พบผลการค้นหา 220 รายการ
- ความล้มเหลวของการปกครองท้องถิ่นกับปัญหาสามจังหวัดภาคใต้
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2548 มัสยิดกลางปัตตานี เท่าที่ข้าพเจ้าได้ศึกษาและติดตามความขัดแย้งและความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ที่ผู้คนส่วนใหญ่เป็นมุสลิมจากอดีตมาจนบัดนี้ ได้เกิดความเข้าใจตามภาษาของคนที่มีความคิดนอกรีตว่า เป็นเรื่องของความล้มเหลวในการปกครองท้องถิ่นของรัฐบาลอย่างชัดเจน ทั้งนี้ก็เนื่องจากการขาดความสนใจและความเข้าใจในเรื่อง ประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรมเป็นสำคัญ แม้ในขณะนี้จะมีนักวิชาการและผู้รู้เป็นจำนวนมากให้ความสำคัญในเรื่องวัฒนธรรมก็ตามแต่ก็หาเป็นสิ่งเพียงพอไม่ อันเนื่องมาจากวัฒนธรรมไม่ใช่เป็นสิ่งที่อยู่ลอย ๆ หากผูกพันอยู่กับบริบทของกลุ่มคน สถานที่ และเวลาเสมอ ซึ่งก็เป็นเรื่องของสังคมและประวัติศาสตร์นั่นเองโดยเฉพาะประวัติศาสตร์และสังคมท้องถิ่น การขาดความเข้าใจในเรื่องประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรมนี้ มีมาตลอดเวลาตั้งแต่สมัย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะมุ่งเน้นแต่เรื่องเศรษฐกิจ การเมือง และเทคโนโลยีเป็นหลักในการพัฒนาบ้านเมือง จึงขาดการทบทวนประวัติศาสตร์และเพิกเฉยต่อชีวิตวัฒนธรรมของคนในท้องถิ่นเสมอมา ในเรื่องทางประวัติศาสตร์นั้น จำเป็นต้องมองย้อนหลังไปถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ อันเป็นเวลาที่มีการปฏิรูปการปกครองทั่วทั้งประเทศสยาม การปกครองส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ตามแนวทางตะวันตกในสายตาของนักวิชาการทั่วไป การปฏิรูปการปกครองครั้งนี้คือการรวมอำนาจการปกครองมาอยู่ส่วนกลางอย่างมีระบบและสมบูรณ์ที่สุดกว่าครั้งใด ๆ ในอดีตที่ผ่านมา ดร.สุเทพ สุนทรเภสัช นักมานุษยวิทยาอาวุโสให้ความเห็นว่า เป็นกระบวนการสร้างอาณานิคมภายในแบบเดียวกันกับการสร้างอาณานิคมจากภายนอกโดยต่างชาติที่เป็นมหาอำนาจ ความเด่นชัดที่มองเห็นชัดเจนก็คือ ท้องถิ่นหมดขีดความสามารถในการดูแลตนเองอย่างที่เคยเป็นมาในอดีตนับพันปี เพราะรัฐได้กำหนดพื้นที่ในการปกครองขึ้นมาทับพื้นที่ทางวัฒนธรรมอย่างมีระบบจากข้างบนลงสู่เบื้องล่าง นั่นคือการกำหนดแบ่งเขตการปกครองท้องถิ่นออกเป็น หมู่บ้าน ตำบล และอำเภอ แทนชุมชนบ้านและเมืองที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มทางสังคมและวัฒนธรรม อันเป็นเรื่องการจัดการจากภายในหรือข้างล่างอย่างที่เคยเป็นมา บ้าน ก็คือชุมชนขนาดเล็กที่เกิดจากผู้คนหลายครัวเรือนมาอยู่รวมกันในพื้นที่เดียวกัน มีความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างกันจนรู้จักว่าใครเป็นใคร มีทั้งกลุ่มคนในครัวเรือนที่เป็นญาติพี่น้องโดยทางสายโลหิตและการเกี่ยวดองกันในการแต่งงานกับบรรดาครัวเรือนของคนในครอบครัวในตระกูลอื่น ความสัมพันธ์จากการอยู่ร่วมกันที่ทำอะไรต้องสอดคล้องกัน ทำให้เกิดการยอมรับกันในลักษณะที่เป็นพี่น้องร่วมบ้านหรือเพื่อนร่วมบ้าน ผู้คนที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันในลักษณะที่เป็นกลุ่มที่มีความสัมพันธ์ทางสังคมตามที่กล่าวมานี้ จำเป็นต้องจัดสร้างวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิตเพื่อมีชีวิตรอดร่วมกันในพื้นที่เดียวกัน วัฒนธรรมหรือวิถีชีวิต จึงเป็นเรื่องขององค์รวมที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนในชุมชนท้องถิ่นเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติอันแลเห็นได้จากการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติในรูปของการสร้างที่อยู่อาศัยและการทำมาหากิน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของปัจจัยสี่เป็นสำคัญ ท้ายสุดก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างคนในชุมชนท้องถิ่นกับอำนาจนอกเหนือธรรมชาติ อันเป็นเรื่องของการจินตนาการและความเชื่อในเรื่องศาสนาและจักรวาลที่มนุษย์ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ อำนาจนอกเหนือธรรมชาตินี้แหละที่มีพลังในการควบคุมผู้คนในสังคมหรือกลุ่มชนนั้น ๆ ให้มีความสัมพันธ์ทางสังคมและการทำมาหากินอยู่รอดร่วมกันได้อย่างร่มรื่น อำนาจนอกเหนือธรรมชาติทำให้เกิดสถาบันทางศาสนา เช่น วัด มัสยิด และโบสถ์ อันเป็นที่ผู้คนในชุมชนได้มาชุมนุมกัน รับฟังคำสอนทางพระศาสนา ประกอบประเพณีพิธีกรรมที่จรรโลงโครงสร้างทางสังคมและความมั่นคงทางจิตใจของผู้คนในชุมชนให้อยู่ร่วมกันอย่างราบรื่นในกรอบของจารีต ประเพณี ข้อห้าม และศีลธรรม ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าในชุมชนทางธรรมชาติของมนุษย์ทุกภาษาทุกผู้และทุกนามนั้น ศาสนสถานไม่ว่าวัดในทางพระพุทธศาสนา มัสยิดของศาสนาอิสลาม และโบสถ์ของคริสต์ศาสนา ต่างก็เป็นศูนย์กลางของชุมชนหรือสังคมโดยธรรมชาติ จากโครงสร้างทั้งสามทางวัฒนธรรมของมนุษย์ คือ โครงสร้างสังคม ระบบเศรษฐกิจ และความเชื่อในอำนาจนอกเหนือธรรมชาติที่กล่าวมาในรูปของนามธรรมนี้ ทำให้เกิดสิ่งที่เป็นองค์กรทางสังคมที่มาจากบุคคลที่เป็นตัวแทนในกิจกรรมต่างๆ ที่จะทำให้สังคมหรือชุมชนนั้นๆ ดำรงอยู่ได้อย่างสืบเนื่อง อันประกอบด้วย บุคคลที่เป็นผู้นำทางศาสนาและศีลธรรม ถ้าหากเป็นชุมชนทางพุทธศาสนาก็ได้แก่ พระสงฆ์องค์เจ้าที่เป็นเจ้าอาวาสของวัดในชุมชนผู้มักจะเป็นพระอุปัชฌาย์และครูบาแก่คนทั้งหลาย บุคคลที่เป็นผู้อาวุโสที่เป็นผู้นำทางภูมิปัญญาทั้งทางโลกและทางธรรมที่อยู่ในบั้นปลายของชีวิต หมดความต้องการทางโลกแต่รักที่จะเห็นลูกหลานและผู้คนในชุมชนอยู่สืบเนื่องร่วมกันอย่างสันติสุข บุคคลที่มีวัยวุฒิและคุณวุฒิในชุมชนที่คนเลือกให้เป็นผู้นำในการปกครองและบริหาร ตลอดจนบุคคลที่เป็นครูและมีความรู้ในทางเทคนิคด้านต่าง ๆ องค์กรชุมชนธรรมชาติที่ว่านี้ มีลักษณะเป็นกันเองและเสมอภาคระหว่างบุคคลที่ทำหน้าที่ต่าง ๆ ในองค์กรและกับผู้คนในชุมชนทั่วไป เพราะมีจุดมุ่งหมายในการดำเนินการเพื่อการอยู่รอดร่วมกันของผู้คนในชุมชนเหมือนกัน องค์กรนี้ไม่มีที่ทำการหรือสถานที่ทำงาน การประชุมระหว่างกันหรือประชุมกับลูกบ้านและชาวบ้านทั่วไปใช้สถานที่ทำการในวัดหรือศาสนสถานเป็นที่ทำการ การใช้สถานที่ทำการในวัดหรือศาสนสถานดังกล่าวมีนัยไปถึงการควบคุมพฤติกรรมทางสังคมด้วย เพราะควรเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์อย่างมีศีลธรรม ในศาสนาอิสลามของคนมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้ดูเคร่งครัดกว่าที่อื่น ๆ เรียกองค์กรชุมชนนี้ว่า สภาสุหรอ ประชุมกันในมัสยิดที่ผู้คนในชุมชนต้องมาทำละหมาดกันวันละ ๕ เวลา ผู้รู้ในหมู่มุสลิมบอกว่า การประชุมร่วมกันในมัสยิดนั้นไม่เปิดโอกาสให้ผู้ประชุมพูดจาหยาบโลน ดื่มน้ำเมา และนึกอะไรทำอะไรที่เป็นประโยชน์ส่วนตัวและผิดทำนองครองธรรม ซึ่งแตกต่างจากการประชุมกันที่ทำการตำบลหรือ อบต. ระบบการปกครองท้องถิ่นแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ แบ่งพื้นที่ในการปกครองเป็นหมู่บ้านคือการกันชุมชนที่เป็นบ้านและวัดออกไป ด้วยการกำหนดจากจำนวนครัวเรือนว่ากี่ครัวเรือนจึงเป็นหนึ่งหมู่บ้าน โดยมีผู้ใหญ่บ้านที่ทางราชการแต่งตั้งเป็นผู้ปกครอง ชุมชนธรรมชาติใดที่มีขนาดใหญ่ก็ถูกย่อยลงเป็นหมู่บ้าน หมู่ที่ ๑ หมู่ที่ ๒ นับเป็นชุมชนจัดตั้งจากอำนาจภายนอก ต่างจากชุมชนภายในที่เกิดขึ้นจากสำนึกร่วมทางประวัติศาสตร์ ความสัมพันธ์ทางสังคม และการมีวิถีชีวิตร่วมกันอย่างชัดเจน ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ และ ๖ เรื่อยลงมาจนถึงสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองในระยะแรก ๆ นั้น ความขัดแย้งระหว่างชุมชนธรรมชาติและชุมชนทางราชการไม่ได้มีเพราะผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ใหญ่บ้านก็ดีหรือกำนันก็ดีมักเป็นคนในท้องถิ่นที่ผู้คนยอมรับ อีกทั้งยังไม่มีช่องทางที่จะได้รับผลประโยชน์หรือสิทธิพิเศษจากทางราชการแต่อย่างใด จนกระทั่งสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลมีการพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองโดยมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจเป็นระยะ ๆ หัวใจของการพัฒนาก็คือ การขยายพรมแดนทางเศรษฐกิจหรือนิเวศเศรษฐกิจ การเมือง เพื่อการใช้และเพื่อเข้าถึงบรรดาทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่นต่าง ๆ ในภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อการเกษตรอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมโดยตรง ทำให้เกิดผลกระทบกับนิเวศวัฒนธรรมของผู้คนในชุมชนท้องถิ่นอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าการสร้างเขื่อนพลังน้ำ การชลประทานหลวง การสร้างถนนหนทาง การสร้างแหล่งอุตสาหกรรม การขยายเขตเมือง และการกำหนดเขตป่าสงวน ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ทำลายสภาพแวดล้อมทรัพยากรและพื้นที่ทางวัฒนธรรมของผู้คนในท้องถิ่นทั้งสิ้น แต่ที่สำคัญก็คือ การเข้ามาของคนต่างถิ่นนอกชุมชน ไม่ว่าจะเป็นพวกพ่อค้านายทุนคนที่เป็นแรงงานที่เข้ามาพร้อมด้วยกติกาในการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติโดยอำนาจกฎหมายจากรัฐและส่วนกลางนั้น มีผลทำให้ชุมชนธรรมชาติที่อยู่กันตามแบบประเพณีในกรอบของจารีตวัฒนธรรมระส่ำระสายและแตกแยก เกิดช่องว่างระหว่างวัย คนรุ่นใหม่ถ้าไม่ย้ายออกจากถิ่นเดิมก็ขานรับนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เน้นวัตถุนิยมและรายได้ทางเศรษฐกิจ ครั้นแล้วอำนาจทางเศรษฐกิจที่เข้ามาแทนที่สิทธิและอำนาจทางวัฒนธรรมของผู้คนในชุมชนธรรมชาติก็อุบัติขึ้นในสมัยรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี ครั้งนั้นมีการผันเงินไปยังชนบทเพื่อกระจายรายได้ไปสู่ชาวบ้านอย่างทั่วถึง เพื่อให้ได้ค่าจ้างจากการทำกิจกรรมเพื่อสาธารณะ เช่น ทำถนนเข้าหมู่บ้าน ลอกและขุดคลองชลประทาน เป็นต้น โดยให้สิทธิและอำนาจการจัดการอยู่ที่ผู้ใหญ่บ้านและกำนัน การกระทำเช่นนี้นับเป็นการเปลี่ยนแปลงกิจกรรมทางสังคมที่องค์กรท้องถิ่นเคยเอาแรงขอแรงชาวบ้านให้มาร่วมกันทำเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างไม่มีค่าตอบแทนอย่างสิ้นเชิง ทำให้เกิดการมองอะไรเพื่อการตอบแทนทางวัตถุมากกว่าจิตใจอย่างที่เคยมีมา ผู้ที่ได้รับผลตอบแทนมากเห็นจะเป็นพวกผู้ใหญ่บ้านและกำนัน ซึ่งนอกจากได้มาโดยตำแหน่งฐานะแล้วยังเผื่อแผ่ไปยังกลุ่มผลประโยชน์ของตนอีกด้วย นับเป็นการแบ่งแยกภายในชุมชนเป็นสำคัญ ถ้าสังเกตให้ดีก็จะเห็นว่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เกิดการเปลี่ยนแปลงของผู้ใหญ่บ้านและกำนันในเรื่องสถานภาพ อำนาจ และผลประโยชน์อย่างชัดเจน ผู้ที่เป็นผู้ใหญ่บ้านและกำนันอาจมาจากคนในท้องถิ่นหรือจากภายนอกก็ได้ มีการซื้อเสียงหาเสียงเพื่อจะได้เข้าดำรงตำแหน่ง อีกทั้งมักจะได้กับผู้มีฐานะร่ำรวยและมีอิทธิพล บางคนสามารถตั้งตัวเป็นเศรษฐีและนายทุนของท้องถิ่นเลยก็ว่าได้ ทั้งผู้ใหญ่บ้านและกำนันคือตัวแทนของรัฐที่เป็นกลไกในการถืออำนาจเข้าสู่รัฐแทนการกระจายอำนาจให้กับท้องถิ่น เพราะโดยพฤติกรรมหาได้ทำอะไรเพื่อคนในท้องถิ่นอย่างแต่เดิมไม่ แต่การเติบโตในเรื่องอำนาจและผลประโยชน์ของผู้ใหญ่บ้านและกำนันก็หาหยุดอยู่ที่ทำอะไรภายใต้การดูแลของนายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด และทางส่วนกลางไม่ สมัยรัฐบาลต่อมาได้เกิดจัดให้มีองค์การบริหารส่วนตำบล หรือ อบต. และส่วนจังหวัด หรือ อบจ. ขึ้น โดยหวังให้ท้องถิ่นมีการปกครองตนเองโดยไม่ต้องขึ้นอยู่กับอำเภอและจังหวัดเพียงอย่างเดียวอย่างแต่ก่อน ก็นับเป็นเจตนาดีในทางอุดมคติและหลักการ แต่ในทางปฏิบัติ อบต. และอบจ. กลับกลายเป็นหนทางการเติบโตของบรรดาผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายทุนและผู้มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจจากภายนอกและภายในท้องถิ่น ต่างเปลี่ยนฐานะจากการใช้อำนาจรัฐในการแสวงหาผลประโยชน์มาเป็นอำนาจท้องถิ่นที่ได้มาจากการหาชื่อเสียงและการใช้อิทธิพล สิ่งที่เปลี่ยนไปของลักษณะผู้นำและการเป็นผู้นำในสังคมท้องถิ่นก็เกิดขึ้น แต่ก่อนผู้นำท้องถิ่นคือบุคคลที่มีใจคอกว้างขวางเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับคนทั่วไป และทำอะไรก็เพื่อเป็นประโยชน์ของท้องถิ่น แม้ว่าในบางครั้งจะแสดงออกในทางท้องถิ่นนิยมอย่างมีอคติก็ตาม แต่บุคคลเหล่านี้หาใช่คนร่ำรวยที่มีฐานะและความเป็นอยู่ที่แตกต่างไปจากชาวบ้านทั่วไปไม่ ผู้นำแบบนี้คนสมัยเดิม ๆ เรียกว่า นักเลง นักเลงโต หรือมีจิตใจเป็นนักเลง แต่ผู้ที่มาในรูปของผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และอบต. ในยุคนี้ คือ บุคคลที่มีฐานะความมั่งคั่ง อำนาจ และอิทธิพลไปในแบบเจ้าพ่อ ในหลาย ๆ แห่ง เจ้าพ่อก็คือมาเฟียอย่างที่มีในต่างประเทศ ผู้นำที่เป็นเจ้าพ่อนี้ มักเป็นพวก คนชั้น ที่เหลื่อมล้ำกับคนที่เป็นชาวบ้านทั่วไป มักได้อำนาจอย่างล้นฟ้ามาจากอำนาจทางการเมืองจากทางรัฐสภา ผู้นำเหล่านี้คือบุคคลที่ก้าวต่อไปเป็น สส. เป็นนักการเมืองที่แสวงหาช่องทางเข้ามาเป็นใหญ่เป็นโตในคณะรัฐบาลเพื่อที่จะมีอำนาจเหนืออำนาจการบริหารปกครองที่เป็นหน้าที่ของฝ่ายข้าราชการทั้งทหาร ตำรวจ และพลเรือน หน้ามัสยิดกรือเซะมักมีผู้มายืนสงบจิตภาวนากันอยู่เสมอแม้ไม่ใช่เวลาละหมาด ความซวยจึงพึงเกิดขึ้นกับผู้คนในท้องถิ่น เพราะได้ผู้นำที่ไม่เพียงแต่แสวงหาผลประโยชน์ให้แก่ตนเองและพรรคพวกแล้ว ยังกลายเป็นรูปแบบและตัวอย่างของคนรุ่นใหม่ในสังคมที่ขานรับความเป็นปัจเจกบุคคลในระบบทุนนิยมเสรีที่ขยายผลลงสู่คนรุ่นใหม่ในท้องถิ่น จนเกิดการมองโลก ค่านิยม และทัศนคติที่ห่างไกลไปจากความเป็นมนุษย์ในลักษณะที่เป็นสัตว์สังคมอย่างในอดีต ปัจจุบัน คนรุ่นใหม่ในระดับรากหญ้าคือ สัตว์เศรษฐกิจ ในระบบทุนนิยมเสรีที่ให้ความสำคัญกับความเป็นปัจเจกเหนืออื่นใด อมนุษย์แบบนี้มีพบทั้งในระดับชุมชนและครอบครัว คือ ผู้ที่ได้รับการศึกษาอบรมให้มีความคิดริเริ่มใหม่ในการเป็นผู้ประกอบการ จะทำอะไรก็ขอให้ได้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจตามคำพังเพยแห่งยุค คือ งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข ทำให้แสวงหาผลประโยชน์แม้กระทั่งบุคคลที่เป็นญาติพี่น้องในครอบครัวเดียวกัน จนละความคิดและการช่วยเหลือเกื้อกูลกันทางมนุษยธรรม เดี๋ยวนี้ ความจน ความรวย เป็นเรื่องของรายได้ส่วนบุคคลที่เป็นปัจเจก จนถึงต้องมีการขึ้นทะเบียนคนจนกันทั้งประเทศ ฐานะความเป็น คนชั้น ที่แสดงออกด้วยการบริโภคทางวัตถุปรากฏให้เห็นแม้แต่บุคคลที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน ในชุมชนเดียวกัน ซึ่งแต่ก่อนความจนและความรวยเป็นเรื่องการอยู่ร่วมกันในครอบครัวและชุมชน หาเป็นปัจเจกไม่เพราะเป็นเรื่องที่น่าอับอาย นี่คือความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนที่เปลี่ยนไป ปัจจุบันระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงและยั่งยืน อันเป็นความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งหลายในชุมชนกับสภาพแวดล้อมธรรมชาติก็เปลี่ยนไปด้วย แต่ก่อนคนสัมพันธ์กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในลักษณะที่เป็นกลุ่ม เช่น การใช้พื้นที่ธรรมชาติในการตั้งถิ่นฐานของชุมชนร่วมกัน แล้วจึงย่อยออกมาเป็นสิทธิของการครอบครองที่ดินในลักษณะที่เป็นที่ตั้งของครัวเรือนและที่ทำกินของครัวเรือนและครอบครัว เป็นสิ่งที่เป็นมรดกตกทอดและซื้อขายกันได้ นอกเหนือจากนี้ก็เป็นพื้นที่สาธารณะ เช่น เขตวัด เขตป่าช้า เขตป่าเขา หนองบึง แม่น้ำลำคลองและท้องทุ่ง ที่ผู้คนในชุมชนและชุมชนที่อยู่ในละแวกเดียวกันได้ใช้ร่วมกันอย่างมีกติกาและจารีต ความสัมพันธ์ของคนกับสภาพแวดล้อมธรรมชาติดังกล่าวนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำรงอยู่ของสังคมบ้านและเมืองในอดีต เป็นเรื่องที่อธิบายให้เห็นได้ว่า คนแต่ดั้งเดิมในสังคมเกษตรกรรมที่แม้พึ่งพิงธรรมชาตินั้นไม่มีทางอยู่ได้อย่างโดดๆ แต่เพียงชุมชนเดียว โดยเฉพาะชุมชนบ้านหรือหมู่บ้าน หากต้องอยู่รวมกันในพื้นที่ซึ่งเป็นภูมินิเวศธรรมชาติเดียวกัน เพราะต้องพึ่งธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติร่วมกัน ต้องมีการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมในภูมินิเวศเดียวกัน จนเกิดรูปแบบในเรื่องความสัมพันธ์ทางสังคม และการใช้ทรัพยากร การจัดการทรัพยากรธรรมชาติให้เป็นธรรมร่วมกัน การปรับตัวดังกล่าวนี้คือสิ่งที่ทำให้เกิดนิเวศวัฒนธรรมขึ้นมา ซึ่งในที่นี้ข้าพเจ้าเรียกว่า ท้องถิ่น แทน เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับคนทั่วไปไม่ใช่กับพวกนักวิชาการ เพราะฉะนั้น เมื่อข้าพเจ้าศึกษาเรื่องชีวิต วัฒนธรรม และการปกครองท้องถิ่น ข้าพเจ้าจึงใช้ ท้องถิ่น เป็นหน่วยในการศึกษามากกว่าการใช้คำว่า ชุมชน ที่ทั้งทางราชการและนักวิชาการจำนวนมากใช้กัน ตัวอย่างเช่น คำว่า ชุมชน ที่ใช้กันโดยทั่วไปนั้นมักกำหนดเอาจากหน่วยทางการปกครอง เช่น หมู่บ้านและตำบล แต่ชุมชนที่ข้าพเจ้าเรียกว่า บ้าน นั้น หมายถึง วิลเลจ [Village] ในภาษาอังกฤษ เป็นชุมชนที่เกิดจากความสัมพันธ์ทางสังคมของคนภายในท้องถิ่น หาได้อยู่ที่การกำหนดเขตพื้นที่จากจำนวนครัวเรือนของทางราชการไม่ ดังนั้น ท้องถิ่นหรือนิเวศวัฒนธรรมที่ประกอบด้วยชุมชนหลายชุมชนปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมธรรมชาติร่วมกันนั้นคือพื้นที่ทางวัฒนธรรมนั่นเอง ทว่า การปรับตัวเข้ากับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นหรือนิเวศวัฒนธรรมนั้น ไม่มีทางสำเร็จถ้าขาดความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งนอกเหนือธรรมชาติ เพราะไม่มีอำนาจใดที่จะควบคุมความประพฤติและพฤติกรรมในเรื่องความต้องการทางวัตถุอันเป็นเรื่องรูป รส กลิ่น เสียง และผลประโยชน์ส่วนบุคคลของคนในชุมชนได้ทั่วถึง ยกเว้นอำนาจจากความเชื่อและความกลัวที่อยู่นอกเหนือธรรมชาติ อำนาจนี้เป็นอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่ผดุงศีลธรรมซึ่งอยู่กับความเป็นมนุษย์มาแทบทุกยุคทุกสมัยในสังคมตะวันออก ในนิเวศวัฒนธรรมหรือท้องถิ่น บรรดาแทบทุกสิ่งที่เป็นธรรมชาติจะมีสิ่งนอกเหนือธรรมชาติเกี่ยวข้องอยู่ด้วยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ในแม่น้ำลำคลอง ทุ่งหญ้า ป่าเขา ต้นไม้ สัตว์ ต่างก็เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่า ผี หรือพลังทางจิตวิญญาณเสมอ เป็นความเชื่อที่ผู้คนในทุกชุมชนของท้องถิ่นรับรู้และเชื่อฟังข้อห้ามและกฎเกณฑ์จารีตของการที่จะไปเกี่ยวข้องกับการนำสิ่งของธรรมชาติหรือทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ในการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันทั้งนั้น อำนาจนอกเหนือธรรมชาติดังกล่าวนี้ คือ สิ่งที่ค้ำจุนระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงและยั่งยืนในพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เพราะทำให้ทรัพยากรธรรมชาติและการอยู่ร่วมกันในระบบนิเวศวัฒนธรรมเป็นเรื่องของการนำมาใช้อย่างเอื้ออาทรต่อกัน โดยนำมาใช้แต่พอเพียง ไม่เข้าไปยึดครอง และนำมาเป็นประโยชน์เฉพาะตนและพรรคพวก ต้องคำนึงถึงความอยู่รอดของผู้คนในทุกชุมชนในท้องถิ่นด้วย ถ้าหากใครละเมิดก็จะถูกอำนาจนอกเหนือธรรมชาติลงโทษ กลายเป็นคนที่ถูกตำหนินินทาเป็นบุคคลที่ชั่วร้ายที่อาจนำความหายนะมาสู่ผู้คนในสังคมท้องถิ่นทั้งหมด