘บาง’ โดยมีชื่อเฉพาะตามมา เช่น คลองบางกอกน้อย คลองบางกรวย คลองบางเขน เป็นต้น ภาพพจน์ของบ้านเมืองตามแม่น้ำลำคลองที่ว่ามานี้ สามารถเข้าถึงได้จากบรรดาวรรณคดีที่เป็นนิราศมีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และกรุงเทพฯ ธนบุรี สมัยรัชกาลที่ ๕ อันเป็นเวลาที่เมืองสมัยใหม่เกิดขึ้นบนบกและมีการสร้างถนนหนทางและทางรถไฟ ยกตัวอย่างเช่น ‘นิราศภูเขาทอง’ ของสุนทรภู่ที่บรรยายภาพพจน์ของชุมชนริมแม่น้ำลำคลองจากรุงเทพฯ ถึงอยุธยา ได้พูดถึงชุมชน บ้าน วัด เมือง ชื่อลำน้ำลำคลองไว้อย่างละเอียด รวมทั้งชีวิตความเป็นอยู่ของคนหลายชาติพันธุ์ตามท้องถิ่นด้วย หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นรัฐประชาธิปไตยสภาพทิวทัศน์ทางวัฒนธรรมของบ้านเมืองริมน้ำเหล่านี้ ก็หาได้เปลี่ยนแปลงไปมากไม่ แม้ว่าจะมีความแออัดและชุมชนใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาก็เป็นชุมชนที่มีวัดเป็นศูนย์กลาง ลำน้ำลำคลองบางแห่งหายไปอันเนื่องมาจากการก่อสร้างสถานที่ราชการ แหล่งการค้าและบ้านเรือนแบบใหม่ ๆ ก็ตาม แต่ความเรียบง่ายและสวยงามของสองฝั่งน้ำเจ้าพระยายังดำรงอยู่แบบที่แลเห็นได้จากภาพเขียนของ อองเดร มูโอ นักสำรวจผจญภัยทางฝรั่งเศส ที่เข้ามาเมืองไทยสมัยรัชกาลที่ ๔ รวมทั้งฝรั่งอื่น ๆ ที่มีการถ่ายภาพและทำแผนผังและแผนที่บ้านเมืองริมฝั่งเจ้าพระยาตั้งแต่ปากน้ำขึ้นไปจนถึงอยุธยา โดยมีพระสถูป พระบรมธาตุวัดแจ้งหรือวัดอรุณราชวรารามสูงเด่นเป็นศูนย์กลางของทิวทัศน์วัฒนธรรมสองฝั่งน้ำเจ้าพระยาเสนอมา ยังไม่มีผู้ใดกำเริบเสิบสานบุกรุกและทำลายริมแม่น้ำลำคลองที่ยังมีผู้คนเป็นจำนวนมากใช้การคมนาคมตามลำน้ำลำคลอง แม้ว่าจะดูอึกกะทึกไปด้วยเสียงเครื่องยนต์ของเรือหางยาวและเรือเมล์ก็ตาม ยังมีคนทั้งคนไทยและต่างชาติยังอยากนั่งเรือเที่ยวตามสองฝั่งน้ำอยู่ โดยเฉพาะจากกรุงเทพฯ ถึงนนทบุรีและปทุมธานี แต่มาเริ่มเปลี่ยนทัศนคติกันราว ๒๐ ปีมานี้ ที่บรรดาคนรุ่นใหม่ นักสถาปนิก นักผังเมืองที่เป็นนายทุนและรับใช้นายทุนบุกรุกพื้นที่ริมแม่น้ำ สร้างตึกสูงคอนโดมีเนียม และบ้านจัดสรรเพื่อให้ได้วิวดีริมแม่น้ำลำคลอง ยุคของการเปลี่ยนแปลงแบบทำลายนี้อาจเห็นได้จากคอนโดมีเนียม เสมือนรูปศิวลึงค์เชิงสะพานพระปิ่นเกล้าฯ ที่สร้างขึ้นเพื่อลดความงดงามและความศักดิ์สิทธิ์เป็นสวัสดิมงคลของพระปรางค์วัดอรุณฯ อันเป็นพระบรมธาตุของพระมหานคร ต่อมาก็มีตึกสูงตึกใหม่แบบนี้เกิดขึ้นเป็นแถวตามสองฝั่งนั้น ทำให้ความเป็นเมืองสวนเมืองริมแม่น้ำลำคลองจมลงไป เพราะอาคารสูงที่เป็นที่อยู่อาศัย ที่ทำการรัฐบาลและการค้าธุรกิจบริการ โดยเฉพาะโรงแรมหลาย ๆ อาคาร วัดวาอาราม พระมหาราชวังและตึกรามอาคารที่เป็นศิลปวัฒนธรรมถูกทำให้ต่ำต้อยลงด้วยการกิจกรรมเพื่อการท่องเที่ยวที่มีแสงเสียงและฟุ่มเฟือยที่เป็นเพียงของเสมือนจริง ในขณะนี้สภาวะของทิวทัศน์วัฒนธรรมของเมืองประวัติศาสตร์สองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาก็อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่อยู่แล้ว หาได้มีผู้หนึ่งผู้ใดที่มีทุนและอำนาจคิดอนุรักษ์แก้ไขไม่ ดูไปมีแต่ช่วยกันทำลายเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ข้าพเจ้าไม่เคยหวังและเชื่อว่าบ้านเมืองในสังคมประชาธิปไตยที่แล้ว ๆ มาและอาจจะมีขึ้นอีกในอนาคตกาลจะได้สำนึกและคิดแก้ไขให้ดีได้ แต่เฝ้าภาวนาหวังใจว่าสังคมเผด็จการที่ดีของคณะคสช. อาจจะทบทวนและช่วยได้ในเรื่องนี้ จึงตกใจและสิ้นหวังเมื่อได้ยินมาว่าผู้ทรงอำนาจในคณะรัฐบาล ได้แถลงออกมาว่าจะมีการสร้างถนนขนาบน้ำเพื่อความสะดวกในการคมนาคมและเพื่อเป็นถนนของคนปั่นจักรยาน จึงไม่รู้ว่ากลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์หรือนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญพวกใดชงเรื่องไปดลจิตดลใจให้คิดเป็นเรื่องขึ้นมา ? อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- GDP vs. GNH ในสังคมไทย
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2558 ปีก่อน ๆ ที่แล้วมา ข้าพเจ้าเขียนบทความจดหมายข่าวของมูลนิธิฯ เรื่อง “อะไรคือรายได้มวลรวมประชาชาติ [GDP)] กับอะไรคือความสุขมวลรวมประชาชาติ [GNH]” เพราะในช่วงเวลานั้นมีปัญญาชนของประเทศได้ไปเที่ยวประเทศภูฏานได้แลเห็นความสงบสุขอย่างมีกินมีใช้ของผู้คนในประเทศ รวมทั้งสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และวัฒนธรรมของบ้านเมืองที่มีความสัมพันธ์กับธรรมชาติไม่แออัดยัดเยียด แวดล้อมไปด้วยโครงสร้างสถาปัตยกรรมบ้านเมืองที่ใหญ่โตสูงใหญ่ ต่างจากสภาพแวดล้อมที่เป็นของประดิษฐ์ [Artificial Environment] ดั่งเช่นในสังคมไทย ประเทศแห่งความสุขมวลรวมประชาชาติ [GNH] ภูฏาน ภาพโดยศรัณย์ บุญประเสริฐ ด้วยความประทับใจในสิ่งที่เห็นในสังคมภูฏาน ทำให้พวกปัญญาชนเหล่านั้นเสนอความคิดในเรื่อง “ความสุขมวลรวมของประชาชาติ” ในทำนองวาทกรรมกับความสุขที่ได้จากการมีรายได้ต่อหัวของประชาชาติ ที่แทบทุกสังคมวัตถุนิยมทั้งไทยและเทศให้เป็นเครื่องมือในการกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจและการดำเนินการให้เป็นจริง ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับความคิดในเรื่องความสุขมวลรวมของประชาชาติของบรรดาผู้นำทางปัญญาของชาติเหล่านั้น แต่นึกไม่ออกว่ามี “รูปธรรม” อย่างไร เพราะเหตุผลและความคิดที่เสนอมานั้นดูเป็นนามธรรมจนเกินไป ตราบจนได้มีโอกาสได้ไปภูฏานกับเขาบ้าง มีโอกาสได้เห็นทั้งภูมิวัฒนธรรม นิเวศวัฒนธรรม และชีวิตวัฒนธรรมของคนภูฏานในหลายท้องถิ่นของประเทศ ก็ทำให้เกิดความเข้าใจตามประสาของข้าพเจ้าที่เล่าเรียนมาทางมานุษยวิทยาและโบราณคดีว่า คนภูฏานอยู่กันเป็นชุมชน บ้านเมือง และนครแบบก่อน ๆ มีชีวิตอยู่ในที่ราบลุ่มในหุบเขาสูงต่ำมากมายในโลกของหิมาลัยที่ครึ่งปีจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ หุบเขาแต่ละแห่งเป็นป่าเขาที่เรียกว่า หิมพานต์ ตามชื่อในวรรณคดีโบราณของไทย เพราะมีทั้งสัตว์และพืชพรรณนานาชนิดที่ดำรงอยู่ได้ทั้งฤดูหิมะตกและฤดูหิมะละลายที่มีหนองน้ำ ลำรางหล่อเลี้ยงให้ความชุ่มชื้น เท่าที่ได้เห็น สังคมภูฏานมีพื้นฐานเป็นสังคมชาวนาที่ผู้คนอยู่รวมกันเป็นชุมชนบ้านและเมืองอย่างติดที่ คือไม่เคลื่อนย้ายหรือโยกถิ่นฐานจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งบ่อย ๆ พึ่งพิงธรรมชาติและสภาพแวดล้อมร่วมกันในลักษณะเศรษฐกิจพอเพียง ส่วนผู้ที่ประกอบการทางธุรกิจและการผลิตแบบเป็นเจ้าของกิจการมีไม่กี่แห่ง ความเป็นอยู่ไม่แออัดมีพื้นที่ว่างธรรมชาติระหว่างชุมชนในท้องถิ่นหนึ่งไปอีกถิ่นหนึ่ง เส้นทางคมนาคมเป็นถนนที่ยังไม่ใหญ่เป็นถนนหลวงที่ทำให้การติดต่อทางเศรษฐกิจและสังคมระหว่างกันง่ายและรวดเร็ว โดยเฉพาะเส้นทางลงห้วยและข้ามเขาระหว่างหุบต่อหุบที่แคบขนานด้วยเหวลึกดูหวาดเสียวสำหรับคนภายนอกที่เข้ามาท่องเที่ยว สถานที่บริการเช่น โรงแรม ร้านค้า ร้านอาหารและย่านตลาดไม่มีเพื่อสร้างความสะดวกสบายให้กับนักท่องเที่ยวที่มาจากที่ต่าง ๆ สิ่งที่โดดเด่นในภูฏาน คือ แม่น้ำลำคลอง ห้วยน้ำ และลำรางได้รับการรักษาให้สะอาด ไม่สกปรกทำลาย ลำน้ำลำห้วยแทบทุกแห่งของเส้นทางถนนระหว่างท้องถิ่นระหว่างเมืองที่ผ่านไป ได้รับการรักษาให้สะอาดเพื่อการดื่มกินและอุปโภคของคนในและนอกท้องถิ่น โดยเหตุที่อยู่ในที่สูงสังคมภูฏานเป็นสังคมแล้งน้ำโดยธรรมชาติ ที่มีการจัดการน้ำโดยแต่ละท้องถิ่น โดยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีอำนาจควบคุม ซึ่งเป็นได้จากการมีศาสนสถานทางพุทธมหายานสร้างขึ้นให้ผู้คนที่เดินทางไปมาได้ใช้น้ำและทำพิธีกรรมขอพร ขอความร่มเย็นเป็นสุขและปลอดภัย ชาวภูฏานที่ชีวิตจดจ่ออยู่กับการท่องบ่นคาถาและใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย อาคารดังกล่าวนี้จะมีระฆังขนาดใหญ่ที่มีภาพสัญลักษณ์และคาถาให้คนมาไหว้ได้หมุนรอบและพร่ำขอพรด้วยคาถา “โอม มณี ปัทเม หุม” อันเป็นคาถาสำคัญที่คนภูฏานทุกรุ่นทุกเพศทุกวัยท่องบ่น และมีการจารึกไว้ตามสถูปตามข้างทาง ที่มีตุงผ้าหลากสีขนาดใหญ่น้อยประดับที่มีคาถาเขียนไว้ให้สวดและอธิษฐาน [Prayer flags] สำหรับธงสวดเหล่านี้ต่างเรียงรายอยู่ตามเส้นทางเป็นที่ ๆ ไป เป็นการเตือนสติให้คนรู้สึกถึงการท่องบ่นตลอดเวลาถึงความเป็นมนุษย์ที่มีความพอเพียง ไม่โลภไม่หลง และเชื่อมั่นในความสุขของการหลุดพ้น การสวดคาถา “โอม มณี ปัทเม หุม” นี้เกือบแทบทุกขณะจิตที่มีช่องว่าง แม้แต่ในย่านตลาดและร้านขายของ ผู้ที่เป็นแม่ค้าหรือพ่อค้ามักมีล้อสวด [Prayer’s wheel] ขนาดเล็กอยู่ใกล้ ๆ ใช้แกว่งอยู่บ่อย ๆ ในขณะขายของ เพื่อเตือนสติให้กลับไปอยู่กับความเป็นมนุษย์ที่มีความพอเพียง พุทธศาสนามหายานลัทธิตันตระที่เรียกว่า “วัชระยาน” นั้น คือวิถีชีวิตของคนภูฏาน กิจกรรมต่าง ๆ ทางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมือง ล้วนมีความเชื่อทางศาสนารวมอยู่ด้วยในลักษณะองค์รวม วัดและศาสนสถานมีมากมายหลายระดับ แม้แต่อาคารและสถานที่ในการปกครอง เช่น พระราชวังของกษัตริย์เจ้านายและที่ทำการในการปกครองที่เรียกว่า “ซัง” ก็ล้วนมีอิทธิพลของศาสนารวมอยู่ด้วย ซึ่งในด้านสถาปัตยกรรม ผังเมือง และบ้านที่อยู่อาศัย แม้จะได้รับอิทธิพลจากทางตะวันตกและจากอินเดีย ธิเบต ก็หาได้รับมาทั้งดุ้นไม่ หากปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นภูฏานไปทั้งรูปแบบ การตกแต่ง และสัญลักษณ์ [Localization of foreign elements] ในขณะที่อยู่ภูฏาน ข้าพเจ้าแทบไม่เห็นคนภูฏานแสดงอาการลิงโลด เอาอกเอาใจคนต่างชาติ แต่ดูพอใจอย่างมีความสุขกับการเป็นคนภูฏานจนข้าพเจ้ารู้สึกอิจฉา สิ่งที่โดดเด่นที่ทำให้แลเห็นความภูมิใจในตนเองก็คือ รูปแบบของศิลปวัฒนธรรมของคนภูฏานที่ให้ความสำคัญกับสัญลักษณ์เรื่องเพศอย่างมากมาย จนเป็นอัตลักษณ์อย่างหนึ่งทางวัฒนธรรมก็ว่าได้ โดยเฉพาะการระบายสีและวาดสัญลักษณ์ทางเพศประดับบ้านที่อยู่อาศัยและสถานที่สำคัญในชุมชน แม้กระทั่งภาพวาดใน ส.ค.ส. ก็ยังมีประจำทุกปี คนภูฏานทั่วไปตามท้องถิ่นในชนบทและในเมืองไม่ใคร่มีแหล่งสันทนาการมากมายเช่นในประเทศอื่น ๆ ที่สร้างขึ้นมากมายหลายประเภทเพื่อการประโลมโลกและความทันสมัย หากยังใช้วัดและสถานที่ทางศาสนาในยามมีประเพณีพิธีกรรมในรอบปีอื่น ๆ เป็นที่หย่อนใจ สนุกสนาน มีการมหรสพรวมไปกับการประเพณีพิธีกรรม ซึ่งก็เหมือนกันกับผู้คนในสังคมไทยก่อนสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนและบ้านเมืองที่มีศาสนาและเรื่องทางจิตวิญญาณเป็นตัวนำดังกล่าวนี้คือที่มาของความสุขมวลรวมประชาชาติ [GNH] ความสุขมวลรวมประชาชาติดังกล่าวนี้ สังคมไทยเคยมีมาแล้วในอดีตแต่ครั้งรัชกาลที่ ๓ ลงมาจนถึงสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ และยังดำรงอยู่เรื่อยมาจน พ.ศ. ๒๕๐๐ ในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี อันเป็นยุคที่เสริมสร้างงานทางศิลปวัฒนธรรมระดับชาติมาก จนถึงมีการตั้งกระทรวงวัฒนธรรมขึ้นมาดูแลและจัดการกิจกรรมทางด้านศิลปวัฒนธรรม สังคมไทยทั่วไปยังเป็นสังคมกสิกรรมที่ต่อยอดมาจากพื้นฐานของสังคมชาวนา ประชาชนมีราว ๑๗-๑๘ ล้านคน ยังอยู่กินแบบเป็นบ้านเมืองท้องถิ่นที่มีสภาพแวดล้อมธรรมชาติ แต่ละท้องถิ่นมีระยะห่างกันจนแลเห็นทั้งความหลากหลายทางวัฒนธรรมโดยเฉพาะอัตลักษณ์วัฒนธรรมของแต่ละถิ่น ที่สำคัญคนส่วนใหญ่ไม่เดือดร้อนในเรื่องอาหารการกิน ที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน วัดยังดำรงอยู่ในฐานะเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและประเพณีวัฒนธรรม คงเป็นเช่นนี้กระมังที่รัฐบาลคิดเรื่องวัฒนธรรมเป็นแต่ศิลปวัฒนธรรม จึงได้ตั้งกระทรวงวัฒนธรรมขึ้นมา ครั้นสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ บ้านเมืองเปลี่ยน สังคมเปลี่ยนจากเกษตรกรรมมาเป็นอุตสาหกรรม ท้องถิ่นต่าง ๆ ถูกเชื่อมโยงกันด้วยกระบวนการอุตสาหกรรม [Industrialization] และการทำให้เป็นเมือง [Urbanization] ที่มีการเคลื่อนย้ายผู้คนไปตั้งถิ่นฐาน ไปเป็นแรงงาน เกิดเมืองและย่านที่อยู่อาศัยที่มีผู้คนอยู่กันหลายพวกเหล่า ที่เน้นแต่เรื่องการทำมาหากินและการหาความสุขทางวัตถุเฉพาะตนและกลุ่มเหล่า ส่วนการพัฒนาบ้านเมืองทางเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาลก็มีแต่มิติเศรษฐกิจการเมือง มากกว่ามิติทางสังคมวัฒนธรรมและความเป็นมนุษย์ ขาดมิติทางจิตวิญญาณและความเชื่อทางศาสนาอันเป็นเหตุให้เกิดแปรปรวนขึ้นในระบบศีลธรรม จริยธรรม และคุณธรรมทางสังคมของบ้านเมือง รัฐไม่สนใจเรื่องศีลธรรมและความมั่นคง ความสุขทางจิตใจ มุ่งทำอยู่แต่การให้ความสุขทางวัตถุ ในทางปัจเจกแก่ผู้คนแต่เพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะการมีรายได้ต่อหัวของประชาชาติ [GDP] ซึ่งก็มักสะท้อนออกมาให้เห็นจากการกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจในเรื่องการผลิตและส่งออกแทบทุกรัฐบาล การทำกสิกรรมที่สืบเนื่องมาจากการเป็นสังคมชาวนากำลังถูกแทนที่ด้วยเกษตรอุตสาหกรรมในประเทศของเรา ผลที่ตามมาในทุกวันนี้ก็คือ ที่ไหนเป็นเมืองใหญ่ อำเภอ และตำบลใหญ่ ๆ ที่เป็นแหล่งอุตสาหกรรมและเกษตรอุตสาหกรรม คนอยู่กันอย่างแออัดแทบไม่มีร่องรอยของชุมชนบ้าน [Village] และเมือง [Small town] แบบที่เคยมีอีกเลย ทั้งยังถูกคุกคามด้วยการไล่รื้อชุมชนเก่าเพื่อสร้างบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมขึ้นมาแทนที่ จนไม่สามารถบูรณาการให้เป็นชุมชนมนุษย์ได้ ความต้องการของชุมชนโดยเฉพาะนายทุน ข้าราชการ และชนชั้นแรงงานที่โยกย้ายถิ่นฐาน ดูไม่สนใจกับชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายเข้ากับธรรมชาติที่ระคนด้วยความสุขสงบทางจิตใจและจิตวิญญาณ กลับเห็นแต่การทำงานเพื่อเงิน เพื่อรายได้ เพื่อนำไปหาความสุขทางวัตถุเฉพาะตน เฉพาะครอบครัวและพวกพ้อง แตกแยกและแย่งผลประโยชน์จากฐานทรัพยากร แยกออกเป็นหลายก๊กหลายเหล่า [Factions] การแตกแยกและความขัดแย้งเพื่อผลประโยชน์ดังกล่าวนี้ ทำให้ไม่สามารถสร้างกลไกใด ๆ เพื่อการบูรณาการทางสังคมและวัฒนธรรมให้ผู้คนในชุมชนเกิดสำนึกร่วม [Sense of belonging] ถึงการเป็นกลุ่มคนพวกเดียวกันในชุมชนได้ ในทุกวันนี้ กระบวนการทำบ้านให้เป็นเมือง [Urbanization] และชนบทให้เป็นบ้านและนิคมอุตสาหกรรม [Industrialization] ได้แผ่ขยายกระจายไปแทบทุกท้องถิ่นในทุกภูมิภาค เกิดพื้นที่อยู่อาศัยและแหล่งทำกินใหม่ที่ไม่เป็นชุมชน [Community] ไปทั่วราชอาณาจักร ทำให้สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและวัฒนธรรมที่เคยดำรงอยู่อย่างมีดุลยภาพในสังคมเกษตรกรรมแบบเดิม คือ การล่มสลาย การรุกล้ำของแหล่งอุตสาหกรรม การสร้างพลังงานเพื่อการอุตสาหกรรม เช่น เขื่อนพลังงานไฟฟ้าและเขื่อนชลประทานเพื่อการเกษตรอุตสาหกรรม รวมทั้งการสร้างถนนหนทางเพื่อการคมนาคมขนส่ง คือ เหตุใหญ่ที่ทำลายสภาพแวดล้อมและภูมิวัฒนธรรม [Cultural landscape] ของบ้านเมืองที่เคยมีมาในอดีตให้เสื่อมหาย และเป็นเหตุให้เกิดภัยพิบัตินานาชนิดขึ้นในทุกวันนี้ ในทุกมิติ เช่น อากาศเสีย น้ำสกปรกเป็นพิษ เกิดอุทกภัยที่ไม่อาจคาดฝันหรือจัดการได้ และการล่มสลายของชุมชน โดยเฉพาะการล่มสลายของชุมชนนั้น เห็นชัดจากการรุกล้ำของการใช้ที่ดินสร้างบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม ทับลงไปในพื้นที่ชุมชนเดิม เกิดการเพิ่มของคนกลุ่มใหม่ที่เข้ามาอยู่อาศัยโดยที่ชุมชนเดิมไม่สามารถบูรณาการให้เกิดความสัมพันธ์ทางสังคม จนเกิดสำนึกร่วมของการเป็นคนในชุมชนเดียวกันได้ ผู้นำของชุมชนและคนสำคัญ เช่น ผู้ใหญ่บ้านที่มีการเลือกตั้งจากคนในชุมชน ผู้อาวุโส พระสงฆ์ผู้ใหญ่ที่เป็นพระอุปัชฌา เจ้าอาวาส แม้กระทั่งคนที่เป็นผู้มีอิทธิพลที่เรียกว่า นักเลงโต [Big man] ที่มีความรักท้องถิ่นก็ถูกแทนที่โดยคนที่มาจากภายนอก หรือเป็น “คนนอก” ไปเกือบหมด คนเหล่านี้ได้โอกาสจากกฎหมายของบ้านเมืองในรัฐรวมศูนย์ที่ได้รับการแต่งตั้งจากส่วนกลาง และจากการเลือกตั้งแบบซื้อเสียงขายเสียงเข้ามาดำรงตำแหน่ง และบริหารการปกครองเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากสภาวะการตามไม่ทันของคนในท้องถิ่น [Culture lag] เข้ามาแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์ ดังเช่นผู้ที่เป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และ เจ้าหน้าที่อบต. ที่ได้รับอำนาจการบริหารจัดการมาจากรัฐในส่วนกลาง ทำให้เกิดกลุ่มนายทุนทั้งในชาติและต่างชาติเข้ามายึดครองที่ดินและทรัพยากรท้องถิ่น โดยผ่านการรับรู้และช่วยเหลือของผู้ที่เป็นคนบริหารท้องถิ่นที่รับอำนาจจากรัฐ ไม่ว่าจะเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. หรือ อบจ. เป็นต้น ในลักษณะนี้การเติบโตแบบทำลายจากนิเวศการเมืองเศรษฐกิจที่มาจากรัฐและจากกระแสโลกาภิวัตน์ กำลังคุกคามทำลายร้างภูมินิเวศทางสังคมและวัฒนธรรมของผู้คนตามชุมชนที่มีมาแต่เดิมอย่างน่ากลัวและรุนแรง การเพิ่มพลังงานเพื่อการอุตสาหกรรมในเศรษฐกิจแบบส่งออก การสนับสนุนการท่องเที่ยวแบบดูแต่ตัวเลขจากรายได้ล้วนมีประโยชน์แก่บรรดานายทุนทั้งในประเทศและนอกประเทศเพื่อเพิ่มรายได้ต่อหัว [GDP] รวมทั้งการขยายพื้นที่เกษตรอุตสาหกรรมที่ทำให้คนท้องถิ่นที่มีอาชีพทางเกษตรกรรมจำนวน ๙๐ เปอร์เซนต์ มีที่ดินให้ทำกินเพียง ๑๐ เปอร์เซนต์ เท่านั้น ความวิบัติกำลังมาเยือนสังคมไทยทั้งประเทศ ปรากฏการณ์ของความรุนแรงในหลาย ๆ พื้นที่ของประเทศ โดยเฉพาะในสังคมเมือง ไม่ว่าเป็นเมืองใหญ่และเมืองเล็ก ล้วนมีที่มาจากความล่มสลายทางศีลธรรมและจริยธรรมของบรรดานักการเมือง ข้าราชการ นักวิชาการ และบรรดานายทุนทั้งสิ้น และเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งปรากฏการณ์ของการใช้อาวุธสงคราม ไม่ว่าจะเป็นปืนและระเบิดทำลายชีวิตผู้คนอย่างขาดความเป็นมนุษย์ [Dehumanization] ปรากฏการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นนี้ ในความคิดและประสบการณ์ของข้าพเจ้าเชื่อว่าคนในรัฐบาล นายทุน และนักวิชาการผู้มีหน้าที่เกี่ยวกับความมั่นคงทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ไม่เคยมีความสำนึก ดังเห็นจากแทบทุกภาคส่วนยังคงให้ความสำคัญกับนโยบายเศรษฐกิจเพื่อการส่งออกเพื่อเพิ่ม GDP อยู่นั่นเอง ดังเช่นการเปลี่ยนแปลงรองนายกรัฐมนตรีและเจ้ากระทรวง ทบวง กรม ที่มีหน้าที่ทางเศรษฐกิจจากคนเดิม กลุ่มเดิมมาเป็นกลุ่มใหม่ ช่างดูไม่มีอะไรต่างกัน เพราะทั้งคนใหม่และคนเก่าก็ยังยึดถือในเรื่องของ GDP ที่จะมาจากการส่งออกอยู่นั่นเอง นี่คือจุดอ่อนที่สุดของรัฐบาลชุดนี้ที่ข้าพเจ้าให้ความนิยมชมชอบมากกว่ารัฐบาลใด ๆ ที่แล้วมาทั้งในอดีต และปัจจุบัน รัฐบาลเผด็จการ คสช. ทำดีแล้ว ชอบแล้ว ในเรื่องยกเลิกรัฐบาลประชาธิปไตยทุนนิยมที่เป็นขี้ข้าอเมริกาและตะวันตก ได้คืนความสงบสุขและผาสุกแก่คนส่วนใหญ่ที่เป็นรากหญ้าของประเทศ ด้วยการปราบปรามคนรุนแรง ไร้ศีลธรรม และปราบปรามคนคอรัปชั่นโกงกินประเทศให้ถึงที่สุด บ้านเมืองจะดีได้ก็เพราะสิ่งเช่นนี้คือพื้นฐาน แต่ไม่ควรจะให้ความสนใจกับสภาวะทางเศรษฐกิจที่มีผู้ประสงค์ดี และประสงค์ร้ายที่ออกมาตำหนิว่า เป็นสิ่งที่ทำให้บ้านเมืองเดือดร้อน ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าเดือดร้อนอยู่ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ทั้งนักการเมือง นายทุน และนักวิชาการที่ตามกระแสโลกาภิวัตน์ที่เน้นแต่การส่งออกและ GDP คนเหล่านี้คือคนส่วนบน แต่ไม่เคยเข้าใจในชีวิตวัฒนธรรมของคนส่วนล่างตามท้องถิ่นแม้แต่น้อย การกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจจากจากข้างบนและจากภายนอกในกระแสโลกาภิวัตน์เพื่อ GDP นั่นคือความฉิบหายขายตัวในระยะยาว แต่ในประสบการณ์ของข้าพเจ้าที่ทำงานทางสังคมวัฒนธรรมท้องถิ่นกับบรรดาผู้คนในชุมชนข้างล่าง กลับได้เห็นและสัมผัสว่า ท่ามกลางการคุกคามของทุนนิยมที่มาจากโลกาภิวัตน์นั้น คนรากหญ้าในชุมชนท้องถิ่นที่มีมาแต่เดิม กลับมีชีวิตที่พอเพียงเหมาะสมกับอัตภาพ ที่ไม่ต้องขวนขวายทำงานเพื่อหาเงินอย่างตัวเป็นเกลียวเพื่อให้มี GDP เพิ่ม จนไม่มีเวลาผ่อนคลาย แต่มี GNH แทน อันเป็นความสุขมวลรวมของผู้คนในชุมชนที่สะท้อนให้เห็นจากชีวิตความเป็นอยู่ในครัวเรือนที่มีคนอย่างน้อยสามรุ่นอยู่ด้วยกัน คือ ปู่ย่าตายาย พ่อแม่ ลูก และหลาน โดยเฉพาะในเวลาไปวัดทำบุญไหว้พระ หรือไหว้ศาลเจ้า ศาลผี มีงานเลี้ยงฉลองจะพากันเดินจูงกันไปทั้งครอบครัว ต่างคนต่างพาครอบครัวไปทำบุญ ไปกินเลี้ยงในงานประเพณี พิธีกรรม ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาของความผ่อนคลาย และความสุขตามกาลเทศะในชีวิตร่วมกันในชุมชน สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยสูญหายไปจากการมีชีวิตร่วมกันของคนในชุมชนก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับความเชื่อ และอำนาจนอกเหนือธรรมชาติ ที่สะท้อนให้เห็นถึงการมีอยู่อย่างสืบเนื่องของวัดและศาลผี เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดไม่ได้ในแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่ เช่น คอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร และอพาร์ทเม้นท์ อย่างไรก็ตาม ในระหว่างวัดกับศาลผีในโลกของวัตถุนิยมปัจจุบัน วัดมีอาการและสภาพเปลี่ยนไปเป็นอันมาก อันเนื่องจากพระสงฆ์ที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป พระชั้นผู้ใหญ่และผู้น้อยมีพฤติกรรมเป็นอลัชชี อาศัยความเป็นพระในคราบผ้าเหลือง ไม่ยึดมั่นในการปฏิบัติธรรม ออกไปท่องเที่ยวมั่วสีกา เสพเมถุน ขายเครื่องรางของขลัง โดยเฉพาะพระที่มีบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าอาวาสวัดใหญ่ ๆ ที่มีข่าวในขณะนี้ รื้อโบราณสถาน ไล่รื้อบ้านเรือนของผู้คนในชุมชนที่อยู่กับวัดมาเป็นเวลาร้อย ๆ ปี งานเลี้ยงผีประจำปี การแสดงขับลำที่ศาลเจ้าพ่อศรีนครเตา อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม อันเป็นเพราะรัฐฆารวาสและรัฐสงฆ์ได้ให้อำนาจกฎหมายแก่พระเทวทัตเหล่านั้น ปฏิบัติการรื้อชุมชนเอาที่ไปขาย หรือไปให้นายทุนก่อสร้างสถานที่ทางธุรกิจและอาคารพานิชยสถาน เท่าที่ข้าพเจ้าไปสัมผัสมาพบว่า คนไทยที่เป็นชาวบ้านเป็นปัญญาชน ผู้มีความสุขมวลชนนั้น มีแนวโน้มที่จะนับถือพระพุทธศาสนาแค่เพียงพระพุทธ พระธรรมเท่านั้น พระสงฆ์หายไปมาก แต่มีการกราบไหว้นับถือที่เป็นที่พึ่งทางจิตใจและสมานความสัมพันธ์ทางสังคมของคนในชุมชนแทน “ผี” ดูพึ่งได้ในโลกนี้ แต่พุทธเป็นเรื่องของตามบุญตามกรรมในโลกหน้า ชีวิตในชุมชน ถ้าหากขาดพระพุทธ พระธรรม และผีแล้ว คงหาความสุขมวลรวมได้ยาก ทุกวันนี้ที่ใดมีวัดที่เป็นศูนย์กลางของชุมชน มีชื่อวัดและบ้านเป็นชื่อเดียวกันเท่านั้น แต่วัดไหนที่กลายเป็นวัดใหญ่โตสร้างด้วยอิฐด้วยหินในรูปแบบสถาปัตยกรรมที่อลังการเกินฐานะของผู้คนในชุมชนแล้ว ก็มีอคติไว้ก่อนได้เลยว่า วัดนั้นไม่เป็นวัดของชุมชน หากเป็นอาศรมของพระดัง ๆ ที่มีนายทุนและผู้ที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจการเมืองมาช่วยสร้างและสนับสนุน ต่างกับศาลผีที่ดำรงอยู่กับชาวบ้านชาวเมืองอย่างยั่งยืน ในที่สุดก็อยากแสดงความเห็นว่า GDP นั้น เป็นเรื่องของปัจเจก โดยเฉพาะในหมู่คนที่เน้นวัตถุมากกว่าความสุขทางจิตวิญญาณ ในขณะที่ GNH คือความสุขมวลรวมของคนในชุมชนที่สืบมาแต่สังคมชาวนา อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ภาวะ “ล้มละลายความเป็นมนุษย์” ในสังคมไทย
