พบผลการค้นหา 220 รายการ
- พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเวียงป่าเป้าที่วัดศรีสุทธาวาส
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มิ.ย. 2541 การสัมมนาที่จังหวัดเชียงใหม่เมื่อต้นปีที่แล้ว ซึ่งมูลนิธิประไพ วิริยะพันธุ์ จัดร่วมกับโครงการพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นภาคเหนือตอนบน ทำให้ได้รับทราบว่า มีความต้องการสร้างพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นโดยผู้นำและชาวบ้านในชุมชนต่าง ๆ อยู่เป็นจำนวนมาก แต่มีเพียงส่วนหนึ่งที่มีความพร้อม เช่น สถานที่ ความร่วมมือในชุมชน และที่สำคัญที่สุดคือผู้นำกลุ่มที่สามารถรับผิดชอบงานที่กำลังเกิดขึ้นต่อไปได้ มูลนิธิฯ มีกำลังคนไม่มากนัก และการจัดพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นต้องอาศัยเวลาเพราะเป็นงานที่ต่อเนื่อง จึงต้องเลือกชุมชนที่มีความพร้อมมากกว่าชุมชนอื่น ที่วัดศรีสุทธาวาสในอำเภอเวียงป่าเป้า ดูจะเหมาะสมที่สุดสำหรับพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นขนาดเล็ก ๆ ที่มีผู้นำชุมชนที่กระตือรือร้นและคณะศรัทธาของวัดเป็นตัวแทนชุมชนสนับสนุนอย่างแข็งขัน เวียงป่าเป้า คือแอ่งที่ราบแคบ ๆ ซึ่งเป็นจุดศูนย์รวมระหว่างทางที่จะไปเชียงราย-เชียงใหม่ และเชียงใหม่-พะเยาว์ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ผู้คนอยู่อาศัยมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๑ ในสมัยล้านนา โดยมีแหล่งเตาเผาเครื่องถ้วยขนาดใหญ่ระดับอุตสาหกรรมที่เวียงกาหลง ที่อยู่ห่างจากเวียงป่าเป้าไปไม่ไกลนักเป็นสิ่งยินยัน เมืองเวียงป่าเป้าร้างไปจนกระทั่งราวร้อยกว่าปีมานี้ มีการสร้างเวียงป่าเป้าขึ้นใหม่ ขุดคูน้ำ กำแพงอิฐ และสร้างคุ้มของเจ้าเมือง ผู้คนโดยมากอพยพมาจาก เชียงใหม่ ทำการค้า ทำนา ทำสวน สร้างบ้านเรือนเป็นชุมชนขนาดใหญ่สืบมา ในปัจจุบันจากหมู่บ้านก็กลายเป็นเมืองขนาดเล็กที่มีทางหลวงผ่ากลาง ความเจริญเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับความซับซ้อนของสังคมเมือง รูปแบบของความสัมพันธ์ในเวียงหรือในเมืองเวียงป่าเป้าจึงมีลักษณะที่แตกต่างไปจากชุมชนระดับตำบลหรือหมู่บ้านที่มีศูนย์กลางของชุมชนคือวัดเพียงวัดเดียว โรงเรียนเพียงโรงเรียนเดียวหรือสองแห่ง หมู่บ้านอยู่ล้อมรอบวัด และคณะศรัทธาก็คือผู้คนในชุมชนนั่นเอง แต่กรณีของเมืองเวียงป่าเป้า ที่วัดศรีสุทธาวาส ชุมชนที่อยู่รอบวัดอาจไม่ใช่คณะศรัทธาของวัด โรงเรียนมัธยมที่อยู่หน้าวัดก็ไม่มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันนัก กำนันหรือผู้ใหญ่บ้านอาจมีเวลาไม่มากนัก คนที่จะเข้าวัดนั่นคือ คณะศรัทธาที่สืบต่อตามบรรพบุรุษ แม้จะอยู่ห่างวัดแต่ก็เลือกที่จะเข้าวัดตามพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ด้วยเหตุนี้การจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่วัดศรีสุทธาวาส จึงต้องดำเนินงานตามลักษณะสังคมของที่นี่ ซึ่งอาจไม่เหมือนกับที่อื่น ๆ ในเรื่องโครงสร้างของชุมชนที่จะมารองรับงานพิพิธภัณฑ์ มูลนิธิฯ ร่วมกับคณะศรัทธา และเจ้าอาวาสวัดศรีสุทธาวาสเริ่มทำงานเรื่อยมาตามลำดับ ตั้งแต่รวบรวมสิ่งของที่ชาวบ้านนำมาบริจาค และจัดทำทะเบียนสำรวจศึกษาทางโบราณคดี ศึกษาทางมานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์ท้องถิ่น จนพอมองเห็นภาพความเคลื่อนไหวภายในท้องถิ่นเวียงป่าเป้าตั้งแต่อดีตกระทั่งปัจจุบันอย่างเป็นรูปธรรม การประชุมเกี่ยวกับการจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นโดยมี เจ้าอาวาสวัดศรีสุทธาวาส คณะศรัทธาอาวุโส, รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม, อาจารย์ นฤมล เรืองรังษี, อาจารย์ มานพ ถนอมศรี, อาจารย์ มงคล เปลี่ยนบางช้าง, และเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ได้ข้อสรุปซึ่งเกิดจากการเรียนรู้ร่วมกัน โดยจัดแบ่งการจัดแสดงออกเป็น ๒ ส่วน คือ ภายในอาคารพิพิธภัณฑ์ และภายนอกอาคารพิพิธภัณฑ์ ส่วนภายในพิพิธภัณฑ์ แบ่งออกเป็นหัวข้อ เวียงป่าเป้าสมัยประวัติศาสตร์, สภาพสังคมของเวียงป่าเป้าเมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมา, การเปลี่ยนแปลงและเวียงป่าเป้าในปัจจุบัน ส่วนภายนอกพิพิธภัณฑ์ ซึ่งนับว่าเป็นจุดเด่นของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นแห่งนี้ เพราะสภาพแวดล้อมสงบ ร่มรื่น ที่วัดและชาวบ้านเก็บรักษาไว้ได้อย่างเยี่ยมยอดแวดล้อมไปด้วยพื้นที่ป่าไม้กว่า ๔๓ ไร่รอบวัด ทั้งที่ตั้งอยู่ในเมืองวิหารแม้จะเป็นหลังใหม่แต่ก็ไม่ทำร้ายสายตา พระธาตุเจดีย์ศิลปะแบบพม่าซุกซ่อนอารมณ์ขันไว้ตามตุ๊กตาประดับมุขต่าง ๆ หอพระไตรปิฎกที่สวยงาม ร่มไม่ เงาไม้ที่นำความรู้สึกดี ๆ ให้กับทุกคน สิ่งเหล่านี้สามารถบอกเรื่องราวและเป็นเนื้อหาส่วนหนึ่งของการจัดแสดงได้เป็นอย่างดี ดังนั้นลานวัดด้านหน้าสามารถจัดเป็นลานสัมมนา สำหรับองค์กรทางการศึกษาภายในท้องถิ่นหรือภายนอก เป็นศูนย์กลางการศึกษาภายใต้ธรรมชาติแวดล้อมที่ร่มรื่นงดงาม อีกด้านหนึ่งของวัดอาจจัดให้เป็น ลานธรรม เพื่อการศึกษาปฏิบัติธรรมของผู้คน ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้น จัดให้เป็นสวนสมุนไพร รวบรวมสมุนไพรพื้นบ้านและพันธุ์ไม้หายากในท้องถิ่นเพื่อประโยชน์แก่บุคคลทั่วไป ในอนาคตพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่เวียงป่าเป้า จะเป็นตัวอย่างของพิพิธภัณฑ์เล็ก ๆ แต่ยิ่งใหญ่ด้วยสภาพแวดล้อมธรรมชาติที่ร่มรื่น เป็นศูนย์กลางการศึกษาภายในท้องถิ่น ให้ผู้คนตระหนักในความสำคัญของสมดุลตามธรรมชาติ ที่มนุษย์ต้องปรับตัวเข้าหา เชิญชวนให้เข้ามาท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์หรือ ECOTOURISM ได้อย่างดี … เป็นความหวังที่ไม่น่าเกินจริง อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น [local museum] และการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน [sustainable tourism]
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ส.ค. 2539 พ.พ.ท้องถิ่นวัดศรีสุทธาวาส ข้าพเจ้ามีความเห็นว่าประโยชน์ที่ได้จากการศึกษาวิจัยในเรื่องประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่นนี้มีอย่างมหาศาล แต่จะกล่าวถึงเฉพาะสิ่งที่เป็นรูปธรรมเท่านั้น นั่นก็คือการนำไปใช้เป็นประโยชน์ในการสร้างพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นและพิพิธภัณฑ์เมือง (local museum) กับการสนับสนุนการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน (sustainable tourism) อันเป็นสิ่งที่สังคมไทยขาดแคลนอยู่มากในขณะนี้ ที่ว่าเป็นประโยชน์กับการจัดและสร้างพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ก็เพราะว่าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมายในขณะนี้ คือพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงศิลปวัตถุเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งเป็นการสื่อให้เห็นแต่เพียงรูปแบบทางศิลปกรรมและอายุตามยุคสมัยที่เพียงแสดงความเก่าแก่และความรุ่งเรืองของบ้านเมืองเป็นสำคัญ เป็นการเสนอเนื้อหาทางวัฒนธรรมที่หยุดนิ่งและเป็นตอน ๆ ไป มากกว่าการที่จะให้แลเห็นคนในพื้นที่และพัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีการเคลื่อนไหวอย่างสืบเนื่องและมีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หรืออาจกล่าวอีกอย่างหนึ่งได้ว่า การจัดแสดงของบรรดาพิพิธภัณฑ์ของรัฐที่มีอยู่นั้น แม้ว่าจะมีการนำเอาเทคนิคและวิธีการจัดแสดงที่ทันสมัยเข้ามาทำกันอยู่ก็ตาม แต่แนวคิดยังคงเป็นแบบเดิม ที่มุ่งให้คนเชื่อและหลงใหลในความรุ่งเรืองและเก่าแก่ของชาติเป็นสำคัญเป็นสิ่งที่ล้าหลังเพราะในยุคสมัยของโลกาภิวัตน์เช่นในปัจจุบันนี้อาจเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดมอมเมาตนเองได้ ข้าพเจ้าคิดว่าค่านิยมทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งในเรื่องที่อะไรก็จะเป็นที่สุดของโลก ที่แพร่สะพัดอยู่ในขณะนี้ก็มีที่มาจากการมอมเมาตนเองในลักษณะนี้ ในขณะที่แนวคิดในเรื่องพิพิธภัณฑ์ในโลกปัจจุบันสำหรับประเทศที่พัฒนาแล้วนั้นมุ่งที่จะให้คนในชาติได้รู้จักตนเองเป็นสำคัญและในขณะเดียวกันก็เป็นสถาบันการศึกษาที่คนจากภายนอกได้เข้ามาเรียนรู้เพื่อความเข้าใจทางวัฒนธรรมที่จะมีผลไปถึงการอยู่ร่วมกันอย่างราบรื่นในโลกเดียวกัน ที่ว่าให้คนในชาติรู้จักตัวเองก็เพราะพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นคือสถานที่แสดงของที่ทำให้คนในท้องถิ่นรู้จักถิ่นตนเองว่าอยู่ที่ไหนมีสภาพแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติเป็นอย่างใด มีหลักฐานความเก่าแก่ในการตั้งถิ่นฐานและการปรับตัวเองเข้ากับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติมาอย่างใด และในการปรับตัวดังกล่าวทำให้ต้องพัฒนาเทคโนโลยีอย่างใดขึ้นมาควบคุม เรื่อยลงมาถึงพัฒนาการทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจในท้องถิ่นที่จะทำให้แลเห็นการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในปัจจุบันและอนาคตได้ การจัดพิพิธภัณฑ์ที่ทำให้คนได้เห็นจากสิ่งที่เป็นจริงใกล้ตัวดังกล่าวนี้ คือระบบการศึกษาที่ทำให้คนได้เห็นและได้คิด ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญที่นำไปสู่การมีสติปัญญาและการมีความรู้ที่จะนำไปสู่การสร้างสรรค์นานาประการ อาจกล่าวได้ว่าเป็นการศึกษานอกระบบ ที่อาจสร้างดุลยภาพกับการศึกษาในระบบที่เน้นการเรียนรู้สิ่งไกลตัว การเชื่อและท่องจำแบบคิดไม่เป็นที่มีอยู่ในขณะนี้ พ.พ.ท้องถิ่นวัดจันเสน พิพิธภัณฑ์นั้นแลเห็นได้ข้อมูลและหลักฐานที่นำมาแสดงประกอบด้วยหลักฐานทางโบราณคดี (archaeological past) ที่เป็นมาของประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรม (cultural history) และหลักฐานทางชาติพันธุ์ (ethnographical present) ซึ่งได้จากวัตถุสิ่งของและคำบอกเล่าของคนในท้องถิ่น เป็นที่มาของประวัติศาสตร์ทางสังคม อีกทั้งเป็นสิ่งที่ถูกละเลยมากในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในขณะนี้ แม้ว่าบางแห่งจะพยายามนำมาเกี่ยวข้องด้วย ก็ยังขาดในเรื่องบริบทและการศึกษาวิจัยที่ถูกต้อง ส่วนเรื่องการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน (sustainable tourism) นั้นเป็นสิ่งภายนอกที่จะมาเชื่อมโยงกับการจัดพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ความมุ่งหมายก็เพื่อที่จะให้คนจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศหรือคนภายในประเทศเอง ได้รู้จักและเรียนรู้สังคมและวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างมีเหตุผลและถูกต้อง เพราะฉะนั้นหลักฐานและข้อมูลที่ได้จากการศึกษาวิจัยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่นนั้นจะเป็นสิ่งที่นำไปใช้เป็นเนื้อหาสาระในการให้ความรู้และความคิดแก่นักท่องเที่ยว หัวใจของการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนอันเกิดมาจากการเคลื่อนไหวทั่วโลกในขณะนี้ก็คือ เพื่อการศึกษาทางวัฒนธรรมที่จะสร้างความเข้าใจอันดีในการที่มนุษย์จะอยู่ในโลกเดียวกัน อย่างมีความเคารพต่อกัน เป็นเรื่องที่มุ่งเน้นไปในทางศีลธรรมด้วย การท่องเที่ยวแบบนี้เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับแนวคิดการท่องเที่ยวแต่ก่อนที่ยังคงดำรงอยู่ ซึ่งเน้นเพื่อให้เป็นรายได้ทางเศรษฐกิจแก่บ้านเมืองและกลุ่มบุคคลที่จัดการ จึงเป็นการให้ความเพลิดเพลินและการหย่อนใจแก่ผู้ที่เป็นนักท่องเที่ยวเป็นสำคัญ และในส่วนนักท่องเที่ยวเองก็เกิดนิสัยที่ไม่มีความรับผิดชอบขึ้น เพราะเข้ามาอยู่ในถิ่นฐานที่ไม่ใช่บ้านเมืองของตน พร้อมที่จะใช้เงินทองซื้อหาในสิ่งที่ตนอยากได้และต้องการ การเสนอสนองแบบนี้นำไปสู่การท่องเที่ยวและการจัดการเพื่อการท่องเที่ยวแบบทำลาย ผลที่ตามมาก็คือ สภาพแวดล้อมธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่นถูกทำลายซึ่งก็รวมไปถึงผู้คนด้วย เช่น ปัญหาโสเภณีและการระบาดของโรคเอดส์ที่เห็นในขณะนี้ เป็นต้น การท่องเที่ยวแบบยั่งยืนนี้เป็นการท่องเที่ยวที่ให้ความรู้ความเพลิดเพลินทั้งด้านศิลปวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ และมีความมุ่งหมายสำคัญที่จะอนุรักษ์สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและวัฒนธรรมเท่า ๆ กับการสร้างสำนึกให้คนจากภายนอกมีความเคารพต่อวัฒนธรรมท้องถิ่นและแสวงหาความร่วมมือกับคนท้องถิ่นและกระจายรายได้ไปสู่คนท้องถิ่น พ.พ.ท้องถิ่นวัดเกตาราม จ.เชียงใหม่ เมื่อเป็นเช่นนี้การท่องเที่ยวแบบยั่งยืนก็คือทางเลือกสำคัญอีกทางหนึ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ที่อาจจะดีกว่าและเหมาะสมกว่าการพัฒนาทางเกษตรอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรม ที่มีแต่การทำลายสภาพแวดล้อมและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติจนเกินความจำเป็น หลาย ๆ ประเทศเช่นในยุโรปตะวันออกมีรายได้จากการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ ทำให้ผู้คนมีรายได้ดีโดยไม่ต้องทำลายสภาพแวดล้อม ในขณะเดียวกันก็เปิดเผยให้เห็นความรุ่งเรืองในอดีตที่ยิ่งใหญ่ไม่น้อยหน้าอังกฤษและฝรั่งเศสเลย แต่การที่จะให้เกิดการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนที่ว่านี้ได้ในประเทศไทยนั้น ก็ต้องมีการปรับปรุงในหลาย ๆ ด้าน ที่ทำให้สงสัยในศักยภาพและความเข้าใจของ ททท. ว่าจะทำให้หรือไม่ แต่สิ่งที่ต้องปรับปรุงเหนืออื่นใดทั้งสิ้นในขณะนี้ก็คือ การพัฒนาและให้ความรู้ในเนื้อหาสาระทางโบราณคดีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างเป็นระบบและมีมาตรฐาน ที่แล้วมาเนื้อหาสาระในการอธิบายนำเที่ยวโบราณสถานและสถานที่ทางประวัติศาสตร์นั้น มักเน้นในเรื่องรูปแบบทางศิลปะและอายุเพื่อให้เห็นความเก่าแก่และความสวยงามเป็นสำคัญ หาได้ให้ความหมายทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและสังคมไม่ อีกทั้งอะไรต่ออะไรก็มองที่ศูนย์กลางเป็นใหญ่ หาได้ให้ความสนใจต่อคนและท้องถิ่นไม่ เพราะฉะนั้นผลการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นและวัฒนธรรมพื้นบ้านที่จะทำขึ้นตามโครงการนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะนำไปให้การศึกษาอบรมมัคคุเทศก์ให้มีคุณภาพดีขึ้น อีกทั้งยังอาจสนับสนุนให้คนในท้องถิ่นมีความรู้ความเข้าใจที่จะให้กับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนได้ ภายในพ.พ.ท้องถิ่นยี่สาร อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- พิพิธภัณฑ์กับการศึกษานอกระบบ
