พบผลการค้นหา 220 รายการ
- จากนครวัดถึงพิษณุโลก
เผยแพร่ครั้งแรก 1 พ.ย. 2545 ระหว่างวันที่ ๒๖-๒๘ กันยายนที่ผ่านมา มีการจัดอภิปรายทางวิชาการเรื่องกองทหารของสยามที่เป็นภาพสลักอยู่ในกระบวนพระราชพิธีสวนสนามบนผนังระเบียงคดที่ประสาทนครวัด เพื่อเป็นการระลึกถึง จิตร ภูมิศักดิ์ ปราชญ์สามัญชนที่จะมีอายุครบ ๗๒ ปี ถ้าหากยังมีชีวิตอยู่ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือชื่อที่คนส่วนใหญ่เรียกกันว่า "วัดใหญ่" ภาพสลักนี้มีจารึกภาษาเขมรโบราณกำกับไว้ว่า “เนะ สยำ กุก” ซึ่งแปลว่า “นี่ เสียม กุก” ผู้รู้ทั่วไปมีความเห็นว่าเป็น กองทัพสยามที่น่าจะส่งมาร่วมด้วยจาเมืองสยามในลุ่มน้ำเจ้าพระยา แต่ว่าจิตร ภูมิศักดิ์ อ่านและเสนอใหม่ว่าน่าจะเป็นกองทัพชาวเสียมจากลุ่มแม่น้ำกก ซึ่งเป็นลำน้ำสาขาของแม่น้ำโขงในเขตจังหวัดเชียงราย โดยอ้างความสัมพันธ์กับวรรณกรรมเรื่องฮุ่งหรือเจือง อันเป็นวรรณกรรมเก่าแก่ที่เกี่ยวกับกษัตริย์และบ้านเมืองทั้งสองฝั่งโขงในเขตล้านนาและล้านช้าง ความต้องการของการอภิปรายนี้ หาใช่การมาถกเถียงเพื่อการหาข้อยุติแต่อย่างใดไม่ หากมุ่งหวังที่จะนำข้อเสนอของจิตร ภูมิศักดิ์มาถกเถียงเพื่อหาคำตอบใหม่ ๆ หรือข้อคิดใหม่ ๆ ซึ่งเป็นหัวใจของกระบวนการเรียนรู้ที่เรื่องราวทางประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมในปัจจุบัน ในที่นี้ข้าพเจ้าคงไม่นำอะไรเกี่ยวกับเรื่องของเสียมกุกมาถกเพิ่มเติม เพราะได้เขียนได้พูดอะไรต่ออะไรมามากมายแล้ว แต่จะนำสิ่งที่คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่รู้มาเสนอไว้ คือเรื่องของนครวัดซึ่งโดยทั่วไปรู้จักในนามว่า “นครวัดนครธม” ในลักษณะที่เป็นโบราณสถานใหญ่โตเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยิ่งกว่านั้นคนรุ่นใหม่ที่ไม่ค่อยรู้อิโหน่อิเหน่ก็มักจะได้รับคำบอกเล่ามาว่า ผู้ที่ค้นพบนครวัดนครธมนั้นคือ นาย ฮองรี มูโฮต์ (Henri Mouhot) นักค้นคว้าและสำรวจชาวฝรั่งเศส อะไรต่ออะไรก็เลยกลายเป็นเรื่องฝรั่งพบฝรั่งเสนอไปหมด และคนไทยบางคนก็เชื่อตาม นครวัดและนครธมต่างกันดังนี้ นครวัดเป็นเรื่องของศาสนสถานขนาดใหญ่ที่มีคูน้ำล้อมรอบจนดูเป็นเมืองจึงเรียกว่า นครวัด ในขณะที่นครธมหมายถึงเมืองที่ใหญ่กว่า เพราะคำว่า “ธม” แปลว่าใหญ่ คือใหญ่กว่านครวัดนั่นเอง แต่นครธมไม่ใช่ศาสนสถานอย่างนครวัด หาเป็นเมืองที่มีผู้คนและกษัตริย์ประทับอยู่ ความต่างกันระหว่างนครวัดกับนครธมอีกอย่างหนึ่งก็คือ นครวัดมีอายุเก่าแก่กว่านครธมไม่น้อยกว่า ๔๐ ปี นครวัดสร้างในรัชกาลของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ส่วนนครธมสร้างแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ที่อยู่ในสมัยหลังลงมา ความต่างกันนี้ทำให้นำไปสู่ความสงสัยที่ว่า เมื่อมีนครวัดเกิดขึ้นนั้น เมืองที่มีคนอยู่มีกษัตริย์ประทับนั้นอยู่ที่ใด จึงต้องมีข้อมูลและความรู้เพิ่มเติมว่า เมืองนั้นอยู่ในบริเวณนี้นั่นเอง หากเป็นเมืองที่มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ กว้างและยาวเท่ากันด้านละ ๔ กิโลเมตร คนทั่วไปเรียกว่า นครหลวง แต่มีชื่อทางราชการว่า ยโสธรปุระ สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๑๖ เป็นเมืองที่มีเขาและปราสาทพนมบาเคงเป็นศูนย์กลาง เมืองนครวัดวัดแระสร้างนั้นอยู่ภายในเขตเมืองนี้ แต่ประมาณ ๔๐ ปี ต่อมาได้มีการสร้างนครธมขึ้นเป็นเมืองแทนเลยทำให้อาณาบริเวณของเมืองเดิมหมดความสำคัญไป แต่ยังคงเหลือร่องรอยของแนวกำแพงและคูเมืองให้เห็นอยู่ในบางส่วน เมืองนครธมมีขนาดเล็กว่าเมืองหลวงเดิมและแยกกันอยู่ต่างห่างจากนครวัด แต่ใช้ชื่อทางราชการตามเมืองเดิมคือ ศรียโสธรปุระ ส่วนนครวัดนั้นแต่เดิมก็หาเรียกว่านครวัดไม่ เพราะไม่ได้เป็นพุทธสถาน หากเป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดูตามความเชื่อของคนในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๗ เป็นศาสนสถานเพื่อการพระราชพิธีพระบรมศพของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ที่มีจารึกกำกับไว้ที่ภาพสลักของพระองค์ในกระบวนแห่ที่ระเบียงคดว่า “กมรเตงชคตปรมวิษณุโลก” จากพระนามนี้เองที่ทำให้รู้ว่าชื่อนครวัดเต็มคือ วิษณุโลก หรือพิษณุโลก อีกทั้งเป็นสิ่งที่ยืนยันจากจารึกใน พ.ศ. ๒๑๗๕ ที่มีคำเรียกนครวัดและพระพิษณุโลก ปะปนกัน ซึ่งก็แน่นอนว่าเป็นช่วงเวลาที่แสดงให้เห็นว่าศาสนสถานแห่งนี้กลายมาเป็นพุทธสถานหรือวัดไป ยิ่งกว่านั้นยังมีหลักฐานอ้างว่าพระสงฆ์ที่ไปจากเมืองไทยเรียกว่า เชตพน หรือ เชตวัน ก็มี อย่างไรก็ตาม ชื่อพระพิษณุโลกนี้คนไทยสมัยอยุธยาตอนต้นย่อมรู้จักดี โดยเฉพาะในสมัยของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) ที่ทรงยกกองทัพไปตีนครธมและกวาดต้อนผู้คนมายังพระนครศรีอยุธยา ความรู้เรื่องเมืองพระนครจึงมาอยู่ทางเมืองไทยไม่ใช่น้อย และนำมาเลือกใช้ในงานทางประเพณีวัฒนธรรมของกรุงศรีอยุธยา โดยเฉพาะชื่อพระพิษณุโลกนั้นได้ถูกนำไปขนานเป็นชื่อเมืองใหม่ที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงสร้างขึ้นบนสองฝั่งของลำน้ำน่าน ที่ผนวกเมืองสองแควเดิมของสุโขทัยเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมืองนี้คือเมืองพิษณุโลกที่นักประวัติศาสตร์รุ่นก่อนเชื่อว่าเป็นราชธานีทางฝ่ายเหนือของกรุงศรีอยุธยา และในปัจจุบันก็คือจังหวัดพิษณุโลก สุดท้ายข้าพเจ้าคิดว่า คนไทยนั่นแหละเอาชื่อพิษณุโลกมาจากขอม แล้วเอาคำว่าวัดของไทยไปใส่ให้เข้าแทนจึงเรียกว่านครวัดไป แต่จากการเปลี่ยนพิษณุโลกมาเป็นนครวัดนั้นก็หาได้ทำให้ศาสนสถานแห่งนี้โรยราไปไม่ซึ่งก็รวมทั้งนครธมด้วย ผู้คนทั้งไทยและเขมรล้วนทราบดี เพราะยังเป็นวัดและเป็นเมืองเรื่อยมา โดยเฉพาะนครวัดนั้นมีผู้สร้างพระพุทธรูปสลักด้วยหินไปประดิษฐานไว้มากมายนับเป็นพันองค์ จนอาจนับได้ว่ากลายเป็นสถานที่จาริกแสวงบุญของผู้คนในระดับภูมิภาคก็ว่าได้ ส่วนที่นครวัดนั้นก็กลายเป็นสถานที่ซึ่งผู้คนในราชสำนักอยุธยาเรียนรู้ เพราะให้อิทธิพลกับการสร้างวัดและสร้างพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่สมัยรัชกาลของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจนถึงรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ที่เห็นชัด ๆ ในรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองก็คือ การบูรณะพระที่นั่งจักรวรรดิไพชยนต์มหาปราสาท การสร้างพระราชพิธีสนาม พระราชพิธีเกี่ยวกับพระบรมศพ การถวายพระเพลิง การสร้างวัดไชยวัฒนาราม และปราสาทนครหลวงที่วัดริมแม่น้ำป่าสัก เป็นต้น เพราะฉะนั้นนครวัดนครธมไม่ได้ร้าง คนที่บอกว่าร้างก็คือฝรั่งตาน้ำข้าวที่ชอบเล่นมายากลมาแต่สมัยล่าอาณานิคมนั่นเอง วัดไชยวัฒนาราม อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- อารยธรรมซายฟอง / Say Fong Civilizationมรดกประวัติศาสตร์แบบอาณานิคม
เผยแพร่ครั้งแรก 15 ก.พ. 2555 ไม่ใช่เฉพาะกรณีกัมพูชานำปราสาทพระวิหารไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกเพียงฝ่ายเดียวหรือการนำมหรสพหนังใหญ่ การจีบนิ้วในระบำราชสำนัก ไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้กับองค์การระหว่างประเทศแบบยูเนสโก แต่การศึกษาประวัติศาสตร์ในระหว่างประเทศแบบรัฐสมัยใหม่ ที่ฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคมเคยวางรากฐานไว้ก็กำลังกลายเป็นปัญหาซับซ้อนที่หนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ โบราณสถานเป็นเจดีย์รุ่นพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ ที่บ้านซายฟอง และฝั่งตรงข้ามคือเวียงคุก ยืนยันในการเป็นเมืองคู่สองฝั่งโขงในสมัยโบราณ เพราะวิธีคิดโดยจินตนาการแบบการจำลองความเป็นเจ้าเหนือดินแดนต่าง ๆ ในรัฐอารักขาสวมเข้าไปในวิธีการเขียนประวัติศาสตร์และสอนประวัติศาสตร์ในยุคอาณานิคม โดยเฉพาะประวัติศาสตร์แห่งความยิ่งใหญ่ยุคเมืองพระนคร จนกลายเป็นระเบิดเวลาที่ทำให้ประเทศในดินแดนสุวรรณภูมิจ้องจะตีกันเองแบบที่เกิดระหว่างกัมพูชาและไทยในช่วงนี้ ทั้งๆ ที่ดินแดนแห่งนี้ไม่เคยมีรูปแบบของ รัฐอาณานิคม [Colonialism] แต่เป็นเรื่องของการเกิดมณฑลแห่งอำนาจและรัฐแบบหลวม ๆ [Mandala, in term of historical, social and political sense.] นั่นเอง จากบทความของ Georges Maspero เรื่อง “ซายฟอง นครแห่งอดีต” ในวารสาร BEFEO เมื่อ ค.ศ.๑๙๐๓ เขากล่าวถึงว่า มีการค้นพบเมืองร้างนี้ในเดือนมีนาคม ค.ศ.๑๙๐๒ โดยบรรยายว่า เมืองนี้อยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ตรงข้ามกับเมืองคุกหรือเวียงคุกในปัจจุบัน และเรียกบริเวณนี้ว่า “ซายฟอง” จากร่องรอยที่เหลืออยู่ เขาสันนิษฐานว่า เคยเป็นเมืองที่ใหญ่มาก ประกอบด้วยย่านใหญ่ ๓ ย่าน คือ ย่านที่อยู่ติดแม่น้ำโขง ย่านที่สองขนานกับย่านแรก ย่านที่สามตั้งฉากกับแม่น้ำและอยู่ติดกับทั้งสองย่านแรก ตรงกลางเมืองเป็นที่สูงกว่าพื้นที่โดยรอบ ชาวบ้านเรียกว่า “สะพานเขมร” เมืองโบราณได้รับการดูแลดีกว่าที่อื่น ส่วนสุดทางด้านตะวันตกมีทะเลสาบ ที่แห่งนี้ Maspero อ้างว่าเขาพบจารึก ๓ หลัก และรูปปั้นขนาดสูง ๔๐ เซนติเมตร กว้าง ๓๐ เซนติเมตร เป็นศิลปะแบบเดียวกับที่นครวัด ทำจากหินทรายเนื้อละเอียดซึ่งไม่พบในแถบเวียงจันทน์ และพบว่าหลักแรก ทั้ง ๔ ด้านจารึกด้วยภาษาสันสกฤต ข้อความสั่งให้สร้างโรงพยาบาล คล้ายกับที่เคยพบในกัมพูชา ซึ่งหมายถึงจารึกพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ที่ให้สร้างอโรคยศาลหรือโรงพยาบาล ส่วนจารึกที่เหลืออีก ๒ หลัก จารึกด้วยภาษาลาว จารึกที่ Maspero อ้างว่าพบนี้ คือ จารึกพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ระบุศักราชราว พ.ศ.๑๗๒๙ เมื่ออ่านแล้วพบว่า รูปแบบหลักหินจารึกสลักลงทั้งสี่ด้าน ภาษาสันสกฤต อักษรขอมโบราณ และข้อความเรื่องการสร้างโรงพยาบาลหรืออโรคยศาลคล้ายคลึงกับจารึกพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ซึ่งพบเมืองพิมาย, ด่านประคำ จังหวัดบุรีรัมย์, ปราสาทตาเมียนโตจ, ที่อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ และกู่บ้านหนองบัว จังหวัดชัยภูมิ และเพิ่งพบอีก ๒ หลักที่จังหวัดร้อยเอ็ดเมื่อไม่กี่ปีมานี้ จากรึกจากซายฟองปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่หอพระแก้ว ในกรุงเวียงจันทน์ ส่วนรูปปั้นนั้น น่าจะหมายถึงรูปสลักจากหินทรายแบบลอยตัวที่เชื่อว่าเป็นพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ที่ยังคงสมบูรณ์กว่าที่พบแห่งอื่น ๆ ในอีสาน และปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่วิหารคดรอบพระธาตุหลวง เวียงจันทน์ หลุยส์ ฟีโนต์ [Louis Finot] ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบูรพาทิศ เขียนบันทึกที่ให้ข้อสังเกตว่า จารึกหลักนี้คือหลักฐานพยานสำคัญที่ทำให้เห็นถึงการมีอยู่ของ “กัมพูชา” ที่อยู่ไกลเกินกว่าฐานข้อมูลของเอโมนิเยร์ (Étienne François Aymonier ผู้เดินทางสำรวจโบราณสถานแบบเขมรในกัมพูชา ไทย ลาวและตอนใต้ของเวียดนามอย่างเป็นระบบคนแรกและเป็นผู้เชียวชาญการอ่านจารึกโบราณด้วย งานของเขาพิมพ์เป็นชุด ๓ เล่ม เมื่อช่วงปี ค . ศ . ๑๙๐๐ - ๑๙๐๔ ) ซึ่งเอโมนิเยร์กล่าวว่าโบราณสถานแบบเขมรอยู่เหนือสุดที่สกลนครที่ระนาบ ๑๗ องศา ๑๐ ลิปดา เหนือ (น่าจะเป็นกู่บ้านพันนา) อย่างไรก็ตาม ในบันทึกช่วงปีนั้น [BEFEO III,1903] เขาก็ยังไม่ปักใจนักเพราะจารึกแห่งเมืองซายฟองนี้อาจนำมาจากที่อื่นก็ได้ จากการค้นพบของ Maspero ดังกล่าวและการนำเสนอบทความของ Finot ก็เพียงพอที่จะถูกสืบต่อมาเรื่อย ๆ ว่า อำนาจทางการเมืองของเขมรสามารถควบคุมลุ่มน้ำโขงทั้งหมดได้ และอำนาจจากอาณาจักรอันเข้มแข็งและยิ่งใหญ่แผ่ขึ้นมาเหนือสุดที่เมืองซายฟอง การนำเสนอนี้คือปัญหาทางวิชาการ เนื่องจากสร้างความชอบธรรมแก่ฝรั่งเศสที่ยึดครองลาวได้แล้ว และกัมพูชาที่พนมเปญและกำลังพยายามขอเสียมเรียบและจังหวัดอื่น ๆ ที่สยามครอบครองอยู่ ความเคลือบแคลงนี้มีการวิเคราะห์ต่อมาอย่างมากมายถึงบทบาทดังกล่าว เพราะการเป็นนักสำรวจ นักวิชาการของชาวฝรั่งเศสนั้นอยู่ในฐานะของเจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายอาณานิคมด้วย อย่างไรก็ตาม เรื่องของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ แม้จะดูลึกลับและมีข้อมูลเพียงเล็กน้อยในช่วงแรก แต่การศึกษาและแปลความจากจารึกปราสาทพระขรรค์ของสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบูรพาทิศ ทั้ง หลุยส์ ฟีโนต์ และ ลูเนต์ เดอ ลาจองกิแยร์ [Lunet de Lajonquiere] ก็ระบุว่า มีเส้นทางสำคัญ ๕ สาย คือ จากเมืองพระนคร-พิมาย, พระนคร-วัดภู, พระนคร-สวายจิก, พระนคร-ปราสาทพระขรรค์ที่กำปงสวาย และพระนคร-กำปงธม รวมทั้งเขียนแผนผังแนวถนนโบราณจากร่องรอยของจารึกและจำแนกลักษณะโบราณสถานในแนวเส้นทางจากนครธมไปทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก และเมื่อประกอบกับหลักฐานทางโบราณสถานและโบราณวัตถุ ทั้งอโรคยศาล ธรรมศาลา จารึกพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ พระพุทธรูปนาคปรก พระไภสัชยคุรุ ฯลฯ ก็กลายเป็นแม่บทให้กับนักศึกษารุ่นหลังเพื่ออ้างความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์พระองค์นี้ตาม ๆ กันมา โดยเน้นสร้างความยิ่งใหญ่ให้เหนือจริงเพื่อเหตุผลทางการเมืองทั้งในยุคอาณานิคมโดยฝรั่งเศส ด้วยจินตนาการของประเทศแม่อาณานิคมที่ต้องกอบกู้ บอกเล่าอาณาจักรเมืองพระนครที่สูญสลายไป เป็นตัวแทนถึงประเทศฝรั่งเศสที่ยิ่งใหญ่ และสืบทอดสู่หลังยุคอาณานิคมโดยเฉพาะจากกัมพูชาด้วยเหตุผลในการสร้างชาตินิยมเพื่อความเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ (อ่าน Post / Colonial Discourses on the Cambodian Court Dance Sasagawa Hideo. SoutheastAsianStudies, Vol.42, No.4, March 2005 / ฉบับแปล http://lek-prapai.org/watch.php?id=466) อย่างไรก็ตาม คงไม่อาจปฏิเสธถึงการมีอยู่ของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่พระองค์นี้ไปได้ และโบราณสถานในรูปแบบ อโรคยศาลหรือสถานพยาบาลที่เป็นศาสนสถานด้วยมีอยู่ถึง ๒๓ แห่ง ไม่นับรวมธรรมศาลาอีกจำนวนหนึ่งในดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย แต่การกล่าวถึงอำนาจทางการเมืองโดยนัยะของ “กัมพูชา” ที่ประกาศตามนักวิชาการชาวฝรั่งเศสข้างต้นว่า อาณาจักรขอมแห่งเมืองพระนครมีอำนาจกว้างไกลไปจรดบ้านเมืองต่าง ๆ ที่ปรากฏชื่อในจารึกปราสาทพระขรรค์นั้น เป็นอำนาจเบ็ดเสร็จเหมือนการเป็นเจ้าอาณานิคมในยุคนั้นที่มี “อำนาจทางการเมือง” เหนือบ้านเมืองอื่น ๆ เช่น จามปาในเวียดนาม ภาคกลางของประเทศไทย ไปจนถึงเวียงจันทน์ที่ซายฟอง โดยใช้หลักฐานศิลปกรรมแบบขอมที่ปรากฏในศาสนสถานและวัตถุ ซึ่งดูจะเป็นการมองแบบหยุดนิ่งและผิดไปมาก เพราะรูปแบบของปริมณฑลอำนาจแบบมันดาลานั้นมีการศึกษาชัดเจนและยอมรับโดยแทนที่วิธีการศึกษาประวัติศาสตร์แบบอาณานิคมแล้วในเวลาต่อมา ( ศึกษาความสัมพันธ์ของบ้านเมืองในระยะเริ่มแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากงานของ Wolters, O.W. History, Culture and Region in Southeast Asian Perspectives. Institute of Southeast Asian Studies, Revised Edition, 1999.) แต่สิ่งที่ยังเหลืออยู่คือ “ มรดกการศึกษาทางประวัติศาสตร์จากยุคอาณานิคม ” ซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปในรายรูปแบบการศึกษาประวัติศาสตร์ในประเทศอินโดจีนของฝรั่งเศสในอดีต และถูกนำไปใช้จนกลายเป็นประเด็นทางการเมือง และแม้กระทั่งการศึกษาประวัติศาสตร์ในประเทศไทยตั้งแต่ยุคแรกเริ่มจนถึงปัจจุบัน และไม่เคยตกเป็นรัฐในอาณานิคมแต่อย่างใด ก็ยังรับนำเอาอิทธิพลของการศึกษาแบบอาณานิคมมาใช้จนฝังรากลึกเสียจนยากจะแก้ไข จารึกพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ เรื่องอโรคยศาล เก็บรักษาไว้ที่หอพระแก้ว เวียงจันทน์ในปัจจุบัน เนื้อความในจารึก แทบจะเหมือนกับที่พบที่พิมาย บุรีรัมย์ สุรินทร์ ชัยภูมิ กรณีของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว แม้จะผ่านช่วงเวลาแห่งการบีบคั้นในฐานะรัฐในอาณานิคมของฝรั่งเศสและต้องต่อสู้เพื่อเอกราชของชาวลาวมาอย่างยาวนาน แต่สิ่งที่ยังปรากฏอยู่อย่างเด่นชัดคือ การรับเอาแนวคิดการเขียนประวัติศาสตร์ [Historiography] แบบยุคอาณานิคมมาใช้ในปัจจุบัน เอกสารทางการจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเรื่อง “ความเป็นมาของนครหลวงเวียงจันทน์” พิมพ์ในวาระเฉลิมฉลองเวียงจันทน์ ๔๕๐ ปี เมื่อไม่นานมานี้ แบ่งประวัติเวียงจันทน์เป็น ๕ ยุค คือ เวียงจันทน์ในสมัยอาณาจักรศรีโคตรบองหรือศรีโคตรบูรณ์ (คริสตศตวรรษที่ ๑–๑๐) เวียงจันทน์สมัยซายฟอง (เมืองหาดซายฟอง) ในคริสตศตวรรษที่ ๑๒ เวียงจันทน์สมัยอาณาจักรลาวล้านช้าง (ค.ศ. ๑๓๕๓–๑๕๖๐) เวียงจันทน์ในสมัยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสและเวียงจันทน์สมัยราชอาณาจักรลาว โดยนักวิชาการลาวเสนอว่า คนในเวียงจันทน์ในสมัยแคว้นศรีโคตรบอง เป็นเมืองส่วยของจามและเขมร หากเขมรมีความขัดแย้งภายในหรือมีสงครามกับพวกจาม แคว้นศรีโคตรบองก็แข็งข้อต่อเขมร จนถึงยุคซายฟองจึงขึ้นต่อเขมรในยุคของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ เมื่ออำนาจเขมรลดลงเวียงจันทน์จึงเป็นอิสระจนถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๓ แต่นักวิชาการเช่น สุเนตร โพธิสาร เสนอว่า รูปแบบศิลปะแบบซายฟองนี้เป็นสิ่งที่พัฒนาการขึ้นในบริเวณนี้มากกว่ารับอิทธิพลมาจากเขมร พัฒนาการของท้องถิ่นในช่วงรัฐเริ่มแรกเกิดขึ้นในเวลาเดียวกับวัฒนธรรมแบบเขมร และได้รับอิทธิพลทั้งแบทวารวดีและเขมร ซึ่งสะท้อนให้เห็นอิทธิพลการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์แบบวิวัฒนาการ โดยมีอาณาจักรใหญ่แห่งหนึ่งเป้นเจ้า และการเป็นบ้านเมืองในอำนาจทางการเมืองหรือในการอารักขา ดังที่ดินแดนแถบแม่น้ำโขงคือส่วนที่อำนาจทางการเมืองจากอาณาจักรเขมรมีอยู่เหนือสุด และเป็นการเขียนประวัติศาสตร์ในธรรมเนียมเดิมที่กล่าวได้ว่า รับอิทธิพลจากการเขียนประวัติศาสตร์ยุคอาณานิคมมาอย่างชัดเจน การศึกษาประวัติศาสตร์ลาวยุคโบราณนอกเหนือไปจากงานของมหาสิลา วีระวงศ์ ในช่วงยุคอาณานิคมของฝรั่งเศส ที่ใช้ตำนาน พงศาวดารเป็นหลักฐานสำคัญ ก็จะมีผู้มีความสนใจในประวัติศาสตร์ เช่น มหาบุนมี เทบสีเมือง และมีนักโบราณคดีที่ได้รับการศึกษาจากฝรั่งเศสบางท่าน แต่สำหรับการศึกษาแบบประวัติศาสตร์สมัยใหม่แล้ว นอกจากนักวิชาการต่างชาติจำนวนไม่น้อยรวมทั้งนักประวัติศาสตร์ลาวสนใจประวัติศาสตร์ลาวในช่วงหลังอาณานิคมหรือช่วงหลังสงครามกู้เอกราช และส่วนใหญ่มักได้รับอิทธิพลการเขียนงานแบบตะวันตกเนื่องจากได้รับการศึกษาในต่างประเทศ เน้นเรื่องราวการศึกษาเหตุการณ์สร้างชาติลาวสมัยใหม่หลังจากสงคราม เช่น ในการตรวจสอบการค้นหาการสร้างอัตลักษณ์ กลุ่มชาติพันธุ์ การเมืองของการสร้างวัฒนธรรมแห่งชาติ ซึ่งก็เป็นการสร้างอุดมการณ์ชาตินิยมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ผ่านการศึกษาในอดีตนั่นเอง อย่างไรก็ตามในประเด็นละเอียดย่อย เช่น อิทธิพลของอำนาจทางการเมืองของเขมรในลาวนั้นก็ยังไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร เช่น งานประวัติศาสตร์ลาวของ Martin Stuart-Fox ก็ยังคงใช้ข้อมูลเรื่องอำนาจของเขมรที่ซายฟองในการแบ่งยุคสมัยทางประวติศาสตร์เป็นเรื่องปกติ เมื่อสงครามในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มสงบลง สำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบูรพาทิศ, Ecole française d'Extrême-Orient [EFEO] เริ่มกลับมาเปิดสำนักงานในภูมิภาคอินโดจีนแต่เดิมตั้งแต่ปี ค.ศ.๑๙๘๙ และเปิดสำนักงานที่ลาวเมื่อ ค.ศ.๑๙๙๓ สถาบันนี้สนใจศึกษาวิจัยในหัวข้อ เช่น จารึกและตำนานรวมถึงเอกสารต่าง ๆ ที่พบในลาว การศึกษาด้านวรรณกรรม การศึกษาทางโบราณคดีและประติมานวิทยาพวกโบราณวัตถุและศิลปวัตถุที่เกี่ยวเนื่องกับพุทธศาสนาในลาว รวมไปถึงการศึกษาเปรียบเทียบกลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ Michel Lorrillard นักวิจัยจากสำนักงาน EFEO ที่เวียงจันทน์ ทำงานศึกษาในลาวมานานและมีหนังสืองานวิจัยจำนวนไม่น้อยตั้งข้อสังเกตถึงเรื่องอิทธิพลวัฒนธรรมเขมรที่เข้าสู่ลาว โดยเฉพาะเรื่องราวจากซายฟอง โดยกล่าวถึงการแบ่งยุคสมัยในประวัติศาสตร์ลาว หรือเรียกชื่อวัฒนธรรมเขมรแบบบายนซึ่งเชื่อว่าเป็นหลักฐานอำนาจทางการเมืองจากเขมรที่ขยายมาจนสุดเหนือสุดที่เวียงจันทน์ว่า “อารยธรรมซายฟอง” บ้าง “ยุคซายฟอง”บ้าง หรือ “ศิลปะแบบซายฟอง” บ้าง [Say Fong civilization, Say Fong period, Say Fong art] และเขาเชื่อว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องเล่าหรือตำนานที่ไม่ควรเชื่อถือแต่อย่างใด โดยเขียนบทความมาตั้งแต่ ค.ศ. ๒๐๐๑ เพราะเขาไม่พบร่องรอยโบราณสถานแบบเขมรแต่อย่างใดในเขตบริเวณบ้านซายฟอง แต่เขาเสนอว่า ทั้งจารึกและรูปสลักลอยตัวพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ น่าจะนำมาจากอโรคยศาลที่ใกล้เวียงจันทน์ที่สุด คือที่ “กู่บ้านพันนา” ในอำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนครในปัจจุบัน ดังที่เอโมนิเยร์สำรวจในช่วงต้นศตวรรษที่ผ่านมา และฟิโนต์ก็ยังบันทึกในบทความร่วมสมัยไม่มั่นใจว่าจารึกนั้นอยู่ที่บ้านซายฟองแต่เดิมหรือไม่ Lorrillard ให้เห็นเหตุผลว่า จากการสำรวจที่บริเวณบ้านซายฟองไม่พบร่องรอยหลักฐานที่เป็นศาสนสถานแบบเขมรหรือเก่าไปจนถึงราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ดังปรากฏในอายุในจารึกแต่อย่างใด เขาเห็นว่าน่าจะมีการขนย้ายมาจากอโรคยศาลที่ใกล้ที่สุดและเป็นปลายสุดของเส้นทาง “ราชมรรคา” คือที่กู่บ้านพันนา เพราะที่บ้านพันนานั้นไม่พบโบราณวัตถุสำคัญที่มักเป็นส่วนประกอบสำคัญของอโรคยศาล เช่น พระพุทธรูป จารึก ฯลฯ คงพบเพียงศาสนาสถานแบบอโรคยศาลเท่านั้น และควรจะนำมาเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ ในช่วงที่เมืองซายฟองเป็นศูนย์กลางการค้าสำคัญคู่กับเมืองเวียงคุกที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งก็ยังคงใช้แนวทางสมมติฐานแบบฝรั่งเศสในภูมิภาคนี้คือ “ อำนาจทางการเมืองของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ แผ่ขยายสู่บ้านเมืองต่าง ๆ ตามเส้นทางราชมรรคา ” กรมศิลปากรขุดค้นที่กู่บ้านพันนาเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๒ พบโบราณวัตถุสำคัญ เช่น เศียรพระวัชรธร ชิ้นส่วนพระโพธิสัตว์วัชรปราณีทรงครุฑ พระยมทรงกระบือ พระกรพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และไม่พบร่องรอยวัตถุพวกจารึกหรือรูปสลักอื่น ๆ แต่อย่างใด เป็นไปได้มากที่วัตถุอื่น ๆ ที่มีพร้อมกับอโรคยศาลถูกเคลื่อนที่นำไปไว้ในสถานที่อื่น ๆ รูปสลักจากหินทรายลอยตัว น่าจะเป็นรูปพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ แต่รูปลักษณ์เป็นแบบท้องถิ่นอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เพียง Lorrillard ที่เคยตามหา “เมืองซายฟอง” เท่านั้น นักวิชาการชาวต่างประเทศที่เข้ามาศึกษาเรื่องการจัดการมรดกวัฒนธรรมเมืองเวียงจันทน์ก็พยายามค้นหาเมืองซายฟองตามข้อมูลที่เสนอโดย Maspero เช่นกัน, ANNA KARLSTRÖM สำรวจและขุดหลุมทดสอบทางโบราณคดี [Test pit excavation] เมื่อปลาย ค.ศ.๒๐๐๓ และเขียนรายงานไว้ในเอกสาร Preserving Impermanence the Creation of Heritage in Vientiane, Laos [Department of Archaeology and Ancient History Uppsala University, 2009] งานวิจัยศึกษาเกี่ยวกับการปกป้องรักษามรดกทางวัฒนธรรมในเวียงจันทน์ สำหรับบริเวณบ้านซายฟองเหนือและใต้ มีการสำรวจทางโบราณคดี สัมภาษณ์ประวัติศาสตร์บอกเล่าจากชาวบ้านและขุดค้นหลุมทดสอบทางโบราณคดี KARLSTRÖM รายงานว่าที่ซายฟอง สำรวจพบทรากวัดร้างราว ๓๐ แห่ง แต่ชาวบ้านในท้องถิ่นต่างเล่าว่าบริเวณมีวัดอยู่ถึง ๓๐๐ แห่ง ที่ฝั่งเวียงคุกแม้เรียกว่า “เมืองใหญ่ซายฟอง” แต่มีวัดราว ๆ ๘๐ แห่ง ที่เหลืออยู่ที่ฝั่งนี้ และไม่มีคำบอกเล่าใดเลยที่เกี่ยวข้องกับเขมร แต่เรื่องราวนั้นสัมพันธ์กับท้องถิ่นในพุธศตวรรษที่ ๒๑ เท่านั้น เธออ้างอิงถึงเอกสารจากพ่อค้าชาวดัชท์ที่มายังลาวในช่วง พ.ศ.