อำนาจนอกเหนือธรรมชาตินี้จะแสดงออกด้วยการประกอบประเพณีพิธีกรรมทั้งในรูปแบบของประเพณีสิบสองเดือน ประเพณีเกี่ยวกับชีวิต และประเพณีเกี่ยวกับการรักษาโรคภัยไข้เจ็บเป็นอาทิ วัดศาลเจ้า หอผี ล้วนเป็นความเชื่อที่สัมพันธ์กับพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์อันเป็นพื้นที่สาธารณะที่ผู้คนในทุกชุมชนของท้องถิ่นพากันมาประกอบประเพณีพิธีกรรมร่วมกัน ทำให้เกิดกระบวนการสร้างสำนึกร่วมและการสังสรรค์ทางสังคมที่นำมาซึ่งความมั่นคงทางจิตใจ สังคม และเศรษฐกิจระหว่างกัน ปัจจุบันความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งนอกเหนือธรรมชาติกำลังถูกทำลายอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นการทำลายอย่างเป็นกระบวนการที่เรียกว่า การพัฒนาเศรษฐกิจ ที่มีแผนพัฒนามาเป็นระยะ ๆ หลายรัฐบาลจนปัจจุบัน คงไม่มีเวลาที่จะบรรยายสรรพคุณความชั่วร้ายของแผนพัฒนาในที่นี้ เพราะเคยพูดไว้ในที่อื่นๆ อย่างซ้ำซาก เพียงอยากสรุปให้เห็นแต่เพียงว่า เป็นการนำเอาแนวคิด ทฤษฎี และวิธีปฏิบัติทางเศรษฐกิจ การเมืองในระบบทุนนิยมเสรีที่เน้นความสำคัญของการเป็นปัจเจกบุคคลที่มนุษย์ทางตะวันออกเห็นว่าเป็นอมนุษย์มาดำเนินการ ทำให้เกิดระบบนิเวศเศรษฐกิจการเมืองจาก ภายนอก ท้องถิ่นเข้ามาทำลายนิเวศวัฒนธรรมของผู้คน ภายใน ท้องถิ่นจนแตกแยกและล่มสลาย กระบวนการขยายตัวของนิเวศเศรษฐกิจการเมืองนี้ ปฏิเสธความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งนอกเหนือธรรมชาติ เอาอำนาจทางกฎหมายจากส่วนกลางและสิทธิอำนาจในการดูแลรักษาความสงบยุติธรรมของรัฐเข้ามาบดบังอำนาจทางจารีตประเพณีของสังคมท้องถิ่นอย่างสิ้นเชิง ดังจะเห็นได้ว่าในทุกแผนพัฒนาทางเศรษฐกิจของรัฐนั้น ดูเหมือนตัดความสำคัญทางศาสนาออกไป โดยปล่อยให้เป็นเรื่องทางสังคมแต่เพียงอย่างเดียว เมื่อละเลยศาสนาและความเชื่ออันเป็นมิติทางจิตวิญญาณที่เคยสร้างดุลยภาพระว่างความต้องการทางวัตถุและจิตใจก็สูญสลายไป การพัฒนาในเรื่องจิตใจจึงเป็นเรื่องที่ปล่อยไปตามยถากรรม และมีส่วนกระตุ้นให้ความเชื่อทางศาสนาที่เคยจรรโลงศีลธรรมเปลี่ยนมาเป็นความเชื่อทางไสยศาสตร์ที่กลับไปเสริมอำนาจและความโลภทางวัตถุของปัจเจกบุคคลแทน วัดและศาสนสถานที่เคยเป็นศูนย์กลางทางสังคมของชุมชนทั้งบ้านและเมืองก็หมดความหมายอย่างที่เคยมีมาในอดีต แต่กลับมีรูปแบบที่ใหญ่โตสวยงามและมั่งคั่ง เพราะกลายเป็นที่ระบายความใหญ่โตของขุนนางสงฆ์และการแสดงออกทางฐานะ และอำนาจของบรรดานักการเมือง นักธุรกิจแบบปัจเจกบุคคล มากกว่าการเป็นวัดของผู้คนในชุมชนดังแต่ก่อน คนแก่ๆ ในชนบทมักพูดให้เสียดแทงใจบ่อย ๆ ว่า วัดสมัยนี้อยู่ที่เมรุเผาศพ เพราะเป็นที่ส่งวิญญาณ คนชั้นให้ไปสู่สวรรค์ชั้นที่ร่ำรวยอย่างนิรันดร เมื่อสิ้นความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งนอกเหนือธรรมชาติ ก็สิ้นอำนาจทางจิตวิญญาณที่เคยจรรโลงสังคมท้องถิ่นให้อยู่ร่วมกันอย่างมีศีลธรรม ก็สิ้นความสำคัญขององค์กรชุมชนจากภายในในการจัดการกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อการมีชีวิตอยู่รอดร่วมกันของสังคมท้องถิ่น โดยเฉพาะการจัดการน้ำและทรัพยากรที่ผู้คนในท้องถิ่นต้องใช้ร่วมกันและต้องช่วยกันจัดการแบ่งปัน แต่ก่อนการจัดการน้ำเป็นเรื่องของชลประทานราษฎร์เป็นเรื่องของคนในสังคมท้องถิ่นดูแลกันเอง โดยเป็นเครือข่ายขององค์กรชุมชนบ้านแต่ละแห่งในชุมชนมาประชุมตกลงกัน ในการร่วมแรงและกำลังทุนมาจัดการแล้วแบ่งปันกันอย่างทั่วถึง ดังเช่น การชลประทานเหมืองฝายในเขตแคว้นล้านนาทางภาคเหนือ โดยรัฐโบราณสนับสนุนด้วยการให้อำนาจทางกฎหมาย เช่น ในกฎหมายมังราย เป็นต้น การจัดการกันเองโดยอำนาจท้องถิ่นเช่นนี้ ทำให้ผู้คนในท้องถิ่นต่างมีน้ำกินน้ำใช้ในทุกฤดูกาล หามีการแบ่งน้ำกันเหมือนในปัจจุบันไม่ ซึ่งดูตรงข้ามกับการเข้ามาเกี่ยวข้องของรัฐและนายทุนจากภายนอกในรูปชลประทานหลวงที่ทำให้เกิดการแย่งน้ำ น้ำท่วม และการโยกย้ายผู้คนออกจากชุมชนจนเดือดร้อนกันไปทั่วในปัจจุบัน การจัดการทรัพยากรในนิเวศวัฒนธรรมของสังคมท้องถิ่นโดยอำนาจของจารีตประเพณีนั้น สามารถทำให้คนที่ด้อยโอกาสไม่มีที่ทำกินและที่อยู่อาศัยมีชีวิตอยู่ได้ เพราะอาจอาศัยพื้นที่สาธารณะของท้องถิ่นในการสร้างที่อยู่อาศัย บึง หนอง ป่า เขา และแม่น้ำ อันเป็นพื้นที่สาธารณะในการหากิน แต่ปัจจุบันพื้นที่สาธารณะดังกล่าวถูกออกเอกสารสิทธิ์ให้กลายเป็นพื้นที่เพื่อประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจของปัจเจกบุคคลไปหมดแล้ว การสิ้นอำนาจทางจารีตประเพณีของท้องถิ่นก็สิ้นอำนาจและความสามารถทางภูมิปัญญาของคนในท้องถิ่นที่จะจัดระเบียบทางสังคมเพื่อการอยู่รอดร่วมกันอย่างที่มีมาแล้วเกือบพันปี แต่ก่อน หากเกิดความขัดแย้งทางสังคม เช่น มีคนไม่ดี คนเกเร หรือคนนอกเข้ามาก่อความวุ่นวาย องค์กรชุมชนแบบเดิมจัดการได้โดยไม่ต้องแจ้งตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ามาจัดการ เว้นแต่เรื่องที่สำคัญร้ายแรงจนจัดการไม่ได้ รวมทั้งการให้ความยุติธรรมด้วย ผู้ที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของชุมชนจะทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยให้ประนีประนอมกันก่อนโดยไม่ต้องไปขึ้นศาลและจ้างทนายความแต่อย่างใด ทั้งนี้เพราะโครงสร้างทางสังคมขององค์กรชุมชนบ้านแต่เดิมนั้นเป็นสิ่งที่ตั้งอยู่บนความเสมอภาคที่ความแตกต่างในระดับต่ำ-สูงอยู่ที่วัยวุฒิและคุณวุฒิเป็นสำคัญ แต่ความแตกต่างดังกล่าวนี้ไม่ทำให้เกิดช่องว่างที่จะนำไปสู่การมีอำนาจและการแสวงหาผลประโยชน์ของปัจเจกบุคคลแต่อย่างใด เป็นสิ่งที่ถูกควบคุมด้วยสำนึกร่วมของการเป็นคนภายในจากบ้านเดียวกันหรือท้องถิ่นเดียวกัน การกระทำการใด ๆ นั้นต้องได้รับการยอมรับว่าเป็นประโยชน์กับส่วนรวมทั้งสิ้น แต่นับจากรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นต้นมา มีการกระจายเงินจากส่วนกลางลงไปในชนบท ได้ทำให้บุคคลที่เป็นผู้ใหญ่บ้านและกำนันมีอำนาจหน้าที่ในการใช้เงิน ในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ นั้น เป็นเหตุให้โครงสร้างสังคมขององค์กรชุมชนที่เคยเสมอภาคกลายมาเป็นความเหลื่อมล้ำแบบปิรามิด เกิดผลประโยชน์แก่บุคคลและพรรคพวกที่มีตำแหน่งและฐานะที่จะใช้เงินได้ เงินจากรัฐแทบทุกรัฐบาลที่ผ่านมาจนกระทั่งปัจจุบัน ได้กลายเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความต้องการของผู้ได้รับการเลือกตั้งและแต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครองและบริหารของท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่บ้านหรือ อบต. ซึ่งในที่สุดได้ทำให้เกิดความล้มเหลวในการปกครองท้องถิ่นอย่างสิ้นเชิง ถ้าตราบใดที่ยังไม่มีการแก้ไขให้ผู้ที่ดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านกำนันและ อบต. เกิดสำนึกในความเป็นคนท้องถิ่นและเป็นส่วนหนึ่งในองค์กรชุมชนที่มีผู้หลักผู้ใหญ่ทางศีลธรรมและมีภูมิปัญญาเข้ามามีส่วนร่วมให้ทำอะไรเพื่อส่วนรวมอย่างแต่ก่อนแล้ว ก็คงไม่มีทางแก้ไขอะไรได้ เพราะการล่มสลายของนิเวศวัฒนธรรมและชีวิตวัฒนธรรมของผู้คนในสังคมท้องถิ่นได้แพร่กระจายไปทั่วประเทศแล้วในขณะนี้ เป็นสิ่งที่รอวันรอคืนให้บ้านเมืองและที่ทำกินของผู้คนถูกยึดครองโดยนายทุนจากภายนอก โดยคนท้องถิ่นที่เป็นชาวบ้านกลายเป็นทาสติดที่ดินไป ความขัดแย้งและความรุนแรงในสังคมท้องถิ่นของสามจังหวัดภาคใต้ ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่เป็นคนมุสลิมนับถือศาสนาอิสลามในปัจจุบัน เป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้เห็นว่าคนท้องถิ่นส่วนใหญ่กำลังอยู่ในภาวะที่เรียกว่า ไดเลมม่า [Dilemma] คือการอยู่ท่ามกลางสิ่งไม่พึงประสงค์ทั้งสองข้าง ข้างหนึ่งคือการคุกคาม ทำลาย และบดขยี้นิเวศวัฒนธรรมที่มาจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจการเมืองจากภายนอกที่ทำให้ผู้คนในท้องถิ่นไม่อาจต่อต้านและต่อรองได้ กับอีกข้างหนึ่งที่มาจากภายใน อันเนื่องจากช่องว่างระหว่างวัยของคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่า คนรุ่นเก่าคือพวกที่ยังยึดมั่นในพระศาสนา ดำเนินวิถีชีวิตไปตามคำสั่งสอนของพระศาสดา รักความสงบและเรียบง่ายจนไม่อาจต้านกระแสการคุกคามของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมและวัตถุนิยมจากภายนอกได้ กับพวกคนรุ่นใหม่ที่มีทั้งขานรับอิทธิพลวัตถุนิยมจากภายนอก แสวงหาความมั่งคั่งด้วยวิธีการที่ไม่สุจริต และพวกคนหัวรุนแรงที่ต่อต้านและทำลายความเจริญทางวัตถุที่มาจากภายนอก คนรุ่นใหม่ที่ว่านี้หาได้เชื่อฟังอยู่ในโอวาสของพระศาสนาอย่างแต่ก่อนไม่ พวกที่เห็นแก่ตัวก็แสวงหาผลประโยชน์อย่างชั่วร้าย เช่น ค้ายาเสพติด มอมเมาเด็กวัยรุ่นให้ก่อความรุนแรงและความไม่สงบ ในขณะที่พวกหัวรุนแรงคือพวกที่เกลียดชังรัฐบาลและสังคมไทยพุทธ เพราะได้รับการกระทำทั้งทางตรงและทางอ้อมในลักษณะที่ไม่เป็นธรรมและเสมอภาคมาเป็นเวลาช้านาน คนเหล่านี้มักเป็นผู้ก่อความรุนแรงไม่สงบ ต่อต้านรัฐบาลและต้องการที่จะแบ่งแยกดินแดน มีการฝึกฝนในด้านการใช้อาวุธยุทธภัณฑ์ และมีความสามารถเป็นอย่างดีในการก่อการจลาจลและฆ่าฟันผู้คนที่เห็นว่าเป็นผู้เข้ากับทางรัฐบาลและคุกคามการขยายตัวของนักธุรกิจ นายทุนที่มาจากภายนอก ทหารรักษาการณ์ท่ามกลางความแออัดจอแจของตลาดเช้าที่ตลาดเก่าปัตตานี ปรากฏการณ์ของความไม่สงบและความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ได้ทวีคูณความรุนแรงในช่วงเวลา ๑ ปี ๙ เดือนที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้การสร้างความไม่สงบเป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า เป็นเรื่องของขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่มีแรงผลักดันมาจากการที่รัฐไม่ให้ความยุติธรรมและความเสมอภาคกับคนมุสลิมมาแต่สมัยจอมพลป. พิบูลย์สงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ผนวกกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองที่เป็นข้าราชการที่ทำความเดือดร้อนให้กับผู้คนในท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง แต่ทว่าการก่อความไม่สงบก็ดูเหมือนจะแลเห็นเป็นรูปแบบที่สม่ำเสมอได้ว่า เป็นการเผาหรือวางระเบิดโรงเรียน ศูนย์กลางการคมนาคมและสถานที่ราชการเป็นส่วนใหญ่ หาได้เป็นการปฏิบัติการในเรื่องลอบทำร้าย ลอบฆ่าเจ้าหน้าที่และประชาชนไม่ จนกระทั่งเมื่อรัฐบาลปัจจุบันได้มีการยกเลิกการทำงานของคณะทำงานร่วมกับ ศอบต. ที่ประกอบด้วย ทหาร ตำรวจ และพลเรือน ในเรื่องการรักษาความสงบมามอบอำนาจให้ฝ่ายตำรวจดำเนินการโดยเด็ดขาดแต่ผู้เดียว เมื่อ ๑ ปี ๙ เดือนที่แล้วมา การก่อความรุนแรงจึงทวีคูณขึ้นคือไม่เพียงแต่เผาทำลายโรงเรียนสถานที่ราชการ หรือสถานที่ประกอบการค้าธุรกิจเท่านั้น หากยังมีการทำลายฆ่าฟันเจ้าหน้าที่ตำรวจและข้าราชการเกิดขึ้นด้วย แต่เหตุของการเปลี่ยนแปลงจนเป็นการทำร้ายผู้คนจนถึงจนถึงแก่ชีวิตเช่นนี้ หาได้มีการตั้งคำถามและสอบหากันจากทางรัฐและสังคมมหาชนแต่อย่างใด กลับคิดและเชื่อกันเป็นทางเดียวว่า เป็นการเพิ่มความรุนแรงในการก่อการร้ายที่จะนำไปสู่การแบ่งแยกดินแดนอย่างที่เชื่อกันมาแต่เดิมนั่นเอง โดยหามีการตั้งข้อสังเกตโดยฝ่ายเจ้าหน้าที่ของรัฐเลยว่า ทางฝ่ายก่อความไม่สงบได้มีการสื่อความหมายมาเป็นระยะๆ จากคำประกาศในใบปลิวและข้อความที่เขียนไว้ตามที่สาธารณะว่า “ถ้าไม่เลิกอุ้มฆ่าคนมุสลิม ก็จะได้รับการตอบโต้อุ้มฆ่าคนบริสุทธิ์ที่เป็นคนพุทธ ฆ่าพระ ฆ่าตำรวจ ฆ่าทหาร พ่อค้า และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับตำรวจจนถึงเกี่ยวข้องกับทางรัฐ” ซึ่งฝ่ายตรงข้ามก็ทำมาตามลำดับ เหมือนกับยั่วยุให้ทางฝ่ายรัฐบาลเพิ่มมาตรการลงไปจัดการ โดยอ้างความชอบธรรมกับสังคมมหาชนว่าเป็นการปราบปรามเพื่อป้องกันการแบ่งแยกดินแดน สิ่งที่ทำให้เกิดการเดินทางเข้าไปสู่กับดักของของผู้ก่อความไม่สงบของฝ่ายปฏิบัติการของทางรัฐโดยความเห็นชอบของสังคมมหาชน (เพราะมีการสำรวจความเห็นออกมาทีไร ก็เห็นด้วยกับเรื่องการแบ่งแยกดินแดนและการปราบปรามโดยวิธีการรุนแรง) เพราะข่าวที่ออกมาจากจอทีวี เสียงจากวิทยุ และหน้าหนังสือพิมพ์นั้น เป็นการนำเอาภาพของความเสียหายจากการเผาระเบิดทำลายสถานที่ทางราชการและธุรกิจการค้า ตลอดจนการเสียชีวิตและสถิติคนตายและบาดเจ็บมาตีแผ่ ข้อมูลที่เป็นปรากฏการณ์ โดยมีสถิติจำนวนคนตายและความเสียหายที่ปรากฏเป็นข่าวนี้ แท้จริงแล้วหาได้เป็นสิ่งที่นำไปสู่ความเป็นจริงทั้งหมดไม่ เพราะเป็นสิ่งที่นอกจากเลือกนำมาเสนอให้เข้ากับความเข้าใจของผู้คนในสังคมมหาชนที่มีทัศนคตินิยมแบบศูนย์กลางเป็นใหญ่ [Centralism] แล้วยังเป็นข้อมูลที่สะท้อนถึงสิ่งที่เป็น ปลายเหตุ มากกว่า ต้นเหตุ ดังนั้น เมื่อมองจากสิ่งที่เป็นปลายเหตุ เช่น จำนวนคนตายที่เป็นผลจากการฆ่าฟันของผู้ก่อการร้ายก็ว่าต้องทำการปราบปรามด้วยวิธีรุนแรง เกิดมาตรการออกกฎอัยการศึกนำทหารลงไปปฏิบัติการราวกับพื้นที่ในสามจังหวัดภาคใต้เป็นดินแดนแห่งอริราชศัตรู รวมไปถึงมาตรการในการเยียวยาผู้เคราะห์ร้ายและการพัฒนาเศรษฐกิจให้ไม่มีความยากจนแบบเดียวกับที่ช่วยเหลือคนที่เป็นไทยพุทธ ซึ่งนับเป็นการขาดความเข้าใจในเรื่องประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรมของสังคมท้องถิ่นอย่างสิ้นเชิง ดูเหมือนมาตรการต่าง ๆ จากทางรัฐที่ทำไปเพื่อแก้ไขสิ่งที่เป็นปลายเหตุนี้จะถูกปฏิเสธและตอบโต้อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะเหตุการณ์ระเบิดกลางเมืองยะลา เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๔๘ ที่แล้วมา ได้ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่รัฐและสังคมมหาชนเป็นอย่างมาก เป็นสิ่งที่นำไปสู่การออกพระราชกำหนดที่มีทั้งผู้คัดค้านและสนับสนุนในการใช้กำลังรุนแรงปราบปรามอยู่ในขณะนี้ ในการรับรู้ของสังคมมหาชนภาพของการระเบิดกลางเมืองยะลา คือ การก่อวินาศกรรมแบบเดียวกับที่เกิดขึ้นในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ หรือที่บาหลี และอเมริกา แต่ก็มีผู้ที่มีสติหลายท่านได้ทบทวนประเมินสถานการณ์และความเสียหาย โดยเฉพาะจำนวนผู้ที่เสียชีวิตและบาดเจ็บแล้ว เห็นว่าหาได้มีขนาดเป็น วินาศกรรมแบบสยดสยอง [Terrorism] ไม่ เพราะผู้ก่อการร้ายไม่แสดงเจตนาอันใดในการที่จะฆ่าฟันผู้คนในบ้านเมืองและชุมชนอันเป็นเขตแดนของพวกตนแต่อย่างใด ในทำนองตรงข้าม น่าจะเป็นการคุกคามเพื่อการต่อรองทางการเมืองอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือไม่ก็เป็นการคุกคามบรรดานักการค้าธุรกิจนายทุนที่เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จนนำความเดือดร้อนให้ผู้คนมุสลิม ดูเหมือนสมมุติฐานข้อหลังนี้ดูสอดคล้องกับการแถลงความเดือดร้อนของบรรดานักธุรกิจในระดับนายทุนต่อคณะกรรมการสมานฉันท์ เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๔๘ ที่แล้วมา ซึ่งนับเป็นข้อมูลความเป็นจริงจากคนอีกกลุ่มหนึ่งในพื้นที่ของความรุนแรง ยิ่งกว่านั้นก็ยิ่งดูสอดคล้องใหญ่กับข้อมูลที่ได้จากนักวิชาการในภาคประชาสังคมที่ว่า การคุกคามของผู้ก่อความไม่สงบตั้งแต่หลังเดือนสิงหาคมเป็นต้นมาที่ห้ามและจะทำร้ายผู้คนที่ออกมาทำงาน มาค้าขายในวันศุกร์และวันเสาร์เพราะเป็นวันหยุดทางศาสนาของคนมุสลิมนั้น เป็นสิ่งที่ขานรับกันในคนมุสลิมหมู่มากที่ปฏิเสธความเจริญสมัยใหม่ที่เข้ามากับสังคมอุตสาหกรรม นั่นก็คือ ต้นเหตุของการก่อการร้ายอย่างหนึ่ง เป็นการต่อต้านการรุกล้ำของการพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรีที่นำความเจริญทางวัตถุจากภายนอกและผู้ฉวยโอกาสจากภายนอกเข้ามาในบ้านเมืองของคนมุสลิมนั่นเอง เพราะประชาชนธรรมดาทั่วไปยังไม่มีความพร้อมและศักยภาพที่จะปรับตัวเข้ากับระบบเศรษฐกิจและสังคมทุนนิยมแบบใหม่ได้ เมื่อมาถึงตรงนี้ทำให้นึกไปถึงเรื่องการเผาโรงเรียนที่ทำกันอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันและบานปลายมาเป็นทำร้ายและเอาชีวิตของครูอยู่เนืองๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการศึกษาโดยตรง เป็นไปได้ไหมที่สาเหตุน่าจะมาจากการปรับตัวของการศึกษาของคนมุสลิมแบบเดิมที่ถือว่า ศาสนาอิสลามเป็นวิถีชีวิต [Way of life] กิจกรรมใด ๆ ก็ตามในการดำรงชีวิต เป็นสิ่งที่แยกไม่ออกจากศาสนา เมื่อทางรัฐโดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการเข้าไปจัดระเบียบให้มีการศึกษาตามมาตรฐานของทางรัฐบาล จึงเท่ากับเป็น การแยกศาสนาออกจากทางโลกหรือโลกวิสัย [Secularization] โดยตรง ความขัดแย้งจึงเกิดขึ้นและบานปลาย ปัจจุบัน ปัญหาก็ยังเกิดซับซ้อนขึ้นกว่าแต่เดิม เพราะสังคมมุสลิมเองไม่ได้หยุดนิ่ง เกิดคนรุ่นใหม่ที่ไม่เอาศาสนาและหันมาต้องการสิ่งที่เป็นทางโลก ทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ทำให้การทิ้งของเก่ามารับของใหม่ เกิดความไม่แน่นอนมั่นคงแก่ชีวิตที่จะต้องปรับตัวใหม่ในกระแสของการคุกคามทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมแบบทุนนิยมที่มาจากภายนอก ความไม่มั่นคงของอนาคตและการเบื่อหน่ายกับชีวิตแบบเก่าที่ไม่ทันโลกทางวัตถุนิยมที่อยู่รอบด้านไม่ว่าทางมาเลเซียหรือนอกสามจังหวัดภาคใต้ ก็อาจเป็นสาเหตุซึ่งนำไปสู่สิ่งที่เป็นอบายมุข ติดยาเสพติดในหมู่วัยรุ่นที่เป็นชาย เพราะปัจจุบันเปอร์เซ็นต์ของการติดยาเสพติดในรูปแบบของยาแก้ไอและเหล้าแห้งนั้นมีมาก คนมุสลิมที่เป็นชาวบ้านเคยเล่าให้ฟังว่า หลังจากการประกาศกฎอัยการศึกมียาเสพติดเข้าไปแพร่ระบาดในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มากกว่าแต่ก่อน เป็นสิ่งที่นำไปสู่ความเชื่อและการแสดงความคิดเห็นต่างๆ นานาว่า พวกมีอิทธิพลที่ค้ายาเสพติดนั้นอยู่เบื้องหลังการก่อการร้าย ยิ่งกว่านั้น ก็ยังเชื่อว่าผู้ที่ถูกทางราชการจับในข้อสงสัยว่าแบ่งแยกดินแดนนั้น แท้จริงคือผู้มีส่วนร่วมในการค้ายาเสพติด บนเขาหน้าถ้ำที่ยะลา ท่ามกลางแผ่นดินที่เขียวขจี การระเบิดภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของท้องถิ่นก็ยังคงทำอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น เมื่อประมวลกันแล้ว ก็อาจตั้งข้อสังเกตได้ว่า สิ่งที่สังคมมหาชนและรัฐเข้าใจว่า การก่อความไม่สงบในสามจังหวัดภาคใต้เป็นปรากฏการณ์ของการแบ่งแยกดินแดนนั้น แท้จริงมีหลายสาเหตุและปัจจัยระคนกันอยู่ คือ มีทั้งขบวนการแบ่งแยกดินแดนโดยคนบางกลุ่มที่นับวันมีการพัฒนาเทคนิคและวิธีการตลอดจนการใช้อาวุธที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น กลุ่มผลประโยชน์ในเรื่องยาเสพติด ค้าของเถื่อน และนักธุรกิจที่ต้องการแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งกลุ่มแย่งชิงอำนาจในทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างกัน ทั้งหลายเหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาที่ยังจำกัดขอบเขตอยู่เพียงภายในของสามจังหวัดภาคใต้เท่านั้น ยังไม่เกี่ยวพันกับขบวนการจากภายนอก ไม่ว่าจากทางโลกมุสลิมหรือจากทางมหาอำนาจตะวันตกแต่อย่างใด ถ้าหากความรุนแรงเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งจากฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบและจากการปราบปรามของฝ่ายรัฐยังดำรงอยู่ ความเดือดร้อนทุกข์ยากก็จะเกิดกับคนส่วนใหญ่ทั้งมุสลิมและชาวพุทธที่ไม่เคยมีความคิดที่จะแบ่งแยกดินแดนจะต้องอยู่กันอย่างหวาดระแวงทั้งการบาดหมางระหว่างกัน