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ย. 2530 เท่าที่สังเกตมาจนขณะนี้ เห็นได้ว่าการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของชาตินั้น มีการดำเนินการอย่างกว้างขวางทั้งในองค์การทางรัฐบาลและเอกชน อันอาจกล่าวได้ว่ามีทั้งเป้าหมายและนโยบาย ซึ่งฟังดูเป็นคำพูดที่สวยหรูและทันสมัย แต่เมื่อพิจารณาให้ดีแล้วทั้งจากการดำเนินการ การกระทำและคำพูด เห็นชัดได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ได้มาจากความเข้าใจอย่างถ่องแท้มากกว่า น้อยรายทีเดียวที่บรรดาผู้บริหารที่เป็นผู้ใหญ่ในระดับเจ้าสังกัดจะเข้าใจถึงความหมายและคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรม สิ่งที่มักทำให้เกิดมีการดำเนินงานอยู่ในขณะนี้ พอวิเคราะห์ให้เห็นได้ว่ามาจาก (๑) การดำเนินงานตามแบบอย่างที่เคยมีมาแต่ก่อน ๆ โดยถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องและยอมรับกันดีแล้ว ถ้าหากทำแบบนี้แล้วมักจะไม่มีใครมาตำหนิติเตียน (๒) ดำเนินการในลักษณะเพื่อให้เกิดผลประโยชน์แก่ตนเอง (๓) การดำเนินงานที่มาจากความคิดริเริ่มของลูกน้องที่ชอบพยายามทำตนให้เห็นว่าเด่นกว่าคนอื่น ๆ เรื่องนี้มีอยู่ทุกองค์การเพราะเกิดช่องว่างบางอย่างในสังคมไทย ที่ทำให้คนที่มีความรู้ความสามารถและความเข้าใจไม่ชอบพูดหรือแสดงอะไรออกมา ปล่อยให้ผู้ที่มีความคิดตื้นเขินแสดงออกให้เป็นที่ประทับใจแก่ผู้บังคับบัญชาได้ เพราะฉะนั้นในที่ประชุมจึงมักไม่มีการขัดแย้งในการแสดงความคิดเห็น รวมทั้งเมื่อผู้บังคับบัญชาไม่มีความรู้ความเข้าใจด้วยแล้ว ก็เป็นการสมยอมให้เกิดการดำเนินงานที่ไม่เหมาะสมขึ้นในที่สุด ในที่นี้โดยที่มีเนื้อที่จำกัด จึงใคร่จะขอพูดแต่เพียงตัวอย่างในประเด็นแรกที่ว่าการดำเนินการเป็นไปแบบเดิม ๆ ที่เห็นว่าดีแล้ว อันได้แก่เรื่องการจัดพิพิธภัณฑ์ในเมืองไทย ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นการจัดแบบเอาศิลปวัตถุ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเอาศิลปกรรมเป็นตัวกำหนดอายุ เวลา และความหมายสำคัญในการแสดง เช่นแบ่งเป็นศิลปะสมัยทวารวดี ลพบุรี ศรีวิชัย เชียงแสน สุโขทัย อยุธยาและกรุงเทพฯ ตามลำดับ แล้วพูดถึงเรื่องราวของสมัยนั้น ๆ อย่างรวม ๆ พิพิธภัณฑสถานทุกแห่งทุกภาคเหมือนกันหมด แต่ก่อนทำอย่างใดปัจจุบันก็ยังทำอย่างนั้นถึงแม้ว่าบางจังหวัดบางภาคจะมีลูกเล่นบ้าง เช่นจัดห้องให้สวย สะอาดและเป็นระเบียบมีการนำเอาศิลปวัตถุพื้นบ้านมาประดับประดาให้แปลกตาบ้าง แต่ก็ยังอยู่ในกรอบของการใช้ศิลปวัตถุหรือศิลปกรรมมากำหนดความหมายของสิ่งที่นำมาตั้งแสดงอยู่นั้นเอง การจัดแสดงสิ่งของในพิพิธภัณฑ์ที่ใช้ศิลปกรรมเป็นตัวกำหนดความหมายนี้ เป็นการจำกัดการให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องความสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรมเป็นอย่างมากขณะเดียวกันก็อาจทำให้เกิดความหลงใหลเข้าใจผิด จนคิดว่าบ้านเมืองของตนเองดีเด่นและยิ่งใหญ่กว่าที่อื่น ๆ ได้ ทั้งนี้เพราะบรรดาโบราณวัตถุที่นำมาแสดงนั้น ส่วนใหญ่คือศิลปวัตถุที่มาจากศาสนสถานเกือบทั้งนั้น เช่น พระพุทธรูป เทวรูป ลวดลายเครื่องประดับ พระสถูปเจดีย์ ปราสาท หรือโบสถ์ วิหารตามวัดวาโบราณ จนกล่าวได้ว่าไปที่ไหนก็แลเห็นแต่พระพุทธรูป เทวรูปก็ว่าได้ เมื่อเป็นเช่นนี้เนื้อหาของความรู้ในการมาชมพิพิธภัณฑสถานจึงมีขอบเขตอยู่เพียงแต่เรื่องราวทางศาสนาเป็นสำคัญ หาครอบคลุมไปยังความรู้ความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ ของสังคมท้องถิ่นและภูมิภาคไม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ การปกครอง การศึกษา ตลอดจนความเป็นมาทางสังคม-วัฒนธรรม พิพิธภัณฑ์ไหน ๆ ก็ตาม จึงดูเหมือนกันหมด ไม่เห็นลักษณะเฉพาะของท้องถิ่นและของภูมิภาคในมิติที่กว้างขวางแต่อย่างใด ถ้าจะมองให้กว้างไปกว่านี้บ้าง การจัดโบราณวัตถุตั้งแสดงในพิพิธภัณฑ์ทุกแห่งของทางราชการ เป็นการนำเอา ศิลปวัตถุ และสิ่งของที่เป็นของประเพณีหลวงมาเสนอ ไม่มีการให้ความสำคัญแก่วัตถุสิ่งของที่เป็นของท้องถิ่นที่เรียกว่าของในประเพณีราษฎร์เท่าที่ควร ที่เป็นเช่นนี้คงมีที่มาจากความมุ่งหมายของผู้บริหารบ้านเมืองแต่เดิมอย่างน้อย ๒ ประเด็นด้วยกัน ประเด็นแรกเกิดจากความรู้ความเข้าใจในเรื่องประวัติศาสตร์ของชาติบ้านเมือง ที่อยู่ในกรอบของพระราชพงศาวดารการแสดงศิลปวัตถุหรือมีความมุ่งหมายเพียงที่จะแสดงความรุ่งโรจน์ในอดีต อย่างที่สองคงมีเจตนาที่แน่วแน่เพื่อการบูรณาการทางวัฒนธรรม นั่นก็คือการพยายามทำให้ทุกคนมีความรู้ความเข้าใจว่าทุกหนแห่งในเมืองไทยมีวัฒนธรรมเหมือนกันหมด ความมุ่งหมายดังกล่าวนี้ถ้ามองในปัจจุบัน ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีก็คือพิพิธภัณฑ์เป็นเครื่องมือที่ดีในการสร้างบูรณาการทางวัฒนธรรมและการเมืองให้แก่รัฐ ส่วนข้อเสียก็คือ หน้าที่และความหมายของพิพิธภัณฑสถานจำกัดแคบอยู่เพียงเท่านี้หรือ การที่เน้นความสำคัญเฉพาะเรื่องนี้เพียงอย่างเดียว อาจกลับกลายเป็นการสร้างความงมงาย หลงตนเองแก่ประชาชนโดยเฉพาะเยาวชนได้ง่าย ซึ่งจะไม่เป็นผลดีแก่สังคมในที่สุด อันที่จริงความมุ่งหมายของการจัดพิพิธภัณฑ์นั้นก็เพื่อการศึกษาของสังคมอันเป็นคำจำกัดความที่สั้น แต่ขาดความเข้าใจอย่างแท้จริง เพราะถ้าเข้าใจ คงจะไม่เป็นเช่นนี้ การจัดพิพิธภัณฑ์จึงได้แต่เน้นในเรื่องความเหมาะสมของเนื้อที่บ้าง แสงสว่างบ้าง การเลือกของก็ล้วนแต่มุ่งสิ่งที่สวยงามเป็นศิลปวัตถุเป็นสำคัญ เลยทำการสับเปลี่ยนโยกย้ายสิ่งของที่มีความหมายแต่เดิมให้เคลื่อนที่ไป เพราะฉะนั้นเวลาเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์แต่ละแห่งแล้ว สิ่งที่ได้รับได้เห็นก็คือดูสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้น ซึ่งก็เท่านั้นเอง คือเป็นแค่เพียงการแสดงศิลปวัตถุเช่นเดิม ไม่มีอะไรผิดแผกไปกว่าเมื่อ ๗๐ ปีหรือ ๑๐๐ ปี ที่ผ่านมา ในเรื่องเนื้อหาและขอบข่ายของความรู้ พิพิธภัณฑสถานมีความหมายและความสำคัญโดยตรงต่อการศึกษานอกระบบ หรือนอกหลักสูตรของสังคม ถ้าจะกล่าวอย่างตรง ๆ ก็คือ เป็นแหล่งที่อบรมความรู้ความเข้าใจในเรื่องประวัติศาสตร์และมรดกทางวัฒนธรรมของชาติให้แก่คนในสังคมประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งก็คือการแสดงให้คนภายนอกที่เป็นต่างชาติได้รู้ถึงความเป็นมาในทางวัฒนธรรมของบ้านเมืองและท้องถิ่นว่าเป็นอย่างไร ในประการแรกนั้นคือการช่วยให้คนในสังคมแต่ละท้องถิ่นแต่ละภูมิภาครู้จักตนเอง ส่วนในประการที่สองก็คือให้คนภายนอกได้รู้และเข้าใจบ้านเมืองและท้องถิ่นต่าง ๆ ภายในประเทศอย่างถูกต้อง จึงนับว่ามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง สมควรที่ทางรัฐบาลและองค์การเอกชนที่เกี่ยวข้องจะได้ให้การสนับสนุนปรับปรุงให้มีขอบข่ายการดำเนินการ และการให้ความหมายในการจัดแสดงสิ่งที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอย่างถูกต้อง สิ่งที่น่าวิตกในปีแห่งการท่องเที่ยวนี้ก็คือ ดูเหมือนว่าทางรัฐบาลจะให้ความสนใจแต่เพียงว่า การปรับปรุงพิพิธภัณฑสถานทุกแห่งของชาตินั้น ควรมุ่งเพื่อการล่อตาล่อใจนักท่องเที่ยวให้มาชมเพื่อจะได้มีเงินเข้าประเทศมาก ๆ เท่านั้น เพราะเท่าที่เห็นแก่ตาในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินงานของสิ่งที่เรียกว่าอุทยานประวัติศาสตร์ก็ดี การจัดแสดงในรูปแบบนิทรรศการเป็นคราว ๆ ของพิพิธภัณฑ์ของรัฐในที่ต่าง ๆ ก็ดี ล้วนมีลักษณะเพื่อหาเงินหารายได้ทั้งสิ้น เพียงแต่เริ่มเข้าไปในเขตพิพิธภัณฑ์หรือบริเวณโบราณสถาน ก็ต้องเสียสตางค์กันแล้ว เก็บเล็กเก็บน้อยเก็บทุกหนทุกแห่งจนทำให้ผู้คนและเยาวชนที่สนใจแต่ไม่มีเงินต้องมองแต่เพียงแค่ผ่าน ๆ ไปจากภายนอกเท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าหากจะให้มีพิพิธภัณฑ์ขึ้นเพื่อเป็นการศึกษาแล้ว ก็ควรคำนึงถึงว่าการบรรลุเป้าหมายนั้น ไม่ได้อยู่ที่การมีรายได้เป็นเงินเป็นทอง หากเป็นการเสียเงินของรัฐซึ่งเป็นภาษีอากรที่เก็บมาจากราษฎร เพื่อการศึกษาของเยาวชนที่เป็นลูกหลานของผู้เสียภาษีนับเป็นกิจกรรในด้านบริการเพื่อประโยชน์ของสังคมในส่วนรวมมากกว่าประเทศที่ยังยากจนเช่นเมืองไทยเรา การให้การศึกษาแก่เยาวชนที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ทั้งในระบบและนอกระบบนั้น มีความสำคัญยิ่งในการสร้างประชาชนที่มีคุณภาพ แน่นอนการที่มีประชาชนที่มี่คุณภาพ แน่นอนการที่มีประชาชนมีคุณภาพนั้นย่อมเป็นผลดีแก่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่เรายึดมั่นว่าเป็นระบอบการปกครองที่ถูกต้อง เท่าที่เห็นอยู่ขณะนี้ ยังไม่มีพิพิธภัณฑ์ของรัฐที่ไหนเลยที่ให้ความรู้รอบตัวทางประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมแก่ผู้มาชมสถานที่ซึ่งเรียกว่าพิพิธภัณฑ์ในขณะนี้เป็นเพียงแหล่งที่รวบรวมโบราณวัตถุศิลปวัตถุเก่าแก่มาตั้งแสดงเท่านั้น มีลักษณะเป็นการให้ความรู้ที่ไม่ประติดประต่อ เน้นอดีตที่ห่างไกลที่คนไม่รู้จักแล้วไม่สามารถนำมาเชื่อมต่อให้เข้าใจความเป็นไปทางสังคมและวัฒนธรรมในปัจจุบันได้ เนื้อหาและสาระสำคัญที่ควรมีในพิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษาก็คือ (๑) ความรู้ทางสหภาพแวดล้อมธรรมชาติของท้องถิ่นหรือภูมิภาค ซึ่งเป็นเรื่องทางธรรมชาติวิทยา (๒) ความรู้ทางหลักฐานทางโบราณคดี ประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นหรือภูมิภาค ซึ่งอาจแบ่งแยกให้เห็นการเปลี่ยนแปลงแต่ละขั้นตอนและสมัยเวลา (๓) ความรู้ทางชาติพันธุ์วรรณาของท้องถิ่น หรือภูมิภาคเพื่อให้ทราบถึงกลุ่มชนที่สืบอยู่ในปัจจุบันว่ามีความเป็นมาและความเป็นไปอย่างใด (๔) ความรู้ทางสังคมเศรษฐกิจการเมืองและวัฒนธรรมระหว่างท้องถิ่นหรือภูมิภาคที่พิพิธภัณฑ์นั้นตั้งอยู่กับบรรดาท้องถิ่นอื่นหรือภูมิภาคอื่น ๆ ที่อยู่ในประเทศเดียวกัน ทั้งนี้อาจรวมไปถึงความสัมพันธ์กับต่างประเทศที่เกี่ยวข้องด้วย ในขณะเดียวกันก็ควรมีการจัดแสดงสิ่งที่เห็นว่าเป็นลักษณะพิเศษทางเศรษฐกิจการเมือง สังคมหรือวัฒนธรรม อย่างใดอย่างหนึ่งของท้องถิ่นหรือภูมิภาค เพื่อแสดงเอกลักษณ์ที่มีความแตกต่างจากบรรดาท้องถิ่นอื่น ๆ หรือภูมิภาค อื่น ๆ ด้วย อย่างเช่นพิพิธภัณฑ์ที่จังหวัดสุรินทร์ (ถ้าหากจะมีขึ้น) ก็ควรคำนึงถึงการแสดงให้เห็นถึงอาชีพการจับช้างและประเพณีเกี่ยวกับการจับช้างของกลุ่มชนชาวส่วยที่เป็นประชาชนกลุ่มหนึ่งที่สำคัญของจังหวัดด้วย เป็นต้น อนึ่งในท้องที่บางแห่งที่มีโบราณสถานหรือเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญก็น่าที่จะมีพิพิธภัณฑ์ที่เนื่องด้วยสถานที่นั้นเกิดขึ้น เพื่อแสดงหลักฐานความเป็นมาของสถานที่นั้นโดยเฉพาะ เช่นที่ใดเคยเป็นเมืองโบราณ หรือวัดเก่าแก่ ศาสนสถานเก่าแก่ที่สำคัญ ก็ควรจัดให้มีอาคารพิพิธภัณฑ์ขึ้นอาจจะอยู่ในความดูแลของวัดหรือโรงเรียนประจำท้องถิ่นก็ได้ แล้วนำเอาโบราณวัตถุหรือสิ่งของที่มีค่าทางวัฒนธรรมของศาสนสถานหรือของประชาชนในท้องถิ่นนั้นมาจัดแสดง ของเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นศิลปวัตถุที่มีราคาค่างวด จนเป็นที่ต้องตาต้องใจของพวกนักเล่นของเก่าหรือโจรผู้ร้ายก็ได้ เพียงแต่สิ่งของที่แตก ๆ หัก ๆ แต่ว่ามีความหมายก็เพียงพอแต่ถ้าหากจำเป็นต้องแสดงสิ่งที่มีค่า ก็อาจจะทำได้โดยการถ่ายภาพจากของจริงมาแสดงก็ได้การให้ความหมายและความรู้ที่เกี่ยวกับสิ่งของที่แสดงนั้นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะนอกจากจะทำให้คนภายนอกที่เข้ามาชมหรือผ่านมารู้และเข้าใจความเป็นมาทางวัฒนธรรม สังคมและประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นแล้ว ยังเป็นการกระตุ้นให้คนในท้องถิ่นเกิดความสนใจความรักและภูมิใจในท้องถิ่นที่เป็นมาตุภูมิของตนด้วย ในที่สุดก็จะเป็นกำลังสำคัญในการหวงแหนและรักษาสิ่งที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของตน การจัดให้มีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นขึ้นนั้นดูเหมือนจะมีความหมายว่าการบูรณะและพัฒนาเมืองโบราณหรือแหล่งโบราณคดีให้เป็นอุทยานประวัติศาสตร์หลายเท่า เพราะการพัฒนาสถานที่ซึ่งเรียกว่าอุทยานประวัติศาสตร์นั้นคือการทำลายที่สิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินอันมาจากภาษีของราษฎรอย่างมหันต์ ถ้าหากว่าจะทำเพียงแค่อนุรักษ์โบราณสถานหรือเมืองประวัติศาสตร์ให้คงสภาพอย่างที่เห็นอยู่ โดยไม่ให้หักพังหรือเสื่อมโทรมไปกว่าที่แลเห็นอยู่แล้วจัดให้มีพิพิธภัณฑ์แสดงความเป็นมาและสิ่งที่ควรจะเป็นโดยการทำหุ่นจำลองให้เห็นว่า อดีตที่เคยสมบูรณ์นั้นเป็นอย่างไร ก็คงจะดีกว่าที่เข้าไปบุกรุกต่อเติมเมืองโบราณหรือโบราณสถานให้ดูใหม่ ๆ เป็นสวนสนุก อย่างที่ทำกันในอุทยานประวัติศาสตร์ดอกหรือ อ่านเพิ่มเติมได้ที่: ศรีศักร วัลลิโภดม : บทบรรณาธิการวารสารเมืองโบราณ ปีที่ ๑๓ ฉบับที่ ๓ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๓๐)