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2559 ข้าพเจ้าเป็นนักมานุษยวิทยารุ่นเก่า การมองโลกแนวคิดทฤษฎีและวิธีการก็เป็นแบบรุ่นเก่า ต่างไปจากรุ่นใหม่ที่เรียกว่ารุ่นหลังสมัยใหม่ [Post modern] เขตเทือกเขาและที่สูงในจังหวัดน่าน ที่ใช้ปลูกพืชแบบเกษตรอุตสาหกรรม เช่น ข้าวโพด ความมุ่งหมายของนักมานุษยวิทยาคือ การศึกษาให้เข้าใจถึงความเป็นมนุษย์ในฐานะที่เป็นสัตว์โลกชนิดหนึ่งที่มีวิวัฒนาการ [Evolution] แตกต่างไปจากสัตว์โลกอื่นที่เป็นเดรัจฉานอย่างไร โดยอาศัยวิชาที่เป็นสาขาคือ มานุษยวิทยากายภาพ [Physical Anthropology] และวิชาโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ [Prehistoric Archaeology] เป็นเครื่องมือศึกษาให้เห็นขั้นตอนของวิวัฒนาการ มานุษยวิทยากายภาพศึกษาให้เห็นวิวัฒนาการทางร่างกายและชีววิทยาที่ทำให้เห็นว่ามนุษย์คือสัตว์คล้ายลิงที่มีวิวัฒนาการเลยเส้นแบ่งของสัตว์เดรัจฉานมาเป็นสัตว์มนุษย์ [Homosapien Sapiens] ที่มีความสามารถในการเรียนรู้สื่อสารกันได้ด้านภาษาเชิงสัญลักษณ์ และเป็นสัตว์สังคม [Social animal] ชนิดหนึ่ง ในขณะที่วิชาโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ ศึกษามนุษย์ในฐานะเป็นสัตว์วัฒนธรรมที่เรียกว่า Tool maker คือสามารถคิดเครื่องมือเครื่องใช้ เช่น เครื่องมือหินเพื่อการดำรงชีวิตรอด สิ่งที่มนุษย์ในฐานะสัตว์สังคมที่ต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเหล่าคิดขึ้นเพื่อการมีชีวิตรอดร่วมกัน นั่นคือ วัฒนธรรม [Culture] วิชาโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์นับเนื่องเป็นสาขาหนึ่งของวิชามานุษยวิทยาวัฒนธรรม [Cultural Anthropology] ที่เน้นการศึกษาด้านวัฒนธรรมเป็นหลัก แต่วิชาที่ข้าพเจ้าได้รับการอบรมมาเป็นวิชามนุษย์วิทยาสังคม [Social Anthropology] เพราะฉะนั้นเวลาที่พูดถึงวัฒนธรรมในหนทางของข้าพเจ้าจึงต้องมองทั้งวัฒนธรรมและสังคมอย่างแยกกันออกไป เปรียบเสมือนเหรียญที่มีสองด้านในเหรียญเดียวกัน ถ้าหากวัฒนธรรมคือเนื้อหา สังคมก็คือบริบท [Social context] ยกตัวอย่างเช่นเรื่องประชาธิปไตยในประเทศไทยในขณะนี้ คนส่วนใหญ่สับสนระหว่างประชาธิปไตยลอย ๆ แบบอุดมคติ ว่าต้องเป็นเช่นนั้นเช่นนี้แล้วอ้างและเลียนแบบประชาธิปไตยแบบอเมริกามาเป็นสากล ในขณะที่ประชาธิปไตยในสังคมไทยที่อยู่ในบริบททางสังคมคือ ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หาใช่ประธานาธิบดีแบบอเมริกันเป็นประมุขไม่ เพราะมีรูปแบบและระบบทางสังคมเศรษฐกิจแตกต่างกัน ไม่ควรที่จะคิดค้นเองแบบลอย ๆ หรือที่เรียกว่า “มโน” แล้วมาวิวาทกันอย่างในปัจจุบัน วิชามานุษยวิทยาสังคมแบบเก่า ๆ ที่ข้าพเจ้าเล่าเรียนมานั้น เรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า สังคมวิทยาเปรียบเทียบ [Comparative Sociology] คือศึกษาเปรียบเทียบสังคมหนึ่งแตกต่างจากสังคมอื่น ๆ ในลักษณะเหมือนกัน คล้ายคลึงกัน หรือแตกต่างกันอย่างไร และมักเป็นการศึกษาสังคมขนาดเล็ก เช่น สังคมตามท้องถิ่นที่เป็นเผ่าพันธุ์ หรือสังคมแบบประเพณี และปล่อยให้เป็นเรื่องของนักสังคมวิทยาศึกษาสังคมเมืองหรือสังคมใหญ่ ๆ ที่มีความซับซ้อนแทน ในลักษณะที่เป็นอีกวิชาหนึ่งที่เป็นเอกเทศ สิ่งที่ข้าพเจ้าสนใจมากในเชิงวิวัฒนาการก็คือ ความเป็นมนุษย์และความล่มสลายทางสังคม วัฒนธรรมและความเป็นมนุษย์ ข้าพเจ้าได้รับการอบรมให้เห็นว่า มนุษย์นอกจากเป็นสัตว์สังคมที่ต้องอยู่รวมกันในครอบครัวและชุมชนแล้ว มนุษย์ยังเป็นสัตว์เศรษฐกิจ สัตว์การเมือง และสัตว์ศีลธรรม [Moral being] โดยเฉพาะความเป็นสัตว์ศีลธรรมนั้น ถ้าหมดไป ความล่มสลายของความเป็นมนุษย์ก็จะสิ้นสุดลง [Dehumanization] แต่การล่มสลายของความเป็นมนุษย์นั้นก็หาได้หมายถึงการล่มสลายของสังคมมนุษย์ไม่ เป็นแต่เพียงปรากฏการณ์ของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมในเวลาและพื้นที่หนึ่ง ๆ เช่นนั้น เช่นสังคมบุพกาลในสมัยแรก ๆ เป็นสังคมแบบเผ่าพันธุ์ [Tribal society] ที่คนมารวมกลุ่มกันด้วยความสัมพันธ์ทางเครือญาติจากสายเลือดและการแต่งงานของคนที่เป็นชาติพันธุ์เดียวกัน มาเป็นสังคมชาวนา [Peasant society] ที่ผู้คนหลายชาติพันธุ์ หลายภาษา และเครือญาติเข้ามาอยู่รวมกันในพื้นที่เดียวกัน ทำให้เกิดความใกล้ชิดและความรู้สึกนึกคิดเป็นคนที่เกิดในพื้นที่หรือบ้านเกิดเดียวกัน “สังคมชาวนา” [Peasant society] แตกต่างไปจาก “สังคมเผ่าพันธุ์” [Tribal society] ในแง่ที่เป็น “ส่วนหนึ่งของสังคมใหญ่” [Part society] คือเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเมือง รัฐ และในที่สุดก็ประเทศชาติ ที่มีวัฒนธรรมสองระดับ คือ “ประเพณีหลวง” ของสังคมเมืองหรือรัฐอันเป็นส่วนรวมกับ “ประเพณีราษฎร์” ในระดับท้องถิ่น “ประเพณีหลวง” เป็นวัฒนธรรมของคนในสังคมเมื่อทำหน้าที่บูรณาการให้ “ประเพณีราษฎร์” ที่มีความแตกต่างและหลากหลายในท้องถิ่นเกิดสำนึกเป็นผู้คนในสังคมของแผ่นดินหรือชาติเดียวกัน การเกิดขึ้นของการศึกษาวิชามานุษยวิทยาของนักมานุษยวิทยารุ่นเก่าส่วนหนึ่งนั้น ต้องการศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของความเป็นมนุษย์ที่รวมกันกลุ่มเป็นพวกเดียวกัน ว่าเปลี่ยนแปลงไปในทางราบรื่นในครรลองของความเป็นมนุษย์ หรือเปลี่ยนแปลงไปในทางขัดแย้งรุนแรงจนเกิดภาวะล่มสลายในความเป็นมนุษย์หรือไม่ เพราะสังคมมนุษย์เป็นสังคมที่ไม่หยุดนิ่ง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาในมิติทางพื้นที่และเวลา เหตุของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมนั้นเกิดขึ้น ๒ ทาง ทางแรกจากภายในสังคมหรือชุมชนนั้น อันเนื่องมาจากนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่คนใน [Insider] สังคมนั้นคิดขึ้นมา กับทางที่สองคือจากการติดต่อเกี่ยวข้องจากภายนอกแล้วรับเอาสิ่งใหม่ ๆ แปลก ๆ เข้ามา [Culture contact] เขตเทือกเขาและที่สูงในจังหวัดน่าน ที่ใช้ปลูกพืชแบบเกษตรอุตสาหกรรม เช่น ข้าวโพด ในประวัติศาสตร์การล่มสลายของความเป็นมนุษย์ในสังคมแบบเผ่าพันธุ์และสังคมชาวนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และในอีกหลายภูมิภาคของโลกนั้น เกิดขึ้นในสมัยล่าอาณานิคมของประเทศทางตะวันตก ที่ทำให้คนในสังคมคิดอะไรที่เหมาะสมไม่เป็น แล้วไปรับเอาสิ่งที่เห็นว่าดีงามจากภายนอกเข้ามา ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นภายในประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งก็คือการถูกบังคับจากอำนาจทางการเมืองเศรษฐกิจของผู้มีอำนาจจากภายนอก เช่น จากรัฐหรือจากต่างชาติ ทำเอากฎเกณฑ์ใหม่ ๆ สิ่งใหม่ ๆ เข้ามาแทนที่ของเก่าที่มีอยู่แล้วในสังคม ในดินแดนประเทศไทย สังคมเผ่าพันธุ์ [Tribal society] เปลี่ยนแปลงและสูญหายไปเกือบหมดแล้ว อันเนื่องของการเติบโตของสังคมชาวนาและรัฐที่ทำให้ความเป็นสังคมเผ่าพันธุ์ล่มสลายและคงเหลืออยู่ในพื้นที่ชายขอบของรัฐบางแห่งเท่านั้น ความต่างกันของสังคมเผ่าพันธุ์กับสังคมชาวนานั้นอยู่ที่ สังคมเผ่าพันธุ์ของคนแต่ละกลุ่มเป็นสังคมอิสระมีอำนาจดูแลกันเองภายใน โดยอาศัยความสัมพันธ์กันทางระบบเครือญาติ โคตรเง่า ตระกูล และครอบครัว ในขณะที่สังคมชาวนาหาเป็นอิสระไม่ แต่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมใหญ่ [Part society] คือต้องพึ่งพิงเมืองและรัฐทางการเมืองและเศรษฐกิจ ความเป็นปึกแผ่นและความมั่นคงทางสังคมไม่ได้เกิดจากโครงสร้างสังคมในระบบเครือญาติ [Kinship] ของเผ่าพันธุ์ หากอยู่ที่พื้นที่ซึ่งผู้คนในชุมชนตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชนบ้านและเมืองอยู่ร่วมกันในลักษณะแผ่นดินเกิด ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากความรู้สึกร่วมของคนว่า เป็นคนบ้านไหนและเมืองไหน เป็นต้น หาได้เอาความเป็นชาติพันธุ์มาเป็นศูนย์รวม การล่มสลายของสังคมเผ่าพันธุ์และสังคมชาวนาในดินแดนประเทศไทยนั้นมีเหตุใหญ่ ๆ มาจากการเปลี่ยนแปลงที่มาจากภายนอก คือ เมื่อมีอิทธิพลทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมเข้ามานั้น คนในสังคมไม่สามารถเลือกเฟ้นและจัดการให้เข้ากันจนเกิดดุลยภาพระหว่างสิ่งใหม่ ๆ และของเก่า ๆ ได้ ก็จะเกิดการขัดแย้ง [Conflict] ขึ้น โดยเฉพาะความขัดแย้งทางศีลธรรมที่ทำให้ศีลธรรมและจริยธรรมในสังคมเสื่อมสลาย [Demoralization] ซึ่งถ้าหากไม่มีการฟื้นฟูให้อยู่ในทำนองครองธรรมแล้ว จะทำให้ภาวะความเป็นมนุษย์ในสังคมนั้น ๆ เกิดความล่มสลายในความเป็นมนุษย์ [Dehumanization] จนถึงการใช้ความรุนแรงฆ่าฟันกัน หรือแย่งชิงกันอย่างชั่วร้ายยิ่งกว่าเดรัจฉาน ในกรณีการล่มสลายของเผ่าพันธุ์ [Detribalization] เท่าที่ข้าพเจ้ารับรู้มา แลไม่เห็นความเสื่อมทางศีลธรรมและจริยธรรมที่นำไปสู่การล่มสลายของความเป็นมนุษย์ จนถึงฆ่าฟันกันอย่างล้างเผ่าพันธุ์ แต่แลเห็นเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ จากการเคยอยู่รวมกันเป็นเผ่าพันธุ์ในท้องถิ่นที่ทำมาหากินแบบพึ่งพิงธรรมชาติตามฤดูกาลทั้งการล่าสัตว์ การเพาะปลูกที่ทำให้ต้องเปลี่ยนที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทำกิน [Semi-nomadic] มาเป็นการตั้งถิ่นฐานอยู่ติดที่และทำการเพาะปลูกแบบทดน้ำในที่ราบลุ่มแทน โดยอยู่รวมกันกับคนในชาติพันธุ์อื่น ในรูปแบบของสังคมชาวนาที่ประกอบด้วยชุมชนบ้านและเมืองในพื้นที่ซึ่งเรียกว่า “ท้องถิ่น” [Locality] ทำให้ต้องเปลี่ยนระบบความสัมพันธ์ทางสังคมจากระบบเครือญาติ [Kinship] มาเป็นระบบพี่น้องร่วมบ้านร่วมท้องถิ่นเดียวกัน โดยอาศัยความสัมพันธ์ในเรื่องการกินดองหรือการแต่งงานระหว่างกันกับการเป็นเพื่อนบ้าน เช่น ที่มีการผูกเสี่ยวของคนอีสานหรือผูกเกลอของคนใต้ รวมทั้งการเข้าสู่ระบบอุปถัมภ์กับคนที่เป็นชนชั้นในเมืองที่เป็นผู้มีคุณธรรม การล่มสลายของเผ่าพันธุ์ [Detribalization] ดังกล่าวนี้ มีที่มาจากการเสื่อมทางศีลธรรมและจริยธรรม [Demoralization] มาก่อน ดังเห็นได้จากการเกี่ยวข้องกับภายนอก ทำให้ความสัมพันธ์ทางสังคมที่เคยพึ่งพิงกันในทางเศรษฐกิจเพื่อมีชีวิตรอดร่วมกัน ความสัมพันธ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในระบบความเชื่อทางศาสนาและจริยธรรม ค่านิยมโลกทัศน์ และศักดิ์ศรีของความเป็นเผ่าพันธุ์ที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มอย่างเสมอภาค มาเป็นความรู้สึกแปลกแยกเห็นแก่ตัวในลักษณะที่เป็นปัจเจก ที่รับเอาความเหลื่อมล้ำเข้ามาสร้างปมด้อยให้แก่ตนเอง ดังเช่นคนหลายชาติพันธุ์ไม่ว่าคนชอง คนลัวะ ละว้า คนส่วย แลเห็นชาติพันธุ์ตนเองต่ำต้อยกว่าคนไทยจากภายนอก แล้วพยายามกลบเกลื่อนในความเป็นชาติพันธุ์ของตนไว้ รวมทั้งการแตกแยกไม่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นชุมชนดังเดิม โยกย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในที่อื่น ๆ ไปเป็นแรงงานในเมือง ไปอยู่ในชุมชนท้องถิ่นของคนที่เป็นชาวนาชาวบ้าน เป็นต้น แต่การล่มสลายทางศีลธรรมและการล่มสลายของเผ่าพันธุ์ดังกล่าวนี้ ก็หาได้กับทำลายความเป็นมนุษย์ไม่ หากถูกเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นคนในสังคมชาวนา [Peasant society] ในชุมชนท้องถิ่น [Localization] แทน อย่างย่อๆ ก็คือ กลายเป็น “คนถิ่น” แทน “คนเผ่า” ไป สังคมชาวนาเป็นสังคมของคนที่อยู่ในชุมชนถิ่นหรือท้องถิ่น [Local communities] ที่ประกอบด้วยบ้านและเมือง มีมาช้านานแต่สมัยกว่าพันปีที่แล้วมา เริ่มเปลี่ยนแปลงแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ อันเป็นเมืองไทยภายใต้อิทธิพลวัฒนธรรมตะวันตก [Westernization] ที่มีมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ การปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินและการปกครองสมัยรัชกาลที่ ๕ เพื่อให้เป็นรัฐรวมศูนย์แบบสมบูรณาญาสิทธิราชแบบทางประเทศมหาอำนาจทางตะวันตก คือจุดเริ่มต้นของกระบวนการทำลายความเป็นอิสระของชุมชนท้องถิ่นและชีวิตวัฒนธรรม [Delocalization] ดังเห็นได้จากการนำเอาพื้นที่ทางการบริหาร [Administrative space] มาแทนที่พื้นที่วัฒนธรรม [Cultural space] ในรูปแบบของหมู่บ้าน ตำบลและอำเภอมาแทนที่ความเป็นชุมชนบ้านและเมืองแต่เดิม การให้กรรมสิทธิ์ที่ดินแก่ประชาชนโดยทั่วไปและการส่งเสริมการปลูกข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจเพื่อการส่งออกได้ทำให้ภูมิวัฒนธรรมของชุมชนบ้านเมืองที่มีวัดเป็นศูนย์กลาง ที่มีธรรมชาติป่าเขา ผสมกับพื้นที่ทำการเพาะปลูกอย่างได้สัดส่วน มาเป็นพื้นที่ทุ่งกว้างเพื่อการทำนา มีโรงสีและตลาดเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจสังคมที่มีคนชั้นกลางซึ่งได้แก่พวกพ่อค้าคนจีน เจ้าของนา เจ้าของโรงสีและตลาดเกิดขึ้น การขยายกิจการทางสาธารณูปโภค เช่น ทางรถยนต์ ทางรถไฟ และการชลประทาน ตลอดจนการตั้งสถานที่ทำการของทางราชการ ทำให้ผู้คนแต่เดิมที่ตั้งถิ่นฐานชุมชนอยู่ตามริมน้ำลำคลอง ย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานใหม่ตามสองฝั่งถนนและทางรถไฟ ทั้งหมดนี้ทำให้ชุมชนชาวนาแต่เดิมต้องปรับตัวมาอยู่ในพื้นที่ใหม่และสภาพแวดล้อมใหม่ ซึ่งกระนั้นก็ดี รากเหง้าของความเป็นสังคมชาวนาในมิติทางวัฒนธรรมก็ยังไม่หมดสิ้นไป เพราะพื้นฐานเดิมเป็นสังคมเกษตรกรรม เป็นแต่เปลี่ยนจากเกษตรกรรมแบบชาวนามาสู่เกษตรกรรมแบบกสิกร [Farmer] กสิกรเป็นผู้ประกอบการด้วยตนเอง มีที่ดินมีเครื่องมือเครื่องใช้ของตัวเอง ต่างจากชาวนาเดิมที่ต้องอยู่กันเป็นกลุ่มช่วยเหลือเกื้อกูลกันในการดำรงอยู่และการทำมาหากินที่มีลักษณะเป็นปัจเจก ชุมชนเกษตรกรเห็นได้จากการตั้งบ้านเรือนอยู่ในลักษณะกระจายเป็นกลุ่มครอบครัว [Homestead] ติดกับที่ทำกินและที่ดินของตนเอง แต่ก็มีวัด โรงเรียน ป่าช้าและตลาดเป็นศูนย์กลางอย่างสังคมชาวนาและการรับรู้ชีวิตความเป็นอยู่ในสังคมท้องถิ่น [Local communities] ร่วมกัน โดยย่อสังคมท้องถิ่นยังคงดำรงอยู่แม้ว่าจะเปลี่ยนจากชาวนามาเป็นเกษตรกรหรือกสิกรแล้วก็ตาม การพัฒนาประเทศให้เป็นสังคมอุตสาหกรรม แต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้นมา ทำให้สังคมท้องถิ่นเริ่มสลายอันเนื่องมาจากการเคลื่อนย้ายของผู้คนจากที่ต่างทั้งภายในภายนอก เข้ามาอยู่และตั้งถิ่นฐาน ทำสถานที่ประกอบการธุรกิจ อุตสาหกรรม และการสร้างถนน สร้างเขื่อนพลังงานไฟฟ้าเกินขีดความสามารถของสังคมท้องถิ่น แต่เดิมจะบูรณาการทางสังคมและวัฒนธรรมให้คนที่เคลื่อนย้ายเข้ามามีสำนึกร่วมในการเป็นคนในท้องถิ่นเดียวกันได้ นับแต่รัฐบาลคึกฤทธิ์ ปราโมช รัฐบาลชาติชาย ชุณหวัณ ที่เอาเศรษฐกิจการเมืองมาเป็นตัวนำในการพัฒนาประเทศให้เป็นสังคมอุตสาหกรรม เช่น ระบบเงินผันและการปั่นที่ดิน รวมทั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจทุนนิยม ได้ทำให้สังคมท้องถิ่นเริ่มแตกสลาย [Delocalization] ดังเช่นการขยายตัวของบรรดาบ้านจัดสรรคอนโดมิเนียม นิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น ทำให้คนอยู่ในพื้นที่ใหม่อย่างไม่มีหัวนอนปลายตีน ต่างคนต่างอยู่ไม่อาทรแก่กัน และการตั้งถิ่นฐานใหม่เมืองใหม่ที่ทำลายลำน้ำลำคลอง หนองบึง และพื้นที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ได้ทำให้เกิดภาวะล่มสลายทางศีลธรรมและจริยธรรม ความเป็นมนุษย์ในฐานะสัตว์สังคมเริ่มเสื่อม และรับเอาค่านิยมและประเพณีทางโลกที่เป็นวัตถุนิยมบริโภคนิยมและความเป็นปัจเจกเยี่ยงเดรัจฉานเข้ามาแทนที่ นับแต่ยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร เป็นต้นมา เศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ที่มีพรมแดนเกิดทุนเหนือรัฐและเหนือตลาด เป็นโครงสร้างไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบทุนนิยมเสรีเข้าครอบงำเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศทั้งในเมืองและชนบท ภายใต้โครงสร้างของทุนข้ามชาติที่มีอำนาจเหนือรัฐและตลาด ได้ทำให้สังคมท้องถิ่นทั้งในเมืองและตามชนบทถูกบดขยี้ทั้งการถูกไล่ที่ หลอกลวงให้ขายที่อยู่อาศัยและทำกิน และการแย่งชิงทรัพยากรน้ำและเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมธรรมชาติที่ควรแก่การอยู่อาศัยของมนุษย์แทบทุกหนแห่ง กิจกรรมการอุตสาหกรรมทั้งหนักและเบาและการเกษตรอุตสาหกรรมได้รุกล้ำเปลี่ยนที่ทางการเกษตรแต่เดิมให้หมดไป โดยคนที่เคยเป็นเกษตรกรที่อยู่ติดที่บ้านเกิดเมืองนอน ต้องโยกย้ายไปเป็นแรงงานข้ามถิ่นข้ามบ้านข้ามเมือง จนเกิดภาวะ “สังคมบ้านแตก” ขึ้นแก่บรรดาลูกหลานที่เป็นเยาวชน ความคิดที่ชั่วร้ายของลัทธิทุนนิยมแบบไม่มีหัวนอนปลายเท้าที่ให้คำนิยามความเป็นมนุษย์ใหม่ว่า “ทรัพยากรมนุษย์” นั้น มีผลกระทบไปถึงการศึกษาอบรมตั้งแต่ระดับครอบครัว ชุมชนท้องถิ่น และบรรดาโรงเรียนและมหาวิทยาลัยทั่วทั้งประเทศ การแพร่หลายทางเทคนิคของบรรดาเครื่องมือในการศึกษา การสอน และการสื่อสารแบบทุกชนิดของคอมพิวเตอร์ที่นำเอาแนวคิดปรัชญาและความรู้ทางวัตถุ ได้ทำลายระบบทางศีลธรรม จริยธรรมและความเป็นมนุษย์ให้แก่ผู้คนในสังคมทุกระดับชั้น รวมทั้งระบบและกระบวนการทางยุติธรรมการออกกฎหมายก็กลับกลายเป็นเหยื่อและเครื่องมือของบรรดาผู้มีอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจในการสร้างความถูกต้องที่ปราศจากมโนธรรมให้แก่พวกตน สังคมท้องถิ่นแทบทุกภูมิภาคกำลังถูกทำลายในกระบวนการสลายพื้นที่ทางสังคมและวัฒนธรรม [Delocalization] โดยอำนาจรัฐและอำนาจทุนนิยมมีปรากฏการณ์ให้เห็นแทบทุกเมื่อชั่วยามในขณะนี้ ดังตัวอย่างไกลตัวในภาคเหนือในเขตจังหวัดแพร่และน่าน ที่รัฐยินยอมให้กลุ่มชาติพันธุ์ผสมนายทุนข้ามชาติ ทำการเพาะปลูก ทำไร่ข้าวโพดในพื้นที่ต้นน้ำยมและน้ำน่านที่อยู่บนภูเขาและที่สูง จนเกิดอาการเขาหัวโล้นไปทั่ว การต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิในที่อยู่อาศัยแต่เดิมของชาวชุมชนป้อมมหากาฬ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๙ การปลูกข้าวโพดอันเป็นเกษตรอุตสาหกรรมเชิงเดี่ยวได้ทำลายความหลากหลายของชีวภาพของนิเวศวัฒนธรรมบนเขาและที่สูงของกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในพื้นถิ่น ที่ทำการเพาะปลูกในระบบไร่หมุนเวียนที่เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในพื้นที่ทำมาหากินในลักษณะพอเพียง และไม่ทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ และเป็นการเกษตรที่ยั่งยืน เพราะการหมุนเวียนไปตามที่ต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ ทางราชการขาดความเข้าใจ ความหมายและระบบการทำไร่หมุนเวียนของกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในท้องถิ่นมาแต่เดิมไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ปีขึ้นไป และสร้างวาทกรรมโดยนักวิชาการโง่ว่าเป็นการทำไร่เลื่อนลอยที่ทำให้พื้นที่ป่าเขาทั้งหมดเตียนโล่ง เลยอ้างกฎหมายและใช้อำนาจยึดครองที่ดินที่อยู่อาศัยให้มาเป็นของรัฐ ขับไล่ชุมชนท้องถิ่นให้ดำรงอยู่ไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดหนทางให้กับบรรดานายทุนข้ามชาติที่นำเอาผลิตผลข้าวโพดเข้าสู่อุตสาหกรรมแปรรูปและส่งออกในการสนับสนุนกลุ่มชาติพันธุ์อื่น และคนจากพื้นราบเข้าทำไร่เลื่อนลอยด้วยการใช้เครื่องจักรเครื่องยนต์แทนการเพาะปลูกตามวิธีการธรรมชาติของคนในท้องถิ่นแต่เดิม ปัจจุบันการครอบงำของการทำไร่เลื่อนลอยของกลุ่มชนบนที่สูงนั้นก้าวไกลเกินสภาพความเป็นไร่เลื่อนลอยสู่ภาวการณ์เป็นไร่ถาวรในระบบเกษตรอุตสาหกรรมที่มีนายทุนข้ามชาติผู้มีอิทธิพลเหนือรัฐและตลาดอยู่เบื้องหลัง ผลที่ตามมาของการทำไร่ข้าวโพดถาวรดังกล่าวนี้ ได้ทำให้เกิดความวิบัติอย่างใหญ่หลวงแก่ชีวิตของผู้คนทั้งอยู่ในที่สูงและที่ลุ่มต่ำในขณะนี้ คือ เมื่อฝนตกเกิดดินถล่ม [Land slide] น้ำท่วมทำให้บ้านเรือนพังและที่ทำกินเสียหายไร้ที่อยู่เป็นประจำเกือบแทบทุกปีเท่านั้นยังไม่เพียงพอ เพราะในฤดูแล้งกลุ่มคนที่ปลูกข้าวโพดบนเขาและที่สูงเผาซางข้าวโพดเพื่อปรับที่ดินเพาะปลูกใหม่ ทำให้เกิดควันไฟและเขม่าไฟปกคลุมไปทั้งภูมิภาค เกิดมลภาวะทางอากาศที่เป็นภัยต่อระบบการหายใจของมนุษย์ ความชั่วร้ายและบาปของนายทุนก็ยังคงดำรงอยู่ ในพื้นที่เขตเมืองเช่นกรุงเทพมหานคร ทั้งทุนและรัฐเริ่มสุมหัวกันทำลายชุมชนท้องถิ่นที่มีรากเหง้ามาแต่สมัยการสร้างกรุงเทพฯ ครั้งรัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๓ โดยการอ้างการปรับปรุงผังเมืองและสร้างสถานที่ทางราชการและพื้นที่อยู่อาศัยและการพาณิชย์ใหม่ ให้ดูสวยงามเป็นเมืองประวัติศาสตร์เพื่อการท่องเที่ยว ผลที่ตามมาชุมชนมนุษย์ที่ยังฝังตัวอยู่ในบริเวณเมืองกรุงเทพมหานคร กำลังถูกคุกคาม รื้อถอน และขับไล่โดยไม่มีความชอบธรรมในแทบทุกย่านที่อยู่อาศัยและทำกิน การดำเนินการชั่วร้ายของการสลายท้องถิ่นทางสังคมและวัฒนธรรมที่กำลังจะเป็นการทุบตีทำร้ายผู้คนดั้งเดิมของเมืองกรุงเทพฯ ในขณะนี้ กำลังอยู่ที่ “ชุมชนชานกำแพงเมืองหลังป้อมมหากาฬ” เพราะกรุงเทพมหานครต้องการไล่ชุมชนมนุษย์ออกไป เพื่อเอาพื้นที่ไปทำสวนสาธารณะเพื่อคนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยวที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าแทนที่ชุมชนซึ่งเคยอยู่อาศัยในกรุงเทพมหานครมาแต่เดิม อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงใช้แผนที่อย่างหนอน
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ต.ค. 2559 บารมีคืออำนาจที่เกิดจากการกระทำดีที่แล้วเสร็จ เป็นผลให้ผู้รับเกิดความเลื่อมใสและเคารพรัก เป็นอำนาจที่มาจากเบื้องล่าง ขณะที่อำนาจจากเบื้องสูงคืออำนาจตามกฎหมาย หรือกติกา เป็นอำนาจของรัฐที่เป็นพระเดช แต่อำนาจบารมีเป็นอำนาจทางพระคุณ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ กับแผนที่ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ จึงไม่ทรงมีอำนาจในการจัดการบ้านเมืองใด ๆ เพราะเป็นอำนาจของทางรัฐบาลที่ทำให้พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะผู้นำทางสัญลักษณ์ที่ไม่ต้องทรงทำอะไรก็ได้ แต่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ เพราะทรงเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมของความรัก เมตตากรุณาต่อประชาชนที่มีความทุกข์ยาก หลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์ได้ทรงตระเวนไปทั่วทุกแห่งของบ้านเมือง ได้ทรงพบเห็นสภาพความล้าหลังของประเทศ และความยากจนเหลื่อมล้ำของผู้คนในสังคมที่บอกว่าเป็นประชาธิปไตยที่ได้คืนอำนาจในการปกครองและบริหารประเทศมาจากพระมหากษัตริย์ รัฐบาลประชาธิปไตยตั้งแต่สมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประชาธิปไตยแบบทุนนิยมตามแบบฝรั่งเศส อังกฤษ และอเมริกา ซึ่งเป็นรัฐบาลที่มองโลกจากคนชั้นกลางที่อยู่ดี กินดี มีเงินใช้ มีที่อยู่อาศัยอย่างเป็นบ้านเมืองที่มีตึกรามบ้านช่อง ถนนหนทางและเครื่องอำนวยความสะดวกแบบตะวันตกที่ต้องใช้ทุนเงินในการสร้างสรรค์ขึ้นมา หาได้สำเหนียกถึงความสุขและความทุกข์ยากของคนชั้นล่างที่เป็นชาวนาและกรรมกรแรงงานไม่ จึงเป็นรัฐบาลที่มองแต่เพียงการยกระดับบ้านเมืองใหม่ มีสภาพอยู่ดีกินดีตามมาตรฐานทางะตะวันตก ที่หัวใจในการพัฒนาประเทศอยู่ที่การมีเงินเป็นหัวใจ “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข” ความทุกข์และความสุขของประชาชนจึงเป็นเรื่องทางเศรษฐกิจที่ใช้เงินเป็นตัวกำหนดที่จะทำให้แลเห็นความจนและความรวย ตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นต้นมา มีแผนพัฒนาบ้านเมืองอย่างสืบเนื่องและมั่นคงที่มีมาจากความเชื่อแบบอเมริกันครอบงำว่า ความยากจนเหลื่อมล้ำนั้นมาจากลัทธิคอมมิวนิสต์ที่กำลังคุกคามสวัสดิภาพของประชาชนทั่วไปในประเทศ การทำสงครามกับคอมมิวนิสต์นั้นคือ การป้องกันความมั่นคงของบ้านเมืองที่ต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรม [Industrialization] และการยกระดับความเป็นเมือง [Urbanization] ให้มากกว่าการเป็นชนบท โดยเฉพาะการพัฒนาทางเศรษฐกิจนั้นก็เพื่อให้มีการผลิตที่ทำให้คนมีรายได้กับหัวเพิ่มขึ้น [GDP] จึงทำให้ในทุกวันนี้การเพิ่ม GDP จึงเป็นสิ่งที่แสดงถึงความสุขมวลรวมผู้คนในสังคม อันเป็นความสุขทางวัตถุโดยแท้ แต่ก็เป็นความสุขของคนชั้นกลางและนายทุนที่มีผลกระทบทางทำลายสภาพแวดล้อมธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งสังคมของคนชั้นล่างที่ยากจนและด้อยโอกาส เกิดการล่มสลายของครอบครัวและความเป็นมนุษย์ ซึ่งคนที่เป็นวิญญูชนอาจแลเห็นและสำเหนียกได้ในทุกวันนี้ ในขณะที่รัฐแทบทุกยุคทุกสมัยแม้ปัจจุบันก็ยังพัฒนาบ้านเมืองด้วยอำนาจและเงินที่มีสิทธิตามกฎหมายในด้านเศรษฐกิจที่ไม่เห็นทุกข์สุขที่แท้จริงของประชาชน ตามแบบตามตำราและทฤษฎีที่มาจากตะวันตก ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงพัฒนาบ้านเมืองในส่วนพระองค์ด้วยเป้าหมายที่แตกต่างไป คือไม่ทรงมองที่เศรษฐกิจที่จะนำทางไปสู่การมีเงินทองในทางเพิ่มพูน GDP แต่ทรงมองที่คนชั้นล่างที่ด้อยโอกาส และอยู่ในสภาพของความยากจน โดยย่อก็คือมองที่ตนเป็นตัวตั้งและความยากจนด้อยโอกาสก็ไม่ใช่ความยากจนที่เกิดจากการขาดแคลนในเรื่องเงินทอง แต่เป็นความยากจนขาดแคลนในสภาวะที่ไม่มีความสุขกายและใจในการดำรงชีวิต สภาพความยากจนดังกล่าวนี้ทรงพบเห็นจากการที่ได้เสด็จตระเวนไปยังท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักรที่เป็นผลให้มีประชาชนเพรียกร้องไม่ให้พระองค์ทอดทิ้งประชาชน สืบเนื่องจากประสบการณ์ดังกล่าว ได้ทำให้พระองค์ได้บำเพ็ญพระกรณียกิจในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ เพื่อช่วยให้ประชาชนผู้ด้อยโอกาสพ้นจากความยากจนและอยู่ดีกินดีทั้งกายและใจในรูปแบบที่เรียกว่า ความสุขมวลรวมมวลรวมประชาชาติ GNH [Gross National Happiness] ที่ไม่ใช่ผลผลิตมวลรวมประชาชาติ GDP [Gross domestic product] พระราชกรณียกิจในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจทรงทำตลอดพระชนม์ชีพแทบจะไม่ทรงมีเวลาในส่วนพระองค์ตราบจนเสด็จดับขัณฑ์นี้ คือพระบารมีที่มาจากอำนาจของความรักและความเมตตาต่อประชาราษฎร์ของพระองค์ ทรงใช้ทุนทรัพย์และพระสติปัญญาและเวลาในส่วนพระองค์เป็นพื้นฐานโดยมีคนเป็นเป้าหมายไม่ใช่เงินที่ทำให้เกิด GDP ผลของพระราชกรณียกิจในการช่วยเหลือและดูแลทุกข์สุขของคนคือประชาชนทั้งประเทศดังกล่าวนี้ คือพระบารมีที่แผ่ไพศาลที่เห็นกันอย่างแจ่มชัดในทุกวันนี้ จากภาพบันทึกพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจที่สื่อทั้งหลาย ทั้งของรัฐและเอกชนนำมาปะติดปะต่อให้เห็นเป็นภาพรวมทั้งหมดที่ปรากฏทุกวันหลังวันสวรรคต ซึ่งข้าพเจ้าได้นำมาเขียนวิเคราะห์เชิงมนุษยวิทยาไว้ ณ ที่นี้ การพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่มีมิติทางสังคมที่ผ่านมาโดยเน้นรายได้ทางเศรษฐกิจด้วยปรัชญาแบบ “งานคือเงิน เงินคืองานบันดาลสุข” เพื่อให้เกิดรายได้ต่อหัวที่เรียกว่า GDP คือสิ่งที่ทำลายชีวิตวัฒนธรรมของผู้คนในชุมชนท้องถิ่นที่เคยอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว เครือญาติ เหล่าตระกูล และชุมชนที่สัมพันธ์กับการจัดการทรัพยากรทั้งดิน น้ำ และพืชพันธุ์ สิ่งที่มีชีวิตในนิเวศวัฒนธรรมที่เคยมีอยู่ร่วมกันอย่างมีดุลยภาพ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบล่มสลาย และผลที่ตามมาก็คือความทุกข์ยากของประชาชนทั่วไปในระดับล่าง ทำให้สังคมไทยทั่วประเทศอยู่ในสภาพความเหลื่อมล้ำในชีวิตความเป็นอยู่ระหว่างคนรวยและคนจนที่ส่วนใหญ่อยู่ในภาวะยากจน หิวโหยและเดือดร้อน แต่การพัฒนาตามแนวคิดและแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น ทรงพัฒนาจากข้างล่างจากคนในท้องถิ่นที่ประสบความเดือดร้อนให้มาเชื่อมโยงกับการพัฒนาจากข้างบนหรือจากข้างนอก เพื่อให้เกิดดุลยภาพระหว่างกัน ทรงมุ่งให้คนในที่อยู่รวมกันเป็นชุมชนมีชีวิตอยู่รวมกันในท้องถิ่น เป็นการพัฒนาที่มีมิติทางสังคม และเป็นพัฒนาเศรษฐกิจซึ่งอยู่ในบริบททางสังคมและสภาพแวดล้อมที่เป็นนิเวศวัฒนธรรม ในความคิดเชิงมานุษยวิทยาที่ข้าพเจ้าได้เล่าเรียนมา คือการพัฒนาแบบองค์รวมทั้งโลกธาตุที่แลเห็นทุกธาตุส่วนที่เป็นองค์ประกอบของโลก มี ๖ ธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ และวิญญาณธาตุ ที่หมายถึงสิ่งที่มีชีวิต อันได้แก่คน สัตว์ ต้นไม้ เป็นต้น การมีชีวิตรอดอยู่ของสิ่งที่มีชีวิตโดยเฉพาะมนุษย์ที่เป็นสัตว์สังคมจะดำรงอยู่ได้นั้น ทุกสิ่งที่เป็นธาตุต่าง ๆ ทั้ง ๖ ธาตุนี้จะต้องสัมพันธ์กันอย่างได้ดุลยภาพ แต่การจะพัฒนาได้นั้นจะทำไม่ได้ผลดี โดยการพัฒนาจากข้างบนหรือจากภายนอกที่ทำตามตำรา แม่บท และแนวคิดทฤษฎี