๒๑๘๔-๒๑๘๕ และกล่าวว่า “เวียงคุก” เป็นสถานีใหญ่ในการขนถ่ายสินค้าจากลาวสู่เมืองโคราช ทำให้เป็นที่พักของพ่อค้าจากต่างถิ่นมากมายและเป็นเช่นนี้จนกระทั่งส่งต่อเข้ามายังกรุงเทพฯ เมื่อราวทศวรรษที่ ๒๔๐๐ อีกเมืองที่สำคัญคือ ศรีเชียงใหม่ ที่อยู่ตรงข้ามเวียงจันทน์ ทำให้ทราบว่าช่วงราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ เวียงคุก ท่าบ่อ ซายฟอง ศรีเชียงใหม่เป็นเมืองการค้าที่สำคัญ มีตำนานเขียนเป็นภาษาบาลีและภาษาลาวโบราณในพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (ตำนานเมืองซายฟอง / ซึ่งมีอยู่ในรวมประชุมพงศาวดารภาคที่ ๗๐ ตำนานนี้เขียนขึ้นตามขนบราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ - ๒๒ มีการกล่าวถึงกำเนิดบ้านเมืองต่าง ๆ และพระพุทธเจ้าเสด็จเลียบโลก ) หลักฐานทางโบราณคดีจากการขุดค้น ไม่อาจบอกได้ว่ามีเมืองหรือการอยู่อาศัยในวัฒนธรรมเขมร และไม่มีร้องรอยของอโรคยศาลที่นี่แต่อย่างใด มีการอยู่อาศัยเล็กน้อยช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓ สันนิษฐานจากใบเสมาซึ่งก็ยังไม่อาจยืนยันได้แน่ชัด และวัดร้างส่วนใหญ่น่าจะอยู่ในช่วงอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ เมื่อเดินทางสำรวจทางโบราณคดีในแถบภูพานคำ พระบาทบัวบาน-บัวบก ที่กรมศิลปากรเรียกว่าภูพระบาท เมืองพานที่บ้านหนองกาลึมซึ่งเป็นบ้านเกิดของพระครูหลวงโพนสะเม็กหรือญาคูขี้หอม และต่อเนื่องไปจนถึงท่าบ่อ พานพร้าว เวียงคุก เวียงจันทน์ จนถึงที่ราบลุ่มน้ำงึม บริเวณที่เรียกว่า เวียงคำหรือเมืองไผ่หนาม จนทำให้เห็นข้อสังเกตพ้องกับนักวิชาการที่ศึกษาเรื่องเมืองเวียงจันทน์และลาวทั้งสองท่านดังกล่าว จนเดินทางไปสำรวจที่แถบบ้านซายฟอง ซึ่งอยู่ในระหว่างพื้นที่คดโค้งของแม่น้ำโขง พื้นที่ทั่วไปมีสภาพของหนองบึงและที่ลุ่มอันเกิดจากการตกตะกอนของแนวชายหาดโค้ง บริเวณนี้จึงเป็นหมู่บ้านชนบทของเมืองเวียงจันทน์ เนื่องจากเมื่อข้ามสะพานไทย-ลาว จากนครพนมก็วิ่งตัดตรงสู่เวียงจันทน์โดยผ่านหมู่บ้านริมชายฝั่งเหล่านี้ไป และไม่พบหลักฐานที่เกี่ยวเนื่องจากการอยู่อาศัยในช่วงร่วมสมัยกับการสร้างอโรคยศาลแต่อย่างใด คงมีแต่วัดร้างและร่องรอยของชุมชนในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ ลงมา เอกสารในตำนานท้องถิ่นจากฝั่งไทย เช่น จากจารึกที่วัดบางแห่งในอำเภอโพนพิสัยหรือเมืองปากห้วยหลวง ตำนานวัดในใบลานบางแห่ง เรียกเมืองริมน้ำโขงทั้งสองฝั่งบริเวณนี้เป็นเมืองคู่ว่า “เมืองคุกชายฟอง” เมืองท่าบ่อ ศรีเชียงใหม่ พานพร้าว ปะโค เมืองคุกชายฟอง จนถึงเมืองปากห้วยหลวงหรือโพนพิสัยในปัจจุบัน ซึ่งเป็นยุครุ่งเรืองที่สุดของบ้านเมืองแถบนี้ร่วมกับเมืองอื่น ๆ ที่อยู่ริมแม่น้ำโขงและปรากฏชื่อบ้านนามเมืองในตำนานอุรังคธาตุซึ่งอยู่ในเขตสองฝั่งโขงอีกหลายแห่ง การเป็นเมืองคู่นี้น่าจะเป็นธรรมเนียมปกติของบ้านเมืองในแถบนี้ จารึกสุโขทัยเรียกชื่อ “เวียงจัน-เวียงคำ” ซึ่งหลายท่านก็สันนิษฐานว่า เวียงคำน่าจะเป็นเมืองไผ่หนามในตำนานและอยู่ที่ต้นที่ราบลุ่มแม่น้ำงึม ช่วงก่อนจะเข้าเขตเทือกเขาสูงซึ่งเป็นเส้นทางเดินทางสู่หลวงพระบาง และมีตำนานเรื่องพระบางและพระเจ้าฟ้างุ้มก่อนจะรวบรวมบ้านเมืองเป็นอาณาจักรล้านช้างในเวลาต่อมา คนในท้องถิ่นแถบเวียงจันทน์รับรู้เรื่องราวในตำนานเวียงคำนี้เป็นอย่างดี กรณีการเป็นเมืองคู่นี้ ในสมัยตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๒๑ เป็นต้นมา บ้านเมืองล้านช้างมีอาณาเขตทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขงและเป็นเมืองคู่ตลอดมา ความสัมพันธ์ของคนสองฝั่งโขงคือเครือญาติพี่น้อง อพยพข้ามไปข้ามมาจนเป็นเรื่องปกติ และเมืองเวียงจันทน์ก่อนที่จะถูกสยามข้ามไปเผาเมืองในสมัยรัชกาลที่ ๓ นั้นคู่กับเมืองพานพร้าวที่ศรีเชียงใหม่ กระทั่งฝรั่งเศสเข้ามายึดครองลาวและทำสนธิสัญญาแบ่งเขตลากเส้นพรมแดนประเทศจนส่งผลถึงปัจจุบัน แต่ สิทธิพร ณ นครพนม นักวิชาการท้องถิ่นที่เขียนเรื่องเมืองหนองคายเชื่อว่าซายฟองคือเมืองเวียงคำที่เป็นเมืองในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ แต่ให้คู่กับเมืองเวียงคุกและสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเมืองเดียวกัน เพราะพบหลักฐานการเป็นบ้านเมืองสำคัญในบริเวณเมืองเวียงคุกมากมาย เพราะพบวัดร้างและโบราณสถานกว่า ๑๐๐ แห่ง มีอาณาเขตกว้างขวางและอุดมสมบูรณ์รวมทั้งพระธาตุสำคัญของคนสองฝั่งโขงก็ประดิษฐานอยู่ที่นี่คือ พระธาตุบังพวน ที่กษัตริย์ลาวทรงสร้างและปฏิสังขรณ์เป็นการใหญ่โตเรื่อยมาทั้งสมัยพระเจ้าแสนหล้าและพระเจ้าไชยเชษฐา อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าไปสำรวจบริเวณเมืองเวียงคุก จึงพบว่ามีหลักฐานร่องรอยของบ้านเมืองที่เก่ากว่ายุครุ่งเรืองในการเป็นศูนย์กลางการค้าขายในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ วารสารเมืองโบราณไปสำรวจและถ่ายภาพที่สำคัญมากมายในปี พ.ศ.๒๕๑๘-๒๕๑๙ พบเทวรูป พระพุทธรูป ที่วัดยอดแก้ว วัดเทพพลประดิษฐานราม และเสนอว่าน่าจะอยู่ในช่วงลพบุรีตอนปลายต่อเนื่องกับล้านช้าง จากการสำรวจเพิ่มเติม ทำให้พบว่ายังพบหลักฐานที่เกี่ยวเนื่องกับแบบศิลปะลพบุรีที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมเขมรในช่วงหลังพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ เป็นต้นมา ซึ่งน่าจะมีอายุร่วมสมัยกับวัฒนธรรมเขมรแบบบายนที่ส่งอิทธิพลมาถึงบ้านเมืองสองฝั่งโขงในแถบเวียงจันทน์และหนองคายในบริเวณนี้ได้ บริเวณวัดเทพพลฯ นั้น มีร่องรอยของฐานศาสนสถานแบบเขมรอยู่แน่นอน เช่น ก้อนศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยม สระน้ำขนาดเล็ก กลีบขนุนที่ทำจากหินทรายและนำไปใช้เป็นใบเสมาในปัจจุบัน แต่ถูกเปลี่ยนแปลงการใช้พื้นที่จนแทบไม่อาจสังเกตเห็น นอกจากนี้พระพุทธรูปขนาดเล็กที่พบยังปรากฏรูปแบบจากใบหน้าและการแกะสลักที่ทำให้เห็นว่าเป็นฝีมือช่างแบบท้องถิ่น เช่นเดียวกับฝีมือช่างของการรูปสลักจากหินทรายลอยตัวรูปพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ที่เก็บรักษาไว้ที่ระเบียงคดรอบพระธาตุหลวงเวียงจันทน์ เมื่อเปรียบเทียบจากรูปสลักที่พบจากกีเมต์และพิมายแล้วจะเห็นฝีมือที่เกิดจากการเลียนแบบได้ชัด ทางฝั่งเวียงคุก พบหลักฐานที่เราเรียกว่าศิลปะแบบลพบุรีมากมายหลายชิ้น รวมทั้งโบราณสถานที่น่าจะเป็นรูปแบบเรื่องในวัฒนธรรมเขมรแม้จะไม่ชัดเจนนัก แตกต่างจากฝั่งซายฟองที่แทบไม่พบร่องรอยอื่นใดแม้จากการสำรวจและขุดค้นหลุ่มทดสอบก็ตาม หากเราใช้วิธีหาข้อสรุปเพื่อกล่าวว่า ที่จริงแล้วศาสนสถานเนื่องในวัฒนธรรมเขมรน่าจะอยู่ที่เวียงคุก ฝั่งประเทศไทย ก็คงเป็นการเดินตามรอยการยื้อแย่งความสำคัญหรือสร้างความเชื่อในเรื่องท้องถิ่นนิยมตามแบบประวัติศาสตร์ยุคอาณานิคมที่สร้างกับดักทางความคิดเช่นนี้เสมอ การจะไปกล่าวหาว่านักวิชาการชาวฝรั่งเศสในยุคสมัยหนึ่ง “ยกเมฆ” เพื่อเหตุผลในทางการเมืองใด ๆ ก็ตามก็คงไม่สมควรเช่นกัน แต่กรณีเรื่องราวของเวียงคุกที่อยู่ในห้วยคุก บ้านเมืองริมโขงทางฝั่งไทยที่ห้วยน้ำโมงซึ่งต่อเนื่องไปจนถึงภูพานคำและหนองบัวลำภูจนกระทั่งถึงต้นน้ำชี ซึ่งมีท้องถิ่นที่สำคัญและรับอิทธิพลจากวัฒนธรรมเขมรรวมทั้งวัฒนธรรมทวารวดีจากภาคกลางนั้นเป็นเส้นทางที่สำคัญที่จะถอดรหัสการมีอยู่ของท้องถิ่นที่มีชุมชนในสมัยทวารวีดตอนปลาย ชุมชนที่มีใบเสมาและพระพุทธรูปยืนที่มีอิทธิพลแบบทวารวดีร่วมสมัยกับอิทธิพลแบบเขมร อย่าง “พระบาง” และพระพุทธรูปในอีกหลายๆ แห่งที่พบในเขตเวียงจันทน์และเหนือขึ้นไปในที่ราบลุ่มน้ำงึมดังกล่าว โดยเฉพาะ “ใบเสมา” ที่อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ศึกษาและจัดกลุ่มไว้อย่างชัดเจน จะขาดข้อมูลไปก็คือในพื้นที่ทางอุดรธานีและหนองคายต่อเนื่องไปจนถึงที่ราบลุ่มน้ำงึม ซึ่งในระยะก่อนหน้านั้นไม่สะดวกนักที่จะเดินทางเข้าไปสำรวจที่ลาว ทำให้ยังไม่เห็นภาพชัดเจน หากนำข้อมูลเหล่านี้มาพิจารณาทั้งหมดใหม่ ก็จะเห็นภาพของพลวัตรบ้านเมืองที่ห่างไกลศูนย์กลางอำนาจที่เมืองพระนคร แต่ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากทั้งเขมรและแบบทวารวดี จนกลายเป็นลักษณะเฉพาะท้องถิ่น โดยที่ไม่จำเป็นต้องกลายเป็นรัฐในอารักขาของเขมร เหมือนกับที่ประวัติศาสตร์แบบอาณานิคมมักจะวิเคราะห์ไปในทิศทางดังกล่าว เมืองซายฟอง จึงไม่จำเป็นต้องเป็นเขตอิทธิพลเหนือสุดของอำนาจทางการเมืองของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ดังที่เกิด “ความเชื่อ” ที่หวลกลับมาอีกครั้งหนึ่งในสำนึกทางประวัติศาสตร์ของชาวกัมพูชาปัจจุบัน และหากกลาวถึงเมืองซายฟองโดยหรี่ตาไม่นำเอาเมืองคู่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามและยังคงมีหลักฐานทางโบราณคดีจำนวนมากมากล่าวด้วยก็คงเป็นการเลือกปฏิบัติในประวัติศาสตร์แบบรัฐชาติสมัยใหม่ ที่เลือกเฉพาะพื้นที่ในขอบเขตเส้นแบ่งพรมแดน ทั้ง ๆ ที่ธรรมชาติของบ้านเมืองสองฝั่งโขงนั้นไร้พรมแดนตลอดมา แม้จนทุกวันนี้ที่ผู้คนทั้งสองฝั่งยังคงเป็นเครือญาติ ไปมาหาสู่กันในบางกลุ่ม บ้านเมืองที่มีความเคลื่อนไหวเหล่านี้ สัมพันธ์กับ “แคว้นศรีโคตบูร” ซึ่งเป็นบ้านเมืองสองฝั่งโขงก่อนสมัยพระเจ้าฟ้างุ้มและล้านช้าง โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่แถบหนองหารสกลนคร อันเป็นเมืองใหญ่เนื่องในวัฒนธรรมเขมร ต่อเนื่องสัมพันธ์กับจามปาที่ริมทะเลในแถบเวียดนามตอนกลางด้วย สิ่งเหล่านี้ปรากฏร่องรอยในตำนานอุรังคธาตุและโบราณสถานและวัตถุหลายแห่งในเขตอีสานตอนเหนือและสองฝั่งโขง ชิ้นส่วนใบเสมาและพระพุทธรูปแบบนาคปรก เก็บรักษาไว้ตามวัดต่าง ๆ ในเวียงคุก อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- “เมืองแพร่และผลจากการสัมปทานป่าไม้”
เผยแพร่ครั้งแรก 12 พ.ค. 2559 อุตสาหกรรมป่าไม้สร้างรายได้มหาศาลแก่รัฐบาลส่วนกลาง บริษัทข้ามชาติและนายทุนท้องถิ่นผู้รับสัมปทานผูกขาด ซึ่งไม่มีผลในทางบวกต่อชีวิตคนในเมืองแพร่เท่ากับผลกระทบในชีวิตการทำมาหากินต่อมาและสภาพแวดล้อมที่ถูกทำลาย เมืองแพร่คือตัวอย่างของการนำ ทรัพย์ส่วนรวม [Common property] ซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตจากสภาพแวดล้อมอันอุดมสมบูรณ์ของตนเองมาใช้ในระบบสัมปทานจนหมด ผลกระทบมากมายเกิดขึ้นอย่างเป็นลูกโซ่ในประวัติศาสตร์เมืองแพร่จนถึงปัจจุบัน คุณหลวงวิลาสวนวิทย์ (เมธ รัตนประสิทธิ์) เป็นผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการโรงเรียนป่าไม้ การทำป่าไม้ในระยะเริ่มแรก คือ การทำ “ไม้สัก” ซึ่งพบมากที่สุดในเขตจังหวัดภาคเหนือ คือ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน และยังพบประปรายแถบจังหวัดสุโขทัยและกำแพงเพชรลงมาถึงอุทัยธานี กาญจนบุรี ส่วนพม่านั้นเป็นประเทศที่มีไม้สักมากที่สุด การเริ่มต้นกิจการทำไม้สักในประเทศไทยเริ่มจากชาวจีนไหหลำที่ต้องการไม้สักมาต่อเรือส่งไปยังเมืองจีนตั้งแต่ช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งการเดินเรือสำเภาเลียบชายฝั่งเป็นกิจการที่เฟื่องฟูทั้งการค้าขายและการอพยพย้ายถิ่นในช่วงเวลานั้น และยังเป็นคนกลุ่มแรกที่ทำโรงเลื่อยเพื่อแปรรูปไม้สักที่นำมาจากแถบเมืองพิษณุโลกและสวรรคโลก และยังไม่ได้นำเอาขอนไม้มาจากทางเมืองเหนือแต่อย่างใด ป่าไม้สักโดยทั่วไปเป็นป่าผสมผลัดใบหรือที่เรียกกันว่า ป่าเบญจพรรณ ผลัดใบในฤดูแล้งพันธุ์ไม้มีค่านอกเหนือจากไม้สักแล้วมีไม้ประดู่ ไม้แดง ไม้มะค่า ไม้ตะแบก ไม้ไผ่ชนิดต่าง ๆ ฯลฯ ไม้สักเจริญเติบโตได้ดีในสภาพพื้นที่ที่มีความชุ่มชื้นสูง ดินลึก ระบายน้ำดี และมีสภาพที่เป็นกลางหรือด่างเล็กน้อย ปริมาณน้ำฝนที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและคุณภาพเนื้อไม้อยู่ระหว่าง ๑,๐๐๐-๑,๕๐๐ มิลลิเมตรต่อปี มีฤดูแล้งสลับกับฤดูฝนเพื่อที่เนื้อไม้จะได้มีลวดลายของวงปีชัดเจน ระดับความสูงของพื้นที่ไม่เกิน ๗๐๐ เมตรจากระดับน้ำทะเล เมื่ออังกฤษสามารถเข้ายึดพม่าเป็นอาณานิคมเริ่มแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๙ เป็นยุคอาณานิคมที่ทำให้กิจการการทำไม้สักเพื่อส่งออกเริ่มต้นขึ้น และกระทำอย่างจริงจังเมื่ออังกฤษยึดพม่าตอนล่างเพิ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๖ พื้นที่เหล่านี้เป็นแหล่งไม้สักที่สำคัญ ชาวอังกฤษตั้งบริษัทบอมเบย์ เบอร์มา บริษัทบริดิช เบอร์เนียว เพื่อรองรับการค้าไม้ส่งออก ซึ่งตลาดไม้สักที่สำคัญนั้นอยู่ในยุโรปและอินเดียซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษ หลังจากทำไม้เป็นระยะเวลาหนึ่งก็เริ่มขยายตัวมาทำไม้ในหัวเมืองทางเหนือของสยามเพราะเห็นว่ามีไม้สักมาก คุณภาพดีและราคาถูกกว่าของพม่า ทำให้คนอังกฤษและคนในบังคับอังกฤษ เช่น เงี้ยวหรือไทใหญ่ กะเหรี่ยง พม่า เข้ามาขอเช่าทำป่าไม้กับเจ้าผู้ครองนครซึ่งอยู่ในช่วงรัชกาลที่ ๔ ต่อรัชกาลที่ ๕ ในสมัยก่อนเกิดการรวมศูนย์อำนาจและยกเลิกหัวเมืองประเทศราช ป่าไม้ในหัวเมืองเหนือถือเป็นทรัพย์สินมรดกจากบรรพบุรุษและทรัพย์สินส่วนตัวของเจ้านายในหัวเมืองเหนือ ซึ่งแต่เดิมป่าไม้น่าจะเป็นทรัพย์สินโดยรวมที่มีผีอารักษ์คอยคุ้มครอง คอยรักษาสมดุลตามธรรมชาติและผู้คนเพียงใช้ประโยชน์จากการเก็บของป่า ดังนั้นผลผลิตจากป่าจึงกลายเป็นทรัพย์สิน ไม่ใช่บริเวณที่เป็นผืนป่าทั้งบริเวณดังที่เราสามารถพบร่องรอยของวิธีคิดในเรื่องทรัพยากรส่วนรวมที่ผู้คนยกให้เป็นของพระเจ้าหรือผีใหญ่อารักษ์คุ้มครอง และการอ้างอิงกับอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่พบได้ในบ้านเมืองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การจับจองอ้างเป็นทรัพย์สินส่วนตัวหรือทรัพย์สินเฉพาะกลุ่มจึงเกิดขึ้นในภายหลัง เมื่อทรัพยากรเหล่านั้นเริ่มมีคุณค่าในทางเศรษฐกิจ การจับจองพื้นที่จึงกลายเป็นทรัพย์สินกรรมสิทธิ์ที่สำคัญกว่าผลผลิตเฉพาะบุคคลที่ได้จากพื้นที่โดยรวม ใน พ.ศ. ๒๔๒๖ รัฐบาลไทยเริ่มอนุญาตให้ชาวยุโรปเข้ารับสัมปทานทำไม้สักในประเทศไทยได้ และในช่วงเวลาเดียวกันคือหลังจาก พ.ศ. ๒๔๒๘ เป็นต้นมา พม่าก็ได้ปิดป่าสักไม่ให้มีการทำไม้เนื่องจากสภาพป่าสักเสื่อมโทรมลงมากจากการทำไม้ของบริษัทต่างชาติ และความต้องการไม้สักในหมู่ประเทศยุโรปจึงมีมากขึ้น เมื่อมีความชำนาญในการทำไม้ในพม่า บริษัทของอังกฤษทราบถึงวิธีการที่จะได้ผลมากที่สุดทั้งเทคนิคการตัดไม้และลากจูง การลงทุนที่คุ้มค่าและมีกำไรสูงสุด และการบริหารงาน ความเชี่ยวชาญ และเหตุผลข้างต้นทำให้บริษัททำไม้ของยุโรปเข้ามาตั้งบริษัททำธุรกิจในประเทศไทย เริ่มจากบริษัทบริดิช เบอร์เนียว จำกัด มาตั้งที่เชียงใหม่เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๙ แต่เริ่มอย่างจริงจังเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๒ บริษัท บอมเบย์ เบอร์มา เทรดดิ้ง จำกัด [Bombay Burma Trading Corporation, Ltd.] ของอังกฤษ ซึ่งเป็นใหญ่และมีอิทธิพลมากในประเทศพม่าเข้ามาใน พ.ศ. ๒๔๓๒ ตั้งสาขาที่เชียงใหม่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๕ บริษัทสยามฟอเรสต์ จำกัด [Siam Forest Company, Ltd.] ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นแองโกลสยามและแองโกลไทย จำกัด เข้ามาทำป่าไม้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๕ บริษัทหลุยส์ ที. เลียวโนเวนส์ [Louis t.Leonowens Ltd.] ซึ่งแยกมาจากบริษัทบริดิช บอร์เนียว ใน พ.ศ. ๒๔๓๙ และบริษัทของชาวเดนมาร์กอีกแห่งหนึ่งคือ บริษัทอิสต์ เอเชียติค จำกัด ตั้งขึ้นราว พ.ศ. ๒๔๔๘ เป็นบริษัทที่นำสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาค้าขายด้วย สำนักงานเดิมตั้งอยู่ข้างโรงแรมโอเรียลเต็ล และบริษัทนี้ยังคงทำธุรกิจอยู่จนทุกวันนี้ และยังมีบริษัทของฝรั่งเศสอีกหนึ่งบริษัทคือ บริษัทเอชิอาติก เออาฟริเกน ตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๒ ส่วนผู้ทำไม้รายย่อยซึ่งเริ่มเป็นกลุ่มชนชั้นนำที่เป็นนายทุนของสยามได้แก่ บริษัทล่ำซำ จำกัด ของนายอึ้ง ล่ำซำ ซึ่งเป็นคนในบังคับฝรั่งเศส บริษัทกิมเซ่งหลี จำกัด ก่อตั้งโดย นายอากรเต็งหรือหลวงอุดรภัณฑ์พานิช ซึ่งมีทุนน้อยกว่าชาวยุโรป นอกจากนี้ยังมีเจ้านายจากเมืองต่าง ๆ โดยเฉพาะเมืองแพร่และเมืองน่าน คนอเมริกันและฮอลันดา และคนท้องถิ่น การทำป่าไม้ในมณฑลพายัพดำเนินการโดยพ่อค้าอังกฤษและชาวพม่าในบังคับอังกฤษ ซึ่งอยู่ในความควบคุมของ ๒ บริษัทป่าไม้อังกฤษใหญ่ ๆ คือ บริษัทบอมเบย์ เบอร์มา และบริษัท บริดิช บอร์เนียว ซึ่งการดำเนินงานของทั้งสองบริษัทจะกระทำอย่างมีแบบเเผนและใช้วิชาการเข้ามาเกี่ยวข้อง คนที่ทำป่าไม้ก็มีความชำนาญในการทำป่าไม้มาจากพม่า เมื่อบริษัทได้มาตั้งสาขาขึ้นในมณฑลพายัพก็ดำเนินการทำป่าไม้ทุกอย่าง นับตั้งแต่การรับเช่าทำป่าไม้ การตัด แม้แต่การออกทุนในการรับซื้อไม้จากพ่อค้าไม้ชาวพื้นเมือง การทำธุรกิจป่าไม้เป็นแบบการรับสัมปทานป่าเป็นผืน ๆ ไป การลงทุน เทคโนโลยี การจ้างแรงงานเป็นของบริษัทรับทำทั้งหมด ส่วนการอนุญาตเป็นของเจ้าของกรรมสิทธิ์ในพื้นที่ เช่น เจ้าผู้ครองนครของหัวเมืองต่าง ๆ ซึ่งนำไปสู่การขัดแย้งในทางธุรกิจที่อาจนำไปสู่ข้ออ้างทางการเมืองที่ฝ่ายเจ้าอาณานิคมที่เป็นคนดูแลทั้งบริษัทและคนในบังคับชาติต่าง ๆ สามารถใช้เป็นข้ออ้างในการจุดประเด็นเพื่อเข้ายึดดินแดนต่าง ๆ ได้ ดังที่เคยเกิดขึ้นในพม่าและที่อื่น ๆ การจัดการป่าไม้โดยรัฐบาลจากกรุงเทพฯ การฟ้องร้องจำนวนมากและหลายคดีที่ฝ่ายเจ้าของสัมปทานคือเจ้าผู้ครองนครเป็นฝ่ายแพ้ ทำให้รัฐไทยตระหนักว่าความขัดแย้งเหล่านี้จะขยายเพิ่มมากขึ้นและคุกคามต่ออาณาเขตของรัฐที่ยังไม่มีความชัดเจนในขณะนั้น จนนำไปสู่ระบบการปกครองแบบรวมศูนย์และยกเลิกหัวเมืองประเทศราช จัดระบบการปกครองที่ดูแลจากส่วนกลางอย่างเข้มข้นในระยะเวลาเดียวกัน การแก้ไขปัญหาในเรื่องการทำสัมปทานป่าไม้ซึ่งมีการออกพระราชบัญญัติและประกาศต่าง ๆ เกี่ยวกับไม้สักเพื่อแก้ปัญหาการให้สัมปทานเช่าซ้ำซ้อน การจัดเก็บภาษีที่ดีขึ้น การลักขโมยตัดไม้ การฆาตกรรม การลอบตีตราเถื่อนและซ้ำซ้อน ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๑๖ เจ้าผู้ครองนครต่าง ๆ ที่จะทำสัญญากับชาวต่างประเทศต้องได้รับความยินยอมจากกรุงเทพ ฯ ก่อน ในช่วง พ.ศ. ๒๔๒๖-๒๔๒๗ รัฐบาลส่งพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ไปเป็นข้าหลวงพิเศษแก้ไขปัญหาป่าไม้ และมีประกาศ พ.ศ. ๒๔๒๗ เรื่องซื้อขายไม้ขอนสักและประกาศเรื่องตัดไม้สัก พ.ศ. ๒๔๒๗ เพื่อควบคุมเรื่องการทำสัญญาเช่าป่าให้อยู่กับรัฐบาลและข้าหลวงจากกรุงเทพฯ เท่านั้น ห้ามเจ้านายเจ้าของป่าออกใบอนุญาตแก่ผู้ขอเช่าทำป่าไม้เอง เป็นการลดอำนาจเจ้าผู้ครองนครโดยตรง เพราะรายได้จำนวนมากเหล่านี้ตกอยู่กับเจ้านายในหัวเมือง ต่าง ๆ ซึ่งสวนทางกับแนวโน้มในการจัดระบบการปกครองแบบศูนย์รวมอำนาจที่จะเกิดขึ้น และห้ามไม่ให้ตัดฟันไม้สักในป่าเขตเมืองเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน แพร่ น่าน นอกจากได้รับอนุญาตจากข้าหลวง นอกจากนี้ยังมีประกาศเรื่องการเก็บภาษีไม้ขอนสักให้ถูกต้องใน พ.ศ. ๒๔๓๑ ห้ามไม่ให้ล่องไม้ในเวลากลางคืน ห้ามลักขโมยไม้ใน พ.ศ. ๒๔๓๙ รัฐบาลได้โอน Mr. Castenjold ที่เดิมปฏิบัติราชการประจำกระทรวงการคลังมาสังกัดกระทรวงมหาดไทย เพื่อช่วยสำรวจสถานการณ์ป่าไม้สักทางมณฑลพายัพเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖ แต่ได้ล้มป่วยและถึงแก่กรรมอย่างกะทันหันที่จังหวัดตาก ต่อมาสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้เจรจาขอยืมตัว Mr. H. A. Slade ข้าราชการอังกฤษที่รับราชการในกรมป่าไม้พม่าให้เข้ามาช่วยให้คำแนะนำ คำปรึกษา ในกิจการป่าไม้ของไทย เช่นเดียวกับที่ Sir. Dietrich Brandis ได้เริ่มลงมือจัดการป่าไม้ในประเทศพม่าเมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๙ กัปตัน W. Guldberg เดินทางเข้ามาสยามตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๒๕ เมื่อบริษัทอีสต์เอเชียติก ก่อตั้งในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของบริษัทอีสต์เอเชียติกในภาคเหนือของสยาม ภาพจากพิพิธภัณฑ์ไม้สัก จังหวัดแพร่ ในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๓๘ Mr. Slade ขึ้นไปตรวจการทำป่าไม้ในหัวเมืองภาคเหนือ โดยออกเดินทางจากกรุงเทพฯ พร้อมนักเรียนไทยฝึกหัดอีก ๕ คน ออกไปสำรวจและนำเสนอรายงานชี้แจงข้อบกพร่องต่าง ๆ ของการทำป่าไม้ในเวลานั้น และให้ข้อเสนอแนะต่อเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ซึ่งก็เป็นไปในแนวทางเดียวกับที่รัฐบาลไทยเคยออกประกาศและพระราชบัญญัติต่าง ๆ โดยสรุปคือ ข้อเสนอแนะต่อเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยของ Mr. Slade ควรทำแผนที่แบ่งป่าไม้สักและไม้อื่น ๆ ทางภาคเหนือเพื่อทราบความหนาแน่นของไม้และมูลค่าจริงของป่าแต่ละแห่งแล้วจัดวางโครงการทำป่าไม้ ควรสำรวจไม้อื่นที่ไม่ใช่ไม้สักเพื่อใช้ทดแทนไม้สัก เป็นการสงวนพันธุ์ไม้สักไว้ใช้ประโยชน์ในทางที่เหมาะสมต่อไป ควรดำเนินการให้ป่าไม้อยู่ในความดูแลของรัฐบาลและยกเลิกส่วนแบ่งค่าตอไม้ซึ่งเจ้านายต่าง ๆ ได้รับมาแต่เดิม โดยรัฐบาลจ่ายเงินเดือนให้เป็นการทดแทน รวมทั้งควรจัดตั้งหน่วยงานควบคุมป่าไม้ขึ้นเป็นทบวงการเมืองของรัฐ ควรออกกฎหมายสำหรับควบคุมกิจการป่าไม้เพื่อป้องกันรักษาป่า การจัดวางโครงการป่าและการจัดเก็บผลประโยชน์จากป่า รวมทั้งการแก้ไขสัญญาอนุญาตทำไม้ให้มีความเป็นระเบียบ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของนานาชาติ ควรจัดส่งนักเรียนไปศึกษาอบรมที่โรงเรียนการป่าไม้ในต่างประเทศ ๒ - ๓ คนทุกปี เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการบริหารกิจการป่าไม้ไทยต่อไป ควรจัดตั้งด่านภาษีใหม่รวม ๖ แห่ง ที่เมืองพิชัย สวรรคโลก ปากน้ำโพ และกรุงเทพฯ ส่วนค่าตอไม้สำหรับไม้ที่ล่องลงแม่น้ำสาละวิน ควรตั้งด่านภาษีที่เมืองมะละเเหม่งหรือเมาะลำเลิงเพื่อควบคุมไม้ที่ล่องไปยังพม่า และควรปรับปรุงวิธีจัดเก็บภาษีให้เป็นไปตามมาตรฐานการป่าไม้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเห็นชอบกับกระทรวงมหาดไทยและรายงานของ Mr. Slade ว่าถูกต้องสมควรทุกประการ โดยกล่าวถึงอำนาจรัฐบาลซึ่งถือว่าป่าไม้เป็นของหลวงมาแต่เดิมจะใช้สิทธิ์ตามอำนาจนั้น เจ้าผู้ครองนครผู้เป็นเจ้าของป่าเมื่อเป็นผู้อนุญาตแต่ผู้เดียวก็ไม่สามารถจัดการกับการสัมปทานค่าตอไม้ได้อย่างชัดเจน และการใช้จ่ายเงินทองรั่วไหลไปที่ผู้เกี่ยวข้องต่าง ๆ ไม่ถึงรัฐอย่างเต็มที่ หากจะสูญเสียรายได้ก็น่าจะเป็นการเสียรายได้จากการจ่ายเงินเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาคอรัปชั่นในการสัมปทานป่ามาตั้งแต่ช่วงแรก ๆ จากปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเปิดให้สัมปทานหรือทำสัญญาเช่าทำป่าไม้สัก กลายเป็นช่องทางให้ผู้รับเหมาตัดไม้สักอย่างเดียว ไม่จำกัดขนาดและปริมาณจนหมดป่า รัฐบาลกลางจึงจัดตั้ง กรมป่าไม้ ขึ้นในวันที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๓๙ มีชื่อภาษาอังกฤษว่า The Royal Forest Department สังกัดกระทรวงมหาดไทย เนื่องจากในเวลานั้นกระทรวงเกษตราธิการเพิ่งจะสถาปนาขึ้นใหม่ ยังไม่มีกำลังพอจะดำเนินการเองได้ และชื่อภาษาอังกฤษบ่งบอกเป็นนัยว่า ป่าไม้นั้นเป็นของหลวง เมื่อตั้งกรมป่าไม้ขึ้นแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ Mr. Slade เป็นเจ้ากรมป่าไม้คนแรกในอีกหนึ่งเดือนต่อมา สิ่งที่กรมป่าไม้จัดการก็คือ การแก้ปัญหาเรื่องกรรมสิทธิ์ป่าไม้ซึ่งเป็นไปในแนวทางเดียวกัน คือการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ ทำให้เกิดความไม่พอใจจากเจ้านายจากหัวเมือง โดยเฉพาะที่เกิดเหตุการณ์จนถึงกับล้มเลิกระบบเจ้าหลวงปกครองเมืองเป็นแห่งแรกในหัวเมืองเหนือ เช่นที่เมืองแพร่ ต่อมารัฐบาลได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติและกฎหมายป่าไม้ต่าง ๆ เกี่ยวกับระเบียบการทำไม้ การป้องกันรักษาป่าไม้ การตั้งด่านภาษี เป็นต้น ได้มีการปรับปรุงแก้ไขสัญญาอนุญาตทำป่าไม้สักกับบริษัทต่าง ๆ ให้รัดกุม เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดและถูกต้องตามหลักวิชาการมากยิ่งขึ้น ทั้งให้ทำสัญญาอนุญาตทำไม้สัญญาละ ๖-๑๒ ปี ต่อมาได้ขยายเวลาสัญญาออกเป็นสัญญาละ ๑๕ ปี ตามหลักการจัดการป่าสักโดยวางโครงการตัดฟัน ๓๐ ปี เริ่มต้นใน พ.ศ. ๒๔๕๑ ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๕๓ ได้ย้ายที่ทำการกรมป่าไม้จากจังหวัดเชียงใหม่มาอยู่ที่กรุงเทพฯ และย้ายสังกัดจากกระทรวงมหาดไทยไปขึ้นกับกระทรวงเกษตราธิการหรือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ฯ ในปัจจุบัน เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๔ ทั้งหมดนี้คือนโยบายที่ต้องการรายได้ไปบำรุงการปรับเปลี่ยนสยามประเทศที่กำลังเข้าสู่ความเป็นรัฐสมัยใหม่ ชาติสมัยใหม่ในช่วงเวลานั้น ในช่วงระยะแรกของการทำป่าไม้ บริษัทของอังกฤษได้รับสัมปทานมากที่สุดถึงร้อยละ ๘๐ เพราะมีเงินทุนมากพอที่จะทำให้ไม่เกิดปัญหาในการจ่ายเงินค่าตอไม้หรือค่าสัมปทานแก่รัฐ ส่วนที่เหลือที่เป็นนายทุนชาวจีน พม่า เงี้ยวหรือไทใหญ่ กะเหรี่ยง หรือเจ้านายในท้องถิ่นมักจะไม่มีเงินทุนเพียงพอ หากได้รับสัมปทานไม่นานก็ต้องนำไปขาย โอน หรือให้บริษัทต่างชาติรับเหมาช่วงต่อ ในระหว่างรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีนโยบายที่ต้องการให้การผูกขาดหรือรับสัมปทานป่าไม้ตกอยู่ในกลุ่มของคนไทยให้มากกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อรัฐบาลจะได้รับผลประโยชน์และผลกำไรมากกว่า จึงส่งเสริมให้บริษัทคนไทยรับสัมปทานมากขึ้น และจำกัดสิทธิ์และลดอิทธิพลของบริษัททำไม้ เช่น การให้กรมป่าไม้เป็นผู้รับสัมปทานป่าไม้สักเองในป่าที่เหลือ และพยายามให้สัมปทานแก่บริษัทคนไทยที่มีคุณสมบัติคือ มีเงินทุนในการทำป่าไม้ตลอดระยะเวลาที่รับสัมปทานและมีประสบการณ์ทำไม้ แต่นโยบายดังกล่าวก็ไม่ได้ผลนัก กิจการป่าไม้โดยบริษัทของชาวยุโรปก็ยังได้รับการต่อสัมปทานเพราะปฏิบัติตามเงื่อนไขอย่างเคร่งครัด จุดล่องไม้ของเมืองแพร่ จะอยู่ที่ชุมชนเชตวัน นอกเขตเวียงแพร่ ใกล้กับประตูมาร แม้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร์ จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจได้ ทุนและที่ดินยังเป็นของคนกลุ่มเดิม และบริษัททำไม้ชาวยุโรปก็ยังเป็นผู้รับสัมปทานรายใหญ่เช่นเดิม แต่เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นผู้นำรัฐบาลในวาระแรก มีการสร้างอุดมการณ์ชาตินิยมที่ปลูกฝังเรื่องความเป็นคนไทยที่ยิ่งใหญ่ชาติหนึ่งและเจริญทัดเทียมอารยประเทศ โดยมีการนำเอาค่านิยมเรื่องชาตินิยมมาใช้ในทางเศรษฐกิจ โดยเน้นว่าไทยจะเป็นทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ ไม่ใช่ต่างชาติเป็นผู้ขายและไทยเป็นผู้ซื้อ มีความคิดว่าต้องลดบทบาทของบริษัทต่างชาติในกิจการทำไม้ด้วย แต่ก็ไม่สามารถดำเนินนโยบายชาตินิยมดังกล่าวได้แต่อย่างใด เพราะบริษัทของชาวยุโรปที่รับสัมปทานสามารถขอต่อสัมปทานเป็นรอบที่ ๓ ได้ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓ จนกระทั่งเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ใน พ.ศ. ๒๔๘๔ รัฐบาลไทยเพิกถอนสัมปทานการทำไม้สักจากบริษัทอังกฤษทั้ง ๔ บริษัท สั่งยึดกิจการและทรัพย์สินต่าง ๆ ตาม “พระราชบัญญัติว่าด้วยการควบคุมและจัดการทรัพย์สินของบุคคลคนต่างด้าวบางจำพวกในภาวะคับขัน” และตั้งบริษัทไม้ไทย จำกัด ซึ่งเป็นองค์กรรัฐวิสาหกิจของรัฐขึ้น เพื่อรับช่วงการทำสัมปทานป่าไม้แทน หลังสงครามโลกใน พ.