เป็นเหยื่อของการกระทำเพื่อต่อรองของพวกก่อการร้ายและการเข้าไปจัดการความสงบด้วยความรุนแรงของบรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความไม่สงบสุขและเดือดร้อนเช่นนี้ถ้ายังคงอยู่อาจนำไปสู่การขยายตัวของความรุนแรงที่เป็นวินาศกรรมที่ขยายขอบเขตออกไปนอกสามจังหวัดภาคใต้ได้ เพราะฉะนั้น ปัญหาความไม่สงบสามจังหวัดภาคใต้จึงเป็นสิ่งที่ไม่มีทางแก้ไขได้จากการใช้ความรุนแรงในการปราบปรามหรือเยียวยาด้วยการพัฒนาทางเศรษฐกิจและความเจริญทางวัตถุตามแบบอย่างที่ทางรัฐทำกับบรรดาผู้คนในท้องถิ่นของภูมิภาคอื่น ๆ ที่ส่วนใหญ่เป็นคนพุทธ มีความจำเป็นต้องแขวนหรือทิ้งประเด็นในเรื่องการแบ่งแยกดินแดนที่ทำให้คนในสังคมมหาชนเพ่งเล็งว่าคนส่วนใหญ่ในสามจังหวัดภาคใต้ต้องการแบ่งแยกดินแดน แล้วหันมาทบทวนแสวงหาความจริงที่เป็นต้นเหตุของความขัดแย้งเสียใหม่ ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลก็มีกลไกอย่างหนึ่งอยู่แล้ว คือ คณะกรรมการสมานฉันท์ ที่กำลังดำเนินการเพื่อหาความจริงและความยุติธรรมให้เข้าใจและเกิดขึ้นกับทุกฝ่าย ข้าพเจ้ามีส่วนร่วมในฐานะกรรมการคนหนึ่ง มีความเห็นว่าคณะกรรมการชุดนี้คงไม่ใช่ยาวิเศษอะไรที่จะทำให้เกิดความสงบ สันติสุขได้ในเวลาอันสั้น เพราะเป็นคณะกรรมการที่ไม่มีอำนาจอันใดที่จะเข้าไปจัดการให้เกิดความสงบได้ หากจะเป็นคณะกรรมการที่ทำการศึกษาและสร้างกระบวนการศึกษาหาข้อเท็จจริงจากกลุ่มคนทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ไม่สงบมาเปิดเผยต่อสังคมมหาชน เพื่อให้เกิดความกระจ่าง ความเข้าใจไปถึงสาเหตุปัญหาและแนวทางที่จะเกิดการปรองดองกันในชาติในประเทศสยามหรือประเทศไทยที่ผู้คนมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้คือ พลเมืองที่มีศักดิ์ศรี มีสิทธิ และโอกาสทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองอย่างเสมอภาคกับคนอื่น ๆ ในประเทศ ในส่วนตัว ข้าพเจ้าใคร่สรุปเป็นภาพรวม ๆ ว่า สาเหตุของความขัดแย้งและความไม่สงบในสังคมคนพุทธและมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้นั้น เป็นปรากฏการณ์ของความล้มเหลวในการปกครองท้องถิ่นที่เริ่มมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ อันเนื่องมาจากการเน้นศูนย์กลางเป็นใหญ่ คิดอะไรทำอะไรมาจากข้างบน [Top down] แต่เพียงอย่างเดียว การกระจายอำนาจปกครองไปให้ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และ อบต. เท่าที่มีมาจนถึงทุกวันนี้ แท้จริงหาได้เป็นการกระจายอำนาจอย่างมีประสิทธิภาพไม่ เพราะไม่ถูกนำไปใช้ในการให้ความยุติธรรมและความอยู่เย็นเป็นสุขและความมั่นคงแก่ชีวิตบุคคลทั่วไปอย่างเสมอภาคและถ้วนหน้า หากกลายเป็นประโยชน์กับคนบางคนบางกลุ่มที่เข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และ อบต. พฤติกรรมของคนเหล่านี้เป็นส่วนมากในการปกครอง ดูแล และจัดการตามอำนาจหน้าที่และระเบียบแบบแผนจากทางรัฐบาลและรัฐสภานั้น หาได้สอดคล้องหรือเกื้อกูลระเบียบแบบแผน จารีตประเพณี ระบบความเชื่อและศีลธรรม ที่องค์กรชุมชนท้องถิ่นเคยดูแลจัดการเองภายในได้ แต่ปัจจุบันต้องพึ่งตำรวจ ทหาร ผู้พิพากษา และทนายหรือขบวนการอะไรต่ออะไรหลายอย่างจากภายนอกที่ทำเหมือนกับว่า บุคคลทั่วไปที่เป็นชาวบ้านชาวเมืองในท้องถิ่น โง่และไร้ศักยภาพ ในที่สุดก็ทำอะไรไม่ได้ นับแต่ ๑ ปี ๙ เดือน เป็นต้นมา เมื่อรัฐไม่สามารถจัดการอะไรก็เกิดการสร้างภาพหรือแก้ต่างว่า การให้ความสงบสุขภายในไม่ได้นั้นเนื่องมาจากเป็นการก่อการร้ายเพื่อแบ่งแยกดินแดน ทุกวันนี้ในคณะกรรมการสมานฉันท์หรือในคณะกรรมการชุดอื่น ๆ ที่พยายามทำความเข้าใจศึกษาหาเหตุของความไม่สงบสุขและหาทางขจัดความเดือดร้อนนั้น ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในระดับหนึ่งทีเดียวเพราะมีคนดีในหมู่คนมุสลิมเข้ามาร่วมมือ โดยเฉพาะผู้นำทางศาสนา ปัญญา และศีลธรรมจาก ปอเนาะ มัสยิด และชุมชน คนเหล่านี้มีบารมีทางศีลธรรมพอเพียงที่จะมีส่วนร่วมในการจัดการกับคนเกเรและคนที่หลงผิดในการก่อการร้ายได้ ถ้าหากมีการฟื้นฟูองค์กรชุมชนบ้านที่เรียกว่า สุหรอ ขึ้นมาปรับปรุงและสร้างเครือข่ายให้มีอำนาจในการดูแลความสงบและความยุติธรรมภายในรวมกับอำนาจจากส่วนกลางของทางรัฐแล้ว โอกาสที่จะฟื้นฟูความสงบสุขอย่างแท้จริงก็คงเกิดขึ้นไม่ยาก เพราะทุกวันนี้ผู้คนส่วนใหญ่ในท้องถิ่นอยู่กันอย่างหวาดระแวงและหวาดกลัวเนื่องจากผู้ที่มาก่อความไม่สงบล้วนมาจากท้องถิ่นอื่นและผู้ที่รักษาความสงบจากทางรัฐไม่ว่าทหาร ตำรวจ ก็มาจากข้างนอก เกิดความไม่สงบสุขพลุกพล่านในชีวิตประจำวันไปทั่ว กลัวว่าจะต้องเป็นผู้ต้องสงสัยถูกจับตัวไปสอบสวน ไปอุ้ม ไปฆ่าแกง หวาดระแวงว่าจะถูกทำร้ายจากผู้ก่อความไม่สงบต่าง ๆ นานา ยิ่งกว่านั้น การฟื้นฟูองค์กรและเครือข่ายอันเป็นเรื่องของคนภายในอย่างที่เคยมีมานี้ จะเป็นโอกาสที่ปรับเปลี่ยนให้บุคคลที่จะเข้ามาทำงานในองค์กรบริหารปกครองท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และ อบต. ให้เป็นคนภายในท้องถิ่นที่มีความสำนึกทางศีลธรรมและทำงานเพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริง ในสุดท้ายนี้ก็ใคร่ขอจบบทความด้วยคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่ท่านหนึ่งซึ่งพูดขึ้นในระหว่างที่ประชุมร่วมกับคณะกรรมการสมานฉันท์ว่า “ผู้ก่อการไม่สงบมักสอนให้คนรู้เรื่องประวัติศาสตร์ ส่วนผู้บริหารท้องถิ่นของรัฐชอบสอนแต่เรื่องเศรษฐศาสตร์” อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- การฟื้นฟูสังคมภาคใต้ในมิติเศรษฐกิจพอเพียง
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2549 ทุ่งนาและป่าตาลที่บ้านสวนในอำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี ทุกวันนี้รัฐไทยและการเมืองไทยบ้าเห่อกันในเรื่องพัฒนาและฟื้นฟูเศรษฐกิจจนแลไม่เห็นคน เพราะเวลาพูดกันทีไรก็มักเอาเรื่องเศรษฐกิจเป็นตัวตั้ง จนทำให้เห็นว่าคนในทุกท้องถิ่นเป็นคนจนไปหมด จึงทำการขึ้นทะเบียนคนจนกันเป็นการใหญ่ ความคิดเช่นนี้และการดำเนินการใด ๆ เช่นนี้ จึงกลายเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับความเป็นจริงในชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในประเทศ เพราะแม้ว่าขณะนี้ผู้คนพลเมืองจะถึงกว่า ๖๐ ล้านคนแล้วก็ตาม แต่พื้นที่ทำกินและการตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัยยังมีอยู่เหลือเฟือเมื่อเปรียบเทียบกับบรรดาประเทศส่วนใหญ่ในโลก แต่ที่สำคัญก็คือ เป็นผืนดินที่อุดมสมบูรณ์มีความหลากหลายทางชีวภาพดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลกก็ว่าได้ จึงมีชื่อเรียกกันมาแต่โบราณว่า สุวรรณภูมิ ดึงดูดผู้คนมากหลายเผ่าพันธุ์ทั้งใกล้ไกลและโพ้นทะเลเข้ามาตั้งถิ่นฐานเกิดเป็นรัฐเป็นอาณาจักรมานับพันปี แม้กระทั่งปัจจุบันผู้คนในประเทศไทยต่างอยู่ดีกินดี โดยเฉพาะกินนั้นมีอาหารเหลือเฟือ กินกันอย่างไม่มีกาลเทศะเอาทีเดียว แต่ทุกวันนี้ เมืองไทย ประเทศไทย เกิดภาวะวิบัติ อันเนื่องมาจากคนที่กุมอำนาจทางเศรษฐกิจการเมืองในประเทศและภัยที่มาจากธรรมชาติ ภูมิภาคที่ยับเยินเสียหายมากที่สุดในขณะนี้คือ ภาคใต้ โดยเฉพาะสามจังหวัดภาคใต้ทางฝั่งอ่าวไทยและจังหวัดทางฝั่งอันดามัน ภัยพิบัติที่มาจากคนที่เป็นอมนุษย์นั้นเหลือหลายและต่อเนื่อง เพราะถูกครอบงำล้างสมองด้วยแนวคิดวัตถุนิยมแบบตะวันตกที่ใช้เศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรีที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความชั่วร้าย ขาดศีลธรรม เป็นเครื่องมือเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เฉพาะตัวและพรรคพวก ความชั่วร้ายของเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีนั้น อยู่ที่พยายามสร้างคนให้เป็นปัจเจก ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดความเป็นมนุษย์ มีความโลภและแสวงหาความสำเร็จทางวัตถุธรรมอย่างไม่รู้จบและพอเพียง จึงก่อให้เกิดการบุกรุกและยึดครองพื้นที่และทรัพยากรธรรมชาติที่ผู้คนในท้องถิ่นอยู่ร่วมกันอย่างเป็นกลุ่มเหล่าตามธรรมชาติของมนุษย์ในระบบเศรษฐกิจที่มีความพอเพียง ภัยพิบัตินี้แผ่ไปแทบทุกภูมิภาคของประเทศ ด้วยกระบวนการทำลายทั้งระดับบนและระดับล่าง จากระดับบนก็คือ ผู้มีอำนาจส่วนใหญ่ในรัฐบาลคือนักธุรกิจการเมืองชักจูงคนนอกประเทศมาลงทุนในด้านอุตสาหกรรมและเกษตรอุตสาหกรรม จนทำให้แทบทุกภูมิภาคกลายเป็นแหล่งเมืองและแหล่งอุตสาหกรรมไปทั่ว ธรรมชาติและสภาพแวดล้อมที่เคยอุดมสมบูรณ์เลี้ยงผู้คนในท้องถิ่นมาอย่างยั่งยืนและพอเพียงก็หดหาย ถูกคนต่างถิ่นทั้งภายในและภายนอกเข้ามาตั้งถิ่นฐานและแย่งชิง ผู้คนจากภายนอกแต่ละกลุ่มเหล่าที่เข้ามานี้ มักมาอย่างถูกกฎหมายของบ้านเมือง เข้ามาตั้งตัวเป็นนายทุนเป็นเจ้าพ่อ โดยเฉพาะที่มาจากต่างชาตินั้น อาจพูดได้เลยว่า มาอย่างผู้ชนะ ผู้มาโปรดสัตว์ โดยที่คนในท้องถิ่นกลายเป็นคนงานเป็นทาสติดที่ดินก็ว่าได้ การหลั่งไหลเข้ามาของคนจากภายนอกนั้นอาจพูดได้ว่า ไม่เคยมีการกลั่นกรองและปรับเปลี่ยนให้เข้าใจและเคารพกติกาทางจารีตประเพณีและวัฒนธรรมของท้องถิ่นเลย เป็นไปอย่างรวดเร็ว จนพูดอย่างคร่าว ๆ ได้เลยว่า อัตราการเพิ่มประชากรของคนในประเทศไทย จากแต่ก่อนสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่มีราว ๒๐ ล้านคน มาเป็นกว่า ๖๐ ล้านคนนั้น เป็นการเพิ่มจากคนที่มาจากข้างนอกมากกว่าจากอัตราเกิดของผู้คนภายใน ส่วนในระดับล่างที่เป็นรากหญ้านั้น ระบบเศรษฐกิจการเมืองทุนนิยมเสรีได้อบรมและเปลี่ยนแนวคิดคนรุ่นใหม่หรือคนที่มีหัวก้าวหน้าในท้องถิ่นให้เกิดเป็นนายทุนที่เอารัดเอาเปรียบบรรดาพี่น้องและเพื่อนร่วมถิ่นร่วมบ้านกันอย่างมโหฬาร คนเหล่านี้สามารถเข้าถึงอำนาจของรัฐด้วยการสมัครเลือกตั้งเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. และ อบจ. กันอย่างมากมาย จนทำให้องค์กรท้องถิ่นที่มีอยู่ตามธรรมชาติที่เคยมีมาแต่เดิมล่มสลายไปหมด แต่ภาคใต้ก็ได้รับภัยพิบัติจากธรรมชาติซ้ำเติม เช่น เกิดกรณีน้ำท่วม เกิดความเสียหายทั้งแหล่งที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน โดยเฉพาะภัยจากคลื่นยักษ์สึนามิทางฝั่งอันดามันนั้น ใหญ่หลวง จนเกินกำลังของคนท้องถิ่นจะฟื้นฟูตัวเองได้ เพราะนอกจากเสียชีวิตลูกหลานญาติพี่น้องและมิตรสหายแล้ว ยังสูญเสียบ้านเรือนที่อยู่อาศัยและเครื่องมือทำกินตลอดจนทรัพย์สินนานาประการ แต่ที่เลวร้ายและโหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติของคนไทยก็คือ บรรดานายทุนผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจการเมืองเหล่านั้นได้ฉวยโอกาสเข้ายึดที่ดินที่เคยเป็นที่อยู่ที่ทำกินของบรรดาชาวบ้านชาวเมืองผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นอย่างถูกกฎหมายแต่ไร้ศีลธรรม เพราะอาศัยหลักฐานกรรมสิทธิ์ที่ไม่สมบูรณ์ของชาวบ้านเป็นเครื่องมือจึงเป็นที่คาดคะเนได้ว่า จะมีผู้คนชุดใหม่รวมทั้งพันธุ์ใหม่เข้าไปตั้งถิ่นฐานแทนที่คนเก่า ๆ ที่จะกลายเป็นคนยากไร้ขาดที่พึ่งที่อาศัยอีกเป็นจำนวนมาก ดูเหมือนบรรดาชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุดคือ พวกที่เป็นชาวเล ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ตั้งถิ่นฐานและหากินในทะเลแบบเร่ร่อนตามฤดูกาลเป็นพวกที่มีหลักฐานทางกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ไม่สมบูรณ์ จึงถูกโกงถูกแย่งและขับไล่ แม้แต่ที่ดินแหล่งฝังศพที่เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นชุมชนที่สืบมาช้านานก็ยังถูกแย่งชิง ยิ่งกว่านี้ บรรดาชาวบ้านต่างถิ่นที่ประสพภัยพิบัติเหล่านี้ยังถูกโกงและถูกแย่งชิงซ้ำสอง โดยบรรดาอมนุษย์อีกประเภทหนึ่งที่หากินกับเงินและสิ่งของบริจาคที่บรรดาผู้มีจิตกุศลทั้งจากในและนอกประเทศช่วยเหลือมาอย่างท่วมท้น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าสิ่งของบริจาคเหล่านั้นหาได้ถึงบุคคลที่ควรจะได้รับอย่างเต็มที่ไม่ เพราะเป็นสภาพและสถานการณ์ที่ข้าพเจ้าเห็นมาด้วยตนเอง โดยเฉพาะโครงการช่วยเหลือที่ผ่านมา ทางมูลนิธิบางกลุ่ม เช่น มูลนิธิชุมชนไท มูลนิธิปูนซีเมนต์ และสยามมิชลิน ที่นอกจากช่วยเหลือในเรื่องเงินทองแล้ว ก็ยังจัดหาเครื่องใช้สิ่งของและวัสดุในการสร้างบ้าน ต่อเรือ ลงไปให้ โดยไม่ให้องค์กรหรือผู้รับเหมาใด ๆ ไปทำให้ หากให้บรรดาชาวบ้านได้ช่วยกันทำเอง ซึ่งนับเป็นการฟื้นฟูชีวิตการอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มเป็นหมู่คณะทางสังคมกลับคืนมา มีการแบ่งงานกันทำ ทั้งบรรดาผู้รู้ที่เป็นผู้อาวุโส คนรุ่นหนุ่มรุ่นสาวและเด็กต่างก็มีส่วนร่วมด้วยกันทั้งสิ้น ทำให้ความรู้ความสามารถภูมิปัญญาเดิมกลับคืนมาเพื่อถ่ายทอดไปให้คนรุ่นหลัง เกิดความมั่นใจและภูมิใจในตนเอง รวมทั้งได้รับผลดีอย่างเต็มที่เพราะสิ่งที่ช่วยกันสร้างและทำขึ้นมานั้น ล้วนเป็นสิ่งที่เข้ากันกับความเคยชินและวิถีชีวิตที่มีมาแต่เดิม เกิดสติปัญญาที่จะสร้างสรรค์และพัฒนาหาสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาด้วย อย่างเช่นที่ ชุมชนทับตะวันและบ้านทุ่งหว้าของคนมอแกน ในเขตอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา และ บ้านเกาะปู ของชาวประมงมุสลิมในเขตจังหวัดกระบี่ เป็นต้น ภูมิทัศน์ของบ้านเกาะปู ในจังหวัดกระบี่ ที่บ้านทับตะวันของคนมอแกนนั้น บ้านเรือนที่ชาวบ้านช่วยกันสร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนดูโอ่โถง สบายน่าอยู่กว่าบรรดาบ้านชั้นเดียวที่เกิดจากการก่อสร้างของผู้รับเหมาที่เป็นโครงสร้างคอนกรีตติดพื้นดิน ซึ่งอาจถูกรบกวนจากน้ำท่วมเอ่อขังในเวลาฝนตกได้ เป็นบ้านมีใต้ถุน ฝาเป็นฝาขัดแตะใช้ไม้ไผ่ทำเป็นลายสองลายสามแบบเครื่องจักสาน ซึ่งดูสวยงามดี แต่ที่สำคัญก็คือ ทำให้ไม่ร้อนเพราะมีการระบายอยู่ในตัวเอง เกิดกระบวนการเข้าอยู่อาศัยไปในเวลาเดียวกัน โดยไม่ต้องรอให้สร้างเสร็จเสียก่อน และในขณะเดียวกันก็ค่อยๆ ต่อเติมหรือเพิ่มเติมสิ่งต่าง ๆ เพื่อความสะดวกสบายในการอยู่กินและอยู่อาศัยภายในครัวเรือน โดยเฉพาะการจัดพื้นที่รอบ ๆ บ้านในเรื่องการเลี้ยงสัตว์ ปลูกผัก ปลูกต้นไม้ หรือเพื่อพักผ่อนและทำงานจักสานเครื่องมือในการประมง นับเป็นการฟื้นฟูชีวิตครอบครัวไปในเวลาเดียวกัน ที่บ้านทุ่งหว้าชาวบ้านได้รับการช่วยเหลือจากหลายๆ ฝ่ายมากมาย รวมทั้งมีเจ้าหน้าที่และนักวิชาการในด้านต่าง ๆ เข้าไปให้คำแนะนำและปรึกษาด้วย ทำให้เกิดการสร้างบ้านเรือนของชุมชนที่มีรูปแบบและแผนผังได้ดีกว่าที่อื่น โดยเฉพาะการช่วยเหลือในเรื่องไม้และวัสดุที่นำมาก่อสร้าง การที่ทำให้ชาวบ้านเป็นผู้สร้างบ้านเรือนของตนเองนั้น นอกจากจะได้บ้านช่องที่เข้ากันได้กับชีวิตวัฒนธรรมที่สืบเนื่องมาแต่เดิมแล้ว ยังทำให้เกิดภาพพจน์และสำนึกในเรื่องความเสมอภาคของผู้คนในชุมชนอีกด้วย เพราะบ้านแต่ละบ้านมีขนาดและรูปแบบเหมือนกัน ไม่มีใครดี ใหญ่โต หรือมีอะไรพิเศษกว่ากัน ดูแล้วแลเห็นความเป็นหมู่สัตว์สังคมของผู้คน ไม่ใช่การมีรูปแบบและขนาดที่แตกต่างกันอย่างในชุมชนของบ้านเมืองทั่วไปในปัจจุบัน นับได้ว่ามีผลทำให้เกิดสำนึกของชุมชนและสำนึกความเสมอภาคระหว่างกันขึ้น ซึ่งก็จะมีผลนำไปสู่การสร้างกลุ่มและการเชื่อมโยงกันระหว่างกลุ่มในทางเศรษฐกิจและสังคมทั้งภายในและภายนอกชุมชน ทั้งบ้านทับตะวันและบ้านทุ่งหว้าต่างก็เป็นชาวเล หรืออีกนัยหนึ่ง คนมอแกน เหมือนกัน มีความรู้จักมักคุ้นกันในทางสังคมและวัฒนธรรมเพราะเป็นคนในชาติพันธุ์เดียวกัน ที่แล้วมาความเป็นชุมชนท้องถิ่นของคนเหล่านี้อยู่ในขั้นล่มสลายกว่าชุมชนของคนชาติพันธุ์กลุ่มอื่น อันเนื่องมาจากโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมที่ทำให้เกิดความอ่อนแอท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเมือง ที่สำคัญก็คือ คนเหล่านี้มีพื้นฐานจากการมีชีวิตที่ร่อนเร่ ย้ายถิ่นฐานไปตามฤดูกาลในการประกอบอาชีพหาปลาและสัตว์น้ำในทะเล ทำให้เกิดการรวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ กระจายกันอยู่ในพื้นที่ชายทะเลที่ห่างกันจนไม่สามารถติดต่อถึงกันได้ในเวลาปรกติ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า พื้นที่ชายฝั่งทะเลตั้งแต่จังหวัดพังงาไปจนถึงจังหวัดภูเก็ตนั้น รวมแล้วมีคนมอแกนไม่ถึงหมื่นคน บ้างอยู่ชายทะเล บ้างอยู่เกาะ ซึ่งถ้าหากจะมีการพบปะกันก็นาน ๆ ที ในยามงานนักขัตฤกษ์เท่านั้น จุดอ่อนของคนมอแกนคือ การไม่อยู่ติดที่อย่างถาวรและการมีอาชีพจับปลาที่ทำให้มีวิถีชีวิตกึ่งร่อนเร่เช่นนี้ เป็นสิ่งที่ปรับตัวไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่สัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมและการตั้งถิ่นฐานของผู้คนในสังคมใหญ่ที่เป็นสังคมของคนที่อยู่ติดที่ ทำเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม เหตุนี้ภายหลังคลื่นยักษ์สึนามิจึงอยู่ในสภาพที่ถูกแย่งทั้งที่อยู่อาศัย ที่ฝังศพ แหล่งพิธีกรรม รวมทั้งพื้นที่ในทะเลที่เคยจับสัตว์น้ำอย่างเป็นอิสระ เพราะบัดนี้ ได้มีบริษัทนายทุนเข้าไปรุกล้ำ อ้างเอกสารสิทธิ์ แสดงโฉนดน้ำและสัมปทานพื้นที่ในทะเล จนคนมอแกนไม่อาจเข้าไปจับปลากันได้ เพื่อมองภาพโดยรวมของชีวิตวัฒนธรรมของคนมอแกนแล้ว ก็จะเห็นได้ว่ามีโครงสร้างทางวัฒนธรรมที่อ่อนแอ ไม่มีศักยภาพเพียงพอกับการปรับตัวเข้าสู่ภาวะทางสังคมเศรษฐกิจในยุคใหม่ที่มุ่งหน้าสู่การเป็นสังคมอุตสาหกรรมอยู่ตลอดเวลาอย่างรวดเร็วได้ สังคมแบบเผ่าพันธุ์และกึ่งร่อนเร่เช่นนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการช่วยเหลือและเยียวยาจากบุคคลและองค์กรเพื่อการกุศลจากภายนอก มาช่วยเหลือและประคับประคอง ตัวอย่างของการที่มีเอกชนและองค์กรจากหลายๆ ฝ่ายเข้าไปช่วยพัฒนาที่อยู่อาศัยที่บ้านทับตะวันและบ้านทุ่งหว้าที่กล่าวมาแล้วนั้น เป็นสิ่งที่ดีงามและถูกต้อง ทั้งในด้านศีลธรรมและฟื้นฟูความเป็นมนุษย์ของคนมอแกน ในด้านศีลธรรมก็คือเป็นการเข้าไปช่วยเหลือให้ถึงตัวผู้ด้อยโอกาสและยากไร้โดยไม่ยักยอกถ่ายเทเงินทุนหรือสิ่งของช่วยเหลือไปเป็นประโยชน์ส่วนตนและพรรคพวก อย่างที่บุคคลหลายกลุ่มเหล่าที่มือถือสากปากถือศีลทำกันอยู่ทุกวันนี้ ส่วนเรื่องฟื้นฟูความเป็นมนุษย์นั้นก็คือ การช่วยเหลือให้คนมอแกนได้ร่วมกันสร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัยและเรือจับปลาด้วยตนเอง เพราะจะทำให้ได้สิ่งที่ตนต้องการในชีวิตความเป็นอยู่แบบตนเองอย่างเต็มที่และเกิดความภูมิใจในความสามารถของตนเองและสิ่งที่ตนได้ทำขึ้นมา แต่ที่สำคัญก็คือ การร่วมแรงร่วมใจกันทำเป็นกลุ่มเป็นหมู่คณะ สิ่งเช่นนี้คือ พื้นฐาน [Basic] ที่สำคัญของการเป็นมนุษย์ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่มีศีลธรรม หาใช่สัตว์ปัจเจกที่รอให้คนอื่นทำให้ หรือกลายเป็นสัตว์เดรัจฉานที่ทำอะไรเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องอย่างผิดศีลธรรม เหนือขึ้นไปจากนี้นั้น การฟื้นฟูชุมชนที่บ้านทับตะวันและทุ่งหว้า ก็คือการช่วยให้คนมอแกนเปลี่ยนแปลงจากความคิดและประเพณีเดิมแบบกึ่งร่อนเร่มาเป็นสังคมแบบติดพื้นที่ [Sedentary Society] ที่มีขีดความสามารถในการปรับตัวเข้าสู่สังคมเกษตร-อุตสาหกรรมให้ในกระแสโลกาภิวัตน์ได้ ข้าพเจ้าเห็นว่า การทำให้คนได้มาร่วมแรงกันสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยและเครื่องมือทำกินดังกล่าวนี้ คือ พื้นฐาน [Basic] สำคัญของการทำให้เกิดเศรษฐกิจแบบพอเพียง ซึ่งมนุษย์ทุกชนชาติ ทุกภาษา ทุกเผ่าพันธุ์ ได้เคยมีมาโดยธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ หากได้ถูกทำลายจากการเป็นสัตว์กลุ่มที่ว่านี้โดยกระบวนการการอบรมและชักนำจากภายนอกในเรื่องเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรีที่มักเน้นความสำคัญอยู่ที่การเป็นปัจเจกเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน ในที่นี้จึงขอใช้คำอย่างหยาบคายว่า เศรษฐกิจทุนนิยมเสรีที่เป็นที่ฮือฮาและตามก้นตะวันตกในเมืองไทยขณะนี้คือเศรษฐกิจเดรัจฉาน ความครอบงำของเศรษฐกิจเดรัจฉาน มักจะมากับการขยายความเป็นเมือง [Urbanization] และการขยายตัวทางอุตสาหกรรม [Industrialization] ที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งประเทศ ผลที่ตามมาคือ สภาพแวดล้อมธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาติ และผู้คนในท้องถิ่นถูกทำลายอย่างยับเยิน การฟื้นฟูนั้นจำเป็นต้องทำพื้นฐาน [Basic] ความเป็นมนุษย์ในฐานะสัตว์กลุ่มให้คืนมา แต่ทว่าการฟื้นฟูเช่นนี้ไม่ใช่ง่าย เพราะมนุษย์แต่ละกลุ่มเหล่ามีชีวิตวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน บางกลุ่มอ่อนแอ บางกลุ่มเข้มแข็ง อย่างเช่น คนมอแกนเป็นกลุ่มที่มีวัฒนธรรมที่อ่อนแอ ก็ต้องมีการช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องดังเช่นที่บ้านทับตะวันและทุ่งหว้าที่กล่าวมานี้ ในขณะที่คนกลุ่มอื่น เช่น กลุ่มคนมุสลิมและกลุ่มคนไทย-จีน จะมีความเข้มแข็งทางวัฒนธรรมมากกว่า กลุ่มคนไทย-จีนจะไม่พูดถึงในที่นี้ เพราะหลายคนหลายกลุ่มปรับตัวเข้ากับสังคมอุตสาหกรรมในระบบทุนนิยมเสรีได้ดีและกำลังกลายพันธุ์ไปเป็นเดรัจฉานที่ทำลายความเป็นมนุษย์ของคนในกลุ่มอื่น ๆ ในขณะนี้ แต่จะพูดถึงกลุ่มคนมุสลิมที่นับเป็นคนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งในภาคใต้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและฝั่งทะเลอันดามัน สังคมมุสลิมเป็นสังคมแบบประเพณีที่มีความเข้มแข็งสูงกว่าคนในหลาย ๆ สังคมทั้งในประเทศไทยและในโลก ความเข้มแข็งอยู่ที่สำนึกและศรัทธาในพระศาสนาที่ทำให้คนต้องอยู่ร่วมกันอย่างเป็นกลุ่มอย่างเสมอภาค ความพอใจในชีวิตแบบเสมอภาคเรียบง่ายตามประเพณีทำให้สังคมมุสลิมมีวิถีทางสังคมเศรษฐกิจแบบพอเพียงและยั่งยืนมาโดยตลอด จึงทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงขึ้น เมื่อมีภาวะทางการเมือง เศรษฐกิจจากภายนอกที่คุกคามถิ่นกำเนิดของตนให้ปรับเปลี่ยนเป็นเมืองและสังคมอุตสาหกรรม ดังเช่นในบริเวณสามจังหวัดภาคใต้ทางฝั่งอ่าวไทยในขณะนี้ ข้าพเจ้าคิดว่าตราบใดที่คนในสังคมส่วนใหญ่ของประเทศไทยเอาความคิดและวิถีการพัฒนาในสังคมมนุษย์ในพื้นที่ซึ่งกล่าวมานี้ ไปทำให้เกิดสังคมเมืองและสังคมอุตสาหกรรมแบบตะวันตกเช่นทุกวันนี้ ความขัดแย้งและความรุนแรงก็นับวันแต่จะเพิ่มพูนขึ้น ทางฝั่งอันดามันข้าพเจ้าแลเห็นความเข้มแข็งของคนมุสลิมในการฟื้นฟูตนเองจากภัยพิบัติสึนามิ ที่บ้านเกาะปู ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ เมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายนที่ผ่านมา ข้าพเจ้ามีโอกาสไปเที่ยวที่นั่นกับการจัดการท่องเที่ยวเพื่อทางเลือก ที่จัดการโดยบริษัทสยามมิชลิน ทั้งทางมูลนิธิเครือซีเมนต์ไทยและบริษัทสยามมิชลินได้ให้ความช่วยเหลือแก่ชาวบ้านที่ทั้งหมดเป็นคนมุสลิมที่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากคลื่นยักษ์สึนามิ แต่การช่วยเหลือครั้งนี้เป็นการจัดซื้อวัสดุและอุปกรณ์ในการสร้างเรือและต่อเรือให้ชาวบ้านไปทำกันเอง วัสดุที่สำคัญคือ ไม้กระดาน แต่แรงงานและฝีมือเป็นของชาวบ้าน เมื่อได้ไปเห็นแล้วรู้สึกประทับใจ บริเวณอู่ต่อเรือที่ชาวบ้านหลายรุ่นอายุมารวมตัวช่วยกันต่อเรือจากภูมิปัญญาของตนเอง ชุมชนบ้านเกาะปูตั้งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ในลำน้ำใหญ่ใกล้ออกทะเล สภาพแวดล้อมธรรมชาติยังดีและสวยงาม มีภูเขาสูงเป็นพื้นหลัง ข้างหน้าเป็นเขาเตี้ยและป่า แล้วจึงมาถึงบริเวณบ้านและสวนของชาวบ้านที่กระจายลงไปสู่ชายน้ำ บ้านเรือนส่วนใหญ่จะอยู่ใกล้น้ำเพราะคนมีอาชีพทางประมง และแต่ละบ้านก็มีเครื่องจับปลาอยู่ตามใต้ถุนบ้านและบนเรือนรวมทั้งมีเรือใหญ่น้อยที่เป็นพาหนะในการออกไปหาปลาและเดินทางติดต่อคมนาคมจอดกระจายอยู่ทั่วไป ด้านหน้าชุมชนทำท่าจอดเรือยาวยื่นล้ำไปในแม่น้ำ เพื่อให้เรือใหญ่ที่พาคนจากแผ่นดินใหญ่และนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือน ซึ่งก็รวมทั้งการขนถ่ายสินค้าด้วย เพราะได้ทราบว่า ภายในบริเวณเกาะมีรีสอร์ทเพื่อรับนักท่องเที่ยวด้วย แต่ก็อยู่ห่างจากหมู่บ้านพอสมควร จึงทำให้บริเวณที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน ยังคงรักษาสภาพแวดล้อมธรรมชาติได้เป็นอย่างดี ชาวบ้านได้จัดพื้นที่ริมน้ำบริเวณชายบ้านให้เป็นโรงต่อเรือและแบ่งงานกันทำ มีผู้อาวุโสที่มีความรู้ความชำนาญในการต่อเรือมาสอนและแนะนำ มีกลุ่มที่เป็นช่างและแรงงานรวมทั้งคนในวัยกลางคนที่มีความรู้ในเรื่องเครื่องจักรเครื่องยนต์นำเครื่องมาประกอบ กระบวนการต่อเรือแบ่งงานออกเป็นส่วน ๆ ตามส่วนต่าง ๆ ของเรือ รวมทั้งกลุ่มผู้เตรียมเครื่องไม้เครื่องมือ มีพวกรุ่นหนุ่มและวัยรุ่นทำหน้าที่ขนย้ายไม้และวัสดุที่ขนมาทางเรือขึ้นบก ในขณะที่พวกผู้หญิงทำหน้าที่หุงหาอาหารเลี้ยง รวมทั้งจัดการหาสาหร่าย หาปู หอย มาทำเป็นอาหาร และรวมกลุ่มกันเป็นแม่กองในการทำอาหารเลี้ยงแขกที่มาเยือน ส่วนเด็ก ๆ ทั้งหญิงและชายก็เดินป้วนเปี้ยนและเล่นของเล่นอยู่ใกล้กลุ่มแม่ครัวที่ทำอาหาร ภายในโรงต่อเรือมีทั้งการทำงานและพูดคุยกันตลอดเวลา ระคนไปด้วยเสียงเพลงจากวิทยุ แต่ที่สำคัญมีกรงนกโกร่งหัวจุกแขวนไว้เพื่อพักสายตาและฟังเสียงนกขัน บางครั้งก็มีเสียงสวดมนต์ดังออกมาจากเครื่องขยายเสียงจากมัสยิดในเวลาที่มีการละหมาด นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าประทับใจ เป็นงานทำร่วมกันของคนในกลุ่มอย่างเพลิดเพลินและมีชีวิตชีวา เพราะมีการถ่ายทอดภูมิปัญญาและงานฝีมืองานเทคนิคจากผู้ที่เป็นคนรุ่นเก่าสู่คนรุ่นใหม่ ข้าพเจ้าเห็นว่า นี่คือหัวใจของการฟื้นฟูความเป็นมนุษย์ ที่นำไปสู่การดำรงอยู่ร่วมกันอย่างพอเพียงเผื่อแผ่และยั่งยืน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ หัวใจของเศรษฐกิจแบบพอเพียงและยั่งยืนนั่นเอง ในการมาเยือนและสังเกตการณ์ของคณะท่องเที่ยวเพื่อทางเลือก ชาวบ้านโดยเฉพาะบรรดาแม่บ้านทั้งหลาย หาอาหารมาเลี้ยงผู้มาเยือนด้วยอาหารแบบชาวบ้าน โดยเฉพาะอาหารที่มาจากธรรมชาติในท้องถิ่น อันได้แก่ ปูม้า ปลาหมึก ปลาทะเล หอยชักตีน และสาหร่าย โดยเฉพาะหอยชักตีนนั้น โอ่ได้เลยว่า แหล่งใหญ่อยู่ในทะเลแหวกใกล้กับเกาะปูนี้เอง รวมทั้งสาหร่ายที่เป็นต้นและกิ่งก้านใสรสอร่อย เค็มปะแล่ม ๆ ที่ต้องกินสด ซึ่งถ้าหากนำไปล้างน้ำแล้วจะละลายทันที ชาวบ้านทั้งชายหญิงต่างภูมิใจในการไปหาสัตว์และพืชเหล่านี้มาก มีการอธิบายถึงการไปจับหอยและเก็บสาหร่ายที่พานักท่องเที่ยวไปชมและพามากินเพื่อให้มีรายได้จากการท่องเที่ยว ที่ทำให้ผู้มาเยือนได้แลเห็นทั้งภูมิปัญญาความรู้ ความเพลิดเพลิน และได้รสชาติอาหารใหม่ ๆ แปลก ๆ เห็นถึงความหลากหลายทางชีวภาพของท้องถิ่น จุดอ่อนอย่างหนึ่งของชาวบ้านในเรื่องการจัดการการท่องเที่ยวก็คือ ยังหลงใหลในการชักนำที่ขัดต่อธรรมชาติของมนุษย์ที่เกี่ยวกับโฮมสเตย์ ซึ่งจัดแล้วไม่ได้ผลดี ทางคณะท่องเที่ยวเพื่อทางเลือกจึงเสนอว่า ทำไมไม่จัดการให้เรื่องการพักแรมเป็นเรื่องของฝ่ายรีสอร์ทไป แล้วชาวบ้านก็ทำหน้าที่รับนักท่องเที่ยวไปชมธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในทะเลและเกาะต่างๆ ดูชีวิตการทำมาหากินรวมทั้งจัดการในด้านอาหารที่มาจากธรรมชาติ เช่น หอยชักตีน ปู ปลา และสาหร่ายทะเล การจัดการให้เกิดความสัมพันธ์ที่แบ่งเป็นรายได้ทางเศรษฐกิจแบบพึ่งพิงระหว่างกันเช่นนี้ คือสิ่งที่นำไปสู่การท่องเที่ยวแบบยั่งยืนอย่างแท้จริง รวมทั้งสามารถที่จะรักษาสภาพแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพด้วย การมาท่องเที่ยวเพื่อทางเลือกกับสยามมิชลิน ณ เกาะปูครั้งนี้ ข้าพเจ้าได้ประโยชน์มาก เพราะเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ทำให้คิดได้ว่า แท้จริง การฟื้นฟูชีวิตมนุษย์ทางเศรษฐกิจสังคมเพื่อนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า เศรษฐกิจพอเพียง นั่นก็คือ การฟื้นสำนึกของการเป็นกลุ่มของมนุษย์นั่นเอง เพราะเป็นพื้นฐานโดยธรรมชาติของการเป็นสัตว์สังคมของมนุษย์ เมื่อฟื้นสำเร็จก็แลเห็นสิ่งที่เป็นโครงสร้างทางวัฒนธรรมในมิติของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งนอกเหนือธรรมชาติที่นำไปสู่การอยู่ร่วมกันในแบบแผนจารีต ประเพณี และศาสนาที่ยกระดับมนุษย์ให้เป็นสัตว์ศีลธรรม [Moral Being] แทนการเป็นสัตว์เดี่ยวสัตว์เดรัจฉานที่ถูกกระตุ้นและทำลายจากระบบเศรษฐกิจการเมืองแบบทุนนิยมเสรีในโลกปัจจุบัน การร่วมมือกันทำงานกันอย่างเป็นกลุ่มทางสังคม ณ บ้านเกาะปูนี้ ได้ทำให้ข้าพเจ้าได้แลเห็นหัวใจของกระบวนการฟื้นฟูและกระบวนการเรียนรู้จากภายใน เพราะสิ่งที่เรียกว่าภูมิปัญญาที่มีอยู่แล้วในโครงสร้างทางวัฒนธรรมได้ฉายแสงออกมาให้เห็นเป็นภูมิปัญญาที่ผู้รู้ผู้อาวุโสของท้องถิ่นได้เรียนรู้และถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังอย่างแท้จริง เลยทำให้อดคิดไปถึงกระบวนการพัฒนาชุมชนและอะไรต่ออะไรในสังคมใหญ่ของเมืองไทยขณะนี้ ซึ่งมักเวียนวนอยู่กับคำว่า ชุมชนและปราชญ์ท้องถิ่น คำว่าชุมชนนั้นไม่ต้องพูดถึง ต่างคนต่างคิดจนไม่รู้ว่าจะเอาอะไรกันแน่ แต่ปราชญ์ท้องถิ่นนี้ ฉายแล้วฉายเล่า ฉายซ้ำกันมากกว่า ๑๐ ปี ต่างออกงานวิ่งสอนกันไปทั่วประเทศ เสมือนกับว่าคนที่เป็นปราชญ์ท้องถิ่นมีอยู่เพียงแค่นี้ ข้าพเจ้าคิดว่าที่บ้านเกาะปูของคนมุสลิมคงไม่มีปราชญ์ท้องถิ่นอื่นใดที่จะเข้าใจถึงภูมิความรู้ในท้องถิ่นของเขาได้ เพราะเป็นสิ่งที่อยู่ในโครงสร้างทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ร่วมกันในสภาพแวดล้อมธรรมชาติที่มีความหลากหลายทางชีวภาพในแต่ละถิ่น ความเข้มแข็งเหล่านี้ได้รับทุนสนับสนุนจากบริษัทสยามมิชลิน กระบวนการเรียนรู้ร่วมกันดังกล่าวนี้ ทำให้ผู้รู้ผู้อาวุโสที่เป็นปราชญ์ของท้องถิ่นจะรู้ว่า อะไรเป็นปัญญาทางเศรษฐกิจสังคม [Knowledge] ที่กินไปถึงว่าจะมีวิธีแก้ไขจัดการอย่างไร [Knowledge How] ได้ดีกว่าบรรดาปราชญ์ข้ามถิ่นและข้ามชาติ ที่ได้แต่พูดและอธิบายแต่เพียงว่า เพราะอะไร [Know Why] เท่านั้น แต่ไม่มีทางที่จะรู้ไปถึง Know How ที่นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจแบบพอเพียงและยั่งยืนได้ จากบทคิด บทเรียนที่ได้จากกลุ่มชาวบ้านต่อเรือที่บ้านเกาะปู ทำให้อดคิดถึงปัญหาความขัดแย้งที่รุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยไม่ได้ ที่บรรดาผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจ การเมือง และนักวิชาการ นักปราชญ์ต่าง ๆ คิดจะฟื้นฟูคนมุสลิมให้มีเศรษฐกิจและรายได้ดีขึ้น โดยการทำให้มีการจ้างงานและทำงานทางด้านอุตสาหกรรมเป็นหลัก ซึ่งนับเป็นความคิดและวิธีคิด วิธีพัฒนาที่มาจากภายนอกแทบทั้งสิ้น ดูเป็นสิ่งที่หยุดอยู่เพียงการอธิบายว่า Know How ที่นำไปสู่การสร้างชีวิตวัฒนธรรมในมิติเศรษฐกิจแบบพอเพียงได้ เพราะไม่เคยมองและวิถีชีวิตกลุ่มและฐานทางเศรษฐกิจที่มีความพอเพียงและสมดุลของท้องถิ่นที่มีอยู่ในธรรมชาติและสภาพแวดล้อมมาช้านาน ยกตัวอย่างเช่น ทุกวันนี้มีแต่แนะให้คนหนุ่มสาวออกไปทำงานนอกท้องถิ่นในลักษณะที่เป็นแรงงานตามแหล่งอุตสาหกรรมและงานบริการต่าง ๆ ในเขตเมือง ไม่ว่าภายในหรือภายนอกประเทศ ทำให้เกิดนาร้าง สวนร้าง ไม่มีการทะนุบำรุง แม้แต่อุตสาหกรรมในครัวเรือน เช่น การทำน้ำตาลโตนดซึ่งทำมาจากต้นตาล เป็นต้น แต่ก่อนทุกครั้งที่ข้าพเจ้าลงไปสามจังหวัดภาคใต้ ก็จะพบเห็นเสมอว่า คนมุสลิม คนจีน และคนไทยพุทธ ต่างอยู่ร่วมกันในนิเวศวัฒนธรรมที่มีความหลากหลายทางชีวภาพอย่างอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ในอ่าวปัตตานี พื้นที่ราบที่เป็นเรือกสวนไร่นาและพื้นที่ซึ่งเป็นป่าเขาอย่างสงบและมีดุลยภาพ คนจีนที่อยู่ในเมืองและย่านตลาดแม้ว่าจะมีฐานะร่ำรวยแต่ก็เข้ากันได้ดีกับคนอีกสองกลุ่ม ทั้งคนมุสลิมและไทยพุทธที่ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ชนบท อ่าวปัตตานีเป็นแหล่งที่หอย ปู ปลา และสัตว์ทะเลอุดมสมบูรณ์กว่าที่อื่นๆ ตามชายทะเลฝั่งอ่าวไทยทั้งสิ้น แต่คนมุสลิมและคนไทยพุทธที่มีอาชีพหาปลาจับปลาต่างก็ประกอบอาชีพแบบพอเพียงไปวันหนึ่ง ๆ ด้วยเรือกอและ อันเป็นเรือจับปลาขนาดเล็ก ปลาที่จับมาได้นั้นทั้งกินในครอบครัวและขายไปสู่ตลาดให้กับทางคนจีนและคนที่เป็นพ่อค้าแม่ค้า อย่างเช่นที่ตลาดสดเมืองยะลาและตลาดตามย่านเมืองทั่วไปล้วนมีปลามากมายหลายชนิด ในขณะที่พื้นที่ย่านเรือกสวนไร่นาและป่าเขาก็เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ มีความหลากหลายของพืชพันธุ์ไม้หลายชนิด ปลูกปะปนกันเป็นแบบสวนสมรม ระคนไปด้วยพื้นที่ทำนานิด พื้นที่ทำไร่และป่าหน่อย สลับกันไป บ้านเรือนต่างอยู่เป็นกลุ่มเล็ก ๆ มีพื้นที่ว่างระหว่างกัน ส่วนพื้นที่ป่าเขาก็ยังเป็นป่าและต้นไม้นานาชนิดขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น การมีบ้านเรือนเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ตั้งอยู่ห่างกันเช่นนี้เป็นสิ่งที่พบน้อยมากในสังคมเกษตรกรรมในประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม พม่า อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ดังนั้น พื้นฐานทางสังคมเศรษฐกิจแบบพอเพียงในบริบททางวัฒนธรรมของคนในสามจังหวัดภาคใต้ จึงเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วจนทำให้เกิดนิเวศวัฒนธรรมเพื่ออยู่ร่วมกันในเศรษฐกิจแบบเผื่อแผ่พอเพียงและยั่งยืน ดังนั้น การจะฟื้นฟูอะไรจำเป็นต้องคำนึงถึงพื้นฐานทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมเหล่านี้ หัวใจอยู่ที่การนำการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มกลับคืนกลับมา แล้วทบทวนการอยู่รวมกันด้วยการทำมาหากินที่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ซึ่งควบคุมได้ด้วยภูมิปัญญา วิธีการและเทคโนโลยีที่มีมาแต่เดิมถ่ายทอดมาจากผู้รู้ผู้อาวุโสจนถึงคนรุ่นใหม่ เมื่อข้าพเจ้าร่วมกับกรรมการสมานฉันท์ไปที่วัดพรหมประสิทธิ์ อำเภอปะนาเระ และเดินทางผ่านบ้านสวนในเขตอำเภอมายอและอำเภอยะรังไปยังจังหวัดยะลา ข้าพเจ้าแลเห็นความสมบูรณ์ของพื้นที่ชุ่มน้ำและพื้นที่สวนบ้านนาป่าเล็กๆ พื้นที่เลี้ยงสัตว์และต้นตาลที่มีขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น นับเป็นบริเวณที่มีความสมบูรณ์ของธรรมชาติและความสมดุลในระบบนิเวศวัฒนธรรมที่ดีกว่าพื้นที่อื่น ๆ ในประเทศไทยอีกมาก แต่ไฉนกลายเป็นพื้นที่ซึ่งเกิดความรุนแรง ฆ่าฟันระหว่างกันของผู้คนในท้องถิ่น ในขณะเดียวกันเมื่อไปเดินถามชาวบ้านเพื่อขอความรู้ทางสังคม ก็มีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจซึ่งเป็นคนพุทธคนมุสลิม ในบ้านของคนพุทธเด็กมีน้อยเพราะออกไปทำงานหางานที่อื่น แต่บ้านคนมุสลิมยังมีเด็กอยู่มากเพราะเรียนน้อย ส่วนใหญ่เรียนจากปอเนาะ แต่เด็กพุทธไปเรียนในเมืองมีความรู้และโอกาสดีกว่า ปัจจุบันเด็กก็ไม่สนใจการทำมาหากินแบบเดิม เช่น ทำนา ทำสวนและทำน้ำตาลโตนด แต่มุ่งออกไปหางานที่มีเงิน มีรายได้เป็นเดือนแทน เช่น เด็กมุสลิมก็ทำงานในลักษณะเป็นแรงงานจ้างไปสำหรับกิจกรรมในท้องถิ่น การทำสวนแบบเดิมและการทำน้ำตาลจึงเกือบจะหมดไป ข้าพเจ้าจึงคิดว่า ทำไมไม่ลองกระตุ้นในคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะคนมุสลิมหันมาทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มช่วยกันทำสวน ทำตาลโตนดกับเด็ก แล้วพัฒนาผลผลิตให้มีรายได้แบบพอเพียงร่วมกัน โดยส่งเสริมผลผลิตการเกษตรท้องถิ่นให้มีคุณค่าที่คนในท้องถิ่นเกิดความภูมิใจและมีศักดิ์ศรี สิ่งที่เป็นตัวอย่างที่ดีของการฟื้นฟูเศรษฐกิจพื้นฐานโดยอาศัยฐานทางสังคมเช่นนี้ ก็ปรากฏให้เห็นในกลุ่มสตรีมุสลิมที่บ้านดาโต๊ะที่ร่วมมือกันทำข้าวเกรียบปลาขาย จนมีรายได้จุนเจือครอบครัวอยู่ในขณะนี้ เป็นต้น ข้าพเจ้าคิดว่าเศรษฐกิจแบบพอเพียงที่เกิดขึ้นจากพื้นฐานการทำงานร่วมกันของคนในชุมชนนั้น นอกจากจะทำให้มีชีวิตรอดร่วมกันแล้ว ยังเกิดความเป็นปึกแผ่นมั่นคงทางสังคมวัฒนธรรมที่นำไปสู่การมีศักดิ์ศรีของมนุษย์ด้วยกัน เพราะสามารถอยู่ได้อย่างมีอิสระ ยั่งยืน ไม่ต้องเป็นทาสเวลาและทาสเงินทองของพวกนายทุน อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- จะหันไปทางไหน..ชีวิตอะไรอย่างนี้ในสามจังหวัดภาคใต้
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2549 บนถนนสายยะลา-ปัตตานี เพราะการเข้าไปมีส่วนร่วมจัดสร้างพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นของมูลนิธิฯ ที่ผ่านมาในแต่ละแห่งต้องใช้เวลาทำงานนานพอควร ข้อค้นพบอย่างหนึ่งในหลายปีเหล่านั้นก็คือ การสร้างองค์ความรู้ท้องถิ่นในแต่ละแห่งนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการไม่ใช่ “คนใน” ทำให้ต้องใช้เวลามากเหลือเกินในการทำความเข้าใจชุมชนหนึ่ง ๆ ให้ถึงหลากหลายแง่มุม หากลองเปลี่ยนมาสนับสนุน “คนใน” เป็นผู้ทำการศึกษาชุมชนของตนเอง จะลดทอนเวลาในการสร้างความคุ้นเคยในพื้นที่และผู้คนไปได้มาก แถมยังได้ข้อมูลลึก ๆ ที่คนนอกอย่างพวกเราอาจจะมีโอกาสน้อยในการรับรู้ เพียงแต่ต้องทดลองแนวทางในการคิดสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่มีความรู้ความเข้าใจในการทำงานวิชาการซึ่งมีทั้งการเก็บข้อมูล ตั้งคำถาม วิเคราะห์ สังเคราะห์ ตลอดจนเขียนรายงานในระดับเป็นที่ยอมรับได้ กระบวนการทั้งหมดนี้ คือการสร้างองค์ความรู้ให้กับท้องถิ่นของตนเอง ซึ่งใช้วิธีการศึกษาแบบ ชาติพันธุ์วรรณนา [Ethnography] ที่เน้นองค์รวมให้เห็นทั้งพื้นที่ ผู้คน และสังคมวัฒนธรรมเป็นหลัก และผลผลิตที่ได้จึงจะนำมาเสนอจัดสร้างพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นหรือเอกสารเผยแพร่ในภายหลัง ความต้องการสร้างนักวิจัยท้องถิ่นในพื้นที่อันหลากหลายนี้เองที่ชักนำให้ก้าวเข้าไปทำงานในสามจังหวัดภาคใต้ก่อนจะเกิดเหตุปล้นปืนจากค่ายทหารเมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๔๗ งานวิจัยเกี่ยวกับเรื่อง “ปอเนาะ” และ “การจัดการทรัพยากรชายฝั่ง” ที่ปอเนาะภูมีและบ้านดาโต๊ะ ในอำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี กลายเป็นงานวิจัยดีเด่นของสกว. ในปี ๒๕๔๘ เพราะเสียงสะท้อนจากปอเนาะและข้อเรียกร้องของชาวประมงพื้นบ้านที่นำเสนอโดยเจ้าของพื้นที่ตัวจริงได้รับการพิจารณาจากสังคมอย่างทันควัน ในภาวะที่ขาดแคลนข้อมูลท้องถิ่นและอยู่ในห้วงแห่งความสับสนของสังคมไทย อันที่จริงเรามีความรู้น้อยมากเกี่ยวกับชีวิตและความเปลี่ยนแปลงของผู้คนในสังคมมุสลิมในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ หรือจะเรียกพวกเขาว่าชาวมลายูมุสลิมก็ได้ สิ่งที่รับรู้นั้นส่วนใหญ่มาจากสื่อมวลชนที่ให้ภาพของความรุนแรงและการต่อต้านรัฐซึ่งเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง แต่มีงานศึกษาเชิงสังคมศาสตร์น้อยมากทั้งๆ ที่ในท้องถิ่นนี้มีลักษณะเป็น พหุลักษณ์ทางสังคม [Plural Society] ที่มีกลุ่มผู้นับถือศาสนาอิสลามเชื้อสายมลายูเป็นกลุ่มใหญ่ มีคนเชื้อสายจีนและชาวบ้านที่นับถือพุทธศาสนา การเป็นสังคมมุสลิมโดยภาพรวมแต่ทว่าอยู่ในประเทศที่คนส่วนมากนับถือศาสนาพุทธ ทำให้ความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมและผู้คนอาจนำไปสู่ปัญหาทางชาติพันธุ์และชาตินิยมได้โดยง่าย