แต่ต้องเป็นเรื่องของการลงไปศึกษาเก็บข้อมูลกันในพื้นที่หรือท้องถิ่นที่มีชุมชนมนุษย์อยู่ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องทรงทรมานพระวรกายตรากตรำลงไปศึกษาเก็บข้อมูลข้อเท็จจริงด้วยพระองค์ตามท้องถิ่นที่ประชาชนประสบความเดือดร้อน แล้วนำมาวิเคราะห์ตีความเพื่อกำหนดเป็นแนวคิด แนวทางและวิธีการแก้ไขเพื่อการขจัดทุกข์ยากและความเดือดร้อนของประชาชน ถ้าธาตุใดที่เป็นสาเหตุไม่ว่าจะเป็นดินน้ำลมไฟ อากาศ มนุษย์ สัตว์และต้นไม้ หรือสิ่งที่มีชีวิตอื่นๆ ก็จะทรงพยายามแก้ไขให้ เพราะฉะนั้นเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมจากข้างล่าง หรือจากคนในชุมชน ในท้องถิ่นตามที่กล่าวมานี้ พระองค์ต้องทรงริเริ่มและทำทุกอย่างด้วยพระองค์เอง ด้วยทุนทางสติปัญญาและทุนทรัพย์ในส่วนพระองค์ โดยไม่คาดหวังจากความร่วมมือจากทางรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาจากข้างบนและจากข้างนอก ซึ่งเป็นสิ่งที่ทรงพระราชดำริว่า “ต้องระเบิดจากข้างในก่อน” และการเข้าถึงด้วยแนวทาง “เข้าใจ เข้าถึงและพัฒนา” ในเรื่องนี้ทรงละไว้ให้เข้าใจกันเองว่าการเข้าถึงคือถึงอะไร ซึ่งในแนวปฏิบัติของพระองค์ก็คือ “เข้าถึงคน” แต่ไม่ใช่เป็นคนในฐานะปัจเจก หากเป็นคนที่อยู่ร่วมกันในครอบครัวเป็นตระกูล หมู่เหล่าที่แม้จะหลากหลายทางชาติพันธุ์ ภาษา และศาสนา แต่อยู่กันอย่างเป็นชุมชนในพื้นที่หรือท้องถิ่นเดียวกัน แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ พระองค์เองได้แสดงการเข้าถึงอย่างไร เป็นตัวอย่างด้วยการเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาทลงไปยังท้องถิ่นเป้าหมายด้วยแผนที่แผ่นทาง สมุดบันทึก และกล้องถ่ายรูปออกไปเก็บข้อมูล ที่เห็นได้จากการสังเกตการณ์ได้ยินได้ฟังจากการสังสรรค์กับผู้คนในท้องถิ่นอย่างเป็นกันเองอย่างคนธรรมดาที่ไม่แสดงอาการเหลื่อมล้ำในลักษณะต่ำสูง ที่ทำให้ผู้คนเกิดความไว้วางใจเคารพรัก และให้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงน่าเชื่อถือได้ อันที่จริงในการใช้แผนที่แผ่นทางในการเป็นเครื่องมือเก็บข้อมูลดังกล่าวนี้ ก็มีนักวิชาการ นักพัฒนาทำกันอย่างกว้างขวาง แต่มีความแตกต่างกันกันอย่างสิ้นเชิงในการปฏิบัติ คนทั่วไปส่วนใหญ่ใช้แผนที่แผ่นทางในลักษณะแบบนก [Bird eyes view] คือกางแผนที่แล้ววางแผน หรือถ้าหากจะต้องลงพื้นที่ก็ทำอย่างเคร่า ๆ แบบขี่ม้าเลียบค่ายเลียบเมืองอะไรทำนองนั้น แต่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นทรงทำแบบหนอน [Worm eyes view] ที่ทรงดำเนินด้วยพระบาทเข้าไปในพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ยากลำบากและทุรกันดารอย่างไรเพื่อเข้าไปให้เห็นคน เห็นสัตว์กันได้ และสิ่งที่มีชีวิตที่สัมพันธ์กับดินน้ำลมและอากาศที่มีระดับสูงต่ำ และระดับอุณหภูมิที่เป็นจริง จึงทำให้ได้ทรงเข้าถึงเข้าใจในปัญหาของความเดือดร้อนที่จะต้องนำไปวางแผนแก้ไขในการพัฒนา ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นจากการดำเนินการแก้ไขในเรื่องการจัดการน้ำทั้งเพื่อการเกษตรกรรม การป้องกันน้ำท่วม ฝนแล้งและการส่งเสริมพืชพันธุ์ต่าง ๆ รวมทั้งการสนับสนุนเลือกเฟ้น เน้นใช้และประดิษฐ์เทคโนโลยีเหมาะสมให้แก่คนในชุมชนที่จะต้องพัฒนา ความต่างกันในแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจสังคมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นการพัฒนาจากข้างในกับการพัฒนาจากข้างนอก โดยทางรัฐและเอกชนทั่วไปก็คือ การพัฒนาที่ทำให้คนช่วยตัวเองและทำเองในลักษณะการเป็นพี่เลี้ยง แนะนำแนวคิดแนวทางและวิธีการที่เป็นไปได้ รวมทั้งการช่วยเหลือลงทุนค่าใช้จ่ายบ้างในด้านการลงทุนทางเทคนิคโดยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ และการทรงคิดประดิษฐ์เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เหมาะสม โดยเสด็จพระราชดำเนินไปทรงแนะนำให้ความรู้ด้วยพระองค์เองตามท้องถิ่นต่างๆ พระราชทานแนวคิดและแนวทางตลอดมา วิธีการดังกล่าวนี้เรียกว่า การสร้างพลังทางสติปัญญาและความรู้ให้แก่ผู้คนให้สามารถพัฒนาด้วยตนเอง ดังในภาษาอังกฤษเรียกว่า Empowerment การเสด็จฯ ลงไปถึงผู้คนที่จะต้องพัฒนาในท้องถิ่นด้วยพระองค์เองก็คือ การเข้าถึง เข้าใจ ในความต้องการของความรู้กับศักยภาพ ความรู้ และสติปัญญาได้อย่างเด่นชัด อีกทั้งได้ทรงเข้าถึงในเรื่องโลกทัศน์และค่านิยมของผู้คนที่เป็นเหยื่อของวัตถุนิยมที่แพร่หลายจากชนชั้นปกครอง ชนชั้นกลางในโลกของทุนนิยมเสรีแบบทางตะวันตก ได้ทำให้ต้องทรงพระราชทานแนวคิดและปรัชญาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงขึ้นเพื่อให้เป็นรากฐานในการดำรงชีวิตอย่างพอเพียงและมีคุณภาพ ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน โดยความเข้าใจของข้าพเจ้าคือ ปรัชญาของความพอเพียงในชีวิตของปัจเจกบุคคลที่มีทั้งความพอเพียงในทางวัตถุที่ได้ดุลยภาพกับความพอเพียงทางจิตใจอันเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ ซึ่งในภาษาอังกฤษเรียกว่า Self sufficiency เพราะความพอเพียงของแต่ละบุคคลนั้นไม่เท่ากัน เป็นความพอเพียงตามอัตภาพของแต่ละบุคคล อันนี้เป็นพื้นฐานที่จะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงในระดับส่วนรวมหรือในระดับชุมชน เพราะมนุษย์คือสัตว์สังคมต้องอยู่รวมกันจึงจะมีชีวิตรอด การพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงจึงเป็นการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชนร่วมกันที่ทำให้เกิดความพอเพียงและยั่งยืน หรือเรียกว่า Sustainable economy หรือ Sustainable development คือพอเพียงและยั่งยืนของคนในชุมชนร่วมกัน อีกสิ่งหนึ่งในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันมุ่งการพัฒนาจากข้างในที่แตกต่างไปจากการพัฒนาจากข้างบนหรือจากข้างนอกของคนในโลกวัตถุนิยมแบบตะวันตกก็คือ “การพัฒนาจิตใจในมิติทางจิตวิญญาณ” เป็นเรื่องของความเชื่อศาสนาและประเพณีพิธีกรรม ซึ่งแสดงออกให้เห็นจากการสร้างวัด สร้างโรงเรียนที่พระองค์ได้พระราชทานทุนทรัพย์ และเสด็จฯ ไปพบปะประชาชนและร่วมในประเพณีพิธีกรรมควบคู่กันไป เสด็จฯ ไปนมัสการบรรดาพระอริยสงฆ์และแสดงพระองค์เองเป็นพุทธมามกะ ในเรื่องสมาธิและวิปัสสนา และทั้งหมดนี้ แลเห็นจากการให้ความสำคัญกับโครงสร้างความเป็นชุมชนในสมัยใหม่ คือ บ้าน วัดและโรงเรียนที่เรียกกันย่อ ๆ ว่า “บวร” ที่ต้องทำให้เกิดขึ้นได้ด้วยการเชื่อมโยงบูรณาการให้สัมพันธ์กับการมีชีวิตรวมกันของคนในชุมชนด้วยการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจในการพัฒนาสังคมเศรษฐกิจด้วยการตรากตรำพระวรกายออกไปพบปะประชาชนที่เดือดร้อนในทุกแห่งหนของประเทศ และทรงคิดโครงการช่วยเหลือต่างๆ เป็นจำนวนมากเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ประชาราษฎรด้วยพระสติปัญญาและทุนทรัพย์ส่วนพระองค์นั้น ได้เกิดบารมีที่ทำให้ทางรัฐและเอกชนขานรับโครงการพระราชดำริ เพื่อการพัฒนาให้เข้าถึงประชาชนรวมกว่า ๔,๕๐๐ โครงการตลอดเวลา ๗๐ ปี ที่ครองราชย์ เกิดหน่วยงานที่เป็นองค์การรองรับเป็นจำนวนมาก โดยพระองค์ทรงเฝ้าดูแลติดตามอยู่ตลอดเวลา บรรดาโครงการใหญ่ ๆ ที่พระองค์ทรงริเริ่มและได้ดำเนินการให้เป็นผลดีแก่ประชาราษฎร์ ที่สำคัญคือ การพัฒนาดิน น้ำ ลม และอากาศ เช่นการเปลี่ยนแปลงพื้นที่แห้งแล้ง ดินเค็ม ดินเปรี้ยวขาดน้ำให้กลับฟื้นขึ้นมาเป็นป่าเขาที่หลากหลายด้วยชีวภาพเป็นไร่ เป็นนา เป็นเรือกสวนแหล่งประมงน้ำจืดและน้ำเค็มที่สามารถเพาะเลี้ยงพันธุ์ปลา สัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย และพืชพันธุ์ที่มีทั้งเป็นของในท้องถิ่นตามธรรมชาติและนำเข้ามาจากต่างประเทศภายนอก โดยเฉพาะพืชและไม้ผลฤดูหนาวที่นำมาให้คนบนที่สูง เช่นทางภาคเหนือที่เป็นเผ่าพันธุ์อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน และปลูกฝิ่นเป็นอาจินต์ ผลสัมฤทธิ์ก็คือ คนต่างชาติพันธุ์เหล่านั้นกลายเป็นคนไทยที่มีอาชีพทำมาหากินอย่างสุจริต ณ ที่ใดที่ประชาชนทุกข์ร้อนในประเทศจะทรงดั้นด้นไปทรงดูแลช่วยเหลือและฟื้นฟูให้มีชีวิตที่ดี มีสุขภาพและสวัสดิภาพ สิ่งที่ทำให้พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ไม่เหมือนใครในโลกก็คือ “พระราชวังที่ประทับหาได้มีความโอ่อ่าตระการตาไม่ หากกลายเป็นที่อยู่อาศัยของผู้บำเพ็ญกรณีธรรมดา” ที่เต็มไปด้วยพื้นที่ทดลองพันธุ์พืช ต้นไม้และปศุสัตว์ รวมทั้งโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์สิ่งของจากการเกษตรปลอดสารและปลอดภัยออกมาจำหน่ายอย่างมีมาตรฐานในด้านความปลอดภัยและคุณภาพ ในสุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าใคร่จบด้วยเรื่องของการใช้แผนที่แบบหนอนเพื่อเป็นเครื่องมือในการพัฒนาที่ “เข้าถึงคน เข้าใจ และพัฒนา” นั้น จะมีผลต่อไปในอนาคต จะเกิดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นอนุสรณ์แห่งการเสด็จไปของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ในแทบทุกท้องถิ่น และบางแห่งก็จะกลายเป็นศาลของเทพารักษ์ที่จะให้การดูแลปกป้องภัยและเป็นที่พึ่งของคนในชุมชนท้องถิ่น ดังเช่นศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน และสมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรือ ของผู้นำวัฒนธรรม [Culture hero] อื่น ๆ ที่จะเป็นที่ประกอบประเพณีพิธีกรรมในรอบปีของแต่ละท้องถิ่นต่อไป อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- การศึกษาผลกกระทบสภาพแวดล้อมทางสังคม, ESIA [Environmental Social Impact Assessment] กับการสร้างถนนขนาบน้ำเจ้าพระยา กรุงเทพ-นนทบุรี
เผยแพร่ครั้งแรก 7 ก.ค. 2506 ในช่วงรัฐบาล คสช. ร่วมสามปีมานี้ เกิดสิ่งใหม่ที่สะดุดความคิดเป็นอย่างมากก็คือคำว่า “ประชารัฐ” กับ “การสร้างถนนขนาบน้ำเจ้าพระยา กรุงเทพฯ - นนทบุรี” อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ประชารัฐไม่เคยพบมาก่อนที่ไหนในโลก แต่ที่มีคือความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับสังคม คือ รัฐก็อยู่ด้านหนึ่ง สังคมอยู่อีกด้านหนึ่ง ไม่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างที่เรียกว่าประชารัฐ รัฐเป็นองค์กรคล้ายกันกับสมาคมที่ทำหน้าที่เพื่อความมั่นคงและอยู่รอดอย่างราบรื่นร่วมกันของคนในสังคม ถ้าหากรัฐไม่ทำหน้าที่นี้และแปลกแยกกับแตกแยกกับสังคม ในตำราทางสังคมวิทยาบอกว่า รัฐนั้นเป็นรัฐทรราชย์ คำว่าสังคมดูครอบจักรวาล เพราะคนทุกกลุ่มเหล่าไม่ว่าคนชั้นล่าง ชั้นบน ชั้นกลาง เป็นขุนนาง ข้าราชการ และพ่อค้านายทุนที่อยู่ในพื้นที่ของรัฐเดียวกันล้วนเป็นคนในสังคมเดียวกัน จึงต้องจำแนกรายละเอียดให้ชัดเจนขึ้น คือ “สังคม” ไม่ได้หมายถึงครอบครัวและชุมชน [community] ชุมชนจึงกลายเป็นตัวแทนของคนทุกหน่วยเหล่าทางชาติพันธุ์ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน มีความสัมพันธ์กัน จนมีสำนึกร่วมว่าเป็นผู้คนในพื้นที่เดียวกัน สังคมไทยในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง อันเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำลำคลอง เป็นสังคมเกษตรกรรมที่ผู้คนส่วนใหญ่ทำนาทำสวน ล้วนตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนเป็นชุมชนเรียงรายอยู่สองฝั่งแม่น้ำลำคลอง หันหน้าบ้านลงน้ำที่เป็นเส้นทางคมนาคม เพราะเดิมก่อนสมัยรัชกาลที่ ๔ ราว ๑๒๐ ปีขึ้นไป ไม่มีถนน มีแต่ทางน้ำ ต้องใช้เรือแพเป็นพาหนะ โดยโครงสร้างทางกายภาพของแหล่งที่อยู่อาศัย แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นทางน้ำสายใหญ่ เป็นเส้นทางคมนาคมหลักผ่านบริเวณที่เป็นบ้านเมืองตั้งแต่ปากแม่น้ำขึ้นไปจนถึงพระนครศรีอยุธยาอันเป็นราชธานีของสยามประเทศ สองฝั่งแม่น้ำจะมีคลองขุดแยกจากลำน้ำที่ไหลจากเหนือลงใต้ไปยังทุ่งกว้างทางตะวันตกและตะวันออก ตามสองฝั่งของลำคลองที่ขุดแยกจากแม่น้ำใหญ่ก็เป็นถิ่นฐานที่ตั้งของชุมชนบ้านและเมือง เป็นการกระจายจากฝั่งแม่น้ำไปทั้งทางฝั่งตะวันตกและตะวันออก การตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนและชุมชนจากฝั่งแม่น้ำไปตามลำคลองดังกล่าวนี้ เรียกชื่อเป็นที่รับรู้ของคนแต่โบราณว่า “บาง” คือหมายถึงการตั้งถิ่นฐานของผู้คนริมน้ำ ชุมชนหมู่บ้านเรียงรายอยู่สองฝั่งคลองตั้งแต่ตรงปากคลองที่สบกับแม่น้ำ มักจะเป็นชุมชนใหญ่ที่เรียกว่า “เมือง” มีตลาดและศาสนสถานทั้งศาสนาพุทธ มุสลิม คริสต์ และลัทธิอื่น ๆ เป็นศูนย์กลาง ผู้ใดก็ตามที่ลงเรือล่องขึ้นหรือลงตามลำแม่น้ำเจ้าพระยา จะสังเกตได้ว่าเรือที่นั่งมานั้นผ่านบรรดาคลองขุดทั้งหลายสองฝั่งแม่น้ำที่มีชื่อขึ้นต้นด้วยคำว่าบางทั้งนั้น เช่น คลองบางพูด คลองบางขวาง คลองบางกรวย คลองบางใหญ่อะไรทำนองนี้ ดังเห็นตัวอย่างจากวรรณคดีของสุนทรภู่ เช่น นิราศภูเขาทอง ที่ผ่านบรรดาชุมชนตามลำคลองที่เรียกว่าบางมากมายหลายที่เป็นระยะ ๆ ไป ตามที่พรรณนามานี้ก็เพื่ออธิบายว่า บางแต่ละบางที่เป็นลำน้ำและถิ่นที่อยู่อาศัยนั้นคือกลุ่มของชุมชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกันที่เรียกว่า “บาง” และบางก็คือท้องถิ่นอันมีชุมชนตั้งถิ่นฐานร่วมกันในลักษณะเป็นเครือข่ายที่คนมีสำนึกร่วมกันว่าเป็นพื้นที่บ้านเกิดเมืองนอนของตน เครือข่ายของชุมชนแต่ละถิ่นแต่ละบางดังกล่าวนี้ คือสิ่งที่เรียกว่า “ประชาสังคม” [Civil society] เพราะแลเห็นสังคมในลักษณะที่เป็นรูปธรรมมากกว่าคำว่าสังคมลอย ๆ เท่าที่กล่าวมานี้ก็เพื่อทำความเข้าใจว่า รัฐกับสังคมหรือประชาสังคมนั้น ไม่ได้อยู่รวมกันเป็นประชารัฐอย่างที่มีคนมโนขึ้นมาในขณะนี้ รัฐคือองค์กรที่ทำหน้าที่ในการปกครองและบริหารสังคมให้อยู่กันอย่างมีระเบียบเรียบร้อยและราบรื่น หากมีเรื่องการขัดแย้งกันเกิดขึ้นก็มีกระบวนการทางยุติธรรมและศีลธรรมขึ้นมาก็ต้องจัดการเพื่อให้เกิดความสงบสุข แต่ถ้ากระบวนการยุติธรรมนั้นไม่มีน้ำหนักพอ ประชาสังคมก็สามารถรวมตัวกันออกมาคัดค้านแสดงพลังต่อรองและขัดขืนอย่างมีสำนึกในทางศีลธรรมที่ไม่อาศัยความรุนแรงเป็นสิ่งที่เรียกว่า “ประชาขัดขืน” [Civil disobedience] ที่มีผู้ไปแปลไปเรียกว่าอารยะขัดขืนอะไรทำนองนั้น เพราะดูเหมือนจะมีความคิดจินตนาการไปเรื่องของอารยะชนกับอนารยะชนมากไปหน่อย ในความนึกคิดของข้าพเจ้าเห็นว่าคนในเมืองส่วนใหญ่ยังมีพฤติกรรมและความคิดแบบอนารยชนอยู่ โดยเฉพาะคนเมืองที่อยากจะเรียกว่าเป็นอนารยชนคนเมือง [Urban barbarian] ทีเดียว เพราะไปเอา “ประชาชน” มาบวกกับ “รัฐ” เพื่อให้เป็นหนึ่งเดียวเช่นนี้ ประชาสังคมจึงหมดไปและดูห่างไกลกับความเข้าใจของผู้มีอำนาจในรัฐเพิ่มขึ้น ในการพัฒนาสังคมให้อยู่ดีกินดีมีสันติสุข ในความคิดของข้าพเจ้าอีกเช่นกันว่า ประชารัฐนั้นดูไม่เห็นประชาชนที่เป็นคนธรรมดา เห็นเป็นเพียงแต่ผู้ถูกปกครอง ไม่มีอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจไปต่อรองอะไรกับรัฐในยามเกิดความขัดแย้งและเดือดร้อน เพราะประชารัฐคือการปกครองสมานฉันท์ของกลุ่มคนที่มีอำนาจทางการเมืองและของเศรษฐกิจเท่านั้น โดยย่อก็คือพวกขุนนาง ข้าราชการ และนายทุนซึ่งอาจจะรวมทั้งบรรดาปัญญาชนที่เป็นนักเรียนนอกที่ได้เล่าเรียนมาจากบรรดาประเทศทุนนิยมของประชาธิปไตยทางตะวันตก คนเหล่านี้คือคนที่แลเห็นว่าบ้านเมืองต้องมีการพัฒนาให้สวยงามและมั่งคั่งที่มีมาแต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๕ ลงมา ที่มีการสร้างแผนพัฒนาบ้านเมืองให้เป็นอารยะแบบตะวันตก โดยชื่อของแผนเป็นแผนทางสังคม เศรษฐกิจ แต่โดยปฏิบัติในทางสังคมไม่มี กลับมีแต่เรื่องเศรษฐกิจที่ตามมากับการเมืองและการพัฒนาก็เป็นเรื่องของความรู้สึกนึกคิด เห็นดีเห็นประโยชน์ของคนภายนอกผู้มีอำนาจเหล่านี้ไป โดยที่คนในที่อยู่รวมกันเป็นชุมชนในท้องถิ่นไม่อาจหรือกล้าที่จะเรียกร้องการเข้ามามีส่วนร่วมได้ ภาพจำลองแนวคิดการสร้างทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาในอุดมคติที่เปิดเผยต่อสาธารณะแล้วส่วนหนึ่ง การพัฒนาที่เริ่มมาแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นั้น คือการเปลี่ยนสังคมเกษตรกรรมชาวนาของประชาชนที่อยู่กันเป็นถิ่นฐานบ้านเมืองและบ้านเรือน ที่ส่วนใหญ่ตั้งหลักแหล่งอยู่สองฝั่งแม่น้ำลำคลองที่อาศัยลำน้ำเป็นเส้นทางคมนาคม บ้านเรือนเหล่านั้นรวมทั้งบรรดาวัดวาอารามทางศาสนาก็หันหน้าลงแม่น้ำลำน้ำเป็นมาชั่วนาตาปี พอมาเกิดเป็นสังคมอุตสาหกรรมตามแบบอย่างตะวันตก สังคมเกษตรกรรมก็เริ่มสลายอันเนื่องมาจากการสร้างเส้นทางถนนขึ้นมาแทน ทำให้ทิศทางของบ้านเรือนของชุมชนต่างหันหลังให้แม่น้ำ ลำน้ำแล้วเอาหน้าบ้านรับถนน แม่น้ำลำน้ำในสังคมเกษตรกรรมนั้น เป็นยิ่งกว่าเส้นทางคมนาคมเดินเรือ หากเป็นเส้นชีวิตในการใช้น้ำอุปโภคบริโภคที่ผู้คนทั้งในท้องถิ่นและนอกถิ่นต่างใช้ประโยชน์ร่วมกันและแต่ละถิ่นก็ต้องรับผิดชอบในการดูแลความสะอาดสวยงาม ต่างถิ่นต่างช่วยกันดูแลจากต้นน้ำถึงท้ายน้ำเป็นระยะ ๆ ไป ก่อให้เกิด “ทัศนทางวัฒนธรรม” [Cultural landscape] ที่หลากหลายและต่อเนื่องของชุมชนในแต่ละท้องถิ่น ที่ล้วนมีความแตกต่างทางวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ โดยเฉพาะสองฝั่งน้ำเจ้าพระยาตั้งแต่เมืองพระนครศรีอยุธยามาจนถึงกรุงเทพฯ-ธนบุรี ไปออกปากแม่น้ำที่เมืองสมุทรปราการ บริเวณสองฝั่งน้ำล้วนเป็นที่ตั้งของบ้านเมืองที่มีมาแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๙ เกิดอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพฯ-ธนบุรี พระประแดง และสมุทรปราการ ปากน้ำที่บรรดาเรือใหญ่น้อยทั้งจากโพ้นทะเลและจากท้องถิ่นต่าง ๆ ภายใน ต่างใช้เป็นเส้นทางคมนาคมขึ้นล่องเป็นประจำ จนทิวทัศน์ที่เห็นของบ้านเมืองและชีวิตวัฒนธรรมของผู้คนทั้งสองฝั่งน้ำซึมซับอยู่ในความทรงจำของผู้ที่ผ่านไปมา ที่เป็นปราชญ์เป็นกวีได้เขียนบทกวีและเรื่องราวเชิงสังวาสที่เรียกว่านิราศมาหลายยุคหลายสมัย อาทิ กำศรวลสมุทรที่ผู้รู้รุ่นเก่า ๆ เรียกว่า กำศรวลศรีปราชญ์ แต่ในสมัยรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ฯ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นนิราศเริ่มแรกของแม่น้ำเจ้าพระยาแต่รัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๒๑ ลงมา จนถึงสมัยธนบุรี กรุงเทพฯ ในพุทธศตวรรษที่ ๒๔ บรรดากวีในราชสำนักที่สำคัญ เช่น สุนทรภู่ก็ได้เขียนบรรยายภาพพจน์ของชุมชนริมแม่น้ำลำคลองสองฝั่งน้ำเจ้าพระยาได้อย่างละเอียด กล่าวถึงถิ่นฐานของแต่ละท้องถิ่นแต่ละย่านลำคลองที่มีประชาชนที่หลากหลายทางชาติพันธุ์ และชีวิตความเป็นอยู่อย่างนับได้ว่าเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์สังคมได้ชัดเจน ซึ่งกวีนิพนธ์เหล่านี้เป็นที่รับทราบและเรียนรู้ของคนรุ่นหลัง ๆ ลงมาจนปัจจุบัน มีผลตามมาทำให้เกิดการท่องเที่ยวทิวทัศน์บ้านเมืองและชุมชนทั้งสองฝั่งน้ำเจ้าพระยาจากกรุงเทพฯ ถึงนนทบุรี และอยุธยากันเรื่อยมา สิ่งที่สร้างขึ้นทางวัฒนธรรมแลสังคมทั้งสองฝั่งของแม่น้ำที่สะสมและเปลี่ยนแปลงกันเรื่อยมาตลอดเวลากว่า ๕๐๐ ปีดังกล่าวนี้ ก่อให้เกิดทิวทัศน์ของความศักดิ์สิทธิ์ [Sacred landscape] ขึ้น จนเป็นที่รับรู้ของผู้คนในท้องถิ่นและคนจากภายนอกทั้งคนไทยและคนต่างชาติว่าเป็นบ้านเมืองทางน้ำที่เก่าแก่และมีอัตลักษณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ความพยายามของรัฐบาล คสช. ที่จะก่อสร้างถนนขนาบน้ำสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาจากเมืองกรุงเทพฯ-ธนบุรี ไปจนถึงเมืองนนทบุรีนั้น ได้กลายเป็นสิ่งที่ทำให้คนเป็นจำนวนมากตื่นตระหนกและเศร้าใจว่า รัฐบาลคิดได้อย่างไร เกิดอะไรขึ้นมา เพราะหลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านมารัฐบาล คสช. เป็นเผด็จการที่ดี ได้ช่วยทำให้บ้านเมืองดีขึ้นหลาย ๆ อย่างจากความพินาศฉิบหายที่ทำโดยนักการเมืองชั่วร้ายที่อ้างการปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือเพื่อความชอบธรรมถูกกฎหมายต่าง ๆ นานา รัฐบาล คสช. กู้วิกฤติของสังคมและบ้านเมืองอย่างสอบผ่านมาโดยตลอด แต่พอมาถึงโครงการสร้างถนนขนาบน้ำดังกล่าวนี้กำลังทำให้สอบตกขนาด D- ก็ว่าได้ ก็เพราะว่าการดำเนินการดังกล่าวที่จะสร้างถนนขนาบน้ำนั้นส่งผลกระทบอย่างมหาศาลในทางลบ ภูมิวัฒนธรรมและทิวทัศน์ของความศักดิ์สิทธิ์แห่งราชธานีสยามอันเป็นเมืองของน้ำให้มลายไป แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือการทำลายบรรดาชุมชนบ้านเมืองและชีวิตวัฒนธรรมของผู้คนทั้งสองฝั่งแม่น้ำให้เกิดภาวะบ้านแตกสาแหรกขาด โดยเฉพาะการไร้ที่อยู่อาศัย จึงอยากทำความเข้าใจแก่ผู้มีส่วนได้เสียในเรื่องนี้ว่า มนุษย์นั้นหาใช่สัตว์เดรัจฉานที่เป็นปัจเจก [Individual] ที่จะไปอยู่ที่ไหน ๆ ก็ได้ เช่นอยู่กันตามคอนโดมีเนียม หรือบ้านจัดสรรกันอย่างไม่มีหัวนอนปลายตีนและร้อยพ่อพันแม่อย่างที่ทั้งทางรัฐและทางทุนจัดสรรให้แบบไม่เป็นชุมชนในขณะนี้ เพราะชุมชนหาได้สร้างหรือบันดาลได้ในพริบตาตามใจของผู้มีอำนาจทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง ชุมชนบ้านเมืองแต่ละแห่งล้วนมีพัฒนาการทางโครงสร้างสังคมและวัฒนธรรม อันเนื่องจากการอยู่ร่วมกันในท้องถิ่นเดียวกันอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า ๓-๔ ชั่วคนจึงเกิดขึ้นได้ และชุมชนทั้งสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาก็มีอายุเกินกว่าชั่ว ๓-๔ อายุคนตามที่กล่าวมา หากมีมากว่า ๕๐๐ ปีแล้ว การสร้างถนนขนาบน้ำมีผลทั้งการเปลี่ยนแปลงทิวทัศน์ของความศักดิ์สิทธิ์และการไล่รื้อชุมชนบ้านเรือนที่อยู่อาศัยรวมทั้งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางความเชื่อและศาสนาอีกมากมาย จะเกิดอันตรายอย่างแน่นอนในโลกนี้ ความพินาศทางสังคมบ้านเมืองมีสองสาเหตุใหญ่ ๆ คือ จากความอดอยากในเรื่องอาหารการกิน และกับการไร้ที่อยู่อาศัย ซึ่งล้วนจะทำให้เกิดความโกรธแค้นและความเกลียดชังที่นำไปสู่ความรุนแรงถึงฆ่าฟันกันเองภายในสังคมไทย ไม่มีภัยอันเกิดจากการอดอยากในเรื่องอาหารการกิน ปิดประเทศห้าปีคนก็อยู่ได้ แต่พวกนายทุนมีสิทธิ์ล่มจม แต่ถ้าผู้มีอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจทำให้เกิดคนไร้ชุมชนที่อยู่อาศัยแล้ว บ้านเมืองคงหนีความพินาศไม่พ้นเป็นแน่ เท่าที่ทราบมาโครงการสร้างถนนขนาบน้ำเจ้าพระยาครั้งนี้ ยังไม่มีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เรียกว่า EIA [Environmental Impact Assessment] เลย แต่เริ่มการก่อสร้างแล้วอย่างค่อนข้างเร่งรีบ ทำให้เกิดความกังวลและกังขาในการดำเนินการเป็นอย่างยิ่ง เพราะโครงการของรัฐบาลในอดีตจำต้องมีการศึกษาผลกระทบ ซึ่งดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่ก็ยังมี พอมาในสมัยหนึ่งก็มีโครงการศึกษาผลกระทบทางสุขภาพอนามัย หรือ EHIA [Environmental Health Impact Assessment] เพิ่มขึ้น เข้าใจว่าเป็นโครงการที่ริเริ่มและเกิดการเคลื่อนไหวทางฝ่ายนายแพทย์ประเวศ วะสี จึงทำให้ต้องมีการศึกษาผลกระทบทาง EHIA เพิ่มขึ้น ก็นับว่าเป็นผลดีแก่ผู้คนที่ได้รับผลกระทบอย่างหนึ่ง แต่ก็ยังไม่พอจึงมีผู้เสนอให้มีการศึกษาผลกระทบทางสังคม ESIA [Environmental Social Impact Assessment] เพิ่มขึ้น ผู้ที่ทำการเคลื่อนไหวก็คือ ดร.สุรพล สุดารา ซึ่งข้าพเจ้าก็เป็นหนึ่งที่เคยเข้าร่วมหารือกัน แต่โครงการดังกล่าวนี้เงียบไปและดูเหมือนจะถูกปฏิเสธในทางพฤตินัย เพราะอาจมีผลกระทบกับผลประโยชน์ของรัฐและทุนผู้เป็นเจ้าของโครงการ เพราะในการทำการศึกษาในเรื่องนี้หลีกเลี่ยงการเข้ามามีส่วนร่วมของผู้คนในภาคประชาสังคมผู้ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดูเหมือนทุกรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยหรือเผด็จการในประเทศไทยนี้ ไม่สนใจ ESIA แต่รัฐบาลไทยในยุคนี้กลับไม่ทำทั้ง EIA, EHIA และ ESIA ซึ่งดูหนักเข้าไปใหญ่ บ้านและเรือนแพ ธรรมชาติของการอยู่อาศัยริมแม่น้ำเจ้าพระยาในอดีตและเป็นพื้นฐานรากเหง้าของการอยู่อาศัยใช้แม่น้ำเจ้าพระยามากว่า ๕๐๐ ปี ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนแปลงในโครงการที่กำลังสร้างขึ้นในยุคปัจจุบัน การทำการศึกษาผลกระทบทางสังคมคือสิ่งเดียวเท่านั้นที่ทางรัฐและผู้เกี่ยวข้องที่เป็นเจ้าของโครงการจะเข้าถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้คนในชุมชนท้องถิ่น ผู้ที่จะต้องได้รับผลกระทบไม่ใช่สิ่งที่หลีกเลี่ยงและถูกอ้างโดยรัฐว่าได้สอบถามความคิดเห็นของคนท้องถิ่นแล้ว โครงการอ้างบรรดานักวิจัย นักวิชาการ และนักศึกษาตามมหาวิทยาลัยได้สำรวจและสอบถามความคิดเห็น สร้างภาพโน้มน้าวให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ในชุมชนเห็นพ้องด้วยกับโครงการ สิ่งเช่นนี้คือการจัดฉากเป็นประจำของรัฐที่อ้างประชาธิปไตย ESIA คือเครื่องมือต่อรองที่สำคัญในโครงการพัฒนาใด ๆ ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เป็นเครื่องมือที่จะทำให้ประชารัฐที่ประกอบไปด้วยผู้มีอำนาจทางการเมืองเศรษฐกิจของรัฐและบรรดานายทุน นักวิชาการ ข้าราชการ พบและต่อรองกับคนที่มีส่วนได้เสียที่เป็นประชาสังคม ในสุดท้ายใคร่อ้างความคิดเห็นของอาจารย์ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ผู้เป็นบุตรชายของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี ถึงความล้มเหลวของโครงการเส้นทางรถไฟฟ้าที่เรียกว่า โฮปเวล [Hope well] เมื่อหลายปีที่ผ่านมาว่า นอกจากทำไม่สำเร็จแล้ว ยังคงเหลือแต่ซากตอหม้อไว้ให้เป็นอนุสรณ์ของความโง่จนในทุกวันนี้ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ประชาวิพากษ์ [Social Sanction]