ศ. ๒๔๘๙ รัฐบาลต้องคืนสัมปทานป่าสักให้แก่บริษัททำไม้ต่าง ๆ ที่ยึดคืนมา และชดใช้ค่าเสียหายในระหว่างสงครามและยุบบริษัทไม้ไทย จำกัด จึงตั้งองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) ขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๙๐ ซึ่งเป็นองค์กรรัฐวิสาหกิจหนึ่งในจำนวนหลายแห่งที่ตั้งขึ้นในช่วงนี้ เพื่อดำเนินกิจการด้านป่าไม้ให้แก่รัฐบาล และเมื่อรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ยึดอำนาจกลับมาบริหารประเทศอีกครั้ง ก็ดำเนินนโยบายสนับสนุนให้คนไทยดำเนินการทำไม้แทนชาวยุโรปซึ่งมีการเตรียมตัวไว้ก่อนที่สัมปทานจะหมดอายุ จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๙๗-๒๔๙๘ สัมปทานป่าไม้สักของบริษัทต่าง ๆ ได้สิ้นสุดลงและไม่ได้รับการต่อสัญญาอีก มีการยกฐานะองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เป็นรัฐวิสาหกิจประเภทนิติบุคคล เพื่อสามารถแข่งขันและมีความคล่องตัวในการดำเนินงานทัดเทียมบริษัทเอกชน และมีการตั้ง บริษัทป่าไม้ร่วมทุนขึ้น โดยรวมทุนจากบริษัททำไม้ที่หมดสัมปทานทั้ง ๕ บริษัทเข้าด้วยกัน รัฐบาลไทยถือหุ้นร้อยละ ๒๐ นอกจากนี้ยังได้จัดตั้ง บริษัทป่าไม้จังหวัดขึ้น เพื่อรับทำไม้ในท้องที่จังหวัดนั้น ๆ ในปี พ.ศ.๒๔๙๘ ป่าสักได้ถูกแบ่งออกเป็น ๓ ส่วนคือ ให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ทำหนึ่งส่วน บริษัทป่าไม้ร่วมทุนหนึ่งส่วน และบริษัทป่าไม้จังหวัดอีกหนึ่งส่วน จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๕๐๓ ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อหมดสัมปทาน รัฐบาลจึงได้มอบให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เป็นผู้ดำเนินกิจการทำไม้สักทั้งหมด ยกเว้นสัมปทานป่าสักของเอกชนที่อายุสัญญายังเหลืออยู่ และบริษัททำไม้ต่างชาติทั้ง ๕ บริษัทปิดกิจการลง ป่าไม้สักเมืองแพร่ จากลักษณะทางกายภาพ ทั้งดิน น้ำ และทรัพยากรอื่น ๆ ทำให้บริเวณป่าเมืองแพร่มีไม้สักดีที่สุดแห่งหนึ่ง โดยเฉพาะตามลำน้ำที่พบมีอยู่แถบทุกสาย ก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ ชาวต่างชาติเข้ามาทำสัมปทานป่าไม้ในเมืองแพร่หลายบริษัท สัมปทานป่าไม้ที่เมืองแพร่ซึ่งรัฐให้กับบริษัทชาวยุโรปรอบละ ๑๕ ปี โดยให้ทั้งหมด ๓ รอบด้วยกัน บริษัทที่ได้รับสัมปทานมากที่สุดในเมืองแพร่ คือ บริษัทบอมเบย์ เบอร์มา ของอังกฤษ ซึ่งได้รับสัมปทานทำไม้ในบริเวณป่าแม่น้ำยมตะวันตก คือ ป่าไม้ด้านทิศตะวันตกของฝั่งเเม่น้ำยม นับตั้งแต่ป่าตำบลสะเอียบ อำเภอสอง จนถึงป่าแม่ต้า ในเขตอำเภอลอง แต่ป่าแม่ต้านี้เป็นพื้นที่ในกรรมสิทธิ์ของเจ้าผู้ครองนครลำปางในเวลานั้น ซึ่งเจ้าผู้ครองนครลำปางได้มอบสัมปทานให้กับบริษัทบอมเบย์ เบอร์มา รับทำ เป็นอาณาเขตที่มีไม้สักอันมหาศาล แต่นับว่าบริษัทบอมเบย์ เบอร์มา เข้ามาทำไม้เมืองแพร่ในระยะสั้น เมื่อเทียบกับบริษัทอีสต์ เอเชียติค ของเดนมาร์ก เพราะเมื่อไม้สักหมดป่าแม่ต้าแล้ว บริษัทบอมเบย์ เบอร์มา ก็ย้ายกิจการออกไปยังจังหวัดอื่นในภาคเหนือต่อไป การทำไม้ทำให้พม่าเข้ามาในจังหวัดแพร่เพิ่มมากขึ้น เพราะการทำไม้ต้องอาศัยแรงงานจำนวนมากที่ชำนาญงาน และพม่าเป็นแหล่งทำไม้ใหญ่ของอังกฤษมาก่อน ทั้งนี้การชักลากไม้ออกจากป่าลำบากมากแล้ว การล่องซุงเพื่อนำไม้ไปแปรรูปและส่งขายต่างประเทศยังเป็นเรื่องยากลำบากและใช้เวลานานกว่า เพราะต้องใช้จำนวนคนที่เป็นแรงงานมาก ส่งต่อกันเป็นทอด ๆ คนงานทำไม้ก็จะอาศัยแรงงานคนขมุ กะเหรี่ยง มากกว่าคนท้องถิ่นที่ไม่นิยมรับจ้างเป็นแรงงานในบริษัททำไม้ เพราะเป็นคนในพื้นที่ที่อาศัยการทำการเกษตรที่เพียงพออยู่แล้ว ส่วนคนงานในบริษัทของชาวยุโรปก็จะนิยมจ้างชาวพม่า เงี้ยวหรือไทใหญ่ที่เคยมีประสบการณ์ทำไม้กับบริษัทเหล่านี้มาในพม่า เป็นเสมียนผู้ดำเนินงานภายในบริษัท ไม้ที่ล่องนั้นเมื่อออกจากป่าเมืองแพร่จะไปรวมกันที่ลำน้ำยมหน้าวัดเชตวัน ซึ่งเป็นท่าน้ำลงน้ำยม พวกฝรั่งจะอาศัยอยู่ทางบ้านเชตวัน อยู่แถวริมน้ำ ซึ่งปัจจุบันเป็นน้ำยมไปแล้ว เพราะน้ำเซาะจนตลิ่งพัง ในอดีตเมื่อยังมีการทำไม้และล่องซุงไม้ในน้ำยมแต่มีการลักไม้เต็มไปหมด ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ก็ทำเองด้วย ทำให้มีการจับกุมกันบ่อย ต่อจากนั้นจะล่องผ่านแก่งน้ำในช่องเขาไปรวมกันที่หาดเสี้ยว ศรีสัชนาลัย แล้วล่องไปจนถึงสวรรคโลก ชาวบ้านที่หาดเสี้ยวจะมีอาชีพรับจ้างล่องแพผูกแพไปส่งที่ปากน้ำโพ คนที่รับจ้างทำไม้ส่วนใหญ่จะอยู่บ้านเวียงทอง อำเภอสูงเม่น ตระกูลใหญ่ในเมืองแพร่ก็มีชื่อเสียงในด้านการทำป่าไม้และการขายไม้แปรรูปและวัสดุก่อสร้าง ส่วนบริษัทอีสต์ เอเชียติค ได้รับสัมปทานทำไม้ขอนสักตลอดฝั่งแม่น้ำยมตะวันออก โดยมีการนำไม้ออกอย่างมากมายถึงขนาดทำทางรถไฟเข้าไปทำการชักลาก มีกำหนดอายุสัญญาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๕๑-๒๔๖๘ จำนวนไม้ที่ทำออกได้ในปีหนึ่งมีปริมาณกว่า ๖,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร บริษัทบอมเบย์ เบอร์มา มีที่ทำการอยู่หน้าที่ทำการป่าไม้ภาคแพร่ของกรมป่าไม้ที่บ้านเชตวัน ตำบลในเวียง ส่วนบริษัทอีสต์ เอเชียติค ที่ทำการบริษัทอยู่ที่บ้านสันกลาง ตำบลในเวียง ที่ทำการบริษัทอีสต์ เอเชียติค ปัจจุบันได้กลายเป็นโรงเรียนป่าไม้แพร่ ระหว่างปี พ.ศ.๒๔๘๔-๒๔๘๖ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในช่วงเวลานี้เองที่บริษัททำไม้ของอังกฤษซึ่งเป็นฝ่ายสัมพันธมิตรถูกรัฐบาลไทยยึดสัมปทานและไม้ในครอบครองทั้งหมด ยกเว้นก็แต่บริษัทอีสต์ เอเชียติค ของเดนมาร์กที่ไม่เกี่ยวข้องเป็นคู่กรณีในสงคราม ตระกูลใหญ่ในเมืองแพร่ซึ่งเป็นผู้รับจ้างเหมาบริษัทฝรั่ง โดยเฉพาะการรับจ้างใช้ช้างลากไม้ในป่า เพราะการทำไม้จำเป็นต้องใช้แรงงานคนและช้างชักลากมากกว่าวิธีอื่น ดังนั้นผู้สืบเชื้อสายเจ้านายเมืองแพร่และคหบดีชาวเงี้ยวหรือไทใหญ่และชาวพม่าก็จะรับจ้างเหมา โดยส่วนใหญ่จับช้างป่ามาหัดแล้วนำไปรับงานชักลากไม้ที่ต้องใช้แรงงานคนงาน โดยเฉพาะชาวขมุมาเลี้ยงช้างเป็นจำนวนมากและมีอยู่หลายตระกูลด้วยกัน เช่น เจ้าวงศ์หรือเจ้าโว้ง แสนศิริพันธุ์ บุตรพระวิชัยราชา หลวงพงษ์พิบูลย์หรือเจ้าน้อยพรหม วงศ์พระถาง สามีเจ้าสุนันตา พงษ์พิบูลย์ ผู้บูรณะวัดพงษ์สุนันทน์ นายแสน วงศ์วรรณ บิดานายณรงค์ วงศ์วรรณ เจ้าน้อยจู แก่นหอม เจ้าอ้น วังซ้าย เจ้าคำตัน วังซ้าย นายปัน ชมภูมิ่ง นายประพัฒน์ เมืองพระ เป็นต้น การลากไม้ออกจากป่าต้องใช้ช้างลาก ในยุคหลังจากเงี้ยวปล้นเมืองแพร่และยกเลิกระบบเจ้าหลวงปกครองแล้ว เจ้าของช้างที่รับทำสัญญาต่อกับบริษัทของฝรั่งรายใหญ่ คือ เจ้าโว้ง (เจ้าวงศ์) แสนสิริพันธุ์ คหบดีเชื้อสายเจ้าเมืองแพร่ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนแรกของจังหวัดแพร่ใน ราว พ.ศ. ๒๔๘๐ และเมื่อมีการดำเนินการสร้างภาพยนตร์ไทยเรื่อง “ พระเจ้าช้างเผือก ” โดยการผลักดันของนายปรีดี พนมยงค์ และเป็นผู้รับผิดชอบ ได้มาถ่ายภาพยนตร์ที่บริเวณโรงเรียนบ้านในและใช้ช้างจากเจ้าวงศ์หรือเจ้าโว้ง แสนสิริพันธุ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในยุคนั้น ถือว่าเป็นเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ในท้องถิ่น และภาพยนตร์พระเจ้าช้างเผือกก็กลายเป็นภาพยนตร์ที่มีความสำคัญของรัฐชาติไทยในเวลาต่อมาด้วย แต่การทำป่าไม้นี้ชาวบ้านจะไม่ได้มีส่วนร่วมเลย แต่จะมีบางคนขโมยไม้บ้าง ส่วนชาวบ้านในเวียงจะกลัว เพราะถ้าขโมยหรือตัดฟันจะถูกจับทันที ทั้งนี้เพราะบารมีของเจ้าวงศ์หรือเจ้าโว้ง แสนสิริพันธุ์ ซึ่งเป็นคนรับจ้างเหมากับบริษัทอีสต์ เอเชียติค การรับสัมปทานป่าไม้ของบริษัทอีสต์ เอเชียติค พนักงานส่วนใหญ่จะเป็นฝรั่งและคนกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เช่น พม่า ไทใหญ่ ที่เป็นเสมียน และกลุ่มขมุที่เป็นแรงงาน ส่วนคนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในกิจการไม้สักน้อยมาก เพราะเจ้าของสัมปทานเป็นบริษัทข้ามชาติ ส่วนผู้รับเหมาช่วงลากช้างก็เป็นคหบดีในเวียงแพร่ที่เป็นเชื้อสายของเจ้าหลวง ชาวบ้านทั่วไปจะเป็นคนงานหรือผู้รับจ้างทำงานในปางไม้แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะอาชีพหลักยังเป็นเรื่องของการทำเกษตรกรรมดังที่เคยทำมาแต่เดิม ชาวบ้านนิยมเข้ามารับจ้างตัดไม้โดยใช้ขวาน และแรงงานส่วนมากอยู่ในพื้นที่ซึ่งไม่ไกลจากหมู่บ้านนัก ในยุคที่บริษัทอีสต์ เอเชียติค เข้ามาทำสัมปทานชักลากไม้ลงแม่น้ำยมเพื่อขนส่ง จึงทำรถรางจากในเมืองเข้ามาถึงจุดที่เป็นที่ทำการเทศบาลช่อแฮในปัจจุบัน สำหรับชักลากไม้จากป่าแดง-ช่อแฮ โดยมีท่าซุงแถบวัดเชตวันและโรงเลื่อยในเมืองแพร่ที่ตลาดแพร่ปรีดา ใกล้กับตลาดชมพูมิ่งบริเวณหน้าวัดชัยมงคลในปัจจุบัน โรงเลื่อยดังกล่าวจะเป็นที่รวมหมอนไม้ต่าง ๆ ส่วนโรงเลื่อยขนาดใหญ่จะอยู่ที่เด่นชัย หากกลุ่มที่ได้ทำงานกับบริษัทต่างชาตินี้เป็นกลุ่มคนที่มีฐานะและได้รับการศึกษาขั้นสูงกว่าชาวบ้านทั่วไป ลูกจ้างที่ทำงานกับนายฝรั่งถึงจะเป็นคนท้องถิ่นก็ต้องมีความรู้พูดภาษาอังกฤษได้ ส่วนคนที่มีฐานะดี มีความรู้ดี ไปเรียนที่กรุงเทพฯ จบแล้วหากกลับบ้านก็เข้าทำงานกับบริษัทฝรั่ง ฝรั่งที่เข้ามาทำงานบางคนก็แต่งงานกับสาวท้องถิ่น สาว ๆ ที่แต่งงานกับฝรั่งชาวบ้านจะเรียกว่า แม่เลี้ยง เพราะจะมีฐานะดี และคนที่มีช้างสำหรับรับจ้างลากไม้ในป่าจำนวนมากในช่วงนั้นชาวบ้านจะเรียกกันว่า พ่อเลี้ยงช้าง การตัดไม้และ การขนย้ายไม้ซุงออกจากป่า วิธีการทำไม้ การค้าไม้สักส่วนใหญ่ตกอยู่ในมือของบริษัทป่าไม้อังกฤษตั้งแต่การเริ่มรับเช่าทำป่าไม้ ตลอดจนวิธีการจนถึงการส่งไม้ออกจำหน่ายไปยังต่างประเทศ ถึงแม้ว่าจะมีบริษัทอีสต์ เอเชียติค ของเดนมาร์กเข้ามาเป็นคู่แข่งในภายหลัง และได้ตั้งโรงเลื่อยไม้ของบริษัทขึ้นเองอีกหลายแห่ง ทั้งยังเป็นผู้นำในการใช้เรือกลไฟเพื่อบรรทุกไม้สักด้วยก็ตาม การส่งไม้สักออกจำหน่ายยังต่างประเทศนั้น แต่ละปีจะมีปริมาณการส่งออกแตกต่างกันไป เพราะปริมาณการส่งไม้ออกจำหน่ายในแต่ละปีมีความสัมพันธ์กับปริมาณน้ำในแม่น้ำแต่ละปีด้วย กล่าวคือหากปีใดมีน้ำมาก การส่งไม้สักออกก็ทำได้มากด้วย เพราะน้ำในแม่น้ำสามารถพาไม้สักล่องลงมาถึงกรุงเทพฯ ได้สะดวก แต่หากปีใดมีน้ำน้อยก็ส่งผลให้การล่องไม้ติดขัด จนไม้ที่ล่องมาขายที่กรุงเทพฯ มีปริมาณน้อยตามไปด้วย วิธีการนำไม้สักออกจากป่าโดยทั่วไปของผู้เช่าทำป่าไม้ในจังหวัดแพร่นั้น ส่วนมากจะใช้คนงานเข้าไปตัดฟันโค่นล้มไม้จากบนภูเขา ต้นไหนที่ทางการให้ตัดฟันชักลากออกจะต้องมีดวงตราประจำต้นตีกำกับพร้อมเลขเรียงลำดับเบอร์จากเจ้าหน้าที่ป่าไม้ และได้ทำการสับกานเพื่อทำให้ไม้ยืนต้นแห้งตายก่อน ผู้ได้รับสัมปทานจะไปตัดโค่นนอกเหนือจากไม้ที่กำหนดไว้ไม่ได้ การตัดฟันโค่นล้มไม้นี้ผู้เช่าทำป่าไม้จะนิยมตัดตอให้สูง เพื่อความสะดวกไม่ต้องทอนหัวไม้ทิ้ง แต่ภายหลังรัฐบาลได้ออกกฎข้อห้ามไม่ให้ตัดตอสูงเกิน ๕๐ เซนติเมตร เมื่อได้โค่นล้มและตัดทอนเป็นท่อนซุงแล้วจะใช้ช้างชักลากจากบนภูเขาลงมาเรียงรวมหมอนไว้ตามเชิงเขาเป็นแห่ง ๆ จากนั้นจะใช้ล้อหรือเกวียนที่ส่วนมากเทียมด้วยควายบรรทุกไม้เหล่านั้นลากขนลงไปถึงฝั่งแม่น้ำ ดังนั้นจะใช้ช้างชักลากไม้จากบนภูเขาเท่านั้น เมื่อลงมาถึงทางราบแล้ว หากหนทางห่างไกลก็จะทำทางล้อเทียมควายเข้าไปชักลากไม้มาจนถึงฝั่งน้ำ เพราะวิธีนี้จะช่วยให้ชักลากไม้ได้รวดเร็วกว่าการใช้ช้าง ในส่วนของการชักลากโดยใช้รถบรรทุกไม้เริ่มมีแพร่หลายที่จังหวัดเชียงใหม่ก่อน ต่อมาจึงมีการนำวิธีนี้มาใช้ในเมืองแพร่ ในระยะแรกนั้นการนำไม้ขึ้นบรรทุกบนรถจะใช้รอกแบบธรรมดา ซึ่งมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า “กว้าน” อาศัยแรงงานทำไม้ช่วยกันกว้านหรือหมุนเพื่อยกไม้ขึ้นบนคาน แล้วนำรถมารองรับไม้ข้างล่าง ทว่าภายหลังรอกแบบที่มีฟันเฟืองสำหรับทดกำลังเริ่มแพร่หลายเข้ามาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ จึงไม่ต้องอาศัยแรงงานคนอีกต่อไป เมื่อถึงฤดูน้ำหลากก็จะคัดไล่ล่องซุงตามแม่น้ำโดยไปจัดตั้งอู่เก็บไม้ไว้ที่ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นชุมทางขนส่งไม้สำคัญที่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐตั้งด่านเก็บค่าภาคหลวงอยู่ที่นั่น การคัดไล่ล่องซุงจากทางภาคเหนือลงไปนั้นจะยังไม่มัดซุงรวมกันเป็นแพ เพราะสภาพของแม่น้ำในภาคเหนือมีเกาะแก่งมาก ขั้นตอนดังกล่าวจึงไปเริ่มต้นที่สวรรคโลกซึ่งเเม่น้ำเริ่มเป็นสายเรียบไม่มีเกาะแก่ง จึงสามารถผูกซุงรวมกันเป็นแพล่องไปถึงปากน้ำโพ สมัยนั้นปัญหาการขโมยไม้ซุงที่ล่องลงแม่น้ำแทบจะไม่มี เพราะชาวบ้านเกรงกลัวความผิดกันมาก โรงเรียนป่าไม้ การก่อตั้งโรงเรียนป่าไม้นั้นมีอยู่ ๒ ยุค ยุคแรกยังไม่เรียกว่าโรงเรียนป่าไม้ แต่เรียกว่า โรงเรียนวนศาสตร์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๙ หลักสูตรการเรียน ๒ หลวงวิลาสวนวิทย์ (เมธ รัตนประสิทธิ์) ซึ่งดำรงตำแหน่งป่าไม้ภาคในเวลานั้นเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนป่าไม้ขึ้น จากนั้นก็ได้ระดมนักเรียนที่มีฐานะดี มีความรู้มาเรียน ในสถานที่ของบริษัทอีสต์เอเชียติค ที่หมดสัมปทานการทำไม้และมอบตึกที่ทำการให้ ต่อมา พ.ศ. ๒๔๘๖ ได้ยุบโรงเรียนวนศาสตร์ให้เป็นส่วนหนึ่งของคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน โรงเรียนป่าไม้ยุคที่สองเปิดขึ้นที่แพร่ช่วง พ.ศ. ๒๔๙๙ หลักสูตร ๒ ปี และผลิตบุคลากรแก่กรมป่าไม้ ๓๒ รุ่น ก่อนที่จะปิดอย่างถาวรใน พ.ศ. ๒๕๓๖ โดยมีนายรัตน์ พนมขวัญ เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนป่าไม้คนแรก ซึ่งตระกูลของนายรัตน์ พนมขวัญ ถือว่าเป็นที่นับถือของคนเมืองแพร่มาจนถึงปัจจุบัน คนเมืองแพร่เห็นว่าการเรียนที่โรงเรียนป่าไม้ถือว่าโก้มาก เพราะหากเรียนจบแล้วจะได้บรรจุเป็นข้าราชการทันที ซึ่งภายหลังยกเลิกไป มีคนในเมืองแพร่เรียนประมาณ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวและการเรียกรับเงินแรกเข้าซึ่งมีมูลค่าสูงมากกว่าลูกชาวบ้านทั่วไปจะมีได้ ดังนั้นชาวบ้านจึงเห็นว่าผู้ที่ได้เข้าเรียนส่วนใหญ่จะเป็นลูกพ่อเลี้ยง ปัจจุบันได้ยกเลิกการเรียนการสอนแล้ว และปรับปรุงกลายเป็นสถานที่อบรมสัมมนาของข้าราชการกรมป่าไม้ ภายในบริเวณโรงเรียนป่าไม้นี้มี สถานที่สำคัญที่น่าสนใจอยู่ ๒ แห่ง คือ พิพิธภัณฑ์ไม้สัก และอาคารที่ทำการของบริษัทอีสต์ เอเชียติค ซึ่งตั้งอยู่บนแนวกำแพงเมืองเก่า และปัจจุบันก็ได้จัดเป็นพิพิธภัณฑ์เรื่องราวการทำไม้ของเมืองแพร่ในสมัยนั้น ในระยะเวลาที่โรงเรียนป่าไม้ยังทำการเรียนการสอนอยู่ เศรษฐกิจภายในเมืองแพร่ค่อนข้างดี เพราะมีคนเข้ามาเรียนมากทำให้คนท้องถิ่นมีรายได้ ทำอาหารขาย รับซักผ้า ทำหอพัก เป็นต้น แต่พอโรงเรียนถูกยุบเศรษฐกิจก็เงียบเหงาลงอย่างมาก สัมปทานป่า โรงบ่มใบยา ฐานเศรษฐกิจของชนชั้นนำ / สวนเมี่ยงในป่าร้างคือการปรับตัวของชาวบ้านกับทรัพยากรที่หลงเหลือ คนเมืองแพร่ต้องพบกับปัญหาการทำลายสภาพป่าไม้ต่อมาอีกนาน เพราะบางส่วนชาวบ้านแอบขโมยเอาไปขาย เนื่องจากการดูแลหมอนไม้ของเจ้าหน้าที่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้มีเจ้าหน้าที่ไม่มากนัก เมื่อชาวบ้านเห็นตัวอย่างการตัดไม้สวมตอของเจ้าหน้าที่บางส่วนเพื่อนำไปขายให้นายทุนที่อำเภอสูงเม่น โดยคัดไม้ที่ดีไว้ขาย เหลือไม้ที่ไม่ค่อยมีคุณภาพไว้ให้กับทางองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้แพร่ เมื่อเห็นตัวอย่างเช่นนี้ชาวบ้านหลายคนจึงร่วมมือกันขโมยหมอนไม้ที่รอการจำหน่ายไปขายเป็นประจำ สำหรับตระกูลเก่าแก่ผู้รับสัมปทานจ้างเหมาในเมืองแพร่แทบทุกตระกูล เมื่อหมดสิ้นระยะเวลาสัมปทานป่าไม้กับบริษัทของชาวยุโรปเมื่อราว พ.ศ. ๒๔๙๘ ก็เกิดปัญหาใหญ่เพราะกิจการทำไม้ทุกอย่างนั้นองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เป็นผู้ดูแลและกำหนดหลักเกณฑ์แทนที่ หลังจากเลิกรับเหมากับบริษัทที่ทำสัมปทานไม้ คนในสายตระกูลดังกล่าวส่วนใหญ่ก็กินสมบัติเก่าหรือขายสมบัติเก่าที่เคยสะสมไว้จนหมดสิ้น ทรัพย์สมบัติที่เคยมีก็ไม่ได้ตกอยู่แก่ลูกหลานในปัจจุบัน ดังจะเห็นว่าบ้านเก่าแก่ของตระกูลต่าง ๆ ถูกรื้อ บ้างก็เสียหายทรุดโทรมหรือตกไปอยู่ในกรรมสิทธิ์ของผู้อื่น ระหว่าง พ.ศ.๒๔๙๙-๒๕๑๓ มีการทำลายป่าไม้อย่างต่อเนื่องจากการให้สัมปทานของรัฐเพื่อชักลากไม้ที่อยู่ตกค้างในป่าออกมา โดยไม่ได้ให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เป็นฝ่ายจัดการ รัฐบาลเปิดสัมปทานให้แก่คนไทยโดยอ้างว่าต้องการนำเงินมาช่วยเหลือทหารกองหนุน บริษัทที่ได้สัมปทานป่าไม้ต่อมาคือ บริษัทชาติไพบูลย์ บริษัทแพร่ทำไม้ ซึ่งเป็นของนักการเมืองใหญ่คนหนึ่งของแพร่ในเวลาต่อมา ชาวบ้านเรียกกันว่า “ สัมปทานไม้ล้างป่า ” เพราะไม่ตัดเฉพาะเพียงไม้สักแต่ตัดไม้อื่น ๆ ทุกอย่าง เมื่อระยะสัมปทานหมดลง ป่าไม้เมืองแพร่ก็ไม่เหลืออะไรเลย ประมาณ พ.ศ. ๒๔๙๙ มีการสร้างโรงบ่มใบยาราว ๓๐๐ เตา จากนายทุนที่เป็นคนลาวเริ่มทำโรงบ่มก่อน ต่อจากนั้นผู้ที่เป็นนายทุนท้องถิ่นที่มีเชื้อสายจีนและคนท้องถิ่นก็เริ่มทำตามบริเวณป่าแดง-ช่อแฮ จนทำให้เกิดกระแสการปลูกใบยาเพื่อส่งขายให้กับโรงบ่มใบยาในพื้นที่ต่าง ๆ ของจังหวัดแพร่ และขยายตัวไปจนถึงจังหวัดเชียงราย ฟืนซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักของเตาบ่มใบยาก็ตัดเอาจากในป่าเพื่อเข้าเตาบ่มอย่างมากมาย จนทำให้ป่าถูกทำลายเนื่องจากการใช้ฟืนที่ไม่จำกัดขนาด ช่วงเวลาที่มีการตัดไม้ฟืนส่งเตาบ่มเป็นการตัดไม้ทำลายป่าครั้งสำคัญของบริเวณป่าแดง-ช่อแฮ เพราะไม้ใหญ่จะคัดขายให้นายทุนทางอำเภอสูงเม่น ส่วนไม้เล็กขายให้เตาบ่มใบยาในพื้นที่ สามารถสร้างรายได้ให้กับนายทุนในพื้นที่เป็นกอบเป็นกำจนมีฐานะร่ำรวยและกลายเป็นฐานรองรับฐานะทางการเงินเพื่อนำไปสู่อำนาจในการเป็นนักการเมืองในระดับชาติและระดับท้องถิ่นจนถึงทุกวันนี้ ต่อมาป่าไม้ของจังหวัดแพร่ถูกทำลายไปมากโดยชาวบ้านและนายทุนนับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๙–๒๕๒๕ บริเวณป่าที่ถูกทำลายมากที่สุดอยู่ที่อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ ในปัจจุบันได้ประกาศพื้นที่ป่าหลายแห่งให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติจำนวน ๒๕ ป่า และยังอนุญาตเปิดสัมปทานทำไม้อยู่อีก ๘ ป่า คนจีนในเมืองแพร่รุ่นใหม่ที่ไม่ได้เดินทางมาตั้งแต่เมื่อสมัยทำทางรถไฟมาถึงเมืองแพร่ แต่เป็นคนจีนที่มาจากแผ่นดินใหญ่เป็นกลุ่มไหหลำบ้าง แต้จิ๋วบ้าง เข้ามาทำการค้า รับจ้าง และทำสวนผักแบบภาคกลางในสมัยเริ่มต้น และค่อย ๆ ขยับขยายไปสู่การค้าอื่น ๆ เช่น โรงบ่มใบยาที่กระจายไปทั่วทั้งภาคเหนือหรือรับสัมปทานป่าหน้าเขื่อนสิริกิติ์ เมื่อทำไปสักพักก็กลายเป็นผู้สนับสนุนนักการเมืองและกลายเป็นตระกูลนักการเมืองในเวลาต่อมา หลังจากยุคสัมปทานป่าไม้แล้ว สภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงเป็นเศรษฐกิจที่ใช้ทุนมากขึ้น ใช้อิทธิพลมากขึ้น ทำให้ผู้มีฐานะหรือพ่อเลี้ยงในเมืองแพร่ทำอาชีพอยู่ ๓ อย่าง คือ ทำไม้ โรงบ่มใบยา และลักลอบขายยาเสพติดที่เป็นฝิ่นดิบโดยรับมาจากน่าน ผู้มีอิทธิพลต่าง ๆ ก็มีพัฒนาการไปเป็นนักการเมือง การตัดไม้มีผลกระทบต่อการประกอบอาชีพของคนเมืองแพร่ส่วนใหญ่ จากการทำไม้มาเป็นเวลานานทำให้คนแพร่ยึดอาชีพตัดไม้ขายเป็นหลัก และอาชีพพื้นฐานคือรับจ้างที่ทำมานานหลังจากช่วงสัมปทานป่าไม้กับบริษัทชาวไทยทำรายได้ดีกว่าอาชีพเกษตรกรรม อีกเหตุหนึ่งซึ่งเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้ป่าไม้ถูกทำลายเป็นจำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว คือ การลักลอบตัดไม้เพื่อการค้า โดยมีกลุ่มผู้มีอิทธิพลและเจ้าของโรงเลื่อยสนับสนุน หลังจากการทำป่าไม้แล้ว เศรษฐกิจเมืองแพร่ที่ผูกติดอยู่กับอุตสาหกรรมป่าไม้ทั้งหมดก็ถดถอยลงตามลำดับ เมื่อป่าไม้หมด รัฐบาลห้ามตัดไม้ทำลายป่า ชาวบ้านในเมืองแพร่จำนวนมาก โดยเฉพาะจากอำเภอสูงเม่นไม่รู้ว่าจะประกอบอาชีพอะไร ทำให้เกิดปัญหาขึ้น ดังที่มีการประท้วงที่จวนผู้ว่าราชการจังหวัดตลอดมา ในขณะที่ชาวบ้านซึ่งปรับตัวได้ในแถบป่าแดง-ช่อแฮ ก็เปลี่ยนสภาพพื้นที่ซึ่งถูกสัมปทานป่าและตัดไม้สัก และสัมปทานของบริษัทคนไทยที่ล้างป่าจนหมดให้เป็นพื้นที่ทำสวนเมี่ยงและปลูกพืชสวนริมน้ำตามเชิงเขา แม้จะมีปัญหาในเรื่องเอกสารที่ทำกินของชาวบ้านที่เข้าไปใช้พื้นที่ป่ามาตั้งแต่ป่าไม้เมืองแพร่เริ่มหมดไปนานแล้วก็ตาม ชาวบ้านจำนวนมากที่ไม่ได้มีผลพลอยได้กับการรับสัมปทานของบริษัทชาวยุโรปมากว่า ๔๕ ปี และบริษัทสัมปทานป่าของคนไทยในระยะหลัง นอกจากการขโมยไม้ขอนบ้าง ต้องแลกเปลี่ยนกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะเรื่องน้ำและป่าในปัจจุบันที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก และโคลนดินถล่มที่เริ่มเกิดขึ้นบ่อยครั้งในหลาย ๆ ปีหลังมานี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากป่าไม้เมืองแพร่ที่หมดสิ้นลงเพราะการเข้ามารับสัมปทานของคนภายนอกที่ทำให้ชาวบ้านยุคนี้ต้องปรับตัวในการอยู่อาศัยกับป่าร้างที่เหลือนี้อยู่เพียงเท่านั้น การตัดไม้ ชาวบ้านธรรมดาไม่มีโอกาสได้ใช้ประโยชน์จากไม้สักอันเป็นทรัพยากรสำคัญในป่าไม้เมืองแพร่ เพราะธรรมเนียมดั้งเดิมชาวบ้านก็ไม่นิยมตัดไม้ใหญ่ไปทำบ้านเรือนเพราะถือว่าเป็น ขึด หรือข้อห้ามที่เป็นจารีตถือปฏิบัติสืบมา จะมีข้อแม้ก็คงเป็นการใช้ไม้ใหญ่เพื่อนำไปสร้างคุ้มเจ้าหลวงและบ้านเรือนของเจ้านายเท่านั้น ประวัติศาสตร์เมืองแพร่ที่ปรากฏโดยเฉพาะสมัยเจ้าหลวงเมืองแพร่องค์สุดท้าย คือ เจ้าพิริยะเทพวงศ์ฯ ที่เกิดเหตุเงี้ยวเข้าปล้นเมืองแพร่ล้วนสัมพันธ์กับการทำสัมปทานไม้สัก ป่าไม้สักเมืองแพร่ที่สำคัญอยู่ในเขตป่าแดง-ช่อแฮในระดับความสูงหนึ่ง หากสูงเกินกว่าบ้านปางม่วงคำก็ไม่มีป่าไม้สักแล้ว สภาพอาคารและสถานที่ต่าง ๆ ภายในโรงเรียนป่าไม้ ซึ่งในอดีตเคยเฟื่องฟูอย่างยิ่ง สิ่งที่เหลืออยู่สำหรับชาวบ้านเมืองแพร่ เมื่อสิ้นยุคสัมปทานป่าไม้ของบริษัทอีสต์ เอเชียติค และบริษัทบอมเบย์ เบอร์มา ก็ยังมีไม้บางส่วนที่ตัดล้มแล้วแต่ยังไม่ได้ชักลากออกมา กรมป่าไม้ให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ชักลากไม้ที่เหลืออยู่ในป่าในช่วง พ.ศ. ๒๔๙๙-๒๕๑๓ โดยมีการรวมไม้ทั้งหมดไว้บริเวณห้วยกวางเน่าเหนือฝายแม่ก๋อน ไม้บางส่วนก็ถูกชาวบ้านแอบขโมยไปขายเนื่องจากมีเจ้าหน้าที่ดูแลไม่กี่คน และชาวบ้านเห็นว่าเจ้าหน้าที่ตัดไม้สวมตอเพื่อนำไปจำหน่ายให้นายทุนที่อำเภอสูงเม่น โดยคัดไม้ที่ดีไว้ขาย เหลือไม้ที่ไม่ค่อยมีคุณภาพไว้ให้กับทางองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้แพร่ จึงทำให้ชาวบ้านบางคนร่วมกันขโมยหมอนไม้ที่รอการจำหน่ายไปขายอยู่เป็นประจำ ต่อมารัฐบาลจึงเปิดสัมปทานให้แก่คนไทยเนื่องจากอ้างว่าต้องการนำเงินมาช่วยเหลือทหารกองหนุน บริษัทที่ได้สัมปทานป่าไม้ต่อมาคือ บริษัทชาติไพบูลย์ บริษัทแพร่ทำไม้ ซึ่งเป็นของนักการเมืองใหญ่คนหนึ่งของแพร่ในเวลาต่อมา การสัมปทานไม้ของคนไทยชาวบ้านจะเรียกว่า “ สัมปทานไม้ล้างป่า ” เพราะหลังจากสัมปทานไม้ล้างป่าหมดลงแล้ว ป่าจะโล่ง ไม่เหลืออะไรอีกเลย ในช่วงเวลาสัมปทานป่าไม้ของบริษัทเอกชนนั้นเองที่ชาวบ้านเริ่มเข้ามาอยู่อาศัยและบุกเบิกพื้นที่ป่าสัมปทานเพื่อเป็นที่ทำกินบางส่วน และปี พ.ศ. ๒๔๙๘ กรมที่ดินได้ออกเอกสารสิทธิ์บนพื้นที่สูงแห่งแรกที่บ้านสันกลาง แต่เดิมบริเวณบ้านสันกลางเป็นที่ตั้งหมอนไม้ในสมัยที่มีการทำสัมปทาน ชาวบ้านมาสร้างที่พักที่นี่เพื่อรองรับงานตัดไม้ จนกลายเป็นปางไม้ใหญ่บนภูเขาแล้วจึงเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ต่อมา สรุปคือเหตุที่ป่าเมืองแพร่หมดเพราะมีการสัมปทานป่าไม้มาตั้งแต่สมัยเจ้าผู้ครองนครแพร่องค์สุดท้าย มาจนถึงการปฏิรูปการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลแล้วให้แก่บริษัทของชาวตะวันตก ต่อมาคนแพร่ตั้งบริษัทขึ้นมาเองประมาณ ๒-๓ แห่งเป็นการสัมปทานไม้ล้างป่า ชักลากไม้ทุกชนิดออกจากป่าแม้ไม่ใช่ไม้สักและรัฐเป็นฝ่ายยินยอม และเหตุที่ป่าหมดจริง ๆ เพราะการมีโรงบ่มซึ่งใช้ไม้ฟืนมาก ธุรกิจโรงบ่มเริ่มเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๐ สืบเนื่องจากท้าวรำพรรณซึ่งเป็นคนลาวได้เข้ามาลงทุนสร้างโรงบ่มใบยาขึ้นใน บ้านใน ประมาณ ๓๐๐ เตา จนทำให้เกิดกระแสการปลูกใบยาเพื่อส่งขายให้กับโรงบ่มใบยาในพื้นที่ คนแพร่เริ่มเปลี่ยนพืชในการเพาะปลูกมาเป็นปลูกใบยามากขึ้น ต่อมาแพร่เป็นต้นทางของโรงบ่มที่ขยับขยายไปสู่เมืองสอง เชียงราย และเชียงแสน ฟืนซึ่งเป็นเชื้อเพลิงของเตาบ่มใบยาก็ตัดมาจากป่าบริเวณใกล้เคียงจนทำให้ป่าถูกทำลายอีกครั้งเนื่องจากการใช้ฟืนที่ไม่จำกัดขนาดและแหล่งที่มา คราวนี้นับว่าเป็นการตัดไม้ที่ทำลายป่าครั้งสำคัญของป่าชุมชนช่อแฮ-ป่าแดง ไม้ใหญ่จะคัดขายให้นายทุนทางอำเภอสูงเม่น ส่วนไม้เล็กขายให้เตาบ่มใบยาในพื้นที่ พ่อเลี้ยงโรงบ่มซึ่งเป็นคนแพร่สามารถทำเงินจากธุรกิจนี้ได้มาก และกลายเป็นตระกูลนักการเมืองในเมืองแพร่และจังหวัดอื่น ๆ มาจนทุกวันนี้ ปัญหาที่ทำกินทับเขตอุทยานและเขตป่าสงวนแห่งชาติ เขตป่าสงวนแห่งชาติ ประกาศเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๗ ส่วนอุทยานแห่งชาติลำน้ำน่านเพิ่งประกาศเขตอุทยานเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๑ บริเวณที่ดินป่าแม่แคม ป่าแม่ก๋อน และป่าแม่สาย ตำบลสวนเขื่อน ตำบลป่าแดง ตำบลช่อแฮ อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ และป่าลำน้ำน่านฝั่งขวา ป่าแม่จริม และป่าน้ำปาด ตำบลท่าแฝก ตำบลนางพญา ตำบลน้ำหมัน ตำบลจริม ตำบลท่าปลา ตำบลผาเลือด อำเภอท่าปลา และตำบลแสนตอ อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษามีเนื้อที่ประมาณ ๙๙๙.๑๕ ตารางกิโลเมตร เขตอุทยานแห่งชาติกับเขตป่าสงวนต่างกันที่เขตอุทยานฯ จะมีเจ้าหน้าที่ดูแลรักษาป่าควบคุมดูแลทั้งหมด และขึ้นกับกรมป่าไม้ แต่พื้นที่ป่าสงวนไม่มีเจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลรักษาในพื้นที่ ในปัจจุบันทั้งเขตอุทยานฯ และเขตป่าสงวนต่างก็มีผู้เข้ามาลักลอบตัดไม้เป็นประจำ การมีเขตอุทยานแห่งชาติทำให้ชาวบ้านได้รับผลกระทบในเรื่องของที่ดินทำกินและอยู่อาศัย เนื่องจากการเป็นเขตอุทยานแห่งชาติมีกฎหมายเกี่ยวกับที่ดินและป่าไม้ที่รุนแรงกว่าเขตป่าสงวน รวมถึงผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลป่าไม้อีกด้วย เมื่อเริ่มแรกที่ชาวบ้านบุกเบิกพื้นที่บนเขาหรือบริเวณเขตป่าสงวนในปัจจุบัน เอกสารสิทธิ์หรือโฉนดนั้นไม่มี แต่รัฐออกให้เพียงใบ ภท. ๖ หมายถึงใบภาษีบำรุงท้องที่ หรือชาวบ้านเรียกทั่วไปว่า ภาษีดอกหญ้า ใช้ถือครองที่ดินเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๗-๒๕๐๘ โดยให้ผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ประเมิน พื้นที่บนภูเขาและพื้นราบเสียภาษีเท่าเทียมกัน เมื่อทำการสำรวจเพื่อเก็บภาษีในช่วงเวลานั้น ชาวบ้านส่วนใหญ่จะบอกจำนวนที่ดินของตัวเองไม่ครบ เช่นมี ๑๕ ไร่ แต่บอกทางการเพียง ๕ ไร่ เพราะกลัวเสียภาษีเยอะจนมีผลกระทบภายหลังเมื่อสามารถออกโฉนดได้แต่การถือครองอย่างเป็นทางการกับจำนวนที่ดินจริงไม่ตรงกัน ยังมีเอกสารอีกชนิดหนึ่งที่ชาวบ้านมีครอบครองก่อนการประกาศเขตป่าสงวน คือ สค. ๑ ซึ่งออกมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ เพียงปีเดียว เอกสารดังกล่าวชาวบ้านไม่ได้รับทุกหลังคาเรือน จะได้เฉพาะบ้านที่ให้ผู้ใหญ่บ้านเซ็นอนุมัติเท่านั้น บ้านที่อยู่บนภูเขาก็มี สค. ๑ เช่นกัน เช่น บ้านนาตอง พื้นที่ซึ่งเป็นนาก็ยังเป็นเอกสาร สค. ๑ อยู่ ส่วนพื้นที่เชิงดอยใช้เอกสารใบประเมิน ภท.๖ ช่วงปี พ.ศ. ๒๕๓๐-๒๕๓๔ จะมีการออกใบจองหรือเอกสาร นส. ๒ ปัจจุบันชาวบ้านบนดอยที่ได้เอกสารเป็นโฉนดเกือบหมดแล้วคือบ้านแม่ลัว ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้เซ็นโฉนดให้ แต่ทว่าโฉนดที่ชาวบ้านมีไว้เป็นกรรมสิทธิ์ต่างเอาไปจำนองกับ ธกส. แล้วทั้งสิ้น เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในการทำมาหากินและเพาะปลูก โดยเฉพาะการทำเมี่ยง ภายหลังเมื่อเปลี่ยนให้พนักงานที่ดินเซ็นแทน หมู่บ้านอื่นๆ จึงยังไม่ได้โฉนด เพราะพื้นที่อยู่อาศัยบนดอยมีความลาดเอียงกว่า ๓๐ องศา พนักงานจึงไม่กล้าเซ็น เพราะกลัวว่าจะมีปัญหาอื่น ๆ ตามมา อย่างไรก็ตามเคยมีการออกเอกสารสิทธิ์ที่อยู่อาศัยและที่ทำกินในสมัยพ่อแม่ ปู่ย่าตายายแล้ว แต่มีเหตุการณ์ไฟไหม้อำเภอในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ เอกสารต่าง ๆ ของชาวบ้านจึงสูญหายไปจนหมด และยังไม่สามารถอ้างอิงสิทธิ์นั้นกลับคืนได้ นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องที่ดินที่บ้านสันกลาง อีกเรื่องหนึ่ง คือเมื่อประมาณ ๔๐ ปีที่แล้ว มีเจ้าหน้าที่ทหารซึ่งเป็นสัสดีต้องการบริจาคที่ให้ทหารเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน จึงหลอกชาวบ้านที่มี สค. ๑ ว่าโดยจะไปของบจากทหารมาออกโฉนดให้ ชาวบ้านเกือบทั้งหมู่บ้านเชื่อจึงมอบเอกสารไป แต่ก็ไม่ได้ไปขอออกโฉนดแต่กลับเอาเอกสารไปประทับตราข้างหลังว่า “มอบให้ทหาร” ชาวบ้านจึงเดือนร้อน ภายหลังเมื่อที่ดินของบ้านสันกลางเป็นของทหาร และโอนไปให้ราชพัสดุดูแล วันหนึ่งราชพัสดุก็มาขอให้ชาวบ้านที่แต่เดิมเป็นเจ้าของให้เช่าที่ดินเหล่านั้นแทนเป็นรายปี ปัจจุบันนี้ ชาวบ้านยังคงดำเนินเรื่องเพื่อขอทวงคืนที่ดินอยู่ พื้นที่การเกษตรริมน้ำส่วนใหญ่จะเป็นเอกสาร สค. ๑ และใบจับจอง นส. ๒ ชาวบ้านหลายครัวเรือนยื่นขอไปแล้วแต่ยังไม่ได้ แม้จะจับจองพื้นที่มาเป็นเวลานานก่อนที่รัฐจะประกาศเขตสงวนใน พ.ศ.๒๕๐๗ ก็ตาม เพราะพื้นที่อยู่ในเขตป่าสงวนในปัจจุบัน ชาวบ้านไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว จึงอยู่อาศัยและเพาะปลูกเพื่อทำกินต่อไป อย่างไรก็ตามชาวบ้านใช้วิธีตกลงกันด้วยวาจาหากจะซื้อขายที่ดินสวนริมน้ำ ซึ่งทำให้เรื่องการซื้อขายง่ายกว่า