- เล็ก วิริยะพันธุ์ กับการขุดค้นทางปัญญา
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ธ.ค. 2546 คุณเล็กพบและพูดคุยกับคณะที่มาเยี่ยมชมเมืองโบราณ วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ ที่จะเวียนมาถึงในไม่ช้านี้ นับเนื่องเป็นวันที่คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ จากไปครบรอบเป็นปีที่สาม ผู้ที่เป็นลูกหลานและเจ้าหน้าที่ในมูลนิธิฯ จึงคิดที่จะทำอะไรสักอย่างหนึ่งที่เป็นประโยชน์กับสังคมนอกเหนือไปจากการทำบุญทำกุศลอุทิศให้กับท่าน ก็เลยมาทบทวนกันระหว่างผู้ใกล้ชิดว่า คุณเล็กชอบอะไรและปรารถนาอะไรในชีวิต ทำให้นึกได้ว่า ตลอดเวลากว่าสามสิบปีที่ได้ใกล้ชิดกับท่าน มักจะพูดให้ได้ยินบ่อย ๆ ว่า ท่านชอบทำอะไรที่เป็นกิจกรรมทางปัญญาที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์และโลก เรื่องเงินและอำนาจนั้นหาได้ไม่ยากถ้าใช้สติปัญญา แต่นั่นไม่ใช่จุดหมายปลายทางของชีวิต คุณเล็กประสบความสำเร็จในเรื่องเงินและอำนาจจนถึงขั้นเป็นมหาเศรษฐีคนหนึ่งของประเทศ แต่ท่านหยุดตัวเองกับการแสวงหาในเรื่องดังกล่าวนี้ หันมาใช้ชีวิตความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย เพื่อสร้างกิจกรรมทางปัญญาที่ท่านปรารถนาอย่างต่อเนื่องมาเกือบสี่สิบปีจนสิ้นอายุขัย คุณเล็กเป็นคนชอบอดีต และเห็นว่าในอดีตนั้นก็มีสิ่งที่ดีงามที่ทำให้กับสังคมมนุษย์ การที่เกิดความชอบเช่นนี้เพราะชอบอ่านและศึกษาหาความรู้ทางศาสนาและปรัชญาเป็นประจำ คุณเล็กมีความรู้แตกฉานทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษ ทำให้รู้อะไรที่ทันโลก เลยส่งผลให้เกิดความรักและสนใจในโบราณวัตถุที่เป็นหลักฐานทางศิลปวัฒนธรรม จึงกลายเป็นนักเล่นและสะสมของเก่าที่มีศิลปะวัตถุที่มีราคาและหายากมากมาย แต่คุณเล็กไม่ได้ชื่นชมโบราณวัตถุเหล่านั้นในลักษณะที่เป็นรูปแบบที่มีความเก่าแก่สวยงามและราคาแพงอย่างบรรดานักสะสมของเก่าทั้งหลาย หากให้ความสำคัญในเรื่องความหมาย ความสำคัญของโบราณวัตถุอย่างนักโบราณคดีสมัครเล่น ความสนใจในเรื่องอดีตจึงเพิ่มพูนขึ้น ถึงขนาดจะสร้างอดีตมาให้คนได้เรียนรู้กัน เพราะช่วงเวลาที่คุณเล็กคิดเรื่องนี้ขึ้นมานั้น เป็นสมัยยุค จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ทั้งรัฐและสังคมเห็นอะไรคิดอะไรแต่ปัจจุบันและอนาคตและเรื่องวัตถุเป็นใหญ่ อย่างเช่น "งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข" เป็นต้น ความคิดการสร้างเมืองโบราณจึงเกิดขึ้นในเวลานี้ (ขวา) คุณเล็กและคุณประไพ บนเรือข้ามโขงไปวัดภู (ซ้าย) คุณเล็กและอาจารย์มานิต วัลลิโภดม ขณะข้ามโขงไปวัดภู ในชั้นแรกก็คิดทำเป็นเรื่องเล็ก ๆ ให้คนมาเที่ยวชมแบบเพลิดเพลินไปพลาง ๆ ก่อน แต่เมื่อคุณเล็กได้พบปะแลกเปลี่ยนความรู้และเรียนรู้กับบรรดานักวิชาการทั้งด้านศิลปวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ และสังคมศาสตร์แล้ว ความคิดก็เปลี่ยนไป กลายมาเป็นผู้ทั้งคิดทั้งออกแบบและสร้างอย่างเต็มตัว เพราะเป็นเรื่องที่ชอบและเป็นเรื่องการใช้ปัญญาทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเป็นประโยชน์เฉพาะแต่ตนเองและครอบครัว คุณเล็กทุ่มทั้งกำลังกายใจ สติปัญญา และทุนทรัพย์ในเรื่องนี้ หยุดกิจกรรมทางธุรกิจและความสัมพันธ์ทางสังคมที่เคยมีกับเพื่อนฝูงมิตรสหายและบุคคลต่าง ๆ ที่จะต้องเกี่ยวข้องทั่วไป หันมาทำงานอยู่อย่างเดียว ก็คือ สร้างเมืองโบราณ ซึ่งก็ไม่ใช่เป็นการสร้างให้แล้วเสร็จในเวลาที่กำหนดอย่างมีการวางแผนตามขั้นตอนต่าง ๆ อย่างการก่อสร้างสถานที่สำคัญทั้งหลาย การสร้างเมืองโบราณของคุณเล็กคือ กระบวนการเรียนรู้ที่ไม่อาจกำหนดเป็นแผนงาน งบประมาณ และระยะเวลาที่แน่นอนและตายตัวได้ หากเป็นเรื่องที่มีความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ความสำคัญอยู่ที่การนำเอาสิ่งที่เรียนรู้จากอดีตมาสร้างเป็นความรู้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อที่จะสื่อให้คนในสังคมโดยเฉพาะเยาวชนได้เห็นความเชื่อมต่อระหว่าง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต อย่างที่มนุษย์ที่ดีควรเรียนรู้ สำรวจอาคารเก่าที่อุบลราชธานีกับอาจารย์มานิตและอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ช่วงก่อน พ.ศ. ๒๕๑๖ ไม่นานนัก การศึกษาค้นหาอดีตและสร้างอดีตของคุณเล็ก ก็เหมือนกับการทำงานของนักโบราณคดี คือต้องมีการขุดค้นหลักฐานข้อมูลในอดีตมาสร้างเป็นความรู้ให้คนรู้จักสังคมวัฒนธรรมของมนุษย์ ต่างกันแต่เพียงว่า การขุดค้นของคุณเล็กเป็นการขุดค้นทางปัญญาอย่างมีขั้นตอนของการเรียนรู้ คุณเล็กมักเริ่มต้นด้วยการอ่านหนังสือเพื่อหาสิ่งที่สนใจหรือไม่ก็เพื่อหาความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่สนใจ เมื่อเข้าใจได้ในระดับหนึ่งแล้วจึงจะไปพบปะและเรียนรู้จากคนที่มีความรู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ สำหรับเรื่องนี้ คุณเล็กให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพราะจะมีผู้ที่เรียกว่าผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญเป็นจำนวนมาก ถ้าไม่เลือกเฟ้นให้ดีก็อาจสร้างความสับสนให้ได้ง่าย ๆ คุณเล็กมักประเมินบุคคลที่ท่านยอมรับด้วยการพบปะแลกเปลี่ยนความรู้กัน จึงมักพูดให้ได้ยินบ่อยว่า ผู้รู้มีหลายประเภท ต้องประเมินให้ดี บางคนรู้มากแต่พูดน้อยหรือไม่พูด บางคนถ้าไม่รู้อะไรก็บอกว่าไม่รู้ แต่หลายคนที่พบเห็นมักเป็นประเภทรู้น้อยรู้มากซึ่งเป็นอันตราย เพราะเหตุที่รู้น้อยแต่บอกว่ารู้มากนั่นเอง แต่การพบปะกับผู้รู้ก็เป็นเพียงการได้ยินและได้ฟังเท่านั้น ยังไม่เพียงพอ ต้องไปพบเห็นด้วยประสบการณ์ จึงจะคิดได้และทำได้ โดยเหตุนี้ในเวลาที่จะสร้างอะไร ทำอะไรในเมืองโบราณนั้น คุณเล็กจะต้องออกไปดูให้เห็นด้วยตนเอง ทำให้ในระยะเวลาเกือบสิบห้าปีของการสร้างเมืองโบราณ คุณเล็กออกตระเวนไปทั่วทุกภูมิภาคและหลาย ๆ ท้องถิ่น อาจนับได้ว่าแลเห็นแผ่นดินไทยและผู้คน สังคม ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างลุ่มลึกทีเดียว คุณเล็กคิดเสมอว่า สิ่งที่ท่านนำมาสร้างหรือนำมาเก็บรักษาไว้ในเมืองโบราณนั้น จะต้องเป็นสิ่งที่มีความหมายที่เป็นประโยชน์ หาใช่นำมาแสดงแต่เพียงรูปแบบที่เป็นเสมือนภาพนิ่งไม่ อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ออกสำรวจชีวิตวัฒนธรรมท้องถิ่นกับคุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ก่อนที่จะเริ่มทำวารสารเมืองโบราณ เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่นำมาเก็บรักษาหรือที่นำมาสร้างแสดงในเมืองโบราณ ล้วนเป็นสิ่งที่มีความหมายและเรื่องราวที่เป็นความรู้ทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี และศิลปวัฒนธรรมทั้งสิ้น ล้วนเป็นสิ่งที่คุณเล็กได้ฟัง ได้เห็น ได้คิด ได้สัมผัส แล้วนำมาสร้างเป็นความรู้อย่างเป็นรูปธรรม คุณเล็กไม่เน้นความสำคัญในเรื่องรูปแบบของสิ่งที่ท่านสร้างขึ้น จึงมักถูกผู้ที่ยึดติดรูปแบบวิจารณ์อย่างเสีย ๆ หาย ๆ บ่อย ๆ ว่า สิ่งที่ท่านสร้างขึ้นในเมืองโบราณนั้น ไม่เหมือนรูปแบบของเดิมเลย ไม่มีคุณค่า ท่านไม่โต้แย้ง แต่มักบ่นให้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดฟังว่า การยึดติดรูปแบบว่าอะไรเป็นของจริงแท้นั้น เป็นความคิดที่โง่ เพราะสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นนั้น รูปแบบเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามกาลเวลา หามีอะไรหยุดนิ่งไม่ คนที่บอกว่ารูปแบบนี้เป็นของจริงนั้น แท้จริงก็ยกเอาสิ่งที่ดำรงอยู่ในช่วงเวลาหนึ่งมาอ้างเท่านั้น รวบรวมข้าวของเครื่องใช้เพื่อนำมาจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมพื้นบ้านในเมืองโบรา ณ ดังนั้นเวลาที่คุณเล็กจะสร้างอะไรขึ้นจึงพยายามสอบค้นหาเค้าโครงที่เคยมีมาแล้ว มาปรุงแต่ให้สื่อได้อย่างแลเห็นความหมายและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมที่สัมพันธ์กับสิ่งก่อสร้างเหล่านั้น จึงมีหลายอย่างที่สร้างแล้วรูปแบบและความหมายแตกต่างไปจากสิ่งที่คนเคยเห็นและเชื่อกันโดยทั่วไป การสำรวจท่องเที่ยวของคุณเล็กที่พิษณุโลก ยกตัวอย่างเช่น เรื่องบางระจัน อันเป็นเรื่องวีรกรรมของชาวบ้านในสมัยการเสียกรุงศรีอยุธยาให้กับพม่า เรื่องราวที่มีผู้รวบรวมเขียนเป็นตำนานขึ้นมามักยกย่องผู้ที่เป็นวีรบุรุษเพียง ๖-๗ คนเท่านั้น จึงเป็นสิ่งที่ทางราชการนำมาสร้างเป็นอนุสาวรีย์ที่จังหวัดสิงห์บุรี คุณเล็กไปดูสถานที่เกิดเรื่องบางระจันแล้วมีความคิดเห็นแตกต่างไปจากสิ่งที่สื่อจากอนุสาวรีย์ที่ทางราชการสร้าง ท่านให้ความสำคัญกับวิหารวัดโพธิ์เก้าต้นที่ยังเหลือซากอยู่ เลยนำมาสร้างไว้ที่เมืองโบราณ เพื่อให้เป็นอนุสรณ์สถานที่แท้จริงตามเรื่องราว แล้วสร้างสิ่งที่เป็นอนุสาวรีย์ขึ้นอธิบายควบคู่ไปกับรูปจำลองของวิหารโพธิ์เก้าต้น อนุสาวรีย์ชาวบ้านบางระจันที่ไม่เหมือนอนุสาวรีย์ของทางราชการ เพื่อแสดงว่าชาวบ้านบางระจันนั้น สู้รบจนตัวตายทั้งหมู่บ้าน ไม่ใช่เพียงกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่งเท่านั้น ความสำคัญของวิหารโพธิ์เก้าต้นอยู่ที่เป็นสถานที่พระอาจารย์ธรรมโชติประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและไสยศาสตร์ให้กับทั้งนักรบและชาวบ้านบางระจันในการสู้รบกับพม่า แต่ในขณะเดียวกัน ในการสู้รบนั้น ผู้คนทั้งชุมชนนับแต่พระสงฆ์องค์เจ้า คนแก่คนเฒ่า หญิงชายและลูกเด็กเล็กแดง ต่างรวมกันต่อสู้จนตัวตายสิ้นทุกคน นับเป็นวีรกรรมของคนทั้งชุมชนอย่างแท้จริง ตำนานที่เป็นชุมชนวีรกรรมเช่นนี้ อาจเรียกว่าเป็นสากลก็ได้ เพราะมักปรากฏในประวัติศาสตร์ของบ้านอื่นเมืองอื่นเหมือนกัน โดยเหตุนี้ อนุสาวรีย์บางระจันที่คุณเล็กสร้างขึ้นที่เมืองโบราณ จึงเป็นเรื่องวีรกรรมของการสู้รบจนตัวตายของทุกคนในชุมชน ซึ่งนับเป็นการเสนอเรื่องราวและให้ความหมายที่แตกต่างไปจากอนุสาวรีย์ของทางราชการ สถานที่ในเมืองโบราณอีกแห่งหนึ่งที่อาจยกมาอ้างในที่นี้ได้ก็คือ เขาพระสุเมรุ อันเป็นเรื่องความเชื่อทางจักรวาลทางพุทธศาสนาที่มีบรรยายและอธิบายไว้ในไตรภูมิกถา คุณเล็กใช้เวลาศึกษาทั้งจากหนังสือและเที่ยวตระเวนดูภาพไตรภูมิตามโบสถ์วิหารโบราณในที่ต่าง ๆ แล้วจับประเด็นที่สำคัญมากำหนดเป็นโครงสร้างเพื่อสื่อความหมาย นั่นก็คือ เขาพระสุเมรุต้องมีน้ำล้อมรอบคือนทีสีทันดร มีภูเขาที่น้ำไหลออกจากปากสัตว์ใหญ่ที่อยู่ประจำทิศต่าง ๆ รอบสระอโนดาต คือ สิงห์ ช้าง ม้า และวัว แสดงให้เห็นความสัมพันธ์กับทวีปต่าง ๆ ที่มนุษย์อยู่อาศัย เขาพระสุเมรุมาศที่ตั้งอยู่บนหลังปลาอานนท์ ซึ่งในเวลาสร้างนั้น คุณเล็กให้ความสำคัญกับปลาอานนท์มาก เพราะทั้งเรื่องและรูปแบบจะเป็นสิ่งที่กระตุ้นความสนใจของคนที่เข้ามาชมโดยเฉพาะเด็ก ๆ ได้เป็นอย่างดี เขาพระสุเมรุมาศที่ตั้งอยู่บนหลังปลาอานนท์ สร้างพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ไว้แทนพระอินทร์ เพื่อสอนและสื่อให้คนประพฤติในสิ่งที่มีคุณธรรม แต่ความสำคัญ จะอยู่ที่ปราสาทไพชยนต์ บนยอดเขาพระสุเมรุ ที่คติทางพระพุทธศาสนาเชื่อว่าเป็นที่ประทับของพระอินทร์ ผู้เป็นราชาแห่งเทพและผู้คอยดูแลทุกข์สุขของมนุษย์ แต่คุณเล็กไม่ทำรูปปั้นพระอินทร์ไว้แสดง หากสร้างพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ไว้แทน พระแท่นนี้คือทิพยอาสน์ที่อ่อนนุ่มหรือกระด้างแข็ง ที่ทำให้พระอินทร์ได้รู้ถึงทุกข์สุขของมนุษย์และสัตว์ในสากลโลก จะได้เสด็จลงมาช่วยเหลือ อย่างเช่น การที่พระอินทร์เสด็จลงมาช่วยพระสังข์ทองในเรื่องทางชาดกและวรรณคดี เป็นต้น การที่คุณเล็กไม่ปั้นรูปพระอินทร์ ก็เพราะสิ่งที่บ่งบอกไว้ในไตรภูมินั้น พระอินทร์คือตำแหน่งและสถานภาพของบุคคลที่บำเพ็ญคุณธรรมที่สะสมกันมาหลายภพหลายชาติในการช่วยเหลือมนุษย์และสัตว์ที่ผลัดเปลี่ยนกันมาบังเกิด จึงไม่ใช่เป็นเรื่องเฉพาะตัวของบุคคลใดที่จะดำรงอยู่อย่างตลอดกาลได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ บุคคลใดที่มีจิตเป็นกุศลและดำรงชีวิตอยู่ย่างมีคุณธรรมก็อาจจะไปบังเกิดเป็นพระอินทร์ได้เมื่อมีบารมีสะสมอย่างเพียงพอ ดังนั้นความหมายของการสร้างเขาพระสุเมรุที่คุณเล็กสร้างขึ้นนั้น จึงเป็นเรื่องเพื่อสอนและสื่อให้คนโดยเฉพาะเยาวชนรู้จักและประพฤติในสิ่งที่มีคุณธรรมนั่นเอง ยังมีอีกสถานที่อีกสองแห่งในเมืองโบราณที่อาจนำมากล่าวถึงในที่นี้ที่แสดงให้เห็นว่า คุณเล็กมุ่งที่จะอธิบายความหมายมากกว่ารูปแบบ ก็คือ ตลาดและพระบรมมหาราชวัง คุณเล็กสร้างตลาดบกและตลาดน้ำขึ้นที่เมืองโบราณนั้น ไม่ได้มุ่งหวังให้คนแลเห็นรูปแบบของการเป็นตลาด หากมุ่งหวังให้คนได้รู้จักความเป็นเมืองและสภาพความเป็นอยู่ของคนในสังคมเมืองมากกว่าสถานที่ขายของขายสินค้า ดังนั้นย่านตลาดของคุณเล็กจึงเป็นแหล่งที่มีผู้คนหลายอาชีพรวมทั้งหลายชาติพันธุ์เข้ามาตั้งที่อยู่อาศัยและประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างมีระเบียบแบบแผนในการดำรงชีวิตร่วมกัน จึงเป็นชุมชนที่มีความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างกัน มีพื้นที่ทางเศรษฐกิจ เช่น ตลาดขายของสดและของต่างๆ ในการดำรงชีวิต และมีพื้นที่ทางจิตวิญญาณและพิธีกรรม เช่น วัด ศาลเจ้า และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะสิ่งที่เรียกว่าตลาดน้ำนั้น แท้จริงก็คือชุมชนเมืองในที่ลุ่มแม่น้ำและลำคลองที่ใช้พื้นที่ในท้องน้ำลอยเรือค้าขายแลกเปลี่ยนสิ่งของที่จำเป็นทางเศรษฐกิจในการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันนั่นเอง มีหลายคนที่ยึดติดรูปแบบมักจะเปรย ๆ ออกมาว่า