เผยแพร่ครั้งแรก 3 เมษายน 2561 ข้าพเจ้าเขียนบทความนี้ขึ้น ด้วยความระลึกเป็นอย่างยิ่งถึง ดร.สุเทพ สุนทรเภสัช นักมานุษยวิทยาอาวุโสที่ข้าพเจ้าเคารพและนับถือ ผู้จากไปเมื่ออาทิตย์ที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ที่แล้วมาด้วยวัย ๘๔ ปี อาจารย์สุเทพในเบื้องต้นเป็นนักมานุษยวิทยาสังคม [Social anthropologist] เช่นเดียวกับข้าพเจ้า อาจารย์สุเทพเรียนจบปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยลอนดอนที่อังกฤษ ส่วนข้าพเจ้าเรียนที่ออสเตรเลีย ที่มหาวิทยาลัยเวสเทรินออสเตรเลีย ครั้งนั้นการเรียนวิชามานุษยวิทยาทั้งอังกฤษและออสเตรเลียเป็นมานุษยวิทยาสังคมเหมือนกัน แนวคิดทฤษฎีและกระบวนการค้นคว้าวิจัยเหมือนกันในแนวคิดทางโครงสร้างและหน้าที่ [Structural, Functional ที่เป็นหัวใจในการค้นคว้าเก็บข้อมูลจากประสบการณ์ภาคสนาม [Field work] ในลักษณะองค์รวม [Wholistic] ด้วยการศึกษา การเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมของมนุษย์ในชุมชน [Community study] ความเหมือนกันที่สำคัญระหว่างอาจารย์สุเทพกับข้าพเจ้าก็คือ ในการเขียนวิทยานิพนธ์เพื่อจบปริญญาโทนั้นคือต้องเข้าไปอยู่ในชุมชนเป็นเวลาร่วมปี ข้าพเจ้าศึกษาเก็บข้อมูลที่ชุมชนบ้านม่วงขาว ตำบลโคกปีบ อำเภอศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรี ในขณะที่อาจารย์สุเทพศึกษาที่ชุมชนบ้านนาหมอม้าในเขตอำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี (จังหวัดอำนาจเจริญในปัจจุบัน) อาจารย์สุเทพเป็นรุ่นก่อนข้าพเจ้าหลายปี ได้กลับมาเป็นอาจารย์ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่ระยะหนึ่ง แล้วลาออกไปทำงานในองค์กรอเมริกัน ARPA ร่วมกับบรรดานักวิชาการที่เป็นนักมานุษยวิทยาและสังคมศาสตร์อื่น ๆ เพื่อการพัฒนาสังคมเศรษฐกิจของผู้คนในภาคเหนือและภาคอีสาน ต่อต้านการรุกรานของคอมมิวนิสต์ในยุคสงครามเย็นที่นำไปสู่การทำสงครามระหว่างอเมริกันกับเวียดนามหลังสงครามสงบ อาจารย์สุเทพได้เข้ามาเป็นอาจารย์ในคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเป็นผู้บุกเบิกตั้งภาควิชามานุษยวิทยาขึ้น จึงนับได้ว่าเป็นผู้ให้กำเนิดภาควิชามานุษยวิทยาของคณะสังคมศาสตร์อย่างแท้จริง [Founding Professor] ข้าพเจ้ากลับมาทำงานภาคสนามที่บ้านม่วงขาวเกือบปี จนถึงวันสิ้นสุดของสงครามที่ประธานาธิบดีนิกสัน ถอนทหารจากสงครามเวียดนามและกลับไปเขียนวิทยานิพนธ์ร่วม ๒ ปี จึงกลับมาที่คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร หากแต่ไม่ลงรอยกับผู้บังคับบัญชาและอาจารย์หลายคนในคณะจึงได้ขอให้อาจารย์สุเทพที่เป็นหัวหน้าภาควิชามานุษยวิทยาที่เชียงใหม่ ยืมตัวชั่วคราวจากศิลปากรไปอยู่เชียงใหม่ร่วม ๒ ปี โดยสอนวิชามานุษยวิทยาร่วมกัน ขณะที่อยู่เชียงใหม่ได้มีการออกไปทำงานภาคสนามตามชุมชนชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่อยู่บนพื้นราบร่วมกัน ๓ คนคือ อาจารย์สุเทพ สุนทรเภสัช อาจารย์เกษม บุรกสิกร ผู้เป็นนักสังคมวิทยา ต่อมาอาจารย์สุเทพได้รับทุนจากอเมริกาไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเบิร์กเลย์เพื่อทำปริญญาเอกทางวิชามานุษยวิทยาวัฒนธรรมร่วม ๖ ปี ในขณะที่ข้าพเจ้ากับอาจารย์เกษม บุรกสิกรยังทำงานศึกษาชุมชนทั้งด้านชาติวงศ์วรรณา [Ethnography] และโบราณคดี [Archaeology] อยู่พักหนึ่ง จึงกลับมาสอนที่ภาควิชามานุษยวิทยาศิลปากรจนเกษียณอายุราชการ จุดหันเหระหว่างข้าพเจ้าและอาจารย์สุเทพก็คือ การไปศึกษาต่อที่อเมริกาที่เน้นในเรื่องมานุษยวิทยาวัฒนธรรมนั้นเป็นกระแสสังคมและโลกที่เปลี่ยนแปลงและกว้างขวางออกไป แตกแยกออกเป็นหลายมิติและหลายแขนงทางวิชาการ จนมานุษยวิทยากลายเป็นวิชาครอบจักรวาลไปจนเรื่องของความเป็นมนุษย์อันเป็นสัตว์สังคม หรือสัตว์หมู่ ต้องมีชีวิตอยู่รวมกันอย่างมีโครงสร้างและหน้าที่กลายเป็นปัจเจกบุคคล [Individual] หรือสัตว์เดี่ยว ซึ่งแลเห็นได้จากชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่เป็นสังคมแบบก่อน อันสะท้อนให้เห็นได้จากการสร้างที่อยู่อาศัยแบบต่างคนต่างอยู่ เช่น คอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร เป็นต้น ร้อยพ่อพันแม่เข้ามาอยู่รวมกันโดยไม่มีโครงสร้างสังคม ซึ่งแลเห็นได้จากแนวโน้มทางแนวคิดทฤษฎีแบบโครงสร้างและหน้าที่เปลี่ยนแปลงมาเป็น Post structuralism หรือ Post modernism และ Post colonialism อะไรทำนองนั้น ส่วนข้าพเจ้ายังคงยืนอยู่กับสังคมแบบมีโครงสร้างและหน้าที่ของมานุษยวิทยาสังคมที่เน้นการออกเดินทางไปตามท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศด้วยการเก็บข้อมูลทางชาติวงศ์วรรณา [Ethnography] สำหรับชุมชนปัจจุบัน [Ethnographic present] และอดีตที่ห่างไกลของชุมชนโดยทางโบราณคดี [Archaeological past] ข้าพเจ้ายังมั่นคงกับการศึกษาที่ดูการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของมนุษย์ในชุมชนในบริบททางสังคมและวัฒนธรรมในทั้งทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์สังคม และไม่ตีความคุ้นเคยกับแนวคิดทฤษฎีใหม่ในเชิงวาทกรรมแบบสร้างคำใหม่ ๆ คำใหญ่ ๆ แบบนักวิชาการในยุค Post modern ปัจจุบัน แต่เมื่อมีอะไรติดขัดหรือสติปัญญาน้อยตามการเปลี่ยนแปลงไม่ทัน ข้าพเจ้าก็ต้องหันมาหาอาจารย์สุเทพ สุนทรเภสัช ผู้แม้จะไม่ออกไปตะลอน ๆ ทำงานภาคสนามอย่างข้าพเจ้า แต่ก็รับรู้และหาความรู้ในลักษณะเป็นนักปราชญ์ทางสังคมวัฒนธรรมเพื่อการอธิบาย ตั้งแต่เกษียณราชการจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อาจารย์สุเทพใช้เวลากับการอ่านหนังสือหลาย ๆ อย่างทางสังคมวัฒนธรรม การเมือง เศรษฐกิจ และศิลปวัฒนธรรม ในลักษณะที่เป็นปราชญ์มากกว่านักวิชาการที่รู้อะไรต่ออะไรเฉพาะด้านแบบรู้มากรู้น้อย เมื่อมีอะไรติดขัดข้าพเจ้าก็ต้องหันหน้าไปถามไถ่หารือขอความรู้จากอาจารย์สุเทพที่นับเป็นครูคนหนึ่งของข้าพเจ้า และมักจะได้รับความรู้และคำอธิบายที่กระจ่างเร็วกว่าการไปอ่านหนังสือค้นหาด้วยตนเอง ในฐานะที่เล่าเรียนมาทางมานุษยวิทยาสังคมเหมือนกัน ข้าพเจ้ามักพูดคุยกันกับอาจารย์สุเทพในสิ่งที่เป็นกลไกทางสังคม เช่น การควบคุมสังคม [Social control] และการวิพากษ์สังคม [Social sanction] เสมอ เช่นเรื่องการนินทา [Gossip] ของชาวบ้านที่เป็นคนในชุมชน การนินทาเป็นกลไกในการควบคุมพฤติกรรมทางสังคมของคนที่มีชีวิตร่วมกันในชุมชน เป็นทั้งการส่งสัญญาณทางอ้อมให้ผู้ที่ไม่ประพฤติในกรอบของศีลธรรม จารีตประเพณี ได้รู้สึกตัวอย่างไม่ต้องเผชิญหน้าและชัดเจนว่าใครมีความขัดแย้งต่อกัน เพื่อให้ผู้ที่ถูกพาดพิงมีสติและปรับปรุงแก้ไข แต่ถ้าไม่เปลี่ยนพฤติกรรมก็อาจจะนินทาหนาหูขึ้นจนถึงขั้นพิพากษ์ว่าอะไรเหมาะหรือไม่เหมาะ ดีหรือไม่ดี แล้วมีการลงโทษ หรือถ้าบุคคลนั้นเป็นผู้ทำดีก็จะถูกยกย่องอันเป็นขั้นที่เรียกว่า สังคมพิพากษ์ [Social sanction] ซึ่งในที่นี้ข้าพเจ้าเรียกว่า ประชาวิพากษ์ เพื่อให้เหมาะกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในปัจจุบัน เพราะเป็นกลไกทางสังคมโดยภาคประชาชนและให้แตกต่างไปจากประชารัฐด้วย ปัจจุบันการนินทาก็ยังเป็นกลไกสำคัญอยู่ในสังคมท้องถิ่นที่ยังมีชุมชนอยู่เช่นตามบ้านและเมือง แต่ไม่ใช่กับในละแวกที่อยู่อาศัยสมัยใหม่ เช่น บ้านจัดสรรและคอนโดมีเนียมในสังคมเมือง ที่มีแต่โครงสร้างกายภาพแต่ไม่มีโครงสร้างทางสังคม มีเรื่องตลกกับข้าพเจ้าในการนำนักศึกษาปัจจุบันที่เรียนทางมานุษยวิทยาและสังคมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งลงศึกษาชุมชน เมื่อตอนที่ข้าพเจ้าพูดถึงบทบาทและหน้าที่ของการนินทาก็ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์เชิงขบขันว่าแปลกประหลาดและกระทบกระแทกว่าทั้งข้าพเจ้าและอาจารย์สุเทพยังมีความคิดและวิธีการเช่นนักมานุษยวิทยารุ่นศตวรรษที่แล้วมา ทั้งนี้ก็เพราะนักศึกษาและนักมานุษยวิทยารุ่นใหม่ ๆ เหล่านี้คุ้นกับเรื่องของข่าวลือ [Rumor] อันเป็นเรื่องเชื่อถือไม่ได้ ที่เป็นกลไกของการกล่าวหาของคนที่มีความคิดเป็นปรปักษ์ต่อกันในสังคมปัจจุบัน ที่ความสัมพันธ์ทางสังคมกลายเป็นเครือข่ายของความสัมพันธ์ [Social network] กระจายออกไปกว่าการมีขอบเขตของชุมชน แต่การตั้งข้อสังเกตของข้าพเจ้าที่สะท้อนจากปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทางสังคมที่เรียกว่า ประชาวิพากษ์ นี้ ก็ยังคงดำรงอยู่ในรูปแบบที่เปลี่ยนไปจากคำว่า นินทา [Gossip] ในชุมชนท้องถิ่นที่มีมาแต่เดิม รูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นก็คือสิ่งที่เรียกว่า เฟสบุ๊ค [Facebook] อันเกิดขึ้นจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการสื่อสาร ข้าพเจ้ากำลังจะถกปัญหาเรื่องนี้กับอาจารย์สุเทพแต่ก็ช้าไป เพราะท่านล้มป่วยและจากไปเสียก่อน จึงต้องนำข้อสังเกตมาเสนอต่อในที่นี้แทน สังคมไทยโดยภาพรวมปัจจุบันเป็นสังคมทุนนิยมอุตสาหกรรมที่มีความก้าวหน้าทางด้านวัตถุและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้าสู่ระดับ ๔.๐ เช่นประเทศแนวหน้าหลายแห่งในสังคมโลกที่เรียกว่ายุคโลกาภิวัตน์ แต่ในด้านศีลธรรม จริยธรรมและระเบียบวินัย การศึกษาและความรู้สึกนึกคิดของคนส่วนใหญ่ในสังคมยังอยู่ในระดับ ๐.๔ เพราะคนส่วนใหญ่ยังมีพื้นฐานทางสังคมวัฒนธรรมของสังคมเกษตรกรรมแบบชาวนา [Peasant society] อยู่ ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเทคโนโลยีในระดับ ๔.๐ กับคนส่วนใหญ่ของประเทศที่ยังไต่ระดับ ๐.๔ จึงเป็นสิ่งที่นักมานุษยวิทยาเรียกว่า ความล้าหลังทางวัฒนธรรม [Culture lag] ความล้าหลังทางวัฒนธรรมที่เกิดจากการเปลี่ยนผ่านของสังคมเกษตรกรรมแบบชาวนาเข้าสู่สังคมทุนนิยมอุตสาหกรรมตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้นมานั้น ทำให้เกิดความขัดแย้งทางระบบศาสนา ศีลธรรม และจริยธรรมเรื่อยมา ที่มีผลทำให้สังคมไทยในส่วนรวมไม่ว่าทั้งประชารัฐและประชาสังคมกลายเป็น สังคมละเมิดกฎหมาย [Law violating society] ที่มาถึงการเกิดวิกฤติทางศีลธรรมและจริยธรรมที่สะท้อนให้เห็นจากความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและประชาสังคมในยุคโลกาภิวัตน์ การขัดแย้งระหว่างรัฐและประชาชนหรือประชาสังคมที่เห็นชัดก็คือ การใช้อำนาจทางกฎหมายจัดการกับประชาชนอย่างไร้เป็นธรรมทำให้เกิดการทุจริตคอรัปชั่น ฉ้อราษฎร์บังหลวงของขุนนางข้าราชการของรัฐที่ให้ความร่วมมือกับนักธุรกิจ นายทุนทั้งในชาติและข้ามชาติ กระทำการไม่ชอบธรรมเอาเปรียบประชาชนที่ด้อยโอกาสและเดือดร้อน ในขณะที่ทางภาคสังคมทั้งคนชั้นกลางและชั้นล่างทั้งรุ่นผู้ใหญ่และเด็กก็ถูกครอบงำด้วยวัตถุนิยม ความโลภและตัณหากิเลสราคะในเรื่องโลกีย์สุข แต่ทุกฝ่ายล้วนใช้สื่อแบบเล่ห์ทุบายในการชวนเชื่อให้คนต่างก็เป็นคนดีมีศีลธรรมกันทั้งนั้น ผลที่สะท้อนออกมาเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมและวัฒนธรรมในขณะนี้ก็คือ ความขัดแย้งที่เห็นได้จากเรื่องราวของตำรวจ ข้าราชการ พระสงฆ์องค์เจ้า นักธุรกิจ นายทุนและนักการเมือง รวมทั้งนักวิชาการกับประชาสังคมในขณะนี้ แต่ท่ามกลางความล้มเหลวในการใช้กฎหมาย การใช้อำนาจรัฐที่ไม่เป็นธรรมและกระบวนการยุติธรรมที่ล้วนแต่จนเกือบไม่ทำอะไรเลย ก็เกิดการเคลื่อนไหวทางภาคประชาสังคมในการติดตามและวิพากษ์วิจารณ์การกระทำที่ไม่ชอบธรรมของข้าราชการของรัฐ นักการเมืองและพ่อค้านายทุนตลอดจนพระสงฆ์และขุนนางพระมากขึ้นในช่องทางของระบบอินเทอร์เน็ตที่เรียกว่า Facebook ที่ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นกลไกทางสังคมในการควบคุมและวิพากษ์วิจารณ์ที่มีพลังในการต่อรองกับรัฐและนายทุน เป็นอะไรที่คล้ายกับการนินทา [Gossip] ของสังคมชาวนาในท้องถิ่นที่ใช้บริบทของความสัมพันธ์ทางสังคมในพื้นที่ [Social structure] แต่ปรากฏการณ์ของ Facebook เป็นเรื่องของในสังคมที่มีความสัมพันธ์ทางเครือข่าย [Social network] ที่แผ่กว้างออกไปกว่าความสัมพันธ์ทางสังคมของคนในชุมชนใดชุมชนหนึ่ง ก็นับว่าเป็นพัฒนาการทางเทคโนโลยีกับคนในสังคมที่ทันสมัยขึ้นเพื่อยุคสังคม ๔.๐ ในอนาคต โดยสรุปการใช้ Facebook ของผู้คนในปัจจุบันก็คือกลไกเพื่อการวิพากษ์ทางสังคมในระบบความสัมพันธ์ที่เรียกว่า Social network ในปัจจุบันนั่นเอง ความสำคัญและความหมายของ Facebook และช่องทางในโซเชียลมีเดียต่าง ๆ นอกเหนือไปจากการสื่อปกติก็คือ Social sanction ที่มีอำนาจในการต่อรองกับทางรัฐและทางทุนของผู้คนทั่วไปในภาคประชาสังคม ที่ว่าอำนาจนั้นไม่ได้หมายถึงอำนาจที่บังคับใช้ได้ตามกฎหมาย หากเป็นอำนาจต่อรองจากการแสดงความคิดเห็นของผู้คนในประชาสังคมที่เกิดจากการแสดงออกของคนหลายกลุ่มเหล่า ที่มีทั้งการขัดแย้งในทางตรงข้ามและเลือกฝักฝ่ายว่าเป็นพวกใดกลุ่มใด เสียงเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยใน Facebook ของแต่ละบุคคลนั้นเป็นเสียงจากปัจเจกที่มีทั้งรู้เรื่องราวอย่างตื้นและผิวเผินหรือลุ่มลึก แต่เมื่อมาเชื่อมโยงจากเครือข่ายแล้วผ่านออกมาทางสื่อมวลชน เช่น โทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์ รวมทั้งการวิเคราะห์ของผู้สนใจและรักความถูกต้องชอบธรรมแล้ว ก็สามารถชี้ให้เห็นว่าอะไรถูกต้องเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมได้ในการวิพากษ์วิจารณ์ เกิดเป็นความรู้ความเข้าใจที่มีอำนาจในการต่อรองกับการตัดสิน ความเห็นของทางฝ่ายผู้มีอำนาจทางกฎหมาย ซึ่งถ้าหากทางผู้มีอำนาจไม่ยอมรับและหลีกเลี่ยงก็อาจจะเกิดสิ่งที่นำไปสู่การเคลื่อนไหวในลักษณะที่เป็นประชาขัดขืน [Civil disobedience] ได้ ในเรื่องนี้มีหลายกรณีที่ทางผู้มีอำนาจมักจะอ้างความถูกต้องทางกฎหมายในกระบวนการยุติธรรม แต่ฝ่ายที่ไม่ยอมรับเห็นว่าเป็นสิ่งไม่ชอบธรรมที่ต้องตัดสินกันด้วยมโนธรรมและศีลธรรม สังคมไทยในยุคเทคโนโลยี ๔.๐ นี้กำลังมีการต่อรองกันด้วยอำนาจของรัฐโดยชอบธรรมทางกฎหมาย กับอำนาจของประชาวิพากษ์ที่หลาย ๆ เรื่อง ยังไม่อาจหาข้อยุติได้ บางเรื่องเล็ก ๆ ก็พอหาข้อยุติได้ เช่น กรณีหวย ๓๐ ล้าน แต่เรื่องการที่รัฐจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในภาคใต้ยังซื้อเวลาอยู่ เพราะผู้มีอำนาจพอมีสติว่าถ้าหากดำเนินการต่อไปย่อมเกิดการขัดขืนที่รุนแรงอย่างแน่นอน แต่เรื่องที่ยังคลุมเครือและแอบทำอยู่เรื่อย ๆ ก็คือ การรื้อป้อมมหากาฬอันเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของคนในชุมชน รวมทั้งโครงการทำถนนขนาบแม่น้ำเจ้าพระยาที่จะมีผลให้เกิดการขับไล่คนในชุมชนและการทำลายวัดวาอารามสิ่งก่อสร้างทางศิลปวัฒนธรรมและทิวทัศน์ทางประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฯ และธนบุรีนั้น น่าจะกลายเป็นการประลองกำลังกันระหว่างอำนาจทางกฎหมายของผู้เผด็จการกับอำนาจประชาวิพากษ์ที่มาจาก Facebook และสื่อต่าง ๆ ในภาคประชาสังคม อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- “คนจน” กับ “วัฒนธรรมความจนในสังคมไทย”
เผยแพร่ครั้งแรก 22 มิ.ย. 2561 ในแนวคิดทางมานุษยวิทยาของข้าพเจ้า “ความจน” [Poverty] ในสังคมไทยปัจจุบัน วิเคราะห์ได้เป็น ๒ อย่าง ดร.ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ และอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ถ่ายที่บ้านบาตร อย่างแรกคือ คนจนที่แลเห็นเป็นคน ๆ ไป [Individual] เป็นความจนที่พิจารณาจากระดับรายได้ที่ต่ำสุดซึ่งไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ เป็นสิ่งที่ทางรัฐและสังคมต้องให้เงินช่วยเหลือ อย่างเช่นการจัดกองทุนหมู่บ้านที่ทำมาแต่สมัยนายทักษิณ ชินวัตร และสืบเนื่องมาจนถึงรัฐบาลยุคปฏิวัติของคสช. ในปัจจุบัน อย่างที่สองคือ “วัฒนธรรมความจน” ซึ่งเป็นแนวคิดและการศึกษาทางมานุษยวิทยาที่มาจากการศึกษาชุมชนในนิวยอร์กและเม็กซิโกของ “ออสการ์ ลูวิส” ใน ค.ศ. ๑๙๖๖ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ห่างไกลกับความคิดของนักวิชาการสมัยโพสต์โมเดิร์น ในปัจจุบันมาก “วัฒนธรรมความจน” ของออสการ์ ลูวิส เป็นเรื่องของวิถีชีวิตของคนที่อยู่รวมกันในชุมชนท้องถิ่นในสังคมที่เปลี่ยนผ่านจากสังคมชาวนาที่เป็นเกษตรกรรม [Peasant society] มาเป็นสังคมเมืองในยุคอุตสาหกรรม ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันเนื่องจากการโยกย้ายถิ่นฐานของผู้คนที่เคยอยู่กันมานานในท้องถิ่น ต้องละทิ้งอาชีพเดิมทางเกษตรกรรมและการเลี้ยงสัตว์ ที่เคยมีที่ดินที่ทำกินของตนเอง เข้ามาเป็นแรงงานรับจ้างตามเมืองและแหล่งอุตสาหกรรม อันเป็นเหตุให้เกิดการพลัดพรากจากครอบครัว และการล่มสลายของชุมชนในท้องถิ่น เมื่อโยกย้ายเข้ามาอยู่ในพื้นที่ซึ่งเป็นเมืองและแหล่งอุตสาหกรรมแล้ว ไม่อาจปรับตัวให้ทันกับความเจริญทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยีและวัฒนธรรมของคนเมืองได้ เกิดภาวะความล้าหลังตามไม่ทันสมัย ก็กลายเป็นกลุ่มคนที่เร่ร่อน สร้างที่อยู่อาศัยตามพื้นที่ต่าง ๆ ที่ไม่พัฒนาทั้งในเขตเมืองและตามชายขอบของที่เป็นปริมณฑล ดังเช่น บรรดานักผังเมือง นักสังคมสงเคราะห์เรียกว่าพื้นที่แออัดและสกปรกเต็มไปด้วยโรคภัย [Slum and plight area] ชุมชนบ้านบาตรและบ้านเรือนในอดีตที่มีความเป็นชุมชนแบบดั้งเดิมที่มีความชำนาญเฉพาะด้านในโครงสร้างแบบเมือง แต่ออสการ์ ลูวิส แลเห็นว่าเป็นกลุ่มวัฒนธรรมย่อยของสังคมใหญ่ที่เรียกว่า Sub culture ของกลุ่มชนที่มีวิถีชีวิตร่วมกัน เป็นสังคมหรือชุมชน [Community] ในสังคมเมือง [Urban society] โดยสร้างสังคมของคนในชุมชนที่เป็นวัฒนธรรมย่อยดังกล่าวนี้ เหมือนกันกับความเป็นชุมชนทั่วไปที่ประกอบด้วยครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับแม่ ที่มีบทบาทมากกว่าพ่อในการดูแลเลี้ยงดูลูก เหนือระดับครอบครัวขึ้นไปก็คือการสัมพันธ์ทางสังคมกับครอบครัวอื่นที่เข้ามาอยู่รวมกันในพื้นที่เดียวกัน ทำให้คนแต่ละครอบครัวเหล่านี้ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันมีความสัมพันธ์กันในทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมในการมีชีวิตรอดร่วมกัน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นวิถีชีวิตที่มีความรู้สึกร่วมทุกข์สุขในการเป็นกลุ่มเดียวกัน สิ่งนี้ข้าพเจ้าเรียกว่า “ชีวิตวัฒนธรรม” ที่มีลักษณะเป็นองค์รวม ทำให้คนในกลุ่มวัฒนธรรมย่อยมีปึกแผ่นทางสังคม [Social solidarity] สูงกว่าบรรดาชุมชนอื่นในสังคมเมืองทั้งหลาย แต่ต่างจากชุมชนเมืองเหล่านั้นเมื่อนำมาเปรียบเทียบ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในเรื่องฐานะความเป็นอยู่ รายได้และมาตรฐานในการดำรงชีวิต ความแตกต่างเหลื่อมล้ำนี้คือที่มาของคำว่า วัฒนธรรมความจน [The Culture of poverty] วัฒนธรรมความจนจะไม่พบมากในสังคมชนบทที่เป็นสังคมชาวนา [Peasant society] เพราะความแตกต่างในชีวิตวัฒนธรรมแทบไม่มี เพราะอยู่ในระดับใกล้เคียงกันหมดและความยากจนยากไร้ของปัจเจกบุคคล อันได้รับการดูแลช่วยเหลือจากคนในครอบครัวหรือจากองค์กรของชุมชนเอง อย่างเช่นในชุมชนของคนมุสลิมในภาคใต้จะมีกฎเกณฑ์ที่เป็นประเพณีให้คนในสังคมที่มีรายได้มากต้องเสียภาษีคนจนให้กับองค์กรของชุมชนที่จะมีหน้าที่รับรู้ถึงคนใด และครอบครัวใดที่ยากจนและขัดสน ก็จะนำเงินเหล่านั้นไปให้ความช่วยเหลือ แม้แต่ในชุมชนของคนพุทธคนที่เดือดร้อนขัดสนก็อาจมีชีวิตรอด มีที่อยู่อาศัยตามวัดหรือกับพี่น้องที่จะต้องดูแลไม่ให้อดตายเพราะความยากจน และชุมชนบ้านใดถิ่นใดเกิดมีคนยากจนอดอยากก็จะเป็นที่ดูถูกเหยียดหยาม โดยชุมชนอื่น ๆ ในท้องถิ่น สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่เป็นยุคแรก ๆ ของการปรับเปลี่ยนประเทศให้เป็นสังคมอุตสาหกรรม ได้มีการเคลื่อนย้ายของผู้คนในสังคมชาวนาในชนบทเข้ามาหางานทำและหาที่อยู่อาศัยในเขตเมือง โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครที่มีการขยายตัวอย่างกว้างขวาง ปรากฏการณ์ที่คนชาวนาเข้ามาตั้งหลักแหล่งทำมาหากินในเมืองนี้ เรียกว่า Peasantization of urban society ซึ่งข้าพเจ้าได้ว่าประมาณปี ค.ศ. ๑๙๖๒ ที่ข้าพเจ้ากลับจากออสเตรเลียมาเก็บข้อมูลภาคสนามเพื่อทำวิทยานิพนธ์นั้น ก็ได้แลเห็นปรากฏการณ์ Peasantization นี้ จากการมีคนทางภาคอีสานเข้ามามาก เกิดร้านค้า อาหารส้มตำไก่ย่างที่มาพร้อมกับบรรดาเพลงลูกทุ่งที่กลายเป็นที่นิยมของคนเมืองทั่วไปอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนย้ายของคนชนบทโดยเฉพาะจากทางภาคอีสานนั้น มีทั้งการเข้ามาเป็นแรงงานรับจ้างทำงานตามฤดูกาล เช่นในฤดูแล้งและว่างเว้นจากการทำนาทำไร่ แล้วกลับไปกับพวกที่เข้ามาทั้งครอบครัว อันเนื่องจากเป็นพวกไม่มีที่ดินทำกิน มักเข้ามาอยู่อาศัยพักพิงตามชุมชนเก่า ๆ ในเมืองตามย่านต่าง ๆ จนทำให้บรรดาชุมชนเมืองเหล่านั้นมีสภาพแออัด หลาย ๆ แห่งกลายเป็นชุมชนแออัดและพื้นที่สกปรกที่ทางราชการเรียกว่า Slum and plight area เป็นสิ่งที่เสื่อมโทรมและล้าหลังทั้งผู้คนและสภาพแวดล้อม จะต้องได้รับการพิจารณาใหม่หรือไม่ก็ให้เคลื่อนย้ายไปอยู่ที่อื่น โดยเฉพาะบรรดาผู้คนที่อยู่ในแหล่งพื้นที่แออัดและเสื่อมโทรมเช่นนี้ ก็มักจะถูกมองโดยคนในสังคมเมืองรุ่นใหม่ที่อยู่ในแหล่งที่อยู่อาศัยที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีและทันสมัย ซึ่งคือคนรุ่นใหม่หรือไม่ก็ย้ายเข้ามาใหม่จากที่อื่น ๆ จากต่างจังหวัดหรือต่างประเทศเข้ามาเป็นพลเมืองในยุคใหม่จำนวนมาก มักดูถูกว่าเป็นคนยากจน ไม่มีอาชีพการทำมาหากินที่แน่นอน มักละเมิดกฎหมาย เล่นการพนัน ลักขโมย รวมทั้งเป็นอันธพาล ในยามใดที่มีคดีความในเรื่องการละเมิดกฎหมายเกิดขึ้น ทั้งทางรัฐและคนเมืองก็มักจะคิดว่าเป็นการกระทำของคนด้อยโอกาสเหล่านั้น แหล่งชุมชนแออัดที่เรียกว่าเป็นแหล่งเสื่อมโทรมดังกล่าวนี้ คือสิ่งผู้คนภายในที่มีวิถีชีวิตร่วมกันที่ไม่ได้ระดับมาตรฐานของความเป็นอยู่ของความเป็นเมืองคือ “วัฒนธรรมความจน” [The culture of poverty] เป็นความยากจนที่มองจากข้างนอกเข้ามา ความยากจนที่มองจากวิถีชีวิตร่วมกันที่เรียกว่าเป็นชีวิตวัฒนธรรมนั้น ทางรัฐและสังคมไทยในส่วนรวมมักไม่เข้าใจ แต่จะเข้าใจเพียงว่าความจนเป็นเรื่องของความขัดสนในเรื่องเงินทองที่เป็นรายได้อันเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล จึงมักจะให้ความช่วยเหลือเป็นราย ๆ ไป จากการบริจาคหรือจากการตั้งเป็นกองทุนแล้วแจกจ่ายผ่านองค์กรหรือหน่วยงาน จนเกิดเรื่องการยักยอกและการทุจริตในเรื่องเงินช่วยเหลือคนจนในขณะนี้ ตามที่กล่าวมาแล้วนี้พอสรุปให้เห็นได้ว่า การพัฒนาบ้านเมืองเข้าสู่สมัยใหม่ที่เป็นการเปลี่ยนผ่านจากสังคมเกษตรกรรมแบบชาวนาตั้งแต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้นมานั้น มีทั้งสิ่งที่เรียกว่าความก้าวหน้าในความเป็นเมืองสมัยใหม่กับความล้าหลังทางวัฒนธรรมของกลุ่มชนที่อยู่มาแต่เดิมกับคนกลุ่มใหม่จากชนบทเข้ามาอยู่รวมกันก่อให้เกิดภาวะความแออัดในเรื่องที่อยู่อาศัยและสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรม ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำและแตกต่างทางเศรษฐกิจและสังคม ที่ทั้งรัฐและพลเมืองรุ่นใหม่แลเห็นว่าเป็น “คนยากจน” อยู่ในพื้นที่แออัดและเสื่อมโทรมที่เรียกว่า Slum and blight area ทั้งหมดนี้ นำไปสู่อคติในเรื่องชีวิความเป็นอยู่ของคนด้อยโอกาสเหล่านี้ว่านอกจากยากจนแล้วยังมีพฤติกรรมนอกกฎหมายที่เป็นแหล่งอันธพาลเล่นการพนัน ลักขโมย อันเป็นที่รังเกียจของคนเมือง นี่คือสิ่งที่ทางหน่วยราชการของรัฐ เช่น หน่วยงานรับผิดชอบทางผังเมืองและนักวิชาการทางสังคมศาสตร์ในยุคนั้น แลเห็นว่าต้องทำการโยกย้ายเวนคืนที่ดิน และสร้างสถานที่ใหม่ พื้นที่ใหม่ให้มาแทน โดยการฟ้องขับไล่ หรือไม่ก็ให้ค่าชดเชยเป็นเงินเป็นทองไปหาที่อยู่ใหม่ ดังเช่นการกระทำของกรุงเทพมหานคร ในการจัดการชุมชนชาวตรอกที่ชุมชนป้อมมหากาฬเป็นตัวอย่าง สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่นักมานุษยวิทยาแต่ปี ค.ศ ๑๙๖๖ ให้ความสำคัญกับกลุ่มคนด้อยโอกาสที่อยู่ในพื้นที่ซึ่งทางรัฐว่า แหล่งเสื่อมโทรม เป็นวัฒนธรรมย่อยของสังคมเมืองที่ผู้คนที่อยู่ร่วมกันในพื้นที่มีชีวิตวัฒนธรรมที่เรียกว่า “วัฒนธรรมความจน" แต่เมืองไทยและวงการศึกษาทางมานุษยวิทยาเกี่ยวกับสังคมเมืองไม่มี มาจนปี ค.ศ. ๑๙๖๘ เมื่อ รองศาสตราจารย์ ดร. อคิน รพีพัฒน์ ผู้เป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไปศึกษาขั้นปริญญาเอกทางมานุษยวิทยาที่มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ สหรัฐอเมริกา และเข้ามาทำงานภาคสนามในสังคมเมืองกรุงเทพมหานครโดยเลือกศึกษาเก็บข้อมูลที่ ชุมชนแออัดที่เรียกว่า “สลัม” [Slam] ท่านอาจารย์อคินจึงนับเนื่องเป็นนักมานุษยวิทยาคนไทยคนแรกที่ทำการศึกษาชุมชนในเมืองอย่างแท้จริง ผลการศึกษาของท่านก็คือแหล่งที่เรียกว่า “สลัม" หรือ “ชุมชนแออัด” นั้น คือชุมชนที่มีโครงสร้างทั้งด้านสังคมและวัฒนธรรมอย่างชัดเจน ซึ่งในความเห็นของข้าพเจ้าเป็น ชุมชนในวัฒนธรรมความจน [Culture of poverty] นั่นเอง จากนั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ความรู้ความเข้าใจในเรื่องความเป็นชุมชนและชีวิตวัฒนธรรมของแหล่งที่เรียกว่า Slum และ Plight areas ก็แพร่หลายเป็นที่รับรู้ไปทั้งคนในหน่วยราชการที่รับผิดชอบของรัฐกับของทางฝ่ายประชาสังคม โดยเฉพาะคนที่เป็นเจ้าหน้าที่ทางรัฐนั้นค่อนข้างเฉื่อยชา ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าชุมชนสลัมนั้นต้องเน้นที่คน ต้องพัฒนาที่คน แต่กลับยังใช้วิธีการเดิมอยู่ เช่น พยายามไล่ รื้อ ขับไล่ กล่าวหา เพราะง่ายต่อการปฏิบัติ ในขณะที่คนที่อยู่ในภาคประชาสังคมมีการเคลื่อนไหวผลักดันต่อรองเพื่อการดำรงอยู่ทางชีวิตวัฒนธรรมร่วมกันของคนในชุมชน ซึ่งในทุกวันนี้กำลังเพิ่มพูนความขัดแย้งมากกว่าแต่เดิมอันมีเหตุมาจากทางผังเมืองและหน่วยงานของรัฐต้องการพัฒนาโครงสร้างและขอบเขตของบ้านเมืองสมัยใหม่เพื่อขานรับความเป็น ๔.๐ ทางเศรษฐกิจและสังคมในยุคโลกาภิวัตน์ การศึกษาวิจัยทางมานุษยวิทยาของ อาจารย์ ม.ร.ว. อคิน รพีพัฒน์ ในสังคมเมืองยุคเปลี่ยนผ่านจากสังคมเกษตรกรรมเข้าสู่การเป็นสังคมอุตสาหกรรมนั้น ในส่วนรวมได้ทำให้สังคมรับรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่า ชุมชนแออัดและแหล่งเสื่อมโทรมนั้นคือชุมชนของมนุษย์ เช่นเดียวกันกับมนุษย์ที่อยู่ในชุมชนทั้งหลาย แม้เจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยราชการตลอดจนพวกนายทุน พ่อค้าที่ยังยึดมั่นกับคำว่าแหล่งเสื่อมโทรมเหล่านั้นจะไม่ยอมรับและมีวันเข้าใจ แต่ผู้คนในที่อยู่ในชุมชนแออัดเหล่านั้น ได้ตระหนักในความเป็นมนุษย์ที่จะต้องอยู่ร่วมกันและมีวัฒนธรรมร่วมกันที่จะได้มีชีวิตรอด จึงเกิดการเคลื่อนไหวและตื่นตัวมาโดยตลอด ซึ่งเห็นได้จากการคัดค้าน ต่อรอง และขัดขืนต่อโครงการพัฒนาบ้านเมืองที่ทำให้เกิดความวิบัติขึ้นในชีวิตวัฒนธรรมของพวกคน อาจารย์อคินคือนักมานุษยวิทยาในสังคมเมืองของประเทศในขณะนี้ก็ว่าได้ที่เรียนรู้และรู้จักชุมชนในวัฒนธรรมความจน อีกทั้งพยายามช่วยเมื่อเกษียณอายุราชการจากสถาบันในมหาวิทยาลัย ได้รับการเชิญจากสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ให้เป็นที่ปรึกษาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบรรดาชุมชนแออัดที่อยู่ในพื้นที่ความรับผิดชอบของสำนักงาน ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์จะเห็นคุณค่าในคำเสนอแนะนำของอาจารย์อคินเป็นอย่างไร แต่คงไม่ถึงเป็นแบบเดียวกันกับบรรดาสำนักงานของทางราชการทั้งหลาย เช่น กรุงเทพมหานครและผังเมืองเป็นอาทิที่ดูมีกิจกรรมในทางลบกับชุมชนในวัฒนธรรมความจนเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง ในส่วนของข้าพเจ้าและมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ได้รับคำแนะนะและอนุเคราะห์จากอาจารย์อคินให้รับทุนอุดหนุนจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เพื่อทำการศึกษาประวัติศาสตร์สังคมของบรรดาชุมชนในพื้นที่เขตของกรุงเทพมหานครที่อยู่สองฝั่งของคลองบางลำพู-โอ่งอ่างและคลองผดุงกรุงเกษม ที่มีแหล่งชุมชนแออัดที่จะต้องได้รับการเคลื่อนย้ายและปรับปรุงมากมาย เป็นผลให้ได้ความรู้ความเข้าใจในข้อเท็จจริงของความเป็นชุมชนมนุษย์ที่คนภายนอกมองว่าเป็นแหล่งมั่วสุมมั่วยาเสพย์ติดเสื่อมโทรมและนอกกฎหมายนั้น ที่แท้คือชุมชนมนุษย์ที่คนในชุมชนยังมีวิถีชีวิตร่วมกันในวัฒนธรรมความจนนั่นเอง ชุมชนดังกล่าวนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นชุมชนชาวตรอกที่กลายเป็นกลุ่มวัฒนธรรมย่อย [Subculture] ของสังคมใหญ่ในท้องถิ่นที่เรียกว่า “ย่าน” หรือ “บาง” เช่น ชุมชนชาวตรอกบ้านบาตรที่เป็นส่วนหนึ่งของย่านใหญ่ที่มีวัดสระเกศเป็นศูนย์กลาง และชุมชนชาวตรอกที่ป้อมมหากาฬ อันมีวัดราชนัดดาเป็นศูนย์กลาง ความต่างกันของชุมชนชาวตรอกทั้งสองแห่งนี้คือ ชุมชนป้อมมหากาฬถูกไล่รื้อทำลายโดยโครงการพัฒนาเมืองใหม่ของกรุงเทพมหานครที่ยังมีแนวคิดติดกับการพัฒนาพื้นที่แต่ไม่เห็นผู้คนในชุมชนที่มีชีวิตสืบเนื่องมาหลายยุคสมัย แต่ในทำนองตรงข้ามชุมชนชาวตรอกของบ้านบาตรยังดำรงอยู่ของคนในชุมชนรุ่นใหม่ที่สืบเนื่องวิถีชีวิตความเป็นอยู่มาแต่รุ่นเก่าหลายชั่วคนแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ ซึ่งแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเติบโตไปกว่าแต่เดิมก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่คนในชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนากับสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ที่มีรองศาสตราจารย์ ดร.อคิน รพีพัฒน์ เป็นที่ปรึกษา อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ก่อนจะเป็นเมืองโบราณและมูลนิธิเล็ก–ประไพ วิริยะพันธุ์