- “นครแพร่” จากอดีตสู่ปัจจุบัน
เผยแพร่ครั้งแรก 10 มิ.ย. 2559 งานวิจัยเรื่องนี้เป็นการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในลักษณะที่เป็นประวัติศาสตร์มีชีวิต [Living history] ที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางสังคม–วัฒนธรรมของผู้คนในพื้นที่การปกครองของรัฐซึ่งเรียกกันว่า จังหวัดแพร่ ในปัจจุบัน ที่เรียกว่าเป็นประวัติศาสตร์มีชีวิตก็เพราะเป็นเรื่องราวที่ส่วนใหญ่มาจากการศึกษาค้นคว้าของคนใน คือ ผู้รู้ ที่เป็นคนแพร่ ซึ่งทำให้แลเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคม - วัฒนธรรมที่ผ่านไปตามกาลเวลาอย่างต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน [Change through time] ผิดกับประวัติศาสตร์ที่เขียนขึ้นหรือสร้างขึ้นจากนักวิชาการที่เป็นคนนอกที่เห็นการเปลี่ยนแปลงของแพร่ไปตามยุคสมัย [Change over time] จนไม่อาจแลเห็นความต่อเนื่องทางสังคม-วัฒนธรรมได้ ความสำคัญของการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในงานวิจัยนี้ก็คือ การแสดงถึงความเป็นมาของผู้คนหลายกลุ่มเหล่าทางชาติพันธุ์ที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกันและสัมพันธ์กัน จนเกิดสำนึกร่วมในการเป็นพวกเดียวกันคือ คนแพร่ พื้นที่ทางวัฒนธรรม พื้นที่ทางวัฒนธรรมในที่นี้ก็คือสิ่งที่เรียกว่า ท้องถิ่น นั่นเอง เป็นอาณาบริเวณที่ผู้คนจากภายในเท่านั้นที่จะรู้ขอบเขตและสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่สัมพันธ์กับชีวิตวัฒนธรรมของพวกตน เหตุนี้งานวิจัยเรื่องนี้จึงประกอบด้วยกระบวนการเก็บข้อมูลและเรียนรู้คนกับพื้นที่ใน ๓ ระดับ คือ ภูมิวัฒนธรรม [Cultural landscape] นิเวศวัฒนธรรม [Cultural ecology] และชีวิตวัฒนธรรม [Way of life] ภูมิวัฒนธรรม เป็นบริบทของพื้นที่กว้างขวางในลักษณะที่เป็นภูมิประเทศของเมืองแพร่ที่แลเห็นได้จากการกำหนดชื่อภูเขา แม่น้ำลำคลอง ลำห้วย หนองบึง ขุนน้ำ และสถานที่ต่าง ๆ ทางการคมนาคม เศรษฐกิจ และการเมือง ที่คนแพร่รู้สึกว่าเป็นของตน เป็นเขตแคว้นของพวกตน ในขณะที่นิเวศวัฒนธรรม ก็คือพื้นที่ธรรมชาติที่ผู้คนพากันมาตั้งถิ่นฐานเป็นบ้าน และเป็นเมืองขึ้นมา โดยมีการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติร่วมกัน สร้างความรู้ร่วมกันในด้านการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ การจัดสรรแบ่งปันทรัพยากรระหว่างกัน รวมทั้งการกำหนดแบบแผนขนบธรรมเนียมประเพณีในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมร่วมกัน แก่นแท้ของความเป็นท้องถิ่นอยู่ตรงนิเวศวัฒนธรรมนี้ เพราะเป็นพื้นที่และสภาพแวดล้อมที่เกิดเป็นบ้านเป็นเมืองที่ทำให้เกิดประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ก็คือ ประวัติศาสตร์ของบ้านและเมืองในบริเวณใดบริเวณหนึ่งนั่นเอง ซึ่งในสมัยโบราณมักเล่าขานในตำนานที่เรียกว่า การสร้างบ้านแปงเมือง ท้องถิ่นจึงเป็นเรื่องของพื้นที่ซึ่งมีบ้านและเมืองอยู่รวมกัน จนเกิดสำนึกร่วมว่าเป็นพวกเดียวกัน เช่นคำว่า คนเมืองแพร่ คนเมืองลำปาง เป็นต้น ส่วน ชีวิตวัฒนธรรม หมายถึง ชีวิตของผู้คนในชุมชนที่เรียกว่า บ้าน อันเป็นหน่วยย่อยหรือบริวารของ เมือง ความเป็นบ้านนั้นหมายถึงชุมชนหรือกลุ่มชนทางชาติพันธุ์ [Ethnicity] ที่เข้ามามีความสัมพันธ์ทางสังคม อยู่ร่วมกันในพื้นที่อยู่อาศัยจนเกิดเป็นครัวเรือน ครอบครัว ตระกูล โคตรเหง้าและพี่น้องร่วมบ้านกันมาไม่ต่ำกว่าสามชั่วคน เป็นความสัมพันธ์แบบเห็นหน้าค่าตา รู้จักกันว่าใครเป็นใคร เป็นลูกเต้าเหล่าใคร และมักสื่อกันด้วยคำที่เป็นญาติ เช่น พ่อ แม่ ลุง ป้า น้า อา ตา ยาย และพี่น้อง เป็นต้น ทั้งหลายเหล่านี้ทำให้เกิดความเกาะเกี่ยวทางสังคมที่สอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแบบกลไกของเครื่องจักร เครื่องยนต์ [Mechanical solidarity] ความสัมพันธ์ทางสังคมของชุมชนบ้านแบบที่เป็นกลไกนี้ ทำให้การอยู่ร่วมกันของความเป็นชุมชน ซึ่งเป็นชุมชนที่เป็นจริง [Social reality] ที่แตกต่างไปจากชุมชนเมืองอันเป็นศูนย์กลางของชุมชนบ้านในท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่ง เพราะในพื้นที่หรือท้องถิ่นนั้นประกอบด้วยหลายหมู่บ้านที่แตกต่างกันไปตามความเป็นมาทางชาติพันธุ์ แต่การมาอยู่ร่วมพื้นที่เดียวกันที่ต้องใช้พื้นที่สาธารณะทั้งในด้านสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และสาธารณะร่วมกัน ทำให้เกิดสำนึกร่วมในการต้องพึ่งพิงจนเกิดสำนึกในความเป็นคนถิ่นเดียวกันขึ้น โดยโครงสร้างทางสังคมในลักษณะที่ต้องพึ่งพิงกันนี้ ทำให้การเกาะเกี่ยวทางสังคมมีลักษณะเหมือนอวัยวะ [Organic solidarity] เป็นโครงสร้างสังคมที่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำในเรื่องความเป็นชนชั้น นับเนื่องเป็นชุมชนทางจินตนาการ [Imagined community] ที่มีระบบการสื่อกันด้วยภาษาซึ่งมีระยะห่างทางสังคมและสัญลักษณ์ที่แสดงถึงสถานภาพที่แตกต่างกัน และการสมมุติให้เป็นพวกเดียวกัน เช่น การเป็นคนเมืองแพร่ เป็นต้น อย่างไรก็ตามความเป็นชุมชนทางจินตนาการอันเกิดจากความสัมพันธ์หรือความผูกพันของคนกับพื้นที่ยังกินเลยไปถึงเรื่องภูมิวัฒนธรรมด้วยต่างกันในลักษณะที่เป็นความสัมพันธ์ที่หลวมกว่า เพราะพื้นที่มีอาณาบริเวณที่เป็นธรรมชาติกว้างขวางเกินความสัมพันธ์ทางสังคมในระดับบ้านและเมือง จึงกลายเป็นความสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองในระดับเขตแคว้นหรือนคร หรือประเทศเป็นสำคัญ ท้องถิ่นของบ้านเมืองและเขตแคว้นทั้ง ๓ ระดับนี้ ถ้ามองในเชิงประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลง ก็นับเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ครั้งบ้านเมืองยังมีสภาพเป็น สังคมชาวนา [Peasant society] การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในที่นี้จึงเป็นการศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางสังคม-วัฒนธรรมจากอดีต คือตั้งแต่สังคมชาวนามาจนเป็น สังคมอุตสาหกรรม [Industrial society] ในปัจจุบัน เหตุที่ต้องเท้าความถึงสังคมชาวนาในที่นี้ก็เพราะสังคมชาวนาดูเป็นของแปลกประหลาดที่บรรดานักเศรษฐศาสตร์ นักรัฐศาสตร์ นักการศึกษา และนักวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีต่าง ๆ ในสังคมสมัยใหม่ยุคพัฒนาแต่ครั้งรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ไม่เคยสนใจ โดยมุ่งการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองทางเศรษฐกิจด้วยแผนพัฒนาจากแผนที่ ๑ มาจนปัจจุบันด้วยความเชื่อและความหลงผิดว่า สังคมไทยในสมัยก่อนการพัฒนาเป็น สังคมกสิกร [Farmer] ที่บรรดาคนทำไร่ คนจับปลา และคนเลี้ยงสัตว์ทั้งหลายคือคนที่สามารถเป็น ผู้ประกอบการรายเล็กและรายย่อย [Small Entrepreneur] ที่มีพัฒนาการมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ มาถึงสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว พื้นฐานทางสังคมของผู้คนทั่วไปในประเทศก็ยังเป็นชาวนามากกว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่มาจากข้างนอกและเบื้องบน (หมายถึงจากรัฐ) เช่น ในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีการแบ่งพื้นที่และกำหนดพื้นที่ท้องถิ่นของบ้านและเมืองให้เป็นหมู่บ้าน ตำบล และอำเภอ การให้กรรมสิทธิ์ที่ดิน การเลิกทาส และการเก็บภาษีอากรเข้ารัฐ เป็นต้น มีผลทำให้เกิดคนชั้นกลางที่เป็นผู้ประกอบการรายย่อยและเจ้าของที่ดิน ซึ่งถ้าไม่ใช่พวกเจ้านายหรือขุนนางก็มักเป็นพวกเจ๊ก จีน หรือคนต่างชาติ แต่ครั้งนั้นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของสภาพแวดล้อมและภูมิวัฒนธรรมที่มีมาแต่ครั้งโบราณก็ดูจำกัดอยู่แต่เพียงพื้นที่ราบลุ่มและลุ่มน้ำ เพราะพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญก็คือ ข้าว มีการบุกเบิกพื้นที่ป่าให้เป็นนา เป็นบ้านเป็นเมืองก็มาก อันเป็นเหตุให้คนปลูกข้าวถูกเรียกว่าเป็น ชาวนาไป ทำให้ภูมิทัศน์ของหลาย ๆ แห่งกลายเป็นทุ่งนา แต่ความเป็น บ้าน แบบเดิมก็ยังคงดำรงอยู่โดยมีวัดเป็นศูนย์กลาง สิ่งที่แปลกใหม่เกิดขึ้นก็คือ ตลาดและโรงสี ซึ่งมักเป็นของคนชั้นกลาง และการเพิ่มขึ้นของเมืองแบบใหม่ที่มีตลาดเป็นศูนย์กลาง การเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของสภาพแวดล้อมอันเนื่องมาจากการสร้างถนนหนทางและกิจกรรมอื่น ๆ ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางอุตสาหกรรมยังไม่ค่อยมี ยังแลเห็นความเป็นเมืองแบบใหม่ [Urban Area] และความเป็นชนบทแยกกันอยู่ มาถึงสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จึงมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของสภาพแวดล้อมของนิเวศวัฒนธรรมและภูมิวัฒนธรรมเกิดขึ้น เพราะเป็นยุคที่ปูพื้นฐานการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรม โดยการสร้างโครงสร้างพื้นฐานในหลาย ๆ ภูมิภาคของประเทศ อันได้แก่ การขยายเขตเมือง [Urbanization] การสร้างถนน สร้างเขื่อนพลังงานไฟฟ้า การสร้างแหล่งอุตสาหกรรมและย่านธุรกิจ ทำให้เกิดพืชเศรษฐกิจใหม่ ๆ ขึ้นมากกว่าการปลูกข้าวและทำนาแต่เดิม ได้แก่ มันสำปะหลัง อ้อย และอื่น ๆ บรรดาพืชเศรษฐกิจเหล่านี้ล้วนปลูกบนที่ดอนหรือที่สูงซึ่งเคยเป็นพื้นที่ป่าและเขาอันเป็นแหล่งต้นน้ำและเก็บน้ำที่มาจากฝนทั้งสิ้น สิ่งที่ตามมาอีกอย่างหนึ่งก็คือการตัดไม้ทำลายป่า ทั้งจากการสัมปทานและการลอบตัด สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้ทำให้สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและวัฒนธรรมของพื้นที่ทางนิเวศวัฒนธรรมและภูมิวัฒนธรรมเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงในเวลาราว ๒๐ กว่าปี ภายหลังรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของนิเวศวัฒนธรรมและภูมิวัฒนธรรมก็เพิ่มความรวดเร็วและรุนแรงขึ้น ภายหลังการสิ้นสุดของสงครามเย็นที่ทำให้ขบวนการคอมมิวนิสต์ซึ่งเคยมีอิทธิพลในพื้นที่ป่าเขาจนทำให้ไม่มีใครเข้าไปเกี่ยวข้องทำลายเลิกราไป อิทธิพลเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีเข้าครอบงำประเทศ บรรดาพ่อค้า นักธุรกิจ เข้ามาสมัครเลือกตั้งเป็นนักการเมืองได้จัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ เชื้อเชิญต่างชาติให้เข้ามาลงทุน สร้างแหล่งอุตสาหกรรม และเน้นการส่งออกผลผลิตทางเกษตรอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรม ซึ่งรวมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวด้วย ผลที่ตามมาใน ๒๐ ปีหลังจนปัจจุบันได้ทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงจากสังคมชาวนาแบบก้าวกระโดด ผ่านสังคมกสิกรปลูกข้าวที่มีผู้ประกอบการรายย่อยเป็นพื้นฐาน เข้าสู่สังคมอุตสาหกรรมอย่างสมบูรณ์ในด้านกายภาพ กล่าวคือมีความทันสมัยแทบทุกด้านในด้านวัตถุที่ไม่ต่างอะไรกับประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา แต่ทว่าการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดที่ฐานเดิมเป็นสังคมเกษตรกรรมแบบชาวนา [Peasant] ที่ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในชุมชนบ้านและเมือง ซึ่งต้องอยู่ร่วมกันอย่างเป็นคนบ้านเดียวกัน เมืองเดียวกัน หรือท้องถิ่นเดียวกันในลักษณะที่ต้องพึ่งพิงอาศัยกัน และแบ่งปันทรัพยากรร่วมกันตามขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณี ไม่อาจปรับตัวได้ทันและเกิดปัญหาความขัดแย้งทางสังคมและความล้าหลังทางวัฒนธรรม [Culture lag] ขึ้น ความขัดแย้งทางสังคมก็คือการให้ความสำคัญกับการเป็นปัจเจก [Individualism] จนเกินไปของเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรีนั้น ทำให้คนในครอบครัวของสังคมชาวนาขัดแย้ง เพราะสมาชิกบางคนที่มีการศึกษาดีและมีโอกาสดีก็ปรับตัวเป็นผู้ประกอบการได้ ทำให้มุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตัวและกิจกรรมส่วนตัวแทนการที่ต้องอยู่รวมกันและช่วยเหลือกันแบบก่อน แต่ที่สำคัญก็คือมีคนเป็นจำนวนมากที่เอาเปรียบญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง ต้องการหาผลประโยชน์จากแรงงานและสิทธิ์ที่เคยมี ผู้ประกอบการที่เป็นชาวบ้านกลายเป็นนายทุน เช่น ให้พี่น้องและเพื่อนร่วมชุมชนกู้ยืมเงินและรับจำนองที่ดิน รวมทั้งสินทรัพย์อย่างอื่น การเปิดช่องว่างทางกฎหมายที่มาจากรัฐทำให้กติกาและจารีตเดิมไม่อาจต้านทานได้ จึงเกิดนายทุนที่มีลักษณะเป็นมาเฟียหรือเจ้าพ่อที่มาจากคนในและคนนอก ซึ่งใช้ระบบอุปถัมภ์แต่เดิมเป็นชื่อเสียงในการเลือกตั้งเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผันตัวเองเป็นนักธุรกิจ นักการเมืองเข้านั่งในสภา พฤติกรรมดังกล่าวมีแทบทุกหัวระแหงในสังคมท้องถิ่น จนทำให้สภาพแวดล้อมและโครงสร้างสังคมของชุมชนบ้านถูกทำลาย ดังเห็นได้จากการขยายตัวของบ้านจัดสรร ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียม ที่รุกพื้นที่สาธารณะของท้องถิ่นและเข้าไปแทนที่บ้านเรือนตามประเพณีของชาวบ้าน ชาวบ้านเองก็ขายที่ขายนา ขายสวน รวมทั้งขายบ้านให้กับนายทุน แล้วออกไปทำงานเป็นแรงงานรับจ้างในเมือง ในต่างประเทศ หรือตามโรงงานอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นตามท้องถิ่น ต่าง ๆ แทบทุกภูมิภาค หลาย ๆ แห่งเช่นในภาคอีสาน เป็นต้น ครอบครัวของชาวนา [Peasant] แต่เดิมกลายเป็นครอบครัวบ้านแตก [Broken home] ที่หัวหน้าครอบครัวคือพ่อและแม่ออกไปทำงานนอกบ้านและไม่ค่อยได้กลับมา ปล่อยให้ลูกอยู่กับคนแก่ที่เป็นปู่ย่าตายาย ชุมชนบ้านแต่ละแห่งก็มีผู้คนจากภายนอกตามที่ต่าง ๆ เข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่ตามบ้านจัดสรร หรือไม่ก็สร้างบ้านเรือนใหญ่โตที่แปลกแยกไปจากบ้านเรือนของชาวบ้านแต่เดิม รวมทั้งละเมิดพื้นที่สาธารณะที่ชาวบ้านเคยใช้ร่วมกันมา วัดและพระสงฆ์หลายแห่งเปิดรับการส่งเสริมดูแลจากคนภายนอกแทนที่จะเป็นศูนย์กลางของชุมชนภายในแบบที่แล้วมา แต่ที่สำคัญก็คือชุมชนบ้านในปัจจุบันเป็นเพียงแหล่งที่อยู่อาศัยแบบต่างคนต่างอยู่ ไม่รู้จักหัวนอนปลายตีนซึ่งกันและกัน และไม่อาจบูรณาการให้เกิดสำนึกร่วมอะไรได้ ผลที่เกิดขึ้นในขณะนี้ก็คือการล่มสลายของชุมชนทางชาติพันธุ์ที่เคยมีอยู่ในสังคมชาวนาทั้งด้านกายภาพ สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ วัฒนธรรม และสังคม ปัจจุบันนี้อาจกล่าวได้ว่า ท้องถิ่นหลายแห่งตามภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จนทำให้ทั้งภูมิวัฒนธรรม นิเวศวัฒนธรรม และชีวิตวัฒนธรรม ที่เคยมีมาแต่สมัยสังคมชาวนาเกิดภาวะล่มสลาย และกำลังเพิ่มความขัดแย้งและความรุนแรงที่นำไปสู่การขาดความรับผิดชอบทางศีลธรรมและจริยธรรมที่จะมีผลไปถึงความล่มสลายของความเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์สังคม สาเหตุที่สำคัญอย่างหนึ่งของความล่มสลายดังกล่าวนี้ก็คือ รัฐบาลตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้นมา ขาดความเข้าใจในเรื่องสังคมชาวนา เพราะบรรดาผู้รู้และนักวิชาการ และผู้บริหารประเทศทั้งหลายมุ่งพัฒนาแบบแนวตั้ง คือจากข้างบนและข้างนอกเข้ามาข้างใน โดยคิดว่าคนในส่วนใหญ่คือคนในสังคมกสิกรปลูกข้าวที่แทบทุกครอบครัวและครัวเรือนมีความสามารถเป็น ผู้ประกอบการ [Entrepreneur] การพัฒนาจึงเป็นเรื่องของการส่งเสริมการผลิตทางเกษตรอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมที่ทุกคนต้องเรียนรู้ในการสร้างงาน ทำมาหากินแบบแข่งขันเพื่อให้มีผลผลิตเพิ่มขึ้นโดยไม่มีขีดจำกัด แต่ไม่เคยนึกถึงว่าคนเป็นจำนวนมากที่มีพื้นฐานมาจากสังคมชาวนานั้นไม่มีศักยภาพในการที่จะพัฒนาให้เป็นผู้ประกอบการได้ โดยเหตุนี้เมื่อทางรัฐบาลต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจของชาวบ้านด้วยการให้ทุนอุดหนุนเพื่อนำไปประกอบการ จึงประสบความล้มเหลวและนำไปสู่ความขัดแย้งทางสังคมตลอดมา โดยเริ่มแต่รัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ในเรื่องเงินผันที่ทำให้ชาวบ้านเลิก กิจกรรมของท้องถิ่น [Inter village cooperation] ในการร่วมงานกันในการสร้างถนนหนทาง ลอกคูคลอง และการจัดการระบายน้ำ ทดน้ำร่วมกัน มาเป็นรอให้มีเงินผันมาแจกจ่ายจึงจะทำ ในขณะที่ผู้มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการเงินผันก็คือพวกกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ก็เลยถือโอกาสผันเงินไปให้แก่พวกพ้องของตน การมีอำนาจหน้าที่ในการจัดสรรเงินรัฐบาลนั้นได้ทำให้พฤติกรรมของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เปลี่ยนไป แต่เดิมคนที่จะดำรงตำแหน่งนี้คือผู้ที่ชาวบ้านเห็นว่าเป็นผู้มีความสามารถและมีคุณธรรม แต่หลังจากการกระจายเงินอุดหนุนของทางรัฐบาล ผู้ที่เป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ก็คือผู้หาเสียง ซื้อเสียงเข้ามาดำรงตำแหน่ง ซึ่งก็มีทั้งคนในและคนนอกที่มีความสามารถในการเป็นผู้ประกอบการทางเศรษฐกิจนั่นเอง หลังจากรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช แล้ว การให้ทุนอุดหนุนเศรษฐกิจชุมชนท้องถิ่นก็มีเรื่อยมาทุกรัฐบาล โดยเฉพาะรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่แล้วมา ถือว่าเป็นนโยบายสร้างประชานิยมด้วยการแจกเงินทุนเป็นจำนวนมาก ๆ ไปทุกหมู่บ้านทั่วราชอาณาจักร นับเป็นสิ่งที่นำไปสู่การทำลายสังคม สภาพแวดล้อม และทรัพยากรของท้องถิ่นอย่างมหาศาล เพราะเงินทุนนั้นจะเป็นประโยชน์แก่บรรดาชาวบ้านที่เป็นผู้ประกอบการ คือ พวกกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. และพรรคพวก แต่ส่วนมากชาวบ้านทั่วไปคือพวกชาวนา [Peasant] ที่ประกอบการไม่เป็นก็กลายเป็นผู้นำเงินไปใช้ในสิ่งที่ฟุ่มเฟือยและเป็นหนี้สิน กลายเป็นคนไร้ฐานะไป ดังนั้นจึงพอสรุปให้เห็นได้ว่าการพัฒนาประเทศแต่สมัยเกือบครึ่งศตวรรษคือกว่า ๔๐ ปีที่ผ่านมาแต่ครั้งรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นั้น สังคมไทยเปลี่ยนแปลงแบบกระโดดผ่านสังคมชาวนาที่เป็นพื้นฐานมาแต่เดิม โดยการมองแบบทางตะวันตกที่เห็นว่าสังคมพื้นฐานคือสังคมเกษตรกร [Farmer] ที่ปัจเจกบุคคลมีความสามารถเป็นผู้ประกอบการได้แล้วพัฒนาเข้าสู่ความเป็นสังคมอุตสาหกรรมจากการชี้แนะและกระทำโดยรัฐ เพื่อให้สอดคล้องกับความเจริญทางวัตถุของโลกจากภายนอก จนทำให้ในปัจจุบันสังคมไทยคือสังคมอุตสาหกรรมที่แทบทุกหนแห่งถูกครอบงำไปด้วยกิจกรรมทางเศรษฐกิจแบบเกษตรอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมอื่น ๆ แทบทุกรูปแบบ จนคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันกลายเป็นผู้ที่ไม่รู้จักตัวเองและรากเหง้าความเป็นมาในอดีต มองตนเองในลักษณะปัจเจกที่ถูกครอบงำโดยสิ่งที่เป็นวัตถุนิยม ขาดความเข้าใจในด้านศีลธรรม จริยธรรม และความเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิง การศึกษาเรื่อง นครแพร่ จากอดีตสู่ปัจจุบัน ในงานวิจัยนี้จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับภาพรวมของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม-วัฒนธรรมในสามมิติจากกว้างมาหาแคบ คือ จากภูมิวัฒนธรรมมาถึงนิเวศวัฒนธรรม และชีวิตวัฒนธรรมตามลำดับ โดยเฉพาะชีวิตวัฒนธรรมนั้นจะพยายามแตะต้องให้มากที่สุด เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคนแพร่โดยตรงในทางชาติพันธุ์ [Ethnicity] แต่ก็ไม่ได้ลืมบริบททางประวัติศาสตร์ของเมืองแพร่ที่เคยมีพัฒนาการเป็นนครรัฐแห่งหนึ่งในดินแดนภาคเหนือของประเทศไทยที่รู้จักกันในนามของล้านนา ซึ่งในท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนทางเศรษฐกิจสังคมในสมัยปัจจุบัน เวียงแพร่อันเป็นศูนย์กลางของนครรัฐยังดำรงโครงสร้างทางกายภาพของเวียงได้ดีกว่าบรรดาเวียงทั้งหลายของล้านนา ไม่ว่าจะเป็นเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และน่าน ซึ่งร่องรอยของความเป็นเวียงและเมืองในอดีตได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วโดยสิ้นเชิง เหตุนี้เวียงแพร่จึงเป็น เมืองประวัติศาสตร์ที่ยังมีชีวิต [Living historic city] ท่ามกลาง บรรดาเมืองเก่า ๆ ในล้านนา แผนผังเวียงแพร่ ภูมิวัฒนธรรมของนครแพร่ โดยตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ นครแพร่ อยู่ในภาคเหนือของประเทศไทยเช่นเดียวกับบ้านเมืองในเขตแคว้นล้านนา อื่น ๆ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เป็นแอ่งและเป็นหุบ อันเป็นที่ว่างระหว่างเขา ภูมิประเทศทางภาคเหนือนั้นเป็นทิวเขาที่แตกแยกมาจากปลายเทือกเขาหิมาลัย แล้ววางตัวเป็นทิวลงมาคล้ายกันกับนิ้วมือ โดยมีที่ราบลุ่มน้ำ ลำห้วย อยู่ระหว่างง่ามนิ้วมือ โดยมีลำน้ำสายใหญ่ ๆ หล่อเลี้ยงถึง ๔ สายคือ ลำน้ำปิง วัง ยม และน่าน เป็นเหตุให้ตามลุ่มน้ำดังกล่าวนี้เกิดมีพัฒนาการทางสังคมของผู้คนขึ้นเป็นนครรัฐ เช่น เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เชียงราย พะเยา น่าน และแพร่ ถ้าพิจารณาแบ่งลักษณะภูมิประเทศตามลุ่มแม่น้ำระหว่างทิวเขาดังกล่าว ก็อาจกล่าวได้ว่า บรรดาบ้านเมืองในเขตแคว้นล้านนาที่กล่าวมานี้ล้วนตั้งอยู่ในบริเวณลุ่มน้ำปิง วัง ยม น่าน ตอนบนทั้งสิ้น ต่ำลงมาในเขตจังหวัดตาก สุโขทัย อุตรดิตถ์ กำแพงเพชร พิจิตร และนครสวรรค์ ที่มีลำน้ำทั้งสี่ไหลผ่านก็นับเนื่องเป็นบริเวณลุ่มน้ำปิง วัง ยม น่าน ตอนล่าง เป็นที่ตั้งของบรรดาบ้านเมืองในแว่นแคว้นสุโขทัย เพราะฉะนั้นหากพิจารณาภูมิประเทศแล้ว ทั้งเขตแดนล้านนาและสุโขทัยต่างก็อยู่ในบริเวณลุ่มน้ำปิง วัง ยม น่าน ด้วยกัน เลยเป็นเหตุให้ทางราชการแบ่งเขตการปกครองเป็นภาคเหนือตอนบน คือ เขตแคว้นล้านนา กับภาคเหนือตอนล่างในเขตแคว้นสุโขทัยไป ซึ่งก็ขัดกับความเป็นจริงทางภาษาและวัฒนธรรม ที่ผู้คนในเขตแคว้นสุโขทัยมีภาษาและวัฒนธรรมที่เป็นแบบภาคกลางมากกว่าแบบภาคเหนือในเขตแคว้นล้านนา ความเป็นภูมิวัฒนธรรมของนครแพร่ก็คือเป็นบ้านเมืองและผู้คนที่พัฒนาขึ้นในภูมิประเทศที่เป็นแอ่ง [Basins] และหุบ [Valley] ในลุ่มน้ำยม ที่มีต้นน้ำอยู่ที่ภูเขาในเขตอำเภอปง จังหวัดพะเยา ไหลผ่านบริเวณหุบ [Valley] อันเป็นที่ราบแคบระหว่างเขามายังอำเภอเชียงม่วน โดยมีลำห้วยเล็กใหญ่ไหลลงจากเขาทั้งสองด้านมาสมทบ ทำให้พื้นที่ของหุบบางแห่งป่องกลาง เป็นที่ชุ่มน้ำและมีหนองบึงคล้ายกับแอ่งเล็ก ๆ เป็นที่รวมสายน้ำ ทำให้ลำน้ำยมใหญ่ขึ้นก่อนที่จะไหลผ่านพื้นที่หุบแคบ ๆ ลงไปทางใต้ไปยังตำบลสะเอียบ อันเป็นบริเวณหุบกว้างที่มีที่ราบลุ่มและมีลำห้วยหลายสายไหลมาสมทบ นับเนื่องเป็นแอ่งเล็ก ๆ [Small