ไม่เห็นมีกิจกรรมลอยเรือขายของที่ตลาดน้ำเลย คุณเล็กก็จะอธิบายว่า กิจกรรมลอยเรือขายของนั้น ไปดูที่ไหนก็ได้ มีการนำเที่ยวนำชมอยู่ทั่วไป แต่ที่เมืองโบราณนั้น ท่านต้องการให้แลเห็นความเป็นชุมชนเมืองที่ตั้งอยู่ในน้ำและริมลำน้ำตามแบบเก่า ๆ ที่ปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว โดยเฉพาะการนำเรือนแพซึ่งแต่ก่อนก็คือ ร้านค้าและเรือนค้าที่เคยมีอยู่ตามลำแม่น้ำลำคลองมาแสดง รวมทั้งการสร้างศาสนสถาน เช่น ศาลเจ้า โรงเจ วัด มัสยิด และโบสถ์ฝรั่ง ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นเมืองในสังคมไทยนัน คนหลายชาติหลายภาษาและหลายศาสนา สามารถอยู่รวมกันได้อย่างสันติสุข และมีสำนึกร่วมกับการเป็นคนสยามหรือคนไทยด้วยกัน ส่วนในเรื่องของพระบรมมหาราชวังนั้น คุณเล็กเลือกสร้างสถานที่อันแสดงให้เห็นถึงสถาบันพระมหากษัตริย์และศูนย์กลางในการปกครองราชอาณาจักรของทั้งอยุธยาและกรุงเทพฯ ให้คนรู้จัก อันได้แก่ พระที่นั่งสรรเพชรมหาปราสาท และพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ทั้งสองแห่งนี้นอกจากจะมีความงดงามทางสถาปัตยกรรมและความเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองการปกครองที่อาจเชื่อมโยงกับเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ได้แล้ว ยังแสดงอัตลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมที่แตกต่างกันระหว่างอยุธยาและกรุงเทพฯ ด้วย นั่นคือ พระที่นั่งสรรเพชรมหาปราสาทเป็นพระที่นั่งแบบมุขยาวและมุขสั้นอยู่ด้วยกัน เป็นสิ่งที่ไม่มีพบในพระบรมมหาราชวังของกรุงเทพฯ ในขณะที่ทางกรุงเทพฯ ความสำคัญอยู่ที่พระที่นั่งจตุรมุข คือพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ความแตกต่างกันระหว่างพระบรมมหาราชวังทั้งสองแห่งนี้ อาจเป็นสิ่งยั่วยุให้คนที่เข้ามาชมตั้งข้อสังเกต ตั้งคำถาม และไปหาคำตอบจากเนื้อหาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ต่อไป พระที่นั่งสรรเพชญมหาปราสาท สัญลักษณ์ของกรุงศรีอยุธยา คุณเล็กอึดอัดและไม่ชอบกับการที่มีคนกล่าวว่า เมืองโบราณเป็นเมืองเนรมิตและจำลองของเก่า ๆ มาสร้าง เพราะคำว่าเนรมิตนั้น ค่อนข้างจะเป็นเรื่องที่ทำอะไรขึ้นมาจากความเพ้อเจ้อ หรือเพ้อฝันเป็นสำคัญ ส่วนคำว่าจำลองนั้นคือการติดยึดกับรูปแบบและเน้นความสำคัญอยู่ที่รูปแบบอย่างหยุดนิ่ง ใคร ๆ ก็ทำได้ โดยเฉพาะคนที่มีเงินโดยทั่วไป ทำนองตรงข้าม คุณเล็กจะทำอะไรหรือเลือกสร้างอะไรนั้น ต้องศึกษาต้องมีข้อมูลและค้นหาความหมายเสียก่อน เพื่อดูว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อการเรียนรู้ที่จะนำไปสู่ความเข้าใจในปัจจุบันและอนาคตได้อย่างไร เมืองโบราณอุบัติขึ้นจากความรู้สึกและประสบการณ์ของคุณเล็กที่แลเห็นว่า ในช่วงเวลาสี่สิบกว่าปีที่ผ่านมานั้น สังคมไทยพัฒนาอย่าลืมอดีตและเน้นความต้องการทางวัตถุเป็นสำคัญ จึงเป็นผลที่ทำให้คนรุ่นใหม่เติบโตอย่างขาดรากเหง้า จึงจำเป็นที่จะต้องมีการศึกษาและรวบรวมข้อมูลหลักฐานทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของสังคมในอดีตมาไว้ เพื่อคนรุ่นหลังจะได้ศึกษาและเรียนกัน สิ่งนี้เป็นที่มาของการสนับสนุนให้มีกลุ่มนักวิชาการออกไปทำการศึกษาสำรวจค้นคว้าและนำเอาหลักฐานเรื่องราวมาตีพิมพ์เป็นวารสารเมืองโบราณ ในขณะเดียวกันคุณเล็กเองก็เลือกเฟ้นสิ่งที่ท่านเห็นว่าดีและมีประโยชน์ในอดีตมาสร้างให้เป็นความรู้อย่างเป็นรูปธรรมในเมืองโบราณ เพื่อสื่อให้แก่คนทั่วไปได้เรียนรู้ โดยเหตุนี้ ทั้งวารสารเมืองโบราณที่มีการพิมพ์ต่อเนื่องมาเป็นเวลา ๓๐ ปีและเมืองโบราณก็คือ กิจกรรมทางปัญญาที่คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ค้นหาและสร้างขึ้น อันเนื่องมาจากการเห็นคุณค่าและภูมิปัญญาของอดีตนั่นเอง อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ร้านค้าเครื่องหวายบนถนนมหาไชย ถนนสายประวัติศาสตร์
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2558 แนวถนนมหาไชย ภาพจากแผนที่พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๔ ‘ถนนมหาไชย’ เป็นถนนเส้นหนึ่งในกรุงเทพมหานครเริ่มต้นตั้งแต่ถนนราชดำเนินกลางบริเวณสี่แยกป้อมมหากาฬข้ามคลองหลอดวัดราชนัดดา วัดเทพธิดาราม ตัดกับถนนบำรุงเมืองและถนนหลานหลวง ข้ามคลองหลอดวัดราชบพิธ ตัดกับถนนเจริญกรุง จนกระทั่งถึงถนนพีระพงษ์ ถนนเยาวราช และถนนจักรเพชร สำหรับที่มาของชื่อถนนมหาไชย มีดังนี้ เดิม ‘มหาไชย’ เป็นชื่อของป้อมปราการ ๑ ใน ๑๔ ป้อมที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น เมื่อทรงสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นราชธานี ต่อมาเมื่อบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย ป้อมปราการสำหรับการป้องกันพระนครถูกลดความสำคัญลง ป้อมมหาไชยจึงถูกรื้อถอนและมีการตัดถนนผ่านบริเวณป้อมมหากาฬที่ถูกรื้อไป จึงมีการตั้งชื่อถนนว่า ‘ถนนมหาไชย’ ขึ้นแทน ถนนมหาไชย เป็นถนนเส้นหนึ่งที่มีความสำคัญสำหรับย่านเมืองเก่าภายในกำแพงพระนคร เป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ที่มีความทรงจำเกี่ยวกับผู้คนในอดีตมาอย่างยาวนาน เกือบทั้งสายมีสถานที่สำคัญและมีความสัมพันธ์กับผู้คนในอดีตตั้งอยู่ ไม่ว่าจะเป็นป้อมมหากาฬ ตลาดสำราญราษฎร์ ย่านประตูผี หรือแม้แต่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครในอดีต นอกจากนั้นยังมีชุมชนเก่าแก่ตั้งอยู่บนถนนเส้นนี้อีกเช่นกัน เช่น ชุมชนป้อมมหากาฬ ชุมชนบ้านสายรัดประคด ชุมชนข้างเรือนจำ ฯลฯ ซึ่งชุมชนเหล่านี้ล้วนเป็นชุมชนที่อาศัยอยู่ร่วมกันในพื้นที่มาอย่างยาวนานและเป็นชุมชนที่มีความพิเศษกว่าชุมชนอื่น เนื่องจากเป็นชุมชนที่มีการผลิตงานฝีมือที่มีชื่อเสียง แต่บางชุมชนที่ไม่มีการสืบทอดงานฝีมือต่อมา งานฝีมือซึ่งเป็นสิ่งล้ำค่าเหล่านั้นต้องสูญหายไปตามกาลเวลา ดังในชุมชนสายรัดประคดที่ปัจจุบันไม่มีผู้คนที่สืบต่อการทำสายรัดประคดแล้วเลิกทำเพราะหมดความนิยมและไม่มีผู้สืบต่อเหลือเพียงแต่ชื่อของชุมชนไว้เพื่อเล่าเรื่องว่าครั้งหนึ่งเคยมีการทำสายรัดประคดเท่านั้นแต่ก็ยังคงมีอีกหลายชุมชนเช่นกันที่ยังคงสืบทอดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน เช่น ป้อมมหากาฬที่มีชื่อเสียงในเรื่องของการทำกรงนกหรือการขายพลุริมประตูป้อมมหากาฬ ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงมีอยู่ และหากจะกล่าวถึงย่านที่มีร้านขายเครื่องหวายในเขตพระนครที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักมาตั้งแต่ในอดีต ก็คือ ‘ชุมชนข้างเรือนจำ’ ตั้งอยู่ใกล้กับสวนรมณีนาถ บนถนนมหาไชย บริเวณนี้เดิมเป็นชุมชนที่ประกอบอาชีพขายเครื่องหวาย ปัจจุบันเหลือร้านค้าหวายอยู่เพียง ๓ ร้านเท่านั้น คือ ร้านนายเหมือน ร้านสุริยาพานิช และร้านยุพดีวานิช หากจะถามว่าร้านใดที่มีชื่อคุ้นหูและได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุด ผู้คนทั่วไปคงจะนึกถึงร้านนายเหมือน แต่ถึงกระนั้นมีเพียงน้อยคนที่จะทราบว่าจริง ๆ แล้วร้านเครื่องหวายที่เปิดขายเป็นร้านแรกและเก่าแก่ที่สุด คือ ร้านยุพดีวานิช ร้านยุพดีวานิช ตั้งอยู่บนถนนมหาไชย บนพื้นที่ของวังเดิมของเชื้อพระวงศ์ในสมัยรัชกาลที่ ๕ คือ วังของกรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา เป็นแนวยาวไปจนถึงร้านนายเหมือน หลังจากที่มีการรื้อถอนวังเดิมออกก็มีการสร้างเป็นตึกแถวไม้เตี้ย ๆ ชั้นเดียวให้เช่า เจ้าของพื้นที่มีการเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ไป พื้นที่บริเวณนี้กลายเป็นทั้งของมูลนิธิจันทรทัตและสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ คุณยุพดี สีลพัทธ์กุล อายุ ๘๘ ปีเจ้าของร้านยุพดีวานิช ร้านค้าเครื่องหวายเก่าแก่แห่งถนนมหาไชย ภายในร้านค้าที่มีเครื่องหวายหลากชนิด โดยร้านยุพดีวานิชเป็นพื้นที่ของมูลนิธิจันทรทัต ทายาทของเชื้อพระวงศ์ในวังเดิม ส่วนตรงร้านนายเหมือนเป็นพื้นที่ในกรรมสิทธิ์ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่มาของชื่อร้านยุพดีวานิชมาจากชื่อของคุณยายยุพดี สีลพัทธ์กุล เจ้าของร้านยุพดีวานิชรุ่นแรก ที่มีอายุกว่า ๘๘ ปี นับเป็นคนเก่าแก่ที่ผ่านเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในย่านนี้มามาก ท่านจึงมีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับย่านถนนมหาไชย แรกเริ่มเดิมทีคุณยายยุพดีใช้นามสกุล ‘แซ่ลิ้ม’ เป็นคนในย่านเยาวราชมาตั้งแต่เกิดและมีเชื้อสายจีนแคะ คุณยายเล่าให้ฟังถึงตอนเด็ก ๆ ว่า “สมัยก่อนตอนช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ แถวเยาวราชร้านขายเครื่องหนังขายดีมาก เพราะคนญี่ปุ่นชอบใช้เครื่องหนัง โดยเฉพาะกระเป๋าหนัง ร้านขายเครื่องหนังดัง ๆ สมัยก่อนก็มีร้านเซน ช่อง ที่ตั้งอยู่เยื้องกับศาลาเฉลิมกรุงมาหน่อย ร้านนั้นอายุ ๑oo กว่าปีแล้ว ที่นั่นจะขายรองเท้าหนัง อานม้า” ภายหลังจากคุณยายอายุ ๒๐ ปี ก็แต่งงานแล้วย้ายมาอาศัยอยู่ตรงตึกแถวหน้าวังนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๙ ก่อนจะมาเป็นร้านยุพดีวานิช ร้านนี้เคยมีชื่อว่า ‘เหลียนฮับ’ มีความหมายว่า ความสามัคคี มาจากการที่คุณยายมีลูกมากทั้งสามีและคุณยายจึงอยากให้ลูก ๆ มีความสามัคคีกัน ต่อมาภายหลังเปลี่ยนเป็นชื่อ “ยุพดีวานิช” ซึ่งเป็นชื่อของคุณยายที่หลวงพ่อวัดสระเกศฯ ในสมัยนั้นตั้งให้ การเกิดขึ้นของร้านยุพดีเริ่มมาจากการที่พี่ชายของคุณตาย้ายมาจากเมืองจีนพร้อมกับนำความรู้เรื่องการทำเครื่องหวาย เครื่องจักสานในการทำเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ เข้ามาด้วย การทำร้านเครื่องหวายเริ่มต้นจากการทำห่วงไม้หวายที่ใช้เล่นในเกมโยนห่วงตามงานวัด ซึ่งได้รับความนิยมมากเพราะมีการสั่งทำห่วงอย่างไม่ขาดสาย จนมาภายหลังตั้งเป็นร้านเหลียนฮับหรือร้านยุพดีวานิชขึ้น ในช่วงนั้นร้านเครื่องหวายยุพดีถือได้ว่าเป็นร้านแรกที่ทำตะกร้าหวายลวดลายละเอียดประณีตแล้วส่งต่อไปยังอยุธยา อาจจะเรียกได้ว่าเครื่องหวาย เครื่องจักสานพวกตะกร้าต่างๆ ของอยุธยามีการรับอิทธิพลมาจากร้านหวายในย่านนี้ด้วย สมัยก่อนสินค้าที่จำหน่ายในร้านยุพดีวานิชที่เป็นงานฝีมือทางร้านจะทำเองทั้งหมด ซึ่งคนที่ทำส่วนใหญ่ก็จะเป็นลูกหลานในครอบครัวที่ช่วยกันสานเครื่องหวาย ในปัจจุบันการทำเครื่องหวายก็ยังมีทั้งที่ทางร้านทำเองและรับมาขายโดยการสั่งทำ เครื่องหวายที่ทำเองจะทำเป็นอะไหล่แต่ละชิ้นย่อย ๆ แล้วส่งให้แต่ละบ้านที่มีฝีมือทำแทน เพราะขาดแรงงานในการทำ คนเก่าแก่ก็เสียชีวิตไปจนหมดหรือลูกหลานที่เคยทำเครื่องหวายหลังจากเรียนจบก็หันไปทำงานด้านอื่นแทน ดังนั้นทุกวันนี้ส่วนเครื่องหวายที่สั่งทำมีการสั่งมาจากกลุ่มที่ทำงานฝีมือทางภาคเหนือและภาคอีสาน ภายในร้านเครื่องหวายยุพดีวานิชมีการจำหน่ายสินค้าหลายประเภทด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้หวาย ตะกร้าหวาย กระเป๋าจักสานหลากหลายขนาด ทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กมีให้เลือกมากมายสมัยก่อนเครื่องหวายจะเป็นที่นิยมมาก แม้แต่เมื่อครั้งมีงานเทศกาลสำคัญต่างๆ ก็จะมีการเชิญให้ร้านนำเครื่องหวายไปขายตามงานต่าง ๆ เช่น งานกาชาด งานเกษตร หรือแม้แต่งานประจำปีของวัดสระเกศ อีกทั้งยังมีการทำส่งไปยังต่างจังหวัด เช่น อยุธยาด้วย แต่ปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่ที่ซื้อจะเป็นลูกค้าประจำ หรือลูกค้าเก่าแก่ที่ซื้อขายกันมานาน เนื่องจากความนิยมในเฟอร์นิเจอร์เครื่องหวายเริ่มลดน้อยลงไปตามกาลสมัยที่มีวัสดุอื่นเข้ามาแทนที่วัสดุที่หาได้ตามธรรมชาติและมีความคลาสสิกอย่างงานเครื่องหวาย เมื่อย้อนกลับไปในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ นอกจากพื้นที่บริเวณนี้จะมีชื่อเสียงในเรื่องของเครื่องหวายแล้ว ยังเป็นพื้นที่ที่ตั้งของสถานที่สำคัญด้วย ไม่ว่าจะเป็นประตูผี วังของเชื้อพระวงศ์ในรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของวังหลายวัง แค่เพียงบริเวณตึกแถวร้านเครื่องหวายนี้ก็มีวังเชื้อพระวงศ์ตั้งอยู่ถึง ๒ วัง คือ วังกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์และวังกรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา เชื้อพระวงศ์ในรัชกาลที่ ๔ ซึ่งนี่ก็อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ระบบสาธารณูปโภคและการคมนาคมในพื้นที่บริเวณนี้มีการพัฒนาไปมาก ทั้งถนนหนทาง เส้นทางรถรางวิ่งรอบพระนคร คุณยายเล่าว่า “เมื่อก่อนถ้าจะข้ามไปฝั่งวรจักร รถยนต์ข้ามไปไม่ได้เลย เพราะเป็นเพียงแค่ไม้กระดานแผ่นเดียวมีแต่หญ้าและผักบุ้งขึ้นข้างทางเยอะแยะ สะพานข้ามคลองสมัยก่อนก็ไม่ได้มีเยอะถ้าจะข้ามก็ต้องไปข้ามตรงวัดสระเกศกับตรงสะพานสมมตอมรมารคเท่านั้น จนปี พ.ศ. ๒๕๐๕ เพิ่งจะมาสร้างสะพานดำรงสถิตรถยนต์ถึงข้ามไปได้” นอกจากนี้บริเวณรอบ ๆ ก็มีแหล่งอุตสาหกรรมขนาดเล็กตั้งอยู่อีกจำนวนมาก เช่น ฝั่งตรงข้ามร้านหวายจะมีโรงทำกระทะใบบัวเหล็ก โรงน้ำแข็ง และโรงเลื่อย ส่วนโรงทำขนมปังตั้งอยู่บริเวณวัดสระเกศและมีโรงกลึงตั้งอยู่ถัดจากกัน ปัจจุบันสถานที่เหล่านี้หายไปจนหมดกลายเป็นตึกแถว ๒-๓ ชั้นตั้งอยู่แทน พื้นที่ในเกาะรัตนโกสินทร์ยังมีถนนอีกหลายสายที่มีความทรงจำของผู้คนที่ตกค้างหลงเหลืออยู่ให้เราค้นหา เช่น ถนนบำรุงเมือง ถนนราชดำเนิน ฯลฯ ซึ่งถนนทุกสายล้วนมีประวัติศาสตร์แตกต่างกันออกไป เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้นักท่องย่านเมืองเก่าทั่วโลกใฝ่ฝันถึง หากแม้การเปลี่ยนแปลงจากการพัฒนาสถานที่รอบเกาะรัตนโกสินทร์เพื่อให้มีความเป็นศิวิไลซ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้ความทรงจำเหล่านี้หายไป คนรุ่นใหม่จะเข้าใจและค้นหาความหมายของความทรงจำที่คนเก่าแก่ทิ้งไว้ให้ได้อย่างไร นักท่องเที่ยวจะเข้ามาพบกับความเป็นศิวิไลซ์ที่ไม่ได้มีความแตกต่างและมีเอกลักษณ์ต่างไปจากสถานที่อื่นได้อย่างไร หากในอนาคตสิ่งเหล่านี้หายไปจนหมดสิ้น ขอขอบคุณผู้ให้ข้อมูล คุณยุพดี สีลพัทธ์กุล อายุ ๘๘ ปี เจ้าของร้านยุพดีวานิช ถนนมหาไชย พัชรินธร เดชสมบูรณ์รัตน์ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- พื้นที่ย่านชานพระนครและคลองเมือง