เผยแพร่ครั้งแรก 26 ธ.ค. 2561 เมืองโบราณอันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกในทุกวันนี้ มีกำเนิดมาแล้วร่วม ๔๘ ปี นับแต่วันเริ่มก่อสร้าง และอีก ๒ ปี ข้างหน้าก็จะมีอายุกึ่งครึ่งศตวรรษทีเดียว คุณเล็กและคุณประไพ ที่ปราสาทหินศรีขรภูมิ ก่อนจะมีเมืองโบราณนั้น กล่าวได้เต็มปากเลยว่าไม่มีใครสร้างมาก่อน บางทีอาจจะมีคนคิดอยู่บ้างแต่สร้างไม่สำเร็จ แหล่งที่ท่องเที่ยวและหาความรู้ที่มีอยู่แล้วนั้นมีเพียงพิพิธภัณฑ์ โดยเฉพาะพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติและแหล่งโบราณสถานทางประวัติศาสตร์ตามบ้านเก่าเมืองเก่าที่มีอยู่เกือบแทบทุกท้องถิ่น ซึ่งเป็นเพียงพิพิธภัณฑ์ที่ไม่มีชีวิต และการท่องเที่ยวที่องค์กรทั้งของรัฐและเอกชนจัดทำขึ้นก็จะวนเวียนซ้ำซากอยู่กับสถานที่อันไม่มีชีวิตเหล่านี้ เมื่อเมืองโบราณเกิดขึ้น ก็ยังมีผู้เข้าใจว่าเป็นแหล่งเพื่อการท่องเที่ยวทั่ว ๆ ไปของบรรดานายทุนเพื่อหากำไรทางเศรษฐกิจ แถมยังมีผู้รู้ที่เป็นนักวิชาการตำหนิว่าเป็นการทำลายศิลปวัฒนธรรมเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อเมืองโบราณเกิดมาได้ ๒๐ ปี ถึงได้เกิดการเคลื่อนไหวทางสังคมจากคนรุ่นใหม่ที่ไม่ใช่ทางราชการและข้าราชการของรัฐในเรื่องพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกันขึ้น จัดตั้งให้เป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ทั้งทางวัฒนธรรมและสังคมในระดับราษฎร์ที่ไม่ใช่ระดับหลวงของทางรัฐ คุณเล็กและคุณประไพ นำรถยนต์ข้ามโขงไปยังวัดภู จำปาสัก ซึ่งในที่นี้อยากใช้คำว่าเป็น “พิพิธภัณฑ์ราษฎร์” ไม่ใช่ “พิพิธภัณฑ์หลวง” แบบพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติของทางราชการทั้งหลาย ในปัจจุบันพิพิธภัณฑ์ราษฎร์หรือพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเกิดขึ้นมากมาย และมีพัฒนาการเป็นพิพิธภัณฑ์ในยุคใหม่ที่เรียกว่า “พิพิธภัณฑ์มีชีวิต” [Living museum] ในขณะที่พิพิธภัณฑ์หลวงที่ใกล้ตายก็กำลังคิดจะปรับปรุงอะไรใหม่ ๆ ให้มีชีวิตบ้าง เพราะถ้าหากไม่เปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่ก็คงจะไปไม่รอด ทั้งหมดที่เกริ่นมานี้ ก็เพื่อนำไปสู่ความคิดที่ว่าเมืองโบราณคือ “พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่มีชีวิต” ที่ได้คิด ได้ทำขึ้นโดย คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ตั้งแต่ราว ๔๘ ปีที่ผ่านมา เป็นพิพิธภัณฑ์เกิดจากทั้งการคิดและการทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปทีละน้อย ที่ไม่เบ็ดเสร็จสมบูรณ์ในเวลาอันสั้นด้วยการมีการวางแผนผังและรูปแบบโดยนักวิชาการอย่างการก่อสร้างสถานที่ทางประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม เพื่อการท่องเที่ยวอย่างในทุกวันนี้ เตียงที่คลอดลูก ปัจจุบันอยู่ในเมืองโบราณ สมุทรปราการ เครื่องมือทอผ้าในบ้านเรือนภาคกลาง แต่ “เมืองโบราณ” ไม่ได้เกิดขึ้นหรือสร้างขึ้นด้วยเวลาอันสั้นอย่างที่กล่าวมานี้ การเป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิตของเมืองโบราณไม่ใช่การจำลองสร้างโบราณสถานทางประวัติศาสตร์ที่หักพัง ที่ตายไปแล้ว [Dead monuments] มาตั้งแสดง แต่เป็นการสร้างบรรดาสถานที่ทางประวัติศาสตร์เหล่านั้นให้เต็มรูปอย่างมีชีวิต และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นบริบททางภูมิวัฒนธรรมของท้องถิ่นที่เป็นบ้านเป็นเมืองอย่างในอดีต ดังเช่น พระที่นั่งสรรเพชญปราสาท ในพระราชวังกรุงศรีอยุธยา เพื่อให้คนในปัจจุบันได้เห็นอย่างครั้งยังไม่ถูกทำลายและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นปราสาทราชวังเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา เครื่องมือทอผ้าในบ้านเรือนภาคกลาง หอไตรกลางบึงที่วัดทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งก่อนที่ปราสาทแห่งนี้ในเมืองโบราณจะเป็นที่ยอมรับของคนทั้งในประเทศและต่างประเทศดังในทุกวันนี้ ก็ได้รับการตำหนิและวิจารณ์อย่างเสียหายว่าเป็นการทำลายสิ่งที่เป็นศิลปวัฒนธรรมของชาติเพื่อประโยชน์จากการท่องเที่ยว เพราะไม่ถูกต้องในทางวิชาการ เป็นเพียงการเนรมิตขึ้นมาเองอะไรทำนองนั้น แต่หลังจากสร้างเสร็จทางรัฐบาลก็ขอใช้เมืองโบราณและพระที่นั่งสรรเพชญฯ แห่งนี้เป็นที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ ๙ รับรองการเสด็จมาเยือนราชอาณาจักรไทยของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ ๒ แห่งสหราชอาณาจักร อันเป็นการเสด็จมาเยือนครั้งแรกในปี พ.ศ ๒๕๑๕ และพระที่นั่งสรรเพชญฯ ของเมืองโบราณแห่งนี้ก็คือ หนึ่งในตัวอย่างของพิพิธภัณฑ์มีชีวิตของเมืองโบราณที่นอกจากจะทำให้ผู้มาพบเห็นสามารถจินตนาการย้อนอดีตให้เห็นว่าเมื่อครั้งยังไม่ถูกทำลายเป็นอย่างไรในบริเวณของสภาพแวดล้อมทางภูมิวัฒนธรรมของพระราชวังและบ้านเมืองครั้งกรุงศรีอยุธยา และนอกเหนือไปจากนี้ก็ได้เรียนรู้ถึงลักษณะทางศิลปวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมอันเป็นผลงานของการค้นคว้าของนักประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีที่มีส่วนร่วมในการสร้างปราสาทหลังนี้ขึ้น บ้านเรือนโบราณในจังหวัดแม่ฮ่องสอน แต่สำหรับคุณเล็ก วิริยะพันธุ์ การสร้างพิพิธภัณฑ์มีชีวิตดังที่กล่าวมานี้ไม่ใช่สิ่งที่สร้างให้เสร็จได้รวดเร็วด้วยทุนทรัพย์อย่างคนที่เป็นมหาเศรษฐีหรืออย่างของทางรัฐบาล ข้าราชการ แต่เป็นการสร้างด้วยกำลังความคิดอ่านทางสติปัญญาเพื่อให้เกิดเป็นแหล่งเรียนรู้ของคนในชาติได้ รู้จักอดีตของชาติบ้านเมืองว่าเคยมีความเจริญรุ่งเรืองมาอย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีขึ้นเพื่อให้คนในยุคปัจจุบันได้รับทราบและเรียนรู้ คุณเล็กแม้จะเป็นนักธุรกิจใหญ่ก็ตาม แต่เป็นคนรักในการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ศาสนา ปรัชญา เริ่มต้นด้วยการใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัวของครอบครัว สะสมศิลปวัตถุทางโบราณคดีและวัฒนธรรมที่เป็นทั้งของมีค่าและมีความหมายในเรื่องความรู้โดยไม่คิดนำไปแลกเปลี่ยนซื้อขายอย่างนักเล่นของเก่าทั่ว ๆ ไป ของสิ่งใดที่มีค่าควรเมืองทั้งทางประติมากรรม สถาปัตยกรรม และศิลปวัฒนธรรมก็จะตามซื้อตามหาเพื่อไม่ให้มีการซื้อขายออกนอกประเทศ ควรอยู่เป็นสมบัติของเมืองไทย ประจวบกับในช่วงเวลานั้นเป็นสมัยของการเริ่มต้นพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แต่ยุครัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เพื่อเปลี่ยนบ้านเมืองให้เป็นสังคมอุตสาหกรรมที่เดินตามรอยของอเมริกัน คนไทยรุ่นใหม่ได้รับการศึกษาอบรมแต่ในทางความก้าวหน้าทางวัตถุ และเน้นปัจจุบันจนลืมอดีต คุณเล็กแม้มีเชื้อสายเป็นคนจีน แต่เมืองไทยก็คือแผ่นดินเกิดและแผ่นดินตาย คิดสร้างสถานที่อะไรก็ได้ให้เป็นแหล่งเรียนรู้อดีตอย่างมีสติปัญญาและเพลิดเพลินโดยอาศัยบรรดาโบราณวัตถุและศิลปวัตถุทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมที่ครอบครัวได้สะสมไว้เป็นทุนเดิม จัดทำขึ้นในที่ดินที่คุณประไพผู้เป็นศรีภริยาซื้อไว้กว่า ๖๐๐ ไร่ ในเขตชายทะเลจังหวัดสมุทรปราการเป็นพื้นที่รับรองโครงการพื้นฐานที่แบ่งออกในทางภูมิศาสตร์ให้เป็นแผนที่ประเทศไทย โดยขุดคลองให้เป็นแม่น้ำใหญ่ ๆ ของแต่ละภูมิภาคเป็นเครื่องแบ่งเขต คุณเล็กและคุณประไพที่หมู่บ้านเรือนโบราณในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ในขั้นแรกลองสร้างเมืองจำลองให้แลเห็นภาพรวมในลักษณะคล้ายเมืองตุ๊กตาสำหรับนักท่องเที่ยวได้ชมก่อน แล้วค่อยคิดสร้างให้ใหญ่โตตามในแต่ละภูมิภาคทีหลัง เมื่อโครงสร้างพื้นฐานทางภูมิประเทศเรียบร้อยแล้ว คุณเล็กก็ออกเดินทางเที่ยวศึกษาภูมิวัฒนธรรมของบ้านเมืองตามท้องถิ่นในแต่ละภูมิภาค เพื่อเลือกเฟ้นว่าสถานที่ทางประวัติศาสตร์อะไรที่จะเลือกมาสร้างขึ้นให้เป็นที่หมายของแต่ละบ้านเมืองในแต่ละจังหวัด และในขณะเดียวกันก็แสวงหาโบราณวัตถุ สิ่งของทางวัฒนธรรม และศิลปกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ตามชุมชนเก่า ๆ นำมาเก็บไว้เพื่อจัดทำพิพิธภัณฑ์ คุณเล็กใช้เวลากว่า ๑๐ ปีในการออกไปเที่ยวศึกษาตามจังหวัดต่าง ๆ ในแต่ละภูมิภาคของประเทศเพื่อให้ได้เห็นภูมิวัฒนธรรมของแต่ละบ้านเมืองอย่างซึมซับ เพราะถ้าหากจะสร้างสถานที่ทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมใด ๆ ขึ้นควรจะมีลักษณะของสิ่งแวดล้อมที่ใกล้กับความเป็นจริงในท้องถิ่น ทั้งหมดนี้เป็นกระบวนการขั้นแรกในการศึกษาภาคสนามเพื่อเก็บข้อมูลในบริบทของพื้นที่ทางวัฒนธรรม ซึ่งการเดินทางออกไปแต่ละครั้งก็ไม่ดูเคร่งเครียดเอาจริงเอาจัง แต่ละคนต้องการเที่ยวชมธรรมชาติและวัฒนธรรมไปในตัวเองในช่วงวันสุดสัปดาห์ เพราะเกือบแทบทุกครั้งที่ออกเดินทางไปก็จะพาคุณประไพ ผู้เป็นภริยา และคุณสุวพร ผู้บุตรสาวตามไปด้วยเพื่อการพักผ่อนจากการทำกิจกรรมด้านธุรกิจ หลังเวลา ๑๐ ปี ที่ออกไปท่องเที่ยวศึกษาเก็บข้อมูลตามท้องถิ่นจนอิ่มตัว คุณเล็กก็เลิกเดินทาง ฝังตัวเองอยู่กับการคิดออกแบบและก่อสร้างสถานที่ทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมตามพื้นที่ซึ่งกำหนดให้เป็นบ้านเป็นเมืองในภูมิภาคต่าง ๆ โดยแทบไม่เคยเดินทางออกจากเมืองโบราณไปไกล ๆ และสิ่งที่ได้จากการออกไปศึกษาตามท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศนั้นก็ทำให้คุณเล็กได้เห็นและได้คิดว่าการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองที่จะทำให้เมืองไทยเป็นสังคมทันสมัยแบบสังคมอุตสาหกรรมทั่วไปอย่างทางตะวันตกนั้น กำลังทำให้บรรดาร่องรอยความเป็นมาในอดีตและความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมของสังคมเกษตรกรรมที่มีมาแต่สมัยทวารวดี ศรีวิชัย ลพบุรี อยุธยา ลงมาจนถึงสมัยกรุงเทพฯ ก่อนการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองนั้นสูญหายไปอย่างไม่มีวันกลับ แต่การได้ออกไปตามจังหวัดต่าง ๆ ได้เห็นร่องรอยเหล่านี้แล้วนำมาเพื่อการสร้างเมืองโบราณอย่างเดียวนั้นเป็นเพียงสิ่งเล็ก ๆ ในการอนุรักษ์ข้อมูลและความรู้เฉพาะช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังไม่ได้พบเห็นและเก็บไว้ให้เห็นประโยชน์ในวงกว้าง จึงไม่ควรจะหยุดออกไปศึกษาค้นคว้ารวบรวมข้อมูลเฉพาะช่วงเวลาที่จะทำเมืองโบราณเท่านั้น ควรทำงานต่อเพื่อนำข้อมูลหลักฐานและความรู้ออกเผยแพร่แก่สังคม จึงจะต้องทำการออกไปศึกษาอย่างต่อเนื่องก่อนที่จะสูญหายไปอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นสังคมอุตสาหกรรม เรือนเสาร้อยต้นที่จังหวัดเชียงใหม่ 317-5 ความคิดนี้เป็นสิ่งที่นำมาจัดทำวารสารเมืองโบราณที่เพื่อเผยแพร่สิ่งที่ศึกษา ค้นพบ และการเสนอความคิดใหม่ ๆ ทางโบราณคดี ประวัติศาสตร์ และมานุษยวิทยา จึงจัดตั้งคณะทำงานออกไปศึกษาค้นคว้าตามท้องถิ่นและเก็บข้อมูลอยู่ตลอดเวลาให้เมืองโบราณมีฐานข้อมูลทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของบ้านเมืองเกือบทั่วประเทศที่รวบรวมไว้อย่างต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน ก่อนที่คุณเล็กจะถึงแก่กรรม จึงได้จัดตั้งมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ เพื่อเป็นองค์กรในการศึกษาค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลหลักฐานทางโบราณคดีอันเป็นเรื่องของประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอื่นเป็นอดีตห่างไกลไม่เห็นคน [Archaeological past] กับหลักฐานทางประวัติศาสตร์สังคมอันเป็นเรื่องภูมิวัฒนธรรมของถิ่นฐานบ้านเมืองของชุมชนทางชาติพันธุ์ [Ethnographical present] ที่ยังเห็นมีชีวิตอยู่และควบคู่ไปกับการออกสำรวจศึกษารวบรวมหลักฐานทั้งทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์สังคม และให้ความช่วยเหลือแก่ผู้คนในชุมชนท้องถิ่นเพื่อการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นให้เป็นแหล่งเรียนรู้จักตนเองของคนในชุมชน ในรูปของพิพิธภัณฑ์มีชีวิต [Living museum] และอันเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่จัดการโดยคนท้องถิ่นในลักษณะที่เป็น การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน [Sustainable tourism] สภาพวิหารวัดจองคำ อำเภองาว จังหวัดลำปางก่อนขอผาติกรรมนำมาปลูกใหม่ที่เมืองโบราณ ในทุกวันนี้มรดกทางภูมิปัญญาของคุณเล็กและคุณประไพ วิริยะพันธุ์ ที่ให้ไว้กับแผ่นดินเกิดคือ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่มีชีวิต ๓ แห่ง แต่ที่เรียกว่าเสร็จแล้วดูดีในสมัยที่คุณเล็กและคุณประไพมีชีวิตอยู่ แห่งแรกคือ “เมืองโบราณ” ที่ตำบลบางปู จังหวัดสมุทรปราการ ปัจจุบันอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นเสมือนโอเอซิสทางศิลปวัฒนธรรมของประเทศ ท่ามกลางทะเลทรายของตึกรามบ้านช่องและสถานที่ใหญ่น้อยนานาชนิดของสังคมอุตสาหกรรม แห่งที่ ๒ คือ “ช้างเอราวัณสามเศียร” ที่เป็นพิพิธภัณฑ์โบราณวัตถุที่มีคำควรเมืองและกลายเป็นแหล่งศักดิ์สิทธิ์ในความเชื่อของผู้คน และแหล่งที่ ๓ คือ “ปราสาทสัจธรรม” ริมอ่าวพัทยา จังหวัดชลบุรี นับเป็นพิพิธภัณฑ์ร้อยปี เพราะสร้างไม่เสร็จในชั่วอายุของคุณเล็กและคุณประไพ แต่เหลือไว้ให้ลูกหลานที่มุ่งรักษาอุดมการณ์และเจตนารมณ์ของคุณเล็กดำเนินต่อไป อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- โครงการผันน้ำโขง – ชี – มูล กรรมวิบัติของคนสยาม
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2551 “โอ้พสุธาหนาแน่นเป็นแผ่นพื้น ถึงสี่หมื่นสองแสนทั้งแดนไตร เมื่อเคราะห์ร้ายกายเราก็เท่านี้ ไม่มีที่พสุธาจะอาศัย ล้วนหนาวเหน็บเจ็บแสบคับแคบใจ เหมือนนกไร้รังเร่อยู่เอกา” (นิราศภูเขาทอง) ข้าพเจ้าคิดว่าคำกลอนที่ยกมาอันนี้คือความเจ็บปวดและคับแค้นใจของ คนสยาม ในแผ่นดินที่เรียกว่าประเทศไทยในขณะนี้ เพราะเต็มไปด้วยผู้มีอภิสิทธิ์ที่เรียกตนว่า คนไทย ทั้งสิ้น ผู้ล้วนเป็นชาติพันธุ์ที่สูงส่ง ฟ้าประทานให้มาเกิดแต่สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้คนสยามที่หลากหลายไปด้วยชาติพันธุ์นานาทั้งเก่าและใหม่เคลื่อนย้ายกันมาอยู่อย่างสมานฉันท์ในดินแดนที่เรียกว่าสยามประเทศ อันมีมานับพันปีต้องกลายเป็นคนสิ้นไร้ไม้ตอก เพราะโครงการพัฒนาเศรษฐกิจ-การเมืองของรัฐบาลแต่ละชุดแต่ละสมัยนั้น ล้วนแต่มาจากการใส่แว่นตาเหยี่ยว ตาแร้ง และนกอินทรีย์แทบทั้งสิ้น เพราะบรรดาสัตว์กินเนื้อจากเบื้องบนเหล่านี้ล้วนมองอะไรแต่เฉพาะที่จะเป็นอาหารที่แย่งกินได้ ทึ้งได้ และโกงได้เพื่อการอยู่รอดของคนและพรรคพวกทั้งสิ้น หาเข้าใจถึงการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนและสมานฉันท์ของสัตว์บนพื้นพิภพ ซึ่งเป็นหนอน ไส้เดือน และกิ้งกือไม่ คนสยามก็คือประเภทไส้เดือน กิ้งกือและตัวหนอนเช่นนี้แหละ ที่มีอยู่ทุกภูมิภาคของประเทศ คนไทยไม่เคยรู้จักคนสยาม เพราะเรียนรู้ความเป็นมาของชาติโดยประวัติศาสตร์ของรัฐที่สร้างโดยเจ๊กขบถที่ให้สถาบันการศึกษาทั้งโรงเรียน และมหาวิทยาลัยทำหน้าที่สอนให้เชื่อว่า คนไทยเป็นเชื้อชาติที่สืบกันมาอย่างไม่มีการเจือปนกับคืนอื่นแต่เพียงอย่างเดียว จะคัดค้านหรือซักถามก็ไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่คนสยามนั้นเต็มไปด้วยชาติพันธุ์ทั้งใหม่และเก่าเช่น เจ๊ก แขก ไท ลาว ญวน เขมร พม่า มาเลย์ รวมทั้งฝรั่งผิวขาวดำแดง เต็มไปหมด วิถีทางของประวัติศาสตร์ไทยอันเป็นเรื่องของการบังคับให้เชื่อฟังนั้น คือการเปลี่ยนแปลงทางสังคม วัฒนธรรม การเมืองและเศรษฐกิจที่มาจากเบื้องบน จากรัฐและจากภายนอกที่ไม่อาจแลเห็นและเข้าใจผู้คนภายในท้องถิ่นแต่ละแห่งแต่ละกลุ่มเหล่าได้ ทั้ง ๆ ที่ผู้คนแต่ละท้องถิ่นก็ล้วนมีประวัติศาสตร์ของตนเหมือนกัน คือการเรียนรู้และแลเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมจากภายใน นับแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ราว พ.ศ.๒๕๐๐ เป็นต้นมา ก็เกิดประวัติศาสตร์รัฐยุคใหม่ขึ้น คือประวัติศาสตร์ของการพัฒนาเศรษฐกิจการเมือง พัฒนาหมายถึงการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น แต่ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงจากภายนอก โดยเฉพาะจากทางรัฐในรูปของโครงการนานาชนิดที่ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับการให้ความรู้ใหม่ ๆ เทคโนโลยีใหม่ ๆ และความคิดใหม่ ๆ ที่มาจากตะวันตก ในการจัดการกับทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อมที่เคยมีมาแต่เดิมให้เปลี่ยนแปลงไปแบบมั่วภายใต้คำว่า ถูกต้องทางวิชาการเพื่อให้เกิดผลประโยชน์ในทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ โครงการของการเปลี่ยนแปลงจากภายนอกจากรัฐบาลดังนี้ ไม่เคยมีพื้นที่ใด ๆ ที่จะแลเห็นหรือเข้าใจการเปลี่ยนแปลงจากภายนอกของคนหลายกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในแต่ละท้องถิ่นแม้แต่น้อย เพราะคนเหล่านั้นเป็นแค่ไส้เดือนและกิ้งกือเท่านั้น จึงเท่ากับเป็นการเบียดบังให้คนที่อยู่ตามท้องถิ่นต่าง ๆ กลายเป็นคนชายขอบที่ด้อยโอกาส (marginalization) เพราะไม่สามารถจะแสดงตัวตนอย่างมีความรู้ความเข้าใจและจัดการใด ๆ ด้วยศักยภาพของความเป็นมนุษย์ที่มีสติปัญญาและภูมิปัญญาของตนได้ ดังนั้นการจัดการใด ๆ ในเรื่องการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิต จึงเป็นเรื่องที่มาจากภายนอก คนนอกที่ทำให้คนในรู้สึกว่าตนเองเป็นคนโง่อยู่ร่ำไป แต่ที่น่าทึ่งแถมสองเพศในขณะนี้ก็คือบรรดานักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญการวิจัยเพื่อการพัฒนาจากสถาบันการศึกษาและกองทุนต่าง ๆ มักพร่ำเพ้อแต่คำว่าจะต้องสร้างความเข้มแข็งและพลังชุมชนขึ้น (empowerment) เหมือนกับคาถากันผี แต่การดำเนินการใด ๆ ก็มักจะมาจากการชี้แนะและริเริ่มควบคุม (โดยเฉพาะเงินทุน) จากคนนอกทุกทีไป สิ่งที่น่าเศร้าใจในขณะนี้ก็คือ พอเปลี่ยนรัฐบาลทีก็มีการทำโครงการพัฒนาที่เคยล้มเหลวและทำลายชีวิตวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ของคนท้องถิ่นอันเป็นคนชายขอบออกมาปัดฝุ่นทุกทีไป อย่างเช่น โครงการมหาภัยใกล้วิบัติ เช่น การปราบปรามยาเสพติด และโครงการผันน้ำโขง-ชี-มูล ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และการฟื้นโครงการสร้างแอ่งเสือเต้น เป็นต้น โครงการปราบยาเสพติดแบบเด็ดขาดนั้น จะไม่กล่าวถึงในบทความนี้ เพราะเห็นประจักษ์กันทั่วไปเกี่ยวกับความรุนแรงในภาคใต้ที่นำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชน จนนานาชาติต่างประณาม แต่จะพูดเฉพาะโครงการผันน้ำโขง-ชี-มูลเป็นสำคัญ ความคิดเรื่องการเอาน้ำโขงมาใช้นั้น มีประวัติของความล้มเหลวมาตั้งแต่โครงการสร้างเขื่อน และโครงการขององค์การแม่น้ำโขงสหประชาชาติ แม้ว่าจะถูกต้องกับทฤษฎีในการผันน้ำจากที่สูงเข้าสู่ที่ราบลุ่มของภาคอีสานแบบคุ้มทุนก็ตาม แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะประเทศลาวไม่ร่วมมือด้วย ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่า การเอาน้ำจากแม่น้ำนานาชาติมาใช้นั้น ย่อมมีปัญหาทางการเมืองแน่ โครงการแบบซื่อบื้อผันน้ำโขง-ชี-มูล นั้นก็คงไม่คุ้มทุนจากการใช้พลังงานไฟฟ้าสูบน้ำจากแม่น้ำโขงที่มีตลิ่งสูงกว่าระดับน้ำกว่า ๒๐ เมตรในฤดูแล้ง แต่ที่เสียหายอย่างแน่ชัดเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนตามท้องถิ่นที่ท่อน้ำ หรือคลองส่งน้ำต้องผ่านไปก็คือ บรรดาทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อมที่อยู่ในสิทธิของคนท้องถิ่นต้องเสียหาย ซึ่งจะมีผลนำไปสู่ความเป็นบ้านแตกสาแหรกขาดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชีวิตความเป็นอยู่ในระดับครอบครัวและชุมชนจะไม่มีอะไรเหลือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ถูกเปลี่ยนให้เป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจไม่ว่าโรงงาน โรงแรม คอนโดมิเนียม ทาวน์เฮาส์ และที่พักของคนงาน เพื่อคนเข้ามาใหม่เป็นจำนวนมากที่ไม่มีหัวนอนปลายตีน ซึ่งทุกวันนี้ก็แลเห็นอยู่แล้วหลายแห่งที่มีเหมือนรังผึ้ง รังต่อแตนและคอกสัตว์ที่อยู่กันอย่างปัจเจก ไม่มีโครงสร้างความสัมพันธ์กันอย่างมนุษย์ เช่นครอบครัวและชุมชนได้ ภาคอีสานนั้นเป็นพื้นที่กึ่งแห้งแล้งและชุ่มชื้น ที่คนจากภายนอกแลเห็นว่าเป็นพื้นที่แห้งแล้งทุรกันดาร แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเป็นพื้นที่มีความเหมาะสมในการตั้งถิ่นฐานบ้านเมืองของมนุษย์ที่มีร่องรอยของอารยธรรมมาแต่โบราณกว่า ๒,๕๐๐ ปี อารยธรรมที่ว่านี้ก็คือการจัดดการน้ำ (water management) ที่แลเห็นได้จากแบบแผนของการตั้งชุมชนหลายยุคหลายสมัย เช่นแรกเริ่มมักอยู่ชายขอบที่สูงอันเป็นป่าโคก และใกล้พื้นที่ลุ่มที่เป็นแอ่งหรือหนองน้ำ หรือกุด (ลำน้ำด้วน) อันเป็นที่กักเก็บน้ำได้ เมื่อเกิดเป็นชุมชนใหญ่ที่อยู่กันอย่างหนาแน่นก็มีการขุดสระน้ำล้อมรอบชุมชน ที่ทำให้คนปัจจุบันแลเห็นว่าเป็นเมืองไปก็มี ดูแตกต่างจากชุมชนเมืองในที่อื่น ๆ เช่นในพม่าที่มีลักษณะเป็นกำแพงล้อมรอบมากกว่าการขุดคูเมืองให้กว้างใหญ่ ยิ่งในสมัยหลังลงมาก็มีพัฒนาการขุดอ่างเก็บน้ำที่เรียกว่า บาราย ขึ้น ให้เป็นอ่างน้ำศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนที่เป็นเมือง อันมีศาสนสถานที่มีกำแพงล้อม (ปุระ) เป็นเครื่องบ่งบอก ยิ่งในสมัย หลัง ๆ ลงมาจนปัจจุบันก็มีการกักเก็บน้ำในอ่างน้ำขนาดใหญ่โดยกรมชลประทาน และการขุดอ่างเก็บน้ำเล็ก ๆ สำหรับชุมชนที่เกิดใหม่แทบทุกชุมชน ซึ่งก็ทำให้สระน้ำ (ตระพัง) คือสัญลักษณ์ของชุมชนบ้าน และชุมชนอ่างเก็บน้ำ (tank) เป็นสัญลักษณ์ของชุมชนเมือง เพราะที่ใดมีอ่างน้ำหรือสระน้ำย่อมมีชุมชน นับเป็นอัตลักษณ์สำคัญของสังคมน้ำ ทั้งในภาคอีสานที่แตกต่างไปจากสังคมน้ำไหลที่อาศัยแม่น้ำลำคลองและคลองชลประทานเป็นโครงสร้างในการจัดการน้ำ ระบบการจัดการน้ำของอีสานแต่โบราณที่ยังหลงเหลืออยู่ในหลาย ๆ ท้องถิ่นนั้นเป็นการจัดการภายในนิเวศธรรมชาติของแต่ละท้องถิ่นไป โดยใช้ระบบบังคับน้ำจากทางลาดหรือที่สูงเข้ามากักเก็บไว้ในที่ต่ำ (gravity) ที่มาของน้ำที่สำคัญคือ (๑) มาจากป่าโคกซึ่งเป็นที่สูง มักเป็นป่าโปร่งที่มีพืชพันธุ์ ต้นไม้และสัตว์นานาชนิดที่คนได้พึ่งพาในการหาอยู่หากิน ป่าโคกเหล่านี้จะไม่โดนทำลาย เป็นที่ซึ่งมีอำนาจเหนือธรรมชาติ เช่นผีดูแล เช่น ผีปู่ตา เป็นต้น คนอีสานส่วนใหญ่อาศัยน้ำจากฟ้า คือในฤดูฝน ฝนตกผ่านที่สูงจากเทือกเขา เขาและป่าโคกลงสู่ที่ราบลุ่ม น้ำจะไหลลงมา (๑) ตามร่องน้ำหรือลำห้วย และ (๒) ไหลแผ่กันลงมาเป็นบริเวณกว้างก็จะใช้คันดิน และทำการชักน้ำ เบนน้ำและกันน้ำเข้าไว้ในพื้นที่ทำการเพาะปลูก หรือพื้นที่ซึ่งเป็นสระหรืออ่างเก็บน้ำ เช่นในการทำนาได้อาศัยน้ำไหลแผ่ลงมาจากที่สูง เข้าเก็บไว้ในบิ้งนา หรือคันนารูปสี่เหลี่ยม เมื่อน้ำเต็มทีแล้วก็ปล่อยผ่านรูพักช่องทางเล็ก ๆ ลงสู่บิ้งนาในระดับต่ำต่อไป แต่ถ้าบริเวณพื้นที่ลุ่มทำการเพาะปลูกกว้างใหญ่ก็จะทำทำนบขวางทางน้ำเพื่อชะลอน้ำ และกระจายน้ำเข้าสู่ที่นา โดยไม่ปล่อยให้ไหลลงหนองบึง หรือลำน้ำอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการชะลอน้ำนั้นมักจะทำกันในตอนใกล้สิ้นฤดูน้ำ เมื่อน้ำที่ไหลเร็วเจิ่งนองไหลกลับคือสู่หนองบึงและลำน้ำ ทำนบดังกล่าวจะช่วยชะลอน้ำที่จะใช้ในการปลูกข้าวต่อไป นับเป็นการทำนาแบบนาทามนั่นเอง แนวทำนบที่ทำหน้าที่กั้นน้ำ ขวางน้ำ ชะลอน้ำและเบนน้ำดังกล่าวนี้มักถูกเรียกโดยคนปัจจุบันว่า ถนนโบราณ จนมักมีการศึกษาและตีความไปต่าง ๆ นานา เช่นว่า เป็นถนนหลวงจากษัตริย์ของเมืองนครธม หรือนครหลวงจากกัมพูชาเข้ามาเมืองไทย เป็นต้น ในท้องถิ่นหลาย ๆ แห่งที่เป็นเมืองก็มักมีการขุดอ่างเก็บน้ำแบบบาราย กักน้ำจากทำนบหรือจากลำน้ำ ร่องน้ำให้เพียงพอแล้วก็ปล่อยให้ไหลลงไปยังท้องถิ่นอื่นต่อไป วิธีการกักน้ำระบบบาราย (tank) ตามลำน้ำเช่นนี้ เป็นชลประทานราษฎร์ที่พบมากมายในศรีลังกา ต่างกันแต่ว่า อ่างเก็บน้ำของทางศรีลังกาเป็นการกักน้ำเพื่อการเพาะปลูกให้ได้สัดส่วนกับจำนวนครัวเรือนและพื้นที่การเพาะปลูกของชุมชน แต่ของทางอีสานไม่มุ่งหวังในการเพาะปลูก หากเก็บไว้ใช้เพื่อการบริโภคอุปโภคเป็นสำคัญ ดินแดนอีสานส่วนใหญ่ขาดน้ำใต้ดิน อีกทั้งข้างล่างเป็นหินเกลือ จึงมักเก็บน้ำบนผิวดินด้วยการยกขอบเขื่อนของอ่างเก็บน้ำให้สูง จึงเรียกว่า บาราย อันเป็นภาษาสันสกฤตที่แปลว่า ยกให้สูง บารายเป็นอ่างเก็บน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนจะเอาวัวควายลงไปอาบกินไม่ได้ เพราะมุ่งหวังให้เป็นแหล่งน้ำกินน้ำใช้ในการดำรงชีวิต เป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นว่าหัวใจของการจัดการน้ำที่สำคัญของคนอีสานแต่โบราณ หรือ อาจจะกล่าวว่าของทุกท้องถิ่นละถิ่นฐานบ้านเมืองก็ได้ คือการจัดการน้ำกินน้ำใช้ หาใช่เพื่อการเกษตรกรรมไม่ แม้กระทั่งน้ำในแม่น้ำลำน้ำใหญ่ ๆ ก็ไม่นำมาใช้ทั้งการอุปโภคบริโภค ยกเว้นพื้นที่บางแห่งในบริเวณที่สูงเท่านั้นที่มีการใช้ระหัดชักน้ำที่เรียกว่าพัด หรือ หลุก ตักน้ำเข้าไปใช้ในแปลงนา เช่นที่พบในต้นน้ำลำตะคองในเขตนครราชสีมา ต้นน้ำชีในเขตชัยภูมิ และลำน้ำหมันในเขตอำเภอด่านช้าง จังหวัดเลย ทุกอย่างในการจัดการน้ำกินน้ำใช้ของคนอีสานนั้น เป็นระบบที่สัมพันธ์กับลำน้ำธรรมชาติที่มีต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำทั้งสิ้น โดยมีอำนาจเหนือธรรมชาติ เช่น ผี พระ และเทพ เป็นเจ้าของที่คุมกติกาในการใช้น้ำร่วมกัน แต่โครงการผันน้ำโขง-ชี-มูล นั้นเป็นโครงการผันน้ำเพื่อการเกษตรมารับใช้ การเกษตรอุตสาหกรรมเพื่อบรรดาเหยี่ยว กา นก แร้ง และนกอินทรีเป็นทั้งสาธารณ์ที่ทำความพินาศวอดวายมาให้กับแหล่งน้ำธรรมชาติย่อมนำไปสู่การทำลายนิเวศธรรมชาติ และระบบทางวัฒนธรรมของผู้คนตามท้องถิ่นต่าง ๆ ของอีสานอย่างไม่มีทางกู่ให้กลับ นับเป็นการเชื้อเชิญความวิบัติอย่างใหญ่หลวงมาสู่ชีวิตคนพอ ๆ หรือมากกว่าโครงการเหมืองโปแตสอุบาทว์ในพื้นที่รอบ ๆ หนองหานกุมภวาปี จังหวัดอุดร และโครงการโรงงานอุตสาหกรรมเหล็กในเขตอำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ร่วมไปกับโครงการแก่งเสือเต้นที่มาจากอเวจีด้วย อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- “สามชุก” เมืองต้นน้ําสุพรรณบุรี