basin] ที่ทำให้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานเป็นบ้านเป็นเมืองได้ พื้นที่แอ่งเล็ก ๆ ภายในหุบใหญ่ดังกล่าวนี้ก็คือนิเวศวัฒนธรรมที่ผู้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานสร้างบ้านแปงเมืองกัน โดยเหตุนี้ยังกล่าวได้ว่าพื้นที่ของหุบแม่ยมจากอำเภอปงผ่านอำเภอเชียงม่วนมาถึงตำบลสะเอียบ เป็นที่ซึ่งมีทั้งหุบแคบ [Small basin] และหุบกว้าง บริเวณที่เป็นหุบกว้างเช่นที่อำเภอปง อำเภอเชียงม่วน และตำบลสะเอียบ ก็เป็นแหล่งที่ผู้คนเข้ามาสร้างบ้านแปงเมือง เกิดเป็นเมืองปง เมืองเชียงม่วน และเมืองสะเอียบ ซึ่งมีฐานะเป็นเมืองด่านเล็ก ๆ เช่นที่ลำน้ำยมจะไหลผ่านหุบแคบลงสู่พื้นที่ราบลุ่มเป็นแอ่งใหญ่ [Basin] ของเมืองสองซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแอ่งเมืองแพร่ หุบแม่ยมตั้งแต่อำเภอปงลงมาจนถึงอำเภอสองนั้น เคยเป็นเส้นทางคมนาคมโบราณจากเมืองแพร่ผ่านเมืองสองไปยังเชียงม่วน เพื่อต่อไปยังบ้านเมืองในลุ่มน้ำปิงซึ่งมี เมืองพะเยา เป็นเมืองสำคัญ และเมืองปง ที่เป็นเส้นทางข้ามเขาสันปันน้ำไปยังบ้านเมืองในลุ่มแม่น้ำน่านเช่น เมืองปัว อีกทีหนึ่ง การเป็นเส้นทางคมนาคมและทั้งมีแอ่งเล็ก ๆ ที่สร้างบ้านแปงเมืองได้นี้ ทำให้ภูมิประเทศ ป่าเขา ลำน้ำ และลำห้วยสองฝั่งน้ำยมมีความเป็นภูมิวัฒนธรรมขึ้นมา เพราะเป็นพื้นที่และสภาพแวดล้อมที่ผู้คนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานใช้สติปัญญาในการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ เพื่อให้เกิดความรู้และภูมิปัญญาในด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เป็นการดำรงชีวิตรอดร่วมกัน ความเป็นภูมิวัฒนธรรมนั้นสะท้อนให้เห็นจากบรรดาชื่อของสถานที่ทั้งทางธรรมชาติ ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เช่น ชื่อภูเขาในนามของดอยหรือภู เป็นต้น ซึ่งลำน้ำลำห้วยที่ไหลผ่านท้องถิ่น (นิเวศวัฒนธรรม) ต่าง ๆ รวมทั้งชื่อของพืชพันธุ์ ต้นไม้ และสัตว์ เป็นต้น คนในพื้นที่ซึ่งเป็นหุบหรือแอ่งเดียวกันจะรู้จักสิ่งเหล่านี้เหมือนกัน รวมทั้งรู้จักและเข้าใจว่าอะไรอยู่ในท้องถิ่นของคน อะไรที่เป็นของรวมกัน จากความรู้ความเข้าใจดังกล่าวทำให้มีการสร้างและอธิบายความหมายในรูปแบบของตำนาน นิทาน และสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ถ่ายทอดแก่กันด้วยลายลักษณ์และการเล่าขาน รวมทั้งการพบปะในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและไสยศาสตร์ร่วมกัน สิ่งที่น่าสังเกตจากการเดินทางเข้าไปในหุบแม่ยมจากสะเอียบจนถึงเมืองปงก็คือ ได้แลเห็นการขยายตัวของภูมิวัฒนธรรมและนิเวศวัฒนธรรมไปในพื้นที่และภูมิประเทศที่ห่างไกลผู้คนระหว่างเมืองต่อเมือง แต่ก่อนเมืองปง เมืองเชียงม่วน และสะเอียบจะมีพื้นที่ว่างระหว่างกัน มาบัดนี้การขยายตัวของการตั้งถิ่นฐานได้ทำให้ช่องว่างหรือระยะห่างดังกล่าวเชื่อมต่อกัน จึงปรากฏการให้ชื่อของภูเขาป่าดง และลำน้ำลำห้วยเพิ่มขึ้น เพื่อให้เกิดท้องถิ่นที่เป็นชุมชนบ้านและเมืองเพิ่มขึ้น จากหุบแม่ยมจากตำบลสะเอียบ ลำน้ำยมไหลผ่านพื้นที่แคบ ๆ ในหุบเขาลงสู่ที่ราบของแอ่งเมืองสองในเขตอำเภอสอง แอ่งนี้เป็นที่รวมของลำน้ำสำคัญ ๒ สาย คือ ลำน้ำยม ที่มาจากอำเภอปงดังได้กล่าวมาแล้วกับ ลำน้ำงาว ที่ไหลมาจากทางเหนือจากเทือกเขาในเขตอำเภองาว จังหวัดลำปาง หุบเขาแคบ ๆ ที่ลำน้ำงาวไหลลงมานั้นยังมีภูมิประเทศที่เป็นธรรมชาติที่เพิ่งมีการบุกเบิกเป็นชุมชนเมื่อไม่นานมานี้ ลำน้ำงาวสบกับลำน้ำยมในบริเวณที่เรียกว่า สบงาว และกลายเป็นลำน้ำเดียวกันลงสู่ที่ราบลุ่มแอ่งเมืองสอง ณ บริเวณเมืองสองนี้เป็นที่ที่มีลำน้ำสองไหลลงจากเทือกเขาทางด้านตะวันออกลงมาออกที่ลุ่มน้ำยม แอ่งเมืองสองนับเนื่องเป็นนิเวศวัฒนธรรมที่มีการสร้างบ้านแปงเมือง ดังเห็นได้จากการมีร่องรอยของเวียงโบราณแต่สมัยล้านนา ๒ แห่ง คือ เวียงสองและเวียงเทพ มีพระบรมธาตุเจดีย์ มีวัดและชุมชนหมู่บ้านหลายแห่งอย่างต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน เวียงสองตั้งอยู่ริมลำน้ำสองบนที่ลาดลงมาจากเขา มีร่องรอยของคูน้ำและคันดินสลับซับซ้อน รวมทั้งภายในบริเวณเมืองมีความโดดเด่น แสดงการเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและศาสนสถานหลายแห่ง การกระจายตัวของเศษภาชนะดินเผาทั้งแบบเผาธรรมดา เผาแกร่งและเผาเคลือบ แสดงให้เห็นชัดว่าเป็นเวียงที่มีคนอยู่อาศัยมากและต่อเนื่อง รวมทั้งมีความสำคัญขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ เป็นต้นมา อันเป็นเวลาที่นครแพร่ถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นล้านนาในสมัยพระเจ้าติโลกราช มหาราชแห่งนครเชียงใหม่ ส่วนเวียงเทพ นั้นมีเพียงร่องรอยของแนวกำแพงดินและคูน้ำเหนือให้เห็นได้ชัดใกล้กันกับลำน้ำยม แต่ภายในตัวเวียงพบซากของโคกเนินที่เป็นศาสนสถานน้อย อีกทั้งเศษกระเบื้องถ้วยชามที่สะท้อนให้เห็นถึงการอยู่อาศัยก็กระจายอยู่ไม่มาก มีลักษณะเบาบางที่แสดงการอยู่อาศัยของผู้คนในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นในเวลามีศึกสงคราม เพราะแอ่งเมืองสองนั้นนับเนื่องเป็นเมืองหน้าด่าน ที่การคมนาคมและเส้นทางเดินทัพจากเมืองพะเยาและเมืองน่านผ่านไปมาถึงเมืองแพร่ แอ่งเมืองสองมีพื้นที่ราบกว้างขวางพอสำหรับทำชลประทานแบบเหมืองฝายที่ทำให้ผู้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานเป็นบ้านเป็นเมืองได้อย่างมีการสืบเนื่อง ซึ่งก็แลเห็นได้จากชุมชนท้องถิ่นของเมืองสองในปัจจุบันที่มีการเติบโตเป็นอำเภอและมีย่านตลาดใหญ่โต การที่มีผู้คนตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยอย่างสืบเนื่องมาจนปัจจุบันนี้ ทำให้เมืองสองกลายเป็นเมืองสำคัญในตำนานประวัติศาสตร์ของเมืองแพร่ ในนามของเมืองพระเพื่อนพระแพง ในวรรณคดีเรื่อง พระลอ ที่เชื่อกันว่าแต่งขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เมื่อมีการตื่นตัวค้นคว้าเรื่องราวโบราณคดีขึ้นแต่สมัยรัชกาลที่ ๕– ๖ ก็ทำให้มีผู้เชื่อว่าเมืองในวรรณคดีของเรื่องนี้มีความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์ ได้มีการศึกษาบรรดาเมืองโบราณต่าง ๆ ในเขตแคว้นล้านนา และให้ความเห็นว่าเมืองสองในเขตจังหวัดแพร่นี้คือ เมืองสองในตำนานเรื่องพระลอ ลำน้ำสองก็ถูกตีความว่าเป็น ลำน้ำกาหลง และพระสถูปเจดีย์ที่สำคัญของเมืองก็ถูกกำหนดให้เป็น พระธาตุพระลอ เกิดศาลเจ้าปู่สมิงพราย เป็นที่เคารพของผู้คนทั้งในเขตเมืองและคนภายนอกที่ผ่านไปมา แต่ที่สำคัญมีการเล่าขานกันว่าภูเขาที่เป็นขุนน้ำและต้นน้ำของเมืองสองทางด้านตะวันออกของเมืองคือ เขาปู่เจ้าสมิงพราย จากแอ่งเมืองสองลำน้ำยมไหลผ่านที่ราบลุ่มในเขตบ้านห้วยขอน บ้านทุ่งน้าว บ้านแม่ทะ บ้านวังหลวง บ้านห้วยคงเจริญ เข้าสู่ที่ราบกว้างใหญ่ของแอ่งเมืองแพร่ที่มีลำห้วยและลำน้ำหลายสายไหลลงจากเทือกเขาทางเหนือ ทางตะวันตก และทางตะวันออกลงมารวมกับลำน้ำยม ที่ทำให้พื้นที่ของแอ่งเป็นที่ราบลุ่ม มีน้ำบริบูรณ์เพื่อการเกษตรกรรมที่กว้างใหญ่ แต่ลำน้ำสำคัญที่มารวมกับลำน้ำยมในแอ่งใหญ่นี้ได้แก่ลำน้ำแม่คำมี ที่ไหลมาจากเทือกเขาทางด้านตะวันออกที่กั้นแอ่งแพร่ออกจากแอ่งน้ำในเขตจังหวัดน่าน ลำน้ำนี้ไหลผ่านหุบเขาเล็ก ๆ มาออกพื้นที่ราบของเขตอำเภอร้องกวาง ก่อนที่จะไปรวมกับลำน้ำยมในเขตบ้านแม่หลายในอำเภอเมือง จากบ้านแม่หลายลำน้ำยมขยายใหญ่ มีสภาพเป็นแม่น้ำไหลผ่านที่ราบลุ่มกว้างใหญ่ของแอ่งแพร่ ที่มีลำน้ำลำห้วยจากทิวเขาทั้งด้านตะวันตกและตะวันออกไหลลงมา ปัจจุบันเห็นการตั้งถิ่นฐานของบ้านเมืองภายในแอ่งได้ชัดเจน กล่าวคือแม่น้ำยมมีลักษณะการไหลที่คดเคี้ยวเพราะลงสู่พื้นที่ราบลุ่มเกิดบริเวณลำน้ำคด ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำมีที่ราบกว้างใหญ่เหมาะกับการตั้งถิ่นฐานมากกว่าทางฝั่งตะวันตก พื้นที่ดังกล่าวเริ่มตั้งแต่เขตอำเภอเมืองลงไปทางใต้ ผ่านอำเภอสูงเม่นจนถึงอำเภอเด่นชัย ที่ราบลุ่มทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำยมนี้เองที่มีผู้คนตั้งหลักแหล่งบ้านเมืองมาแต่โบราณ เพราะได้อาศัยบรรดาลำน้ำลำห้วยที่ไหลลงจากเทือกเขาทางด้านตะวันออกในการทำเหมืองฝาย เพื่อจัดการน้ำอุปโภคบริโภคและการเพาะปลูกพืชพันธุ์ต่าง ๆ ในขณะที่ทางฝั่งตะวันตกเป็นเพียงที่ราบและทุ่งราบแคบ ๆ ที่แม้จะมีลำห้วยลำน้ำไหลลงจากเทือกเขาก็ตาม แต่ก็ไม่เหมาะในการจัดการน้ำกินน้ำใช้ของผู้คน เหตุนี้การเติบโตของชุมชนที่อยู่อาศัยและการเกษตรกรรมจึงเจริญขึ้นในสมัยหลัง ๆ ลงมา สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ การตั้งถิ่นฐานของผู้คนในแถบนี้มักจะเกี่ยวข้องกับการทำป่าไม้สัก ที่เป็นเศรษฐกิจสำคัญของเมืองแพร่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ จนอาจกล่าวได้ว่า นับแต่เขตอำเภอสูงเม่นลงไปจนถึงอำเภอเด่นชัย มีแหล่งค้าไม้และบ้านเรือนที่สร้างด้วยไม้สักที่มีการนำเอาต้นซุงไม้สักมาทำเสาบ้านกันมากมาย เมืองแพร่จึงเป็นเมืองที่ทำไม้สักและมีรายได้จากไม้สักมากกว่าการเป็นเมืองปลูกข้าวและทำเกษตรกรรม บริเวณอำเภอเด่นชัยคือบริเวณที่ราบลุ่มตอนล่างของแอ่งแพร่ เพราะจากบริเวณนี้ลำน้ำยมจะไหลคดเคี้ยวผ่านซอกเขาและหุบเขาไปทางตะวันตกและทางใต้ พื้นที่จึงเต็มไปด้วยป่าเขาที่อุดมสมบูรณ์ด้วยต้นสัก ซึ่งปัจจุบันมีการตัดไม้สักในลักษณะทำลายสภาพแวดล้อมกันเป็นอย่างมาก แต่ก่อนแทบไม่มีชุมชน แต่ปัจจุบันชุมชนรุ่นใหม่ขึ้นตามเส้นทางถนนที่ตัดผ่านไปยังจังหวัดลำปางและสุโขทัย แต่เมื่อแม่น้ำยมไหลผ่านซอกเขาและหุบเขาเข้าเขตอำเภอลองก็เข้าสู่พื้นที่ราบลุ่มเป็นแอ่งเล็ก ๆ แห่งหนึ่งคือ แอ่งเมืองลอง บริเวณที่มีลำน้ำแม่ลานไหลจากหุบเขาทางเหนือมาสบแอ่งเมืองลองนี้กินพื้นที่ตั้งแต่บ้านนาสารในหุบแม่ลาน ที่ลำน้ำแม่ลานไหลผ่านบ้านปินลงไปสบกับแม่น้ำยมในบริเวณอำเภอลอง และทำให้แม่น้ำยมกว้างขึ้นก่อนที่จะผ่านบริเวณซอกเขาและหุบเขาเข้าสู่แอ่งที่ราบลุ่มในเขตอำเภอวังชิ้น ความสำคัญของแอ่งเมืองลองก็คือ เป็นบริเวณชุมทางของการคมนาคมและเส้นทางเดินทัพในสมัยโบราณระหว่างเมืองแพร่ เมืองลำปาง กับเมืองศรีสัชนาลัย สวรรคโลกและสุโขทัย อันนับเนื่องเป็นบ้านเมืองในลุ่มน้ำยมตอนล่าง แอ่งเมืองลองมีพื้นที่รับน้ำเป็นที่ราบกว้างใหญ่อย่างชายฝั่งตะวันตกของแม่น้ำมูล เพราะมีลำน้ำลำห้วยไหลลงจากทิวเขาที่แยกลุ่มน้ำยมออกจากพื้นที่ภูเขาในเขตจังหวัดลำปาง การตั้งถิ่นฐานของบ้านเมืองจะอยู่ในบริเวณนี้ โดยเฉพาะบริเวณอำเภอลองและตำบลบ้านปินที่อยู่ริมลำน้ำแม่ลาน บ้านปินเป็นบริเวณที่ทางรถไฟผ่าน มีสถานีรถไฟที่ทำให้เกิดย่านตลาดและบ้านเมืองแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ลงมา ในขณะที่ตัวอำเภอลองเป็นแหล่งศูนย์กลางของวัดพระธาตุห้วยอ้อหรือวัดศรีดอนคำ ที่เป็นศูนย์กลางศาสนาและพิธีกรรมของท้องถิ่น ต่ำจากบริเวณตัวอำเภอลองลงมาใกล้กับบริเวณที่ลุ่มน้ำแม่ลานสบกับลำน้ำยมเป็นที่ตั้งของ เมืองลองโบราณ ที่มีคูน้ำและคันดินอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำยม เมืองลองนี้มีฐานพระสถูปเจดีย์ที่เป็นพระบรมธาตุอยู่กลางเมือง ซึ่งน่าจะสร้างขึ้นแต่รัชกาลพระเจ้าติโลกราชในพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ลงมา เมืองลองเป็นเมืองทางยุทธศาสตร์สำคัญของกองทัพล้านนาที่ทำสงครามกับกองทัพกรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ที่เกี่ยวข้องกับวรรณคดีลิลิตยวนพ่ายที่แต่งขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถในรัชกาลของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา ทางตอนเหนือของแอ่งเมืองลองอันเป็นหุบเขาที่ลำน้ำแม่ลานไหลผ่านบ้านปินไปรวมกับแม่น้ำยมนั้น มีลำน้ำอีกสายหนึ่งคือลำน้ำแม่ตัว ซึ่งนับเป็นต้นน้ำของลำน้ำแม่ลาน ลำน้ำนี้มีต้นกำเนิดมาจากภูเขาทางด้านเหนือในเขตบ้านแป้น ไหลลงสู่ที่ราบลุ่มที่เป็นหุบเหมาะกับการสร้างบ้านแปงเมือง มีภูเขาหินปูนที่มีถ้ำที่ผู้คนถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ปัจจุบันพื้นที่ในหุบนี้ทั้งสองฝั่งน้ำแม่ตัวเกิดเป็นชุมชนในระดับตำบลที่มีผู้คนเข้ามาอยู่มากมาย มีวัดเก่าและแหล่งโบราณคดีตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์ในสมัยล้านนา ชาวบ้านบอกว่ามีร่องรอยของเวียงคือ บริเวณที่มีคันดินและคูน้ำสร้างบนเนิน และเรียกชุมชนที่ตั้งอยู่ในหุบนี้ว่า เวียงต้า ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ เวียงต้า คือแหล่งหลบภัยและปฏิบัติการของขบวนการเสรีไทยที่ผู้รู้ในท้องถิ่นได้ทำการศึกษาและบันทึกไว้ โดยตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ เวียงต้านับเป็นชุมชนภายในหุบเขาที่เหมาะสำหรับหลบภัย และมีเส้นทางคมนาคมเข้าไปยังเมืองแพร่ที่อยู่ทางตะวันออกได้ ต่อจากแอ่งเมืองสอง แม่น้ำยมไหลผ่านซอกเขาและที่ราบลุ่มในเขตบ้านทุ่งแล้ง บ้านแม่ป้วก เข้าสู่ที่ราบลุ่มของแอ่งวังชิ้นอันเป็นที่ตั้งของอำเภอวังชิ้นในปัจจุบัน บริเวณนี้เป็นแอ่งยาวที่มีพื้นที่ราบลุ่ม มีลำน้ำลำห้วยจากเขาไหลลงมาหล่อเลี้ยงทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยม ทำให้เกิดชุมชนบ้านเมืองมาแต่โบราณ มีร่องรอยของเวียงโบราณที่เป็นเมืองอยู่ริมฝั่งแม่น้ำยมฝั่งตะวันตก โดยตั้งอยู่ ณ บริเวณปากลำน้ำเก่าที่ไหลมาจากเทือกเขาทิศตะวันตกเฉียงใต้มาสบกับแม่น้ำยม โดยมีวัดพระธาตุปงสนุกเป็นพระธาตุประจำเมือง เมืองนี้ใช้ลำน้ำยมเป็นคูเมืองด้านตะวันออก โดยมีคูน้ำและกำแพงเมืองทางด้านตะวันตกยาวขนานไปกับแม่น้ำยม ณ วัดพระธาตุปงสนุกซึ่งเป็นวัดโบราณพบศิลาจารึกสมัยสุโขทัยหลักหนึ่งที่มีอายุอยู่ในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๙ กล่าวถึง เมืองตรอกสลอบ และเจ้าเมืองที่น่าสนใจก็คือบริเวณแอ่งวังชิ้นมีร่องรอยของลำน้ำแม่สร้อยที่ไหลผ่านหุบเขาที่มีที่ราบลุ่มจากบริเวณบ้านแม่หละ บ้านป่าสัก บ้านสองแคว มาสบกับแม่น้ำยมในบริเวณบ้านแม่สร้อย ซึ่งอยู่ต่ำจากเมืองโบราณที่อำเภอวังชิ้นลงมาเล็กน้อย หุบแม่สร้อยนี้เป็นเส้นทางโบราณที่เชื่อมบ้านเมืองในเขตแอ่งวังชิ้น จากต้นลำน้ำแม่สร้อยข้ามเข้าไปยังห้วยแม่ปะสู่บ้านเมืองในแอ่งเมืองเถินในลุ่มน้ำวังในจังหวัดลำปาง นิเวศวัฒนธรรม ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นคือภูมิวัฒนธรรมอันเป็นเรื่องของภูมิประเทศ หุบและแอ่งที่ผู้คนเข้ามาสร้างบ้านแปงเมืองและปรับตัวเองเข้ากับสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ สิ่งที่เป็นแกนสำคัญของการตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัยก็คือ น้ำ ที่ต้องใช้อุปโภคบริโภคและทำการเพาะปลูก การจัดการน้ำจึงมีความหมายต่อการอยู่อาศัยของผู้คนในท้องถิ่นหนึ่งที่อยู่ในแอ่งและหุบ แม่น้ำยม คือเส้นชีวิตของคนเมืองแพร่ที่ไหลผ่านหุบและแอ่งจนเกิดท้องถิ่นหรือนิเวศวัฒนธรรมอันเป็นพื้นที่ในการสร้างบ้านแปงเมืองหลายแห่ง สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้คือ บรรดานิเวศวัฒนธรรมที่เกิดเป็นบ้านเมืองของนครรัฐแพร่ ซึ่งในปัจจุบันนับเนื่องเป็นเขตการบริหารการปกครองที่เรียกว่า จังหวัดแพร่ ในที่นี้จะไม่นำเสนอในทุกนิเวศวัฒนธรรมตามที่มีอยู่ในภูมิวัฒนธรรมที่กล่าวมาแล้ว แต่จะนำเสนอเพียงบรรดานิเวศวัฒนธรรมสำคัญ ๆ โดยเฉพาะในเขตแอ่งที่ราบเมืองแพร่และสะเอียบ นครแพร่หรือเวียงแพร่ เป็นศูนย์กลางของเมืองหรือนครแพร่ ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำยมที่มีลักษณะการไหลคดเคี้ยวมากกว่าบริเวณอื่น จนทำให้เกิดมีกุดและบริเวณน้ำหลง [Oxbow lake] จึงเป็นบริเวณชุ่มน้ำและเป็นที่รับน้ำจากลำห้วยหลายแห่งที่ไหลลงมาจากเทือกเขาทางด้านตะวันออกและตะวันตกเฉียงใต้ โดยเฉพาะลำน้ำแม่แคมและลำน้ำแม่สายที่ไหลลงมาจากภูเขาสูงอันเป็นต้นน้ำ คือ ดอยผาช้างด่านและผาช้างแดง อันเป็นดอยศักดิ์สิทธิ์ที่สูงสุดของแอ่งแพร่ ลำน้ำทั้งสองไหลจากต้นน้ำในหุบเขาผ่านเขา และตะพักที่สูงจากข้างในลงมายังตะพักต่ำข้างล่าง ผ่านแหล่งที่มีการตั้งถิ่นฐานบ้านเมือง หล่อเลี้ยงการเพาะปลูกบนพื้นราบ ทำให้เกิดการสร้างเหมืองและฝายแบ่งน้ำไปหล่อเลี้ยงผู้คนในชุมชนท้องถิ่น และการเพาะปลูกข้าวและพืชพันธุ์ต่าง ๆ การไหลลงสู่ที่ราบลุ่มของลำน้ำเหล่านี้มีทั้งคุณและโทษ เพราะถ้าฝนตกชุกและต่อเนื่องจะทำให้เกิดน้ำป่าไหลบ่าลงมาจากเทือกเขาอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันแก่บ้านเรือนผู้คนตามชุมชนที่อยู่ในพื้นราบ ที่เป็นคุณก็คือการทำเหมืองฝายชักน้ำ เบนน้ำ จากลำห้วยเหล่านี้ไปเลี้ยงที่นาและแหล่งการเพาะปลูก โดยเฉพาะการชักน้ำจากลำแม่แคมและแม่สายเข้าไปยังหนองน้ำในเวียงแพร่เพื่อการอุปโภคบริโภค ซึ่งปัจจุบันหนองน้ำดังกล่าวนี้ตื้นเขินและถูกกลบเพื่อเป็นพื้นที่ในการก่อสร้างบ้านเรือนและสถานที่ในเมืองไปหมดแล้ว เพราะคนเมืองมีน้ำประปาเพื่อการบริโภคและอุปโภคแทน รวมทั้งบรรดาเหมืองฝายที่เคยมีมาแต่เดิมก็ลดน้อยไป อันเนื่องมาจากทางรัฐได้ขุดลำชลประทานจากเหนือลงใต้ได้ จนทำให้ทางน้ำธรรมชาติที่ไหลมาจากเขาสูงทางตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้หลายสายตันไป การเปลี่ยนแปลงทางน้ำดังกล่าวทำให้ความรู้และความทรงจำเกี่ยวกับแหล่งน้ำกินน้ำใช้ และแหล่งต้นน้ำของผู้คนในเมืองยุคปัจจุบันแทบไม่หลงเหลืออยู่ ซึ่งเห็นได้จากการที่คนรุ่นใหม่ไม่รู้ และมีความรู้เกี่ยวกับผาช้างด่านและผาช้างแดงอันเป็นดอยศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นต้นน้ำของลำน้ำลำห้วยที่ไหลลงมาหล่อเลี้ยงแหล่งเพาะปลูกและเป็นน้ำกินน้ำใช้ของคนเมือง ผาช้างด่านและผาช้างแดงเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นประธานของภูมิทัศน์ทางจักรวาลของคนเมืองแพร่ที่คนรุ่นก่อนรู้จักและบอกเล่ากัน โดยเฉพาะบรรดาคนที่เป็นพรานป่าและพวกที่เข้าไปเก็บของป่าเพื่อการทำมาหากิน มีผู้คนเข้าไปตั้งถิ่นฐานกันภายในหุบเขาตามตะพักที่ลำห้วยไหลผ่านลงมา โดยเฉพาะการปลูกป่าเมืองและทำเหมือง จนเกิดกลุ่มชนเผ่าบนที่สูงที่เก็บของป่าและผลิตผลจากไร่มาแลกเปลี่ยนกับคนบนพื้นราบ ทำให้การตั้งถิ่นฐานบ้านเมืองของผู้คนในระยะแรกซึ่งย้อนหลังไปถึงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เกิดขึ้นในบริเวณพื้นที่ราบบนตะพักที่ลาดลงจากเทือกเขาผาช้างด่านและผาช้างแดง พื้นที่ดังกล่าวนี้อยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ลงมา ผู้คนนับถือพระพุทธศาสนา ได้สร้างวัดขึ้นตามชุมชนแต่ละแห่งมากมาย รวมทั้งมีการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ขึ้นตามที่สูงและบนเขา ได้แก่ พระธาตุช่อแฮ พระธาตุจอมแจ้ง และพระธาตุดอยเล็ง บริเวณสำคัญที่สุดที่มีการสร้างบ้านแปงเมืองอย่างต่อเนื่องก็คือ พื้นที่ตั้งแต่บ้านป่าแดง บ้านพันเชิง บ้านมุ้ง บ้านธรรมเมือง บ้านปอ บ้านต้นไคร้ มายังบ้านกลาง นับเป็นชุมชนที่สัมพันธ์กับพระธาตุช่อแฮซึ่งเป็นหลักของนครแพร่ ภายในเขตวัดพระธาตุช่อแฮมีศาลผีใหญ่เป็นที่สถิตของขุนลัวะอ้ายก้อม ซึ่งน่าจะเป็นบรรพบุรุษของชนเผ่าบนที่สูงซึ่งเคยตั้งถิ่นฐานอยู่บนเนินเขาที่ลาดลงมาจากผาช้างผาด่าน และผาช้างแดง ขุนลัวะอ้ายก้อมเป็นหัวหน้าคนพื้นเมืองที่หันมานับถือพระพุทธศาสนา และมีบทบาทในการบำรุงพระพุทธศาสนา จึงได้มีการสร้างศาลบูชาไว้ในพื้นที่ของวัดพระธาตุช่อแฮ กล่าวกันว่าในงานบุญประเพณีไหว้พระธาตุหรือขึ้นธาตุแต่ก่อนก็มีประเพณีไหว้และสักการะขุนลัวะอ้ายก้อม ผู้กราบไหว้และดูแลพระบรมธาตุด้วย ตามที่กล่าวมาแสดงให้เห็นว่าบริเวณที่ลาดของตะพักเขาจากดอยผาช้างด่านและผาช้างแดง ลงมาจนถึงบริเวณที่ราบลุ่ม ที่ราบเชิงเขา อันเป็นบริเวณที่มีพระธาตุช่อแฮเป็นศูนย์กลางนั้น เป็นพื้นที่ของการเกิดเป็นบ้านเป็นเมืองอย่างต่อเนื่อง พระพุทธศาสนาจากแคว้นสุโขทัยได้เข้ามาเป็นที่รับนับถือของผู้คนทั้งที่สูงและที่ราบลุ่มตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๙ เป็นต้นมา และได้ทำให้คนในแอ่งนครแพร่มีความสัมพันธ์กับกษัตริย์สุโขทัย โดยเฉพาะสมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไท ดังมีกล่าวถึงในศิลาจารึกของสุโขทัยหลายหลัก เช่น จารึกวัดเขาสุมนกูฎ ระบุว่าสมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไทยทรงนำคนแพร่ คนเมืองปัว ไปไหว้พระพุทธบาทที่เมืองสุโขทัย รวมทั้งจารึกปู่ขุนจิตขุนจอด หลังรัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไทกล่าวถึง การสาบานระหว่างกษัตริย์สุโขทัยและกษัตริย์เมืองน่านในการร่วมมือกันรบกับศึกทางกรุงศรีอยุธยา ก็ย่อมแสดงให้เห็นว่าสุโขทัยจะเกี่ยวข้องกับน่านไม่ได้ ถ้าไม่เดินทางผ่านแพร่ ทางด้านศิลปกรรมพบว่าบรรดาพระพุทธรูปสำคัญของเมืองแพร่มีรูปแบบลักษณะคล้ายกับพระพุทธรูปสุโขทัยเป็นอย่างมาก จนราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ แพร่ก็ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นล้านนาภายใต้การนำของพระเจ้าติโลกราช ผู้ทรงทำสงครามกับสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา ครั้งนั้นกษัตริย์สุโขทัยพระองค์หนึ่งคือพระยายุทธิษฐิระ ผู้เคยเป็นเจ้าเมืองสองแควได้หนีไปเข้ากับทางล้านนา พระเจ้าติโลกราชโปรดให้ไปครองเมืองพะเยา ซึ่งเป็นเมืองเอกที่สำคัญในแอ่งเชียงรายของแคว้นล้านนา การขึ้นไปครองเมืองพะเยาของพระยายุทธิษฐิระนั้นต้องผ่านเมืองแพร่ขึ้นไป ในทางประวัติศาสตร์เชื่อกันว่าพระยายุทธิษฐิระคือผู้นำการทำเครื่องปั้นดินเผาเคลือบไปเผยแพร่ตามเมืองสำคัญ ต่าง ๆ ในแอ่งเชียงราย และทำให้เกิดการผลิตเครื่องปั้นดินเผาเคลือบกันอย่างแพร่หลาย สิ่งที่สะท้อนให้เห็นจากการพบภาชนะดินเผาเคลือบและเศษภาชนะที่มีแบบสุโขทัย เมืองพาน และพะเยา ซึ่งพบหลักฐานในบริเวณเวียงสองซึ่งเป็นเส้นทางที่ผ่านขึ้นไปยังพะเยา จากบริเวณที่ราบเชิงเขาของบ้านเมืองในเขตป่าแดง–ช่อแฮ ที่มีพัฒนาการมาแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ก็มีการขยายตัวลงสู่ที่ราบลุ่มชุ่มน้ำทางตะวันตกเฉียงเหนือใกล้กับฝั่งแม่น้ำยม อันเป็นบริเวณที่หล่อเลี้ยงโดยลำน้ำลำห้วยที่ไหลจากเขาดอยผาช้างด่านและผาช้างแดงมาลงแม่น้ำยม และบรรดาลำห้วยที่ไหลลงจากทิวเขาทางด้านตะวันตกผ่านที่ราบลุ่มต่ำมาบรรจบกับแม่น้ำยม แม่น้ำยมในบริเวณนี้กว้างใหญ่ขึ้น อีกทั้งไหลคดเคี้ยวทำให้เกิดพื้นที่สูงริมฝั่งน้ำพอเป็นที่ตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัยได้ การขยายตัวดังกล่าวทำให้เกิดการสร้างเวียงแพร่ขึ้นเป็นศูนย์กลางของนครรัฐ ซึ่งอาจเกิดขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ลงมา เวียงแพร่เกิดขึ้นท่ามกลางที่ราบลุ่มที่มีน้ำจากลำห้วยและลำเหมืองหล่อเลี้ยงและตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำยม โดยรับน้ำจากลำน้ำและลำเหมืองของลำน้ำแม่แคมและแม่สายเข้ามาใช้ในการอุปโภคบริโภค น้ำกินน้ำใช้เหล่านี้ถูกกักเก็บไว้ในบริเวณหนองก่อนที่จะระบายลงสู่แม่น้ำยมที่อยู่ทางด้านตะวันตก ด้วยเหตุที่เป็นพื้นที่ราบชุ่มน้ำจึงมีโอกาสเกิดน้ำท่วมจากน้ำป่าที่ไหลบ่ามาจากเทือกเขาทั้งทางด้านตะวันออกและตะวันตก อีกทั้งจากการเอ่อล้นของแม่น้ำยม จึงทำให้การสร้างเวียงแพร่โดยเฉพาะกำแพงเมืองสูงใหญ่มั่นคงที่ไม่ป้องกันการรุกล้ำของข้าศึกศัตรูเพียงอย่างเดียว หากใช้เป็นเครื่องป้องกันน้ำท่วมในเวลาน้ำยมเอ่อล้นอีกด้วย ลักษณะเช่นนี้เป็นเหตุให้การดูแลและบูรณะกำแพงเมืองให้ถาวรจึงดำรงอยู่เรื่อยมา แม้ว่าปัจจุบันการใช้กำแพงเป็นเครื่องป้องกันข้าศึกศัตรูหมดไปแล้วก็ตาม การไม่รื้อกำแพงเมืองทั้งหมดเพื่อการขยายเมืองตามแบบเมืองสมัยใหม่ [Urbanization] นับเป็นสิ่งสำคัญที่ทำในพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่เคยอยู่กันมาตามแบบประเพณีไม่ถูกทำลาย แม้ว่าในขณะนี้ทางเทศบาลและชาวบ้านได้รื้อทำลายและบุกรุกพื้นที่และก่อสร้างอาคารใหม่ ๆ ขึ้นมาทำลายสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมที่มีมาแต่สมัยโบราณก็ตาม เมืองแพร่เป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต เพราะมีการอยู่อาศัยกันมาอย่างต่อเนื่องแต่สมัยล้านนา ดังเห็นได้จาก ศาสนสถานที่สำคัญ เช่น เจดีย์วัดศรีชุม เจดีย์วัดหัวข่วง วัดหลวง และวัดพระนอน เป็นต้น ยังคงเหลือให้ได้เห็นและศึกษาในบริเวณวัดที่ไม่ร้าง ซึ่ง วัดหลวง น่าจะเป็นวัดสำคัญเป็นวัดใหญ่ แต่พระธาตุเจดีย์ได้รับการบูรณะเปลี่ยนแปลง สิ่งที่หลงเหลือให้เห็นเป็นวัดสำคัญก็คือ ซุ้มประตูโค้งเกือกม้ามียอดลวดลายปูนปั้นประดับที่เป็นของแต่ครั้งรัชกาลพระเจ้าติโลกราชลงมา วัดอื่น ๆ ในเขตเมืองที่เป็นวัดสำคัญของผู้คนแต่ละกลุ่มเหล่าในเมืองที่สร้างขึ้นในสมัยหลังลงมาก็มากมาย การเปลี่ยนแปลงในเรื่องสิ่งก่อสร้างคงเป็นเรื่องของบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ซึ่งส่วนมากทำด้วยเครื่องไม้ที่มีรูปแบบและขนาดใหญ่โตขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕-๖ ลงมา ล้วนเป็นสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลของฝรั่งยุคอาณานิคม แต่ก็ปรับปรุงและปรับเปลี่ยนให้มีรูปแบบเฉพาะเป็นของตนเอง แต่การแบ่งเขตถนนและตรอกคงยังรักษารูปแบบเดิมอยู่ จนกล่าวได้ว่าเวียงแพร่เป็นตัวอย่างของเมืองล้านนาที่ยังไม่ถูกทำลายเหมือน เช่น เชียงใหม่ ลำปาง และน่าน ซึ่งก็อาจเปรียบได้กับเมืองหลวงพระบางของแคว้นล้านช้างในขณะนี้
- พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเวียงป่าเป้าที่วัดศรีสุทธาวาส