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2558 คลองเมืองที่ขุดมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีคือ “คลองโรงไหม” หรือ “คลองหลอด” หรือ “คลองคูเมืองเดิม” ส่วน “คลองวัดสังเวช-โอ่งอ่าง” ขุดในสมัยแรกสร้างกรุงเทพฯ จนมาถึงคลองเมืองสายนอกคือ “คลองขุดใหม่หรือคลองผดุงกรุงเกษม” ที่ขุดในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดูเหมือนสองฝั่งคลองวัดสังเวช -โอ่งอ่างจะเกิดแหล่งที่อยู่อาศัยของผู้คนหนาแน่นกว่าบริเวณอื่น ผู้คนชาวบ้านธรรมดาส่วนมากตั้งถิ่นฐานเรียงรายอยู่ทั้งสองฝั่งคลอง เป็นชุมชนที่อยู่อาศัยและสร้างงานหัตถกรรมจนถึงอุตสาหกรรมในครัวเรือนหลายชนิด เกิดแหล่งย่านการค้าทั้งขายส่งและค้าขายรายย่อย ทั้งตลาดบกและตลาดน้ำ เพราะเป็นคลองเมืองที่เชื่อมต่อกับคลองมหานาคที่สามารถเดินทางออกไปนอกเขตพระนครทางฝั่งตะวันออกได้โดยสะดวก ทางฝั่งพระนคร ชุมชน และตลาด อยู่ตามชานพระนคร คือ พื้นที่ห่างกำแพงเมืองมายังชายน้ำ ส่วนบรรดาเจ้านายขุนนางและข้าราชการส่วนใหญ่มีนิวาสสถานอยู่ภายในกำแพงพระนครที่มีทั้ง ป้อม ประตูเมือง และประตูช่องกุด อันเป็นช่องทางที่ผู้คนภายในเมืองจะออกไปริมลำคลองเพื่อการคมนาคมได้ เหตุนี้ตั้งแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ลงมา จึงมีการสร้างวังของเจ้านายน้อยใหญ่ที่ทรงกรมเป็นแนวขนานกับกำแพงเมืองมากมาย ดังนั้นพื้นที่ย่านชานพระนครและคลองวัดสังเวช-โอ่งอ่าง จึงเป็นบริเวณย่านเศรษฐกิจและสังคมที่มีทั้งสังคมของชาววังและสังคมของชาวบ้านที่มีหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นพื้นที่สำคัญของกรุงรัตนโกสินทร์มาตั้งแต่เริ่มสร้างพระนคร ชีวิตทางสังคมของคนกรุงเทพฯ ถือกำเนิดในย่านดังกล่าวนี้และเติบโตเรื่อยมา จนเมื่อเมืองขยายอย่างใหญ่โตหลังกำเนิดแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติหลัง พ.ศ. ๒๕๐๐ ลงมา ทำให้ผู้คนหลงลืมย่านเก่า ที่ถือเป็นจุดกำเนิดชีวิตทางสังคมและเศรษฐกิจของคนกรุงเทพฯ และมีการจัดการเมืองแบบสมัยใหม่ที่เน้นความสวยงามแต่ไม่ได้ทำความเข้าใจชีวิตทางสังคมของผู้คนที่เคยมีมา แผนที่กรุงธนบุรีทำโดยชาวพม่า แสดงสถานที่สำคัญหลายแห่ง และระบุบริเวณที่เป็นพระบรมมหาราชวังของกรุงเทพฯ ในปัจจุบันคือกลุ่มบ้านของพระยาราชาเศรษฐี (จีนตั้งเลี้ยง) - หมายเลข ๒๐ และเห็นแนวคลองคูเมืองเดิมทางด้านซ้าย - หมายเลข ๑๓ แผนที่เมืองธนบุรี ซึ่งเป็นเมืองสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เรียกว่าเมืองอกแตก คลองคูเมืองเดิมของกรุงธนบุรีกลายเป็นคลองเมืองชั้นในเมื่อเปลี่ยนเป็นสมัยกรุงเทพฯ ผู้คนในพื้นที่ชานพระนครและสองฝั่งคลองเมืองยุคปัจจุบัน จึงต้องต่อสู้กับการถูกลบออกไปจาก “ประวัติศาสตร์ของเมืองกรุงเทพมหานคร” ประวัติศาสตร์เมืองที่ขาดไร้ “ชีวิตทางสังคม” ของผู้คนที่มีรากเหง้าหลากหลายและเคยอยู่อาศัยกันมา กรุงเทพฯ ในยุคกรุงธนบุรี พื้นที่ฝั่งตะวันออก กรุงธนบุรีซึ่งเป็นเมืองอกแตก ผู้คนส่วนใหญ่อยู่อาศัยทางฝั่งตะวันตกที่เป็นเกาะบางกอก บ้านเรือนอยู่ริมแม่น้ำลำคลองและเรือกสวน รวมทั้งพระราชวังพระมหากษัตริย์ วังเจ้านาย บ้านเรือนขุนนาง วัดสำคัญ และที่ทำการรัฐบาล ส่วนทางฝั่งตะวันออกภายในเขตคลองเมืองที่ปัจจุบันเป็นคลองเมืองชั้นในของเมืองกรุงเทพฯ ที่เรียกว่า คลองโรงไหมหรือคลองหลอด ขุดคลองแล้วนำดินพูนเป็นเชิงเทิน ปักแนวไม้ทองหลางทั้งต้นเป็นกำแพง ภายในเมืองแม้จะมีวัดโบราณมาแต่สมัยอยุธยา เช่น วัดโพธิ์ วัดสลัก วัดกลางทุ่งหรือวัดตองปุ พื้นที่เป็นท้องทุ่งและสวนมีชุมชนหลายชาติพันธุ์เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยโดยเฉพาะคนจีนและคนมอญ เมื่อแรกสร้างกรุงเทพมหานครจึงขุดคลองเมืองใหม่ คือ คลองบางลำพูและคลองโอ่งอ่าง ก็ได้ย้ายพระราชวัง ที่ทำการรัฐบาลและสร้างพระบรมมหาราชวัง วังเจ้านาย และสถานที่อยู่อาศัยของพวกขุนนางบางส่วนมาอยู่ภายในเขตคลองเมืองชั้นในซึ่งเป็นคลองเมืองสมัยกรุงธนบุรี และย้ายนิวาสสถานของขุนนางและชุมชนชาวจีนในพื้นที่ตั้งแต่บริเวณที่เป็นพระบรมมหาราชวังตามฝั่งน้ำไปทางใต้ ซึ่งปัจจุบันเป็นบริเวณ พาหุรัดและสำเพ็ง คลองเมืองกรุงเทพมหานครในช่วง ๑๐๐ ปีเมื่อแรกสร้าง คลองคูเมืองเดิม-คลองโรงไหม-คลองหลอด-คลองตลาด เป็นคลองเดียวกันที่ขุดในสมัยกรุงธนบุรีจากท่าช้างวังหน้าทางทิศเหนือไปออกที่ปากคลองตลาดทางทิศใต้ ระยะทางราว ๒.๔ กิโลเมตร เมื่อย้ายพระนครมาอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาจึงกลายเป็นเส้นทางคมนาคมแทนที่คูเมืองและกำแพงป้องกันเมือง ปากคลองด้านทิศเหนือผ่านโรงไหมหลวงจึงเรียกว่า “คลองโรงไหม” และเมื่อมีการขุดคลองหลอดเป็นแนวตั้งเชื่อมกับคลองเมืองชั้นนอกจึงเรียกคลองช่วงนี้ว่า “คลองหลอด” และเมื่อจะออกแม่น้ำเจ้าพระยามีย่านการค้าทั้งตลาดบกและตลาดน้ำก็เรียกว่า “คลองตลาดหรือปากคลองตลาด” คลองคูเมืองเดิมนี้กลายเป็นเส้นทางน้ำสำหรับเดินทางและขนส่งสินค้าของประชาชนภายในพระนคร คลองวัดสังเวช-คลองโอ่งอ่าง ขุดขึ้นเป็นคลองเมืองของกรุงเทพมหานครในสมัยเมื่อแรกสร้างกรุง พ.ศ. ๒๓๒๖ จากบางลำพูทางทิศเหนือไปออกแม่น้ำเจ้าพระยาทางทิศใต้บริเวณใกล้วัดเชิงเลนระยะทางราว ๓.๖ กิโลเมตร สร้างกำแพงอิฐ ป้อม และประตูเมืองไว้โดยรอบพระนครบันทึกไว้ว่า มีประตูใหญ่ ๑๖ ประตู ประตูช่องกุด ๔๗ ประตู และมีป้อมทั้งสิ้น ๑๔ ป้อม มีการเรียกชื่อคลองเส้นเดียวกันนี้แตกต่างกันไปตามย่านชุมชนหรือวัดคือ คลองวัดสังเวช คลองสะพานหัน คลองวัดเชิงเลน (วัดบพิตรพิมุข) คลองโอ่งอ่าง และทำให้มีการขยายตัวของวังเจ้านาย สถานที่อยู่อาศัยของขุนนางข้าราชการ วัดวาอาราม กรมทหาร ที่ทำการรัฐบาล ห่างจากคลองเมืองชั้นในมาทางตะวันออกมากขึ้น สิ่งที่ทำให้มีการขยายตัวของสถานที่อยู่อาศัยที่สำคัญก็คือ การขุดคลองหลอดสองแห่งเชื่อมต่อระหว่างคลองเมืองชั้นในกับคลองเมืองบางลำพูหรือโอ่งอ่างเป็นผลให้เกิดการสร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของผู้ที่เป็นขุนนาง ข้าราชการตามมาทั้งสองฝั่งคลอง คลองหลอดบน คลองหลอดทั้ง ๒ คลอง ขุดในคราวเดียวกับคลองเมืองเมื่อแรกสร้างพระนคร ชักน้ำเชื่อมต่อระหว่างคลองคูเมืองเดิมและคลองเมืองใหม่เป็นแนวตรงระยะทางราว ๑.๑ กิโลเมตร และใช้สัญจรทำให้เกิดวัดและชุมชนสองฝั่งคลองตามมา “คลองหลอดบน” เริ่มแต่วัดบุรณศิริมาตยารามริมคลองเมืองฝั่งนอกขนานกับถนนราชดำเนินกลางมายังวัดมหรรณพารามไปออกคลองบางลำพูที่วัดเทพธิดาและวัดราชนัดดาใกล้กับป้อมมหากาฬ อันเป็นบริเวณที่มีการขุดคลองมหานาคผ่านวัดสระเกศไปทางตะวันออกจนจรดคลองผดุงกรุงเกษมที่ขุดในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ภาพแผนที่กรุงเทพมหานคร พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๔ เพื่อแสดงแนวคลองเมืองในยุคต่าง ๆ ภาพแผนที่กรุงเทพฯ พ.ศ. ๒๓๖๕ จากหนังสือจดหมายเหตุการเดินทางของเซอร์จอห์น ครอฟอร์ด จะเห็นแนวคลองคูเมืองเดิมและมีพระบรมมหาราชวัง วัดมหาธาตุ วัดพระเชตุพนรวมทั้งวังหน้าอยู่ภายใน ส่วนคลองเมืองวัดสังเวช-โอ่งอ่าง ขุดล้อมรอบชั้นนอก และเห็น "ตึกดิน" ที่มีแนวคูน้ำล้อมอย่างเด่นชัด อย่างไรก็ตามพบว่าบรรดาบ้านเก่าเรือนเก่าและตึกที่พบตามสองฟากคลองของคลองหลอดตั้งแต่ วัดบุรณศิริมาจนถึงปากคลองที่อยู่ระหว่างวัดเทพธิดาและวัดราชนัดดา ดูมีอายุอยู่ในสมัยแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ลงมาถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เท่านั้น แม้แต่วัดเทพธิดาและวัดราชนัดดาก็เป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ส่วนวัดมหรรณพารามและวัดบุรณศิริมาตยารามก็ปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ราวรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ซึ่งแต่เดิมอาจเป็นวัดเก่าอยู่ก่อนที่มีผลทำให้เป็นวัดศูนย์กลางของชุมชนที่อยู่ตาม คลองหลอด ต่อมาจนปัจจุบัน ดังนั้น วัดมหรรณพาราม จึงเป็นศูนย์กลางของชุมชนพร้อมกับเมื่อมีการสร้างถนน สร้างโรงเรียนแห่งแรก มีตลาดและศาลเจ้าพ่อเสือ ในขณะที่ วัดบุรณศิริมาตยาราม เป็นศูนย์กลางของชุมชนสองฝั่งคลองหลอดและบรรดาผู้คนที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของคลองเมืองเดิมตั้งแต่สะพานผ่านพิภพลีลาไปจนถึงสะพานมอญ คลองหลอดล่าง ขุดจากคลองเมืองเดิมบริเวณหน้าวังสราญรมย์ผ่ากลางพระนคร ผ่านวัดราชบพิธ ผ่านหลังวัดสุทัศนเทพวราราม ผ่านเรือนจำพระนครออกคลองโอ่งอ่างระยะทางราว ๘๐๐ เมตร เมื่อแรกขุดคลองย่านนี้ไม่มีวัดเก่า แต่ปากคลองเป็นสวนและบ้านเรือนขุนนางข้าราชการและวังเจ้านาย โดยเฉพาะวังสราญรมย์นั้น เป็นสวนกาแฟที่อยู่ใกล้กับพระบรมมหาราชวัง การตั้งถิ่นฐานหนาแน่นอยู่บริเวณปากคลองทั้งสองด้านคือ คลองเมืองชั้นในและคลองโอ่งอ่าง ต่อเมื่อมีการสร้างวัดราชบพิธในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ พร้อมกันกับการตัดถนนจึงเกิดสถานที่ทำการร้านค้า ตึกรามบ้านช่องริมถนนขึ้นมา ทางฝั่งใต้ของคลองหลอดรวมทั้งสองฝั่งของคลองเมืองชั้นในไปจนถึงปากคลองตลาด มีการตั้งถิ่นฐานของเจ้านายขุนนาง พ่อค้า ประชาชนค่อนข้างมาก ข้ามคลองคูเมืองเดิมเป็นย่านชาวมอญที่ปรากฏเพียงชื่อเหลือไว้คือสะพานมอญและสี่กั๊กพระยาศรี (พระยาศรีสหเทพ ต้นสกุลศรีเพ็ญ) และพื้นที่ซึ่งเป็นวังบ้านหม้อต่อเนื่องขึ้นไปถึงย่านพาหุรัดและวังบูรพา ป้อมมหากาฬ และชานพระนครติดกับคลองวัดสังเวช-โอ่งอ่าง คลองมหานาค ครั้งสร้างกรุงเทพมหานครในการขุดคลองเมืองคือบางลำพู-โอ่งอ่างนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงเกณฑ์ไพร่พลที่เป็นคนเขมร คนตานี และลาวเป็นแรงงาน ซึ่งนอกจากคลองเมืองแล้วก็มีการขุด “ คลองมหานาค ” แยกออกจากคลองเมืองหน้าป้อมมหากาฬ ผ่านวัดสระเกศไปยังท้องทุ่งและที่ลุ่มทางตะวันออกระยะทางราว ๒ กิโลเมตรแล้วต่อกับคลองแสนแสบที่ขุดในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ เมื่อขุดคลองเสร็จแล้วโปรดเกล้าฯให้ชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์นั้นตั้งบ้านเรือนอยู่ริมคลองจนถึงทุกวันนี้ เพราะพื้นที่บริเวณนี้เหมาะสมกับการขยายเขตที่อยู่อาศัยของพลเมืองที่อยู่นอกเมือง มีวัดสระเกศเป็นวัดเก่า โปรดเกล้าฯ ให้ผู้คนที่อพยพมาจากกรุงศรีอยุธยาส่วนหนึ่งเข้ามาตั้งถิ่นฐานเช่น ชุมชนบ้านบาตร ที่เป็นชุมชนหัตถอุตสาหกรรมตีบาตรพระซึ่งคงรวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ทรงพระราชทานนามคลองขุดที่แยกจากคลองเมือง ผ่านมายังวัดสระเกศว่า คลองมหานาคซึ่งเป็นชื่อคลองในทุ่งภูเขาทองของกรุงศรีอยุธยา ทุ่งภูเขาทองที่มีเจดีย์วัดภูเขาทองเป็นประธานอยู่กลางทุ่งนั้นเป็นที่ที่คนอยุธยามาจอดเรือเล่นสักวากันในฤดูน้ำท่วมทุ่งการใช้ชื่อคลองมหานาคให้เหมือนกับที่กรุงศรีอยุธยาก็เพื่อเรียกขวัญประชาชนที่เคลื่อนย้ายมาจากอยุธยาให้เกิดความรู้สึกว่าความเป็นกรุงศรีอยุธยาที่เคยรุ่งเรืองสุขสำราญนั้น ยังไม่สิ้นไปและมาฟื้นฟูใหม่ที่กรุงเทพมหานคร ผลที่ตามมาก็คือทำให้มีการเรียกพระสถูปเจดีย์ของวัดสระเกศเป็นภูเขาทองในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯที่เริ่มสร้างเจดีย์ภูเขาทองขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ทางจักรวาลในพื้นที่ลุ่มทางตะวันออกของกรุงเทพฯ คลองผดุงกรุงเกษม เป็นคลองเมืองชั้นนอกที่ขุดในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวระหว่าง พ.ศ. ๒๓๙๔-๒๓๙๕ จ้างแรงงานชาวจีนเป็นผู้ขุดเพื่อขยายชุมชนออกไปทางทิศตะวันออกของพระนคร ระยะทางรวมราว ๕.