เผยแพร่ครั้งแรก 27 พ.ค. 2559 ตลาดสามชุก สามชุกเป็นเมืองที่อยู่ทางด้านเหนือของจังหวัดสุพรรณบุรีซึ่งติดต่อกับจังหวัดชัยนาทและอุทัยธานี ทางตะวันออกติดต่อกับจังหวัดสิงห์บุรี อ่างทองและพระนครศรีอยุธยา ส่วนทิศตะวันตกมีเทือกเขาตะนาวศรีที่ต่อเนื่องมาจากอุทัยธานีพาดยาวไปจนถึงจังหวัดกาญจนบุรีเป็นแนวพรมแดนขวางกั้นตามธรรมชาติระหว่างประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งสหภาพพม่าและไทย ส่วนทางทิศใต้ติดต่อกับจังหวัดนครปฐม มีแม่น้ำสุพรรณบุรีหรือแม่น้ำท่าจีนไหลผ่านเป็นลำน้ำสายหลักของท้องถิ่น พื้นดินมีความอุดมสมบูรณ์สูงเพราะเป็นพื้นที่บนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเก่า [Old Delta] เหมาะแก่การเพาะปลูก แวดล้อมด้วยพื้นที่ราบลุ่มแบบหนองบึงทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำสุพรรณและที่ดอนสูงในแถบที่ราบชายเขาทางฝั่งตะวันตก เมื่อมีการพัฒนาระบบชลประทานเป็นโครงข่ายอย่างมากมาย จึงกลายเป็นเมืองศูนย์กลางการค้าพืชผลทางการเกษตร การพัฒนาโครงสร้างการชลประทานในลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างของประเทศสยาม ทำให้เกิดการเกษตรอุตสาหกรรมและการปฏิรูปการปกครองในระบบมณฑลเทศาภิบาลในสมัยรัชการที่ ๕ ทำให้มีการเคลื่อนย้ายประชากรเข้ามาตั้งบ้านเรือนเป็นตลาดเป็นเมืองค้าขายตลอดไปตามลำน้ำสุพรรณบุรีและบุกเบิกเข้าไปในเขตป่าเบญจพรรณที่ถนนและการชลประทานของรัฐมีส่วนทำให้เกิดการขยายตัวของชุมชนต่าง ๆ ไปจนเต็มทั่วทุกพื้นที่แม้แต่เขตชายเขาตะนาวศรี เช่น อำเภอด่านช้างในทุกวันนี้ ภูมินิเวศสามชุก แผนที่แสดงภูมิประเทศที่ตั้งของสามชุก ซึ่งทิศตะวันตกคือเทือกเขาถนนธงชัยและมีอำเภอด่านช้างอยู่ติดกับแนวเขา มีลำน้ำกระเสียวซึ่งเคยเป็นลำน้ำสายใหญ่และสำคัญในอดีตเข้ามาสบกับแม่น้ำสุพรรณที่เหนือบริเวณ “สามชุก” ไม่ไกลนัก ทำให้บริเวณสามชุกมีความหลากหลายทางชีวภาพและถือเป็นแถบต้นน้ำจากเทือกเขาที่เคยมีความอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง สามเหลี่ยมปากแม่น้ำเก่า [Old Delta] ของลำน้ำเจ้าพระยาเดิมและลำน้ำท่าจีน ความสูงโดยเฉลี่ยจากระดับน้ำทะเลจากทิศใต้สู่ทิศเหนือราว ๓-๑๐ เมตร พื้นที่ของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเจ้าพระยาเก่านี้มีความนิยมตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์เป็นต้นมาจนถึงบ้านเมืองที่เป็นนครรัฐและเมืองท่าภายในตั้งแต่ก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา ดังนั้น เราจึงพบหลักฐานของชุมชนมนุษย์ต่างยุคสมัยในพื้นที่ตลอดสองฝั่งแม่น้ำท่าจีนตั้งแต่เมืองสุพรรณบุรี พื้นที่ชายขอบของเทือกเขาตะนาวศรีไปจนถึงบริเวณที่ปากน้ำสบกับแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน้อยในเขตชัยนาท ซึ่งบริเวณนี้ก็เป็นรอยต่อของพื้นที่ราบลอนลูกคลื่น [Undulating Terrace] ในลุ่มลพบุรี-ป่าสัก ซึ่งมีการอยู่อาศัยของผู้คนในยุคก่อนประวัติศาสตร์อย่างชัดเจนและร่วมสมัยกับทางลุ่มท่าจีน-สุพรรณบุรีในเวลาต่อมา แผนที่ชื่ออยุธยา-นครชัยศรี จังหวัดสุพรรณบุรี มาตราส่วน ๑ ต่อ ๕๐,๐๐๐ (๒ ซม.ต่อ ๑ กิโลเมตร) สำรวจเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๑ พิมพ์ที่กรมแผนที่ พ.ศ.๒๔๗๓ ให้ข้อมูลถึงสภาพภูมินิเวศที่มีชุมชนตั้งถิ่นฐานเบาบางและเต็มไปด้วยป่าไม้เบญจพรรณ ทิศตะวันตกของอำเภอสามชุกเป็น ที่ราบชายเขา [Foothill plain] ของแนวเทือกเขาตะนาวศรีที่สูงชันและสลับซับซ้อน ยอดเขาที่สูงที่สุดอยู่ใกล้กับบ้านห้วยหินดำ ซึ่งมีชาวกะเหรี่ยงอยู่อาศัยเป็นพื้น ต่อเนื่องจากแนวเทือกเขาเป็นพื้นที่ลูกคลื่นลอนลาดที่ค่อย ๆ ลาดเทมาทางทิศตะวันออกจนถึงแม่น้ำสุพรรณ ที่ราบแถบนี้ในอดีตเคยมีป่าไม้เบญจพรรณผืนใหญ่ที่มีไม้พวกเต็งรัง มะค่าโมง มะค่าแต้ ชิงชัน ซาก (ที่ชาวบ้านบอกว่ามาเผาถ่านได้ไม้คุณภาพดีมาก) ตะเคียนทองฯลฯ และมีลำธารเล็ก ๆ หลายสายไหลลงสู่ลำห้วยกระเสียว ซึ่งอยู่ในที่ราบหุบเขา ต่อมาบริเวณนี้มีการสร้างเขื่อนกระเสียวก่อสร้างเป็นเขื่อนดินที่มีความยาวลำดับสองรองจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๓ กั้นน้ำจากลำห้วยกระเสียว ใช้ประโยชน์ในการเกษตรกรรมของโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษากระเสียวและเป็นพื้นที่ประมง กักเก็บน้ำได้สูงสุด ๒๔๐ ล้านลูกบาศก์เมตร และอ่างเก็บน้ำนี้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ป่าไม้สมบูรณ์ในแถบนี้ถูกปล่อยให้ทำสัมปทานชักลากซุงมาแปรรูปในช่วงระหว่าง พ.ศ.๒๔๙๓-๒๔๙๙ มีโรงเลื่อยจักรที่รับเลื่อยไม้แปรรูป ป่าไม้บริเวณที่เคยเรียกกันว่า ป่าดงดิบ เช่นที่บริเวณด่านช้างและดงเชือก ซึ่งเป็นป่าไม้บริเวณที่ราบเชิงเขาหมดลงไปภายในเวลาไม่นานก็มีชาวบ้านเข้ามาบุกเบิกพื้นที่ทำพืชไร่แทน นอกจากนี้ ก่อนหน้านั้นราวทศวรรษที่ ๒๔๘๐ ยังมีกิจการการเผาถ่านในช่วงที่ผู้คนบุกเบิกลึกเข้าไปในดงในป่าทางฟากตะวันตกของแม่น้ำสุพรรณ โดยที่ตลาดสามชุกเป็นพื้นที่รับซื้อถ่านไม้สำหรับใช้ในครัวเรือนและโรงงานอุตสาหกรรม ส่วนทิศตะวันออกและทิศตะวันตกเฉียงเหนือเป็นที่ราบลุ่มและเป็นดอนบางส่วนเหมาะกับการทำนาและทำไร่ ส่วนด้านทิศเหนือติดต่อกับที่ราบและหย่อมกลุ่มเขาหลายลูกซึ่งเป็นที่ดินในเขตอำเภอเดิมบางนางบวช บริเวณแนวกึ่งกลางของพื้นที่มีแม่น้ำสุพรรณไหลผ่าน ลำน้ำนี้แม้จะแยกออกมาจากแม่น้ำสะแกกรังและแม่น้ำเจ้าพระยาที่บริเวณวัดท่าซุงจังหวัดอุทัยธานี ไหลผ่านชัยนาทก็เรียกลำน้ำมะขามเฒ่า ถึงสุพรรณบุรีเรียกแม่น้ำสุพรรณ เข้าเขตนครชัยศรีเรียกแม่น้ำนครชัยศรี จนถึงปากน้ำสมุทรสาครจึงเรียกว่าแม่น้ำท่าจีน และชื่ออย่างเป็นทางการในภายหลังคือ “แม่น้ำท่าจีน” แผนที่แผนผังแสดงเขตสุขาภิบาลสามชุกในยุคแรก ๆ จะเห็นตำแหน่งสถานที่สำคัญโดยรอบของสามชุกและลำน้ำสำคัญและการสร้างระบบชลประทานที่ซับซ้อนและอยู่ทางด้านเหนือขึ้นไป เมื่อไหลผ่านในอำเภอสามชุกก็มีลำน้ำสำคัญมาสมทบจากต้นน้ำสะสมจากเทือกเขาตะนาวศรีที่รวมเอาสายน้ำเล็กใหญ่จนกลายเป็นลำห้วยกระเสียวไหลจากแนวเทือกเขาตะวันตกแถบอำเภอด่านช้างมารวมกับแม่น้ำสุพรรณที่แถว ๆ บ้านทึง ทุกวันนี้ ห้วยกระเสียวใช้เป็นเส้นแบ่งเขตการปกครองระหว่างอำเภอสามชุกและอำเภอเดิมบางนางบวช โดยมีการสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำบนที่ราบเชิงเขาเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๓ มีการเพาะเลี้ยงปลาแม่น้ำต่าง ๆ ที่กลายเป็นปลาเศรษฐกิจและส่งขายในร้านอาหารปลาแม่น้ำ โดยเฉพาะปลาม้าที่เป็นปลาขึ้นชื่อของจังหวัดสุพรรณบุรี แต่ในโคลงนิราศสุพรรณของสุนทรภู่ เมื่อครั้งสภาพแวดล้อมยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงในแม่น้ำสุพรรณมีปลาชุกชุมอุดมสมบูรณ์มาก โดยกล่าวถึงชื่อปลามากมาย เช่น ปลาสลิด ปลาสลาด ปลาช่อน ปลาดุก ปลาสีเสียด ปลากระสง ปลาเสือ ปลากริม ปลาตะกรับ ปลาแก้มช้ำ ปลาเนื้ออ่อน ปลานวลจันทร์ ปลาเค้า ปลาสวาย ปลาคางเบือน ปลากะโห้ ถึงบ้านสามเพ็งก็กล่าวชมปลาที่มีอยู่ในลำน้ำซึ่งขณะนั้นท้องน้ำยังเป็นพื้นหินทราย มีปลาประจำพื้นที่ เช่น ปลาชนางหรือปลานาง ปลาสร้อย ปลาซ่า ปลากด ปลาเพลี้ย ปลาไอ้บ้า ปลาซิว ปลาสูบ ปลาสีเสียด ปลากราย ปลาฝักดาบ ปลาตะเพียน ปลาเสือ ปลาหางไก่ เป็นต้น คนสามชุกที่อยู่กับปลาและท้องทุ่งต่างบอกเล่าให้ลูกหลานรับรู้ว่า หากหาปลาทางฝั่งน้ำกระเสียวที่ไหลมาจากที่สูงทางเทือกเขาฝั่งตะวันตกจะได้ปลารสชาติดีกว่าปลาจากทางบึงระหาน-ลำพระยา ซึ่งเป็นกุดน้ำเก่าทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำสุพรรณ แต่น้ำนิ่งไม่ไหลแรงเท่ากับคลองกระเสียว ในนิราศสุพรรณของสุนทรภู่เมื่อเดินทางถึง บ้านทึง ซึ่งอยู่ริมลำน้ำสุพรรณและมีคลองกระเสียวแยกออกไปสู่ต้นน้ำที่ท่านต้องการเดินไป ไปค้นหาแร่ในพื้นที่ป่าเขา ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มคนกะเหรี่ยงและละว้า บริเวณนี้น้ำใสและท้องน้ำมีก้อนกรวดสวยสะอาดและธรรมชาติสดชื่น เป็นเส้นทางที่ช้างจากป่าในเทือกเขาตะนาวศรีจะลงโดยใช้แนวลำน้ำและสองฝั่งมีแต่เสียงสัตว์ป่าร้องระงม สุนทรภู่นึกถึงคำโบราณที่เคยมีมาคือ “น้ำสำคัญ ป่าต้น คนสุพรรณ ” เพราะเป็นแหล่งกำเนิดลำน้ำสำคัญที่ไหลมาจากป่าต้นน้ำและกล่าวถึงคนสุพรรณที่ทั้งน้ำเสียงสำเนียงและผิวพรรณมีเอกลักษณ์ของตนเอง ๏ บูราณท่านว่าน้ำ สำคัน ป่าต้นคนสุพรรณ ผ่องแผ้ว แดนดินถิ่นที่สูพรรณ ธรรมชาด มาศเอย ผิวจึ่งเกลี้ยงเสียงแจ้ว แจ่มน้ำคำสนองฯ ๏ ถึงถิ่นสริ้นบ้านป่า โป่งแดง เรือติดคิดขยาดแสยง พยัฆร้าย สวบสวบยวบไม้แฝง ฟุ้งสาบ วาบแฮ สองฝั่งทั้งขวาซ้าย สัตร้องซ้องเสียงฯ ๏ คลองกระเสียวเปลี่ยวป่ากว้าง ทางโขลง เคยถิ่นกินโป่งโทง เที่ยวเร้น ขามช้างต่างจัดโจง กระเบนกระบิด ตี๊ดแฮ เก็บกรวดอวดกันเหล้น ตลอดน้ำลำทางฯ คลองกระเสียวในปัจจุบัน ภายหลังสร้างเขื่อนกระเสียวและจัดระบบชลประทานทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสุพรรณแล้ว สภาพแวดล้อมที่คนสามชุกรุ่นผู้ใหญ่ยังจดจำได้ คือ ความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ มีสัตว์น้ำจำนวนมาก เช่น หอยชนิดต่าง ๆ ทั้งหอยขม หอยหวาน หอยกาบ กุ้งก้ามกรามหรือกุ้งแม่น้ำ กุ้งฝอย ปู เต่า ตะพาบน้ำ ปลาดุก ปลาช่อนตามธรรมชาติเมื่อถึงฤดูน้ำหลาก โดยใช้เครื่องจับปลาสารพัดชนิด ทั้งสวิงช้อน เบ็ดปัก เบ็ดราว เบ็ดแกว่ง แห ข่าย ฯลฯ ชาวสามชุกเล่าว่าราว ๆ พ.ศ.๒๔๗๕ มีการสร้างประตูระบายน้ำเพื่อกักน้ำแล้ว และเมื่อถึงเดือน ๑๒ น้ำลง จะมีปลาสร้อยลอยมาเป็นฝูงใหญ่เสียงซู่ซ่า ชาวบ้านใช้สวิงมาช้อนปลาตักขายได้กันเป็นมหกรรมใหญ่ได้ถึงราว ๑๐-๒๐ เกวียน บางคนใส่ท้องเรือไปขายที่แม่กลอง ขากลับเอาน้ำปลาใส่ไหมาขายต่ออีกทอดหนึ่ง ต่อมาเมื่อมีการสร้างโรงงานน้ำตาลเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๙ ก็เริ่มปล่อยน้ำเสียจากโรงงานรวมทั้งสภาพแวดล้อมทางน้ำที่แออัดขึ้น จึงทำให้ปริมาณปลาสร้อยน้อยลงและหายไปในที่สุด ปลาสร้อยเหล่านี้สามารถบ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ในลำน้ำสาย ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ส่วนทางด้านทิศตะวันออกของแม่น้ำในปัจจุบัน พบร่องรอยลำน้ำดั้งเดิมที่เป็นแนวต่อเนื่องมาจากลำน้ำจระเข้สามพันทางเขตที่สูงทางตะวันออกเฉียงใต้ผ่านอำเภอดอนเจดีย์แล้วกลายเป็นลำน้ำด้วนในแผนที่ทหารระวาง ๑: ๕๐,๐๐๐ พ.ศ. ๒๕๐๓ เรียกว่า “แม่น้ำด้วน” หากแต่เคยเรียกชื่อกันว่าคลองจระเข้ (ในแผนที่อยุธยา-นครชัยศรี, กรมแผนที่สำรวจเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๑) ส่วนคนในท้องถิ่นแถบอำเภอเมืองเรียกว่า “ลำน้ำท่าว้า” ชาวบ้านทางดอนเจดีย์เรียกว่า “ลำน้ำท่าคอย” และเมื่อถึงอำเภอสามชุกชาวบ้านก็เรียกว่า “คลองระกำ” ลำน้ำด้วนนี้ถูกปรับปรุงให้กลายเป็นคลองชลประทานในโครงการ “คลองมะขามเฒ่า-อู่ทอง” เป็นคลองส่งน้ำขนาดใหญ่โดยมีจุดเริ่มต้นของโครงการที่ปากคลองมะขามเฒ่า โครงการเมื่อผ่านอำเภอเดิมบางนางบวช เส้นแนวคลองหายไปเพราะเป็นพื้นที่ดอนสูง มาเริ่มที่การกักนำน้ำมาจากคลองกระเสียวผ่านตำบลกระเสียว ตำบลหนองสะเดา ตำบลหนองผักนากและตำบลบ้านสระในอำเภอสามชุกไปสู่ดอนเจดีย์ อู่ทองและสองพี่น้องตามลำดับ ซึ่งเมื่อขุดเชื่อมจากคลองธรรมชาติเป็นคลองชลประทานเสียแล้ว ปากน้ำกระเสียวก็หายไปเหลือเพียงร่อยรอยของแนวปากน้ำที่อยู่ตรงข้ามตำบลบ้านทึงในปัจจุบัน ปัจจุบันมีความพยายามขุดคลองขนานเพื่อนำส่งน้ำไปสู่ปลายทางให้ได้มากขึ้นเพราะแนวคลองขุดขวางแนวทางการไหลของน้ำหลาก ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมในฤดูฝนทางฝั่งหนึ่ง ส่วนฤดูแล้งก็นำน้ำไปสู่ปลายทางไม่พอใช้ ส่วนทางฝั่งตะวันออกมีลำน้ำเก่าเรียกว่าลำน้ำวังลึกหรือคลองบางขวากมาบรรจบกับแม่น้ำสุพรรณนี้ที่บ้านบางขวากในเขตตำบลย่านยาว ลำน้ำห้วยลึกนี้สามารถติดต่อได้ไปถึงแถบดงคอนที่เป็นเมืองโบราณสมัยทวารวดีและสมัยอยุธยาและเมืองสรรค์บุรีที่แพรกศรีราชาซึ่งต่อกับแม่น้ำสำคัญอีกสายหนึ่งคือแม่น้ำน้อยและลำน้ำศรีบัวทองซึ่งเป็นเส้นทางน้ำที่สามารถใช้ติดต่อกับย่านชุมชนโบราณตั้งแต่สมัยทวารวดีมาจนถึงลพบุรีในเขตสิงห์บุรี นับแต่ประเทศสยามเริ่มพัฒนาระบบการชลประทาน โดยมีแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นสายหลักของประเทศ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาด้านการเกษตร งานชลประทานนั้นผูกพันกับการเกษตรมาโดยตลอด เริ่มแรกจึงได้ขอตัว นายเจ. ฮอร์แมน แวนเดอร์ไฮด์ [J. Hormam Van der Heide] ชาวดัชท์จากรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ มาตรวจระดับพื้นที่สำหรับการชลประทานและเขียนรายงานประเมินโครงการชลประทานลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง ต่อมาจึงเกิดกรมคลองขึ้นก็ได้เป็นเจ้ากรมคลองคนแรก โดยจัดทำโครงการหลายแบบ แต่โครงการที่จัดว่าสำคัญที่สุดในสมัยนั้นก็คือ “โครงการชัยนาท ” หรือที่เรียกกันว่าโครงการเขื่อนเจ้าพระยา โดยสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำเจ้าพระยาที่จังหวัดชัยนาท ทดน้ำให้มีระดับสูงแล้วส่งไปตามคลองส่งน้ำในพื้นที่เพาะปลูกต่าง ๆ ถือเป็นโครงการที่อาจไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับในอียิปต์หรืออินเดีย แต่ก็มีโครงสร้างในระดับมหึมาหากสามารถทำได้เต็มโครงการจริง ๆ จนโครงการเหล่านี้ต้องพบกับปัญหาในภายหลังผู้ที่ปฏิบัติงานต่อมาเป็นชาวอังกฤษชื่อเซอร์โทมัส วอร์ด [Sir Thomas Ward] นายอาร์. ซี. วิลสัน [R. C. Wilson] ตามลำดับ ได้วางโครงการอีกหลายโครงการ งานชลประทานต้องอาศัยชาวต่างประเทศเป็นหัวหน้าถึง ๒๐ ปี จนกระทั่ง พ.ศ.๒๔๖๕ ซึ่งเป็นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงเปลี่ยนให้เจ้าพระยาพลเทพเป็นเจ้ากรม และต่อมาจึงเป็นพระยาชลมารคพิจารณ์เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๖ ตำแหน่งในขณะนั้นเรียกว่าเจ้ากรมทดน้ำและได้รับพระราชทานนามใหม่ว่ากรมชลประทานในสมัยรัชกาลที่ ๗ การริเริ่มทำขึ้นที่แม่น้ำสุพรรณก่อนเป็นลุ่มน้ำแรก เพราะในขณะนั้นยังไม่มีการทำกิจกรรมทางชลประทานใด ๆ มาก่อนจึงสามารถวางโครงการได้อย่างสมบูรณ์ โดยแบ่งโครงการย่อยออกเป็น ๓ ช่วง คือ ตอนโครงการมะขามเฒ่าหรือโครงการพลเทพ ตอนโครงการสามชุก และตอนโครงการโพธิ์พระยา โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาพลเทพ คือโครงการแรก สร้างก่อน พ.ศ.๒๔๗๘ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการเจ้าพระยาใหญ่เพื่อทดน้ำและส่งน้ำเพื่อการชลประทาน โดยมีเขื่อนเจ้าพระยาทำหน้าที่ทดและยกระดับในแม่น้ำเจ้าพระยาให้สูงขึ้นผ่านประตูระบายน้ำพลเทพ แล้วส่งน้ำเข้าแม่น้ำสุพรรณ ซึ่งต่อมาคือโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาท่าโบสถ์ สามชุกและโพธิ์พระยา แล้วยังส่งน้ำเข้าคลองสายใหญ่ของโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาพลเทพอีก ๖ สาย ส่วนโครงการสามชุกเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๗๘ ประกอบด้วยการก่อสร้างประตูระบายน้ำชลมารคพิจารณ์และการก่อสร้างประตูเรือชื่อ “ประตูเรือสัญจรชลมารคพิจารณ์” เพื่อเป็นที่ระลึกแก่พระยาชลมาร์คพิจารณ์อดีตกรมทดน้ำ ก่อสร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๐ ส่วนระบบส่งน้ำที่ประกอบด้วยคลองส่งน้ำรวมระยะทาง ๒๗๐ กิโลเมตร และอาคารประเภทต่าง ๆ ตามระยะทาง สร้างเสร็จสิ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๘ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จมายังประตูระบายน้ำชลมารคพิจารณ์ เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ.๒๔๙๘ เพื่อเปิดใช้โครงการสามชุกทั้งระบบ ประตูน้ำชลมารคพิจารณ์ ปรับเปลี่ยนแม่น้ำสุพรรณในบริเวณนี้เพื่อควบคุมการชลประทานเพื่อเพาะปลูกในเขตสุพรรณบุรี และประตูน้ำแห่งนี้เคยเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจในท้องถิ่นยอดนิยมของคนสามชุก สำหรับโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำโพธิ์พระยา อำเภอเมืองสุพรรณบุรี เริ่มก่อสร้างโครงการสร้างในปี พ.ศ.๒๔๖๔ แต่เสร็จหลังจากนั้นกว่า ๔๐ ปีในปี พ.ศ.๒๕๐๙ โครงข่ายการชลประทานที่ทั่วถึงจนสามารถปลูกข้าวในที่ลุ่มและพืชไร่ในที่ดอน จนถึงปัจจุบันสามชุกผลิตข้าวและอ้อยเป็นหลัก บริเวณหนองหญ้าไซซึ่งเคยเป็นที่ดอนเป็นดินร่วนปนทรายและแห้งแล้ง เมื่อมีระบบชลประทานก็สามารถปลูกข้าวหอมมะลิคุณภาพดีและมีราคาสูง สินค้าหลักจากตลาดสามชุกที่อยู่ในความทรงจำกลับเป็นเรื่องของข้าวและถ่าน อันเป็นผลผลิตในท้องถิ่นที่เกิดขึ้นจากการขยายตัวของพื้นที่เพาะปลูกที่มีการหักร้างถางพงเข้าไปในป่าเบญจพรรณ เพื่อปลูกข้าว ดังที่เห็นได้จากระบบการชลประทานในเขตนี้ที่เริ่มมาตั้งแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในขณะเดียวกัน กลับไม่มีการบันทึกถึงสินค้าส่งออก เช่น น้ำตาลทรายที่ผลิตจากอ้อยในเขตนี้ ก็เพราะพื้นที่ดอนแม้จะเหมาะสมในการปลูกอ้อยแต่ก็มีการบุกเบิกขึ้นในสมัยหลังโดยเฉพาะเมื่อมีการตั้งโรงงานน้ำตาลทรายที่ทันสมัยโดยนำเครื่องจักรมาจากต่างประเทศที่บางขวาก และแม้ว่าแม่น้ำท่าจีนในเขตนครชัยศรีจะถูกบันทึกไว้ว่าเป็นแหล่งน้ำตาลทรายเพื่อส่งออกมาตั้งแต่ราวต้นกรุงรัตนโกสินทร์ คือ ในรัชกาลที่ ๒ และ ๔ ที่มีการลงทุนผลิตโรงงานน้ำตาลทรายขนาดใหญ่ทั้งจากคนจีนและชาติตะวันตก ซึ่งขณะนั้นในเขตสามชุกยังมีผู้คนเบาบางและห่างไกล แต่กิจการก็ซบเซาไปในสมัยรัชกาลที่ ๕ เพราะน้ำท่วมและประเทศอื่น ๆ สามารถปลูกอ้อยเพื่อผลิตน้ำตาลทรายเพื่อส่งออกได้ในราคาถูกกว่าและเมื่อราคาข้าวดีกว่าจึงหันมาปลูกข้าวอันเป็นพื้นฐานของชาวนากันมากกว่าปลูกอ้อย จนเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๙ มีการก่อตั้งโรงงานน้ำตาลที่บ้านบางขวาก ตำบลย่านยาวในอำเภอสามชุก เป็นโรงงานผลิตน้ำตาลทรายขาวพิเศษแห่งแรกของภาคตะวันตก ในสมัยนั้นเป็นโรงงานน้ำตาลขนาดใหญ่เป็นอันดับ ๓ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และปัจจุบันยังคงผลิตน้ำตาลอยู่ ในพื้นที่กว่า ๔๐๐ ไร่ เมื่อเป็นโรงงานขนาดใหญ่จึงมีพนักงานมากมายจนสร้างโรงเรียนเอกชนให้ลูกหลานพนักงานของตนเองและลูกหลานชาวไร่ตลอดจนเด็กในตลาดบางขวากเล่าเรียน ชื่อโรงเรียนน้ำตาลสุพรรณอุปถัมภ์ หลังการก่อสร้างประตูระบายน้ำชลมารคพิจารณ์และประตูเรือสัญจรชลมารคพิจารณ์เสร็จยิ่งทำให้การคมนาคมทางน้ำในลุ่มน้ำท่าจีนขยายตัวไปอีก เพราะสามารถเดินเรือขึ้นไปจนถึงทางด้านเหนือที่แม่น้ำสุพรรณไปต่อเนื่องกับตลอดของท้องถิ่นในเขตแม่น้ำเจ้าพระยาอีกหลายแห่ง เพราะการเดินทางเข้าออกลำน้ำท่าจีนสามารถกระทำได้ง่ายและสะดวกขึ้น ลำน้ำจึงคลาคล่ำไปด้วยเรือน้อยใหญ่ไม่ขาดสายมีทั้งเรือบรรทุกข้าวเปลือก เรือบรรทุกทราย เรือโยง เรือเมล์ เรือแดง เรือบริษัทขนส่งสุพรรณฯ เรือยนต์ เรือพาย เรือสำปั้น เรือกลไฟ ฯลฯ มีการคำนวณคร่าว ๆ ถึงปริมาณเรือเข้าออกประตูเรือสัญจรชลมารคพิจารณ์ว่าไม่น่ามีจำนวนน้อยกว่าสามร้อยลำต่อวัน ส่งผลต่อการขยายตัวทางการค้าของตลาดสามชุก เพราะการเดินทางเข้าออกลำน้ำท่าจีนโดยใช้ประตูเรือสัญจรชลมารคพิจารณ์นั้น ย่อมต้องผ่านท่าน้ำบริเวณตลาดสามชุก และการเดินทางเข้าออกประตูเรือสัญจรชลมารคเรือต้องจอดรอคิว ยิ่งทำให้ตลาดสามชุกเป็นจุดหนึ่งในการพักเรือที่ขึ้นล่องในลำน้ำท่าจีน ทำให้บริเวณท่าน้ำด้านหน้าตลาดสามชุกเต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของให้กับผู้โดยสารที่แวะที่ท่าจอดเรือ เมื่อการค้าขายเป็นไปอย่างคึกคักทำให้เกิดการขยายตัวทางการค้าและอาคารบ้านเรือนในตลาดสามชุกในช่วงก่อน พ.ศ.๒๕๐๐ เป็นไปอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้การเติบโตของบริษัทเดินเรือขนส่งสุพรรณฯ ซึ่งอำนวยความสะดวกในการรับส่งผู้โดยสารที่สัญจรทางน้ำไปยังชุมชนต่าง ๆ ได้รับความนิยมแพร่หลาย ทำให้ผู้คนเดินทางไปยังตลาดสะดวกสบายขึ้น ผู้คนจากต่างถิ่นจึงเดินทางเข้ามายังตลาดสามชุกไม่ขาดสาย เส้นทางการเดินทางที่สร้างเครือข่ายโยงใยได้ไกลขึ้น เพราะสามารถล่องเรือตามลำน้ำเจ้าพระยาจากกรุงเทพมหานครเข้าประตูน้ำบ้านแพน ประตูน้ำบางยี่หน ผ่านจังหวัดสุพรรณบุรี แล้วเข้าประตูน้ำโพธิ์พระยาถึงอำเภอสามชุกผ่านประตูน้ำชลมารคพิจารณ์ ไปอำเภอเดิมบางนางบวช แล้วเลยถึงจังหวัดชัยนาทได้ แต่หลังจากนั้น เมื่อเริ่มมีโครงการสร้างถนนตั้งแต่ทศวรรษที่ ๒๕๒๐ เป็นต้นมา สามชุกก็หมดความสำคัญในฐานะตลาดริมน้ำและเกิดสภาพเช่นนี้กับย่านเมืองหรือตลาดริมน้ำทุกแห่งในเขตเจ้าพระยาตอนบนและตอนล่างหรือน่าจะกล่าวได้ว่าทั้งประเทศ ผู้คนเปลี่ยนมาเดินทางด้วยรถยนต์และขนส่งสินค้าด้วยเส้นทางบก จึงกลายเป็นบทสุดท้ายของตลาดและเมืองริมแม่น้ำจนกลายร้างราและเปลี่ยนจากย่านการค้าเป็นที่อยู่อาศัยซึ่งแทบไม่มีผู้คนในที่สุด ทุกวันนี้ สภาพแวดล้อมทางการปกครองของอำเภอสามชุกอยู่ทางทิศเหนือของจังหวัดห่างจากตัวเมืองประมาณ ๓๕ กิโลเมตร มีพื้นที่ ๓๖๒ ตารางกิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อ ดังนี้ ทิศเหนือติดกับอำเภอเดิมบางนางบวช ทิศใต้ติดกับอำเภอศรีประจันต์และอำเภอดอนเจดีย์ ทิศตะวันออกติดกับอำเภอเดิมบางนางบวชและอำเภอศรีประจันต์ ทิศตะวันตกติดกับอำเภอหนองหญ้าไซ แบ่งเขตการปกครองออกเป็น ๗ ตำบล ๖๘ หมู่บ้าน เทศบาลตำบลสามชุก ๑ แห่ง องค์การบริหารส่วนตำบล ๖ แห่ง ประชากรรวม ๔๔,๕๔๔ คน แบ่งเป็นชาย ๒๑,๕๖๖ คน หญิง ๒๒,๙๗๘ คน จำนวนครัวเรือน ๑๒,๐๗๕ ครัวเรือน ความหนาแน่นของประชากร ๑๕๘ คน/ตารางกิโลเมตร (ข้อมูลจากทะเบียนราษฎรเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๓) มีการพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐานทั้งไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ การโทรคมนาคมสื่อสารและมีแหล่งน้ำ ประชากรส่วนใหญ่อยู่ในภาคเกษตรกรรม ทำไร่อ้อย ทำนา ปลูกข้าวโพด ปลูกผัก ผลไม้ โดยเฉพาะทำไร่อ้อย และทำนา นอกจากนี้ ตามคันนาหรือที่ว่างชาวบ้านจะลงต้นดอกรักและต้นมะลิที่เก็บดอกไปขายให้ชุมชนหลายแห่งที่ร้อยพวงมาลัยเป็นอาชีพหลัก โดยส่งไปขายที่ตลาดปากคลองตลาดในกรุงเทพมหานคร ตลาดในเมืองสุพรรณบุรี นครสวรรค์และชัยนาท จนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของคนในอำเภอสามชุก และยังมีการเลี้ยงวัวและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เช่น เลี้ยงปลาทับทิมในกระชังในแม่น้ำสุพรรณ และยังมีอาชีพค้าขายซึ่งทำกันทั่วไปตามชุมชนต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีโรงสีข้าว โรงงานน้ำตาล ธนาคารจำนวนหนึ่ง สถานศึกษาทุกระดับตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาตรี โรงเรียนมีทั้งสิ้น ๓๖ โรง และสถาบันอุดมศึกษา ๑ แห่ง สถานพยาบาลของรัฐบาล เป็นโรงพยาบาล ขนาด ๖๐ เตียง ๑ แห่ง และสถานีอนามัย ๑๓ แห่ง แต่ยังคงมีพบการแพร่ระบาดของโรคไข้เลือดออกอยู่บ้างในช่วงฤดูฝน สามชุกอยู่ภายใต้อิทธิพลของลมมรสุมเขตร้อน อากาศเหมาะสำหรับการเพาะปลูก ฤดูร้อนได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้จากทะเลจีนใต้พัดผ่านเข้ามาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ถึงกลางเดือนพฤษภาคม ทำให้อากาศร้อนอบอ้าวโดยทั่วไป ฤดูฝน ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จากมหาสมุทรอินเดียพัดผ่านมาในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคมทำให้อากาศมีความชุ่มชื้นมีฝนตกโดยทั่วไป บางปีตกชุกจนประสบปัญหาน้ำท่วมเพราะเป็นพื้นที่รับน้ำในที่ราบลุ่ม ฤดูหนาวได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดผ่านเข้ามาในช่วงเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์แต่อากาศไม่หนาวจนเกินไปนัก สถิติโดยเฉลี่ยของแถบจังหวัดสุพรรณบุรี ในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ อุณหภูมิสูงสุด ๓๙.๓ องศาเซลเซียส ในเดือนพฤษภาคม อุณหภูมิต่ำสุด ๑๕.๗ องศาเซลเซียสในเดือนธันวาคม ปริมาณน้ำฝนทั้งปี วัดได้ ๑,๐๘๔ มิลลิเมตร จำนวนวันที่ฝนตก ๑๐๗ วัน สามชุกเมื่อแรกเริ่ม ชิ้นส่วนของขา “หม้อสามขา” ที่พบในแหล่งโบราณคดีหนองราชวัตร เขตที่ดอนซึ่งเป็นบริเวณที่ราบเชิงเขา ต่อเนื่องกับเขตที่สูงของเทือกเขาตะนาวศรี บริเวณเหล่านี้พื้นดินส่วนใหญ่เป็นดินร่วนปนทราย มีหนองน้ำและลำห้วยสายเล็ก ๆ ไม่สามารถปลูกข้าวนาลุ่มแบบทดน้ำได้ แต่ลักษณะภูมิประเทศเช่นนี้ มนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคหินใหม่ไปจนถึงยุคเหล็กนิยมในการตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชนหมู่บ้านขนาดเล็ก ดังที่พบในบริเวณนิคมกระเสียวซึ่งอยู่เหนือจากอ่างเก็บน้ำกระเสียวและติดกับเขตภูเขาสูงในอำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี ชาวบ้านพบวัตถุโบราณจำนวนมาก เช่น ขวานหิน กำไลหิน และแกนเจาะ หม้อดินเผา หม้อสามขา เครื่องปั้นดินเผาเนื้อดิน ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับที่พบในแถบตำบลหนองราชวัตรที่อยู่ห่างไปราว ๕๐ กิโลเมตร โบราณวัตถุที่พบถือเป็นเอกลักษณ์เด่นนั่นคือ ภาชนะแบบหม้อสามขา ซึ่งพบในเขตวัฒนธรรมหินใหม่ในประเทศจีน ไต้หวัน ในเมืองไทยพบแถบเทือกเขาทางภาคตะวันตกตั้งแต่กาญจนบุรี คาบสมุทรภาคใต้ เช่น ชุมพร พังงา กระบี่และสตูลไปจนถึงรัฐเคดาห์ ปะลิส สลังงอ ในมาเลเซีย ส่วนทางเหนือจากบ้านเก่า เมืองกาญจนบุรีขึ้นมาคือ พบที่หนองราชวัตรและที่ด่านช้างในจังหวัดสุพรรณบุรี นอกจากนี้ยังพบขวานหินกะเทาะรูปใบมีดคมโค้งมีด้ามจับทำจากหินควอทซ์เนื้อดีและหินขัดขนาดต่าง ๆ กำหนดอายุแบบ คร่าว ๆ กันว่าน่าจะอยู่ในช่วงราว ๕,๐๐๐ ปี มาแล้ว (๓,๐๐๐ BC.) และสภาพแวดล้อมดังกล่าวกลายเป็นผืนป่าตลอดมาโดยไม่มีการเข้าไปอยู่อาศัยทับซ้อนหลังจากหมดช่วงการตั้งถิ่นฐานสมัยหินใหม่และสมัยก่อนประวัติศาสตร์ลงมาแต่อย่างใด ท้องถิ่นทางตอนเหนือของจังหวัดสุพรรณบุรีนี้ มีเส้นทางติดต่อในระหว่างบ้านเมืองยุคแรกเริ่มที่เมืองโบราณสมัยทวารวดีอู่ทองตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ และต่อเนื่องมาจนสมัยทวารวดีตอนปลาย ๆ ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๖ ก่อนจะเปลี่ยนรูปแบบศิลปกรรมเนื่องในพุทธศาสนามาเป็นแบบที่ได้อิทธิพลจากเมืองละโว้หรือลพบุรีอย่างเด่นชัด ภาชนะดินเผารูปแบบเช่นนี้ และเครื่องมือขวานหินขัดแบบใบมีด พบแบบคล้ายคลึงกันในแหล่งโบราณสมัยยุคหินใหม่เมื่อราว ๕,๐๐๐ ปีมาแล้วในแถบจังหวัดกาญจนบุรี แหล่งชุมชนสมัยทวารวดีในเขตทางเหนือของตัวเมืองสุพรรณบุรี เช่นที่ บ้านดอนระกำ ตำบลสวนแตง อำเภอเมือง ห่างจากตัวอำเภออู่ทองราว ๕-๖ กิโลเมตร ในอีกฟากหนึ่งของลำน้ำจระเข้สามพัน ชาวบ้านขุดพบกรุพระพุทธรูปสมัยทวารวดีในที่นาของตนเองไม่น้อยกว่า ๓๐ องค์ ถือว่าเป็นจำนวนมากที่สุดในจังหวัดสุพรรณบุรี บ้านดอนระฆัง ตำบลตลิ่งชัน อำเภอเมืองสุพรรณบุรี มีซากเจดีย์สมัยทวารวดีอยู่ ๓-๔ องค์ พบลูกปัดสีต่าง ๆ ด้วย บ้านหนองแจง ตำบลไร่รถ อำเภอดอนเจดีย์ บ้านหนองแจงเป็นโบราณสองยุคสมัยซ้อนกัน เพราะแนวคูเมืองชั้นในสมัยทวารวดี เมืองชั้นนอกเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเป็นเมืองในสมัยลพบุรี และราว พ.ศ.๒๕๒๙-๒๕๓๐ มีผู้ลักลอบขุดพบพระสมัยทวารวดีเนื้อชินปางปฐมเทศนาและพระพิมพ์ต่าง ๆ อีกมากมาย บ้านสำเภาล่ม ตำบลนางบวช อำเภอเดิมบางนางบวช พบพระพิมพ์ดินเผาขนาดใหญ่มากราว ๒๐ x ๑๔ เซนติเมตร ปางป่าเลไลยก์กับปางมารวิชัย และบ้านคูเมือง ตำบลทุ่งคลี อำเภอเดิมบางนางบวช ซึ่งอยู่ใกล้คลองสีบัวทอง ติดกับจังหวัดสิงห์บุรี มีเมืองทวารวดีอยู่เมืองหนึ่ง (มนัส โอภากุล.พระพุทธรูปบูชาสมัยทวารวดีที่เมืองสุพรรณบุรี “ลานโพธิ์” , ๒๕๔๔) เมืองโบราณไร่รถที่บ้านหนองแจง เป็นเมืองโบราณที่มีอายุตั้งแต่สมัยทวารวดีตอนปลายจนถึงสมัยลพบุรี ซึ่งมีอายุร่วมสมัยกับแหล่งโบราณคดีที่พบในเขตสามชุก ระยะทางห่างจากอำเภอสามชุกไปทางทิศใต้ราว ๓๐ กิโลเมตร อยู่ริมลำน้ำท่าคอยฝั่งตะวันตก มีการพบพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ศิลปะลพบุรี เช่น พระโพธิสัตว์อวโลกิตศวร นางปัญญาปารมิตา พระปางประทานพร พระพุทธรูปในซุ้มเรือนแก้ว มีทั้งที่ประทับยืนและนั่ง นอกจากบนพระพุทธรูปศิลปะลพบุรีแล้ว ก็ยังพบพระพุทธรูปแบบทวารวดีและอู่ทองอีกเล็กน้อย นอกจากนี้ยังมีเครื่องเหล็กชนิดต่าง ๆ ถึงร้อยกว่าชิ้น ซึ่งเครื่องเหล็กเช่น มีด พร้า จอบ ขวานต่าง ๆ คีมขายาว กรรไกรหนีบหมาก เครื่องปั้นดินเผา เช่น ไหเคลือบสีน้ำตาลกับไหเคลือบสีเขียวและกระปุกใส่กระดูกคนตาย ในสมัยราชวงศ์ซุ้งหรือซ่งหรือซ้อง (พุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๙) ส่วนที่แหล่งศาสนสถาน “ดอนทางพระ” หรือ “เนินทางพระ” ตำบลบ้านสระ อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี ห่างจากอำเภอสามชุกราว ๆ ๑๐ กิโลเมตร ใกล้กับลำน้ำท่าระกำซึ่งเป็นเส้นน้ำสายเดียวกับลำน้ำท่าคอยที่เมืองไร่รถ ชาวบ้านทราบว่าเป็นแหล่งโบราณคดีมานานแล้วและมีพื้นที่ขนาดใหญ่มากกว่าที่พบเห็นในปัจจุบัน เพราะเมื่อราว พ.ศ.๒๕๑๑ ชาวสามชุกไปขุดเอาพระพุทธรูปนาคปรกแบบลพบุรีที่ดอนทางพระมาประดิษฐานเป็นพระประธานที่วัดวิมลโภคาราม วัดใหม่ประจำเมืองของตลาดสามชุก และเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๒ ชาวบ้านขุดซากอาคารโบราณสถานในสมัยลพบุรี เจ้าหน้าที่กรมศิลปากรจึงรีบไปขุดลอกเอาโบราณวัตถุที่เหลืออยู่ ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสุพรรณบุรี ประติมากรรมพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรทำจากหินทราย โบราณวัตถุที่พบแบ่งเป็น ๒ ประเภท ประเภทแรกเป็นพวกปูนปั้น ส่วนประเภทที่สองเป็นหินทราย พวกที่เป็นรูปปูนปั้นนั้นเป็นของที่ทำเพื่อประดับสถาปัตยกรรมโดยตรง จึงเป็นของซึ่งสร้างขึ้นในเวลาเดียวกันกับตัวศาสนสถาน มีรูปแบบฝีมือช่างท้องถิ่นผสมระหว่างแบบทวารวดีซึ่งสืบเนื่องอยู่ในท้องถิ่นนี้กับขอมแบบบายน ฝีมือประณีตงดงามมาก ได้แก่ เศียรเทวดา นางอัปสร พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ลายเทพพนม เศียรอสูรขนาดใหญ่ รูปสัตว์ประดับศาสนสถาน พระพิมพ์เนื้อชินที่เป็นแบบพระพิมพ์ลพบุรี ส่วนโบราณวัตถุที่เป็นหินทราย เช่น พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรประทับยืนมีรูปแบบเป็นบายน แต่ดูเทอะทะไปบ้างไม่คล้ายคลึงกับงานช่างฝีมือแบบงานปูนปั้น หรือเศียรเทวดาที่ทำจากหินทรายฝีมือคล้ายช่างหลวงที่เมืองละโว้หรือลพบุรี ศาสนาสถานแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินกลางทุ่งนาที่มีสระสี่เหลี่ยมโบราณอยู่ใกล้เคียง นอกจากนั้นก็ไม่พบศาสนสถานกลุ่มอื่น ๆ แต่อย่างใด คงจะเป็นปราสาทขนาดใหญ่เนื่องในพุทธศาสนาลัทธิมหายานที่ได้รับอิทธิพลจากกัมพูชาตั้งแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ลงมา ในบริเวณจังหวัดสุพรรณบุรี นอกเหนือจากที่เมืองอู่ทอง ซึ่งเป็นเมืองโบราณตั้งแต่สมัยทวารวดีแล้ว โบราณวัตถุที่เป็นพระพุทธรูปและพระพิมพ์ตามกรุวัดต่าง ๆ นั้นเกินกว่าครึ่งเป็นศิลปะเนื่องในสมัยลพบุรีและได้รับอิทธิพลทางศิลปกรรมทางศาสนาจากเมืองละโว้หรือลพบุรีโดยตรง พระพุทธรูปปางสมาธิในซุ้มเรือนแก้ว ปูนปั้นแบบลพบุรี ปูนปั้นแบบลอยตัวเพื่อประดับศาสนสถานเป็นรูปเศียรเทวดาในศิลปกรรมแบบลพบุรี ศาสนสถานในลัทธิมหายานแห่งนี้มีอายุร่วมสมัยกับศาสนาสถานที่พบในเขตเมืองโบราณที่บ้านไร่รถ อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี เมืองโกสินารายณ์ ในอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ปราสาทเมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี ปราสาทวัดกำแพงแลง จังหวัดเพชรบุรี และที่วัดมหาธาตุเมืองราชบุรี ซึ่งสัมพันธ์กับอิทธิพลของพุทธศาสนาแบบมหายานที่ส่งอิทธิพลจากเมืองนครธมในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ที่ผ่านมาจากเมืองละโว้หรือลพบุรีอย่างเด่นชัด และครั้งหนึ่งถูกนักวิชาการบางกลุ่มตีความว่าเมืองโบราณที่กล่าวถึงในภาคกลางเหล่านี้ คือบ้านเมืองต่าง ๆ ที่ปรากฏในจารึกปราสาทพระขรรค์ อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ไม่เห็นด้วยกับข้อสมมติฐานเหล่านั้น โดยสันนิษฐานว่า ปราสาทที่เนินทางพระน่าจะเป็นของพระมหากษัตริย์ในเขตแดนสุพรรณภูมิ ซึ่งรับนับถือพระพุทธศาสนามหายานแบบกัมพูชา ทรงสร้างขึ้นเพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ของพระองค์ในภูมิภาคนี้ ดอนทางพระหรือเนินทางพระ ศาสนสถานขนาดใหญ่ ริมคลองท่าว้า เส้นทางน้ำสำคัญในอดีต เป็นศาสนสถานแบบพุทธมหายานเนื่องในอิทธิพลศิลปกรรมแบบลพบุรี และมิได้เกี่ยวข้องกับอำนาจทางการเมืองของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ในจารึกปราสาทพระขรรค์แต่อย่างใด การนำเอาแบบอย่างศิลปกรรมของบ้านเมืองที่เคยยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองมาก่อนมาเป็นแบบอย่างนั้น เป็นลักษณะที่เป็นธรรมดาของสังคมมนุษย์โดยทั่วไป เป็นเรื่องของการเกี่ยวข้องทางวัฒนธรรม หาได้แสดงถึงความครอบงำของอำนาจทางการเมืองแห่งหนึ่งมายังอีกแห่งหนึ่งไม่ ดังนั้น บริเวณสามชุกจึงถือว่าเป็นพื้นที่สำคัญทางตอนเหนือของบ้านเมืองโบราณในเขตสุพรรณภูมิ ที่ทำให้พบศาสนสถานขนาดใหญ่ที่รับพุทธศาสนาแบบมหายานที่เนินทางพระบริเวณบ้านสระซึ่งอยู่ใกล้กับลำน้ำเก่าที่เป็นลำน้ำด้วนและคลองชลประทานในเวลาต่อมาและอยู่ห่างจากแพร่งสามแยกลำน้ำเสียวที่บ้านทึงในระยะทางราว ๆ ๑๐ กิโลเมตร เส้นทางน้ำเก่าเหล่านี้สามารถเดินทางขึ้นไปยังแพรกศรีราชซึ่งเป็นศูนย์กลางเมืองใหญ่สมัยลพบุรีและมีร่องรอยของศาสนสถานแบบสุพรรณภูมิในระยะทางราว ๆ ๕๐ กิโลเมตร และไม่เป็นการยากที่จะเดินทางไปสู่เมืองละโว้หรือลพบุรี เมืองใหญ่ในอีกฝั่งหนึ่งของเขตสามเหลี่ยมปากแม่น้ำทางฝั่งตะวันออก ร่องรอยลำน้ำเก่าหลายแห่ง ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำสุพรรณคือเขตที่ราบสลับหนองบึงและที่ดอนซึ่งลาดเทจากที่ราบเชิงเขาทางตะวันตกไปทางที่ราบลุ่มในทางตะวันออก มีลำน้ำด้วนที่ไหลมาจากลำน้ำจระเข้สามพันซึ่งอยู่ในเขตที่สูงทางแถบอำเภออู่ทองต่อกับลำน้ำท่าว้า หรือลำน้ำท่าคอย หรือลำน้ำท่าระกำ ชื่อเปลี่ยนไปเมื่อไหลผ่านท้องถิ่นต่าง ๆ แต่ปรากฏชื่อในแผนที่ของกรมแผนที่เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๐ ว่า คลองจระเข้ เพราะมีต้นน้ำสายหนึ่งมาจากที่สูงทางแถบอู่ทองและแยกออกมาจากจากลำน้ำจระเข้สามพัน ซึ่งตามธรรมชาติน่าจะไหลจากใต้ขึ้นเหนือ ลำน้ำจึงสุดด้วนปลายน้ำเกือบถึงบ้านท่าระกำ แนวระนาบเดียวกับบ้านสามชุก ต่อมามีการขุดคลองชลประทานแล้วจึงขุดคลองท่าระกำนี้ไปต่อกับคลองชลประทานที่รับน้ำจากคลองกระเสียวซึ่งมีต้นน้ำจากเทือกเขาตะนาวศรีทางฝั่งตะวันตก คลองท่าระกำหรือแม่น้ำด้วนนี้จึงเป็นเส้นน้ำที่สำคัญ เชื่อมต่อบ้านเมืองสมัยทวารดีในเขตอู่ทอง เมืองในสมัยสุพรรณภูมิและลพบุรีที่เมืองสุพรรณต่อเนื่องกับเมืองไร่รถที่ดอนเจดีย์และเนินทางพระที่สามชุก ต่อเนื่องไปถึงชุมชนสมัยลพบุรีมีคูน้ำคันดินล้อมรอบที่บ้านโป่งแดง โดยมีชุมชนโบราณในสมัยปลายทวารวดีต่อเนื่องกับสมัยลพบุรีตั้งอยู่หลายแห่ง โดยแม่น้ำสุพรรณบุรีในปัจจุบันที่ห่างไปราว ๑-๒ กิโลเมตร ไหลขนานกันไปและน่าจะมีความสำคัญน้อยกว่าในยุคร่วมสมัย จากแผนที่เก่าราว พ.ศ.๒๔๖๐ บริเวณทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสุพรรณนั้น ป่าไม้เบญจพรรณกินบริเวณลึกจากแทบเทือกเขามาจนใกล้ถึงแนวฝั่งแม่น้ำด้วนในระยะประมาณ ๒-๔ กิโลเมตร พวกย่านบ้านเก่าที่มีเรื่องเล่าสืบต่อมาและการพบโบราณวัตถุสถานตั้งแต่สมัยทวารวดีตอนปลายจนถึงสมัยลพบุรีก็อยู่ในแนวสองฝั่งของแม่น้ำด้วนนี้ไปไม่ไกลเช่นกัน บริเวณนี้มีการสำรวจว่าเป็นท้องถิ่นที่บุกเบิกทำนากันมากและมีน้ำตลอดทั้งปีแม้จะเป็นช่วงก่อนการมีโครงการชลประทาน จึงมีตำนานนิทานเรื่องย่านบ้านเก่าติดที่อยู่หลายแห่ง คลองท่าระกำจากทางทิศใต้ขึ้นไปชาวบ้านเล่าถึงนิทานท้องถิ่นเรื่อง “ท่าตาจวง ” ที่บ้านท่าตาจวง ตำบลปงดอน แนวเดียวกับบ้านวังหินและเยื้องกับบ้านย่านยาวไปไม่ไกล มีเรื่องเล่าว่า ชายคนหนึ่งนามว่า ตาจวง อาศัยอยู่เมืองอยุธยา มีวิชาแปลงตน มีเมียสองคน ชื่อนางอรุณเมียหลวงและนางสุวรรณเมียน้อย นางอรุณเมียหลวงแพ้ท้องอยากกินลูกสมอ ด้วยความรักเมียตาจวงจึงพาเมียทั้งสองเดินทางเข้าป่ามายังเขตเมืองสุพรรณ เมื่อเก็บลูกสมอได้แล้วก็เดินทางกลับอยุธยา แต่ระหว่างทางเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ทั้งสามวิ่งหลบฝนจนมาถึง คลองท่าระกำ ที่มีน้ำป่าไหลหลากไม่สามารถข้ามได้ ตาจวงจึงบอกกับเมียทั้งสองว่าจะแปลงร่างเป็นจระเข้ นอนขวางคลองไว้ เมื่อนางอรุณข้ามไปถึงอีกฝากหนึ่งก็ให้นางสุวรรณข้ามตามไป แล้วเอาน้ำมนต์ที่ทำขึ้น ราดบนหัวจระเข้ ร่างก็จะกลับมาเหมือนเดิม นางอรุณถือขันน้ำมนต์ข้ามไปถึงอีกฝากหนึ่งเหลือบเห็นดวงตาของจระเข้ใหญ่ เกิดความกลัวทำขันน้ำมนต์ตกลงพื้น จระเข้ตาจวงก็ไม่สามารถคืนร่างเป็นคนได้ แต่ด้วยความรักเมียทั้งสอง จระเข้ตาจวงจึงขุดถ้ำอยู่ริมสองฝังคลองนั้น ส่วนเมียทั้งสองก็อาศัยอยู่คนละฝากคลอง มีลูกมีหลานสืบเชื้อสายมาจนถึงทุกวันนี้ นิทานหรือตำนานในท้องถิ่น แม้จะเคยมีผู้จดจำเกี่ยวกับชื่อบ้านนามเมืองไว้ได้มาก แต่ปัจจุบันมีคนที่ทราบเรื่องเล่าในท้องถิ่นเหล่านี้น้อยลงเพราะการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม เส้นทางน้ำและการเดินทางไปหมดแล้ว จึงแทบสูญหายไปจากความทรงจำ ต่อจากนั้น เหนือขึ้นไปที่ วัดลาดสิงห์ ก็มีเรื่องเล่าถึงเคยเป็นที่พักทัพของสมเด็จพระนเรศวรฯ แต่เดิมภายรอบบริเวณวัดมีสระน้ำรายรอบ ปัจจุบันถมที่ดินไปแทบหมดแล้ว บริเวณบ้านลาดสิงห์ติดกับบ้านสระ ซึ่งพบศาสนสถานดอนทางพระ เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๑ ช่างตัดผมที่ตลาดสามชุก ฝันเห็นสถานที่หนึ่งที่ดอนทางพระนี้จึงชวนกันไปทำพิธีบวงสรวงขอให้พบแล้วขุดไปพบพระพุทธรูปนาคปรกที่มีเดือยสำหรับเสียบบนแท่น รวมทั้งเทวรูปและพระพิมพ์ต่าง ๆ คณะจากสามชุกนำขึ้นมาได้ พบเดือยที่ฐานจึงใส่รถเข็นแล้วให้วัวลากมาประดิษฐานที่วัดใหม่คือ วัดรัตนโภคารามหรือวัดวิมลโภคาราม และกลายเป็นวัดประจำท้องถิ่นของคนในตลาดสามชุก ที่ในอดีตเคยต้องพายเรือไปทำบุญกันที่วัดสามชุกซึ่งอยู่ต่ำลงมาตามลำน้ำสุพรรณเล็กน้อย ต่อมาชาวบ้านร้านตลาดจึงจัดพิธีเฉลิมฉลองกันใหญ่โต หลวงพ่อนาคปรกเป็นที่เคารพ นับถือของคนจีนและชาวตลาดสามชุก อธิษฐานขออะไรได้สมปรารถนา ชาวสามชุกที่ไปประกอบอาชีพต่างถิ่นเจริญรุ่งเรืองก็กลับมากราบพระทำบุญกันทุกครั้งที่กลับบ้าน และในงานเทศกาลต่าง ๆ ต่อจากบ้านสระคือ บ้านหนองโรง ที่วัดหนองโรงหรือ วัดหนองโรงรัตนาราม ในตำบลหนองผักนาก เดิมเป็นวัดร้างมีเจดีย์เก่าแบบอยุธยาองค์หนึ่ง ในวิหารมีพระพุทธรูปทำจากหินทรายบ้าง ปูนปั้นบ้างแบบอู่ทอง แต่ถูกตัดเป็นท่อน ๆ อยู่ ๔ องค์ บ้านหนองผักนาก แต่เดิมชื่อบ้านดอนลาวแต่ไม่มีคนลาวอยู่แต่อย่างใด มีวัดโบราณและพระพุทธรูปที่เป็นพระประทานในพระอุโบสถเป็นพระพุทธรูปแบบอู่ทอง วัดนี้เป็นวัดใหญ่ที่มีโบสถ์หลังเก่าฐานตกท้องสำเภาซึ่งเป็นรูปแบบการก่อสร้างในสมัยอยุธยา การที่มีโบสถ์อยู่ที่วัดหนองผักนากและชาวบ้านผู้ใหญ่เล่ากันว่า วัดนี้เดิมชื่อ วัดหนองพักนาค เพราะในละแวกนี้มีวัดอยู่น้อยมาก ถึงจะมีก็เป็นวัดร้างและไม่มีพระอุโบสถให้พระสงฆ์ทำสังฆกรรม โดยเฉพาะการบวชนาค จึงต้องมาบวชกันที่นี่แห่งเดียว โดยชาวบ้านในหมู่บ้านละแวกนี้จะบวชพร้อมกันที่อุโบสถวัดหนองผักนากทุกปี มีพิธีการแห่นาคมาจากบ้านกันใหญ่โต ให้นาคขึ้นบนหลังช้าง และมีคนขี่ม้าเป็นสิบ ๆ ตัว ผู้คนมากมายแห่ร่วมขบวนสนุกสนานครื้นเครงมาตลอดทาง พอมาถึงวัดก็หยุดพักที่ริมหนองน้ำหน้าวัด เตรียมแห่นาคเข้าโบสถ์ เมื่อนำนาคเข้าอุโบสถแล้วก็นำช้างและม้าไปเล่นกันที่ดอนแห่นาค ซึ่งอยู่ห่างจากวัดประมาณ ๑ กิโลเมตร เล่นล่อช้างให้ช้างไล่ม้าล้มลุกคลุกคลานกันไป เหนือขึ้นไปจากบ้านหนองผักนาก คือ บ้านโป่งแดง ที่อยู่ริมลำน้ำโป่งแดง ซึ่งเป็นลำห้วยขวางในแนวตะวันตกตะวันออก ในโคลงนิราศสุพรรณของสุนทรภู่กล่าวว่าเลยจากบ้านโป่งแดงก็เป็นป่าที่มีสัตว์ร้าย เช่น เสือชุกชุมแล้ว หมู่บ้านนี้มีลำห้วย ๓ สาย ไหลมารวมกันคือ ห้วยวังโบสถ์ ห้วยหนองเกตุ และห้วยร่องขนาน กลายเป็นคลองโป่งแดง แล้วไหลสู่ลงแม่น้ำสุพรรณที่ปากคลองโป่งแดงเหนือวัดบ้านทึง บ้านโป่งแดงเป็นเนินชุมชนโบราณรูปวงรีขนาดราว ๑ ตารางกิโลเมตร มีร่องรอยคูน้ำล้อมรอบ ทั่วบริเวณพบเศษภาชนะดิน ภาชนะแบบขันสำริด ลูกปัดแก้วสีต่าง ๆ คำบอกเล่าของกำนันโป่งแดงท่านหนึ่งกล่าวว่าเมื่อราว พ.ศ.๒๕๐๒ มีชาวบ้านโป่งแดงไถนาแล้วไปพบพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระศิวะอิศวรและศักติ พระพุทธรูปปางทานอภัย ปางห้ามญาติ เนื้อสำริดจำนวน ๙ องค์ใส่ไว้ในภาชนะคล้ายโอ่ง เป็นศิลปกรรมแบบลพบุรี ต่อมามีผู้พบพระพุทธรูปปางห้ามญาติเนื้อสำริด พระพุทธรูปเนื้อทองคำ พระพิมพ์โมคคัลลาเนื้อดินเผา แบบพิมพ์พระ ๑๑ พี่น้อง แบบพิมพ์พระโมคคัลลาและพระเครื่องดินเผาพิมพ์ต่าง ๆ ในบริเวณที่ต่างกันซึ่งเป็นแบบลพบุรีทั้งสิ้น หลักฐานสำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ศิวลึงค์สูงราว ๑ เมตรเศษ ฐานเป็นรูป ๘ เหลี่ยมส่วนบนกลม ปัจจุบันไม่พบหลักฐานที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ที่วัดโป่งแดง ยังเก็บรักษาพระพุทธรูปแบบอู่ทองปางมารวิชัยเนื้อหินทราย หน้าอุโบสถเก่ามีเจดีย์เดิมน่าจะสร้างในสมัยเดียวกัน มีผู้ขุดพบพระเครื่องแล้วใส่ไว้ในเจดีย์ และยังพบพระพิมพ์แบบลพบุรีและที่เรียกว่าพระร่วงนั่งเนื้อชิ้นดีบุกอีกจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมีตำนานเรื่องเล่าที่เป็นความเชื่อผ่านวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนขุนแผนย่างกุมารทอง ขณะขุนแผนต้องโทษหนีไปพึ่งโจรหมื่นหาญที่บ้านซ่องหรือที่ปัจจุบันเรียกว่าบ้านหนองบัวหิ่ง อยู่ทางทิศตะวันตกห่างจากบ้านโป่งแดงราว ๔ กิโลเมตร เกิดรักใคร่กับนางบัวคลี่ ลูกสาวหมื่นหาญจนตั้งครรภ์ หมื่นหาญจึงคิดฆ่าขุนแผนแต่ขุนแผนรู้ตัวก่อน จึงหาอุบายฆ่านางบัวคลี่ แล้วผ่าท้องได้ลูกเป็นชาย หนีโจรหมื่นหาญเอาลูกไปย่างไฟที่โบสถ์วัดแห่งหนึ่งแล้วเรียกว่ากุมารทอง ซึ่งผู้สร้างภาพยนตร์อ้างว่าขุนแผนนำเอาลูกที่เกิดกับนางบัวคลี่ ไปย่างที่โบสถ์ “วัดโป่งแดง” จนกลายเป็นเรื่องร่ำลือและจดจำวัดโป่งแดงได้แต่เพียงเป็นสถานที่ย่างกุมารทองในตำนานจนละเลยความสำคัญในการเป็นเมืองโบราณในยุคลพบุรีที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งไปเสีย ที่ตั้งที่ว่าการอำเภอสามชุก ซึ่งตั้งขึ้นตั้งแต่ช่วงราว พ.ศ.๒๔๓๗-๒๔๕๗ จากพื้นที่รกร้างเป็นป่า และเป็นท่ารับสินค้าจากชาวกะเหรี่ยง จนกลายเป็นเมืองที่มีตลาดและคนจีนอพยพเข้ามาค้าขาย และเป็นที่มาของคำว่า “ตลาดร้อยปี” เพราะเป็นเมืองใหม่ที่สร้างเมื่อมีการปรับปรุงการปกครองมาเป็น ระบบมณฑลเทศาภิบาลนั่นเอง พื้นที่ดอนซึ่งเป็นพื้นที่ลอนลูกคลื่นทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสุพรรณนี้มีกลุ่มบ้านในแนวเดียวกันที่ต่อเนื่องกับบ้านโป่งแดงซึ่งอยู่ในเขตอำเภอหนองหญ้าไซที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในการปกครองของอำเภอสามชุก คือ บ้านสระ บ้านซ่อง บ้านบัวหิ่ง บ้านหนองด่าน บ้านสระแค บ้านบ่อใหญ่ บ้านดอนกระเบื้อง บ้านดอนสูง บ้านดงมืด บ้านหนองหลวง หมู่บ้านเหล่านี้พบโบราณวัตถุทางศาสนาแบบลพบุรีเช่นเดียวกับบ้านโป่งแดง ที่บ้านหนองโรง มีนิทานเรื่องเล่าการแข่งกันสร้างถนนไปสู่ขอหญิงสาวชื่อนางพิมบ้านหนองโรง ของชายหนุ่ม บ้านขังขอม ที่ต่อมาเรียกเพี้ยนไปเป็น บ้านคลองขอม เพราะมีเรื่องเล่าว่าสถานที่นี้เคยเอาพวกขอมมาขังไว้ และในแผนที่เก่าของกรมแผนที่ทหารฉบับพิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๓ ก็ยังเรียกว่าบ้านขังขอม ชาวบ้านเรียกว่า “ถนนด้วน” อันเป็นแนวถนนดินโบราณที่น่าจะสร้างขึ้นเพื่อใช้ในฤดูแล้งเดินทางติดต่อกับทางฝั่งแม่น้ำสุพรรณหรืออาจจะเป็นแนวทำนบเพื่อการชลประทานและการเดินทางในยุคลพบุรีก็เป็นได้ พวกบรรทุกเกวียนมาจากบ้านป่าแถบนี้จะใช้ถนนดินโบราณเป็นการสัญจร ผ่านหนองโขง บ้านชัฎหวายหรือชักหวาย ซึ่งในโคลงนิราศของสุนทรภู่เรียกว่า ”ชัฎหอม” และบ้านโป่งแดง ผ่านบ้านดอนวิเชน บ้านดอนบ้าน ดอนแห่นาคที่บ้านหนองผักนาก ผ่านดอนกลางตรงไปสู่สำแม่น้ำท่าจีนหรือแม่น้ำสุพรรณที่บ้านขังขอม ซึ่งเยื้องต่ำกว่าตำแหน่งวัดบ้านทึงลงมาเล็กน้อย ส่วนลำน้ำที่แยกออกจากแม่น้ำสุพรรณบริเวณบ้านย่านยาวที่มีวัดบางขวาก มีเส้นทางน้ำแยกออกไปทางฝั่งตะวันออกในแผนที่เก่าเขียนว่า แม่น้ำวังลึก พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ลุ่มต่ำกว่าฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสุพรรณ มีบึงน้ำหนองน้ำหลายแห่ง บริเวณนี้น่าจะเป็นเส้นทางน้ำเก่าที่สามารถติดต่อกับชุมชนสมัยทวารวดีในเขตสิงห์บุรีและชัยนาทที่อยู่ตามลำน้ำสีบัวทอง เขตนี้มีร่องรอยวัดโบราณสมัยกรุงศรีอยุธยาหลายแห่ง เช่น ที่วัดสำเภาล่ม ส่วนวัดนางพิมพ์ซึ่งเป็นวัดเก่านั้นอยู่ใกล้เส้นทางน้ำ มีหนองน้ำล้อมรอบอยู่หลายแห่ง เช่น หนองสัปปะโคน หนองปู่สาย หนองแฟบ หนองสองห้อง และเหนือวัดนางพิมพ์ไปราว ๕ กิโลเมตรคือ วัดวังลึก เหนือย่ายนาวขึ้นมาตามลำน้ำสุพรรณคือบริเวณ วัดสามชุก ซึ่งเป็นย่านบ้านสามชุก เล่าสืบกันมาว่า แม่น้ำสุพรรณตรงข้ามหน้าวัดสามชุกฝั่งตะวันตกมีท่าน้ำใหญ่สำหรับชาวบ้านนำโคกระบือลงน้ำ เกวียนล้อขึ้นลงได้สะดวก แต่ก่อนเรียกว่า “ท่ายาง” บริเวณสามชุกอยู่ทางตอนเหนือเมื่อถึงฤดูแล้งน้ำแห้งแม่น้ำขาดตอน การสัญจรทางเรือต้องรอให้ถึงหน้าน้ำเสียก่อน ชาวบ้านป่า คนลาว คนกระเหรี่ยงที่อยู่ห่างจากฝั่งแม่น้ำ เอาข้าวของใส่เกวียนมาค้าขายแลกเปลี่ยนกับเรือพ่อค้าทางใต้ที่ท่ายาง ซึ่งชื่อท่ายางนี้อาจจะมาจากท่าน้ำที่มีต้นยางหรือท่าน้ำที่ชาวกะเหรี่ยงหรือคนในท้องถิ่นเรียกพวกเขาว่า “ยาง” จึงกลายเป็นชื่อท่าที่ปรากฏสืบมา คนที่ตลาดสามชุกเรียกกลุ่มคนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสุพรรณว่า “ชาวป่า” ที่ขนของป่ามาขาย หากขนข้าวมาขายก็เรียกว่า “ชาวนา” มักมาจากหนองผักนาก หนองหญ้าไซ โป่งแดง หนองราชวัตร ด่านช้างไปจนถึงบ่อพลอย เพราะในระยะเริ่มแรกเรียกบริเวณรอบนอกรวม ๆ ว่าป่า เรียกชาวบ้านที่อยู่อาศัยริมฝั่งแม่น้ำสุพรรณว่า “ชาวบ้าน” เรียกผู้ที่ที่มากับเรือ บนเรือจ้าง เรือโดยสารหรือเรือโยงว่า “ชาวเรือ” ส่วนคนในตลาดเรียกตัวเองว่า “ชาวตลาด” หรือ “คนตลาด” ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจีน ชาวบ้านรอบนอกก็มักเรียกว่า “เจ๊กในตลาด” โดยไม่ได้รู้สึกหรือคิดว่าเป็นการดูถูกทางชาติพันธุ์แต่อย่างไร ถ้าครั้งใดมาถึงแล้วไม่พบกัน ฝ่ายที่มาก่อนก็ต้องรอแล้วขนถ่ายสินค้าลงกองไว้ ชาวบ้านเล่าตรงกันหลายท่านว่าเกวียนที่นำสินค้ามาขายมีมาก บางครั้งมีเกวียนมาจอดรอหลายเล่ม และหากถึงช่วงต้นหน้าฝนชาวนาไถนาหว่านข้าวขวางทางเกวียน คนเกวียนก็จำเป็นต้องเสียค่าเสียหายที่ทำให้นาข้าวที่หว่านไปแล้วเสียหาย ชาวบ้านป่าก็นำกระชุกซึ่งเป็นภาชนะรูปทรงสี่เหลี่ยมขนาดพอบรรทุกลงบนเกวียนได้ โดยทั่วไปหมายถึงภาชนะสำหรับบรรจุของ เช่น นุ่นหรือถ่านนับเป็นใบหรือลูก สานด้วยไม้ไผ่ใส่สินค้าที่นำมาเก็บไว้ในกระชุกของตนเพื่อรอค้าขายกับพ่อค้าทางเรือ จากกระชุกที่มีอยู่มากมายผู้ใหญ่หลายท่านจึงสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นที่มาของชื้อบ้านว่า “สามชุก” นั่นเอง ที่วัดสามชุกมีอาคารมณฑปเก่าประดิษฐานรอยพระพุทธบาทสี่รอย หน้ามณฑปมีหงส์สัมฤทธิ์ ๑ คู่ ที่ถูกนำมาเก็บรักษาไว้แล้ว การปิดทองรอยพระพุทธบาทเป็นงานประจำปีของชาวบ้านสามชุก พระพุทธรูปหินทรายสมัยอยุธยาเคยอยู่ในมณฑปนั้น ต่อมาชาวบ้านจึงนำมาบูรณะเพื่อเป็นพระประธานบนศาลการเปรียญ หลวงพ่อธรรมจักร เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่กับวัด มีผู้กล่าวเดิมหลวงพ่อธรรมจักรเป็นพระพุทธรูปที่พระอาจารย์ธรรมโชติวัดเขาขึ้น สร้างไว้แล้วย้ายมาอยู่ที่วัดสามชุก ย่านบ้านสามชุกและวัดสามชุกนี้จึงน่าจะเป็นบ้านเก่าในสมัยกรุงศรีอยุธยาเช่นเดียวกับทางวัดนางพิมพ์ทางฝั่งคลองบางขวากหรือคลองวังลึกและเหนือขึ้นไปที่บ้านทึง ในแผนที่ซึ่งสำรวจในราว พ.ศ.