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มิ.ย. 2541 การสัมมนาที่จังหวัดเชียงใหม่เมื่อต้นปีที่แล้ว ซึ่งมูลนิธิประไพ วิริยะพันธุ์ จัดร่วมกับโครงการพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นภาคเหนือตอนบน ทำให้ได้รับทราบว่า มีความต้องการสร้างพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นโดยผู้นำและชาวบ้านในชุมชนต่าง ๆ อยู่เป็นจำนวนมาก แต่มีเพียงส่วนหนึ่งที่มีความพร้อม เช่น สถานที่ ความร่วมมือในชุมชน และที่สำคัญที่สุดคือผู้นำกลุ่มที่สามารถรับผิดชอบงานที่กำลังเกิดขึ้นต่อไปได้ มูลนิธิฯ มีกำลังคนไม่มากนัก และการจัดพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นต้องอาศัยเวลาเพราะเป็นงานที่ต่อเนื่อง จึงต้องเลือกชุมชนที่มีความพร้อมมากกว่าชุมชนอื่น ที่วัดศรีสุทธาวาสในอำเภอเวียงป่าเป้า ดูจะเหมาะสมที่สุดสำหรับพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นขนาดเล็ก ๆ ที่มีผู้นำชุมชนที่กระตือรือร้นและคณะศรัทธาของวัดเป็นตัวแทนชุมชนสนับสนุนอย่างแข็งขัน เวียงป่าเป้า คือแอ่งที่ราบแคบ ๆ ซึ่งเป็นจุดศูนย์รวมระหว่างทางที่จะไปเชียงราย-เชียงใหม่ และเชียงใหม่-พะเยาว์ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ผู้คนอยู่อาศัยมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๑ ในสมัยล้านนา โดยมีแหล่งเตาเผาเครื่องถ้วยขนาดใหญ่ระดับอุตสาหกรรมที่เวียงกาหลง ที่อยู่ห่างจากเวียงป่าเป้าไปไม่ไกลนักเป็นสิ่งยินยัน เมืองเวียงป่าเป้าร้างไปจนกระทั่งราวร้อยกว่าปีมานี้ มีการสร้างเวียงป่าเป้าขึ้นใหม่ ขุดคูน้ำ กำแพงอิฐ และสร้างคุ้มของเจ้าเมือง ผู้คนโดยมากอพยพมาจาก เชียงใหม่ ทำการค้า ทำนา ทำสวน สร้างบ้านเรือนเป็นชุมชนขนาดใหญ่สืบมา ในปัจจุบันจากหมู่บ้านก็กลายเป็นเมืองขนาดเล็กที่มีทางหลวงผ่ากลาง ความเจริญเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับความซับซ้อนของสังคมเมือง รูปแบบของความสัมพันธ์ในเวียงหรือในเมืองเวียงป่าเป้าจึงมีลักษณะที่แตกต่างไปจากชุมชนระดับตำบลหรือหมู่บ้านที่มีศูนย์กลางของชุมชนคือวัดเพียงวัดเดียว โรงเรียนเพียงโรงเรียนเดียวหรือสองแห่ง หมู่บ้านอยู่ล้อมรอบวัด และคณะศรัทธาก็คือผู้คนในชุมชนนั่นเอง แต่กรณีของเมืองเวียงป่าเป้า ที่วัดศรีสุทธาวาส ชุมชนที่อยู่รอบวัดอาจไม่ใช่คณะศรัทธาของวัด โรงเรียนมัธยมที่อยู่หน้าวัดก็ไม่มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันนัก กำนันหรือผู้ใหญ่บ้านอาจมีเวลาไม่มากนัก คนที่จะเข้าวัดนั่นคือ คณะศรัทธาที่สืบต่อตามบรรพบุรุษ แม้จะอยู่ห่างวัดแต่ก็เลือกที่จะเข้าวัดตามพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ด้วยเหตุนี้การจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่วัดศรีสุทธาวาส จึงต้องดำเนินงานตามลักษณะสังคมของที่นี่ ซึ่งอาจไม่เหมือนกับที่อื่น ๆ ในเรื่องโครงสร้างของชุมชนที่จะมารองรับงานพิพิธภัณฑ์ มูลนิธิฯ ร่วมกับคณะศรัทธา และเจ้าอาวาสวัดศรีสุทธาวาสเริ่มทำงานเรื่อยมาตามลำดับ ตั้งแต่รวบรวมสิ่งของที่ชาวบ้านนำมาบริจาค และจัดทำทะเบียนสำรวจศึกษาทางโบราณคดี ศึกษาทางมานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์ท้องถิ่น จนพอมองเห็นภาพความเคลื่อนไหวภายในท้องถิ่นเวียงป่าเป้าตั้งแต่อดีตกระทั่งปัจจุบันอย่างเป็นรูปธรรม การประชุมเกี่ยวกับการจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นโดยมี เจ้าอาวาสวัดศรีสุทธาวาส คณะศรัทธาอาวุโส, รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม, อาจารย์ นฤมล เรืองรังษี, อาจารย์ มานพ ถนอมศรี, อาจารย์ มงคล เปลี่ยนบางช้าง, และเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ได้ข้อสรุปซึ่งเกิดจากการเรียนรู้ร่วมกัน โดยจัดแบ่งการจัดแสดงออกเป็น ๒ ส่วน คือ ภายในอาคารพิพิธภัณฑ์ และภายนอกอาคารพิพิธภัณฑ์ ส่วนภายในพิพิธภัณฑ์ แบ่งออกเป็นหัวข้อ เวียงป่าเป้าสมัยประวัติศาสตร์, สภาพสังคมของเวียงป่าเป้าเมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมา, การเปลี่ยนแปลงและเวียงป่าเป้าในปัจจุบัน ส่วนภายนอกพิพิธภัณฑ์ ซึ่งนับว่าเป็นจุดเด่นของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นแห่งนี้ เพราะสภาพแวดล้อมสงบ ร่มรื่น ที่วัดและชาวบ้านเก็บรักษาไว้ได้อย่างเยี่ยมยอดแวดล้อมไปด้วยพื้นที่ป่าไม้กว่า ๔๓ ไร่รอบวัด ทั้งที่ตั้งอยู่ในเมืองวิหารแม้จะเป็นหลังใหม่แต่ก็ไม่ทำร้ายสายตา พระธาตุเจดีย์ศิลปะแบบพม่าซุกซ่อนอารมณ์ขันไว้ตามตุ๊กตาประดับมุขต่าง ๆ หอพระไตรปิฎกที่สวยงาม ร่มไม่ เงาไม้ที่นำความรู้สึกดี ๆ ให้กับทุกคน สิ่งเหล่านี้สามารถบอกเรื่องราวและเป็นเนื้อหาส่วนหนึ่งของการจัดแสดงได้เป็นอย่างดี ดังนั้นลานวัดด้านหน้าสามารถจัดเป็นลานสัมมนา สำหรับองค์กรทางการศึกษาภายในท้องถิ่นหรือภายนอก เป็นศูนย์กลางการศึกษาภายใต้ธรรมชาติแวดล้อมที่ร่มรื่นงดงาม อีกด้านหนึ่งของวัดอาจจัดให้เป็น ลานธรรม เพื่อการศึกษาปฏิบัติธรรมของผู้คน ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้น จัดให้เป็นสวนสมุนไพร รวบรวมสมุนไพรพื้นบ้านและพันธุ์ไม้หายากในท้องถิ่นเพื่อประโยชน์แก่บุคคลทั่วไป ในอนาคตพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่เวียงป่าเป้า จะเป็นตัวอย่างของพิพิธภัณฑ์เล็ก ๆ แต่ยิ่งใหญ่ด้วยสภาพแวดล้อมธรรมชาติที่ร่มรื่น เป็นศูนย์กลางการศึกษาภายในท้องถิ่น ให้ผู้คนตระหนักในความสำคัญของสมดุลตามธรรมชาติ ที่มนุษย์ต้องปรับตัวเข้าหา เชิญชวนให้เข้ามาท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์หรือ ECOTOURISM ได้อย่างดี … เป็นความหวังที่ไม่น่าเกินจริง อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น [local museum] และการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน [sustainable tourism]
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ส.ค. 2539 พ.พ.ท้องถิ่นวัดศรีสุทธาวาส ข้าพเจ้ามีความเห็นว่าประโยชน์ที่ได้จากการศึกษาวิจัยในเรื่องประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่นนี้มีอย่างมหาศาล แต่จะกล่าวถึงเฉพาะสิ่งที่เป็นรูปธรรมเท่านั้น นั่นก็คือการนำไปใช้เป็นประโยชน์ในการสร้างพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นและพิพิธภัณฑ์เมือง (local museum) กับการสนับสนุนการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน (sustainable tourism) อันเป็นสิ่งที่สังคมไทยขาดแคลนอยู่มากในขณะนี้ ที่ว่าเป็นประโยชน์กับการจัดและสร้างพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ก็เพราะว่าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมายในขณะนี้ คือพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงศิลปวัตถุเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งเป็นการสื่อให้เห็นแต่เพียงรูปแบบทางศิลปกรรมและอายุตามยุคสมัยที่เพียงแสดงความเก่าแก่และความรุ่งเรืองของบ้านเมืองเป็นสำคัญ เป็นการเสนอเนื้อหาทางวัฒนธรรมที่หยุดนิ่งและเป็นตอน ๆ ไป มากกว่าการที่จะให้แลเห็นคนในพื้นที่และพัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีการเคลื่อนไหวอย่างสืบเนื่องและมีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หรืออาจกล่าวอีกอย่างหนึ่งได้ว่า การจัดแสดงของบรรดาพิพิธภัณฑ์ของรัฐที่มีอยู่นั้น แม้ว่าจะมีการนำเอาเทคนิคและวิธีการจัดแสดงที่ทันสมัยเข้ามาทำกันอยู่ก็ตาม แต่แนวคิดยังคงเป็นแบบเดิม ที่มุ่งให้คนเชื่อและหลงใหลในความรุ่งเรืองและเก่าแก่ของชาติเป็นสำคัญเป็นสิ่งที่ล้าหลังเพราะในยุคสมัยของโลกาภิวัตน์เช่นในปัจจุบันนี้อาจเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดมอมเมาตนเองได้ ข้าพเจ้าคิดว่าค่านิยมทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งในเรื่องที่อะไรก็จะเป็นที่สุดของโลก ที่แพร่สะพัดอยู่ในขณะนี้ก็มีที่มาจากการมอมเมาตนเองในลักษณะนี้ ในขณะที่แนวคิดในเรื่องพิพิธภัณฑ์ในโลกปัจจุบันสำหรับประเทศที่พัฒนาแล้วนั้นมุ่งที่จะให้คนในชาติได้รู้จักตนเองเป็นสำคัญและในขณะเดียวกันก็เป็นสถาบันการศึกษาที่คนจากภายนอกได้เข้ามาเรียนรู้เพื่อความเข้าใจทางวัฒนธรรมที่จะมีผลไปถึงการอยู่ร่วมกันอย่างราบรื่นในโลกเดียวกัน ที่ว่าให้คนในชาติรู้จักตัวเองก็เพราะพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นคือสถานที่แสดงของที่ทำให้คนในท้องถิ่นรู้จักถิ่นตนเองว่าอยู่ที่ไหนมีสภาพแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติเป็นอย่างใด มีหลักฐานความเก่าแก่ในการตั้งถิ่นฐานและการปรับตัวเองเข้ากับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติมาอย่างใด และในการปรับตัวดังกล่าวทำให้ต้องพัฒนาเทคโนโลยีอย่างใดขึ้นมาควบคุม เรื่อยลงมาถึงพัฒนาการทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจในท้องถิ่นที่จะทำให้แลเห็นการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในปัจจุบันและอนาคตได้ การจัดพิพิธภัณฑ์ที่ทำให้คนได้เห็นจากสิ่งที่เป็นจริงใกล้ตัวดังกล่าวนี้ คือระบบการศึกษาที่ทำให้คนได้เห็นและได้คิด ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญที่นำไปสู่การมีสติปัญญาและการมีความรู้ที่จะนำไปสู่การสร้างสรรค์นานาประการ อาจกล่าวได้ว่าเป็นการศึกษานอกระบบ ที่อาจสร้างดุลยภาพกับการศึกษาในระบบที่เน้นการเรียนรู้สิ่งไกลตัว การเชื่อและท่องจำแบบคิดไม่เป็นที่มีอยู่ในขณะนี้ พ.พ.ท้องถิ่นวัดจันเสน พิพิธภัณฑ์นั้นแลเห็นได้ข้อมูลและหลักฐานที่นำมาแสดงประกอบด้วยหลักฐานทางโบราณคดี (archaeological past) ที่เป็นมาของประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรม (cultural history) และหลักฐานทางชาติพันธุ์ (ethnographical present) ซึ่งได้จากวัตถุสิ่งของและคำบอกเล่าของคนในท้องถิ่น เป็นที่มาของประวัติศาสตร์ทางสังคม อีกทั้งเป็นสิ่งที่ถูกละเลยมากในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในขณะนี้ แม้ว่าบางแห่งจะพยายามนำมาเกี่ยวข้องด้วย ก็ยังขาดในเรื่องบริบทและการศึกษาวิจัยที่ถูกต้อง ส่วนเรื่องการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน (sustainable tourism) นั้นเป็นสิ่งภายนอกที่จะมาเชื่อมโยงกับการจัดพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ความมุ่งหมายก็เพื่อที่จะให้คนจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศหรือคนภายในประเทศเอง ได้รู้จักและเรียนรู้สังคมและวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างมีเหตุผลและถูกต้อง เพราะฉะนั้นหลักฐานและข้อมูลที่ได้จากการศึกษาวิจัยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่นนั้นจะเป็นสิ่งที่นำไปใช้เป็นเนื้อหาสาระในการให้ความรู้และความคิดแก่นักท่องเที่ยว หัวใจของการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนอันเกิดมาจากการเคลื่อนไหวทั่วโลกในขณะนี้ก็คือ เพื่อการศึกษาทางวัฒนธรรมที่จะสร้างความเข้าใจอันดีในการที่มนุษย์จะอยู่ในโลกเดียวกัน อย่างมีความเคารพต่อกัน เป็นเรื่องที่มุ่งเน้นไปในทางศีลธรรมด้วย การท่องเที่ยวแบบนี้เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับแนวคิดการท่องเที่ยวแต่ก่อนที่ยังคงดำรงอยู่ ซึ่งเน้นเพื่อให้เป็นรายได้ทางเศรษฐกิจแก่บ้านเมืองและกลุ่มบุคคลที่จัดการ จึงเป็นการให้ความเพลิดเพลินและการหย่อนใจแก่ผู้ที่เป็นนักท่องเที่ยวเป็นสำคัญ และในส่วนนักท่องเที่ยวเองก็เกิดนิสัยที่ไม่มีความรับผิดชอบขึ้น เพราะเข้ามาอยู่ในถิ่นฐานที่ไม่ใช่บ้านเมืองของตน พร้อมที่จะใช้เงินทองซื้อหาในสิ่งที่ตนอยากได้และต้องการ การเสนอสนองแบบนี้นำไปสู่การท่องเที่ยวและการจัดการเพื่อการท่องเที่ยวแบบทำลาย ผลที่ตามมาก็คือ สภาพแวดล้อมธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่นถูกทำลายซึ่งก็รวมไปถึงผู้คนด้วย เช่น ปัญหาโสเภณีและการระบาดของโรคเอดส์ที่เห็นในขณะนี้ เป็นต้น การท่องเที่ยวแบบยั่งยืนนี้เป็นการท่องเที่ยวที่ให้ความรู้ความเพลิดเพลินทั้งด้านศิลปวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ และมีความมุ่งหมายสำคัญที่จะอนุรักษ์สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและวัฒนธรรมเท่า ๆ กับการสร้างสำนึกให้คนจากภายนอกมีความเคารพต่อวัฒนธรรมท้องถิ่นและแสวงหาความร่วมมือกับคนท้องถิ่นและกระจายรายได้ไปสู่คนท้องถิ่น พ.พ.ท้องถิ่นวัดเกตาราม จ.เชียงใหม่ เมื่อเป็นเช่นนี้การท่องเที่ยวแบบยั่งยืนก็คือทางเลือกสำคัญอีกทางหนึ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ที่อาจจะดีกว่าและเหมาะสมกว่าการพัฒนาทางเกษตรอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรม ที่มีแต่การทำลายสภาพแวดล้อมและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติจนเกินความจำเป็น หลาย ๆ ประเทศเช่นในยุโรปตะวันออกมีรายได้จากการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ ทำให้ผู้คนมีรายได้ดีโดยไม่ต้องทำลายสภาพแวดล้อม ในขณะเดียวกันก็เปิดเผยให้เห็นความรุ่งเรืองในอดีตที่ยิ่งใหญ่ไม่น้อยหน้าอังกฤษและฝรั่งเศสเลย แต่การที่จะให้เกิดการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนที่ว่านี้ได้ในประเทศไทยนั้น ก็ต้องมีการปรับปรุงในหลาย ๆ ด้าน ที่ทำให้สงสัยในศักยภาพและความเข้าใจของ ททท. ว่าจะทำให้หรือไม่ แต่สิ่งที่ต้องปรับปรุงเหนืออื่นใดทั้งสิ้นในขณะนี้ก็คือ การพัฒนาและให้ความรู้ในเนื้อหาสาระทางโบราณคดีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างเป็นระบบและมีมาตรฐาน ที่แล้วมาเนื้อหาสาระในการอธิบายนำเที่ยวโบราณสถานและสถานที่ทางประวัติศาสตร์นั้น มักเน้นในเรื่องรูปแบบทางศิลปะและอายุเพื่อให้เห็นความเก่าแก่และความสวยงามเป็นสำคัญ หาได้ให้ความหมายทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและสังคมไม่ อีกทั้งอะไรต่ออะไรก็มองที่ศูนย์กลางเป็นใหญ่ หาได้ให้ความสนใจต่อคนและท้องถิ่นไม่ เพราะฉะนั้นผลการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นและวัฒนธรรมพื้นบ้านที่จะทำขึ้นตามโครงการนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะนำไปให้การศึกษาอบรมมัคคุเทศก์ให้มีคุณภาพดีขึ้น อีกทั้งยังอาจสนับสนุนให้คนในท้องถิ่นมีความรู้ความเข้าใจที่จะให้กับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนได้ ภายในพ.พ.ท้องถิ่นยี่สาร อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- พิพิธภัณฑ์กับการศึกษานอกระบบ
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ย. 2530 เท่าที่สังเกตมาจนขณะนี้ เห็นได้ว่าการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของชาตินั้น มีการดำเนินการอย่างกว้างขวางทั้งในองค์การทางรัฐบาลและเอกชน อันอาจกล่าวได้ว่ามีทั้งเป้าหมายและนโยบาย ซึ่งฟังดูเป็นคำพูดที่สวยหรูและทันสมัย แต่เมื่อพิจารณาให้ดีแล้วทั้งจากการดำเนินการ การกระทำและคำพูด เห็นชัดได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ได้มาจากความเข้าใจอย่างถ่องแท้มากกว่า น้อยรายทีเดียวที่บรรดาผู้บริหารที่เป็นผู้ใหญ่ในระดับเจ้าสังกัดจะเข้าใจถึงความหมายและคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรม สิ่งที่มักทำให้เกิดมีการดำเนินงานอยู่ในขณะนี้ พอวิเคราะห์ให้เห็นได้ว่ามาจาก (๑) การดำเนินงานตามแบบอย่างที่เคยมีมาแต่ก่อน ๆ โดยถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องและยอมรับกันดีแล้ว ถ้าหากทำแบบนี้แล้วมักจะไม่มีใครมาตำหนิติเตียน (๒) ดำเนินการในลักษณะเพื่อให้เกิดผลประโยชน์แก่ตนเอง (๓) การดำเนินงานที่มาจากความคิดริเริ่มของลูกน้องที่ชอบพยายามทำตนให้เห็นว่าเด่นกว่าคนอื่น ๆ เรื่องนี้มีอยู่ทุกองค์การเพราะเกิดช่องว่างบางอย่างในสังคมไทย ที่ทำให้คนที่มีความรู้ความสามารถและความเข้าใจไม่ชอบพูดหรือแสดงอะไรออกมา ปล่อยให้ผู้ที่มีความคิดตื้นเขินแสดงออกให้เป็นที่ประทับใจแก่ผู้บังคับบัญชาได้ เพราะฉะนั้นในที่ประชุมจึงมักไม่มีการขัดแย้งในการแสดงความคิดเห็น รวมทั้งเมื่อผู้บังคับบัญชาไม่มีความรู้ความเข้าใจด้วยแล้ว ก็เป็นการสมยอมให้เกิดการดำเนินงานที่ไม่เหมาะสมขึ้นในที่สุด ในที่นี้โดยที่มีเนื้อที่จำกัด จึงใคร่จะขอพูดแต่เพียงตัวอย่างในประเด็นแรกที่ว่าการดำเนินการเป็นไปแบบเดิม ๆ ที่เห็นว่าดีแล้ว อันได้แก่เรื่องการจัดพิพิธภัณฑ์ในเมืองไทย ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นการจัดแบบเอาศิลปวัตถุ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเอาศิลปกรรมเป็นตัวกำหนดอายุ เวลา และความหมายสำคัญในการแสดง เช่นแบ่งเป็นศิลปะสมัยทวารวดี ลพบุรี ศรีวิชัย เชียงแสน สุโขทัย อยุธยาและกรุงเทพฯ ตามลำดับ แล้วพูดถึงเรื่องราวของสมัยนั้น ๆ อย่างรวม ๆ พิพิธภัณฑสถานทุกแห่งทุกภาคเหมือนกันหมด แต่ก่อนทำอย่างใดปัจจุบันก็ยังทำอย่างนั้นถึงแม้ว่าบางจังหวัดบางภาคจะมีลูกเล่นบ้าง เช่นจัดห้องให้สวย สะอาดและเป็นระเบียบมีการนำเอาศิลปวัตถุพื้นบ้านมาประดับประดาให้แปลกตาบ้าง แต่ก็ยังอยู่ในกรอบของการใช้ศิลปวัตถุหรือศิลปกรรมมากำหนดความหมายของสิ่งที่นำมาตั้งแสดงอยู่นั้นเอง การจัดแสดงสิ่งของในพิพิธภัณฑ์ที่ใช้ศิลปกรรมเป็นตัวกำหนดความหมายนี้ เป็นการจำกัดการให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องความสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรมเป็นอย่างมากขณะเดียวกันก็อาจทำให้เกิดความหลงใหลเข้าใจผิด จนคิดว่าบ้านเมืองของตนเองดีเด่นและยิ่งใหญ่กว่าที่อื่น ๆ ได้ ทั้งนี้เพราะบรรดาโบราณวัตถุที่นำมาแสดงนั้น ส่วนใหญ่คือศิลปวัตถุที่มาจากศาสนสถานเกือบทั้งนั้น เช่น พระพุทธรูป เทวรูป ลวดลายเครื่องประดับ พระสถูปเจดีย์ ปราสาท หรือโบสถ์ วิหารตามวัดวาโบราณ จนกล่าวได้ว่าไปที่ไหนก็แลเห็นแต่พระพุทธรูป เทวรูปก็ว่าได้ เมื่อเป็นเช่นนี้เนื้อหาของความรู้ในการมาชมพิพิธภัณฑสถานจึงมีขอบเขตอยู่เพียงแต่เรื่องราวทางศาสนาเป็นสำคัญ หาครอบคลุมไปยังความรู้ความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ ของสังคมท้องถิ่นและภูมิภาคไม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ การปกครอง การศึกษา ตลอดจนความเป็นมาทางสังคม-วัฒนธรรม พิพิธภัณฑ์ไหน ๆ ก็ตาม จึงดูเหมือนกันหมด ไม่เห็นลักษณะเฉพาะของท้องถิ่นและของภูมิภาคในมิติที่กว้างขวางแต่อย่างใด ถ้าจะมองให้กว้างไปกว่านี้บ้าง การจัดโบราณวัตถุตั้งแสดงในพิพิธภัณฑ์ทุกแห่งของทางราชการ เป็นการนำเอา ศิลปวัตถุ และสิ่งของที่เป็นของประเพณีหลวงมาเสนอ ไม่มีการให้ความสำคัญแก่วัตถุสิ่งของที่เป็นของท้องถิ่นที่เรียกว่าของในประเพณีราษฎร์เท่าที่ควร ที่เป็นเช่นนี้คงมีที่มาจากความมุ่งหมายของผู้บริหารบ้านเมืองแต่เดิมอย่างน้อย ๒ ประเด็นด้วยกัน ประเด็นแรกเกิดจากความรู้ความเข้าใจในเรื่องประวัติศาสตร์ของชาติบ้านเมือง ที่อยู่ในกรอบของพระราชพงศาวดารการแสดงศิลปวัตถุหรือมีความมุ่งหมายเพียงที่จะแสดงความรุ่งโรจน์ในอดีต อย่างที่สองคงมีเจตนาที่แน่วแน่เพื่อการบูรณาการทางวัฒนธรรม นั่นก็คือการพยายามทำให้ทุกคนมีความรู้ความเข้าใจว่าทุกหนแห่งในเมืองไทยมีวัฒนธรรมเหมือนกันหมด ความมุ่งหมายดังกล่าวนี้ถ้ามองในปัจจุบัน ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีก็คือพิพิธภัณฑ์เป็นเครื่องมือที่ดีในการสร้างบูรณาการทางวัฒนธรรมและการเมืองให้แก่รัฐ ส่วนข้อเสียก็คือ หน้าที่และความหมายของพิพิธภัณฑสถานจำกัดแคบอยู่เพียงเท่านี้หรือ การที่เน้นความสำคัญเฉพาะเรื่องนี้เพียงอย่างเดียว อาจกลับกลายเป็นการสร้างความงมงาย หลงตนเองแก่ประชาชนโดยเฉพาะเยาวชนได้ง่าย ซึ่งจะไม่เป็นผลดีแก่สังคมในที่สุด อันที่จริงความมุ่งหมายของการจัดพิพิธภัณฑ์นั้นก็เพื่อการศึกษาของสังคมอันเป็นคำจำกัดความที่สั้น แต่ขาดความเข้าใจอย่างแท้จริง เพราะถ้าเข้าใจ คงจะไม่เป็นเช่นนี้ การจัดพิพิธภัณฑ์จึงได้แต่เน้นในเรื่องความเหมาะสมของเนื้อที่บ้าง แสงสว่างบ้าง การเลือกของก็ล้วนแต่มุ่งสิ่งที่สวยงามเป็นศิลปวัตถุเป็นสำคัญ เลยทำการสับเปลี่ยนโยกย้ายสิ่งของที่มีความหมายแต่เดิมให้เคลื่อนที่ไป เพราะฉะนั้นเวลาเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์แต่ละแห่งแล้ว สิ่งที่ได้รับได้เห็นก็คือดูสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้น ซึ่งก็เท่านั้นเอง คือเป็นแค่เพียงการแสดงศิลปวัตถุเช่นเดิม ไม่มีอะไรผิดแผกไปกว่าเมื่อ ๗๐ ปีหรือ ๑๐๐ ปี ที่ผ่านมา ในเรื่องเนื้อหาและขอบข่ายของความรู้ พิพิธภัณฑสถานมีความหมายและความสำคัญโดยตรงต่อการศึกษานอกระบบ หรือนอกหลักสูตรของสังคม ถ้าจะกล่าวอย่างตรง ๆ ก็คือ เป็นแหล่งที่อบรมความรู้ความเข้าใจในเรื่องประวัติศาสตร์และมรดกทางวัฒนธรรมของชาติให้แก่คนในสังคมประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งก็คือการแสดงให้คนภายนอกที่เป็นต่างชาติได้รู้ถึงความเป็นมาในทางวัฒนธรรมของบ้านเมืองและท้องถิ่นว่าเป็นอย่างไร ในประการแรกนั้นคือการช่วยให้คนในสังคมแต่ละท้องถิ่นแต่ละภูมิภาครู้จักตนเอง ส่วนในประการที่สองก็คือให้คนภายนอกได้รู้และเข้าใจบ้านเมืองและท้องถิ่นต่าง ๆ ภายในประเทศอย่างถูกต้อง จึงนับว่ามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง สมควรที่ทางรัฐบาลและองค์การเอกชนที่เกี่ยวข้องจะได้ให้การสนับสนุนปรับปรุงให้มีขอบข่ายการดำเนินการ และการให้ความหมายในการจัดแสดงสิ่งที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอย่างถูกต้อง สิ่งที่น่าวิตกในปีแห่งการท่องเที่ยวนี้ก็คือ ดูเหมือนว่าทางรัฐบาลจะให้ความสนใจแต่เพียงว่า การปรับปรุงพิพิธภัณฑสถานทุกแห่งของชาตินั้น ควรมุ่งเพื่อการล่อตาล่อใจนักท่องเที่ยวให้มาชมเพื่อจะได้มีเงินเข้าประเทศมาก ๆ เท่านั้น เพราะเท่าที่เห็นแก่ตาในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินงานของสิ่งที่เรียกว่าอุทยานประวัติศาสตร์ก็ดี การจัดแสดงในรูปแบบนิทรรศการเป็นคราว ๆ ของพิพิธภัณฑ์ของรัฐในที่ต่าง ๆ ก็ดี ล้วนมีลักษณะเพื่อหาเงินหารายได้ทั้งสิ้น เพียงแต่เริ่มเข้าไปในเขตพิพิธภัณฑ์หรือบริเวณโบราณสถาน ก็ต้องเสียสตางค์กันแล้ว เก็บเล็กเก็บน้อยเก็บทุกหนทุกแห่งจนทำให้ผู้คนและเยาวชนที่สนใจแต่ไม่มีเงินต้องมองแต่เพียงแค่ผ่าน ๆ ไปจากภายนอกเท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าหากจะให้มีพิพิธภัณฑ์ขึ้นเพื่อเป็นการศึกษาแล้ว ก็ควรคำนึงถึงว่าการบรรลุเป้าหมายนั้น ไม่ได้อยู่ที่การมีรายได้เป็นเงินเป็นทอง หากเป็นการเสียเงินของรัฐซึ่งเป็นภาษีอากรที่เก็บมาจากราษฎร เพื่อการศึกษาของเยาวชนที่เป็นลูกหลานของผู้เสียภาษีนับเป็นกิจกรรในด้านบริการเพื่อประโยชน์ของสังคมในส่วนรวมมากกว่าประเทศที่ยังยากจนเช่นเมืองไทยเรา การให้การศึกษาแก่เยาวชนที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ทั้งในระบบและนอกระบบนั้น มีความสำคัญยิ่งในการสร้างประชาชนที่มีคุณภาพ แน่นอนการที่มีประชาชนที่มี่คุณภาพ แน่นอนการที่มีประชาชนมีคุณภาพนั้นย่อมเป็นผลดีแก่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่เรายึดมั่นว่าเป็นระบอบการปกครองที่ถูกต้อง เท่าที่เห็นอยู่ขณะนี้ ยังไม่มีพิพิธภัณฑ์ของรัฐที่ไหนเลยที่ให้ความรู้รอบตัวทางประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมแก่ผู้มาชมสถานที่ซึ่งเรียกว่าพิพิธภัณฑ์ในขณะนี้เป็นเพียงแหล่งที่รวบรวมโบราณวัตถุศิลปวัตถุเก่าแก่มาตั้งแสดงเท่านั้น มีลักษณะเป็นการให้ความรู้ที่ไม่ประติดประต่อ เน้นอดีตที่ห่างไกลที่คนไม่รู้จักแล้วไม่สามารถนำมาเชื่อมต่อให้เข้าใจความเป็นไปทางสังคมและวัฒนธรรมในปัจจุบันได้ เนื้อหาและสาระสำคัญที่ควรมีในพิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษาก็คือ (๑) ความรู้ทางสหภาพแวดล้อมธรรมชาติของท้องถิ่นหรือภูมิภาค ซึ่งเป็นเรื่องทางธรรมชาติวิทยา (๒) ความรู้ทางหลักฐานทางโบราณคดี ประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นหรือภูมิภาค ซึ่งอาจแบ่งแยกให้เห็นการเปลี่ยนแปลงแต่ละขั้นตอนและสมัยเวลา (๓) ความรู้ทางชาติพันธุ์วรรณาของท้องถิ่น หรือภูมิภาคเพื่อให้ทราบถึงกลุ่มชนที่สืบอยู่ในปัจจุบันว่ามีความเป็นมาและความเป็นไปอย่างใด (๔) ความรู้ทางสังคมเศรษฐกิจการเมืองและวัฒนธรรมระหว่างท้องถิ่นหรือภูมิภาคที่พิพิธภัณฑ์นั้นตั้งอยู่กับบรรดาท้องถิ่นอื่นหรือภูมิภาคอื่น ๆ ที่อยู่ในประเทศเดียวกัน ทั้งนี้อาจรวมไปถึงความสัมพันธ์กับต่างประเทศที่เกี่ยวข้องด้วย ในขณะเดียวกันก็ควรมีการจัดแสดงสิ่งที่เห็นว่าเป็นลักษณะพิเศษทางเศรษฐกิจการเมือง สังคมหรือวัฒนธรรม อย่างใดอย่างหนึ่งของท้องถิ่นหรือภูมิภาค เพื่อแสดงเอกลักษณ์ที่มีความแตกต่างจากบรรดาท้องถิ่นอื่น ๆ หรือภูมิภาค อื่น ๆ ด้วย อย่างเช่นพิพิธภัณฑ์ที่จังหวัดสุรินทร์ (ถ้าหากจะมีขึ้น) ก็ควรคำนึงถึงการแสดงให้เห็นถึงอาชีพการจับช้างและประเพณีเกี่ยวกับการจับช้างของกลุ่มชนชาวส่วยที่เป็นประชาชนกลุ่มหนึ่งที่สำคัญของจังหวัดด้วย เป็นต้น อนึ่งในท้องที่บางแห่งที่มีโบราณสถานหรือเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญก็น่าที่จะมีพิพิธภัณฑ์ที่เนื่องด้วยสถานที่นั้นเกิดขึ้น เพื่อแสดงหลักฐานความเป็นมาของสถานที่นั้นโดยเฉพาะ เช่นที่ใดเคยเป็นเมืองโบราณ หรือวัดเก่าแก่ ศาสนสถานเก่าแก่ที่สำคัญ ก็ควรจัดให้มีอาคารพิพิธภัณฑ์ขึ้นอาจจะอยู่ในความดูแลของวัดหรือโรงเรียนประจำท้องถิ่นก็ได้ แล้วนำเอาโบราณวัตถุหรือสิ่งของที่มีค่าทางวัฒนธรรมของศาสนสถานหรือของประชาชนในท้องถิ่นนั้นมาจัดแสดง ของเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นศิลปวัตถุที่มีราคาค่างวด จนเป็นที่ต้องตาต้องใจของพวกนักเล่นของเก่าหรือโจรผู้ร้ายก็ได้ เพียงแต่สิ่งของที่แตก ๆ หัก ๆ แต่ว่ามีความหมายก็เพียงพอแต่ถ้าหากจำเป็นต้องแสดงสิ่งที่มีค่า ก็อาจจะทำได้โดยการถ่ายภาพจากของจริงมาแสดงก็ได้การให้ความหมายและความรู้ที่เกี่ยวกับสิ่งของที่แสดงนั้นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะนอกจากจะทำให้คนภายนอกที่เข้ามาชมหรือผ่านมารู้และเข้าใจความเป็นมาทางวัฒนธรรม สังคมและประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นแล้ว ยังเป็นการกระตุ้นให้คนในท้องถิ่นเกิดความสนใจความรักและภูมิใจในท้องถิ่นที่เป็นมาตุภูมิของตนด้วย ในที่สุดก็จะเป็นกำลังสำคัญในการหวงแหนและรักษาสิ่งที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของตน การจัดให้มีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นขึ้นนั้นดูเหมือนจะมีความหมายว่าการบูรณะและพัฒนาเมืองโบราณหรือแหล่งโบราณคดีให้เป็นอุทยานประวัติศาสตร์หลายเท่า เพราะการพัฒนาสถานที่ซึ่งเรียกว่าอุทยานประวัติศาสตร์นั้นคือการทำลายที่สิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินอันมาจากภาษีของราษฎรอย่างมหันต์ ถ้าหากว่าจะทำเพียงแค่อนุรักษ์โบราณสถานหรือเมืองประวัติศาสตร์ให้คงสภาพอย่างที่เห็นอยู่ โดยไม่ให้หักพังหรือเสื่อมโทรมไปกว่าที่แลเห็นอยู่แล้วจัดให้มีพิพิธภัณฑ์แสดงความเป็นมาและสิ่งที่ควรจะเป็นโดยการทำหุ่นจำลองให้เห็นว่า อดีตที่เคยสมบูรณ์นั้นเป็นอย่างไร ก็คงจะดีกว่าที่เข้าไปบุกรุกต่อเติมเมืองโบราณหรือโบราณสถานให้ดูใหม่ ๆ เป็นสวนสนุก อย่างที่ทำกันในอุทยานประวัติศาสตร์ดอกหรือ อ่านเพิ่มเติมได้ที่: ศรีศักร วัลลิโภดม : บทบรรณาธิการวารสารเมืองโบราณ ปีที่ ๑๓ ฉบับที่ ๓ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๓๐)