๕ กิโลเมตร เริ่มทางทิศเหนือที่วัดสมอแครงหรือวัดเทวราชกุญชร ขนานไปกับคลองวัดสังเวช-โอ่งอ่างตัดผ่านคลองมหานาคจนกลายเป็นย่านการค้าที่สำคัญ คือสี่แยกมหานาค ผ่านวัดหัวลำโพง วัดท่าเกวียนหรือวัดมหาพฤฒารามไปจนจรดแม่น้ำเจ้าพระยาทางทิศใต้แถววัดแก้วแจ่มฟ้า การขุดคลองทำให้เกิดวัดและชุมชนเรียงรายไปตามลำคลองเพิ่มขึ้น เช่น วัดสามจีน (วัดไตรมิตรฯ) วัดพลับพลาไชย วัดโสมนัสราชวรวิหาร วัดมกุฏกษัตริยาราม วัดบางขุนพรหม วัดเทวราชกุญชร ฯลฯ แนวคลองครั้งนั้นไม่มีการสร้างกำแพงเมือง แต่สร้างป้อม ๘ ป้อม ปัจจุบันเหลือแต่เฉพาะป้อมทางฝั่งธนฯ ที่สร้างคราวเดียวกันคือ ป้อมป้องปัจจามิตร ที่ตั้งอยู่ปากคลองสาน ตั้งแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เป็นต้นมา มีการขยายพื้นที่อยู่อาศัยของผู้คนจากเมืองพระนครมาทางฝั่งตะวันออกเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดวัดขึ้นเป็นศูนย์กลางของชุมชนเพิ่มตามขึ้นมา เช่น วัดพระพิเรนทร์ วัดชัยชนะสงคราม วัดจักรวรรดิราชาวาส วัดกันมาตุยาราม วัดสัมพันธวงศ์ วัดปทุมคงคา วัดใหม่ยายแฟง (วัดคณิกาผล) วัดพลับพลาไชย ฯลฯ เมื่อมีการขุดคลองเมืองพระนครชั้นนอกคือคลองผดุงกรุงเกษมขึ้นมานั้น ได้ทำให้วัดต่างๆ ดังกล่าวนี้เข้ามาอยู่ภายในเขตเมืองกรุงเทพมหานคร คลองเมืองผดุงกรุงเกษมมีความสำคัญมากในทางคมนาคมขนส่งสินค้าขึ้นล่องตามลำน้ำเจ้าพระยาเข้ามา ในกรุงเทพมหานคร มีเส้นทางลำน้ำคูคลองที่ติดต่อกับคลองเมืองเส้นต่างๆ และออกแม่น้ำเจ้าพระยาได้ ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายและกระจายตัวของคนจีนและย่านตลาดเพิ่มขึ้นโดยมีทิศทางมาจากริมน้ำเจ้าพระยาตั้งแต่วัดบพิตรพิมุขมาทางวัดสัมพันธวงศาราม วัดปทุมคงคา และวัดแก้วฟ้า กระจายตัวกันขึ้นมาทางวัดใหม่ยายแฟง (วัดคณิกาผล) และวัดพลับพลาไชย ภายในพระนครเมื่อต้นกรุงฯ กรุงเทพมหานครเมื่อแรกสร้างจนถึงราวรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ นั้น พื้นที่ทางตะวันออกของพระบรมมหาราชวัง เช่น วังสราญรมย์เคยเป็นสวนกาแฟ บริเวณท้องสนามหลวงเป็นทุ่งนา บริเวณแม่พระธรณีบีบมวยผมเป็นวังเจ้านายและย่านที่อยู่อาศัยริมคลองเมืองชั้นใน ขณะที่บริเวณพระบวรราชวังซึ่งสัมพันธ์กับวัดสลักเป็นบริเวณที่มีการอยู่อาศัยริมแม่น้ำค่อนข้างหนาแน่นเพราะเป็นท่าเรือจอด เช่น ท่าพระจันทร์ ท่าช้างวังหน้า ฯลฯ บริเวณคลองเมืองชั้นในทางตอนเหนือมี วัดชนะสงคราม หรือวัดตองปุซึ่งเป็นวัดเก่ามาก่อนการสร้างพระนคร มีชุมชนเก่าอยู่ก่อน ต่อมาเมื่อทางวังหน้าบูรณปฏิสังขรณ์วัดชนะสงครามขึ้นมาก็กลายเป็นวัดสำคัญ ของพระบวรราชวัง มีการนำคนมอญเข้ามาตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่โดยรอบ สลับกับวังของเจ้านายฝ่ายวังหน้าที่เริ่มแต่พระราชวังเดิมของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทและวังของกรมหลวงจักรเจษฎา พื้นที่ทั้งภายในกำแพงเมืองด้านเหนือมาจนถึงท่าพระอาทิตย์และป้อมพระสุเมรุปากคลองบางลำพูก็เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของเจ้านายและขุนนางหนาแน่นกว่าที่อื่น ๆ บริเวณปากคลองมหานาค ภูเขาทอง วัดสระเกศฯ อาณาบริเวณซึ่งเป็นวังเจ้าเหล่านี้ ครอบคลุมทั้งภายในกำแพงเมืองและชานพระนครนอกกำแพงเมือง เพราะต้องอาศัยแม่น้ำเป็นทางคมนาคม โดยเจ้านายแต่ละวังสามารถออกจากวังผ่านประตูช่องกุดมายังริมแม่น้ำได้ ซึ่งเมื่อมีการรื้อกำแพงเมืองพระนครแล้วจึงได้มาสร้างตึกเป็นวังในบริเวณชานพระนคร พื้นที่ตั้งแต่วัดชนะสงครามไปถึงบางลำพูเป็นแหล่งที่มีชุมชนกระจายอยู่ มีผู้คนเข้ามาตั้งหลักแหล่งตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น คนมอญแถววัดชนะสงครามถึงบางลำพู คนมุสลิมจากปัตตานีที่กวาดต้อนเข้ามาเป็นชุมชนที่มีมัสยิดเป็นศูนย์กลางและอยู่ไม่ห่างจากวัดชนะสงคราม ต่อมาคนมุสลิมได้ขยายถิ่นฐานมาตั้งมัสยิดและชุมชนในพื้นที่โล่งเป็นทุ่งเป็นคอกวัวบริเวณที่เป็นถนนราชดำเนินกลางที่สร้างขึ้นครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ พื้นที่ทุ่งโล่งกลางพระนครนี้ไม่มีคนอยู่เป็นชุมชน แต่เป็นที่ตั้งของ ตึกดิน ที่มีขอบเขตเป็นกรมทหารที่อยู่ในพื้นที่ซึ่งปัจจุบันเป็นโรงเรียนสตรีวิทยาและบริษัทธนบุรีประกอบรถยนต์ริมถนนราชดำเนินใกล้กับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถัดจากทุ่งโล่งที่มีคอกวัวและเป็นที่ตั้งของ ตึกดิน ก็มีบริเวณคลองหลอดที่ขุดมาจากคลองเมืองชั้นในริมวัดบุรณศิริมาตยารามผ่านวัดมหรรณพารามมายังวัดราชนัดดา-วัดเทพธิดา เป็นบริเวณที่มีการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนชาวพระนครที่เป็นขุนนางและชาวบ้านธรรมดาเป็นส่วนใหญ่ ความเป็นชุมชนเกิดขึ้นแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ซึ่งในช่วงเวลานี้ยังเป็นสมัยที่ยังไม่มีการตัดถนนอย่างในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ คนสัญจรไปมาด้วยทางเท้าและคูคลองเป็นหลัก ชานพระนครและสองฝั่งคลองเมือง บรรดาคูคลองทั้งหลายในพระนครดูไม่สำคัญเท่ากับคลองเมืองด้านตะวันออกคือ “คลองวัดสังเวช-โอ่งอ่าง” ที่เกิดแหล่งที่อยู่อาศัยของผู้คนหนาแน่นกว่าบริเวณอื่น ฝั่งทางพระนครจะมีชุมชนและตลาดอยู่ตาม ชานพระนคร คือ พื้นที่ห่างกำแพงเมืองมายังชายน้ำ ส่วนเจ้านายขุนนางและข้าราชการส่วนใหญ่มีนิวาสสถานอยู่ภายในกำแพงพระนครที่มีทั้ง ป้อม ประตูเมือง และประตูช่องกุด อันเป็นช่องทางที่ผู้คนภายในเมืองจะออกไปริมลำคลองเพื่อการคมนาคมได้ ทางฝั่งคลองเมืองด้านตะวันออกที่อยู่นอกกำแพงเมืองก็มีชุมชนและวัดเรียงรายกันไปตั้งแต่ปากคลองจนถึงปลายคลอง เหตุนี้ตั้งแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ลงมาจึงมีการสร้างวังของเจ้านายน้อยใหญ่ที่ทรงกรมเป็นแนวขนานกับกำแพงเมือง มีทั้งวังรุ่นเก่าแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เช่น วังกรมหมื่นสมมตอมรพันธุ์ วังกรมหลวงพิชิตปรีชากร วังกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ วังกรมหมื่นราชศักดิ์สโมสร วังกรมพระดำรงราชานุภาพ ฯลฯ และวังรุ่นใหม่ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เช่น วังบูรพาภิรมย์หรือวังสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช วังกรมหลวงเทววงศ์วโรปการ วังกรมพระนครสวรรค์วรพินิต ฯลฯ บรรดาเจ้านายของวังเหล่านี้ส่วนใหญ่ใช้ช่องทางวังผ่านประตูช่องกุดและประตูเมืองมายังคลองเมืองในการเดินทางออกนอกพระนคร ย่านวัดบางลำพูหรือวัดสังเวชวิศยาราม คลองเมืองและชานพระนครบริเวณปากคลองฝั่งนอกมีวัดบางลำพูหรือวัดสังเวชวิศยาราม เป็นศูนย์กลางของชุมชน ส่วนด้านในกำแพงเมืองเป็นย่านของวังริมป้อมพระสุเมรุและป้อมพระอาทิตย์ เป็นกลุ่มตระกูลของพระราชวังบวรสถานมงคลหรือวังหน้า ริมคลองมีอาคารบ้านเรือนท่าน้ำและตลาดน้ำต่อเมื่อมีการรื้อกำแพงและประตูเมืองจึงปลูกตึกและอาคารสองฝั่งถนนมากขึ้น คลองวัดสังเวช-โอ่งอ่าง มีเรือสินค้าเข้ามาจากชุมชนรอบนอกมากมาย ย่านวัดรังษีสุทธาวาสหรือวัดบวรนิเวศวิหาร วัดรังษีสุทธาวาสที่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ทรงสร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ เคยเป็นวัดที่มีมาก่อนสร้างวัดบวรนิเวศในครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ และภายหลังจึงมารวมเป็นวัดเดียวกัน และยังอยู่ในอาณาบริเวณย่านวังหน้าในช่วงรัชกาลที่ ๒ และ ๓ ทางฝั่งภายในกำแพงพระนครมีบ้านเรือนปลูกอยู่นอกกำแพงชานเมืองริมน้ำอยู่ไม่น้อย และเป็นอาคารร้านค้าชั้นเดียวบ้าง สองชั้นบ้าง และหันหน้าลงคลองยังคงพบอาคารเหล่านี้หลังตึกแถวที่เคยเป็นแนวกำแพงเมืองที่ถูกรื้อไปแล้วฝั่งตรงข้ามเป็นย่านบ้านเรือนและวังเจ้านายเก่าที่ต่อเนื่องกับย่านวัดตรีทศเทพ และต่อมากลายเป็นโรงไม้ที่ช่างจีนไหหลำทำโรงเลื่อยและรับทำงานไม้และเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ย่านวัดปรินายกและบ้านพานถม อยู่ทางฝั่งนอกพระนคร เยื้องกับป้อมมหาปราบ สร้างโดยเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนีย์) ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ภายหลังเมื่อตัดถนนราชดำเนินแล้วกินอาณาเขตของวัดไปส่วนหนึ่ง บริเวณนี้ต่อเนื่องกับตรอกบ้านพานถมที่มีช่างฝีมือทำลวดลายลงบนพานถมด้วยวิธีการตอกลายลงบนภาชนะที่รองด้วยก้อนรักแบบโบราณ แม้ทุกวันนี้จะถูกตีตลาดจากการทำขันน้ำพานรองแบบปั๊มจากเครื่องจักรกลอุตสาหกรรมหลายสิบปีแล้ว แต่ก็ยังมีร้านไทยนคร ที่ทำเครื่องถมแบบเก่าเหลืออยู่เพียงแห่งเดียว ย่านคลองมหานาคและวัดสระเกศ ฝั่งเหนือคลองมหานาคเมื่อราวสมัยรัชกาลที่ ๒ โปรดเกล้าฯ ให้บรรดาครอบครัวทางใต้จากพัทลุงและนครศรีธรรมราชเข้ามาตั้งถิ่นฐานซึ่งในบรรดาคนเหล่านี้เป็นพวกละคร หนังตะลุง ที่มีความรู้ทางดนตรีและศิลปะการแสดง ทางฝั่งใต้ของคลองมหานาคเป็นพื้นที่ซึ่งมีวัดสระเกศเป็นวัดเก่าที่เป็นศูนย์กลางทางศาสนาและพิธีกรรมที่ผู้คนที่หลากหลายทางชาติพันธุ์ถูกเกณฑ์มาขุดคลองเมืองพระนครซึ่งรวมทั้งคลองมหานาคด้วย นอกจากคนเหล่านี้ยังมีผู้คนที่อพยพมาจากกรุงเก่าเข้ามาตั้งถิ่นฐาน หนึ่งในกลุ่มคนเหล่านี้คือชุมชนที่บ้านบาตร ซึ่งเป็นช่างฝีมือในการทำบาตรพระ ที่ปนเปไปกับทางบ้านบาตรคือชาวจีนกวางตุ้ง จีนไหหลำที่ทำโรงเลื่อยประดิษฐ์วงกบหน้าต่าง กรอบประตูไม้ที่ยังทำเป็นหัตถอุตสาหกรรมจนถึงทุกวันนี้ ส่วนฝั่งตรงข้ามชานพระนครเหนือคลองหลอดวัดราชนัดดาขึ้นมา เป็นกลุ่มย่านบ้านที่ทำสายรัดประคด ซึ่งเป็นงานช่างฝีมือในตระกูลรามโกมุทเริ่มขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ เมื่อครั้งที่ “พระยารามรณรงค์สงคราม รามมีไชยไสวเวียง” (บัว) ได้รับที่ดินพระราชทานในการเป็นแม่กองซ่อมวัดเทพธิดาราม แม้จะทำสืบเนื่องกันมายาวนานแต่ปัจจุบันเลิกทำไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ย่านประตูยอดสะพานหัน อยู่บริเวณหน้าวังบูรพาภิรมย์ที่มีป้อมมหาไชยหรือป้อมสะพานหันตั้งอยู่ แม้จะซ่อมแซมหลายครั้งแต่ก็ยังพังลงมาจนเป็นที่กล่าวขานจดจำ ภายหลังเมื่อทำถนนรอบเมืองมีรถรางแล้วจึงรื้อทั้งกำแพงและป้อมออกเพื่อการคมนาคมสมัยใหม่ที่สะดวกกว่าตลาดสะพานหันเป็นแหล่งธุรกิจการค้า เดิมเป็นย่านการค้าของคนท้องถิ่นทั่วไปก่อนที่จะกลายเป็นย่านการค้าของคนจีน แต่เดิมเป็นสะพานไม้แผ่นเดียวทอดข้ามคลองปลายข้างหนึ่งตรึงแน่นกับที่ อีกปลายหนึ่งวางพาดกับฝั่งตรงข้ามโดยไม่ตอก สามารถจับหันเปิดทางให้เรือผ่านและหันปิดสำหรับคนข้าม ต่อมาได้รับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงลักษณะจากเดิมหลายครั้ง ครั้งสำคัญในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ สร้างเป็นสะพานโครงเหล็กพื้นไม้เรียบเสมอกันใต้พื้นไม่มีล้อเหล็กแล่นบนรางแต่สามารถแยกสะพานออกจากกันให้เรือผ่านได้ และในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ โปรดให้สร้างสะพานหันใหม่ นำแบบมาจากสะพานในประเทศอิตาลี เป็นสะพานไม้รูปโค้งกว้างกว่าปกติสองฟากสะพานมีห้องแถวเล็ก ๆ ให้เช่าขายของและตรงกลางเป็นทางเดิน เป็นสะพานที่ถูกถ่ายรูปไว้มากทีเดียว ส่วนย่านปลายคลองเมืองที่ต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยามีวัดเชิงเลนหรือวัดตีนเลนหรือวัดบพิตรพิมุข ซึ่งเป็นวัดเก่าริมลำน้ำเจ้าพระยา มีมาก่อนการขุดคลองเมืองเป็นศูนย์กลาง สุนทรภู่เมื่อครั้งเป็นพระอยู่ที่วัดเทพธิดารามเขียนไว้ในนิราศสุพรรณเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๔ ว่าเป็นย่านตลาดสินค้าทั้งสดและแห้ง ภายในคลองเต็มไปด้วยเรือขนถ่ายสินค้า เช่น โอ่งอ่าง อิฐ และเกลือก็ใช้เส้นทางเข้ามาทางปากคลองด้านนี้ ศรีศักร วัลลิโภดม, วลัยลักษณ์ ทรงศิริ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ศาลาโรงธรรม ศาลากลางบ้านที่บ้านสายรัดประคด ร่องร่อยชุมชนเก่าในกรุงเทพ ที่ยังเหลืออยู่
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มิ.ย. 2558 ในกรุงเทพมหานครทุกวันนี้ หากกล่าวถึง ‘ ศาลาโรงธรรม ศาลากลางบ้าน หรือศาลากลางย่าน’ คงมีน้อยคนที่เคยเห็นหรือรู้จัก เพราะแทบทุกแห่งเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางกายภาพไปจนถึงโครงสร้างทางสังคม ศาลาโรงธรรมที่เคยเป็นแหล่งทำกิจกรรมส่วนรวมของชุมชนทั้งเป็นสถานที่ทำบุญร่วมกัน โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่วัดทุกวันสำคัญทางพุทธศาสนาหรือเป็นสถานที่พบปะพูดคุยสังสรรค์ในระหว่างเพื่อนบ้านและเครือญาติ บัดนี้แทบจะไม่เคยพบเห็นกันอีก และกลายเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจสำหรับผู้คนในชุมชนเมืองเช่นกรุงเทพมหานครที่รับรู้ว่า ครั้งหนึ่ง กรุงเทพฯ เคยมีศาลาประจำชุมชนอยู่ทั่วไป อาคารศาลาในชุมชน เป็นพื้นที่สาธารณะและมักพบเห็นได้ทั่วไปในทุกท้องถิ่นดั้งเดิม ส่วนใหญ่สร้างตามลักษณะเด่นของศิลปกรรมท้องถิ่นนั้น ยกพื้นสูงบ้างต่ำบ้าง หลังคามุงกระเบื้องและการประดับตกแต่งก็ขึ้นอยู่กับฐานะโดยส่วนรวมของชุมชน ลักษณะเด่นคือผนังเปิดโล่งทั้งสี่ด้านเพื่อการใช้ประโยชน์ที่สะดวกนั่งพัก หลบฝน ทำกิจกรรมต่าง ๆ สำหรับคนจำนวนมาก ศาลาสาธารณะในชุมชนมีหลายประเภทและหลายรูปแบบหน้าที่ เช่น ศาลาที่พักคนเดินทางที่เรายังคงพบเห็นในหลายแห่งในท้องถิ่นทางภาคใต้ ศาลาท่าน้ำโดยเฉพาะตามวัดที่เคยมีการเดินทางสัญจรทางน้ำ และศาลาในวัดที่มีการใช้งานหลากหลาย เช่น ทำบุญ สวดศพหรือทำพิธีกรรมต่าง ๆ ศาลาอีกประเภทหนึ่งที่มีมาแต่ดั้งเดิมและสำคัญสำหรับชุมชนแรกเริ่มเพราะใช้สำหรับทำพิธีกรรมร่วมกันในชุมชนก็คือ ‘ศาลากลางบ้าน’ ในกลุ่มชนระดับเล็ก ๆ ที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่ยังไม่ได้รับศาสนาหลักก็มักใช้ศาลากลางบ้านและลานกลางบ้านสำหรับทำพิธีกรรมเลี้ยงผีบ้าน เลี้ยงผีบรรพบุรุษปีละครั้งเป็นอย่างน้อย นอกจากนั้นจึงใช้ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันอื่น ๆ เช่น จักสาน ทอผ้า พูดคุย ฯลฯ ศาลากลางบ้านในชุมชนพุทธศาสนากลายเป็น ‘ศาลาโรงธรรม’ หากชุมชนนั้นไม่ได้มีศูนย์กลางของชุมชนอยู่ที่วัดใดวัดหนึ่ง ซึ่งหมายถึงเป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ห่างวัดหรือเป็นชุมชนในระดับเมืองที่มีชุมชนรอบวัดหลายชุมชน และอาจจะไม่สะดวกสำหรับคนในชุมชนโดยเฉพาะคนสูงวัยที่จะต้องไปปฏิบัติศาสนกิจในวัดเป็นประจำ เช่น ในวันพระวันโกนหรือการทำบุญที่ไม่ใช่วันอุโบสถศีลหรือวันพระใหญ่ที่อาจจะไม่จำเป็นต้องไปที่วัดหรือไปพักถือศีลร่วมกันที่วัด ก็มักจะทำบุญและนิมนต์พระสงฆ์มาเทศน์กันเป็นการภายในชุมชน ช่วงที่ว่างเว้นจากงานบุญศาลาโรงธรรมก็จะถูกใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมของคนในชุมชนเป็นที่พบปะของชาวบ้านจนกลายเป็นสถานที่ค้าขายไปเสียมากก็มี การสร้างศาลากลางบ้านหรือศาลาโรงธรรม นอกจากได้รับเงินบริจาคของคนในชุมชนก็มักจะมาจากแรงศรัทธาของผู้มีฐานะ ดังที่เรามักพบชื่อของผู้บริจาคติดอยู่หรือเรียกเป็นชื่อศาลานั้นเลยก็มี ในพื้นที่ย่านเก่าของกรุงเทพมหานคร มีการสร้างศาลาอยู่หลายแห่ง แต่ละแห่งสร้างเพื่อเป็นพื้นที่พักสาธารณะในชุมชนเมืองและอยู่ริมถนนในย่านเก่า ที่มีหน้าที่ใช้งานต่างๆ จากความทรงจำและคำบอกเล่าของ ส.