สังคมไทยขาดการทำความเข้าใจและระแวดระวังเพราะไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์วิกฤตอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เมื่อมีโอกาสทางมูลนิธิฯ จึงใช้ในการทำงานวิจัยร่วมกับชาวบ้านนักวิจัยท้องถิ่นเพื่อศึกษาสังคมและวัฒนธรรมในมิติทางประวัติศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงในเขตหุบสายบุรีและหุบปัตตานีหรือในพื้นที่ภายในที่อยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดิน หลังจากที่พอจะมีโมเดลของชุมชนในเขตชายฝั่งจากงานวิจัยในชุดแรก หลังจากเดินมาถึงครึ่งทางก็พบว่า คงจะยากเกินไปเสียแล้วที่จะทำงานเชิงวิชาการในสถานการณ์สงครามกลางเมืองแบบนี้ จากความหวั่นไหว หวั่นเกรงในสถานการณ์ที่สุกงอมจนกลายเป็นความจริง ทุกวันนี้ เราเผชิญกับสถานการณ์เลวร้ายที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นได้เลยในเมืองไทย ภาพมายาของความเป็นบ้านเมืองที่สงบสุข ประชาชนรักสันติ ผู้ปกครองเป็นธรรมที่ถูกกรอกหูมาแต่เล็กจนโตหายไปหมด กลายเป็นบ้านเมืองแห่งความกลัว รัฐที่ล้มเหลว และประชาชนหวาดระแวงกันเอง แม้จะยังไม่เกิดขึ้นในภูมิภาคอื่น ๆ แต่ถ้าเราปล่อย ๆ คิดว่าเป็นพื้นที่ไกลตัวปัญหาทั้งหลายคงไม่มาถึง โดยไม่พยายามทำความเข้าใจต่อปัญหาที่เกิดขึ้น ก็อาจนึกเข้าข้างตัวเองมากไป เพราะเหตุวินาศกรรมเหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้ทุกแห่งและตลอดเวลา เจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถตรวจสอบและหยุดยั้งได้จริง ๆ หรือเปล่านั้น เวลาที่ผ่านมาพิสูจน์ได้อยู่แล้วว่า เราไม่ควรจะแน่ใจ งานวิจัยนี้ต้องอาศัยนักวิจัยท้องถิ่นทำงานเป็นหลัก แต่ต้องสนับสนุนให้มีการเรียนรู้นอกพื้นที่ เช่น การอบรมแนวทางการทำงานเก็บข้อมูล การศึกษาข้ามพื้นที่และวัฒนธรรม การประชุมถกเถียงในเชิงวิชาการ หรือแม้แต่โอกาสในการเข้าร่วมการสัมมนาหรืองานประชุมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นตามสถาบันการศึกษา ในขณะที่พื้นที่ศึกษาบางแห่ง ยากเกินไปที่จะเข้าไปสอบถามข้อมูลต่าง ๆ จากชาวบ้าน หรือนักวิจัยบางกลุ่มบางคนก็ต้องรับงานลักษณะเช่นเดียวกันนี้อีกหลายโครงการ เพราะทุนอุดหนุนมีมากกว่าคนทำงานเสียแล้ว จนกระทั่ง ปัญหาที่เกิดจากความบาดหมางและเข้ากันไม่ได้ของคนต่างศาสนาในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันมองหน้ากันด้วยความหวาดระแวงและหมางเมิน โอกาสที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขถอยห่างไปทุกที แม้จะเป็นงานวิจัยโดยฝีมือชาวบ้านที่อาจไม่ได้รับการยอมรับถึงความเป็นเลิศทางวิชาการ แต่ก็นับว่าได้เปิดแนวทางการศึกษาในการทำความเข้าใจพื้นที่และสังคมวัฒนธรรมท้องถิ่นในมุมมองของคนใน ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติจนบางคนอาจจะกล่าวว่า “สายเกินไป” และสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์ได้อีกครั้งสำหรับนักวิชาการคนนอกเช่นกัน แต่ในพื้นที่ศึกษาทั้งสองหุบของลุ่มน้ำอยู่ในเขตจังหวัดยะลา ยิ่งนับวันเหตุการณ์รุนแรงมีมากขึ้นทุกที เมื่อเหตุร้ายลุกลามเข้าสู่ตัวเมืองยะลาซึ่งผังเมืองและสภาพแวดล้อมได้ชื่อว่าน่าอยู่ที่สุดในประเทศไทย ทุกวันนี้มีใครบ้างที่ไม่อยู่อย่างหวาดกลัว ธุรกิจสารพัดชนิดเสียหายเอื่อยเนือย ปิดกิจการไปก็หลายอย่าง แม้จะอยู่ร่วมกันอย่างสุขสงบมานาน ในครั้งนี้คนเชื้อสายจีนในตลาด คนพุทธหรือแม้แต่คนมุสลิมก็ยากที่จะสมานฉันท์กันแล้ว ถ้าออกไปกรีดยางไม่ได้ ถ้าขับรถไปทำงานแล้วถูกประกบยิง ถ้าเดินออกกำลังกายใกล้บ้านก็ถูกยิง ถ้าออกไปกินข้าวกับครอบครัวร้านอร่อยก็ถูกระเบิด ถ้าเช้ามืดหรือเย็นค่ำต้องปิดประตูหน้าต่างไม่กล้าออกนอกบ้าน ถ้าระหว่างการเดินทางเริ่มมืดค่ำต้องค้างโรงแรมทั้งที่บ้านพักอยู่ไม่ไกล ถ้าขับรถไปทำงานต้องก้มตรวจดูใต้ท้องรถว่ามีระเบิดไหม ถ้าทั้งเมืองมืดเพราะถูกตัดไฟเพื่อวินาศกรรม และถ้าไม่มีความไว้วางใจให้ใครอีกเลยทั้งเพื่อนบ้านและเจ้าหน้าที่ของรัฐ นี่มันชีวิตอะไรกัน แน่ใจหรือว่าที่นี่ประเทศไทย คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์หรือ กอส. ตั้งขึ้นมากว่า ๗-๘ เดือน ประกอบด้วยคณะกรรมการ ๕๐ คนที่มีความชำนาญและคุณวุฒิเป็นที่น่าเชื่อถือศรัทธาทั้งชาวพุทธและมุสลิม เจ้าหน้าที่รัฐและนักวิชาการ เป็นความหวังที่คงมีคนแอบหวังอยู่มากและคงจะมากกว่าความคาดหวังต่อรัฐบาลชุดนี้ และเมื่อมีการประชุมเพื่อพิจารณา “ร่างรายงานเอาชนะความรุนแรงด้วยพลังสมานฉันท์ร่างที่ ๒” เสร็จเมื่อวันที่ ๖ มกราคมที่ผ่านมาและมีโอกาสได้อ่านร่างฉบับนั้น ผิดหวังเอาการ เห็นด้วยกับพาดหัวข่าวของศูนย์ข่าวอิสราซึ่งคนพื้นที่เห็นว่า “ไม่ฟันธง ไม่ตรงใจ” กอส. ประชุมแทบทุกอาทิตย์ ที่รู้เพราะอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ที่ปรึกษาของมูลนิธิฯ เป็นหนึ่งในคณะกรรมการฯ ประชุมกันในพื้นที่บ้าง มีคณะกรรมการย่อยในพื้นที่ดูแลรับฟังปัญหา มีการสนับสนุนการงานวิจัยบางเรื่อง สนับสนุนกิจกรรมสาธารณะบางโครงการ แต่ก็ต้องรับมือกับนโยบายการแก้ปัญหาแบบสองหน้าของรัฐบาล เอาเฉพาะเรื่องรายงานที่ควรเป็นบนสรุปอันทรงพลังของคณะกรรมการฯ ดังกล่าว สำหรับผู้ที่อยู่ในพื้นที่ย่อมรู้สึกเห็นแตกต่างและสำหรับผู้เขียนบทความที่กำลังอยู่ในภาวะกึ่งกลางระหว่างคนในกับคนนอกรู้สึกกังวลและใจเสียเอามาก ในเมื่อสิ่งที่เป็นความหวังในการเข้าใจถึงปัญหาและสาเหตุของความรุนแรงในมิติที่ลึกและกว้างขวางดูเหมือนยังเลื่อนลอย เน้นนามธรรม ขาดการวิเคราะห์ปัญหาหลักที่เป็นสาเหตุให้เกิดความรุนแรง และที่สำคัญที่สุด ขาดข้อมูลซึ่งน่าจะมีมากจากคณะกรรมการกอส. เองที่เป็นมลายูมุสลิมและเป็นคนในพื้นที่ สะพานข้ามคลองที่ถูกระเบิดเสียหายในอำเภอหนองจิก เพราะปัญหาลักษณะนี้มีอยู่ทั่วโลกและเกิดขึ้นอย่างซ้ำ ๆ ซาก ๆ ธงที่เป็นคำตอบมีอยู่ไม่กี่ประเด็น เช่น การแย่งชิงฐานทรัพยากรท้องถิ่นที่กำลังรุนแรงเมื่อต้องปะทะกับวัฒนธรรมอันเข้มแข็งของชุมชนผู้นับถือศาสนาอิสลามในพื้นที่ซึ่งมีรากเหง้าของประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ และประวัติศาสตร์ที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง (ซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่แตกต่าง เพียงแต่ภูมิภาคอื่น ๆ ไม่ได้มีความแข็งแกร่งดังกล่าวเท่าเทียมกัน) จนเป็นเหตุให้เกิดขบวนการสร้างอัตลักษณ์เพื่อธำรงความเป็นชาติพันธุ์ [Ethnicity] ที่กำลังเผชิญหน้ากับขบวนการชาตินิยม [Nationalism] โดยเฉพาะจากการกำหนดขึ้นโดยรัฐอันมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นตัวขับเคลื่อน ตลอดจนขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่อ่อนแรงและมีการปรับตัวไปสู่ขบวนการรูปแบบใหม่ในโลกแบบโลกาภิวัตน์ซึ่งเทคโนโลยีง่าย ๆ ก็สามารถก่อเหตุร้ายได้ในราคาถูก ๆ จากร่างรายงานของ กอส. ที่กล่าวถึง จินตนาการเรื่องยศธรและอัมมานาเด็ก ๆ ผู้สูญเสีย กรอบแนวคิดทฤษฎีเพื่อหาสาเหตุ สถิติของการเกิดเหตุและแนวโน้ม การเสนอแนวคิดสมานฉันท์ในสังคมไทย และวิธีแก้ไขปัญหาความรุนแรงอย่างยั่งยืน เช่น เสนอให้มีการร่างพระราชบัญญัติเสริมสร้างสันติสมานฉันท์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อแก้ไขปัญหาความรุนแรงที่โครงสร้าง การจัดตั้งองค์กรพิเศษปกครองพื้นที่ฝ่ายพลเรือน การออกกฎหมายนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำผิดทุกฝ่าย การประกาศให้ภาษามลายูเป็นภาษาทางการภาษาที่สอง รวมทั้งการตั้งกองทัพที่ไม่ติดอาวุธแก้ไขสถานการณ์กรณีเกิดความขัดแย้ง เป็นการให้ความสำคัญและยึดถือในกระบวนการสันติวิธีอย่างสมานฉันท์มากจนละเลยสาเหตุแห่งปัญหาและหนทางแก้ไข เพราะถ้ามีคนตบหน้าเราข้างหนึ่ง เราคงไม่อยากยื่นหน้าให้เขาตบอีกข้าง แต่ต้องถามกันหน่อย หาสาเหตุกันบ้างว่า มาตบหน้ากันทำไม ? ความลึกของปัญหานั้น เลยการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อยุติความรุนแรงในรูปแบบอภัยวิถีมานานแล้ว เมื่อคนตายเป็นใบไม้ร่วงทุกวัน แม้แต่ในวงพูดคุยระหว่างนักวิจัยท้องถิ่น เราคุยกันว่า “ขอให้ทุกคนโชคดี ไม่เป็นอะไร หวังว่าพวกเราคงอายุยืน” นั่นสะท้อนถึงความไม่มั่นใจในชีวิตจนถึงที่สุดแล้ว จะหันหน้าไปทางไหน รัฐนั้นทั้งไม่เข้าใจและเป็นตัวการสาเหตุแห่งปัญหา การแก้ปัญหาคือการเพิ่มปัญหา ไม่ว่าจะเป็นออกพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน โครงการนิคมอุตสาหกรรมฮาลาล โครงการซีฟู๊ดแบงค์ การออกประกาศเขตอุทยานทับที่ทำกินของชาวบ้าน จนถึงการแก้ไขปัญหาแบบทื่อๆ สำหรับการศึกษาแบบปอเนาะหรือการหรี่ตาให้ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ทำให้เครือข่ายของผู้ก่อการขยายวงกว้างอย่างต่อเนื่องต่อไป การเผาเสาสัญญาณส่งโทรศัพท์กว่า ๔๐ แห่งเมื่อเร็ว ๆ นี้สะท้อนถึงเครือข่ายที่กว้างขวาง แม้ในหมู่บ้านย่อย ๆ ตู้โทรศัพท์ถูกเผามากกว่าที่รายงานข่าวกล่าวถึงแน่ ๆ ความซับซ้อนของปัญหาเช่นนี้ต้องการความลึกของข้อมูล เมื่อ กอส. พ้นหน้าที่ไปโดยไม่ฝากความหวังไว้ให้คนในพื้นที่ ยาวิเศษขนานไหนก็คงไม่ช่วยให้สังคมไทยรอดพ้นวิกฤตเหล่านี้ เกิดตายอีกสักกี่คนหรือกี่ชาติจึงจะเข้าถึงสาเหตุแห่งความอยุติธรรมที่เราร่วมสร้างไว้แก่ชาวบ้านผู้ต้องรับเคราะห์เหล่านั้น เพราะความอยุติธรรมยังไม่ต้องใช้กระบวนการสมานฉันท์ แต่ต้องเห็นเหตุเพื่อแก้ไขเสียก่อน อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ไฟใต้ฤาจะดับ
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2549 ชายฝั่งปะนาเระ เคยเป็นหมู่บ้านชาวประมงขนาดใหญ่ แต่ปัจจุบันการทำประมงชายฝั่งประสบปัญหามาก ทั้งการกัดเซาะของชายฝั่งทำให้หมู่บ้านชาวประมงหายไป ผู้ที่เคยอยู่อาศัยต้องเข้ามาอยู่ภายใน ทำให้เกิดความแออัดหนาแน่นของบ้านเรือนอย่างมาก จากประสบการณ์ภาคสนามและรายงานของนักวิจัยที่เป็นคนท้องถิ่นในเขตจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ซึ่ง มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ได้มีส่วนร่วมในการวิจัยทางสังคมและวัฒนธรรมร่วมกับสถาบันวิจัยที่เกี่ยวข้องในระยะรอบปีที่ผ่านมา ได้พบข้อเท็จจริงพื้นฐานที่ทำให้น่าเป็นห่วงว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสามจังหวัดภาคใต้ในขณะนี้ เป็นสิ่งยากที่จะยุติหรือบรรเทาลงได้ การโต้ตอบกันด้วยความรุนแรงจากฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบที่ถือว่าผิดกฎหมายกับฝ่ายรัฐที่อ้างว่าถูกกฎหมายมีพระราชกำหนดรองรับนั้น มีแต่จะทวีความเคียดแค้นและการฆ่ากันจนเป็นเหตุให้คนบริสุทธิ์เป็นจำนวนมากต้องล้มตายแทบทุกวัน แม้แต่วิธีการแก้ปัญหาของคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ ก็คงเป็นได้แต่เพียงจินตนาการทางอุดมคติเท่านั้น เพราะคิดว่า สันติวิธีและสันติสุข เป็นได้แค่เพียงความเพ้อเจ้อของคนจากภายนอกมากกว่าความต้องการและความเข้าใจของคนภายใน ตราบใดที่ยังไม่มีการทำความเข้าใจ ปรับความเข้าใจระหว่างกันของกลุ่มของการขัดแย้งต่างๆ ในลักษณะที่พบกันครึ่งทาง หรือประนีประนอมกันอย่างสมานฉันท์แล้ว คำว่า “สันติสุข” ก็เป็นเพียงแค่ “วจีบริการ” [Lip Service] เท่านั้น ที่แล้วมา รัฐและสื่อมวลชนมักเสนอข่าวของความรุนแรงให้กับสังคมมหาชนทั้งประเทศเห็นว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้น เพราะเนื่องมาจากการปฏิบัติการของกลุ่มคนที่จะแบ่งแยกดินแดนไปจากประเทศไทย ซึ่งเท่ากับเป็นการขัดแย้งกันระหว่างคนในสังคมใหญ่ภายนอกที่นับถือพุทธศาสนากับคนในสังคมมุสลิมที่เป็นชนกลุ่มน้อย ทั้ง ๆ ที่งานวิจัยและความคิดเห็นของผู้รู้ที่มีประสบการณ์เป็นจำนวนมากได้แสดงออกอย่างต่อเนื่องว่า คนมุสลิมส่วนใหญ่หาได้มีความคิดที่จะแบ่งแยกดินแดนไม่ หากมีความรู้สึกว่าทางรัฐและสังคมมหาชนต่างหากที่ไม่เคยให้ความสนใจในการให้ความเป็นธรรมและความเสมอภาคแก่เขา ทั้ง ๆ ที่ในอดีตรัฐปัตตานีอันเป็นมาตุภูมิเคยเป็นรัฐอิสระที่มีความเจริญทางอารยธรรมเป็นที่สุดรัฐหนึ่งในบรรดารัฐมุสลิมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้เกิดสำนึกการเป็นประชาชนคนไทยชั้นที่สองอยู่ตลอดเวลา ข้าพเจ้าคิดเสมอว่าความไม่เสมอภาคดังกล่าวนี้ นำไปสู่ความไม่เข้าใจในเรื่องสังคมและวัฒนธรรมของคนมุสลิมในกระแสการพัฒนาเศรษฐกิจการเมืองของรัฐ ตั้งแต่สมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นต้นมา เกิดความขัดแย้งในเรื่องการใช้ความรุนแรงและทัศนคติที่ไม่เป็นธรรมแก่คนมุสลิมเสมอ จึงเกิดการต่อต้านอยู่เรื่อย ๆ แต่ก็ไม่นับได้ว่าเป็นการโต้ตอบด้วยความรุนแรงถึงขนาดการฆ่าฟันกันมากมายอย่างในขณะนี้ เพราะดูเป็นการขัดขืนและต่อรองเสียมากกว่า หากแต่รัฐและทางบ้านเมืองไม่ให้ความสนใจเลย แถมยังเข้าใจผิดคิดไปว่าคนมุสลิมมีวัฒนธรรมที่บ้าวัตถุนิยมแบบคนไทยในปัจจุบันทั่วไป ซึ่งตั้งหน้าตั้งตาพัฒนาเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียวจนทำให้สังคมมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้ปรับตัวไม่ทัน จนเกิด ความล้าหลังทางวัฒนธรรม [Culture Lag] กระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจการเมืองของรัฐโดยเฉพาะสภาพัฒนาเศรษฐกิจ (และสังคม) แห่งชาตินั้น เป็นการพัฒนาแบบโลกวิสัย [Secularization] แบบตะวันตก เป็นการพัฒนาแบบไร้มิติทางจิตวิญญาณโดยแท้ นั่นคือขาดความสัมพันธ์ระหว่างคนกับอำนาจเหนือธรรมชาติ โดยเฉพาะความสำคัญของศาสนา ซึ่งเป็นสถาบันสำคัญในทางความเป็นมนุษย์และศีลธรรม อันที่จริงความล้าหลังทางวัฒนธรรมแบบนี้หาได้เกิดกับสังคมมุสลิมที่เดียวไม่ เกิดขึ้นกับสังคมชาวนา [Peasant Society] ในชนบทของประเทศไทยทั่วไปเหมือนกัน ซึ่งก็ก่อให้เกิดความขัดแย้งภายในแต่ละสังคมชาวพุทธและมุสลิมเหมือนกัน ต่างกันเพียงสังคมชาวนาที่เป็นพุทธมีวัฒนธรรมที่อ่อนแอกว่าจึงถูกครอบงำและเปลี่ยนแปลงได้ง่าย จนถูกทำลายอย่างยับเยินมาจนถึงทุกวันนี้ ในทำนองตรงข้าม วัฒนธรรมของคนมุสลิมมีความเข้มแข็งกว่า เพราะศาสนายังมีความเป็นวิถีชีวิต [Way of life] อยู่ ดังเช่นการต้องทำพิธีละหมาด ๕ ครั้งต่อวัน เป็นต้น สังคมชาวนาของคนพุทธกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมเมืองและอุตสาหกรรม [Urbanization กับ Industrialization] อย่างรวดเร็ว แต่สังคมมุสลิมเชื่องช้าและปรับตัวยากกว่า โดยเฉพาะการรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่มากับกระบวนการอุตสาหกรรมและการเป็นเมือง เมื่อ ๒ ปีที่แล้วมา ข้าพเจ้าและคณะทำงานวิจัยทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่นให้กับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) โดยให้ความสำคัญกับการสร้างนักวิจัยจากภายในให้ทำหน้าที่เก็บข้อมูลพื้นฐาน และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม และลดบทบาทนักวิจัยจากภายนอกให้มาทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงและผู้ประสานงานแทน ผลงานวิจัยครั้งนั้น ทำให้แลเห็นความเป็นสังคมชาวนามุสลิมที่มีอาชีพหลักเป็นชาวประมง ความสำคัญของกูโบร์หรือสถานที่ฝังศพ และปอเนาะซึ่งเป็นสถาบันในการอบรมศาสนาและการศึกษาแบบดั้งเดิมของคนมุสลิม ได้แลเห็นความรู้สึกนึกคิดของคนมุสลิมชาวบ้านและคนรุ่นเก่า ๆ ที่รักสงบ เสียดายอดีต รักถิ่นกำเนิดและธรรมชาติแวดล้อมอย่างไม่คิดที่จะแบ่งแยกดินแดนแต่อย่างใด ในขณะเดียวกันก็เห็นความสำคัญของสถาบันปอเนาะที่นับเป็นอัตลักษณ์ของคนปัตตานี ร่วมทั้งโต๊ะครูหรือบาบอที่เป็นเจ้าสำนัก ว่าไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับการอบรมการบ้านการเมืองให้เป็นผู้ผิดศีลธรรมและใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะโต๊ะครูหลายท่านในอดีตได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์ในระดับที่เหนือกว่าคนที่เป็นเจ้าเมืองและเจ้านายเสียด้วยซ้ำ แต่จุดอ่อนของการวิจัยครั้งนั้นอยู่ที่การให้ความสำคัญกับคนรุ่นเก่าจนเกินไป จึงแลไม่เห็นความขัดแย้งภายในที่เป็นสิ่งธรรมดาของสังคมมนุษย์ในชุมชนทุกหมู่เหล่า แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงที่มัสยิดกรือเซะที่มีเด็กและคนวัยรุ่นมุสลิมถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมากในฐานะการก่อความไม่สงบและทำร้ายผู้คนและเจ้าหน้าที่ จึงได้เห็นจุดอ่อนของงานวิจัยว่าเน้นแต่เพียงกลุ่มทางสังคมที่เป็นพื้นฐานของสังคมชาวนาจนเกินไป จนไม่เห็น ช่องว่างระหว่างวัย [Generation Gap]อันเป็นหัวใจของการเปลี่ยนผ่านทางสังคมและวัฒนธรรม บ้านไม่มั่นคงที่ปะนาเระ ชาวบ้านที่ไม่มีที่ดินอยู่อาศัย ต้องปลูกเพิงที่พักอาศัยในที่ดินของผู้อื่น ข้าพเจ้าได้ตั้งคำถามไปยังบรรดานักวิจัยที่เป็นผู้คนในพื้นที่ว่าเด็กและวัยรุ่นที่ตายเหล่านั้นเป็นใครมาจากไหน เป็นคนในชุมชนหมู่บ้านท้องถิ่น [Village] หรือไม่ และความสัมพันธ์ระหว่างพวกเด็ก ๆ กับผู้ใหญ่ในครอบครัวเป็นอย่างไร คำตอบที่ได้รับก็คือ คนส่วนใหญ่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่วัยรุ่นนั้น ไม่ใช่คนในท้องถิ่น มาจากที่อื่น ส่วนเรื่องเด็กกับผู้ใหญ่ในครอบครัวนั้น ปัจจุบันพ่อแม่และผู้ใหญ่ ไม่ใคร่รู้อะไรเกี่ยวกับเด็กๆ ของตนว่าไปทำอะไร เพียงแต่รู้ว่าในยามเย็นและค่ำ พวกเด็กผู้ชายและวัยรุ่น มักไปพบกันตามโรงน้ำชา เรื่องโรงน้ำชาจึงเป็นสิ่งใหม่ที่ข้าพเจ้ารับรู้ เพราะเท่าที่เห็นมาในที่อื่น เช่นในบรรดาคนมุสลิมในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราชมักเห็นในตอนเช้าซึ่งมักเป็นคนรุ่นผู้ใหญ่ ไปนั่งกินอาหารและพบปะคุยกัน เช่นสิ่งที่เรียกว่าบรรดาร้านกาแฟในสังคมทั่วไปของคนพุทธ ร้านน้ำชาของคนมุสลิมนั้นต่างไปจากร้านกาแฟของคนพุทธ คือ ไม่ใช่เป็นที่กินเหล้าและสูบบุหรี่เพราะขัดกับหลักศาสนา ผู้ใหญ่จึงแลเห็นว่าเด็กคงไม่ไปกินเหล้าสูบบุหรี่และไม่รู้ว่าไปพบปะพูดคุยอะไรกัน แต่สิ่งที่สะกิดใจอย่างหนึ่งเมื่อทบทวนข้อมูลจากการวิจัยก็พบว่า เมื่อตอนประกาศกฎอัยการศึกนั้น เกิดการแพร่หลายของยาเสพย์ติดมากกว่าเดิม และในเหตุการณ์ที่กรือเซะมีรายงานของเจ้าหน้าที่รัฐว่า สอบถามเด็กที่จับได้ก็ระบุว่ามีบุคคลสอนศาสนาแบบใหม่ รวมทั้งมีพิธีกรรมให้สาบานและดื่มน้ำสาบานที่มีสีผิดแผกไปจากน้ำธรรมดา ซึ่งก็เชื่อว่าน่าจะเจือปนด้วยยาเสพย์ติดที่ปรุงให้เป็นยากล่อมประสาท เพื่อให้เกิดความเคลิ้มและลืมตัวจนเป็นทาสของคำสั่งที่ผิด ๆ ได้ ข้าพเจ้าจึงได้ให้ช่วยกันหาข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องช่องว่างระหว่างวัย [Generation Gap] ก็ทำให้ได้เรื่องราวเกี่ยวกับพวกโรงน้ำชาเพิ่มเติมก็ได้ความว่า เกิดขึ้นมากมายหลายแห่งทั้งริมถนนใหญ่ ในหมู่บ้าน และตามชุมชนระดับเมือง ดูเป็นสถานที่เพื่อตอบความทันสมัยของคนรุ่นใหม่ ๆ ที่เป็นไปในทางบันเทิงและประโลมโลก ซึ่งแน่นอนว่าต้องเกี่ยวข้องกันกับยาเสพย์ติดด้วย เป็นรูปแบบใหม่ ๆ ไม่มีบทบัญญัติในศาสนา ปัญหาจึงต้องถามว่าเด็กและวัยรุ่นเหล่านั้น เอาเงินมาจากไหน เพราะดูเกินฐานะทางเศรษฐกิจของคนในสังคมชาวนารุ่นพ่อรุ่นแม่จะหามาได้ การเก็บข้อมูลทางเศรษฐกิจและสังคมของคนในรุ่นใหม่จึงเป็นโจทย์ที่ค่อนข้างใหญ่ เท่าที่รับทราบมาในขณะนี้ก็ได้ภาพรวม ๆ ทางเพศสภาพ คือ พวกผู้ชายทั้งคนรุ่นเก่าและใหม่ บทบาทและสถานภาพลดน้อยลง เพราะอาชีพเดิมทั้งการประมงและเกษตรกรรมมีรายได้น้อยลง อย่างเช่นการประมงนั้น การรุกล้ำของเรือประมงขนาดใหญ่จากภายนอกทั้งอวนรุนและอวนลาก ตลอดการให้สิทธิแก่นายทุนในการสัมปทานพื้นที่ทางน้ำ ทำให้บรรดา กุ้ง