- เล็ก วิริยะพันธุ์ กับการขุดค้นทางปัญญา
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ธ.ค. 2546 คุณเล็กพบและพูดคุยกับคณะที่มาเยี่ยมชมเมืองโบราณ วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ ที่จะเวียนมาถึงในไม่ช้านี้ นับเนื่องเป็นวันที่คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ จากไปครบรอบเป็นปีที่สาม ผู้ที่เป็นลูกหลานและเจ้าหน้าที่ในมูลนิธิฯ จึงคิดที่จะทำอะไรสักอย่างหนึ่งที่เป็นประโยชน์กับสังคมนอกเหนือไปจากการทำบุญทำกุศลอุทิศให้กับท่าน ก็เลยมาทบทวนกันระหว่างผู้ใกล้ชิดว่า คุณเล็กชอบอะไรและปรารถนาอะไรในชีวิต ทำให้นึกได้ว่า ตลอดเวลากว่าสามสิบปีที่ได้ใกล้ชิดกับท่าน มักจะพูดให้ได้ยินบ่อย ๆ ว่า ท่านชอบทำอะไรที่เป็นกิจกรรมทางปัญญาที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์และโลก เรื่องเงินและอำนาจนั้นหาได้ไม่ยากถ้าใช้สติปัญญา แต่นั่นไม่ใช่จุดหมายปลายทางของชีวิต คุณเล็กประสบความสำเร็จในเรื่องเงินและอำนาจจนถึงขั้นเป็นมหาเศรษฐีคนหนึ่งของประเทศ แต่ท่านหยุดตัวเองกับการแสวงหาในเรื่องดังกล่าวนี้ หันมาใช้ชีวิตความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย เพื่อสร้างกิจกรรมทางปัญญาที่ท่านปรารถนาอย่างต่อเนื่องมาเกือบสี่สิบปีจนสิ้นอายุขัย คุณเล็กเป็นคนชอบอดีต และเห็นว่าในอดีตนั้นก็มีสิ่งที่ดีงามที่ทำให้กับสังคมมนุษย์ การที่เกิดความชอบเช่นนี้เพราะชอบอ่านและศึกษาหาความรู้ทางศาสนาและปรัชญาเป็นประจำ คุณเล็กมีความรู้แตกฉานทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษ ทำให้รู้อะไรที่ทันโลก เลยส่งผลให้เกิดความรักและสนใจในโบราณวัตถุที่เป็นหลักฐานทางศิลปวัฒนธรรม จึงกลายเป็นนักเล่นและสะสมของเก่าที่มีศิลปะวัตถุที่มีราคาและหายากมากมาย แต่คุณเล็กไม่ได้ชื่นชมโบราณวัตถุเหล่านั้นในลักษณะที่เป็นรูปแบบที่มีความเก่าแก่สวยงามและราคาแพงอย่างบรรดานักสะสมของเก่าทั้งหลาย หากให้ความสำคัญในเรื่องความหมาย ความสำคัญของโบราณวัตถุอย่างนักโบราณคดีสมัครเล่น ความสนใจในเรื่องอดีตจึงเพิ่มพูนขึ้น ถึงขนาดจะสร้างอดีตมาให้คนได้เรียนรู้กัน เพราะช่วงเวลาที่คุณเล็กคิดเรื่องนี้ขึ้นมานั้น เป็นสมัยยุค จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ทั้งรัฐและสังคมเห็นอะไรคิดอะไรแต่ปัจจุบันและอนาคตและเรื่องวัตถุเป็นใหญ่ อย่างเช่น "งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข" เป็นต้น ความคิดการสร้างเมืองโบราณจึงเกิดขึ้นในเวลานี้ (ขวา) คุณเล็กและคุณประไพ บนเรือข้ามโขงไปวัดภู (ซ้าย) คุณเล็กและอาจารย์มานิต วัลลิโภดม ขณะข้ามโขงไปวัดภู ในชั้นแรกก็คิดทำเป็นเรื่องเล็ก ๆ ให้คนมาเที่ยวชมแบบเพลิดเพลินไปพลาง ๆ ก่อน แต่เมื่อคุณเล็กได้พบปะแลกเปลี่ยนความรู้และเรียนรู้กับบรรดานักวิชาการทั้งด้านศิลปวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ และสังคมศาสตร์แล้ว ความคิดก็เปลี่ยนไป กลายมาเป็นผู้ทั้งคิดทั้งออกแบบและสร้างอย่างเต็มตัว เพราะเป็นเรื่องที่ชอบและเป็นเรื่องการใช้ปัญญาทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเป็นประโยชน์เฉพาะแต่ตนเองและครอบครัว คุณเล็กทุ่มทั้งกำลังกายใจ สติปัญญา และทุนทรัพย์ในเรื่องนี้ หยุดกิจกรรมทางธุรกิจและความสัมพันธ์ทางสังคมที่เคยมีกับเพื่อนฝูงมิตรสหายและบุคคลต่าง ๆ ที่จะต้องเกี่ยวข้องทั่วไป หันมาทำงานอยู่อย่างเดียว ก็คือ สร้างเมืองโบราณ ซึ่งก็ไม่ใช่เป็นการสร้างให้แล้วเสร็จในเวลาที่กำหนดอย่างมีการวางแผนตามขั้นตอนต่าง ๆ อย่างการก่อสร้างสถานที่สำคัญทั้งหลาย การสร้างเมืองโบราณของคุณเล็กคือ กระบวนการเรียนรู้ที่ไม่อาจกำหนดเป็นแผนงาน งบประมาณ และระยะเวลาที่แน่นอนและตายตัวได้ หากเป็นเรื่องที่มีความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ความสำคัญอยู่ที่การนำเอาสิ่งที่เรียนรู้จากอดีตมาสร้างเป็นความรู้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อที่จะสื่อให้คนในสังคมโดยเฉพาะเยาวชนได้เห็นความเชื่อมต่อระหว่าง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต อย่างที่มนุษย์ที่ดีควรเรียนรู้ สำรวจอาคารเก่าที่อุบลราชธานีกับอาจารย์มานิตและอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ช่วงก่อน พ.ศ. ๒๕๑๖ ไม่นานนัก การศึกษาค้นหาอดีตและสร้างอดีตของคุณเล็ก ก็เหมือนกับการทำงานของนักโบราณคดี คือต้องมีการขุดค้นหลักฐานข้อมูลในอดีตมาสร้างเป็นความรู้ให้คนรู้จักสังคมวัฒนธรรมของมนุษย์ ต่างกันแต่เพียงว่า การขุดค้นของคุณเล็กเป็นการขุดค้นทางปัญญาอย่างมีขั้นตอนของการเรียนรู้ คุณเล็กมักเริ่มต้นด้วยการอ่านหนังสือเพื่อหาสิ่งที่สนใจหรือไม่ก็เพื่อหาความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่สนใจ เมื่อเข้าใจได้ในระดับหนึ่งแล้วจึงจะไปพบปะและเรียนรู้จากคนที่มีความรู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ สำหรับเรื่องนี้ คุณเล็กให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพราะจะมีผู้ที่เรียกว่าผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญเป็นจำนวนมาก ถ้าไม่เลือกเฟ้นให้ดีก็อาจสร้างความสับสนให้ได้ง่าย ๆ คุณเล็กมักประเมินบุคคลที่ท่านยอมรับด้วยการพบปะแลกเปลี่ยนความรู้กัน จึงมักพูดให้ได้ยินบ่อยว่า ผู้รู้มีหลายประเภท ต้องประเมินให้ดี บางคนรู้มากแต่พูดน้อยหรือไม่พูด บางคนถ้าไม่รู้อะไรก็บอกว่าไม่รู้ แต่หลายคนที่พบเห็นมักเป็นประเภทรู้น้อยรู้มากซึ่งเป็นอันตราย เพราะเหตุที่รู้น้อยแต่บอกว่ารู้มากนั่นเอง แต่การพบปะกับผู้รู้ก็เป็นเพียงการได้ยินและได้ฟังเท่านั้น ยังไม่เพียงพอ ต้องไปพบเห็นด้วยประสบการณ์ จึงจะคิดได้และทำได้ โดยเหตุนี้ในเวลาที่จะสร้างอะไร ทำอะไรในเมืองโบราณนั้น คุณเล็กจะต้องออกไปดูให้เห็นด้วยตนเอง ทำให้ในระยะเวลาเกือบสิบห้าปีของการสร้างเมืองโบราณ คุณเล็กออกตระเวนไปทั่วทุกภูมิภาคและหลาย ๆ ท้องถิ่น อาจนับได้ว่าแลเห็นแผ่นดินไทยและผู้คน สังคม ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างลุ่มลึกทีเดียว คุณเล็กคิดเสมอว่า สิ่งที่ท่านนำมาสร้างหรือนำมาเก็บรักษาไว้ในเมืองโบราณนั้น จะต้องเป็นสิ่งที่มีความหมายที่เป็นประโยชน์ หาใช่นำมาแสดงแต่เพียงรูปแบบที่เป็นเสมือนภาพนิ่งไม่ อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ออกสำรวจชีวิตวัฒนธรรมท้องถิ่นกับคุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ก่อนที่จะเริ่มทำวารสารเมืองโบราณ เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่นำมาเก็บรักษาหรือที่นำมาสร้างแสดงในเมืองโบราณ ล้วนเป็นสิ่งที่มีความหมายและเรื่องราวที่เป็นความรู้ทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี และศิลปวัฒนธรรมทั้งสิ้น ล้วนเป็นสิ่งที่คุณเล็กได้ฟัง ได้เห็น ได้คิด ได้สัมผัส แล้วนำมาสร้างเป็นความรู้อย่างเป็นรูปธรรม คุณเล็กไม่เน้นความสำคัญในเรื่องรูปแบบของสิ่งที่ท่านสร้างขึ้น จึงมักถูกผู้ที่ยึดติดรูปแบบวิจารณ์อย่างเสีย ๆ หาย ๆ บ่อย ๆ ว่า สิ่งที่ท่านสร้างขึ้นในเมืองโบราณนั้น ไม่เหมือนรูปแบบของเดิมเลย ไม่มีคุณค่า ท่านไม่โต้แย้ง แต่มักบ่นให้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดฟังว่า การยึดติดรูปแบบว่าอะไรเป็นของจริงแท้นั้น เป็นความคิดที่โง่ เพราะสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นนั้น รูปแบบเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามกาลเวลา หามีอะไรหยุดนิ่งไม่ คนที่บอกว่ารูปแบบนี้เป็นของจริงนั้น แท้จริงก็ยกเอาสิ่งที่ดำรงอยู่ในช่วงเวลาหนึ่งมาอ้างเท่านั้น รวบรวมข้าวของเครื่องใช้เพื่อนำมาจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมพื้นบ้านในเมืองโบรา ณ ดังนั้นเวลาที่คุณเล็กจะสร้างอะไรขึ้นจึงพยายามสอบค้นหาเค้าโครงที่เคยมีมาแล้ว มาปรุงแต่ให้สื่อได้อย่างแลเห็นความหมายและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมที่สัมพันธ์กับสิ่งก่อสร้างเหล่านั้น จึงมีหลายอย่างที่สร้างแล้วรูปแบบและความหมายแตกต่างไปจากสิ่งที่คนเคยเห็นและเชื่อกันโดยทั่วไป การสำรวจท่องเที่ยวของคุณเล็กที่พิษณุโลก ยกตัวอย่างเช่น เรื่องบางระจัน อันเป็นเรื่องวีรกรรมของชาวบ้านในสมัยการเสียกรุงศรีอยุธยาให้กับพม่า เรื่องราวที่มีผู้รวบรวมเขียนเป็นตำนานขึ้นมามักยกย่องผู้ที่เป็นวีรบุรุษเพียง ๖-๗ คนเท่านั้น จึงเป็นสิ่งที่ทางราชการนำมาสร้างเป็นอนุสาวรีย์ที่จังหวัดสิงห์บุรี คุณเล็กไปดูสถานที่เกิดเรื่องบางระจันแล้วมีความคิดเห็นแตกต่างไปจากสิ่งที่สื่อจากอนุสาวรีย์ที่ทางราชการสร้าง ท่านให้ความสำคัญกับวิหารวัดโพธิ์เก้าต้นที่ยังเหลือซากอยู่ เลยนำมาสร้างไว้ที่เมืองโบราณ เพื่อให้เป็นอนุสรณ์สถานที่แท้จริงตามเรื่องราว แล้วสร้างสิ่งที่เป็นอนุสาวรีย์ขึ้นอธิบายควบคู่ไปกับรูปจำลองของวิหารโพธิ์เก้าต้น อนุสาวรีย์ชาวบ้านบางระจันที่ไม่เหมือนอนุสาวรีย์ของทางราชการ เพื่อแสดงว่าชาวบ้านบางระจันนั้น สู้รบจนตัวตายทั้งหมู่บ้าน ไม่ใช่เพียงกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่งเท่านั้น ความสำคัญของวิหารโพธิ์เก้าต้นอยู่ที่เป็นสถานที่พระอาจารย์ธรรมโชติประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและไสยศาสตร์ให้กับทั้งนักรบและชาวบ้านบางระจันในการสู้รบกับพม่า แต่ในขณะเดียวกัน ในการสู้รบนั้น ผู้คนทั้งชุมชนนับแต่พระสงฆ์องค์เจ้า คนแก่คนเฒ่า หญิงชายและลูกเด็กเล็กแดง ต่างรวมกันต่อสู้จนตัวตายสิ้นทุกคน นับเป็นวีรกรรมของคนทั้งชุมชนอย่างแท้จริง ตำนานที่เป็นชุมชนวีรกรรมเช่นนี้ อาจเรียกว่าเป็นสากลก็ได้ เพราะมักปรากฏในประวัติศาสตร์ของบ้านอื่นเมืองอื่นเหมือนกัน โดยเหตุนี้ อนุสาวรีย์บางระจันที่คุณเล็กสร้างขึ้นที่เมืองโบราณ จึงเป็นเรื่องวีรกรรมของการสู้รบจนตัวตายของทุกคนในชุมชน ซึ่งนับเป็นการเสนอเรื่องราวและให้ความหมายที่แตกต่างไปจากอนุสาวรีย์ของทางราชการ สถานที่ในเมืองโบราณอีกแห่งหนึ่งที่อาจยกมาอ้างในที่นี้ได้ก็คือ เขาพระสุเมรุ อันเป็นเรื่องความเชื่อทางจักรวาลทางพุทธศาสนาที่มีบรรยายและอธิบายไว้ในไตรภูมิกถา คุณเล็กใช้เวลาศึกษาทั้งจากหนังสือและเที่ยวตระเวนดูภาพไตรภูมิตามโบสถ์วิหารโบราณในที่ต่าง ๆ แล้วจับประเด็นที่สำคัญมากำหนดเป็นโครงสร้างเพื่อสื่อความหมาย นั่นก็คือ เขาพระสุเมรุต้องมีน้ำล้อมรอบคือนทีสีทันดร มีภูเขาที่น้ำไหลออกจากปากสัตว์ใหญ่ที่อยู่ประจำทิศต่าง ๆ รอบสระอโนดาต คือ สิงห์ ช้าง ม้า และวัว แสดงให้เห็นความสัมพันธ์กับทวีปต่าง ๆ ที่มนุษย์อยู่อาศัย เขาพระสุเมรุมาศที่ตั้งอยู่บนหลังปลาอานนท์ ซึ่งในเวลาสร้างนั้น คุณเล็กให้ความสำคัญกับปลาอานนท์มาก เพราะทั้งเรื่องและรูปแบบจะเป็นสิ่งที่กระตุ้นความสนใจของคนที่เข้ามาชมโดยเฉพาะเด็ก ๆ ได้เป็นอย่างดี เขาพระสุเมรุมาศที่ตั้งอยู่บนหลังปลาอานนท์ สร้างพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ไว้แทนพระอินทร์ เพื่อสอนและสื่อให้คนประพฤติในสิ่งที่มีคุณธรรม แต่ความสำคัญ จะอยู่ที่ปราสาทไพชยนต์ บนยอดเขาพระสุเมรุ ที่คติทางพระพุทธศาสนาเชื่อว่าเป็นที่ประทับของพระอินทร์ ผู้เป็นราชาแห่งเทพและผู้คอยดูแลทุกข์สุขของมนุษย์ แต่คุณเล็กไม่ทำรูปปั้นพระอินทร์ไว้แสดง หากสร้างพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ไว้แทน พระแท่นนี้คือทิพยอาสน์ที่อ่อนนุ่มหรือกระด้างแข็ง ที่ทำให้พระอินทร์ได้รู้ถึงทุกข์สุขของมนุษย์และสัตว์ในสากลโลก จะได้เสด็จลงมาช่วยเหลือ อย่างเช่น การที่พระอินทร์เสด็จลงมาช่วยพระสังข์ทองในเรื่องทางชาดกและวรรณคดี เป็นต้น การที่คุณเล็กไม่ปั้นรูปพระอินทร์ ก็เพราะสิ่งที่บ่งบอกไว้ในไตรภูมินั้น พระอินทร์คือตำแหน่งและสถานภาพของบุคคลที่บำเพ็ญคุณธรรมที่สะสมกันมาหลายภพหลายชาติในการช่วยเหลือมนุษย์และสัตว์ที่ผลัดเปลี่ยนกันมาบังเกิด จึงไม่ใช่เป็นเรื่องเฉพาะตัวของบุคคลใดที่จะดำรงอยู่อย่างตลอดกาลได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ บุคคลใดที่มีจิตเป็นกุศลและดำรงชีวิตอยู่ย่างมีคุณธรรมก็อาจจะไปบังเกิดเป็นพระอินทร์ได้เมื่อมีบารมีสะสมอย่างเพียงพอ ดังนั้นความหมายของการสร้างเขาพระสุเมรุที่คุณเล็กสร้างขึ้นนั้น จึงเป็นเรื่องเพื่อสอนและสื่อให้คนโดยเฉพาะเยาวชนรู้จักและประพฤติในสิ่งที่มีคุณธรรมนั่นเอง ยังมีอีกสถานที่อีกสองแห่งในเมืองโบราณที่อาจนำมากล่าวถึงในที่นี้ที่แสดงให้เห็นว่า คุณเล็กมุ่งที่จะอธิบายความหมายมากกว่ารูปแบบ ก็คือ ตลาดและพระบรมมหาราชวัง คุณเล็กสร้างตลาดบกและตลาดน้ำขึ้นที่เมืองโบราณนั้น ไม่ได้มุ่งหวังให้คนแลเห็นรูปแบบของการเป็นตลาด หากมุ่งหวังให้คนได้รู้จักความเป็นเมืองและสภาพความเป็นอยู่ของคนในสังคมเมืองมากกว่าสถานที่ขายของขายสินค้า ดังนั้นย่านตลาดของคุณเล็กจึงเป็นแหล่งที่มีผู้คนหลายอาชีพรวมทั้งหลายชาติพันธุ์เข้ามาตั้งที่อยู่อาศัยและประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างมีระเบียบแบบแผนในการดำรงชีวิตร่วมกัน จึงเป็นชุมชนที่มีความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างกัน มีพื้นที่ทางเศรษฐกิจ เช่น ตลาดขายของสดและของต่างๆ ในการดำรงชีวิต และมีพื้นที่ทางจิตวิญญาณและพิธีกรรม เช่น วัด ศาลเจ้า และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะสิ่งที่เรียกว่าตลาดน้ำนั้น แท้จริงก็คือชุมชนเมืองในที่ลุ่มแม่น้ำและลำคลองที่ใช้พื้นที่ในท้องน้ำลอยเรือค้าขายแลกเปลี่ยนสิ่งของที่จำเป็นทางเศรษฐกิจในการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันนั่นเอง มีหลายคนที่ยึดติดรูปแบบมักจะเปรย ๆ ออกมาว่า ไม่เห็นมีกิจกรรมลอยเรือขายของที่ตลาดน้ำเลย คุณเล็กก็จะอธิบายว่า กิจกรรมลอยเรือขายของนั้น ไปดูที่ไหนก็ได้ มีการนำเที่ยวนำชมอยู่ทั่วไป แต่ที่เมืองโบราณนั้น ท่านต้องการให้แลเห็นความเป็นชุมชนเมืองที่ตั้งอยู่ในน้ำและริมลำน้ำตามแบบเก่า ๆ ที่ปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว โดยเฉพาะการนำเรือนแพซึ่งแต่ก่อนก็คือ ร้านค้าและเรือนค้าที่เคยมีอยู่ตามลำแม่น้ำลำคลองมาแสดง รวมทั้งการสร้างศาสนสถาน เช่น ศาลเจ้า โรงเจ วัด มัสยิด และโบสถ์ฝรั่ง ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นเมืองในสังคมไทยนัน คนหลายชาติหลายภาษาและหลายศาสนา สามารถอยู่รวมกันได้อย่างสันติสุข และมีสำนึกร่วมกับการเป็นคนสยามหรือคนไทยด้วยกัน ส่วนในเรื่องของพระบรมมหาราชวังนั้น คุณเล็กเลือกสร้างสถานที่อันแสดงให้เห็นถึงสถาบันพระมหากษัตริย์และศูนย์กลางในการปกครองราชอาณาจักรของทั้งอยุธยาและกรุงเทพฯ ให้คนรู้จัก อันได้แก่ พระที่นั่งสรรเพชรมหาปราสาท และพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ทั้งสองแห่งนี้นอกจากจะมีความงดงามทางสถาปัตยกรรมและความเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองการปกครองที่อาจเชื่อมโยงกับเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ได้แล้ว ยังแสดงอัตลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมที่แตกต่างกันระหว่างอยุธยาและกรุงเทพฯ ด้วย นั่นคือ พระที่นั่งสรรเพชรมหาปราสาทเป็นพระที่นั่งแบบมุขยาวและมุขสั้นอยู่ด้วยกัน เป็นสิ่งที่ไม่มีพบในพระบรมมหาราชวังของกรุงเทพฯ ในขณะที่ทางกรุงเทพฯ ความสำคัญอยู่ที่พระที่นั่งจตุรมุข คือพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ความแตกต่างกันระหว่างพระบรมมหาราชวังทั้งสองแห่งนี้ อาจเป็นสิ่งยั่วยุให้คนที่เข้ามาชมตั้งข้อสังเกต ตั้งคำถาม และไปหาคำตอบจากเนื้อหาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ต่อไป พระที่นั่งสรรเพชญมหาปราสาท สัญลักษณ์ของกรุงศรีอยุธยา คุณเล็กอึดอัดและไม่ชอบกับการที่มีคนกล่าวว่า เมืองโบราณเป็นเมืองเนรมิตและจำลองของเก่า ๆ มาสร้าง เพราะคำว่าเนรมิตนั้น ค่อนข้างจะเป็นเรื่องที่ทำอะไรขึ้นมาจากความเพ้อเจ้อ หรือเพ้อฝันเป็นสำคัญ ส่วนคำว่าจำลองนั้นคือการติดยึดกับรูปแบบและเน้นความสำคัญอยู่ที่รูปแบบอย่างหยุดนิ่ง ใคร ๆ ก็ทำได้ โดยเฉพาะคนที่มีเงินโดยทั่วไป ทำนองตรงข้าม คุณเล็กจะทำอะไรหรือเลือกสร้างอะไรนั้น ต้องศึกษาต้องมีข้อมูลและค้นหาความหมายเสียก่อน เพื่อดูว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อการเรียนรู้ที่จะนำไปสู่ความเข้าใจในปัจจุบันและอนาคตได้อย่างไร เมืองโบราณอุบัติขึ้นจากความรู้สึกและประสบการณ์ของคุณเล็กที่แลเห็นว่า ในช่วงเวลาสี่สิบกว่าปีที่ผ่านมานั้น สังคมไทยพัฒนาอย่าลืมอดีตและเน้นความต้องการทางวัตถุเป็นสำคัญ จึงเป็นผลที่ทำให้คนรุ่นใหม่เติบโตอย่างขาดรากเหง้า จึงจำเป็นที่จะต้องมีการศึกษาและรวบรวมข้อมูลหลักฐานทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของสังคมในอดีตมาไว้ เพื่อคนรุ่นหลังจะได้ศึกษาและเรียนกัน สิ่งนี้เป็นที่มาของการสนับสนุนให้มีกลุ่มนักวิชาการออกไปทำการศึกษาสำรวจค้นคว้าและนำเอาหลักฐานเรื่องราวมาตีพิมพ์เป็นวารสารเมืองโบราณ ในขณะเดียวกันคุณเล็กเองก็เลือกเฟ้นสิ่งที่ท่านเห็นว่าดีและมีประโยชน์ในอดีตมาสร้างให้เป็นความรู้อย่างเป็นรูปธรรมในเมืองโบราณ เพื่อสื่อให้แก่คนทั่วไปได้เรียนรู้ โดยเหตุนี้ ทั้งวารสารเมืองโบราณที่มีการพิมพ์ต่อเนื่องมาเป็นเวลา ๓๐ ปีและเมืองโบราณก็คือ กิจกรรมทางปัญญาที่คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ค้นหาและสร้างขึ้น อันเนื่องมาจากการเห็นคุณค่าและภูมิปัญญาของอดีตนั่นเอง อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ร้านค้าเครื่องหวายบนถนนมหาไชย ถนนสายประวัติศาสตร์
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2558 แนวถนนมหาไชย ภาพจากแผนที่พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๔ ‘ถนนมหาไชย’ เป็นถนนเส้นหนึ่งในกรุงเทพมหานครเริ่มต้นตั้งแต่ถนนราชดำเนินกลางบริเวณสี่แยกป้อมมหากาฬข้ามคลองหลอดวัดราชนัดดา วัดเทพธิดาราม ตัดกับถนนบำรุงเมืองและถนนหลานหลวง ข้ามคลองหลอดวัดราชบพิธ ตัดกับถนนเจริญกรุง จนกระทั่งถึงถนนพีระพงษ์ ถนนเยาวราช และถนนจักรเพชร สำหรับที่มาของชื่อถนนมหาไชย มีดังนี้ เดิม ‘มหาไชย’ เป็นชื่อของป้อมปราการ ๑ ใน ๑๔ ป้อมที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น เมื่อทรงสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นราชธานี ต่อมาเมื่อบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย ป้อมปราการสำหรับการป้องกันพระนครถูกลดความสำคัญลง ป้อมมหาไชยจึงถูกรื้อถอนและมีการตัดถนนผ่านบริเวณป้อมมหากาฬที่ถูกรื้อไป จึงมีการตั้งชื่อถนนว่า ‘ถนนมหาไชย’ ขึ้นแทน ถนนมหาไชย เป็นถนนเส้นหนึ่งที่มีความสำคัญสำหรับย่านเมืองเก่าภายในกำแพงพระนคร เป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ที่มีความทรงจำเกี่ยวกับผู้คนในอดีตมาอย่างยาวนาน เกือบทั้งสายมีสถานที่สำคัญและมีความสัมพันธ์กับผู้คนในอดีตตั้งอยู่ ไม่ว่าจะเป็นป้อมมหากาฬ ตลาดสำราญราษฎร์ ย่านประตูผี หรือแม้แต่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครในอดีต นอกจากนั้นยังมีชุมชนเก่าแก่ตั้งอยู่บนถนนเส้นนี้อีกเช่นกัน เช่น ชุมชนป้อมมหากาฬ ชุมชนบ้านสายรัดประคด ชุมชนข้างเรือนจำ ฯลฯ ซึ่งชุมชนเหล่านี้ล้วนเป็นชุมชนที่อาศัยอยู่ร่วมกันในพื้นที่มาอย่างยาวนานและเป็นชุมชนที่มีความพิเศษกว่าชุมชนอื่น เนื่องจากเป็นชุมชนที่มีการผลิตงานฝีมือที่มีชื่อเสียง แต่บางชุมชนที่ไม่มีการสืบทอดงานฝีมือต่อมา งานฝีมือซึ่งเป็นสิ่งล้ำค่าเหล่านั้นต้องสูญหายไปตามกาลเวลา ดังในชุมชนสายรัดประคดที่ปัจจุบันไม่มีผู้คนที่สืบต่อการทำสายรัดประคดแล้วเลิกทำเพราะหมดความนิยมและไม่มีผู้สืบต่อเหลือเพียงแต่ชื่อของชุมชนไว้เพื่อเล่าเรื่องว่าครั้งหนึ่งเคยมีการทำสายรัดประคดเท่านั้นแต่ก็ยังคงมีอีกหลายชุมชนเช่นกันที่ยังคงสืบทอดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน เช่น ป้อมมหากาฬที่มีชื่อเสียงในเรื่องของการทำกรงนกหรือการขายพลุริมประตูป้อมมหากาฬ ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงมีอยู่ และหากจะกล่าวถึงย่านที่มีร้านขายเครื่องหวายในเขตพระนครที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักมาตั้งแต่ในอดีต ก็คือ ‘ชุมชนข้างเรือนจำ’ ตั้งอยู่ใกล้กับสวนรมณีนาถ บนถนนมหาไชย บริเวณนี้เดิมเป็นชุมชนที่ประกอบอาชีพขายเครื่องหวาย ปัจจุบันเหลือร้านค้าหวายอยู่เพียง ๓ ร้านเท่านั้น คือ ร้านนายเหมือน ร้านสุริยาพานิช และร้านยุพดีวานิช หากจะถามว่าร้านใดที่มีชื่อคุ้นหูและได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุด ผู้คนทั่วไปคงจะนึกถึงร้านนายเหมือน แต่ถึงกระนั้นมีเพียงน้อยคนที่จะทราบว่าจริง ๆ แล้วร้านเครื่องหวายที่เปิดขายเป็นร้านแรกและเก่าแก่ที่สุด คือ ร้านยุพดีวานิช ร้านยุพดีวานิช ตั้งอยู่บนถนนมหาไชย บนพื้นที่ของวังเดิมของเชื้อพระวงศ์ในสมัยรัชกาลที่ ๕ คือ วังของกรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา เป็นแนวยาวไปจนถึงร้านนายเหมือน หลังจากที่มีการรื้อถอนวังเดิมออกก็มีการสร้างเป็นตึกแถวไม้เตี้ย ๆ ชั้นเดียวให้เช่า เจ้าของพื้นที่มีการเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ไป พื้นที่บริเวณนี้กลายเป็นทั้งของมูลนิธิจันทรทัตและสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ คุณยุพดี สีลพัทธ์กุล อายุ ๘๘ ปีเจ้าของร้านยุพดีวานิช ร้านค้าเครื่องหวายเก่าแก่แห่งถนนมหาไชย ภายในร้านค้าที่มีเครื่องหวายหลากชนิด โดยร้านยุพดีวานิชเป็นพื้นที่ของมูลนิธิจันทรทัต ทายาทของเชื้อพระวงศ์ในวังเดิม ส่วนตรงร้านนายเหมือนเป็นพื้นที่ในกรรมสิทธิ์ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่มาของชื่อร้านยุพดีวานิชมาจากชื่อของคุณยายยุพดี สีลพัทธ์กุล เจ้าของร้านยุพดีวานิชรุ่นแรก ที่มีอายุกว่า ๘๘ ปี นับเป็นคนเก่าแก่ที่ผ่านเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในย่านนี้มามาก ท่านจึงมีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับย่านถนนมหาไชย แรกเริ่มเดิมทีคุณยายยุพดีใช้นามสกุล ‘แซ่ลิ้ม’ เป็นคนในย่านเยาวราชมาตั้งแต่เกิดและมีเชื้อสายจีนแคะ คุณยายเล่าให้ฟังถึงตอนเด็ก ๆ ว่า “สมัยก่อนตอนช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ แถวเยาวราชร้านขายเครื่องหนังขายดีมาก เพราะคนญี่ปุ่นชอบใช้เครื่องหนัง โดยเฉพาะกระเป๋าหนัง ร้านขายเครื่องหนังดัง ๆ สมัยก่อนก็มีร้านเซน ช่อง ที่ตั้งอยู่เยื้องกับศาลาเฉลิมกรุงมาหน่อย ร้านนั้นอายุ ๑oo กว่าปีแล้ว ที่นั่นจะขายรองเท้าหนัง อานม้า” ภายหลังจากคุณยายอายุ ๒๐ ปี ก็แต่งงานแล้วย้ายมาอาศัยอยู่ตรงตึกแถวหน้าวังนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๙ ก่อนจะมาเป็นร้านยุพดีวานิช ร้านนี้เคยมีชื่อว่า ‘เหลียนฮับ’ มีความหมายว่า ความสามัคคี มาจากการที่คุณยายมีลูกมากทั้งสามีและคุณยายจึงอยากให้ลูก ๆ มีความสามัคคีกัน ต่อมาภายหลังเปลี่ยนเป็นชื่อ “ยุพดีวานิช” ซึ่งเป็นชื่อของคุณยายที่หลวงพ่อวัดสระเกศฯ ในสมัยนั้นตั้งให้ การเกิดขึ้นของร้านยุพดีเริ่มมาจากการที่พี่ชายของคุณตาย้ายมาจากเมืองจีนพร้อมกับนำความรู้เรื่องการทำเครื่องหวาย เครื่องจักสานในการทำเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ เข้ามาด้วย การทำร้านเครื่องหวายเริ่มต้นจากการทำห่วงไม้หวายที่ใช้เล่นในเกมโยนห่วงตามงานวัด ซึ่งได้รับความนิยมมากเพราะมีการสั่งทำห่วงอย่างไม่ขาดสาย จนมาภายหลังตั้งเป็นร้านเหลียนฮับหรือร้านยุพดีวานิชขึ้น ในช่วงนั้นร้านเครื่องหวายยุพดีถือได้ว่าเป็นร้านแรกที่ทำตะกร้าหวายลวดลายละเอียดประณีตแล้วส่งต่อไปยังอยุธยา อาจจะเรียกได้ว่าเครื่องหวาย เครื่องจักสานพวกตะกร้าต่างๆ ของอยุธยามีการรับอิทธิพลมาจากร้านหวายในย่านนี้ด้วย สมัยก่อนสินค้าที่จำหน่ายในร้านยุพดีวานิชที่เป็นงานฝีมือทางร้านจะทำเองทั้งหมด ซึ่งคนที่ทำส่วนใหญ่ก็จะเป็นลูกหลานในครอบครัวที่ช่วยกันสานเครื่องหวาย ในปัจจุบันการทำเครื่องหวายก็ยังมีทั้งที่ทางร้านทำเองและรับมาขายโดยการสั่งทำ เครื่องหวายที่ทำเองจะทำเป็นอะไหล่แต่ละชิ้นย่อย ๆ แล้วส่งให้แต่ละบ้านที่มีฝีมือทำแทน เพราะขาดแรงงานในการทำ คนเก่าแก่ก็เสียชีวิตไปจนหมดหรือลูกหลานที่เคยทำเครื่องหวายหลังจากเรียนจบก็หันไปทำงานด้านอื่นแทน ดังนั้นทุกวันนี้ส่วนเครื่องหวายที่สั่งทำมีการสั่งมาจากกลุ่มที่ทำงานฝีมือทางภาคเหนือและภาคอีสาน ภายในร้านเครื่องหวายยุพดีวานิชมีการจำหน่ายสินค้าหลายประเภทด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้หวาย ตะกร้าหวาย กระเป๋าจักสานหลากหลายขนาด ทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กมีให้เลือกมากมายสมัยก่อนเครื่องหวายจะเป็นที่นิยมมาก แม้แต่เมื่อครั้งมีงานเทศกาลสำคัญต่างๆ ก็จะมีการเชิญให้ร้านนำเครื่องหวายไปขายตามงานต่าง ๆ เช่น งานกาชาด งานเกษตร หรือแม้แต่งานประจำปีของวัดสระเกศ อีกทั้งยังมีการทำส่งไปยังต่างจังหวัด เช่น อยุธยาด้วย แต่ปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่ที่ซื้อจะเป็นลูกค้าประจำ หรือลูกค้าเก่าแก่ที่ซื้อขายกันมานาน เนื่องจากความนิยมในเฟอร์นิเจอร์เครื่องหวายเริ่มลดน้อยลงไปตามกาลสมัยที่มีวัสดุอื่นเข้ามาแทนที่วัสดุที่หาได้ตามธรรมชาติและมีความคลาสสิกอย่างงานเครื่องหวาย เมื่อย้อนกลับไปในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ นอกจากพื้นที่บริเวณนี้จะมีชื่อเสียงในเรื่องของเครื่องหวายแล้ว ยังเป็นพื้นที่ที่ตั้งของสถานที่สำคัญด้วย ไม่ว่าจะเป็นประตูผี วังของเชื้อพระวงศ์ในรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของวังหลายวัง แค่เพียงบริเวณตึกแถวร้านเครื่องหวายนี้ก็มีวังเชื้อพระวงศ์ตั้งอยู่ถึง ๒ วัง คือ วังกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์และวังกรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา เชื้อพระวงศ์ในรัชกาลที่ ๔ ซึ่งนี่ก็อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ระบบสาธารณูปโภคและการคมนาคมในพื้นที่บริเวณนี้มีการพัฒนาไปมาก ทั้งถนนหนทาง เส้นทางรถรางวิ่งรอบพระนคร คุณยายเล่าว่า “เมื่อก่อนถ้าจะข้ามไปฝั่งวรจักร รถยนต์ข้ามไปไม่ได้เลย เพราะเป็นเพียงแค่ไม้กระดานแผ่นเดียวมีแต่หญ้าและผักบุ้งขึ้นข้างทางเยอะแยะ สะพานข้ามคลองสมัยก่อนก็ไม่ได้มีเยอะถ้าจะข้ามก็ต้องไปข้ามตรงวัดสระเกศกับตรงสะพานสมมตอมรมารคเท่านั้น จนปี พ.ศ. ๒๕๐๕ เพิ่งจะมาสร้างสะพานดำรงสถิตรถยนต์ถึงข้ามไปได้” นอกจากนี้บริเวณรอบ ๆ ก็มีแหล่งอุตสาหกรรมขนาดเล็กตั้งอยู่อีกจำนวนมาก เช่น ฝั่งตรงข้ามร้านหวายจะมีโรงทำกระทะใบบัวเหล็ก โรงน้ำแข็ง และโรงเลื่อย ส่วนโรงทำขนมปังตั้งอยู่บริเวณวัดสระเกศและมีโรงกลึงตั้งอยู่ถัดจากกัน ปัจจุบันสถานที่เหล่านี้หายไปจนหมดกลายเป็นตึกแถว ๒-๓ ชั้นตั้งอยู่แทน พื้นที่ในเกาะรัตนโกสินทร์ยังมีถนนอีกหลายสายที่มีความทรงจำของผู้คนที่ตกค้างหลงเหลืออยู่ให้เราค้นหา เช่น ถนนบำรุงเมือง ถนนราชดำเนิน ฯลฯ ซึ่งถนนทุกสายล้วนมีประวัติศาสตร์แตกต่างกันออกไป เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้นักท่องย่านเมืองเก่าทั่วโลกใฝ่ฝันถึง หากแม้การเปลี่ยนแปลงจากการพัฒนาสถานที่รอบเกาะรัตนโกสินทร์เพื่อให้มีความเป็นศิวิไลซ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้ความทรงจำเหล่านี้หายไป คนรุ่นใหม่จะเข้าใจและค้นหาความหมายของความทรงจำที่คนเก่าแก่ทิ้งไว้ให้ได้อย่างไร นักท่องเที่ยวจะเข้ามาพบกับความเป็นศิวิไลซ์ที่ไม่ได้มีความแตกต่างและมีเอกลักษณ์ต่างไปจากสถานที่อื่นได้อย่างไร หากในอนาคตสิ่งเหล่านี้หายไปจนหมดสิ้น ขอขอบคุณผู้ให้ข้อมูล คุณยุพดี สีลพัทธ์กุล อายุ ๘๘ ปี เจ้าของร้านยุพดีวานิช ถนนมหาไชย พัชรินธร เดชสมบูรณ์รัตน์ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- พื้นที่ย่านชานพระนครและคลองเมือง