๒๔๖๐ ลงตำแหน่งไว้ว่า จากย่านบ้านสามชุกคือบ้านสามเพ็งซึ่งเป็นที่ตั้งของอำเภอนางบวช ต่อไปคือบ้านชักหวาย วัดคลองขอม บ้านหินดาด ปากคลองบ้านโป่งแดง ฝั่งตรงข้ามที่เยื้องมาเล็กน้อยคือวัดบ้านทึง สลับกันฝั่งตรงข้ามคือปากน้ำของลำคลองกระเสียวที่มีบ้านโป่งแดง ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปตามลำน้ำและเหนือขึ้นไปตามลำน้ำในฝั่งเดียวกันคือวัดบางแอกและวัดโพธิ์ลังกา วัดบ้านทึงเป็นย่านบ้านใหญ่และคงมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เพราะทั้งตำนานเรื่องท้าวอู่ทองและศาสนสถานภายในวัดตลอดจนวัดร้างที่อยู่โดยรอบ เช่น วัดโพธิ์เงินโพธิ์ทองหรืออาจเป็นวัดโพธิ์ลังกา รวมทั้งวัดบางแอกที่อยู่ใกล้เคียงก็บ่งบอกถึงความเป็นมาดังกล่าว นอกจากนี้ ย่านบ้านทึงยังใกล้กับปากลำน้ำกระเสียวที่ไหลมาจากที่สูงในเขตเทือกเขาตะนาวศรีอันเป็นเส้นทางติดต่อทางน้ำที่สำคัญสู่ชุมชนบ้านป่าในเขตภายใน และเป็นที่มาของคำสำคัญในโคลงนิราศสุพรรณของสุนทรภู่คือ “น้ำสำคัญ ป่าต้น คนสุพรรณ” อันหมายถึงย่านน้ำกระเสียวที่ไหลมารวมบริเวณปากน้ำที่ย่านบ้านทึงนี่เอง ในนิราศสุพรรณ ของสุนทรภู่ ก็เล่าเรื่องที่มาของวัดบ้านทึงไว้ว่า ๏ ผู้เถ้าเล่าเรื่องอย้าน บ้านทึง ท้าวอู่ทองมาถึง ถิ่นถุ้ง แวะขอเชือกหนังขึง เขาไม่ ให้แฮ สาปย่านบ้านเขดคุ้ง คี่ทึ้งทึงแปลง ฯ ๏ วัดทร่างข้างคุ้งย่าน บ้านทึง ชื่อชัดวัดคี่ทึ้ง ถูกต้อง ผู่เถ้าเล่าเรื่องจึง จะแจ้ง แสดงเอย ท่านนั่งสั่งสอนพร้อง พร่ำไว้ไม้ตรี ฯ นิทานที่บ้านทึงในนิราศสุพรรณเล่าถึง ท้าวอู่ทองใช้เกวียนเดินทางมาถึงทุ่งบ้านทึง เกวียนแอกหักก็มาขอเชือกหนังเพื่อซ่อมแอกแต่ชาวบ้านไม่ยอมให้ ขอฟางข้าวให้วัวกินชาวบ้านก็ไม่ยอมให้อีก ท้าวอู่ทองจึงเรียกพวกบ้านขี้ทึ้ง ที่น่าจะแปลว่าขี้เหนียว ต่อมาเรียกเป็น “บ้านทึง” ส่วนตำนานที่เล่ากันติดที่ในท้องถิ่นมีอยู่ว่า ท้าวอู่ทองนำขบวนเกวียนผ่านมายังวัดบ้านทึง แอกเกวียนหักลงจึงหยุดพักไปขอฟางมาให้วัวกินและขอหนังควายแห้งมาซ่อมแซม แต่คนที่บ้านนี้ไม่ให้ ท้าวอู่ทองเลยอธิฐานขอให้นกกระจอกและอีกาไม่มากินข้าวของพวกบ้านขี้ทึ้งนี้อีกต่อไป คงให้สมกับเป็นบ้านคนขี้เหนียวจนแม้แต่นกกาก็ยังเงียบเสียงเพราะไม่มีความเมตตาเผื่อแผ่ผู้ใด บริเวณที่แอกมาหักลงเรียกว่า “วัดบางแอก” และสร้างวัดขึ้นอีกวัดชื่อ “วัดรอ” เหนือวัดบ้านทึงขึ้นมาเล็กน้อย ปัจจุบันทั้ง ๒ วัดกลายเป็นวัดร้างเหลือแต่รากฐานอาคาร วัดบางแอกเมื่อจะขยายถนนสี่เลนสาย ๓๐๔ กำหนดให้ต้องไถวัดร้างบางแอกนี้ทิ้งไปก็พบหางเสือเรือสำเภาขนาดย่อม ๆ ที่เก็บรักษาไว้ที่สำนักงานชลประทานประตูน้ำชลมาร์คพิจารณ์ อีกทั้งมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดอุบัติเหตุแก่คณะทำทางจนต้องบวงสรวงและตัดถนนเบี่ยงแนวเดิม ทุกวันนี้กลายเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านนิยมมาบนบานขอพรด้วยหาบขนมจีนและไหว้พระพุทธรูปที่ขุดได้จากวัดบางแอกกันใหญ่โต ชาวบ้านเล่าว่าเดิมบริเวณพื้นที่วัดบ้านทึงมีวัดร้างอยู่สองวัดต่อกันคือ วัดโพธิ์เงินและวัดโพธิ์ทองหรืออาจจะเป็นวัดโพธิ์ลังกาในแผนที่เก่าครั้ง พ.ศ.๒๔๖๐ ภายในวัดบ้านทึงที่ไปจนถึงถนนใหญ่และแม่น้ำสุพรรณ มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์หรือพระนอน วิหารโบราณและหอไตรสมัยอยุธยา ซึ่งมีรูปแบบอาคารขนาดเล็กที่นิยมสร้างกันในสมัยอยุธยาตอนปลาย พบเห็นในแถบสิงห์บุรีและอ่างทอง เช่น ที่พระตำหนักคำหยาดในอำเภอแสวงหา วิหารพระอาจารย์ธรรมโชติที่บางระจัน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีกุฏิไม้อายุกว่า ๑๐๐ ปี หลายหลัง สภาพแวดล้อมสงบร่มรื่น มีต้นไทรใหญ่ ต้นกร่าง ต้นลั่นทมอายุมากสมกับที่เป็นวัดโบราณของท้องถิ่น จากสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่บริเวณบ้านทึงเป็นจุดเชื่อมต่อกับคลองกระเสียว จึงเป็นสามแยกที่รวมเอาผู้คนและตลาดการค้าไว้ในบริเวณนี้มาแต่โบราณ เพราะเส้นทางที่ติดต่อกับพื้นที่ใกล้เชิงเขานั้นใช้ลำคลองกระเสียวที่สบกับแม่น้ำสุพรรณบริเวณบ้านทึงในระยะทางประมาณ ๕๐ กิโลเมตร ก็จะถึงหมู่บ้านเชิงเขา ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี ถือว่าเป็นแหล่งที่มีทรัพยากรธรรมชาติและของป่า นับเป็นเส้นทางค้าขายสำคัญมาแต่โบราณ นอกจากนี้ ยังมีลำน้ำลำห้วยสายเล็กสายน้อยไหลจากเขตที่สูงทางเทือกเขาฝั่งตะวันตกไหลมาลงแม่น้ำสุพรรณโดยเฉพาะบริเวณเหนือบ้านทึงขึ้นไป ตำนานเรื่องท้าวอู่ทองนั้น ปรากฏอยู่ทั่วไปในเขตที่ราบภาคกลาง มักสัมพันธ์อยู่ในเส้นทางเดินทางทั้งทางบกและทางน้ำในช่วงยุคสมัยอยุธยาลงมาที่มีการติดต่อค้าขาย และตำนานเรื่องท้าวอู่ทองในหลายแห่งก็มักสัมพันธ์กับการค้าขาย คนจีนและการเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ที่เป็นเครือข่ายการค้าระยะทางไกล อีกทั้งในบริเวณท้องถิ่นย่านนี้ไปจนจรดเขตชัยนาทและลพบุรีจะมีนิทานท้องถิ่นทำนองเรือสำเภาล่มหรือการแข่งขันกันสร้างทางเพื่อแห่ขันหมากขอลูกสาวชาวบ้าน ซึ่งปรากฏเป็นตำนานเมืองละโว้หรือลพบุรีด้วย ตำนานหรือนิทานประจำถิ่นที่เกี่ยวกับภูมิวัฒนธรรมของบ้านเมืองและภูมิศาสตร์ที่สัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานของชุมชนนั้นเป็นเนื้อเรื่องหลักแบบนิทานตาม่องล่ายทางแถบชายทะเลในอ่าวไทย ถือเป็นตำนานนิทานที่เกี่ยวพันกับการเข้ามาของคนกลุ่มใหม่ที่ถูกมองว่าเป็นคนจีนจากโพ้นทะเลและการเดินทางค้าขายไปยังสถานที่ต่าง ๆ ในนามของท้าวอู่ทอง การใช้เรือสำเภา และการสู่ขอหญิงสาวชาวบ้านหรือการแข่งขันกันระหว่างชายหนุ่มในท้องถิ่นและชายพ่อค้า เป็นต้น เนื้อเรื่องเหล่านี้มักปรากฏในท้องถิ่นที่มีการตั้งถิ่นฐานชุมชนมาตั้งแต่สมัยลพบุรีต่อกับยุคต้นกรุงศรีอยุธยา และดังที่พบในท้องถิ่นสามชุกนี้นั่นเอง โรงเรียนสำคัญของอำเภอสามชุก “โรงเรียนนิกรนรราษฎร์ศึกษาลัย” จากสามเพ็งถึงสามชุก ในโคลงนิราศสุพรรณของสุนทรภู่กล่าวถึงทั้งชื่อ “สามชุก” และ “สามเพ็ง” แยกกัน กล่าวถึงสามชุกซึ่งเป็นท่าน้ำที่จอดเรือรอคนกะเหรี่ยงซึ่งเดินทางภายป่าเขาทางตะนาวศรีนำฝ้ายมาขายแลกเปลี่ยนอย่างคึกคัก ซึ่งชาวบ้านในท้องถิ่นยังจำได้ว่าฝั่งตะวันตกตรงข้ามวัดสามชุกเรียกว่า “ท่ายาง” ซึ่งน่าจะมีความหมายมากกว่าถ้าหมายถึงท่าน้ำที่คนยางหรือกะเหรี่ยงนำฝ้ายมาขายมากกว่าท่าน้ำที่มีต้นยางยืนต้นอยู่ คนกะเหรี่ยงหรือยางนี้น่าจะเป็นกะเหรี่ยงโปหรือโผล่วในเขตภูเขาที่ยังคงปลูกฝ้ายกันอยู่ถึงในปัจจุบัน “๏ ถึงนามสามชุกถ้า ป่าดง กะเหรี่ยงไร่ได้ฝ้ายลง แลกล้ำ เรือค้าท่านั้นคง คอยกะเหรี่ยง เรียงเอย รายจอดทอดท่าน้ำ นับฝ้ายขายของ ๏ พวกกะเหรี่ยงเสียงเพราะพร้อง กะหน็องกะแหน็ง สาวผูกลูกปัดแดง ประดับพร้อย คิ้วตาน่านวลแตง ตะละหม่อม จอมเอย แข้งทู่หูยานย้อย อย่างละว้าพาคลาย” สถานที่ต่อเนื่องจากบ้าน “สามชุก” ก็คือ “สามเพ็ง” ซึ่งยังเป็นป่าอยู่มาก บ้านคนน้อยจนแทบจะหาไม่ได้ แต่บริเวณนี้พื้นน้ำตื้นเป็นหาดทราย ป่าสดชื่นน้ำใสสะอาดและมีปลาหลากหลายพันธุ์ สามเพ็งในช่วงที่สุนทรภู่เดินทางมาถึง (ราว พ.ศ.๒๓๗๔) หรือในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังไม่มีการสร้างตลาดหรือมีบ้านเรือนเป็นชุมชนแต่อย่างใด ไม่เหมือนกับชุมชนเดิมที่สามชุกที่ถือว่าเป็นท่าเรือค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าแบบโบราณในยุคต้นกรุงฯ ที่การค้าที่มากับการคมนาคมและคนจีนยังไม่ได้สร้างรูปแบบเมืองค้าขายชายฝั่งน้ำที่เกิดขึ้นในคราวที่เริ่มส่งน้ำตาลทรายและข้าวเป็นสินค้าส่งออกอย่างกว้างขวาง “๏ สามเพ็งเล็งสะล่างไม้ ไพรสณฑ์ ป่าใหญ่ใช่เขตคน ขาดบ้าน ร่มรื่นชื่นชุ่มชล ชุมแต่ แร่เอย ปลาว่ายสายสินธุ์สะอ้าน สะอาดตื้นพื้นทราย” ชื่อ “สามชุก” และ “สามเพ็ง” ผู้ใหญ่และผู้รู้ในท้องถิ่น เช่น ในงานบันทึกนิทานคำกลอนของคุณสุภร ผลชีวิน หรือผู้รู้ในท้องถิ่นรุ่นปัจจุบันถึงที่มาของคำว่า “สามชุก” สันนิษฐานว่ามาจากเหตุใหญ่ ๆ ๒ ประการ และทั้งสองประการนี้สัมพันธ์กับตำแหน่งที่ตั้งและเอกลักษณ์เด่นของชุมชนคือการเป็นย่านการค้าและศูนย์กลางการคมนาคม โดยอธิบายว่า สามชุกอาจมาจากคำว่า “กระชุก” หรือ “สีชุก” เป็นภาชนะสานจากไม้ไผ่มีหลายรูปแบบ เช่น รูปฟักผ่าตามยาวเพื่อใช้ใส่ของในเกวียน เช่น ข้าวเปลือก นุ่น และถ่าน แบบทรงกลมสูง ไว้สำหรับบรรจุของที่ตกค้างจากการซื้อขาย ชาวบ้านนำมาใช้ใส่ของในการแลกเปลี่ยนซื้อขาย บริเวณท่าน้ำตอนนี้อยู่ในเขตแม่น้ำสุพรรณด้านเหนือ ก่อนการสร้างเขื่อนนั้นหากเป็นหน้าแล้งน้ำน้อย เรือจะติดท้องทรายต้องรอเวลาจนน้ำหลากมาถึง การกองภาชนะใส่สินค้า เช่น กระชุกจึงน่าจะเป็นภาพที่คุ้นเคย พื้นที่บริเวณนี้จึงเรียกชื่อกันว่า “บ้านกระชุก” หรือต่อมาคือ “บ้านสามชุก” ก็เป็นได้ ส่วนคำว่า “สามเพ็ง” น่าจะมาจากท้องถิ่นนี้ซึ่งมีเส้นทางน้ำติดต่อกับท้องถิ่นอื่น ๆ ได้ ๓ เส้นทาง คือทางเหนือต่อกับชัยนาทและนครสวรรค์ ทางทิศใต้ต่อกับสุพรรณ นครปฐมและสมุทรสาครและทางตะวันตกจากชุมชนบ้านป่าแถบหนองหญ้าไซและเขตเทือกเขาทางด่านช้างที่ใช้ทั้งทางบกและทางเรือจากคลองโป่งแดงและคลองกระเสียว ทำให้ย่านนี้กลายเป็นชุมทางที่มีลักษณะเป็น “สามแพร่ง” ต่อมาได้เพี้ยนเป็นสามเพ็งซึ่งก็เป็นการสันนิษฐานจากคนในรุ่นหลัง ตลาดสามชุกในอดีต เนื่องจากหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบบมณฑลเทศาภิบาล ทั้งย่านสามเพ็งและบ้านสามชุกอยู่ใต้การปกครองของอำเภอนางบวช ที่ตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ โดยที่ว่าการอำเภอ ใช้บ้านของนายอำเภอ ริมแม่น้ำสุพรรณบริเวณระหว่างวัดบ้านทึงกับวัดบางแอก เป็นที่ว่าการอำเภอ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๓๗ ต่อมาจนถึง พ.ศ.๒๔๕๗ จึงย้ายมาอยู่ที่บ้านสามเพ็งห่างจากวัดสามชุกราว ๑ กิโลเมตร ในขณะนั้นพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่ามีผู้คนอาศัยอยู่น้อย เมื่อสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จตรวจราชการ ภายหลังจึงแยกพื้นที่ควบรวมใหม่เกิดเป็น “อำเภอเดิมบาง” ในปี พ.ศ.๒๔๕๔ ขึ้นอีกอำเภอหนึ่ง และเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๗ จึงเปลี่ยนชื่อจาก "อำเภอนางบวช" ซึ่งมีที่ว่าการอำเภออยู่ที่บ้านสามเพ็งเป็น "อำเภอสามชุก" โดยนำชื่อย่านตำบลขนาดใหญ่ด้านใต้ลงมาที่บ้านสามชุกมาเป็นชื่ออำเภอ แล้วนำเอาบ้านนางบวชไปขึ้นกับอำเภอเดิมบางเสีย จึงเติมท้ายชื่ออำเภอเดิมบางเป็น “อำเภอเดิมบางนางบวช” จนถึงปัจจุบัน เมื่อเปลี่ยนชื่อที่ว่าการทำการอำเภอนางบวชเป็นอำเภอสามชุกใน พ.ศ.๒๔๕๗ เหตุนี้เองที่ “บ้านสามเพ็ง” สถานที่ตั้งของที่ว่าการอำเภอนางบวชแต่เดิม จึงเรียกใหม่ว่า “สามชุก” หรือ “ตลาดสามชุก” ตามชื่ออำเภอใหม่กันต่อมาตั้งแต่เมื่อเกือบร้อยปีที่แล้วมาจนถึงปัจจุบัน ตลาดและเมืองสามชุก หลังการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินเป็นระบบมณฑลเทศาภิบาล โดยรวมเมืองนครชัยศรี สาครบุรี และสุพรรณบุรี รวมอยู่ในมณฑลนครชัยศรี เมื่อ พ.ศ.๒๔๓๘ มีที่ทำการมณฑลอยู่ที่เมืองนครชัยศรี ก็ตั้งอำเภอนางบวชในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน บริเวณนี้ถือเป็นบ้านป่าทางเหนือสุดของมณฑลนครชัยศรีก็ว่าได้ จึงได้ชื่อว่าเป็นท้องถิ่นที่มีโจรผู้ร้ายชุกชุม ราว พ.ศ.๒๔๕๔ และ พ.ศ.๒๔๕๗ ตามลำดับ จึงมีการปรับปรุงและแยกพื้นที่ออกเป็นสองอำเภอ คืออำเภอเดิมบางนางบวชและอำเภอสามชุก และเลือกที่ตั้งที่ว่าการอำเภออย่างเป็นทางการที่ย่านสามเพ็ง ซึ่งเคยป่าในสมัยเมื่อสุนทรภู่มาถึง (พ.ศ.๒๓๗๔) และมีพื้นที่กว้างขวางไม่มีชุมชนใหญ่เหมือนเช่นแถบทางใต้น้ำลงมาคือ บ้านสามชุก และเหนือน้ำขึ้นไปคือ บ้านทึง ที่มีวัดและบ้านตั้งอยู่ริมแม่น้ำและเป็นชุมชนใหญ่มาแต่โบราณ การเลือกตำแหน่งพื้นที่สร้างที่ว่าการอำเภอในชุมชนนั้นสะดวกสำหรับคนที่เดินทางมาติดต่อราชการ เพราะอยู่กึ่งกลางระหว่างปากน้ำหลายแห่งเช่น คลองวังลึกหรือบางขวาก คลองโป่งแดงและคลองกระเสียว รวมทั้งริมฝั่งแม่น้ำสุพรรณ การติดตลาดก็ยิ่งทำให้ได้รับความสะดวกทั้งฝ่ายชาวบ้านและผู้ค้าขาย นอกจากนี้ยังหน่วยงานราชการอื่น ๆ อีกหลายแห่ง เช่น สถานีตำรวจภูธร สุขศาลา สำนักงานที่ดิน ห้องสมุดประชาชน สหกรณ์ไม่จำกัดสินใช้ ที่ทำการไปรษณีย์และโรงเรียนประจำอำเภอที่ตั้งขึ้นในเวลาต่อมา ทำให้ผู้คนจากทั่วสารทิศ หลังจากสร้างที่ทำการอำเภอนางบวชที่สามเพ็ง น่าจะเริ่มจากเรือนแพค้าขายริมน้ำและท่าเทียบเรือ ซึ่งคนสามชุกเรียกกันว่าแพ คนที่เป็นเจ้าของที่ริมน้ำจะทำท่าเรือและเก็บค่าที่เพื่อเทียบเรือขนส่งสินค้าหรือค้าขาย แพใช้ค้าขายและเป็นบ้านพักอาศัยริมตลิ่งเป็นแพชั้นเดียว หลังจากนั้นคนแพจึงขึ้นบกมาปลูกบ้านบนที่ดินของอำเภอซึ่งเป็นที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ในปัจจุบัน และยังคงค้าขายเช่นเดิม ช่วงแรก ๆ ปลูกบ้านเป็นหย่อมๆ ไม่เรียงติดกันเป็นซอย ต่อมาจึงเริ่มปลูกเป็นห้องแถวค้าขายหันหน้าชนกันจนกลายเป็นซอยแบ่งเป็นแถว ๆ และปลูกติดต่อกันไปตามธรรมชาติ สามเพ็งจึงกลายเป็นตลาดที่มีการซื้อขายสินค้าแทนย่านท่าเรือรอแลกเปลี่ยนสินค้าแบบเดิมที่บ้านสามชุก ร้านค้าเมื่อสามชุกกลายเป็นตลาดร้อยปีเพื่อการท่องเที่ยว เมื่อย้ายมาอยู่กับที่ว่าการอำเภอใหม่ ตลาดริมน้ำมักสร้างเป็นเรือนพื้นห้องแถวติดดิน ไม่ยกพื้นสูงกันน้ำท่วม เพราะสามชุกอยู่เหนือขึ้นมาตามลำน้ำ แม้ตลาดริมแม่น้ำบางแห่ง จะยกพื้นห้องแถวสูงวกว่าพื้นดินก็ตาม เรือนห้องแถวเช่นนี้พบได้ทั่วไปในบริเวณตลาดริมแม่น้ำ ตั้งแต่แถบนครชัยศรีขึ้นไปจนถึงสองพี่น้องและศรีประจันต์ เรือนค้าขายนี้แตกต่างไปจากรูปแบบบ้านเรือนของคนไทยในภาคกลาง เพราะสร้างเป็นแถวติดกัน ชั้นล่างไว้ข้าวของที่นำมาขาย ส่วนชั้นบนเปิดเป็นห้องโล่ง ๆ ไม่กั้นห้องกั้นฝา แยกสัดส่วนโดยใช้ม่านกั้นและหลับนอนกันรวม ๆ ในห้องแถวนั้น ส่วนที่อาบน้ำหรือห้องสุขาในบางแห่งจะสร้างรวมไว้อีกที่หนึ่งและบางแห่งก็ให้ไปใช้ธรรมชาตินอกพื้นที่หรือใช้น้ำอาบในแม่น้ำลำคลอง จากนั้นตลาดจึงขยายไปพร้อม ๆ กับการโยกย้ายของผู้ที่เข้ามาทำการค้า เพราะเป็นสถานที่ราชการใหม่ที่มีพื้นที่กว้างขวาง นอกจากจะมีตลาด ก็มีท่าน้ำรับส่งสินค้าทางเรือมากมายทั้งท่าข้าว ท่าถ่าน โรงสี โรงเลื่อย เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว ชาวนารอบ ๆ ทั้งใกล้และไกลจะเดินทางเข้ามาซื้อสินค้าจำเป็น ตลาดสามชุกเมื่อกว่าร้อยปีที่ผ่านมา เป็นตลาดเรือนแถวไม้ริมแม่น้ำสุพรรณที่ไม่ใช่ตลาดน้ำแบบตลาดนัดของชาวบ้านสวนตามลุ่มน้ำลำคลองใกล้ชายฝั่งทะเล ที่นำของสวนหรือเข้าของสินค้ามาขายเฉพาะช่วงเช้าตรู่หรือติดตลาดเฉพาะกิจชั่วคราว แต่เป็นการปลูกเรือนแถวเพื่ออยู่อาศัยถาวรพร้อม ๆ กับขายของไปด้วย ลักษณะตลาดประเภทนี้คือ ตลาดที่เกิดขึ้นริมแม่น้ำลำคลองที่ใช้เป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ราวต้นรัตนโกสินทร์ เมื่อมีคนจีนขยับขยายเข้ามาทำมาหากินทางบ้านเมือง ภายในแผ่นดินเพิ่มขึ้น และโดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา วิธีการเดินทางไปมาระหว่างหัวเมืองและชุมชนห่างไกลใช้เส้นทางแม่น้ำลำคลองและพัฒนาการเดินเรือเมล์ขนส่งทั้งสินค้าและผู้คนมากขึ้น รวมทั้งการปรังปรุงระบบราชการ เกิดชุมชนขนาดใหญ่เป็นอำเภอต่าง ๆ ขึ้นหลายแห่ง ตลาดริมแม่น้ำจึงเกิดมากขึ้นตามชุมชนที่ก่อร่างสร้างตัวจากตลาดเล็ก ๆ จนขยายกลายเป็นตลาดที่มีโครงสร้างระดับเมือง ด้วยเหตุนี้จึงเกิดตลาดและเมืองไปพร้อม ๆ กันในบริเวณลุ่มน้ำต่าง ๆ ในภาคกลางตอนล่าง ที่มีรูปแบบเดียวกัน คือ เป็นเรือนแถวไม้ ตั้งอยู่ริมน้ำ ใช้การขนส่งสินค้าและการคมนาคมเป็นหัวใจของการค้าขาย โดยเชื่อมโยงสินค้าจากเมืองหลวงหรือแหล่งผลิตระยะทางไกลกับสินค้าจำพวกข้าว น้ำตาล หรือถ่าน ของชาวบ้านรอบนอกที่เป็นชาวนา โดยผู้ประกอบการค้าส่วนใหญ่คือคนจีนหรือลูกจีนครึ่งไทยท้องถิ่นที่ทั้งอยู่อาศัยและค้าขายในตลาด โครงสร้างพื้นที่ของตลาดสามชุกถือว่ามีรูปแบบของตลาดริมแม่น้ำที่ถูกสร้างให้เป็นเมืองในช่วงสมัยรัชกาลที่ ๕ อย่างชัดเจน หลังจากปลูกสร้างบ้านเพื่อค้าขายเพียงไม่กี่หลังก็ขยับขยายกลายเป็นเรือนแถวไม้ปลูกหันหน้าชนกัน โดยมีซอยใหญ่ ๆ เป็นแนวขวางแม่น้ำราว ๆ ๔ ซอย มีซอยย่อยที่เคยเป็นท่าถ่าน ท่าข้าวจนกลายเป็นโกดังเก็บสินค้าเมื่อท่าข้าวและถ่านเริ่มมีน้อยลง ด้านบนและด้านติดแม่น้ำมีเรือนแถวไปตามถนนที่ขนานไปตามแนวยาวของแม่น้ำในพื้นที่ประมาณ ๑๐ ไร่ รอบนอกมีสถานที่กว้างขวางสำหรับจอดเกวียนที่รับได้เป็นร้อย ๆ เล่ม ซึ่งเป็นเกวียนบรรทุกข้าวและถ่านของชาวบ้านที่อยู่รอบนอก นำมาขายกับพ่อค้าทางเรือที่ท่าต่าง ๆ พื้นที่สาธารณะรอบ ๆ เหล่านี้เดิมเป็นหนองน้ำหรือร่องน้ำที่ถูกถมและออกโฉนดจนกลายเป็นทรัพย์สินส่วนตัว การเชื่อมโยงกับหมู่บ้านรอบนอกก็มีทางเกวียนโบราณใช้เดินทางขนส่งผลิตผลพวกข้าวและถ่านจากชุมชนต่าง ๆ ที่อยู่ไกลฝั่งแม่น้ำสุพรรณทางตะวันตกมาลงเรือที่ตลาดสามชุก ทางฝั่งตรงข้ามทิศตะวันออกของแม่น้ำไม่มีตลาดย่านการค้าในยุคที่ยังไม่มีการสร้างถนน เป็นสวนผักของคนจีนปลูกทั้งผักจีนและพืชผักตามฤดูกาลเป็นแนวยาวตลอดริมน้ำไปจนจรดวัดสามชุก เช่น คะน้า กวางตุ้ง กะหล่ำปลี ผักกาดขาว ผักกาดเขียว นอกจากนั้น ยังมีสวนผักที่ปลูกริมตลิ่ง เช่น ข้าวโพด ถั่วลิสง มะเขือเทศ หอมใหญ่ มันเทศ มันสำปะหลัง ตลอดจนไม้ดอก เช่น กุหลาบ มะลิ ชาวบ้านที่อยู่รอบ ๆ ตลาดสามชุกซึ่งมักเป็นคนไทยท้องถิ่นหลายบ้านซึ่งมีพื้นที่ก็ปลูกทั้งไม้ผล เช่น มะม่วง มะปราง ชมพู่ ฝรั่ง กระท้อน และพืชผักสวนครัวต่าง ๆ จนสามารถนำมาขายที่ตลาดในช่วงฤดูต่าง ๆ ทำให้ตลาดสามชุกมีทั้งผักสดผลไม้ต่าง ๆ บริโภคโดยอุดมสมบูรณ์ ตลาดสามชุกในช่วงทศวรรษ ๒๔๖๐ เป็นต้นมา เป็นแหล่งรวมสินค้าทางน้ำและทางบกจากเหนือใต้มากมาย คนท้องถิ่นใกล้เคียงเข้ามาแลกเปลี่ยนค้าขายได้สะดวกกับสินค้าที่มาจากดอนเจดีย์ ด่านช้าง หันคา ศรีประจันต์จนถึงเขตบ่อพลอย ทำให้ตลาดสามชุกกลายเป็นย่านการค้าที่มีผู้คนรู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะตลาดประจำอำเภอที่อุดมไปด้วยสินค้ามากมายหลายชนิด ทั้งสินค้าประจำท้องถิ่น สินค้าจากต่างถิ่นและจากกรุงเทพมหานคร ผู้คนมากมายกลายเป็นเมืองการค้าที่นับยิ่งเจริญขึ้นเรื่อย ๆ กลุ่มชาวจีนคือผู้มีบทบาทสำคัญทำให้เมืองริมแม่น้ำกลายเป็นเมืองค้าขายในช่วงรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา การอพยพของชาวจีนเข้าสู่ตลาดสามชุก ประกอบด้วยคนหลายกลุ่มอาชีพ หลายประสบการณ์ ต่อมาได้ขยายเครือข่ายและเครือญาติไปตามจังหวัดต่าง ๆ ในลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มแม่น้ำแม่กลอง เช่น พระนครศรีอยุธยา นครปฐม นครสวรรค์ ราชบุรี และกรุงเทพฯ เป็นต้น นอกจากจะเป็นศูนย์ราชการและก่อสร้างตลาดซึ่งมีพื้นที่กว้างขวางรองรับการค้าข้าว การค้าถ่านที่นำมาจากหมู่บ้านไกล ๆ ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสุพรรณ ทางหนองหญ้าไซ จนถึงด่านช้างแล้ว การเป็นศูนย์รวมการคมนาคมทางน้ำขนาดใหญ่ที่ชาวบ้านทั้งฝั่งดังกล่าวและชุมชนที่อยู่ใกล้เคียงจะลงเรือที่ท่าตลาดสามชุก ดังนั้น หัวใจของตลาดสามชุกคือ การค้าข้าวและถ่าน บริเวณรอบ ๆ ตลาดสามชุกเป็นพื้นที่ซึ่งเหมาะต่อการเพาะปลูกข้าว ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ ข้าวยังคงเป็นสินค้าหลักเป็นที่ต้องการสูงของตลาดทั้งในและต่างประเทศ รัฐบาลทำโครงการชลประทานเพื่อการเพาะปลูกเป็นโครงข่ายจำนวนมากและใช้เวลาอย่างยาวนาน เป็นสาเหตุหนึ่งของการสนับสนุนและส่งเสริมให้ราษฎรเข้าไปบุกเบิกพื้นที่เพาะปลูกข้าว การปลูกข้าวเพื่อค้าขายในบริเวณลุ่มแม่น้ำท่าจีนจึงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จนทำให้โรงสีตลอดจนตลาดหลายแห่งที่ตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำท่าจีนขยายตัวรองรับตลาดค้าข้าวและการขนส่งทางน้ำตลอดลำน้ำสุพรรณหรือนครชัยศรี เช่น ตลาดสามชุก ตลาดเก้าห้อง ตลาดบางลี่ ตลาดศรีประจันต์ ตลาดท่าพี่เลี้ยงในเมืองสุพรรณบุรี ขึ้นเหนือจากสามชุกไปหันคา ท่าโบสถ์ สามง่าม ตลาดวัดสิงห์ ตลาดปากคลองมะขามเฒ่าในจังหวัดชัยนาท ล่องใต้จากสามชุกตลาดบางหลวง ตลาดห้วยพลู ตลาดงิ้วราย ตลาดองค์พระปฐม ตลาดใหม่ในจังหวัดนครปฐม เป็นต้น ที่ตลาดสามชุกมีการสร้างโรงสีขนาดใหญ่ก็เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ คือ โรงสีบน โรงสีกลางและโรงสีล่าง นับเป็นแหล่งซื้อขายข้าวขนาดใหญ่ มีชาวนาในท้องถิ่นและละแวกใกล้เคียงนำข้าวเปลือกบรรทุกใส่เกวียนมาค้าขายให้พ่อค้าแม่ค้าที่มารอรับซื้ออยู่ และมีที่พักเกวียนอยู่บริเวณหลังอำเภอสามชุกกว้างใหญ่ทีเดียว แล้วนำไปขายให้โรงสี หรือท่าข้าวอีกทอดหนึ่งหรือชาวนาไปขายให้โรงสีโดยตรงหรือนำไปขายที่โรงสีโดยตรง ในอดีตอำเภอสามชุกมีป่าไม้สมบูรณ์หนาแน่น โดยเฉพาะทางฝั่งตะวันตกติดกับเทือกเขา พ.ศ.๒๔๗๕ ได้เกิดสัมปทานป่าไม้ขึ้นทั่วราชอาณาจักร มีการขออนุญาตทำไม้เพื่อแปรรูปและเผาถ่านเพิ่มมากขึ้น และในช่วงทศวรรษ ๒๔๘๐ เป็นช่วงที่เห็นได้ชัดว่ามีการบุกเบิกพื้นที่ป่าเบญจพรรณในเขตตะวันตกของแม่น้ำสุพรรณ ชาวบ้านเริ่มย้ายถิ่นฐานจากแนวลำน้ำเดิมคือลำน้ำท่าระกำจากบ้านวังหว้า บ้านลาดสิงห์ ไปจับจองที่ดินถางป่าทำไร่กันหลายปี ผลที่ได้คือการนำกิ่งไม้ ต้นไม้ที่บุกเบิกไว้แล้วมาเผาทำถ่านไปขายที่ท่าเรือริมแม่น้ำสุพรรณที่ตลาดสามชุก ซึ่งเป็นท่าขายถ่านใหญ่ ที่สามชุกมี “ท่าถ่าน” อยู่ริมน้ำหลายท่า ทำการค้ากันอย่างเป็นลำเป็นสัน เรือโยงบรรทุกสินค้า มีข้าวและถ่านเป็นหลัก นับเวลาแล้วนานหลายสิบปีที่การค้าถ่านเจริญรุ่งเรืองอยู่ในย่านนี้ “ถ่าน” นับเป็นสินค้าที่เป็นที่ต้องการในยุคนั้นทั้งในระดับครอบครัวและโรงงาน บริเวณตลาดสามชุก สร้าง “ท่าถ่าน” เพื่อรองรับการซื้อขายเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน ท่าถ่านคือสถานที่เชื่อมโยงให้คนขายถ่านที่บรรทุกมากับเกวียนและคนซื้อถ่านที่เป็นชาวเรือจอดที่ท่าเรือมาพบและซื้อขายกันโดยตรง เจ้าของท่าเพียงแต่คิดค่าที่หรือค่าเช่าสถานที่สำหรับนำถ่านจากเกวียนขึ้นลง โดยคิดส่วนแบ่งจากยอดขาย และจะมีคนซึ่งคล้ายนายหน้าไปชักชวนชาวบ้านที่นำเกวียนมาขายถ่านที่ท่าถ่านแต่ละแห่ง สู่ความร่วงโรย ห้องแถวในตลาดสามชุก วันที่ร้างลา แทบไม่มีการค้าขาย หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ (พ.ศ.๒๔๘๘) จนถึงทศวรรษที่ ๒๕๒๐ ช่วงเวลาราว ๆ ๓๐ ปีที่ถือว่าเป็นยุคทองของตลาดสามชุก เป็นผลมาจากการเป็นตลาดใหญ่ที่อยู่ด้านเหนือสุดของจังหวัดสุพรรณบุรีและเป็นจุดศูนย์กลางที่ผู้คนที่เป็นชาวบ้าน ชาวนา นำผลผลิตมาขายทั้งที่เป็นข้าวและถ่าน และพร้อมจะใช้เงินทองเพื่อซื้อสิ่งของใช้ในชีวิตประจำวัน เสื้อผ้า เครื่องมือทางการเกษตร อาหาร จากตลาดที่ดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาตั้งหลักฐานทำการค้า ช่วงราว พ.ศ.๒๕๑๖ เป็นต้นมา ดัชนีชี้วัดความรุ่งเรืองการเงินเดินสะพัดเป็นผลมาจากกลไกการซื้อขายซึ่งมีทุกระดับ ตั้งแต่ระดับการซื้อขายจากชาวไร่ ชาวนา การซื้อขายของพ่อค้าคนกลางไปยังโรงงานและโรงสี ดูได้จากจำนวนของธนาคาร ปรากฏว่าในช่วงเวลาดังกล่าวมีธนาคารเปิดทำการในตลาดสามชุกจำนวน ๗ แห่ง คือ ธนาคารนครหลวงไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารเอเชีย ธนาคารศรีนคร ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร แสดงว่ามีปริมาณเงินหมุนเวียนจำนวนมาก ซึ่งมีทั้งธุรกิจการค้าขนาดเล็ก ซื้อมาขายไป ธุรกิจขนาดกลาง ร้านค้าที่มีเครือข่ายในชุมชน ธุรกิจขนาดใหญ่ ที่มีทั้งธุรกิจการเกษตรและธุรกิจด้านอุตสาหกรรม เห็นได้ว่าสามชุกไม่ได้เป็นเพียงตลาดซื้อขายจับจ่ายใช้สอยของชุมชนย่านนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางของธุรกิจภาคการเกษตรที่ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง กำลังแรงงานที่ต้องใช้ในภาคการเกษตรจำนวนมากอีกด้วย กิจกรรมที่คณะกรรมการพัฒนาตลาดสามชุดทำสม่ำเสมอเพื่อสร้างความรู้ในเรื่องท้องถิ่นให้เยาวชน พอถึงช่วงราวปี พ.ศ.๒๕๒๗-๒๕๒๘ เริ่มมีการตัดถนนสายชัยนาท-สุพรรณบุรี-ตลิ่งชัน นับเป็นจุดเปลี่ยนอย่างจริงจัง หลังจากการเดินทางทางเรือหมดความนิยมและสิ้นสุดลงเมื่อราว พ.ศ.๒๕๒๐ แม้ก่อนหน้านั้นจะมีเรือบรรทุกข้าวอยู่บ้าง แต่ก็หายไปจากลำน้ำหมดแล้ว ในยุคสมัยที่ถนนทุกสายมุ่งสู่การค้าแบบใหม่ ร้านค้าทันสมัยมีสินค้าให้เลือกมากมายหรือห้างสรรพสินค้าที่มีทุกอย่างภายในสถานที่เดียว การโหมประชาสัมพันธ์แก่ผู้บริโภคจนสร้างค่านิยมพื้นฐานให้คนในสังคมเปลี่ยนรูปแบบการใช้จ่ายจากตลาดในท้องถิ่นไปสู่ตลาดของกลุ่มทุนที่ไม่ทราบที่มาที่ไป ทั้งนี้เป็นนโยบายการค้าเสรีที่รัฐบาลอนุญาตและกลายเป็นตัวเร่งให้ผู้ค้ารายย่อยต้องปิดตัวกิจการค้าแบบครอบครัวของตนเองไปกันทั้งประเทศไม่เฉพาะแต่ที่ตลาดสามชุกเท่านั้น การล้มลงของตลาดสามชุกนำไปสู่เหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย ช่วงปี พ.ศ.๒๕๔๒ กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลังซึ่งดูแลที่ราชพัสดุบริเวณซอย ๑ และซอย ๒ มีโครงการปรับปรุงการปลูกสร้างอาคารบนที่ดินบริเวณดังกล่าว โดยจะรื้อห้องแถวเรือนไม้เก่าที่มีอยู่เดิมและสร้างเป็นตึกอาคารพาณิชย์เพื่อพัฒนาธุรกิจและศักยภาพที่ราชพัสดุ จึงเกิดการรวมตัวของคนในตลาดสามชุกร่วมพัฒนาและปรับปรุงตลาดของตนจนกลายเป็นตลาดสามชุกที่ฟื้นการค้าขายเพื่อการท่องเที่ยวและการค้าในท้องถิ่นได้ในระดับหนึ่ง โดยการดำเนินงานของอาสาสมัครที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการพัฒนาตลาดสามชุกเชิงอนุรักษ์ หลังจากสร้างความเข้าใจและใช้ความพยายามในการทำงานเพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูร่วมกันหลายปี ตลาดเรือนแถวไม้เก่าซอมซ่อที่มีแนวคิดที่จะรื้อทิ้งไป ก็กลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง จนถึงราว พ.ศ. ๒๕๕๐ กรมธนารักษ์จังหวัดสุพรรณบุรีได้ทำหนังสือหารือไปยังกรมศิลปากรเพื่อให้ความเห็นเกี่ยวกับคุณค่าทางโบราณคดีของอาคารสิ่งปลูกสร้างในตลาดสามชุก กรมศิลปากรให้ความเห็นว่า อาคารภายในตลาดสามชุกจัดเป็นประเภทโบราณสถานประเภท “ย่านประวัติศาสตร์” ที่มีความสำคัญในด้านประวัติศาสตร์ชุมชนและรูปแบบอาคารพื้นถิ่น จึงสมควรอนุรักษ์ไว้เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ประชาคมชาวสามชุกจึงร่วมมือสร้าง ฟื้น และพัฒนาตลาดสามชุกเพื่ออนุรักษ์บ้านเรือนไม้เก่าแก่และฟื้นตลาดเพื่อการท่องเที่ยวจนมีชื่อเสียงโด่งดัง และกิจการค้าขายรุ่งเรืองต่อมาจนทุกวันนี้