หอย ปู ปลา ที่ชาวบ้านจับด้วยเครื่องมือแบบดั้งเดิมไม่ได้ผลดี เพราะจำนวนสัตว์น้ำลดลง ในขณะเดียวกันการรุกล้ำของนากุ้งและอุตสาหกรรมได้แย่งพื้นที่ทำกินไปเกือบหมด ทำให้ความเป็นอิสระในแบบหากินอย่างพอเพียงและยั่งยืนหมดไป ผลที่ตามมาก็คือ ผู้หญิงต้องหารายได้แทนเพิ่มขึ้น ทั้งการผลิตของในท้องถิ่น เช่น ทำข้าวเกรียบปลาและการไปขายของในหมู่บ้านและในตลาด รวมทั้งออกไปรับจ้างเป็นแรงงานทางอุตสาหกรรม เพราะฉะนั้น ผู้หญิงจึงไม่อยู่แต่ภายในชุมชนท้องถิ่นอย่างแต่เดิม อีกทั้งยังมีการเดินทางไปทำงานในประเทศมาเลเซียร่วมกับผู้ชายด้วย แต่ที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งก็คือ ผู้หญิงมีการศึกษาดีขึ้น ออกไปเรียนในมหาวิทยาลัยส่วนภูมิภาคเพิ่มขึ้น จนเกิดการกล่าวอ้างถึงบ่อย ๆ ว่า นักศึกษาหญิงเป็นจำนวนมากได้ขายบริการ ในทำนองเดียวกันกับพวกนักศึกษาชายที่ติดยาเสพย์ติด ส่วนทำนองตรงข้าม บรรดาผู้ชายมีบทบาทน้อยลงในการทำมาหากินเพราะจับปลาไม่ได้อย่างที่เคยเป็นมา อีกทั้งระดับการศึกษาต่ำ โอกาสที่จะทำงานได้ดีก็เป็นเพียงแค่แรงงานจ้างตามโรงงานอุตสาหกรรมและออกไปหางานทำในประเทศมาเลเซีย ผลที่ตามมาของผู้คนในสังคมมุสลิมซึ่งอยู่ในลักษณะที่เสียดุลยภาพทั้งสภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม ที่นำไปสู่ปัญหาทางวัฒนธรรม การเสียดุลยภาพที่นับวันมีแต่เพิ่มขึ้นเมื่อถูกกระหน่ำโดยการเข้ามาของโครงการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐและธุรกิจเอกชน ทำให้มีคนจากภายนอกเข้ามาตั้งถิ่นฐานแย่งทรัพยากรและมีอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองเหนือผู้คนแต่เดิมในท้องถิ่น ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนั้นจึงไม่เพียงแต่ระหว่างข้างในกับข้างนอกเหมือนอย่างที่ผู้คนในสังคมมหาชนได้รับข้อมูลจากสื่อ ว่าเป็นการแบ่งแยกดินแดน หากเป็นการขัดแย้งภายในสังคมมุสลิมเองซึ่งนับวันก็ดูยิ่งรุนแรงขึ้น ในปีที่ผ่านมาข้าพเจ้าได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการผู้หนึ่งในคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์ (กอส.) ได้มีโอกาสร่วมประชุมและร่วมออกไปสังเกตการณ์ในพื้นที่พอสมควร นับว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีในการนำมาวิเคราะห์เพิ่มเติมกับงานวิจัยภาคสนามกับนักวิจัยของท้องถิ่นที่ทำร่วมกันมาก่อน ส่วนดีและความสำคัญของ กอส. นั้น ทำให้เข้าถึงและเข้าใจปัญหาได้ชัดเจน และสามารถแก้ไขผ่อนคลายอะไรต่ออะไรได้ในระดับหนึ่ง แต่จุดอ่อนหรือส่วนอ่อนก็คือ ยังเข้าถึงข้อมูลภายในที่เป็นปัญหาความขัดแย้งในสังคมมุสลิมไม่ได้ดี อันเนื่องมาจากการมีผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญในแนวคิดทฤษฎีจากภายนอกมากเกินไปนั่นเอง จากประสบการณ์ในการเป็นกรรมการ กอส. ทำให้ข้าพเจ้าแลเห็นความขัดแย้งภายในที่นำไปสู่ความรุนแรงที่นับวันจะทวีคูณขึ้น นั่นคือ ความขัดแย้งในเรื่องของชนชั้น หาใช่เป็นแต่เพียงช่องว่างระหว่างวัยแต่อย่างเดียวไม่ ในคณะกรรมการ กอส. ได้เชิญคนมุสลิมมาเป็นกรรมการร่วมเหมือนกัน เช่น บรรดาโต๊ะครูอันเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนในสังคม ซึ่งก็ทำให้แลเห็นชัดเจนว่าท่านเหล่านี้ล้วนเป็นผู้รู้และทรงคุณธรรม แต่ท่านเป็นชนชั้นสูงตามสถานภาพทางสังคมและเศรษฐกิจ หาได้มีคนชั้นอื่น เช่น ชนชั้นกลางและชนชั้นล่างในท้องถิ่นเข้ามาร่วมไม่ ข้าพเจ้าเองก็ไม่เคยคิดว่าจะมีเรื่องชนชั้นในสังคมมุสลิมของภาคใต้นี้มาก่อน แต่ข้อมูลที่ได้มาในตอนหลังจากการพูดคุยและสังเกตการณ์ก็พบว่ามีเรื่องชนชั้นจริง ๆ คือ ชนชั้นสูง ที่แม้ว่าจะไม่มีฐานะทางเศรษฐกิจที่ร่ำรวยจนเกินไป แต่ก็เป็นสถานภาพทางสังคม เช่น พวกโต๊ะครูและผู้นำทางการเมือง คนเหล่านี้แม้มีลูกมากก็สามารถให้การเลี้ยงดูส่งเสียให้เรียนในระดับสูงทั้งในและนอกประเทศได้ ดูไม่มีความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ ชนชั้นกลาง มีทั้งรวยและจนแต่ลูกน้อยสามารถดำรงชีวิตได้สบาย แต่ว่าไม่พอใจและคับแค้นใจในเรื่องของสถานภาพทางสังคมและโอกาสที่ด้อยกว่าคนกลุ่มอื่น ๆ ที่เป็นคนจีนและคนพุทธ โดยเฉพาะคนชั้นกลางที่เป็นครูสอนศาสนาและครูสอนหนังสือตามโรงเรียน ส่วนชนชั้นล่าง ก็คือพวกชาวบ้านและพวกที่เป็นแรงงานรับจ้าง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจนที่มีลูกมากจึงไม่สามารถเลี้ยงดูลูกเต้าให้ได้รับการศึกษาและความเป็นอยู่ที่ดีได้ เรื่องนี้เห็นประจักษ์จากการเข้าไปสืบเหตุการณ์ พบว่าพวกเด็กและคนรุ่นหนุ่มในชุมชนที่เป็นมุสลิมนั้น ไม่ไปไหนจับกลุ่มกันอยู่ในหมู่บ้าน ซึ่งแตกต่างไปจากชุมชนของคนพุทธและคนจีนที่เด็ก ๆ และคนรุ่นใหม่ไม่ใคร่มีเพราะออกไปทำงานข้างนอกหมด กล่าวโดยสรุปคือ คนมุสลิมมีการศึกษาน้อยทำให้ออกไปหางานทำข้างนอกไม่ได้ ดูเหมือนแหล่งที่จะออกไปหางานทำได้ดีก็คือ ไปทำงานในมาเลเซียเพราะสามารถเก็บเงินมาให้ทางบ้านได้ แต่เมื่อมีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้น ก็เกิดการเข้มงวดในเรื่องคนสองสัญชาติที่ผ่านข้ามเขตแดนไปมา จึงกลายเป็นอุปสรรคไป กระนั้นก็ดีก็ยังมีคนอีกเป็นจำนวนมากที่ออกไปทำงานที่มาเลเซียแล้วไปร่ำรวยกลับมา เช่น พวกที่ไปทำร้านอาหารต้มยำ คนที่รวยเหล่านี้เอาเงินกลับมาปลูกสร้างบ้านและซื้อรถยนต์ ยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจให้เป็นคนชั้นกลางที่มีเงินท่ามกลางสภาพแวดล้อมของคนส่วนใหญ่ที่เป็นคนจน ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคม สภาพสังคมของคนมุสลิมจึงอยู่ในลักษณะที่เหลื่อมล้ำและไม่พอดี ชนชั้นล่างที่เป็นคนจนลูกมากเดือดร้อน ในขณะที่คนชั้นกลางลูกน้อยแต่ไม่พอใจในสถานภาพทางสังคมและโอกาส เมื่อเปรียบเทียบกับคนพุทธและคนจีน คนกลุ่มหนึ่งในบรรดาชนชั้นกลางที่มีความคับแค้นและขัดเคืองก็คือ คนที่เป็นครูสอนหนังสือในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาที่เห็นได้บ่อย ๆ จากการจับกุมและสอบสวนของเจ้าหน้าที่ของรัฐเมื่อเวลามีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเช่นนี้ได้นำไปสู่ความขัดแย้งทางสังคมและวัฒนธรรมในสังคมมุสลิมเอง อย่างเช่น การขาดความเชื่อถือและเชื่อมั่นในพวกคนชั้นล่างที่เคยเป็นที่เคารพและเชื่อฟัง รวมทั้งความเชื่อมั่นและเลื่อมใสในศาสนาแบบประเพณีที่เคยมีมา ในขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะสนใจและเชื่อฟังเพราะสังคมมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้หาได้ปิดตัวเองจากการติดต่อกับโลกมุสลิมข้างนอกไม่ มีคนรุ่นใหม่ ๆ ที่ออกไปศึกษาศาสนาและลัทธิประเพณีใหม่ ๆ กลับมามากมาย ซึ่งก็แลเห็นได้จากการเคลื่อนไหวทางศาสนาของคนรุ่นใหม่ในขณะนี้ บางกลุ่มก็รักสันติแต่บางกลุ่มก็เป็นส่วนในการกระตุ้นเร่งเร้าให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่ความรุนแรงที่ทำให้เกิดการฆ่ากันอย่างมากมายในหมู่บ้านมุสลิมด้วยกัน ดังเห็นได้ชัดจากสถิติที่มีคนมุสลิมถูกฆ่ามากกว่าคนที่เป็นพุทธ ปอเนาะร้างที่ปะนาเระ ชาวบ้านที่เคยอาศัยอยู่ใต้ใบบุญของปอเนาะเมื่อหลังจากโต๊ะครูเสียชีวิต ก็เหมือนแพแตก ชาวบ้านในพื้นที่เตรียมตัวย้ายทุกเมื่อหากถูกขับไล่ ความขัดแย้งภายในทำให้คนมุสลิมสับสนและหวาดระแวงกันเองและความสัมพันธ์กับรัฐและคนภายนอกในทางลบ จึงกลายเป็นเหยื่อของความชั่วร้ายที่รุมล้อมเข้ามาจากอมนุษย์หลาย ๆ ฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นพวกค้ายาเสพย์ติด ของเถื่อน นายทุน นักการเมือง พ่อค้าและนโยบายทางเศรษฐกิจแบบโลกาภิวัตน์ที่มาจากรัฐบาล จนปัจจุบันไม่มีใครแยกแยะออกว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้นมีเหตุมาจากใดแน่ สมดังที่คนมุสลิมอาวุโสท่านหนึ่งที่เป็นกรรมการ กอส.ร่วมกับข้าพเจ้าบอกว่า “เหมือนข้าวยำ” แต่ท่ามกลางความเป็นข้าวยำที่มนุษย์ไม่ควรกินทั้งหลาย ก็มีสิ่งหนึ่งที่เป็นผลงานของนักวิจัยท้องถิ่นในทีมงานวิจัยของ สกว. และภาคี ก็คือ คนมุสลิมที่เป็นคนจนทั้งหลายนั้น นอกจากลูกหลานไม่มีงานทำหรือหางานทำไม่ได้แล้ว ยังอยู่ในสภาพที่ถูกบรรดาอมนุษย์ทั้งภายในและภายนอกโกงและยึดครองที่อยู่อาศัย พื้นที่ทำกินและพื้นที่ธรรมชาติที่เป็นสาธารณะ แหล่งอาหาร และยารักษาโรคอยู่ตลอดเวลา ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยคิดเห็นอย่างตื้น ๆ ตามสิ่งที่แลเห็น เช่น การมีนาร้าง สวนร้าง และพื้นที่ทางการเกษตรมากมาย แต่ทำไมไม่มีการสนับสนุนกระตุ้นให้คนด้อยโอกาสทั้งหลายหันไปประกอบอาชีพเกษตรกรรมที่เป็นอาชีพพื้นฐานแต่เดิม แล้วก็ได้พบความจริงจากการกลับไปพื้นที่ว่า บรรดาพื้นที่ทำกินเหล่านั้นรวมทั้งพื้นที่สาธารณะเป็นจำนวนมากได้ถูกยึดครองโดยบรรดานายทุนทั้งจากภายนอกและภายในเรียบร้อยแล้ว แม้กระทั่งพื้นที่อยู่อาศัยของคนในอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่เคยทำหลักฐานทางกรรมสิทธิ์อย่างมั่นคง ก็กำลังถูกหลอกลวงปลิ้นปล้อนจากบรรดาเดรัจฉานทางวัตถุนิยมทั้งหลาย คนมุสลิมทั่วไปที่ยึดมั่นในพระศาสนาถือว่าที่ดินที่อยู่อาศัยและทำกินเป็นของพระเจ้า ก็ดูคล้าย ๆ กับความคิดของคนไทยแต่โบราณที่ถือว่าที่ดินเป็นของพระมหากษัตริย์จึงเรียกว่า “พระเจ้าแผ่นดิน” แต่ในโลกทุนนิยมเสรีของเดรัจฉาน ที่ดินถือกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลที่อาจเปลี่ยนเป็นสินทรัพย์ซื้อขายได้ จึงเกิดกระบวนการซื้อที่ดินแย่งกรรมสิทธิ์และยึดครองพื้นที่สาธารณะที่เพิ่มไปเติมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากมาย สภาพเลวร้ายเช่นนี้เกิดขึ้นแล้วในบรรดาผู้คนที่อยู่ชายฝั่งทะเลอันดามันที่บ้านเรือนทรัพย์สินถูกทำลายโดยคลื่นยักษ์สึนามิอย่างเช่น คนชาวเล เป็นต้น ที่แม้แต่ที่ฝังศพของชุมชนยังถูกยึดครอง แต่นั่นก็เป็นเพราะสังคมของคนชาวเลมีความอ่อนแอทางวัฒนธรรม ถ้าหากทางรัฐและบ้านเมืองไม่คิดแก้ไขยังขืนปล่อยให้มีการกระทำกับคนมุสลิมแล้ว ก็อย่าหวังเลยว่าไฟใต้จะดับ อีกทั้งยังอาจลุกลามไปทั้งแผ่นดินไทย เพราะคนไทยที่เป็นรากหญ้าแต่ไม่กินหญ้าในขณะนี้กำลังแลเห็นแล้วว่า คนไทยคงไม่ต้องถอยไปไหนให้ตกทะเลตายหรอก แต่เพียงเปลี่ยนสถานภาพของการเป็นคนไทยที่แปลว่า “อิสระ” มาเป็น “ทาส” ติดที่ดินเท่านั้นแหละ ข้าพเจ้าไม่เคยได้เห็นหรือได้ยินบรรดานักการเมืองไม่ว่าฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านยุคใดที่เคยคิดจะนำเอาเรื่องสิทธิของประชาชนในด้านกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยที่ทำกินและการรุกล้ำทรัพยากรท้องถิ่นจากเดรัจฉานทุนนิยมมาเสนอในการแก้ไขรัฐธรรมนูญแม้แต่น้อย ในขณะเดียวกันก็รู้สึกแย่ ๆ ที่บรรดานักวิชาการต่าง ๆ ของรัฐชอบออกมาพูดคุยหวังเสนอความคิดเห็นต่าง ๆ นานาในเรื่อง “ความมั่นคงของมนุษย์” อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ชีวิตบนเส้นด้ายกับประสบการณ์ทำวิจัยบนดินแดนแห่งความกลัว
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2549 ชีวิตในความหวาดกลัว สัญชาตญาณของมนุษย์ในโลกนี้ที่มีลมหายใจไปวัน ๆ ย่อมกลัวความตาย ในขณะที่คนที่มีความเครียดจัดอยากหนีความสับสนวุ่นวายของโลกใบนี้ด้วยการตัดปัญหาฆ่าตัวตายมีมากขึ้น แต่สำหรับผมถ้าเลือกตายได้ ขอตายตอนแก่ ๆ อยากดูโลกนาน ๆ อยากทำคุณประโยชน์ให้กับสังคม ถึงสังคมจะไม่ให้อะไรกับผมก็ตาม อย่างน้อยก็อยากให้โลกรับรู้ว่ากำลังทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร และทำเพื่อใคร ดังนั้น ผมยังไม่อยากตายในเวลานี้ เพราะคิดว่า ยังทำไม่ดีพอ ยังต้องเรียนรู้ ค้นคว้าอะไรอีกมากมายที่ยังไม่รู้ แต่เมื่อถึงเวลาที่ผมพอจะรู้หรือทำประโยชน์ให้สังคมและบ้านเมืองได้พอสมควรแล้ว ถ้าจะตายก็ไม่เสียดายชีวิตและไม่เสียทีที่เกิดมาชาติหนึ่ง ผมในฐานะตัวแทนนักวิจัยชาวบ้านที่มีความรู้เพียงน้อยนิดเพราะมีการศึกษาต่ำ คิดแล้วอยากโกรธตัวเองที่ต่ำต้อยแบบนี้ แต่ก็ภูมิใจที่มีบุญวาสนาได้ทำงานค้นคว้าวิจัยกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) กับเพื่อน ๆ จากมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ และคณะอาจารย์ที่ปรึกษาที่คอยให้กำลังใจอย่างดีมาตลอด ทุกคนรู้ดีว่า การทำวิจัยในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นเต็มไปด้วยกลุ่มอิทธิพลต่าง ๆ ตะปูเรือใบ กระสุนปืน และการวางระเบิดที่พร้อมจะปลิดชีพผู้คนได้ทุกเมื่อในเขตรัศมีของมัน แม้พวกเราทำวิจัยเกี่ยวกับ “การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม” ซึ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงของอ่าวปัตตานีในด้านสิ่งแวดล้อมที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตของคน การทำมาหากิน เรื่องราวในอดีตเปรียบเทียบกับปัจจุบัน เมื่อปี ๒๕๔๖ ก่อนที่เหตุการณ์ในภาคใต้จะดุเดือดเช่นปัจจุบัน จะมีเหตุการณ์บ้างก็เพียงเบาบาง จากช่วงเวลานั้นสู่เวลานี้ สมแล้วที่คนบางคนบอกว่าเป็นการกระทำของโจรกระจอก แต่โจรกระจอกวันนั้นที่พัฒนามาเป็นขบวนการทุกวันนี้ คงสมใจแล้วสำหรับคนพูด การเก็บข้อมูลการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศของอ่าวปัตตานีนั้นย่อมกระทบกับกลุ่มผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มการเมืองในพื้นที่ เจ้าหน้าที่ของรัฐที่คอยให้การสนับสนุนอยู่ไกล ๆ โดยมีเบื้องหลังคือ ผลประโยชน์จากนายทุน มีอยู่ครั้งหนึ่งพวกเราไปถ่ายรูปบริเวณโรงงาน และถ่ายรูปทุกสิ่งทุกอย่างในเขตโรงงานโดยไม่ได้คิดเลยว่าการถ่ายรูปในครั้งนี้มีคนกำลังสังเกตพวกเราอยู่และติดตามอยู่ห่าง ๆ อยู่ในรถเก๋ง พวกเราถ่ายไปเรื่อย ๆ ไม่ได้ใส่ใจและสนใจ คิดว่ารถคันนี้ผ่านมาโดยบังเอิญ ก็อาจเป็นได้ หลังจากนั้น ผมขี่รถจักรยานยนต์จะไปถ่ายรูปที่บริเวณถมทะเลใกล้ ๆ กับบ้านแหลมนก ผมคิดว่ารถคันนั้นคงไม่ติดตามมาอีกคงจะไปทางอื่นแล้ว เราก็ถ่ายรูปบนรถโดยไม่ได้ดับเครื่องพอเราหันหลังรถคันนั้นยังตามมาอีก ผมตกใจและกลัวมาก ๆ “โอ้พระเจ้า โปรดคุ้มครองเราด้วย” ผมกลับรถออกจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว ในใจคิดว่า “รถคันนั้นไม่ได้บังเอิญผ่านมาแน่ ๆ กำลังตามมามากกว่า” นี่คือ เหตุการณ์หนึ่งที่ได้ประสบกับตัวเอง ผมพยายามจะบอกว่า การไปเก็บข้อมูลในพื้นที่ที่มีกลุ่มคนเห็นแก่ตัว เต็มไปด้วยอิทธิพลและขาดจริยธรรมนั้น เป็นสิ่งที่ยากลำบากมาก ๆ สำหรับผม ถึงแม้ว่าในเวลานั้นจะต้องต่อสู้กับกลุ่มอิทธิพลที่ยังไม่มีเหตุการณ์ในปัจจุบันเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ก็เสี่ยง เมื่อมาถึงวันนี้ ก็ยิ่งเสี่ยงไปกว่านั้นหลายเท่า เวลาพวกเราไปเก็บข้อมูลต่างพื้นที่ บางคนก็ใจดียินดีให้ข้อมูลกับพวกเรา โดยหวังว่าข้อมูลเหล่านั้นจะนำการพัฒนาที่ถูกต้องมาสู่หมู่บ้านของเขา บางคนมองเราอย่างไม่เป็นมิตร โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นมองด้วยหางตาเหมือนมีอะไรสักอย่างในใจ อาจจะมองว่าพวกเราเป็นสายมาเก็บข้อมูลป้อนให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือมองเราเป็นคนแปลกหน้า ผมคิดว่า “ใช่ พวกเราอาจจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ผมไม่ได้ไปกล่าวหาใครเป็นโจรใครเป็นแนวร่วม พวกเรามาทำความดี” ทำให้พวกเราต้องอธิบายให้เข้าใจว่า พวกเราเป็นใคร มาทำไม ซึ่งผมเองไม่แน่ใจว่าที่อธิบายไปนั้น เขาจะเข้าใจตลอดรอดฝั่งหรือไม่ แต่ผมดีใจที่มีโอกาสอธิบายให้พวกเขาเข้าใจ เพราะผมเชื่อว่า “มนุษย์นั้นย่อมมีเมล็ดพันธุ์ความดีในก้นบึ้งของหัวใจมากกว่าความชั่ว” อยู่ที่ตัวเราและสังคมจะทำอย่างไร เพื่อดึงความดีในใจออกมาใช้ประโยชน์ให้กับสังคม แต่ก็นับเป็นเรื่องที่ยากและลำบากยากเข็ญในสถานการณ์ปัจจุบัน ตราบใดที่คนภายนอกยังไม่เข้าใจในพื้นที่ ผมพบคำขวัญมากมายที่เขียนตามถนนต่าง ๆ เช่น “เข้าใจเรา เข้าใจเขา ชีวิตสันติสุข” มันเป็นคำขวัญที่ดึงดูดความสนใจดีและดูเท่ห์มากกว่าการแก้ปัญหา การที่คนภายนอกเข้าในพื้นที่เพียงสองสามครั้ง แล้วมาบอกว่าเข้าใจพื้นที่นี้ดี รู้ทุกอย่างดี เป็นสิ่งที่ผมรับไม่ได้ เพราะผมคิดว่าแม้ตัวผมเองก็ยังไม่เข้าใจพื้นที่ของตัวเองดีพอ แล้วนับประสาอะไร คนจากภายนอกจะรู้ทุกอย่างในพื้นที่บ้านคนอื่นเขา “แพะบ้านเราร้อง แมะ แมะเหมือนบ้านเขา แพะบ้านเขาชอบกินใบไม้แต่แพะบ้านเราชอบกินข้าวเกรียบและหัวปลา ต่างทะเลต่างปลา ต่างทุ่งหญ้าต่างแมลง” ทุกครั้งที่พวกเราไปเก็บข้อมูล สิ่งที่ลืมไม่ได้ก็คือ สร้างความเข้าใจให้กับคนในพื้นที่ แต่มีกลุ่มคนที่ไม่พยายามจะเข้าใจ ไม่อยากพาชีวิตมาเสี่ยงกับคนที่ไม่รู้จัก (คิดว่าคนที่มาเก็บข้อมูลในสามจังหวัดภาคใต้คงจะทราบดี) เราคิดว่าคงจะหวาดระแวงมากกว่าที่จะไม่พยายามเข้าใจ แม้กระทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐเองก็ไม่เข้าใจพวกเรา ทำให้ลำบากใจในการเก็บข้อมูล ต้องระวังทั้งสองฝ่าย ทั้งเจ้าหน้าที่ทั้งผู้ก่อความไม่สงบ เวลาขี่รถจักรยานยนต์ต้องเหลียวหน้าดูหลัง แลในกระจกข้างตลอดเวลา ก่อนเกิดเหตุการณ์ ไปไหนมาไหนสะดวก ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยในชีวิต ครอบครัวที่บ้านไม่ต้องเป็นห่วง แต่วันนี้ชีวิตที่มีความสุขเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ สนุกสนาน กลับกลายเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความทุกข์ เศร้าโศก เครียด หวาดระแวง หวาดกลัว วันไหนที่จะออกไปข้างนอกต้องพบหน้ากับลูกๆ และภรรยาก่อน บอกกับลูกว่า “วันนี้พ่อไปก่อนนะเสร็จธุระแล้วพ่อจะรีบกลับมา” ในใจคิดเสมอว่า วันนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองไหม มีโอกาสจะได้พบลูกเมียอีกหรือเปล่า ถ้าผมเป็นอะไรไป ลูก ๆ และภรรยาใครจะดูแล เขาอาจจะมีคนใหม่แต่ลูก ๆ ล่ะจะทำอย่างไร จะเกิดอะไรขึ้นถ้าอยู่กับพ่อเลี้ยง บางครั้งทำให้ผมเครียด เก็บมาฝันร้าย เช่น คืนหนึ่งผมฝันว่า “มีโจรกำลังชักปืนจะยิงผมขณะที่กำลังตัดฝืน” และคืนต่อมาผมฝันอีกว่า “เจ้าหน้าที่จับตัวผม ผมร้องไห้เหมือนเด็ก ๆ” ผมคงร้องไห้ออกมาจริง ๆ จนทำให้ภรรยาตื่น แล้วปลุกผมขึ้นมาถาม “เป็นอะไรทำไมต้องร้องไห้ด้วย” ผมคิดว่ายังมีสถานการณ์ความเครียดรูปแบบต่างๆ อีกมากมายที่เกิดขึ้นกับคนในสามจังหวัดภาคใต้เหมือนกับผม ในสามจังหวัดชายแดนใต้ ไม่มีเพียงเฉพาะปัญหาความไม่สงบเท่านั้นที่จะต้องได้รับการแก้ไข แต่ยังมีปัญหาทางสังคมภายในอีกมากมาย เช่น วัยรุ่นที่ไม่มีการศึกษา ไม่มีงานทำ วัยรุ่นกลุ่มนี้จะสร้างกระท่อมเล็ก ๆ อยู่ต่างหาก ไม่ชอบนอนที่บ้าน ผมเคยถามว่าทำไมไม่กลับไปนอนที่บ้าน เขาตอบว่า นอนที่นี่มีความสุขกว่า กลับไปที่บ้าน พ่อแม่ก็ไม่อยู่เพราะไปทำงานมาเลเซีย ผมคิดว่ากลุ่มวัยรุ่นเหล่านี้ อาจจะไม่ได้รับความอบอุ่นจากพ่อแม่ เพราะพ่อแม่ต้องจากลูกไปทำงานต่างถิ่นตั้งแต่ เล็ก ๆ ฝากให้ยายแก่ ๆ เลี้ยงที่บ้าน ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างวัยในครอบครัว และไม่ได้รับการอบรมที่ดี ถึงจะมีไม่มากในหมู่บ้าน แต่เราอย่าลืมว่า เป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะรับสิ่งใหม่ ๆ ตามกระแสโลกนิยมที่เราคาดไม่ถึง เช่น ปัญหายาเสพย์ติด กลุ่มเหล่านี้ทำอะไรก็ได้ที่จะได้มาซึ่งเงิน ถึงแม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่ใช่ผู้รับจ้างก่อความไม่สงบ แต่ผมเป็นห่วง หากพวกเราหรือผู้มีหน้าที่รับผิดชอบไม่รีบแก้ไขอย่างเร่งด่วน ส่วนเรื่องที่พวกเราได้พบได้เห็นซึ่งเป็นปัญหาต่อชาวบ้านในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะพื้นที่ที่ติดกับชายทะเล ก็คือ เรื่องที่ดินที่อยู่อาศัยซึ่งไม่ใช่ของตัวเอง บางคนสร้างบ้านอยู่เป็นสิบ ๆ ปีแต่ก็ไม่มีเอกสารสิทธิ์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย บางคนอาศัยที่ดินของปอเนาะ บางคนอาศัยที่ดินของชาวบ้านที่รอเจ้าของไล่ออก แต่ก่อนคนกลุ่มนี้เคยอยู่ติดกับทะเล พอทะเลถูกกัดเซาะก็หนีไปอยู่ในที่ดินที่กล่าวข้างต้น บางคนมีที่ดินของตัวเองถูกโกงโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ฝ่ายรัฐส่วนหนึ่งพยายามแก้ไขปัญหาให้กับคนกลุ่มนี้ แต่ก็ไม่ได้ผล เพระมีกฎกติกาและระเบียบต่าง ๆ ที่ออกมาทำให้คนจนกลุ่มนี้รับไม่ได้ เพราะไม่สามารถปฏิบัติตามกติกาที่ดูเหมือนจะเอื้อให้ผู้มีรายได้มากกว่าเท่านั้น ผมยอมรับว่า “โลกย่อมเปลี่ยนแปลงตามกระแสโลกาภิวัตน์ได้ แต่จะแก้ไขปัญหาอย่างไรให้มองเห็นผลกระทบต่อคนในพื้นที่” ทุกวันนี้ สังคมในประเทศไทยวุ่นวายไปหมด ไม่เว้นแม้แต่ในเมืองกรุงเอง ดีที่เรามีพระเจ้าแผ่นดินเป็นที่พึงของพสกนิกรทั่วประเทศ ผมขอภาวนาให้พระองค์ทรงพระเจริญ อย่าได้เป็นอะไรเลย พวกเรากลัวบ้านเมืองจะพินาศไปมากกว่านี้ มีคนถามว่า “กลัวหรือไม่ อาศัยอยู่ในสามจังหวัดภาคใต้” แน่นอน ต้องตอบว่าไม่กลัว แต่ในใจก็กลัว แต่ถ้าเรากลัวจนไม่กล้าออกไปไหน อยู่แต่ในบ้าน สักวันหนึ่งความตายจะถามหา เพราะความอดอยาก เราต้องรับผิดชอบต่อครอบครัว ไหนจะเรื่องเสื้อผ้า ไหนจะเรื่องการศึกษา ถึงแม้วันนี้สถานการณ์น่าเป็นห่วง แต่ก็ต้องทำใจออกไปทำงาน ตัวผมก็ยุ่งไม่เข้าเรื่อง ที่เป็นเจ๊ะฆู สอนตาดีกา (เจ๊ะฆู-ครูสอนศาสนาในโรงเรียนตาดีกา, ตาดีกา-โรงเรียนพิเศษในชุมชน สอนศาสนาอิสลามสำหรับเด็กเล็ก) อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่ถูกทางการเฝ้าระวังเป็นพิเศษ แต่ผมเชื่อเหลือเกินว่า คนที่เป็นเจ๊ะฆูไม่ใช่คนไม่ดี ไม่มีอุดมการณ์ สามารถทำร้ายหรือฆ่าใครก็ได้แม้กระทั้งเด็ก ๆ ที่ยังไม่รู้บาปบุญ ที่ยังบริสุทธ์เสมือนผ้าขาวก็ยังฆ่ากันลงคอ คนที่ตายประจำวันไม่ใช่พุทธอย่างเดียว มุสลิมก็ถูกฆ่าเป็นว่าเล่น คนส่วนใหญ่อยากเห็นความสงบ อยากได้ยินเสียงหัวเราะกลับมา อยากมีความเป็นอิสระในอาชีพเช่นเดิม แล้วใครกันละครับจะเป็นพระเอกเข้ามาแก้ปัญหา สร้างความฝันและความหวังให้กับพวกเราและสังคมกลับมาผาสุกดังอดีตอีกครั้ง ยิ่งส่งทหารพร้อมด้วยอาวุธปืนทันสมัย ก็เหมือนยิ่งยุให้เปลวไฟลุกไหม้หนักกว่าเดิม คิดแล้วก็น่าสงสารเจ้าหน้าที่ที่ต้องห่างลูกเมียเพื่อมาปฏิบัติหน้าที่และถูกทำร้าย ทั้ง ๆ ที่มีปืนครบมือ สำหรับชาวบ้านอย่างพวกเราจะเอาอะไรสู้กับเขาได้ ชาวบ้านบางคนสะท้อนความรู้สึกที่ไม่อาจจะอดกลั้นได้ว่า “เมื่อเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเป็นที่พึ่งได้ แล้วพวกเราจะพึ่งใคร” ผมในฐานะเป็นเจ๊ะฆู ไม่ใช่ว่าไม่กลัวต่อเหตุการณ์ เพราะทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ในพื้นที่เจ๊ะฆู หรือ ผู้นำศาสนาในพื้นที่นั้นจะต้องถูกเรียกไปให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ และหากตัวเขาไม่ผิด ทำให้ญาติ ๆ คิดต่าง ๆ นานา เช่น ทำไมต้องมาสอบเขาด้วย ทำให้ภาพดีๆ ของตำรวจหายไปกับการกระทำแบบนี้ และผู้ที่ถูกตำรวจเอาตัวไปสืบสวนกลายเป็นจำเลยต่อสังคมโดยปริยาย สำหรับตัวผมคิดว่า ความยุติธรรมย่อมคู่เคียงกับคนที่ตั้งใจสร้างความดี ความดีเป็นสิ่งที่ไม่ตายและเลือนหายไปจากโลกง่ายๆ ถึงจะจากโลกนี้ไปแต่ความดีก็ยังกล่าวถึงไม่มีที่สิ้นสุด เพราะฉะนั้น ผมไม่กลัวในสิ่งที่ทำ ในทางทฤษฎีความดีย่อมชนะความชั่วได้ แต่ในทางปฏิบัติจริง ๆ อาจจะไม่ใช่เลย คนดี ๆ ต้องสังเวยชีวิตเพื่อความสะใจของคนบางคน ผมเองก็มืดแปดด้านที่จะช่วยแนะนำในการแก้ปัญหา หลายครั้งที่เกิดเหตุการณ์ คนดี ๆ ถูกจ้องมองเป็นกรณีพิเศษเพราะผู้ลงมือกระทำนั้นอยู่ในชุดที่มุสลิมสวมใส่ทุกวัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สังคมส่วนใหญ่จะมองว่าเป็นการกระทำของคนมุสลิม แต่อย่ามองว่ามุสลิมเป็นแบบนั้นทุกคน เรื่องแบบนี้มีทั่วไป เพราะเพื่ออำพรางตัวเองให้ลอยนวลในสังคมมุสลิมต่อไป มีคำพูดของบางคนที่พูดแบบปลง ๆ ปนตลกเศร้า ๆ ที่ขำไม่ออกคือ “อีกสองปีข้างหน้า “คนดี ๆ” และ “คนจน” จะไม่มีในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้อีกต่อไป เพราะคนเหล่านี้ตายไปหมดแล้ว” อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- หรือเศรษฐกิจสามจังหวัดภาคใต้ฝากไว้กับ “ต้มยำกุ้ง”
เผยแพร่ครั้งแรก 1 พ.ย. 2549 ร้านต้มยำของนิยาที่อยู่บริเวณสี่แยกชานเมืองมะละกาในเวลาสามทุ่ม กำลังมีลูกค้ามาก หนุ่มสาวในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ส่วนใหญ่ฝากความหวังไว้กับการออกไปทำงานต่างพื้นที่ไม่ต่างจากหนุ่มสาวในอีสาน เหนือ หรือภาคกลาง ที่มุ่งหวังเข้าเมืองเพื่อหาเงินส่งกลับเลี้ยงดูครอบครัวและสร้างอนาคตให้ตนเอง แม้จะไม่มีตัวเลขแน่นอน (ซึ่งทั้งรัฐไทย สถาบันการศึกษา หรือหน่วยงานต่าง ๆ ก็คงไม่มีการเก็บตัวเลขเหล่านี้) ถึงจำนวนผู้เดินทางไปทำงานนอกพื้นที่มีจำนวนเท่าใด แต่จากการพูดคุยกับชาวบ้านหลายพื้นที่ ปรากฏชัดเจนคือ มีแรงงานในวัยหนุ่มสาวมุ่งไปหางานทำที่มาเลเซียเป็นจำนวนมาก สิ่งเหล่านี้นับเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่เห็นถึงผลกระทบในชุมชนซึ่งน่าสนใจและควรนำมากล่าวถึง เพราะทำให้เกิดปัญหาสังคมเป็นลูกโซ่มีผลกระทบต่อผู้คนในสามจังหวัดมากเสียกว่าการที่รัฐไปกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติหรือมองอย่างหวาดระแวงแก่ประเทศเพื่อนบ้านว่าคนเหล่านี้จะรวมกลุ่มเพื่อก่อการร้ายจากการรับจ้างทำงานในมาเลเซียหรือเป็นบุคคลสองสัญชาติ เพราะ “เรื่องราว” ของหนุ่มสาวที่ต้องไปขายแรงงานที่มาเลเซีย มีรายละเอียดมากกว่าความผิวเผินแบบกล่าวหาว่าเป็นบุคคลสองสัญชาติต่างหาก บุคคลสองสัญชาติคืออะไร ไม่มีความแน่ชัด สำหรับแรงงานถูกกฎหมายการถือบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ตเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องถูกตรวจตราอย่างเคร่งครัด และกรณีการได้บัตรประชาชนของมาเลเซียเป็นเรื่องยากมากจนแทบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับแรงงานทั่วไป การเชื่อมโยงแรงงานที่ไปทำงานในมาเลเซียกับคนสองสัญชาติและขบวนการก่อการร้ายหรือขบวนการแบ่งแยกดินแดน ดูเป็นสมมุติฐานที่เลื่อนลอยเกินไป ในหมู่บ้านบางแห่งจากการพูดคุยจนประเมินคร่าวๆ คนในหมู่บ้านเคยไปทำงานที่มาเลเซียในช่วงหนึ่งของชีวิตเฉลี่ยแล้วเกือบ ๑๐๐ % บางแห่งย้ายไป ๆ กลับ ๆ จนถึงกับมีรถประจำทางสายตรงระหว่างชุมชนที่ทำงานในมาเลเซียและอำเภอบางแห่ง เช่น ที่ปะนาเระ ซึ่งเป็นชุมชนที่มีคนออกไปทำงานมาเลเซียจำนวนมากเป็นที่ขึ้นชื่อ หนุ่มสาวที่จบการศึกษาโดยมากในชั้นประถมหรือมัธยมต้น อายุเพียงสิบห้าสิบหกก็ออกไปทำงานที่มาเลเซียกันจนเกือบหมดแล้ว ส่วนใหญ่ไปทำงานร้านต้มยำที่มาเลเซียที่มีอยู่ทุกรัฐ ไม่ทราบว่ามีจำนวนแน่นอนเท่าไหร่ ที่นิยมมากที่สุดคือทำงานร้านต้มยำ มีคนทำงานแบบถูกกฎหมายขึ้นทะเบียนไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนคน ส่วนที่ไม่มีใบอนุญาต ไปทำงานประมง เกี่ยวข้าว ตัดปาล์ม กรีดยาง ก่อสร้าง ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไม่ถึงน่าจะมากพอ ๆ กันหรือมากกว่า ดังนั้นแรงงานนับหลายแสนคนที่ออกไปทำงานในมาเลเซีย เช่น “นิยา” วัยต้นสามสิบมาจากบาโงยซิแน อำเภอยะหา จังหวัดยะลา และภรรยา “เด๊าะ” อายุอ่อนกว่านิดหน่อยจากปัตตานี พบรักกันที่ร้านต้มยำ หลังแต่งงานทั้งคู่มีลูกคนหนึ่ง ตอนนี้อยู่กับย่าที่บาโงยซิแน ทั้งสองคนต้องทิ้งลูกไว้ให้เข้าโรงเรียนที่เมืองไทยเพราะเข้าโรงเรียนที่มาเลเซียไม่ได้ ทั้งร้านมีลูกน้องอยู่ ๑๕ คน ส่วนใหญ่เป็นญาติเกี่ยวดองกันทั้งนั้น พ่อครัวประจำร้าน เป็นคนหนุ่มทำงานมาแล้ว ๑๑ ปี เงินเดือนรับเต็มที่เดือนละหนึ่งหมื่นสี่พันบาท นิยาเป็นลูกจ้างอยู่นาน เก็บเงินเพื่อเปิดร้านเป็น “เถ้าแก่” ซึ่งเป็นความหวังสูงสุดของหนุ่มสาวที่มาทำงานมาเลเซีย หลังจากนั้นก็ชักชวนพี่น้องให้มาทำงานและกลายเป็นเจ้าของร้านไปด้วยกัน คือ นิเฮง นิโมะ และน้องสาวของเด๊าะ ทั้งหมดรวมเป็น ๔ ร้าน “เถ้าแก่” เจ้าของร้านต้มยำส่วนใหญ่อายุใกล้เคียงกับนิยา คือ สามสิบต้น ๆ กำลังมีไฟในการทำงาน ลักษณะร้านต้มยำโดยทั่วไปก็ไม่ใหญ่โตอะไร คล้ายกับร้านอาหารตามสั่งในเมืองไทย ส่วนใหญ่อยู่บริเวณนอกเมืองในส่วนที่กำลังขยายตัว เพราะมีพื้นที่มากพอจะตั้งโต๊ะอาหารได้หลายโต๊ะและราคาค่าเช่าไม่แพงนัก เวลามาทำร้านก็จะเริ่มตั้งแต่สี่โมงเย็นจนถึงตีหนึ่งหรือตีสาม ลูกค้าร้านต้มยำจะเป็นครอบครัวใหญ่ พาพ่อแม่ลูกหลานมานั่งทานอาหาร โดยมีเมนูต้มยำทะเลที่เรียกว่า “ต้มยำกุ้ง” รสชาติเหมือนต้มข่าเป็นหลัก ปลากะพงผัดเปรี้ยวหวานก็ยอดนิยมไม่น้อย ทำเลร้านของนิยาอยู่ตรงสี่แยกนอกเมืองมะละกา ในย่านที่เริ่มมีตึกสูงของที่พักตากอากาศเข้ามา เพราะไม่ไกลจากหาดชายฝั่งทะเลนัก ทำเลค่อนข้างดีเพราะเห็นได้ง่าย มีที่จอดรถกว้างขวาง ร้านต้มยำส่วนใหญ่อยู่ในรัฐที่เจริญทางเศรษฐกิจ เช่น ทางฝั่งตะวันตกมากกว่าทางฝั่งตะวันออกที่ยังคงเป็นชนบทอยู่มาก มีความแตกต่างทางเศรษฐกิจสูง นิยาลองเช่าดูและเริ่มทำงานร้านนี้มาห้าหกปีแล้ว ค่าเช่าเฉพาะที่ดินเดือนละหมื่นเจ็ดพันบาท นิยาใช้ค่าใช้จ่ายเพื่อจ้างงานไม่ต่ำกว่าเดือนละ ๗ หมื่นบาท เริ่มจากหกพันบาทจนถึงพ่อครัวได้มากที่สุดหมื่นสี่พันบาท หญิงสาวที่เป็นแผนกทำเครื่องดื่ม กำลังทำชาชัก การทำงานแบบถูกกฎหมาย แม้จะต้องเสียค่าใบอนุญาตและต้องต่อใบอนุญาตทำงานบ่อย ๆ แต่ก็ดีกว่าการทำงานแบบผิดกฎหมายที่ต้องหลบซ่อนเจ้าหน้าที่ เรียกว่าเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่ายก็ได้ เพราะคนที่ถูกจับก็มีไม่น้อย ญาติพี่น้องไปรับตัวกลับและเสียค่าปรับ หากไม่เสียค่าปรับก็ต้องอยู่ในคุกมาเลเซียและมีจำนวนไม่น้อย การต้องทำใบอนุญาตบังคับให้ต้องเดินทางไป ๆ มา ๆ จากบ้านและมาเลเซียอยู่บ่อย ๆ เพราะพาสปอร์ตต้องต่อเพื่อเข้ามาใหม่ทุกหกเดือน และใบอนุญาตทำงานสามเดือนต่อครั้ง ซึ่งต้องเสียใช้ค่าใช้จ่ายเจ็ดพันบาทต่อคนทุกสามเดือน จะแบ่งกันจ่ายคนละครึ่งกับเจ้าของร้าน ส่วนใหญ่จะแบ่งจ่ายแบบสามเดือนมากกว่าแบบปีต่อปีเพราะค่าใช้จ่ายสูง นอกจากนี้ ผู้เข้ามาทำงานต้องตรวจสุขภาพทุกปี มาเลเซียจะยอมรับผู้ที่แข็งแรงและไม่ติดยาเสพติดเท่านั้น และหากเป็นผู้หญิงถ้าตั้งท้องก็จะไม่ให้ใบอนุญาต สำหรับนิยาและเด๊าะต้องกลับบ้านเฉลี่ยเดือนละครั้ง การทำงานในมาเลเซียแม้จะมีค่าตอบแทนสูง แต่ก็มีค่าใช้จ่ายมาก หากต้องการทำงานได้อย่างราบรื่นและถูกกฎหมายมาเลเซีย ลูกน้องของนิยามีทั้งเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย อัตราค่าจ้างตั้งแต่หกพันบาทสำหรับเสิร์ฟอาหารจนถึงพ่อครัวมากประสบการณ์ที่เงินเดือนมากกว่าหมื่นบาท ทั้งหมดนี้มีที่พักและอาหารฟรี ที่ร้านของนิยาต้องจ้างแรงงานจากกลันตันบ้างสามสี่คน คนงานจากกลันตันมาจากเขตเกษตรกรรมที่ห่างไกลซึ่งนับเป็นพื้นที่ไม่ได้รับการพัฒนามากนัก แต่ก็เป็นกลุ่มคนที่มีวัฒนธรรมและการพูดจาไม่ต่างไปจากคนในสามจังหวัดมากนัก นิยาให้เหตุผลว่าจะได้ไม่น่าเกลียด เพราะการทำธุรกิจของคนต่างชาติ แม้ว่าชาวมาเลเซียจะไม่รู้สึกถึงความเป็นชาตินิยมต่อคนมลายูที่มาจากเมืองไทยเท่าใดนัก แต่เมื่อเจ้าหน้าที่มาตรวจ สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความสบายใจมากกว่า พ่อครัวส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย เพราะต้องใช้แรงมากต้องทำอาหารเร็ว ร้อน คนมาเลเซียไม่สนใจว่าอาหารจะอร่อยหรือประณีตในการทำมากน้อยเพียงใด แต่ต้องการอาหารที่เน้นว่า ร้อน และเร็ว ส่วนผู้หญิงเป็นคนเสิร์ฟและทำเครื่องดื่มเป็นส่วนใหญ่ นิยามาเซ้งตึกแถวเพื่อเป็นที่พักอาศัยอยู่แบ่ง ๆ กันกับลูกน้องทั้งหมด ต้องจ่ายเดือนละสามหมื่นบาท นิยามีรถขับสองคัน ทิ้งไว้ที่บ้านยะลาคันหนึ่งและนำมาใช้ที่มะละกาคันหนึ่ง ค่าใช้จ่ายที่นิยาและเด๊าะต้องใช้จ่ายหมุนเวียนต่อเดือนในร้านต้มยำร้านเดียวไม่ต่ำกว่าสองถึงสามแสนบาท วงดนตรียอดนิยมของเด็กหนุ่มเด็กสาวในร้านเหมือนๆ เด็กไทยทั่วไป เช่น ลาบานูนและคาราบาว ในมาเลเซีย การออกไปทำงานเป็นความหวังของหนุ่มสาวในสามจังหวัดภาคใต้ที่รัฐบาลมาเลเซียรับรู้และไม่ได้คุกคามหรือตามจับ หากเป็นไปตามกฎหมาย แรงงานจากสามจังหวัดทดแทนในช่องว่างของงานอาชีพที่คนมาเลเซียเริ่มไม่ทำและหันไปทำงานในภาคเศรษฐกิจส่วนอื่น การเป็นคนมลายูมุสลิมเช่นเดียวกัน อาจจะเป็นเหตุผลสำคัญสำหรับการยอมรับ และเป็นเหตุผลสำคัญแน่นอนอันดับแรกที่แรงงานชาวมลายูมุสลิมจากสามจังหวัดภาคใต้เดินไปเข้าไปขายแรงงาน โดยมีคนน้อยมากที่เข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่ ๆ อื่น ๆ ที่ต่างศาสนาและต่างวัฒนธรรม เราไม่ทราบว่าแรงงานจากสามจังหวัดภาคใต้สร้างรายได้รวมต่อปีประมาณเท่าใด แต่เท่าที่พบนี่คือช่องทางสำคัญที่หล่อเลี้ยงครอบครัวและเศรษฐกิจในระดับชาวบ้านในสามจังหวัดภาคใต้ให้อยู่รอดอย่างที่ไม่อาจปฏิเสธ หากนิยาอยู่บ้าน ด้วยการศึกษาไม่จบ ป.๔ และเด๊าะที่จบเพียงมัธยมต้น คงไม่พ้นรับจ้างกรีดยาง ทั้ง ๆ ที่นิยาและเด๊าะเป็นคนฉลาดและมีศักยภาพในการบริหารจัดการอย่างยอดเยี่ยม ครอบครัวของนิยาฐานะไม่ดีและไม่มีที่ดินของตัวเอง แต่นิยาส่งพ่อแม่ไปฮัจญ์ได้และซื้อที่ดินซึ่งเป็นสวนยางไว้ให้ทำด้วยได้แล้ว วันนี้ นิยาในวัยต้นสามสิบกลายเป็นความมุ่งหวังของคนในชุมชนที่ผู้ใหญ่ต้องการให้ดูเป็นตัวอย่างและเป็นอุดมคติของคนรุ่นหนุ่มสาวที่อยากจะสร้างฝันให้ได้เหมือนนิยา แต่ความฝันเหล่านี้ไล่หาในประเทศไทยไม่ได้ และไม่มีโอกาสที่เด็กหนุ่มสาวจากชายแดนในสามจังหวัดจะมีโอกาส นอกเสียจากที่มาเลเซีย อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ตุลาทมิฬและอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ต.ค. 2551 “ขอแสดงความเสียใจต่อผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บรอบรัฐสภาบนถนนต้นสายประชาธิปไตยในวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑” ที่ตั้งอำเภอโกตาบารู เมืองหลวงรัฐกลันตัน แม่น้ำโกลกคือเขตพรมแดนที่ถูกใช้เป็นเส้นแบ่งพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ให้แยกบ้านเมืองสองฝั่งออกเป็นรัฐชาติสองประเทศ ฝั่งไทยมีด่านที่ท่าเรือตาบาในอำเภอตากใบ อีกฝั่งหนึ่งคือ กำปงเปงกลัน กูโบร์ ในรัฐกลันตันของมาเลเซีย ก่อน พ.ศ. ๒๔๕๑ รัฐสยามมีสิทธิเหนือดินแดนมลายูทั้ง ๔ รัฐ คือ ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู และปะลิส ใช้วิธีปกครองแบบหัวเมืองประเทศราช ให้สุลต่านปกครองกันเอง แต่จะส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทองซึ่งเป็นสัญลักษณ์ในการยอมรับอำนาจทางการเมืองมาถวายพระมหากษัตริย์ไทย ๓ ปีต่อครั้ง หลังจากอังกฤษเริ่มเข้ามาค้าขายและล่าเมืองขึ้นในแหลมมลายู การเจรจาต่อรองระหว่างรัฐสยามกับเจ้าอาณานิคมอังกฤษดำเนินเรื่อยมาราวสิบกว่าปี ในระหว่างนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเยือนมลายูหลายครั้ง และพยายามยกฐานะหัวเมืองเหล่านั้น เช่น ยกฐานันดรผู้ครองรัฐไทรบุรีเป็นเจ้าพระยา และพยายามเอื้อเฟื้อให้เจ้าผู้ปกครองนครเหล่านั้นปกครองตนเองและภักดีต่อกรุงเทพฯ ซึ่งแตกต่างไปจากการดำเนินนโยบายที่ปฏิบัติต่อหัวเมืองในล้านนาในช่วงเวลาเดียวกันอย่างชัดเจน แม้จะไม่มีเหตุการณ์ทางการเมืองที่นำไปสู่การบีบบังคับสู้รบเช่นที่ฝรั่งเศสกระทำต่อดินแดนชายขอบที่เขมรและลาว ใน พ.ศ. ๒๔๕๑ กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีการต่างประเทศของไทย และนายราฟ แพชยิต ราชทูตอังกฤษประจำกรุงเทพฯ ได้ลงนามในสนธิสัญญาฉบับใหม่ โดยรัฐบาลสยามยกดินแดนเฉพาะที่เห็นว่าอำนาจทางการเมืองของไทยครอบคลุมไปไม่ถึงเท่านั้น คือ ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู และปะลิส รวมทั้งเกาะใกล้เคียง ส่วนการแบ่งเขตแดนจะถือเอาสภาวะการปกครองเป็นหลัก โดยไม่คำนึงถึงเรื่องอื่น ๆ เช่น เรื่องภาษา ศาสนา หรือวัฒนธรรม สุลต่านกลันตันและสุลต่านตรังกานูต่างคัดค้านการกระทำของไทย สุลต่านกลันตันส่งผู้แทนเข้ามาเจรจาที่กรุงเทพฯ และสุลต่านตรังกานูรีบยืนยันความจงรักภักดีของตนต่อเมืองไทย ด้วยการส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทองมาถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นการยกดินแดนให้อังกฤษให้อยู่ในสหพันธรัฐมลายูของอังกฤษ โดยที่เจ้าของดินแดนหรือชาวบ้านชาวเมืองไม่ได้เตรียมตัวและไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงสถานภาพตนเองโดยไม่ยินยอมแต่อย่างใด ในขณะนั้นรัฐบาลสยามควบคุมกำกับดูแลบ้านเมืองที่ปัตตานีมาโดยตลอดและไม่อยากสูญเสียไป แม้จะมองเห็นว่าการปกครองหัวเมืองเหล่านี้ซึ่งต่างศาสนาและต่างวัฒนธรรมน่าจะเป็นปัญหามากกว่า ซึ่งเป็นเพียงการมองในด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยเห็นว่าภาษา ศาสนา และวัฒนธรรมที่ถูกแบ่งแยกใน บริเวณที่อาจเรียกว่า “ลังกาสุกะ” ในอดีต หรือในปัจจุบันเรียกบริเวณนี้ว่า ไทยตอนใต้และมาเลเซียตอนเหนือ [Thai south and Malay north] ซึ่งมีภูมิหลังที่กล่าวมาแล้วคล้ายคลึงกันและอยู่ระคนกันไปในกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งมลายู จีน และไทย โดยคนมลายูที่นับถือศาสนาอิสลามเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากกว่าและถือเป็นวัฒนธรรมหลักของบ้านเมืองบริเวณนี้ แม่น้ำโกลก พรมแดนไทย-มาเลเซีย ความสัมพันธ์ของรัฐต่าง ๆ ในบริเวณนี้แม้จะถูกแบ่งแยกโดยสนธิสัญญาระหว่างประเทศให้เกิดพรมแดนเป็นรัฐชาติแบบใหม่ที่ตกลงกันด้วยผลประโยชน์ของอำนาจศูนย์กลาง จึงเป็นการปิดฉากรูปแบบรัฐโบราณที่เป็นรากฐานของบ้านเมืองในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาอย่างยาวนาน แม้จะกลายเป็นรัฐสมัยใหม่ไปแล้ว แต่รูปแบบทางสังคมวัฒนธรรมที่เคยมีอยู่ยังไม่สูญหายไปแต่อย่างใด ความเหมือนกันทางสังคมและวัฒนธรรม ความเป็นเครือญาติ ความเป็นพี่น้อง ซึ่งกลายเป็นสิ่งเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างบ้านเมืองในพื้นที่ระหว่างรัฐที่อำนาจทางการเมืองไม่สามารถแบ่งแยกออกได้ กรณีเมื่อมีเอกสารที่เผยแพร่ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ใหม่ ๆ นั่นคือ เบอร์จีฮาด ดิ ปัตตานี หรือ การต่อสู้ที่ปัตตานี ในเอกสารระบุว่า เมื่อปฏิบัติการสำเร็จจะมีการสถาปนาราชวงศ์กลันตันขึ้นเป็นผู้ปกครองสูงสุด แล้วนับถือศาสนาอิสลามนิกายสุนนี สำนักความคิดสายอิหม่ามซาฟีอี จัดตั้งสภาสูงสุด ที่มาจากนักวิชาการมุสลิม และตัวแทนบุคคลในสาขาอาชีพต่าง ๆ สภานี้มีอำนาจสูงสุดในการแต่งตั้งถอดถอนผู้นำได้ เป็นต้น ข้อความเหล่านี้สะท้อนให้เห็นเหตุผลทางการเมืองที่ต้องการรวมดินแดนดั้งเดิมในราชวงศ์กลันตันที่ถือว่าเป็นราชวงศ์ที่รวมกลุ่มตระกูลเชื้อสายเจ้าเมืองจากวังยะหริ่งหรือเมืองรามันในอดีต และวังอื่น ๆ ในดินแดนสามจังหวัดภาคใต้ไว้ได้ชัดเจนที่สุด แม้แต่กรณีการหนีของคนไทย ๑๓๑ คนข้ามชายแดนบริเวณสุไหง-โกลกไปอาศัยอยู่กับญาติพี่น้องในฝั่งมาเลเซีย เพราะกลัวเหตุการณ์ความรุนแรงและความไม่ปลอดภัยจากอำนาจรัฐ คนกลุ่มนี้เป็นชาวบ้านหลายรายจากอำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส ที่ได้รับบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมที่หน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบ บางคนเป็นชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านที่ถูกปล้นปืน