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2558 คลองเมืองที่ขุดมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีคือ “คลองโรงไหม” หรือ “คลองหลอด” หรือ “คลองคูเมืองเดิม” ส่วน “คลองวัดสังเวช-โอ่งอ่าง” ขุดในสมัยแรกสร้างกรุงเทพฯ จนมาถึงคลองเมืองสายนอกคือ “คลองขุดใหม่หรือคลองผดุงกรุงเกษม” ที่ขุดในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดูเหมือนสองฝั่งคลองวัดสังเวช -โอ่งอ่างจะเกิดแหล่งที่อยู่อาศัยของผู้คนหนาแน่นกว่าบริเวณอื่น ผู้คนชาวบ้านธรรมดาส่วนมากตั้งถิ่นฐานเรียงรายอยู่ทั้งสองฝั่งคลอง เป็นชุมชนที่อยู่อาศัยและสร้างงานหัตถกรรมจนถึงอุตสาหกรรมในครัวเรือนหลายชนิด เกิดแหล่งย่านการค้าทั้งขายส่งและค้าขายรายย่อย ทั้งตลาดบกและตลาดน้ำ เพราะเป็นคลองเมืองที่เชื่อมต่อกับคลองมหานาคที่สามารถเดินทางออกไปนอกเขตพระนครทางฝั่งตะวันออกได้โดยสะดวก ทางฝั่งพระนคร ชุมชน และตลาด อยู่ตามชานพระนคร คือ พื้นที่ห่างกำแพงเมืองมายังชายน้ำ ส่วนบรรดาเจ้านายขุนนางและข้าราชการส่วนใหญ่มีนิวาสสถานอยู่ภายในกำแพงพระนครที่มีทั้ง ป้อม ประตูเมือง และประตูช่องกุด อันเป็นช่องทางที่ผู้คนภายในเมืองจะออกไปริมลำคลองเพื่อการคมนาคมได้ เหตุนี้ตั้งแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ลงมา จึงมีการสร้างวังของเจ้านายน้อยใหญ่ที่ทรงกรมเป็นแนวขนานกับกำแพงเมืองมากมาย ดังนั้นพื้นที่ย่านชานพระนครและคลองวัดสังเวช-โอ่งอ่าง จึงเป็นบริเวณย่านเศรษฐกิจและสังคมที่มีทั้งสังคมของชาววังและสังคมของชาวบ้านที่มีหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นพื้นที่สำคัญของกรุงรัตนโกสินทร์มาตั้งแต่เริ่มสร้างพระนคร ชีวิตทางสังคมของคนกรุงเทพฯ ถือกำเนิดในย่านดังกล่าวนี้และเติบโตเรื่อยมา จนเมื่อเมืองขยายอย่างใหญ่โตหลังกำเนิดแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติหลัง พ.ศ. ๒๕๐๐ ลงมา ทำให้ผู้คนหลงลืมย่านเก่า ที่ถือเป็นจุดกำเนิดชีวิตทางสังคมและเศรษฐกิจของคนกรุงเทพฯ และมีการจัดการเมืองแบบสมัยใหม่ที่เน้นความสวยงามแต่ไม่ได้ทำความเข้าใจชีวิตทางสังคมของผู้คนที่เคยมีมา แผนที่กรุงธนบุรีทำโดยชาวพม่า แสดงสถานที่สำคัญหลายแห่ง และระบุบริเวณที่เป็นพระบรมมหาราชวังของกรุงเทพฯ ในปัจจุบันคือกลุ่มบ้านของพระยาราชาเศรษฐี (จีนตั้งเลี้ยง) - หมายเลข ๒๐ และเห็นแนวคลองคูเมืองเดิมทางด้านซ้าย - หมายเลข ๑๓ แผนที่เมืองธนบุรี ซึ่งเป็นเมืองสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เรียกว่าเมืองอกแตก คลองคูเมืองเดิมของกรุงธนบุรีกลายเป็นคลองเมืองชั้นในเมื่อเปลี่ยนเป็นสมัยกรุงเทพฯ ผู้คนในพื้นที่ชานพระนครและสองฝั่งคลองเมืองยุคปัจจุบัน จึงต้องต่อสู้กับการถูกลบออกไปจาก “ประวัติศาสตร์ของเมืองกรุงเทพมหานคร” ประวัติศาสตร์เมืองที่ขาดไร้ “ชีวิตทางสังคม” ของผู้คนที่มีรากเหง้าหลากหลายและเคยอยู่อาศัยกันมา กรุงเทพฯ ในยุคกรุงธนบุรี พื้นที่ฝั่งตะวันออก กรุงธนบุรีซึ่งเป็นเมืองอกแตก ผู้คนส่วนใหญ่อยู่อาศัยทางฝั่งตะวันตกที่เป็นเกาะบางกอก บ้านเรือนอยู่ริมแม่น้ำลำคลองและเรือกสวน รวมทั้งพระราชวังพระมหากษัตริย์ วังเจ้านาย บ้านเรือนขุนนาง วัดสำคัญ และที่ทำการรัฐบาล ส่วนทางฝั่งตะวันออกภายในเขตคลองเมืองที่ปัจจุบันเป็นคลองเมืองชั้นในของเมืองกรุงเทพฯ ที่เรียกว่า คลองโรงไหมหรือคลองหลอด ขุดคลองแล้วนำดินพูนเป็นเชิงเทิน ปักแนวไม้ทองหลางทั้งต้นเป็นกำแพง ภายในเมืองแม้จะมีวัดโบราณมาแต่สมัยอยุธยา เช่น วัดโพธิ์ วัดสลัก วัดกลางทุ่งหรือวัดตองปุ พื้นที่เป็นท้องทุ่งและสวนมีชุมชนหลายชาติพันธุ์เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยโดยเฉพาะคนจีนและคนมอญ เมื่อแรกสร้างกรุงเทพมหานครจึงขุดคลองเมืองใหม่ คือ คลองบางลำพูและคลองโอ่งอ่าง ก็ได้ย้ายพระราชวัง ที่ทำการรัฐบาลและสร้างพระบรมมหาราชวัง วังเจ้านาย และสถานที่อยู่อาศัยของพวกขุนนางบางส่วนมาอยู่ภายในเขตคลองเมืองชั้นในซึ่งเป็นคลองเมืองสมัยกรุงธนบุรี และย้ายนิวาสสถานของขุนนางและชุมชนชาวจีนในพื้นที่ตั้งแต่บริเวณที่เป็นพระบรมมหาราชวังตามฝั่งน้ำไปทางใต้ ซึ่งปัจจุบันเป็นบริเวณ พาหุรัดและสำเพ็ง คลองเมืองกรุงเทพมหานครในช่วง ๑๐๐ ปีเมื่อแรกสร้าง คลองคูเมืองเดิม-คลองโรงไหม-คลองหลอด-คลองตลาด เป็นคลองเดียวกันที่ขุดในสมัยกรุงธนบุรีจากท่าช้างวังหน้าทางทิศเหนือไปออกที่ปากคลองตลาดทางทิศใต้ ระยะทางราว ๒.๔ กิโลเมตร เมื่อย้ายพระนครมาอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาจึงกลายเป็นเส้นทางคมนาคมแทนที่คูเมืองและกำแพงป้องกันเมือง ปากคลองด้านทิศเหนือผ่านโรงไหมหลวงจึงเรียกว่า “คลองโรงไหม” และเมื่อมีการขุดคลองหลอดเป็นแนวตั้งเชื่อมกับคลองเมืองชั้นนอกจึงเรียกคลองช่วงนี้ว่า “คลองหลอด” และเมื่อจะออกแม่น้ำเจ้าพระยามีย่านการค้าทั้งตลาดบกและตลาดน้ำก็เรียกว่า “คลองตลาดหรือปากคลองตลาด” คลองคูเมืองเดิมนี้กลายเป็นเส้นทางน้ำสำหรับเดินทางและขนส่งสินค้าของประชาชนภายในพระนคร คลองวัดสังเวช-คลองโอ่งอ่าง ขุดขึ้นเป็นคลองเมืองของกรุงเทพมหานครในสมัยเมื่อแรกสร้างกรุง พ.ศ. ๒๓๒๖ จากบางลำพูทางทิศเหนือไปออกแม่น้ำเจ้าพระยาทางทิศใต้บริเวณใกล้วัดเชิงเลนระยะทางราว ๓.๖ กิโลเมตร สร้างกำแพงอิฐ ป้อม และประตูเมืองไว้โดยรอบพระนครบันทึกไว้ว่า มีประตูใหญ่ ๑๖ ประตู ประตูช่องกุด ๔๗ ประตู และมีป้อมทั้งสิ้น ๑๔ ป้อม มีการเรียกชื่อคลองเส้นเดียวกันนี้แตกต่างกันไปตามย่านชุมชนหรือวัดคือ คลองวัดสังเวช คลองสะพานหัน คลองวัดเชิงเลน (วัดบพิตรพิมุข) คลองโอ่งอ่าง และทำให้มีการขยายตัวของวังเจ้านาย สถานที่อยู่อาศัยของขุนนางข้าราชการ วัดวาอาราม กรมทหาร ที่ทำการรัฐบาล ห่างจากคลองเมืองชั้นในมาทางตะวันออกมากขึ้น สิ่งที่ทำให้มีการขยายตัวของสถานที่อยู่อาศัยที่สำคัญก็คือ การขุดคลองหลอดสองแห่งเชื่อมต่อระหว่างคลองเมืองชั้นในกับคลองเมืองบางลำพูหรือโอ่งอ่างเป็นผลให้เกิดการสร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของผู้ที่เป็นขุนนาง ข้าราชการตามมาทั้งสองฝั่งคลอง คลองหลอดบน คลองหลอดทั้ง ๒ คลอง ขุดในคราวเดียวกับคลองเมืองเมื่อแรกสร้างพระนคร ชักน้ำเชื่อมต่อระหว่างคลองคูเมืองเดิมและคลองเมืองใหม่เป็นแนวตรงระยะทางราว ๑.๑ กิโลเมตร และใช้สัญจรทำให้เกิดวัดและชุมชนสองฝั่งคลองตามมา “คลองหลอดบน” เริ่มแต่วัดบุรณศิริมาตยารามริมคลองเมืองฝั่งนอกขนานกับถนนราชดำเนินกลางมายังวัดมหรรณพารามไปออกคลองบางลำพูที่วัดเทพธิดาและวัดราชนัดดาใกล้กับป้อมมหากาฬ อันเป็นบริเวณที่มีการขุดคลองมหานาคผ่านวัดสระเกศไปทางตะวันออกจนจรดคลองผดุงกรุงเกษมที่ขุดในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ภาพแผนที่กรุงเทพมหานคร พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๔ เพื่อแสดงแนวคลองเมืองในยุคต่าง ๆ ภาพแผนที่กรุงเทพฯ พ.ศ. ๒๓๖๕ จากหนังสือจดหมายเหตุการเดินทางของเซอร์จอห์น ครอฟอร์ด จะเห็นแนวคลองคูเมืองเดิมและมีพระบรมมหาราชวัง วัดมหาธาตุ วัดพระเชตุพนรวมทั้งวังหน้าอยู่ภายใน ส่วนคลองเมืองวัดสังเวช-โอ่งอ่าง ขุดล้อมรอบชั้นนอก และเห็น "ตึกดิน" ที่มีแนวคูน้ำล้อมอย่างเด่นชัด อย่างไรก็ตามพบว่าบรรดาบ้านเก่าเรือนเก่าและตึกที่พบตามสองฟากคลองของคลองหลอดตั้งแต่ วัดบุรณศิริมาจนถึงปากคลองที่อยู่ระหว่างวัดเทพธิดาและวัดราชนัดดา ดูมีอายุอยู่ในสมัยแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ลงมาถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เท่านั้น แม้แต่วัดเทพธิดาและวัดราชนัดดาก็เป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ส่วนวัดมหรรณพารามและวัดบุรณศิริมาตยารามก็ปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ราวรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ซึ่งแต่เดิมอาจเป็นวัดเก่าอยู่ก่อนที่มีผลทำให้เป็นวัดศูนย์กลางของชุมชนที่อยู่ตาม คลองหลอด ต่อมาจนปัจจุบัน ดังนั้น วัดมหรรณพาราม จึงเป็นศูนย์กลางของชุมชนพร้อมกับเมื่อมีการสร้างถนน สร้างโรงเรียนแห่งแรก มีตลาดและศาลเจ้าพ่อเสือ ในขณะที่ วัดบุรณศิริมาตยาราม เป็นศูนย์กลางของชุมชนสองฝั่งคลองหลอดและบรรดาผู้คนที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของคลองเมืองเดิมตั้งแต่สะพานผ่านพิภพลีลาไปจนถึงสะพานมอญ คลองหลอดล่าง ขุดจากคลองเมืองเดิมบริเวณหน้าวังสราญรมย์ผ่ากลางพระนคร ผ่านวัดราชบพิธ ผ่านหลังวัดสุทัศนเทพวราราม ผ่านเรือนจำพระนครออกคลองโอ่งอ่างระยะทางราว ๘๐๐ เมตร เมื่อแรกขุดคลองย่านนี้ไม่มีวัดเก่า แต่ปากคลองเป็นสวนและบ้านเรือนขุนนางข้าราชการและวังเจ้านาย โดยเฉพาะวังสราญรมย์นั้น เป็นสวนกาแฟที่อยู่ใกล้กับพระบรมมหาราชวัง การตั้งถิ่นฐานหนาแน่นอยู่บริเวณปากคลองทั้งสองด้านคือ คลองเมืองชั้นในและคลองโอ่งอ่าง ต่อเมื่อมีการสร้างวัดราชบพิธในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ พร้อมกันกับการตัดถนนจึงเกิดสถานที่ทำการร้านค้า ตึกรามบ้านช่องริมถนนขึ้นมา ทางฝั่งใต้ของคลองหลอดรวมทั้งสองฝั่งของคลองเมืองชั้นในไปจนถึงปากคลองตลาด มีการตั้งถิ่นฐานของเจ้านายขุนนาง พ่อค้า ประชาชนค่อนข้างมาก ข้ามคลองคูเมืองเดิมเป็นย่านชาวมอญที่ปรากฏเพียงชื่อเหลือไว้คือสะพานมอญและสี่กั๊กพระยาศรี (พระยาศรีสหเทพ ต้นสกุลศรีเพ็ญ) และพื้นที่ซึ่งเป็นวังบ้านหม้อต่อเนื่องขึ้นไปถึงย่านพาหุรัดและวังบูรพา ป้อมมหากาฬ และชานพระนครติดกับคลองวัดสังเวช-โอ่งอ่าง คลองมหานาค ครั้งสร้างกรุงเทพมหานครในการขุดคลองเมืองคือบางลำพู-โอ่งอ่างนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงเกณฑ์ไพร่พลที่เป็นคนเขมร คนตานี และลาวเป็นแรงงาน ซึ่งนอกจากคลองเมืองแล้วก็มีการขุด “ คลองมหานาค ” แยกออกจากคลองเมืองหน้าป้อมมหากาฬ ผ่านวัดสระเกศไปยังท้องทุ่งและที่ลุ่มทางตะวันออกระยะทางราว ๒ กิโลเมตรแล้วต่อกับคลองแสนแสบที่ขุดในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ เมื่อขุดคลองเสร็จแล้วโปรดเกล้าฯให้ชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์นั้นตั้งบ้านเรือนอยู่ริมคลองจนถึงทุกวันนี้ เพราะพื้นที่บริเวณนี้เหมาะสมกับการขยายเขตที่อยู่อาศัยของพลเมืองที่อยู่นอกเมือง มีวัดสระเกศเป็นวัดเก่า โปรดเกล้าฯ ให้ผู้คนที่อพยพมาจากกรุงศรีอยุธยาส่วนหนึ่งเข้ามาตั้งถิ่นฐานเช่น ชุมชนบ้านบาตร ที่เป็นชุมชนหัตถอุตสาหกรรมตีบาตรพระซึ่งคงรวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ทรงพระราชทานนามคลองขุดที่แยกจากคลองเมือง ผ่านมายังวัดสระเกศว่า คลองมหานาคซึ่งเป็นชื่อคลองในทุ่งภูเขาทองของกรุงศรีอยุธยา ทุ่งภูเขาทองที่มีเจดีย์วัดภูเขาทองเป็นประธานอยู่กลางทุ่งนั้นเป็นที่ที่คนอยุธยามาจอดเรือเล่นสักวากันในฤดูน้ำท่วมทุ่งการใช้ชื่อคลองมหานาคให้เหมือนกับที่กรุงศรีอยุธยาก็เพื่อเรียกขวัญประชาชนที่เคลื่อนย้ายมาจากอยุธยาให้เกิดความรู้สึกว่าความเป็นกรุงศรีอยุธยาที่เคยรุ่งเรืองสุขสำราญนั้น ยังไม่สิ้นไปและมาฟื้นฟูใหม่ที่กรุงเทพมหานคร ผลที่ตามมาก็คือทำให้มีการเรียกพระสถูปเจดีย์ของวัดสระเกศเป็นภูเขาทองในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯที่เริ่มสร้างเจดีย์ภูเขาทองขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ทางจักรวาลในพื้นที่ลุ่มทางตะวันออกของกรุงเทพฯ คลองผดุงกรุงเกษม เป็นคลองเมืองชั้นนอกที่ขุดในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวระหว่าง พ.ศ. ๒๓๙๔-๒๓๙๕ จ้างแรงงานชาวจีนเป็นผู้ขุดเพื่อขยายชุมชนออกไปทางทิศตะวันออกของพระนคร ระยะทางรวมราว ๕.๕ กิโลเมตร เริ่มทางทิศเหนือที่วัดสมอแครงหรือวัดเทวราชกุญชร ขนานไปกับคลองวัดสังเวช-โอ่งอ่างตัดผ่านคลองมหานาคจนกลายเป็นย่านการค้าที่สำคัญ คือสี่แยกมหานาค ผ่านวัดหัวลำโพง วัดท่าเกวียนหรือวัดมหาพฤฒารามไปจนจรดแม่น้ำเจ้าพระยาทางทิศใต้แถววัดแก้วแจ่มฟ้า การขุดคลองทำให้เกิดวัดและชุมชนเรียงรายไปตามลำคลองเพิ่มขึ้น เช่น วัดสามจีน (วัดไตรมิตรฯ) วัดพลับพลาไชย วัดโสมนัสราชวรวิหาร วัดมกุฏกษัตริยาราม วัดบางขุนพรหม วัดเทวราชกุญชร ฯลฯ แนวคลองครั้งนั้นไม่มีการสร้างกำแพงเมือง แต่สร้างป้อม ๘ ป้อม ปัจจุบันเหลือแต่เฉพาะป้อมทางฝั่งธนฯ ที่สร้างคราวเดียวกันคือ ป้อมป้องปัจจามิตร ที่ตั้งอยู่ปากคลองสาน ตั้งแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เป็นต้นมา มีการขยายพื้นที่อยู่อาศัยของผู้คนจากเมืองพระนครมาทางฝั่งตะวันออกเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดวัดขึ้นเป็นศูนย์กลางของชุมชนเพิ่มตามขึ้นมา เช่น วัดพระพิเรนทร์ วัดชัยชนะสงคราม วัดจักรวรรดิราชาวาส วัดกันมาตุยาราม วัดสัมพันธวงศ์ วัดปทุมคงคา วัดใหม่ยายแฟง (วัดคณิกาผล) วัดพลับพลาไชย ฯลฯ เมื่อมีการขุดคลองเมืองพระนครชั้นนอกคือคลองผดุงกรุงเกษมขึ้นมานั้น ได้ทำให้วัดต่างๆ ดังกล่าวนี้เข้ามาอยู่ภายในเขตเมืองกรุงเทพมหานคร คลองเมืองผดุงกรุงเกษมมีความสำคัญมากในทางคมนาคมขนส่งสินค้าขึ้นล่องตามลำน้ำเจ้าพระยาเข้ามา ในกรุงเทพมหานคร มีเส้นทางลำน้ำคูคลองที่ติดต่อกับคลองเมืองเส้นต่างๆ และออกแม่น้ำเจ้าพระยาได้ ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายและกระจายตัวของคนจีนและย่านตลาดเพิ่มขึ้นโดยมีทิศทางมาจากริมน้ำเจ้าพระยาตั้งแต่วัดบพิตรพิมุขมาทางวัดสัมพันธวงศาราม วัดปทุมคงคา และวัดแก้วฟ้า กระจายตัวกันขึ้นมาทางวัดใหม่ยายแฟง (วัดคณิกาผล) และวัดพลับพลาไชย ภายในพระนครเมื่อต้นกรุงฯ กรุงเทพมหานครเมื่อแรกสร้างจนถึงราวรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ นั้น พื้นที่ทางตะวันออกของพระบรมมหาราชวัง เช่น วังสราญรมย์เคยเป็นสวนกาแฟ บริเวณท้องสนามหลวงเป็นทุ่งนา บริเวณแม่พระธรณีบีบมวยผมเป็นวังเจ้านายและย่านที่อยู่อาศัยริมคลองเมืองชั้นใน ขณะที่บริเวณพระบวรราชวังซึ่งสัมพันธ์กับวัดสลักเป็นบริเวณที่มีการอยู่อาศัยริมแม่น้ำค่อนข้างหนาแน่นเพราะเป็นท่าเรือจอด เช่น ท่าพระจันทร์ ท่าช้างวังหน้า ฯลฯ บริเวณคลองเมืองชั้นในทางตอนเหนือมี วัดชนะสงคราม หรือวัดตองปุซึ่งเป็นวัดเก่ามาก่อนการสร้างพระนคร มีชุมชนเก่าอยู่ก่อน ต่อมาเมื่อทางวังหน้าบูรณปฏิสังขรณ์วัดชนะสงครามขึ้นมาก็กลายเป็นวัดสำคัญ ของพระบวรราชวัง มีการนำคนมอญเข้ามาตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่โดยรอบ สลับกับวังของเจ้านายฝ่ายวังหน้าที่เริ่มแต่พระราชวังเดิมของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทและวังของกรมหลวงจักรเจษฎา พื้นที่ทั้งภายในกำแพงเมืองด้านเหนือมาจนถึงท่าพระอาทิตย์และป้อมพระสุเมรุปากคลองบางลำพูก็เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของเจ้านายและขุนนางหนาแน่นกว่าที่อื่น ๆ บริเวณปากคลองมหานาค ภูเขาทอง วัดสระเกศฯ อาณาบริเวณซึ่งเป็นวังเจ้าเหล่านี้ ครอบคลุมทั้งภายในกำแพงเมืองและชานพระนครนอกกำแพงเมือง เพราะต้องอาศัยแม่น้ำเป็นทางคมนาคม โดยเจ้านายแต่ละวังสามารถออกจากวังผ่านประตูช่องกุดมายังริมแม่น้ำได้ ซึ่งเมื่อมีการรื้อกำแพงเมืองพระนครแล้วจึงได้มาสร้างตึกเป็นวังในบริเวณชานพระนคร พื้นที่ตั้งแต่วัดชนะสงครามไปถึงบางลำพูเป็นแหล่งที่มีชุมชนกระจายอยู่ มีผู้คนเข้ามาตั้งหลักแหล่งตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น คนมอญแถววัดชนะสงครามถึงบางลำพู คนมุสลิมจากปัตตานีที่กวาดต้อนเข้ามาเป็นชุมชนที่มีมัสยิดเป็นศูนย์กลางและอยู่ไม่ห่างจากวัดชนะสงคราม ต่อมาคนมุสลิมได้ขยายถิ่นฐานมาตั้งมัสยิดและชุมชนในพื้นที่โล่งเป็นทุ่งเป็นคอกวัวบริเวณที่เป็นถนนราชดำเนินกลางที่สร้างขึ้นครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ พื้นที่ทุ่งโล่งกลางพระนครนี้ไม่มีคนอยู่เป็นชุมชน แต่เป็นที่ตั้งของ ตึกดิน ที่มีขอบเขตเป็นกรมทหารที่อยู่ในพื้นที่ซึ่งปัจจุบันเป็นโรงเรียนสตรีวิทยาและบริษัทธนบุรีประกอบรถยนต์ริมถนนราชดำเนินใกล้กับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถัดจากทุ่งโล่งที่มีคอกวัวและเป็นที่ตั้งของ ตึกดิน ก็มีบริเวณคลองหลอดที่ขุดมาจากคลองเมืองชั้นในริมวัดบุรณศิริมาตยารามผ่านวัดมหรรณพารามมายังวัดราชนัดดา-วัดเทพธิดา เป็นบริเวณที่มีการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนชาวพระนครที่เป็นขุนนางและชาวบ้านธรรมดาเป็นส่วนใหญ่ ความเป็นชุมชนเกิดขึ้นแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ซึ่งในช่วงเวลานี้ยังเป็นสมัยที่ยังไม่มีการตัดถนนอย่างในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ คนสัญจรไปมาด้วยทางเท้าและคูคลองเป็นหลัก ชานพระนครและสองฝั่งคลองเมือง บรรดาคูคลองทั้งหลายในพระนครดูไม่สำคัญเท่ากับคลองเมืองด้านตะวันออกคือ “คลองวัดสังเวช-โอ่งอ่าง” ที่เกิดแหล่งที่อยู่อาศัยของผู้คนหนาแน่นกว่าบริเวณอื่น ฝั่งทางพระนครจะมีชุมชนและตลาดอยู่ตาม ชานพระนคร คือ พื้นที่ห่างกำแพงเมืองมายังชายน้ำ ส่วนเจ้านายขุนนางและข้าราชการส่วนใหญ่มีนิวาสสถานอยู่ภายในกำแพงพระนครที่มีทั้ง ป้อม ประตูเมือง และประตูช่องกุด อันเป็นช่องทางที่ผู้คนภายในเมืองจะออกไปริมลำคลองเพื่อการคมนาคมได้ ทางฝั่งคลองเมืองด้านตะวันออกที่อยู่นอกกำแพงเมืองก็มีชุมชนและวัดเรียงรายกันไปตั้งแต่ปากคลองจนถึงปลายคลอง เหตุนี้ตั้งแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ลงมาจึงมีการสร้างวังของเจ้านายน้อยใหญ่ที่ทรงกรมเป็นแนวขนานกับกำแพงเมือง มีทั้งวังรุ่นเก่าแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เช่น วังกรมหมื่นสมมตอมรพันธุ์ วังกรมหลวงพิชิตปรีชากร วังกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ วังกรมหมื่นราชศักดิ์สโมสร วังกรมพระดำรงราชานุภาพ ฯลฯ และวังรุ่นใหม่ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เช่น วังบูรพาภิรมย์หรือวังสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช วังกรมหลวงเทววงศ์วโรปการ วังกรมพระนครสวรรค์วรพินิต ฯลฯ บรรดาเจ้านายของวังเหล่านี้ส่วนใหญ่ใช้ช่องทางวังผ่านประตูช่องกุดและประตูเมืองมายังคลองเมืองในการเดินทางออกนอกพระนคร ย่านวัดบางลำพูหรือวัดสังเวชวิศยาราม คลองเมืองและชานพระนครบริเวณปากคลองฝั่งนอกมีวัดบางลำพูหรือวัดสังเวชวิศยาราม เป็นศูนย์กลางของชุมชน ส่วนด้านในกำแพงเมืองเป็นย่านของวังริมป้อมพระสุเมรุและป้อมพระอาทิตย์ เป็นกลุ่มตระกูลของพระราชวังบวรสถานมงคลหรือวังหน้า ริมคลองมีอาคารบ้านเรือนท่าน้ำและตลาดน้ำต่อเมื่อมีการรื้อกำแพงและประตูเมืองจึงปลูกตึกและอาคารสองฝั่งถนนมากขึ้น คลองวัดสังเวช-โอ่งอ่าง มีเรือสินค้าเข้ามาจากชุมชนรอบนอกมากมาย ย่านวัดรังษีสุทธาวาสหรือวัดบวรนิเวศวิหาร วัดรังษีสุทธาวาสที่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ทรงสร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ เคยเป็นวัดที่มีมาก่อนสร้างวัดบวรนิเวศในครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ และภายหลังจึงมารวมเป็นวัดเดียวกัน และยังอยู่ในอาณาบริเวณย่านวังหน้าในช่วงรัชกาลที่ ๒ และ ๓ ทางฝั่งภายในกำแพงพระนครมีบ้านเรือนปลูกอยู่นอกกำแพงชานเมืองริมน้ำอยู่ไม่น้อย และเป็นอาคารร้านค้าชั้นเดียวบ้าง สองชั้นบ้าง และหันหน้าลงคลองยังคงพบอาคารเหล่านี้หลังตึกแถวที่เคยเป็นแนวกำแพงเมืองที่ถูกรื้อไปแล้วฝั่งตรงข้ามเป็นย่านบ้านเรือนและวังเจ้านายเก่าที่ต่อเนื่องกับย่านวัดตรีทศเทพ และต่อมากลายเป็นโรงไม้ที่ช่างจีนไหหลำทำโรงเลื่อยและรับทำงานไม้และเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ย่านวัดปรินายกและบ้านพานถม อยู่ทางฝั่งนอกพระนคร เยื้องกับป้อมมหาปราบ สร้างโดยเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนีย์) ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ภายหลังเมื่อตัดถนนราชดำเนินแล้วกินอาณาเขตของวัดไปส่วนหนึ่ง บริเวณนี้ต่อเนื่องกับตรอกบ้านพานถมที่มีช่างฝีมือทำลวดลายลงบนพานถมด้วยวิธีการตอกลายลงบนภาชนะที่รองด้วยก้อนรักแบบโบราณ แม้ทุกวันนี้จะถูกตีตลาดจากการทำขันน้ำพานรองแบบปั๊มจากเครื่องจักรกลอุตสาหกรรมหลายสิบปีแล้ว แต่ก็ยังมีร้านไทยนคร ที่ทำเครื่องถมแบบเก่าเหลืออยู่เพียงแห่งเดียว ย่านคลองมหานาคและวัดสระเกศ ฝั่งเหนือคลองมหานาคเมื่อราวสมัยรัชกาลที่ ๒ โปรดเกล้าฯ ให้บรรดาครอบครัวทางใต้จากพัทลุงและนครศรีธรรมราชเข้ามาตั้งถิ่นฐานซึ่งในบรรดาคนเหล่านี้เป็นพวกละคร หนังตะลุง ที่มีความรู้ทางดนตรีและศิลปะการแสดง ทางฝั่งใต้ของคลองมหานาคเป็นพื้นที่ซึ่งมีวัดสระเกศเป็นวัดเก่าที่เป็นศูนย์กลางทางศาสนาและพิธีกรรมที่ผู้คนที่หลากหลายทางชาติพันธุ์ถูกเกณฑ์มาขุดคลองเมืองพระนครซึ่งรวมทั้งคลองมหานาคด้วย นอกจากคนเหล่านี้ยังมีผู้คนที่อพยพมาจากกรุงเก่าเข้ามาตั้งถิ่นฐาน หนึ่งในกลุ่มคนเหล่านี้คือชุมชนที่บ้านบาตร ซึ่งเป็นช่างฝีมือในการทำบาตรพระ ที่ปนเปไปกับทางบ้านบาตรคือชาวจีนกวางตุ้ง จีนไหหลำที่ทำโรงเลื่อยประดิษฐ์วงกบหน้าต่าง กรอบประตูไม้ที่ยังทำเป็นหัตถอุตสาหกรรมจนถึงทุกวันนี้ ส่วนฝั่งตรงข้ามชานพระนครเหนือคลองหลอดวัดราชนัดดาขึ้นมา เป็นกลุ่มย่านบ้านที่ทำสายรัดประคด ซึ่งเป็นงานช่างฝีมือในตระกูลรามโกมุทเริ่มขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ เมื่อครั้งที่ “พระยารามรณรงค์สงคราม รามมีไชยไสวเวียง” (บัว) ได้รับที่ดินพระราชทานในการเป็นแม่กองซ่อมวัดเทพธิดาราม แม้จะทำสืบเนื่องกันมายาวนานแต่ปัจจุบันเลิกทำไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ย่านประตูยอดสะพานหัน อยู่บริเวณหน้าวังบูรพาภิรมย์ที่มีป้อมมหาไชยหรือป้อมสะพานหันตั้งอยู่ แม้จะซ่อมแซมหลายครั้งแต่ก็ยังพังลงมาจนเป็นที่กล่าวขานจดจำ ภายหลังเมื่อทำถนนรอบเมืองมีรถรางแล้วจึงรื้อทั้งกำแพงและป้อมออกเพื่อการคมนาคมสมัยใหม่ที่สะดวกกว่าตลาดสะพานหันเป็นแหล่งธุรกิจการค้า เดิมเป็นย่านการค้าของคนท้องถิ่นทั่วไปก่อนที่จะกลายเป็นย่านการค้าของคนจีน แต่เดิมเป็นสะพานไม้แผ่นเดียวทอดข้ามคลองปลายข้างหนึ่งตรึงแน่นกับที่ อีกปลายหนึ่งวางพาดกับฝั่งตรงข้ามโดยไม่ตอก สามารถจับหันเปิดทางให้เรือผ่านและหันปิดสำหรับคนข้าม ต่อมาได้รับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงลักษณะจากเดิมหลายครั้ง ครั้งสำคัญในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ สร้างเป็นสะพานโครงเหล็กพื้นไม้เรียบเสมอกันใต้พื้นไม่มีล้อเหล็กแล่นบนรางแต่สามารถแยกสะพานออกจากกันให้เรือผ่านได้ และในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ โปรดให้สร้างสะพานหันใหม่ นำแบบมาจากสะพานในประเทศอิตาลี เป็นสะพานไม้รูปโค้งกว้างกว่าปกติสองฟากสะพานมีห้องแถวเล็ก ๆ ให้เช่าขายของและตรงกลางเป็นทางเดิน เป็นสะพานที่ถูกถ่ายรูปไว้มากทีเดียว ส่วนย่านปลายคลองเมืองที่ต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยามีวัดเชิงเลนหรือวัดตีนเลนหรือวัดบพิตรพิมุข ซึ่งเป็นวัดเก่าริมลำน้ำเจ้าพระยา มีมาก่อนการขุดคลองเมืองเป็นศูนย์กลาง สุนทรภู่เมื่อครั้งเป็นพระอยู่ที่วัดเทพธิดารามเขียนไว้ในนิราศสุพรรณเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๔ ว่าเป็นย่านตลาดสินค้าทั้งสดและแห้ง ภายในคลองเต็มไปด้วยเรือขนถ่ายสินค้า เช่น โอ่งอ่าง อิฐ และเกลือก็ใช้เส้นทางเข้ามาทางปากคลองด้านนี้ ศรีศักร วัลลิโภดม, วลัยลักษณ์ ทรงศิริ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:





![พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น [local museum] และการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน [sustainable tourism]](https://static.wixstatic.com/media/9512c9_ac7ec1fbad374dfab778dbf098fbf206~mv2.jpg/v1/fit/w_176,h_124,q_80,usm_0.66_1.00_0.01,blur_3,enc_auto/9512c9_ac7ec1fbad374dfab778dbf098fbf206~mv2.jpg)