พลายน้อย เรื่อง “เล่าเรื่องบางกอก ฉบับสมบูรณ์” โดยสำนักพิมพ์พิมพ์คำ (๒๕๕๕) ดังเช่น บริเวณแถบถนนเฟื่องนคร มี ‘ศาลาเตาปูน’ อยู่บนถนนเฟื่องนคร เป็นศาลาไม้ หลังคามุงกระเบื้อง ‘ศาลาเพชรฉลู’ ตั้งอยู่เชิงสะพานข้างวัดราชบพิธ เป็นศาลาก่ออิฐถือปูน ยกพื้นสูง ‘ศาลาปูน’ อยู่ข้างห้างอับดุลราฮิม เป็นศาลายกพื้น ก่ออิฐถือปูน ‘ศาลาเปรต’ อยู่ใกล้ห้่างทิสแมน เป็นศาลามีฝาไม้สัก ยกพื้นสูง ตำแหน่งที่ตั้งของบ้านสายรัดประคด สายรัดประคด ภาพในอดีตของกลุ่มช่างทอสายที่บ้านสายรัดประคด ศาลาโรงธรรมที่บ้านบาตรซึ่งยังมีการใช้งานของชุมชนในเรื่องสารพัดประโยชน์รวมทั้งการทำบุญ และทำพิธีกรรมของชุมชน บริเวณแถบถนนเสาชิงช้า มี ‘ศาลาตรอกศาลเจ้าครุฑ’ อยู่เชิงสะพานช้างโรงสี เป็นสะพานก่ออิฐถือปูน ยกพื้นสูง หลังคามุงกระเบื้อง ‘ศาลาฝ้าย’ อยู่มุมถนนตีทอง ใกล้วัดสุทัศน์ฯ เป็นศาลาฝาไม้สัก หลังคามุงกระเบื้อง บริเวณแถบบ้านหม้อ - บ้านญวน มี ‘ศาลาตาเพ็ง’ อยู่ใกล้สี่แยกบ้านหม้อ เป็นศาลาฝาไม้ ยกพื้นสูง หลังคามุงกระเบื้อง มีช่อฟ้าใบระกา ‘ศาลาบ้านญวน’ อยู่ไม่ไกลจากสี่แยกถนนพาหุรัด เป็นศาลาไม้ ยกพื้นเตี้ย ๆ บริเวณแถบถนนมหาไชย ‘ศาลาบ้านพระยาจ่าแสน’ อยู่เชิงสะพานช้างโรงหวย เป็นศาลาก่ออิฐถือปูน ‘ศาลาเจ้าพระยาธรรมา’ เป็นศาลาก่ออิฐถือปูน อยู่ใกล้กองมหันตโทษหรือสวนรมมณีนาถในปัจจุบัน ศาลาข้างต้นน่าจะเป็นศาลาสำหรับการใช้งานสาธารณะเพื่อเป็นที่พักการเดินทางในเมืองเก่า แต่สำหรับศาลากลางบ้านที่เป็นศาลาโรงธรรมของชุมชนขนาดเล็ก ๆ ที่เป็นหมู่บ้านในย่านเก่าของกรุงเทพมหานครที่ยังเหลืออยู่แห่งสำคัญได้แก่ ‘ศาลากลางบ้านหรือศาลาโรงธรรมที่บ้านบาตร’ ซึ่งยังคงหน้าที่โดยมีการใช้งานจริง จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่แสดงถึงความเป็น ‘ชุมชนโดยธรรมชาติ’ ที่ยังหลงเหลืออยู่แห่งเดียวในย่านเก่ากรุงเทพมหานคร เดิมศาลาหลังนี้เป็นศาลาไม้ ต่อมาปรับปรุงเป็นศาลาไม้ประกอบปูน ชาวบ้านที่นี่ใช้ศาลาแห่งนี้เป็นศาลาอเนกประสงค์ มีการจัดงานต่างๆ อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ทั้งงานบวช งานแต่งงาน งานศพ งานไหว้พ่อปู่บ้านบาตร นอกจากน้ั้น ยังใช้เป็นสถานที่จัดงานบุญเลี้ยงพระปีละ ๕ ครั้ง คือ ช่วงปีใหม่ วันสงกรานต์ วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา และวันพ่อแห่งชาติ ๕ ธันวาคมของทุกปี ศาลากลางบ้านหรือศาลาโรงธรรมที่ยังคงสภาพดีอยู่อีกแห่งหนึ่งคือ ‘ศาลาโรงธรรมบ้านสายรัดประคด’ แม้ในปัจจุบันผู้คนในชุมชนจะย้ายออกไปมากแล้วจนทำให้ไม่มีการใช้งานเป็นปกติ ศาลาที่บ้านสายรัดประคดนอกจากจะถูกใช้ในกิจกรรมทางศาสนาเหมือนเช่นที่บ้านบาตรแล้ว แต่ยังเคยใช้เป็นสถานที่สำหรับผลิตงานหัตถกรรมชิ้นสำคัญ คือ ‘สายรัดประคด’ อันเป็นที่มาของชื่อ ‘บ้านสายรัดประคด’ นั่นเอง บ้านสายรัดประคดตั้งอยู่ด้านหลังร้านน้ำอบนางลอย ในตรอกเล็ก ๆ ตรงข้ามวัดเทพธิดาราม ขนาบข้างด้วยคลองรอบกรุงทางทิศตะวันออกและคลองหลอดวัดราชนัดดาทางทิศเหนือ และมีทางเท้าเดินต่อเนื่องไปสู่ชุมชนที่ตรอกพระยาเพชรฯ หรือป้อมมหากาฬ ศาลาโรงธรรมที่บ้านสายรัดประคด สายรัดประคด นับเป็น ๑ ใน เครื่องอัฐบริขารทั้ง ๘ อย่าง ที่พระภิกษุสงฆ์ต้องมีประจำตัว คำว่า ‘ประคด’ มีความหมายตามพจนานุกรมว่า แผ่นผ้าหรือด้ายที่ถักเป็นแผ่นยาว ใช้สำหรับคาดเอวหรืออกของภิกษุสงฆ์ ถ้าคาดอกเพื่อไม่ให้จีวรหลุด จะเรียก ‘ประคดอก’ และถ้าใช้คาดเอวเพื่อไม่ให้ผ้าสบงหลุดเรียก ‘ประคดเอว’ การทอสายรัดประคดที่บ้านสายรัดประคด กล่าวกันว่าเริ่มขึ้นครั้งแรกตั้งแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อราวพุทธศักราช ๒๔๐๐ ‘พระยารามรณรงค์สงคราม รามมีไชยไสวเวียง (บัว)’ ต้นตระกูลรามโกมุท ได้ไปดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการทางหัวเมืองเหนือ ท่านได้พบช่างชาวอินเดียผู้มีความรู้ด้านการทอเข็มขัดคาดเอวหรือสายรัดประคดสำหรับภิกษุสงฆ์ จึงได้เชิญมาเป็นครูฝึกสอนลูกหลานในตระกูลรามโกมุทที่อาศัยอยู่ร่วมกันในบริเวณอันเป็นที่ตั้งของบ้านสายรัดประคดในปัจจุบัน “พระยารามรณรงค์สงคราม รามมีไชยไสวเวียง” หรือที่ลูกหลานยุคปัจจุบันเรียกว่า ‘เจ้าคุณทวด’ เกิดเมื่อปีฉลู ราวพ.ศ. ๒๓๓๖ ณ บ้านบางยี่โท อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ต่อมาราวปี พ.ศ. ๒๓๗๐ ได้เดินทางเข้ามายังกรุงเทพฯ และถวายตัวเข้ารับราชการ ต่อมาสมัยรัชกาลที่ ๔ ท่านได้มีโอกาสถวายงานเป็นข้าหลวงในสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี พระมเหสีในรัชกาลที่ ๔ จากนั้นจึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เข้ารับราชการในกรมมหาดเล็กและได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น ‘พระอินทราช (บัว)’ ปฏิบัติงานในกรมพระตำรวจหลวงรักษาพระองค์เป็นเวลานานกว่า ๑๒ ปี จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการเมืองตาก เมื่อปี พ.ศ.๒๔๐๓ โดยได้รับบรรดาศักดิ์เป็นพระยาวิชิตชลธีศรีสุรสงครามรามราไชยสวัสดิ์ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๐๙ ได้ไปดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการเมืองกำแพงเพชร และได้รับบรรดาศักดิ์เลื่อนเป็น ‘พระยารามรณรงค์สงครามรามมีไชยไสวเวียง’ ภายหลังเมื่อเกษียณอายุราชการ ก็ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นแม่กองปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุในพระอารามวัดเทพธิดาราม โดยในครั้งนั้นได้ตั้งโรงเลื่อยสำหรับเลื่อยท่อนซุงที่ล่องมาตามริมคลองโอ่งอ่างหรือคลองรอบกรุง ขึ้นบนพื้นที่ว่างนอกกำแพงเมืองตรงข้ามวัดเทพธิดาราม ท่านสามารถควบคุมการทำงานบูรณะปฏิสังขรณ์ให้สำเร็จลงได้อย่างเรียบร้อย รัชกาลที่ ๔ จึงพระราชทานที่ดินราว ๔ ไร่ ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของโรงเลื่อยนั้น ให้เป็นกรรมสิทธิ์ ซึ่งท่านได้จัดสรรที่ดินให้บุตรหลาน ปลูกสร้างบ้านพักของตนเอง โดยมีสิ่งปลูกสร้างภายในชุมชนคือ ศาลากลางบ้านหรือศาลาโรงธรรม ปลูกอยู่ด้วยกัน ศาลากลางบ้านที่บ้านสายรัดประคด เป็นศาลาไม้ เปิดโล่ง ยกพื้นเตี้ย ๆ เป็นเสมือนศูนย์กลางสำคัญของเครือญาติในสายตระกูลรามโกมุท โดยนอกจากจะใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตามโอกาสอันเหมาะสมแล้ว ยังเคยถูกใช้เป็นที่สำหรับตั้งกี่เพื่อทอสายรัดประคดอีกด้วย การทอสายรัดประคดมีอุปกรณ์และขั้นตอนสำคัญ โดยเริ่มด้วยการเลือกใช้ไหมญี่ปุ่นเป็นวัตถุดิบหลัก เพราะมีความเหนียว คงทน สีติดง่าย จากนั้นจึงทำการเตรียมด้ายเพื่อให้สะดวกในการใช้งาน แล้วจึงเข้าสู่ขั้นตอนการเตรียมด้ายยืน หรือที่เรียกว่า การเดินด้าย และการค้นสาย โดยเอาด้ายที่ม้วนแล้ว จากฝั่งหางของกี่มาส่งให้ผู้ที่นั่งอยู่ฝั่งหัวกี่ ด้วยการร้อยด้ายเข้ารูกระ จำนวนเที่ยวที่จะเดินขึ้นอยู่กับความกว้างของสายรัดประคดที่ต้องการทอ จากนั้นจึงทำการ ‘ทอสาย’ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญ ต้องใช้คน ๒ คน คือ ‘คนทอ’ และ ‘คนกลับ’ ช่วยกันส่งสลับด้ายที่เตรียมไว้จนสอดไขว้สานกันเป็นลวดลาย ทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆจนได้ความยาวของสายรัดประคดที่ต้องการแล้วจึงเว้นช่วงสำหรับถักหาง และปักพู่ ก่อนเริ่มทอสายรัดประคดเส้นใหม่ต่อจนสุดความยาวของกี่ ตลาดสำคัญของสายรัดประคดที่ผลิตได้ คือ แหล่งเครื่องสังฆภัณฑ์ย่านเสาชิงช้า แม้การทอสายรัดประคดที่บ้านสายรัดประคดจะขาดหายไปกว่า ๒๐-๓๐ ปีแล้ว เนื่องด้วยขาดผู้สืบทอดความรู้ แต่ยังมีชาวบ้านบางคนที่อาศัยในชุมชนแห่งนี้ เคยเห็นการทอสายรัดประคดและมีส่วนร่วมในขั้นตอนการเดินด้ายซึ่งเป็นขั้นตอนที่เปิดโอกาสให้เด็ก ๆ เข้ามาช่วยแลกกับเงินค่าขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ การเดินด้ายจะเริ่มทำในช่วงบ่ายหรือเย็นของทุกวัน ก่อนที่ช่างทอสายจะเริ่มทอและกลับด้าย จนสำเร็จเป็นสายรัดประคดที่สมบูรณ์ในช่วงเช้าวันถัดไป อย่างไรก็ตาม แม้ว่าศาลาของบ้านสายรัดประคดจะไม่ได้ถูกใช้เป็นสถานที่ตั้งกี่เพื่อทอสายรัดประคดเหมือนเช่นในอดีต แต่ก็ยังถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานบุญประจำปีในช่วงวันสงกรานต์ เป็นงานสำคัญที่เครือญาติมารวมกันอีกครั้ง เกสรบัว อุบลสรรค์ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ไหว้พ่อปู่บ้านบาตร ศรัทธาชาวบ้านในเมืองใหญ่
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มิ.ย. 2558 ศาลพ่อปู่บ้านบาตร ในรูปแบบพ่อปู่ปั้นจากดินเหนียวจำลองเป็นคนสูงอายุ (ซ้าย) ศาลพ่อปู่บ้านบาตร ในรูปแบบเตาแล่นครูบาตรของชาวบ้านบาตร (ขวา) ชุมชนบ้านบาตรเป็นชุมชนเก่าและเรียกได้ว่าเป็นชุมชนแบบธรรมชาติที่ยังคงเหลืออยู่น้อยแห่งในกรุงเทพมหานคร ปัจจุบันอยู่ในเขตพระนคร นอกกำแพงพระนครชั้นในและคลองโอ่งอ่าง-บางลำพูหรือคลองเมืองไม่มากนัก และอยู่ในอาณาบริเวณที่เป็นส่วนหนึ่งในย่านวัดสระเกศวรมหาวิหาร มีเรื่องเล่าการเข้ามาตั้งถิ่นฐานของชาวบ้านบาตรหลายที่มา บ้างก็ว่าเคยตั้งอยู่ในตำบลคลองบาตรพระ พระนครศรีอยุธยา หลังจากที่อยุธยาเสียกรุงในสงครามจึงพากันมาอยู่ในบริเวณนี้ ซึ่งที่มาของชื่อชุมชนบ้านบาตรก็มีที่มาจากการทำบาตรพระที่เป็นอาชีพดั้งเดิมของคนกรุงเก่า บ้างก็ว่าเป็นส่วนหนึ่งเป็นชาวเขมรที่ถูกกวาดต้อนเข้ามาในพระนครตั้งแต่สมัยพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ พร้อมกับงานช่างฝีมือการทำบาตรพระและตั้งหลักแหล่งอาศัยอยู่จนปัจจุบัน เล่ากันว่าช่วงแรกชุมชนบ้านบาตรเคยตั้งอยู่ภายในกำแพงเมืองพระนคร แต่การตีบาตรกันทั้งชุมชนทำให้เกิดเสียงดังสู่ชุมชนโดยรอบรวมถึงพระบรมมหาราชวังที่ประทับของพระมหากษัตริย์ด้วย พอมีการจัดตั้งหมวดหมู่ของชุมชนขึ้น ชุมชนที่มาจากกรุงเก่าจึงย้ายมาอยู่ด้านนอกกำแพงเมืองในบริเวณที่ตั้งของชุมชนบ้านบาตรในปัจจุบัน ซึ่งก็คือ บริเวณสี่แยกเมรุปูน ระหว่างถนนบำรุงเมืองและถนนบริพัตร เป็นเวลา ๒oo กว่าปีมาแล้ว โดยตั้งอยู่ในที่ดินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ บาตรพระของชาวชุมชนบ้านบาตรมีชื่อเสียงในเรื่องความสวยงามและมีเอกลักษณ์ ด้วยขั้นตอนการทำบาตรที่ต้องใช้ความประณีตกว่าที่อื่น แต่ละขั้นผ่านการทำด้วยมือทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการตีขอบ การต่อบาตร การแล่นบาตร การตีและการตะไบ ซึ่งมีอุปกรณ์ที่ใช้แตกต่างกันไป อุปกรณ์เหล่านี้ชาวบ้านบาตรถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องเคารพและมีครูที่ต้องกราบไหว้ก่อนการทำบาตรทุกครั้งเพื่อความเป็นสิริมงคล นอกจากนี้ พิธีกรรมที่สำคัญของทั้งชุมชนก็คือ ชาวบ้านบาตรไหว้บูชาพ่อปู่ก่อนทำบาตรทุกครั้ง โดยถือว่าพ่อปู่เป็นครูและเป็นผู้ที่ปกปักรักษาดูแลชาวชุมชนให้อยู่อย่างปลอดภัย ด้วยความศรัทธาและการระลึกถึงบุญคุณของพ่อปู่นี้ ทำให้ชาวชุมชนบ้านบาตรจัดงานไหว้พ่อปู่ขึ้น ที่มาของตำนานพ่อปู่บ้านบาตรมีการเล่าสืบต่อกันมานานว่า ครั้งหนึ่งมีคนเคยฝันเห็นผู้ชาย รูปร่างสูงใหญ่ นุ่งขาวห่มขาว ผมเกล้ามวย จึงปั้นรูปองค์พ่อปู่นี้ขึ้นมาโดยใช้ดินเหนียว ซึ่งดินเหนียวที่ว่านี้มีการนำเอาดินเหนียวในป่าช้ามาปั้น เพื่อให้เกิดความขลังศักดิ์สิทธิ์ รำถวายพ่อปู่เริ่มจากศาลกลาง แล้วเวียนไปรำจนครบทั้ง ๘ ศาลในชุมชน ศรัทธาต่อพ่อปู่บ้านบาตรเริ่มจาก ช่วงที่ชุมชนบ้านดอกไม้ซึ่งเป็นชุมชนใกล้เคียงเกิดไฟไหม้ มีการระเบิดครั้งใหญ่และมีลูกพลุพุ่งเข้ามาในชุมชนบ้านบาตร ช่วงนั้นบ้านเรือนในบ้านบาตรส่วนใหญ่ทำจากไม้ คนในชุมชนต่างขอให้พ่อปู่ช่วยเพราะกลัวบ้านไฟจะไหม้บ้าน มีผู้หญิงชาวจีนซึ่งเป็นคนนอกชุมชนเห็นว่าช่วงที่ไฟไหม้มีคนแก่นุ่งขาวห่มขาวยืนถือพัดอันใหญ่อยู่บนหลังคาเหมือนถือพัดโบกให้ลมพัดไฟไปที่อื่นไม่ให้เข้าสู่บ้านบาตร อีกเรื่องหนึ่งคือ ช่วงหนึ่งที่รายการคนค้นฅนนำเรื่องพ่อปู่บ้านบาตรมาออกอากาศ โดยมีลุงโป่ง ผู้มีอาชีพปั้นฤาษีในชุมชนป้อมมหากาฬเป็นผู้เล่าเรื่อง ลุงโป่งเล่าว่าพ่อปู่บ้านบาตรเคยไปเข้าฝันว่าให้มาหาท่านที่ชุมชน ท่านบอกว่าข้อมือท่านเจ็บ เมื่อลุงโป่งมาดูรูปปั้นพ่อปู่ก็พบว่าบริเวณข้อมือของรูปปั้นพ่อปู่มีการแตกร้าว ลุงโป่งจึงเข้ามาซ่อมแซมรูปปั้นให้ พิธีการไหว้พ่อปู่บ้านบาตร เป็นพิธีที่ชาวบ้านบาตรจัดขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เลือกเอาวันที่เป็นวันพฤหัสบดีที่ถือเป็นวันครู หากในช่วงสงกรานต์ในปีนั้นไม่ตรงกับวันพฤหัสบดีก็จะมีการเลื่อนงานพิธีไปในช่วงก่อนหรือหลังสงกรานต์เล็กน้อยเพื่อให้ตรงกับวันพฤหัสบดี โดยทางคณะกรรมการชุมชนจะมีการตกลงวันที่แน่นอนในการจัดงานอีกครั้งหนึ่ง คนในชุมชนบ้านบาตรถือว่าพ่อปู่เป็นครูที่ต้องเคารพนับถือและเป็นครูบาตรที่ต้องกราบไหว้ก่อนการทำบาตรทุกครั้ง โดยขั้นตอนในพิธีการไหว้พ่อปู่จะแบ่งออกเป็น ๓ ส่วนหลัก ๆ คือ การไหว้พ่อปู่ในช่วงเช้า การรำถวายพ่อปู่ในช่วงสายและการแสดงละครชาตรีในช่วงหลังจากรำถวายเสร็จยาวไปจนถึงช่วงเย็น การไหว้พ่อปู่จะไหว้กันในช่วงเช้าของงานพิธีไปจนถึงช่วงเพล คนในชุมชนจะนำของเซ่นไหว้มาไหว้พ่อปู่ตามศาลต่างๆ ในชุมชนทั้งหมด ๘ แห่งด้วยกัน โดยแต่ละแห่งจะเป็นบ้านของผู้ที่เคยทำหน้าที่แล่นบาตรในอดีต เนื่องจากสมัยก่อนการทำบาตรพระเป็นงานที่ต้องทำโดยใช้มือ ชาวบ้านบาตรทั้งแต่ละครอบครัวจะแบ่งหน้าที่ในการทำบาตรเช่น ครอบครัวหนึ่งมีหน้าที่ในการตีขอบบาตรก็จะตีขอบบาตรกันทั้งครอบครัว แล้วส่งต่อไปยังครอบครัวอื่นที่ทำบาตรในขั้นตอนถัดไปจนเสร็จ ดังนั้นครอบครัวที่ทำบาตรในขั้นตอนแล่นบาตรจึงมีเพียงไม่กี่ครอบครัวเท่านั้นที่มีเตาแล่นบาตร อีกทั้งสมัยก่อนการไหว้พ่อปู่จะไหว้กันบริเวณศาลพ่อปู่ที่ตั้งรูปปั้นของท่านไว้ แต่ภายหลังสมาชิกในชุมชนเพิ่มมากขึ้นจึงต้องสร้างบ้านทับในบริเวณนั้น ทำให้พื้นที่ไม่เพียงพอและต้องมีการขยับขยายพื้นที่ออกไปไหว้ตามบ้านกันแทน ของเซ่นไหว้ที่ชาวบ้านนำมาบูชาที่ศาลเตาแล่นบาตร เครื่องเซ่นไหว้ในการไหว้พ่อปู่ของชาวบ้านบาตรแต่ละบ้านจะคล้ายคลึงกัน โดยมีของไหว้ที่สำคัญ คือ หัวหมูหรือหมูนอนตอง คือ หมูต้มที่วางไว้บนผักกาดหอม เป็ด ไก่ ปลานอนตอง ส่วนใหญ่จะใช้เป็นปลาช่อนต้มหรือปลาอื่น ๆ วางบนผักกาดหอม มะพร้าวอ่อน ข้าว ไข่ต้ม บุหรี่ หมากพลู บายศรี เหล้า น้ำดื่ม ผลไม้และขนมต้มขาว-ต้มแดง มีการแต่งหน้าของเซ่นไหว้ให้สวยงามด้วยกลีบดอกกุหลาบ ของไหว้จะถูกจัดวางเรียงไว้บนโต๊ะโดยปริมาณของเซ่นไหว้จะขึ้นอยู่กับกำลังและศรัทธาของแต่ละบ้าน เมื่อทำพิธีไหว้พ่อปู่จะมีการรำถวายพ่อปู่ร่วมไปด้วย โดยละครชาตรีคณะเรืองนนท์ที่ประกอบไปด้วยตัวพระ ๒ คน ตัวนาง ๒ คน รำพร้อมวงปี่พาทย์ การรำถวายพ่อปู่จะเริ่มจากการรำที่ศาลากลางชุมชนเป็นที่แรก จากนั้นจะเวียนเปลี่ยนไปรำตามศาลที่ตั้งอยู่ในบ้านของชาวชุมชนที่มีการไหว้พ่อปู่เรียงกันไปจนครบทุกที่ ซึ่งศาลในบ้านที่มีการไหว้พ่อปู่นี้จะมี ‘เตาแล่นบาตร’ ที่ชาวชุมชนถือว่าเป็นตัวแทนของพ่อปู่ตั้งอยู่ ซึ่งเตาแล่นบาตรที่ชาวชุมชนถือว่าเป็นตัวแทนของพ่อปู่นั้น จะมีลักษณะเป็นปล่องทรงกระบอกตั้งคู่กันและมีช่องสูบไฟอยู่ด้านล่าง ใช้สำหรับการเชื่อมรอยตะเข็บของบาตรพระ เพื่อให้เหล็กเป็นเนื้อเดียวกันและไม่ให้บาตรมีรูรั่ว ในอดีตเตาแล่นบาตรจะเป็นแบบที่ใช้มือสูบลมเร่งไฟ ต่อมาภายหลังเปลี่ยนมาใช้แบบเครื่องเป่าลมไฟฟ้าแทน (อิสระพงษ์ พลธานี, ๒๕๕๕ อ้างถึงในพวงผกา คุโรวาท, ๒๕๔๙) รูปแบบของเตาแล่นบาตรนี้ เป็นเตาถลุงโลหะหรือเตาที่ใช้ตีเหล็ก ตีมีด หรือทำเครื่องโลหะมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็ยังมีใช้ในกลุ่มชาติพันธุ์หลายแห่งในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และชาวบ้านที่ยังคงทำโลหะด้วยมือเป็นงานหัตถกรรมโบราณที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้งานแต่อย่างใด หลังจากนั้นการรำของนางรำจะเริ่มต้นที่การไหว้ครูตามมาด้วยการรำถวายและจบที่การโปรยทาน นางรำจะทำตามขั้นตอนเช่นนี้ทุกครั้ง จนมาจบการรำลงที่ศาลที่ตั้งของรูปปั้นองค์พ่อปู่ก็เป็นอันเสร็จสิ้นการรำถวายในช่วงสายของงานพิธี หลังจากที่ชาวชุมชนไหว้พ่อปู่เสร็จเรียบร้อยแล้วจะมีการแสดงละครชาตรีถวายพ่อปู่ที่บริเวณศาลากลางชุมชนยาวไปจนถึงช่วงเย็น ซึ่งละครชาตรีนี้ในอดีตไม่มีการแสดงละครชาตรีกันเพิ่งจะเริ่มมีการแสดงขึ้นมาในช่วงหลังนี้ พิธีการไหว้พ่อปู่ในแต่ละปีชาวชุมชนจะถือว่าเป็นการกลับคืนชุมชน คนที่ย้ายออกไปอยู่ข้างนอกจะกลับมาบ้านบาตรอีกครั้ง เพื่อมาไหว้พ่อปู่และกลับมาพบปะพูดคุยกับพ่อแม่พี่น้องหรือญาติผู้ใหญ่ที่ยังคงอาศัยอยู่ในชุมชน เพราะเนื่องจากพื้นที่ของบ้านบาตรมีจำกัดทำให้ไม่สามารถขยายขออกไปได้มากกว่าเดิม เมื่อคนมากขึ้น คนหนุ่มสาวภายในชุมชนบ้านบาตรเมื่อมีครอบครัวจึงอาจมีความจำเป็นต้องย้ายออกไปอยู่ภายนอกและกลับมาบ้านบาตรอีกครั้งในช่วงวันหยุดหรือเทศกาลสำคัญ ๆ แม้ว่าการทำบาตรพระของชาวชุมชนบ้านบาตรจะลดน้อยลงและคนรุ่นใหม่หันไปประกอบอาชีพอื่นแทนการทำบาตรกันมากขึ้น แต่คนบ้านบาตรยังคงปลูกฝังให้ลูกหลานมีความเคารพนับถือพ่อปู่และและบูชาครูที่ประสาทวิชาให้แต่อดีต ทำให้คนในชุมชนที่ถึงแม้จะออกไปตั้งถิ่นฐานที่อื่นยังคงสำนึกในบุญคุณของพ่อปู่และเห็นถึงความสำคัญของพิธีไหว้พ่อปู่บ้านบาตร ปัจจุบันแม้คนเก่าแก่ในชุมชนจะล้มหายตายจากไป แต่คนรุ่นใหม่ก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์และขั้นตอนของพิธีการไหว้พ่อปู่เหมือนเช่นเคย จะแตกต่างกันตรงที่สมัยก่อนการจัดพิธีไหว้พ่อปู่จะมีขึ้นในเดือน ๔ ของไทยหรือในช่วงวันตรุษไทย แต่ปัจจุบันมีขึ้นในช่วงเดือน ๕ หรือวันสงกรานต์ของไทยแทน ปัจจุบันการทำบาตรพระของชาวชุมชนจะเริ่มลดน้อยลง จากอิทธิพลของบาตรปั๊มที่ผลิตออกมาจากโรงงานที่ทำให้การทำบาตรพระแบบงานฝีมือของชาวชุมชนซบเซาลงจนเหลืออยู่เพียงไม่กี่ครอบครัวที่ยังคงประกอบอาชีพทำบาตร แต่ความศรัทธาในพ่อปู่ของคนในชุมชนบ้านบาตรก็ยังคงอยู่ อันหมายถึงความเป็นชุมชนของคนบ้านบาตรยังมีอยู่เต็มเปี่ยม เป็นชุมชนหัตถกรรมที่มีโครงสร้างชุมชนตามธรรมชาติท่ามกลางเมืองใหญ่เช่นกรุงเทพมหานครที่หาได้ยากยิ่งแล้วในปัจจุบัน พัชรินธร เดชสมบูรณ์รัตน์ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- มลายูบางกอก ที่มา การกระจายตัว และวัฒนธรรมการเปลี่ยนแปลง
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มิ.ย. 2558 ภาพ ศุกรีย์ สาเร็ม (กลาง) นักวิชาการอิสลามศึกษา และมนตรี ยะรังวงศ์ (ขวา) กรรมการชุมชนสุเหร่าบ้านดอน ผู้มาเป็นวิทยากรในการแลกเปลี่ยนพูดคุย เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๘ วารสารเมืองโบราณ มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ร่วมกับร้านหนังสือริมขอบฟ้า ได้จัดกิจกรรมเสวนาในหัวข้อ มลายูบางกอก : ที่มา การกระจายตัว และวัฒนธรรมการเปลี่ยนแปลง ขึ้น โดยการเสวนาครั้งนี้ถือเป็นการเปิดโฉมหน้าใหม่ของวารสารเมืองโบราณในโอกาสขึ้นสู่ปีที่ ๔๑ ซึ่งเปิดพื้นที่เพื่อนำเสนอเรื่องราวทางประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยฉบับแรกนั้นเป็นการนำเสนอเรื่องราวภูมิวัฒนธรรมของปัตตานี การหาอยู่หากินในอ่าวและการเมืองในคาบสมุทรมลายูที่ส่งผลต่อการโยกย้ายถิ่นครั้งใหญ่เข้ามาอยู่ยังบางกอกในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ชาวมลายูในบางกอกในวันนี้เป็นเช่นไร วิทยากรสองท่าน คือ คุณศุกรีย์ สาเร็ม นักวิชาการอิสลามศึกษา และคุณมนตรี ยะรังวงศ์ กรรมการชุมชนสุเหร่าบ้านดอน ได้มาร่วมพูดคุยและให้ภาพในประเด็นดังกล่าว มลายูบางกอก ตลอดแนวคลองแสนแสบ คนมลายูเหล่านี้ถือว่าเป็น “คนทะเล” และมีความชำนาญในการเดินเรือ ปัจจุบันได้กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลกกว่า ๕๐ ประเทศ ส่วนคำว่า “มลายูบางกอก” เป็นคำเรียกกลุ่มคนมลายูที่อพยพเข้ามาอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลซึ่งเกิดขึ้นหลายระลอกในหน้าประวัติศาสตร์ นับเป็นผลพวงจากศึกสงครามระหว่างสยามกับหัวเมืองปักษ์ใต้ ซึ่งอาจแบ่งได้ดังนี้ มลายูกลุ่มเก่า จากหลักฐาน เช่น คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ยืนยันถึงการเข้ามาของชาวมลายูในสมัยอยุธยาทั้งที่มาทำการค้าขายและเป็นทาส หรือเป็นกำลังไพร่พลในกองอาสาจาม กระทั่งหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ใน พ.ศ. ๒๓๑๐ บรรดาชาวมลายูทั่วไปที่ถูกเรียกว่า “แขกแพ” ได้เคลื่อนย้ายเข้ามาลงหลักปักฐานอยู่บริเวณปากคลองบางหลวง ฝั่งตรงข้ามพระบรมมหาราชวัง ดังจะเห็นว่าปัจจุบันมีมัสยิดต้นสน มัสยิดกุฎีขาว กุฎีเจริญพาศน์ กุฎีปลายนา เป็นศูนย์กลางของชุมชน ส่วนกองอาสาจามภายหลังจากสงคราม ๙ ทัพใน พ.ศ. ๒๓๒๘ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งชุมชนอยู่บริเวณป่าไผ่แถบทุ่งพญาไทหรือบริเวณที่เป็นชุมชนมุสลิมบ้านครัวในทุกวันนี้ มลายูกลุ่มใหม่ หลังจากสงคราม ๙ ทัพ ในปีถัดมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ โปรดเกล้าฯ ให้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทไปตีหัวเมืองปักษ์ใต้คืนมาจากพม่า ครั้งนั้นได้ตีหัวเมืองปัตตานีที่แข็งเมืองแล้วนำครัวชาวมลายูปัตตานีขึ้นมาไว้ยังกรุงเทพฯ โดยโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่รอบกรุงเทพฯ ชั้นใน บรรดาช่างฝีมือได้ตั้งรกรากอยู่บริเวณมัสยิดจักรพงษ์ ซึ่งแต่เดิมพื้นที่แถบนี้เคยมีชื่อว่าชุมชนบ้านแขกตานี แต่ปัจจุบันเหลือเพียงชื่อถนนตานีเท่านั้น การแสดงนาเสบที่นำมาจัดแสดงในงานเสวนา เพื่อให้ผู้ฟังได้เข้าใจและเรียนรู้ถึงข้อขัดแย้งของการตีความทางศาสนาที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ยังมีการอพยพของชาวมลายูเข้ามาอีกหลายระลอกตามช่วงที่มีศึกสงครามรวมทั้งสิ้น ๖ ครั้ง ซึ่งครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๘๑ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้นำเอาครัวชาวมลายูจากไทรบุรีขึ้นมาไว้ยังกรุงเทพฯ ตามริมคลองแสนแสบไปจนถึงฉะเชิงเทรา ชาวมลายูที่เข้ามาในชั้นหลังถือเป็นกำลังสำคัญในการขุดคลองสายยุทธศาสตร์หรือคลองแสนแสบ ซึ่งเป็นคลองที่ต่อเนื่องจากคลองมหานาคในเขตกรุงเทพฯ ชั้นในต่อเนื่องไปถึงชานเมืองทางฝั่งตะวันออกหรือคลองบางขนากที่ฉะเชิงเทรา เพื่อเป็นเส้นทางลำเลียงยุทธปัจจัยในสงครามไทย-ญวน และได้รับอนุญาตให้จับจองที่ทำกินในบริเวณริมคลอง และต่อมาได้กลายเป็นชุมชนชาวมลายูปัตตานี-ไทรบุรีจนถึงปัจจุบัน คุณมนตรี ยะรังวงศ์ กล่าวเสริมว่าชุมชนมลายูตลอดแนวคลองแสนแสบนั้น ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มมุสลิมที่เข้ามาในสมัยรัชกาลที่ ๓ โดยตั้งถิ่นฐานต่อเนื่องมาจากชาวมลายูรุ่นก่อนที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ ชั้นในจนถึงปลายคลองมหานาค ประกอบด้วยชุมชนสุเหร่าบ้านดอน นวลน้อย คลองตัน บางกะปิ มีนบุรี หนองจอก เรื่อยไปจนถึงฉะเชิงเทรา โดยชาวมลายูเหล่านี้ยังคงมีความสัมพันธ์และไปมาหาสู่กันนับตั้งแต่ยุคที่ใช้เรือในการสัญจร มีทั้งการเดินทางไปเยี่ยมญาติพี่น้องที่ขยายออกไปตั้งรกรากยังชุมชนอื่นที่ห่างไกลออกไป หรือเดินทางไปซื้อข้าวของต่าง ๆ เป็นต้น แม้เมื่อมีการตัดถนนเสรีไทยและถนนรามคำแหงทำให้การเดินทางเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ แต่ผู้คนชาวมลายูก็ยังคงไปมาหาสู่กันเช่นเดิม ในอดีตชุมชนสุเหร่าบ้านดอนมีอาณาบริเวณกว้างขวางไปจนถึงซอยนานา แต่เมื่อมีถนนสุขุมวิทตัดผ่านได้มีการขายที่ดินบางส่วน นับเป็นความเจริญของบ้านเมืองที่มีส่งผลต่อชาวชุมชนโดยตรง และปัจจุบันชุมชนสุเหร่าบ้านดอนยังถูกแวดล้อมด้วยสถานบันเทิงเริงรมย์ต่าง ๆ ทว่าชาวมุสลิมมลายูที่นี่ยังคงปฏิบัติตามหลักศาสนาอย่างเคร่งครัด มีโรงเรียนสอนศาสนา จึงทำให้ชุมชนมุสลิมมลายูแห่งนี้ยังคงอยู่กันอย่างปรกติสุข โดยยึดตามหลักคำสอนของศาสนาอิสลามที่กล่าวไว้ว่า “มุสลิมคือพี่น้องกัน เปรียบประดุจเรือนร่างเดียวกัน หากส่วนหนึ่งส่วนใดเจ็บ ส่วนอื่นก็เจ็บด้วย” ทำให้ชาวมุสลิมตลอดแนวคลองแสนแสบมีความสามัคคีกลมเกลียวและช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่ไม่ขาด ตลอดแนวคลองแสนแสบ ประกอบด้วยชุมชนมุสลิมมลายูปัตตานี-ไทรบุรี จำนวนมาก ความเปลี่ยนแปลงของชาวมลายูพลัดถิ่น เป็นเวลานับร้อยปีที่ชาวมลายูมุสลิมได้ย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ และสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้วัฒนธรรมดั้งเดิมเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะภาษาพูด ซึ่งในส่วนของชุมชนสุเหร่าบ้านดอน คุณมนตรีกล่าวว่าที่โรงเรียนสุเหร่าบ้านดอน (โรงเรียนมิฟตาฮุ้ลอุลูมิดดีนียะห์) ยังคงมีการฝึกสอนภาษามลายูทั้งการอ่านและการเขียน เพื่อให้วัฒนธรรมทางภาษานั้นมีการสืบทอดไปยังคนรุ่นลูกรุ่นหลาน ขณะที่คุณศุกรีย์กล่าวว่าสังคมมลายูบางกอกมีหลายสิ่งที่เลือนหายไป เช่น การรำกระบี่กระบอง ซึ่งมีพื้นฐานจากการซ้อมรบของบรรดาไพร่พลให้มีความพร้อมอยู่เสมอ มีการนำมาปรับท่วงท่าให้มีความสวยงามคล้ายการร่ายรำ รวมถึงการเล่นนาเสบซึ่งพัฒนามาจากการขับลำนำสดุดีองค์พระศาสดา โดยมีเครื่องเคาะประกอบจังหวะ เป็นต้น เดิมสิ่งเหล่านี้เป็นการผสมผสานระหว่างความเป็นอิสลามที่มีมานับพันปีกับวัฒนธรรมท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ บางอย่างหากไม่ขัดกับความเชื่อตามหลักศาสนาก็ยังคงปฏิบัติกันอยู่ ทว่าต่อมาเมื่อมีชุดความรู้ใหม่ที่มองว่าการกระทำสิ่งเหล่านี้ผิดหลักศาสนา ไม่ควรนำมาปฏิบัติ จึงเกิดการปะทะกันระหว่าง ๒ แนวคิด ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหามากขึ้น กิจกรรมหลายอย่างจึงหยุดและเลิกไปในที่สุด ซึ่งเรื่องนี้ตามทัศนะของคุณมนตรีมองว่า เนื่องจากปัจจุบันมีการเดินทางไปร่ำเรียนจากประเทศมุสลิมอาหรับ และมองวิถีปฏิบัติที่เคยทำกันมาเป็นสิ่งบิดเบือน วิถีปฏิบัติต่างจากประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดศาสนาจึงปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ หากมองในแง่ของการป้องปราม การเล่นกระบี่กระบองเมื่อพิจารณาตามยุคสมัยก็ดูจะล่อแหลมต่อการผิดหลักศาสนา เพราะมีการไหว้ครู ดังนั้นนักวิชาการรุ่นใหม่จึงปฏิเสธและมองว่าเป็นการป้องกัน เช่นเดียวกับการเล่นนาเสบซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนาขึ้นมาก มีเครื่องดนตรีหลายหลาก ใช้ภาษาและท่วงท่าไม่เหมาะสม อันอาจทำให้เกิดการหลงลืมต่อการปฏิบัติศาสนกิจและหลักศรัทธาของพระผู้เป็นเจ้า เพราะฉะนั้นดนตรีจึงเป็นสิ่งต้องห้ามของชาวมุสลิม แต่อย่างไรก็ตามในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซียยังคงมีการเล่นนาเสบกันอยู่ ซึ่งนักวิชาการต่างมองสิ่งนี้กันหลากหลายแง่มุม บ้างบอกว่าเล่นนาเสบไม่ได้ บ้างก็ว่าให้พิจารณาเนื้อหาและขึ้นอยู่กับความเหมาะสม เป็นต้น ถึงที่สุดแล้วการเปลี่ยนแปลงของสังคมมลายูในปัจจุบัน วิทยากรทั้งสองท่านต่างมองว่าควรพิจารณาในรายละเอียดว่าสิ่งใดเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม และสิ่งนั้นมีเจตนาอย่างไรเป็นสำคัญ ซึ่งน่าจะเป็นทางออกที่ดีให้กับความขัดแย้งเกี่ยวกับแนวทางความคิด และยังเป็นการเปิดช่องทางให้เกิดการพัฒนาอย่างสร้างสรรค์ต่อไปในอนาคตด้วย ณัฐวิทย์ พิมพ์ทอง อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ภาพถ่ายเขาพระวิหารจากฟิล์มเก่าประมาณปี ๒๕๑๘ โดย อ.ศรีศักร วัลลิโภดม
เผยแพร่ครั้งแรก 18 เม.ย. 2561

![พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น [local museum] และการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน [sustainable tourism]](https://static.wixstatic.com/media/9512c9_ac7ec1fbad374dfab778dbf098fbf206~mv2.jpg/v1/fit/w_176,h_124,q_80,usm_0.66_1.00_0.01,blur_3,enc_auto/9512c9_ac7ec1fbad374dfab778dbf098fbf206~mv2.jpg)