แต่กลับถูกทางการไทยสงสัยว่า ร่วมมือกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ นำปืนของทางการไปใช้ก่อความไม่สงบ คนไทยเหล่านี้เดินทางหนีออกจากมาตุภูมิและขอไปอยู่อาศัยกับญาติพี่น้องทางฝั่งมาเลเซียและยังไม่ยอมกลับจนถึงปัจจุบัน ความอุดมสมบูรณ์บนที่ราบรัฐกลันตัน สิ่งเหล่านี้อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด กล่าวว่า ชาวบ้านจากประเทศไทยเหล่านี้เดินทางไปหาญาติพี่น้องของพวกเขาเท่านั้น ไม่ได้อยู่ในขบวนการก่อการร้ายดังที่รัฐไทยหวาดกลัวและระแวงแต่อย่างใด เมื่อเดินทางร่วมไปกับคณะของผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เข้าไปในรัฐทางตอนเหนือของมาเลเซีย โดยเฉพาะในบริเวณตั้งแต่เมืองปะแสร์ มาส [Pasir mas] ซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับสุไหง-โกลกทางฝั่งไทยจนถึงโกตาบารู และเมืองตุมปัตที่มีผู้คนที่เรียกตนเองว่า คนมาเลเซีย เชื้อสายไทย และคนจีนที่ถูกเรียกว่า จีนบก ซึ่งแตกต่างไปจากคนเชื้อสายจีนแถบชายฝั่งช่องแคบในอีกฝั่งทะเลอีกด้านหนึ่ง ชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยในกลันตันมีอยู่มากเป็นอันดับสองรองจากรัฐเคดาห์หรือไทรบุรีในอดีต นอกจากนี้ยังมีอยู่บ้างประปรายที่รัฐตรังกานูและปะลิส เฉพาะในกลันตันมีทั้งคนเชื้อสายไทยที่เป็นชุมชนอยู่มากมายใน ๗ อำเภอ ได้แก่ อำเภอตุมปัต มีคนไทยอยู่มากที่สุด อำเภอปะแสร์ มาส มีคนไทยอยู่ที่ตลาดปะแสร์ มาสในย่านธุรกิจด้วย และเขตที่ติดกับสุไหง-โกลก อำเภอตะเนาะแมเราะ อำเภอปะแสร์ ปูเต๊ะ อยู่ริมทะเลมีเศรษฐกิจดี มีคนไทยอยู่ที่บ้านเสมอรัก อำเภอบาเจาะ อำเภอโกตาบารู ซึ่งเป็นเมืองหลวง และอำเภอมาจัง ซึ่งเป็นจำนวนไม่น้อย พื้นที่ราบระหว่างแม่น้ำโกลกและแม่น้ำกลันตันคือพื้นที่ราบกว้างใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งกว้างใหญ่กว่าที่ราบของแม่น้ำตากใบและแม่น้ำโกลก ซึ่งมีคนไทยที่พูดภาษาสำเนียงที่เรียกว่าภาษาเจ๊ะเหหรือภาษาไทยตากใบ ในบริเวณนี้คือที่ตั้งของอำเภอตุมปัตที่มีวัดทางพุทธศาสนาจำนวนมาก ซึ่งเป็นวัดประจำชุมชนทั้งไทยและจีน ปะปนไปด้วยชุมชนมุสลิมจำนวนไม่น้อย แม้กลันตันจะประกาศตัวเป็นรัฐมุสลิมอย่างเป็นทางการก็ตาม แต่ก็สามารถจัดการเชื่อมโยงกลุ่มคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธและคนจีนได้โดยการสนับสนุนงานทางวัฒนธรรม เช่น เทศกาลลอยกระทงที่ถือเป็นเทศกาลประจำเดือนพฤศจิกายนในปีท่องเที่ยวของรัฐในปีนี้ ความสงบร่มรื่นในระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์และความเป็นปกติสุขของสังคมพหุลักษณ์ในรัฐกลันตัน โดยเฉพาะบริเวณเมืองตุมปัตนี้ เป็นสิ่งที่หาไม่ได้อีกต่อไปในขณะนี้ในอีกฝั่งหนึ่งของชาติไทย บ้านเมืองในเขตสามจังหวัดภาคใต้ในอดีตนั้นไม่ได้ต่างไปจากบ้านเมืองในอีกฝั่งแม่น้ำโกลกในรัฐ กลันตันแต่อย่างใด เพราะอยู่ในวัฒนธรรมและบ้านเมืองเดียวกันมาก่อน แต่จะแตกต่างไปก็เพราะการเมืองของรัฐที่กระทำต่อพลเมืองทั้งสองประเทศนั้น “ไม่เหมือนกัน” วัดไทย-จีน ในสังคมมุสลิม การอยู่อย่างสันติของคนกลันตัน ในขณะที่รัฐไทย ชาวบ้านชาวเมืองโดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ คงได้เห็นอิทธิฤทธิ์ของความไม่เสมอภาคและไม่เท่าเทียมกันในสังคมที่สืบเนื่องมาจากอำนาจของรัฐที่จัดการปัญหาความขัดแย้งด้วยความรุนแรง และต้องสูญเสียเลือดเนื้อของประชาชน สิ่งเหล่านี้มีผู้แสดงความคิดเห็นมากมายว่า “เริ่มจะเข้าใจสาเหตุของความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ที่ไม่สงบเสียที” นั้นเป็นเพราะเหตุใด เมื่อเหม่อมองเมืองไทยจากอีกฟากฝั่งหนึ่งของแม่น้ำโกลกที่กั้นพรมแดนบ้านเมืองที่เคยเป็นแผ่นดินเดียวกัน แต่ขณะนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงนั้นมีสาเหตุมาจากความแตกต่างทางชาติพันธุ์หรือก็ไม่ใช่ ทางศาสนาหรือก็คงไม่ใช่เป็นสาเหตุมาแต่แรกเริ่ม การเมืองในบ้านเมืองของเราต่างหากที่บั่นทอนพี่น้องชาวมลายูมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้มาอย่างเนิ่นนาน และในปัจจุบันนี้ การเมืองที่กัดเซาะสังคมไทยก็เริ่มทำให้เห็นว่า แม้แต่ความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน การเมืองที่นำไปสู่ความไม่ยุติธรรมในสังคมและเศรษฐกิจก็กำลังทำลายคนไทยทั่วทุกหัวระแหงอยู่ในขณะนี้ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ประวัติศาสตร์บาดแผลและประวัติศาสตร์ของผู้ถูกกดขี่
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2552 นักโทษเงี้ยวทั้ง ๑๖ คนที่ถูกจับกุมได้ในการจลาจลในเมืองแพร่และลำปางได้ถูกส่งตัวมาจำคุกที่กรุงเทพฯ โดยแยกนักโทษในบังคับสยามไปจำคุกที่กองมหันตโทษ กระทรวงยุติธรรม ส่วนนักโทษในบังคับอังกฤษส่งไปจำคุกที่สถานทูตอังกฤษ (ภาพจากหนังสือ นครแพร่จากอดีตมาปัจจุบัน ภูมินิเวศวัฒนธรรม ระบบความเชื่อและประวัติศาสตร์ท้องถิ่น) กิจกรรมทางวิชาการเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา จัดโดยสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติที่เป็นชุดสัมมนาทางวิชาการเรื่อง “แผ่นดินล้านนา” ชวนไปพูดเรื่อง “ความจริงและตำนานกบฏเงี้ยวเมืองแพร่” คงจะเพราะต่อเนื่องมาจากการทำงานวิจัยท้องถิ่นและพิมพ์เผยแพร่เอกสารเรื่อง “นครแพร่ จากอดีตมาปัจจุบัน : ภูมินิเวศวัฒนธรรม ระบบความเชื่อ และประวัติศาสตร์ท้องถิ่น” ที่จัดจำหน่ายในวงแคบ ๆ ไปเมื่อปลายปีที่แล้ว งานวิจัยดังกล่าวทำมาอย่างต่อเนื่องยาวนานแต่ประสบผลล้มเหลว เพราะความตั้งใจแรกเริ่มที่ต้องการทำให้เป็นผลงานของคนท้องถิ่น เป็นประวัติศาสตร์จากภายใน และการสำรวจนิเวศวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปในนครแพร่ โดยคนท้องถิ่นที่มีความมั่นใจ มีหลักที่ดีและรู้ข้อมูลอย่างลึกซึ้ง ผลสุดท้ายโครงการที่ได้รับโอกาสสนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยนั้น ก็ทำได้แต่เพียงผลิตเอกสารรวบรวมเนื้อหาเรื่องราวของแอ่งที่ราบเมืองแพร่และมุมมองทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่วิพากษ์และสังเกตมาจากภายนอก กระบวนการทำงานร่วมกันและมุมมองที่จะแบ่งปันกันสำหรับการมองท้องถิ่นกลายเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเจาะเข้าหาคนเมืองแพร่ได้ เพราะกระบวนการชุมชนเข้มแข็งปลอม ๆ ที่เกิดขึ้นโดยคนที่เสมือนเป็นคนท้องถิ่นนั่นเอง ผู้จัดน่าจะเห็นประเด็นปัญหาว่า ประวัติศาสตร์และตำนานนั้นมีความแตกต่างกัน ในกระแสของการศึกษาประวัติศาสตร์ในประเทศไทยนั้นต้องยอมรับว่ามีความสับสนอยู่มากและนำไปสู่ความไม่เข้าใจ ความขัดแย้งและความเชื่อที่แตกต่างจนกลายเป็นประวัติศาสตร์บาดแผลที่ถูกสะกิดให้ปะทุเป็นอารมณ์ของสังคมในท้องถิ่นต่าง ๆ ได้ง่าย หากสังคมนั้นขาดความเข้าใจ หมกมุ่น หรือถูกกระแสการเมืองปลุกเร้าในช่วงขณะหนึ่งได้สำเร็จ การศึกษาเรื่องของอดีตจำต้องแยกแยะให้ชัดเจนก่อนที่จะนำเอาผลของการศึกษาไปใช้ ประวัติศาสตร์ เป็นกระบวนการศึกษา วิจัย วิเคราะห์หลักฐานข้อมูลทั้งตัวหลักฐานที่จะนำมาศึกษาและผลจากการศึกษานั้นทำให้เกิดผลกระทบอย่างไรต่อสังคม สิ่งเหล่านี้เป็นหน้าที่ของนักประวัติศาสตร์ที่ศึกษาเล่าเรียนกันตามสำนักต่างๆ แต่ในประเทศไทยมีอีกคำหนึ่งที่เคยใช้เรียกเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตทั้งที่เป็นเรื่องเล่ามุขปาฐะสืบต่อมาและบันทึกไว้เป็นเอกสารที่เรียกว่า ตำนาน ตำนานเหล่านี้มีหลายรูปแบบ แต่โดยสรุปรวมการเขียนหรือเล่าเรื่องจะเจือไปกับความเชื่อหรือถูกใช้ประกอบกับประเพณีพิธีกรรมเป็นวัตถุประสงค์หลักมากกว่าต้องการตรวจสอบค้นหาข้อเท็จจริงในอดีต โดยวิธีวิทยาทางประวัติศาสตร์ที่นักประวัติศาสตร์ในยุคหลัง ๆ ใช้กัน วัตถุประสงค์ รูปแบบ และวิธีการเขียนตำนานซึ่งเทียบได้กับคำว่า Myth จึงแตกต่างอย่างชัดเจนกับการเขียนงานทางประวัติศาสตร์และการศึกษาทางประวัติศาสตร์ [Historiography, Historical method] ซึ่งเป็นวิธีการศึกษาในยุคสมัยใหม่ [Modern age] อย่างไรก็ตามเนื้อหาจากการศึกษาทั้งสองรูปแบบนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะหาข้อยุติเพื่อตัดสินถูกผิดกันได้ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง พลังของประวัติศาสตร์และตำนานยังคงเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพความคิด โลกทัศน์ ของผู้คนในสังคมและไม่มีทางที่จะหยุดนิ่ง เมื่อพิจารณาให้ดีจะเห็นว่า มองประวัติศาสตร์และตำนานอย่างเคลื่อนไหวมีพลวัตนั้นสวนทางกับความรู้สึกของคนในสังคมไทยโดยพื้นฐานที่เล่าเรียนศึกษาในโรงเรียนโดยใช้วิธีท่องจำเนื้อหาทางประวัติศาสตร์ ไม่ได้คิดวิเคราะห์ ถกเถียง หาสาเหตุหรือทำความเข้าใจชีวิต สังคมและวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นและผ่านมาแล้ว และเชื่อมั่นยึดถือแต่เพียงว่าประวัติศาสตร์คือเรื่องราวในอดีตที่ไม่มีความสำคัญต่อปัจจุบันและอนาคตเพราะเป็นสิ่งล่วงพ้นไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่เรานั้นแท้ที่จริงกำลังเผชิญภาวะความจริงทางประวัติศาสตร์แบบเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา [Change through time History] ซึ่งยังไม่ได้จบสิ้นไปแต่อย่างใด สาเหตุเหล่านี้เองที่ทำให้คนในสังคมไทยยึดติดกับรูปแบบการเรียนเรื่องในอดีตเพียงฉาบฉวย ท่องเนื้อหา เวลาที่เกิดขึ้น และหลงเข้าใจว่าสิ่งเหล่านั้นคือความถูกต้องโดยไม่ตั้งคำถาม ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายมากที่คนในสังคมจะถูกชักจูงให้เชื่ออย่างง่าย ๆ จากแหล่งข้อมูลหลากหลายโดยไม่สนใจถึงที่มาที่ไปของความเคลื่อนไหวเหล่านั้น เรื่องกบฏเงี้ยวเมืองแพร่ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อร้อยกว่าปี มาปัจจุบันกลายเป็นประเด็นปัญหาอย่างไร ต้องยอมรับว่า การรวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางและจัดการปกครองรูปแบบใหม่จากหัวเมืองประเทศราชให้กลายเป็นมณฑลเทศาภิบาลและจังหวัดต่าง ๆ ในปัจจุบัน คือกระบวนการเปลี่ยนแปลงรูปแบบและโครงสร้างทางสังคมของท้องถิ่นต่างๆ อย่างขุดรากถอนโคน เมื่ออำนาจการจัดการทางการเมืองและสังคมเปลี่ยนมือมาสู่ขุนนางข้าราชการจากภายนอกเข้ามาดูแล สิ่งเหล่านี้กลายเป็นตะกอนตกค้างทางประวัติศาสตร์ที่รอวันคุกรุ่นเรื่อยมา มากบ้างน้อยบ้างก็ขึ้นอยู่กับเชื้อปะทุภายในท้องถิ่นที่จะหลอมรวมหรือมีปัจจัยอื่นใดทำให้เกิดเชื้อแห่งความไม่พอใจที่ขยายวงกว้างขึ้นมา และต้องยอมรับอีกประการหนึ่งที่สำคัญก็คือ ภาวะเช่นนี้เกิดขึ้นทั่วโลกในสังคมของการสร้างรัฐชาติสมัยใหม่ในช่วงยุคอาณานิคมและหลังสมัยอาณานิคม รัฐโบราณจึงกลายเป็นเพียงความทรงจำอันหวานหอมของอดีตในท้องถิ่นที่เคยเป็นเมืองอิสระต่าง ๆ เจ้าพิริยะเทพวงศ์ฯ เจ้าผู้ครองนครเมืองแพร่องค์สุดท้าย ถูกกล่าวหาว่าสนับสนุนพวกไทใหญ่หรือเงี้ยวสุดท้ายจึงลี้ภัยไปอยู่ที่หลวงพระบาง (ภาพจากหนังสือ นครแพร่จากอดีตมาปัจจุบัน ภูมินิเวศวัฒนธรรม ระบบความเชื่อ และประวัติศาสตร์ท้องถิ่น) กรณีของกบฏเงี้ยวเมืองแพร่ ซึ่งเป็นประโยคที่ดูเหมือนจะตอกย้ำความผิดพลาดของผู้ครองนครแพร่องค์สุดท้าย คือ เจ้าหลวงพิริยะเทพวงศ์ที่ปล่อยให้เกิดการปล้นสะดมและฆ่าฟันข้าราชการที่ส่งมาปกครองจากส่วนกลางโดยคนเงี้ยวที่เข้ามาเป็นลูกจ้างบริษัทสัมปทานไม้สักนั้นคือ ประวัติศาสตร์บาดแผล ที่พูดขึ้นมาครั้งใด ก็เหมือนจะเข้าไปแทงใจคนเหนือหรือคนเมืองแพร่ หากพูดแบบรวม ๆ นั่นคือสิ่งที่เป็นประเด็นการมองจากภายนอก ประวัติศาสตร์บาดแผลนี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มคนชั้นนำในสังคมเมืองแพร่ในสมัยที่ยังเป็นหัวเมืองฝ่ายเหนือในวันคืนที่กำลังถูกริบอำนาจการปกครองจากส่วนกลางและสูญเสียผลประโยชน์มหาศาลจากค่าสัมปทานไม้สักแบบผูกขาดที่ทำลายสภาพแวดล้อมของเมืองแพร่ไปจนไม่เหลือให้จินตนาการในปัจจุบัน ถามว่าทุกวันนี้คนในจังหวัดแพร่เจ็บแค้นกับประวัติศาสตร์บาดแผลนี้อย่างไร ในฐานะผู้สนใจศึกษาและทำโครงการในเมืองแพร่มาระยะหนึ่งไม่แน่ใจว่า บาดแผลนี้จะบาดลึกลงไปในจิตใจของผู้ใดและกลุ่มใด แต่ที่ชัดเจนคือ ทุกวันนี้เรื่องเกี่ยวกับกบฏเงี้ยวเมืองแพร่ไม่ใช่ภาระบนบ่าอันหนักอึ้งของคนเมืองแพร่ทุกคนแน่ หลังจากการผนวกเมืองแพร่เข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศสยามแล้ว ผู้คนและลูกหลานเชื้อสายเจ้าเมืองแพร่ก็ผ่านสังคมและเศรษฐกิจในรูปแบบการรับเหมาช่วงสัมปทาน สร้างโอกาสในการทำมาหากินกับระบบเหมาช่วงรับจ้างลากจูงไม้ในป่าให้กับบริษัทฝรั่ง ทำให้เศรษฐกิจเมืองแพร่ดีกว่าหัวเมืองอื่น ๆ แต่เศรษฐกิจเหล่านี้ก็ตั้งอยู่บนฐานของการผูกขาดทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ใช่เป็นการผลิตอย่างแท้จริง ป่าไม้สักเมืองแพร่ไม่นานก็หมดไป บริษัทฝรั่งก็ล่าถอยทิ้งไว้แต่ร่องรอยของความเฟื่องฟูร่ำรวยของคนในยุคหนึ่ง ต่อมาสัมปทานของรัฐที่ให้กับคนไทยกันเองจึงทำให้ป่าไม้เมืองแพร่หมดสิ้น ทุนที่เข้ามาฉกฉวยผลประโยชน์ตรงนี้กลายเป็นฐานสำหรับนักการเมืองท้องถิ่นเมืองแพร่ในปัจจุบันที่แทบจะตัดขาดการรับรู้เรื่องราวในอดีตอย่างสิ้นเชิง เพราะเป็นคนเชื้อสายจีนที่เข้ามาใหม่ สำหรับชาวบ้านที่เป็นคนแพร่พื้นฐานดั้งเดิมก็ต้องปรับตัวจากการเป็นผู้อยู่ร่วมกับป่ามาเป็นผู้อาศัยป่าโดยผิดกฎหมายบ้าง แสวงหาผลประโยชน์จากป่าสัมปทานแม้จะเคยเป็นถิ่นฐานท้องถิ่นที่อยู่อาศัยมานานก็ตาม ตลอดระยะเวลาแห่งการครอบครองป่าโดยระบบสัมปทาน ชาวบ้านเห็นนายทุนและรัฐร่วมกันแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพย์สินส่วนรวมในอดีตที่กลายมาเป็นสมบัติเอกชนโดยที่ไม่สามารถจะทำอะไรได้มากเท่ากับ การปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดเป็นระยะ ๆ ไม่ต้องถึงกับไปถามชาวบ้านที่สะเอียบซึ่งได้รับผลกระทบจากการทำสัมปทานป่าไม้มานานว่ารู้สึกอย่างไรต่อเรื่องกบฏเงี้ยวเมืองแพร่ หากถามคนเมืองแพร่ที่เป็นกลุ่มทุนหรือนักการเมืองหรือผู้บริหารในปัจจุบันก็คงจะไม่ได้คำตอบที่ดุเดือดเลือดพล่านแต่อย่างใด การจุดประกายเรื่องกบฏเงี้ยวเมืองแพร่เกิดขึ้นมาพร้อมกับการฟื้นความรู้สึกว่า อดีตเจ้าหลวงองค์สุดท้ายของเมืองแพร่ไม่ได้เป็นกบฏ และการดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับเมืองเก่าของกลุ่มลูกหลานเมืองแพร่ในช่วงสิบปีให้หลังมานี้ จึงเป็นเพียงประเด็นของคนกลุ่มหนึ่งในเมืองแพร่ที่เรียกร้องและหวนหาอดีตแบบที่เรียกว่า Nostalgic mood ซึ่งไม่ได้เป็นผลมาจากอดีตที่เป็นอารมณ์ร่วมของสังคมส่วนใหญ่ แต่ประวัติศาสตร์จากช่วงเวลาใกล้เคียงกันในอีกท้องถิ่นหนึ่งและในอีกบริบทหนึ่งก็คือ ประวัติศาสตร์การสูญเสียบ้านเมืองของชาวมลายูปัตตานีและการลุกขึ้นต่อต้านการรวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง การปฏิรูปการปกครองที่ดูเหมือนจะยึดรวบทุกอย่างไปจากผู้ปกครองเดิม และที่สำคัญที่สุดคือความไม่เข้าใจในความต่างวัฒนธรรม ความเชื่อ ประเพณีและวิถีชีวิตของผู้ปกครองในรัฐใหม่ เปิดโอกาสให้มีความรุนแรงในการแก้ปัญหาหลายครั้ง และแต่ละครั้งนั้นคือความทรงจำร่วมกันที่เจ็บปวดของคนในพื้นที่ ปัญหาที่สะสมมาตลอดเวลาในพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ของชาวมลายูปัตตานีได้กลายเป็นมากกว่า ประวัติศาสตร์บาดแผล แต่กลายเป็น ประวัติศาสตร์ของผู้ถูกกดขี่ ที่พร้อมปะทุความรุนแรงในการต่อต้านการกดงำครอบครองได้เท่ากันหรือมากกว่าการปฏิบัติที่ได้รับรู้มาในประวัติศาสตร์ หะยีสุหลง ผู้นำของมุสลิมที่ออกมาเรียกร้องในกรอบของประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนให้รัฐบาลให้ความเป็นธรรมแก่คนมุสลิม (ภาพจากหนังสือ เล่าขานตำนานใต้) กรณีหะยีสุหลง กรณีที่ถูกเรียกว่ากบฏดุซุงญอ กรณีการล้อมปราบในการสร้างความรุนแรงที่มัสยิดกรือเซะหรือกรณีตากใบ และอีกมากมายหลายเรื่องที่สั่งสมเพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลาในช่วงสี่ห้าปีนี้ เมื่อรวมกับประวัติศาสตร์ที่ถูกครอบครองรุกรานชาวปัตตานีโดยรัฐไทย สิ่งเหล่านี้ถูกดูดกลืนเข้าสู่ประวัติศาสตร์ในชีวิตของผู้คนในสามจังหวัดภาคใต้ผ่านช่วงเวลาที่ไม่มีวันจบ กลายเป็นประวัติศาสตร์ของผู้ถูกกดขี่ที่ถูกเติมเต็ม สดใหม่ และยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติ สังคมไทยกำลังเผชิญหน้ากับการท้าทายการจัดการปัญหาในระดับสูงต่อเรื่องความยุติธรรม ความเป็นธรรม และการกระจายอำนาจทั้งการปกครอง การศึกษาและวัฒนธรรมสู่ท้องถิ่น การไม่ตั้งรับทำความเข้าใจประเด็นทางประวัติศาสตร์ที่ชี้ให้เห็นการสั่งสมของปัญหาที่ต้องการความคิดวิเคราะห์มากกว่าเดิม ไม่ใช่หน้าที่ของนักวิชาการจะออกมาชี้นิ้วว่า กระบวนการเหล่านี้คือเรื่องของท้องถิ่นนิยม เป็นเพียงความรู้สึกโหยหาอดีตของคนกลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งเป็นรูปแบบการวิเคราะห์ที่ล้าหลังและหยาบ ๆ เกินไป ประวัติศาสตร์บาดแผลมีโอกาสขยายผลจนกลายเป็นประวัติศาสตร์ของผู้ถูกกดขี่ได้ หากเราไม่ทำความเข้าใจบริบทของท้องถิ่นต่างๆ อย่างระมัดระวัง และเปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่ในการให้การศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์แก่คนในสังคม การวิเคราะห์ คิด และถกเถียงอย่างสร้างสรรค์คงช่วยให้มีความเข้าใจในพลังของประวัติศาสตร์ที่ไร้ข้อยุติได้ แต่ก็มีนักวิชาการประวัติศาสตร์รุ่นใหม่ที่ขุดคุ้ยข้อมูลประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของเมืองไทยบางกลุ่มกำลังยึดถือตรรกะแบบเอาเป็นเอาตาย ถกเถียงกันเฉพาะตรรกะว่าของใครผิดและถูกก็กำลังหาข้อยุติ ข้อสรุปให้เข้ากับสมมติฐานของตนเอง จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาทางการเมืองในปัจจุบัน แล้วจะเข้าใจการเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์ที่มีชีวิตแบบ Change through time History ได้อย่างไรกัน อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ร่องรอยวัฒนธรรมฮินดู-พุทธในดินแดนปาตานี
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2556 Gunungan เหนือบานประตูและช่องอาคารในสถาปัตยกรรมมลายูที่เหมือนหน้ากาล-มกรในสถาปัตยกรรมไทย ซึ่งมีที่มาจากอินเดียเช่นเดียวกัน นอกเหนือจากกลุ่มโบราณสถานบ้านจาเละ-ประแว อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี และกลุ่มบ้านท่าสาป-บ้านหน้าถ้ำ อำเภอเมือง จังหวัดยะลาแล้ว พื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้หรือในเขตดินแดนของเมืองปาตานีก็ไม่ปรากฏว่ามีร่องรอยของแหล่งโบราณคดีหรือโบราณสถานที่เกี่ยวเนื่องด้วยวัฒนธรรมฮินดู-พุทธ อันเป็นวัฒนธรรมที่มีมาก่อนการเปลี่ยนมาเป็นศาสนาอิสลามในดินแดนนี้เลย จึงค่อนข้างจะเป็นเรื่องที่น่าสงสัย เพราะพื้นที่อื่นที่ล้อมรอบดินแดนนี้ล้วนแล้วแต่มีการพบเจอแหล่งโบราณคดีที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมฮินดู-พุทธกระจัดกระจายอยู่ไปทั่วบริเวณตลอดทั้งคาบสมุทรมลายู ไม่ว่าจะเป็นทางตอนใต้ของปาตานี ในรัฐ Kedah, Perak, Selangor, Johor, Terengganu, Kelantan ในประเทศมาเลเซีย และมีอย่างกระจัดกระจายในดินแดนตอนเหนือของปาตานีคือ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี กระบี่ ตรัง ก็ล้วนเคยพบเจอร่องรอยแหล่งโบราณคดีในวัฒนธรรมฮินดู-พุทธทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าร่องรอยในวัฒนธรรมฮินดู-พุทธที่เป็นโบราณสถานและแหล่งโบราณคดีพบเห็นได้น้อยในสามจังหวัดชายแดนใต้ แต่ร่องรอยของวัฒนธรรมฮินดู–พุทธเหล่านี้สามารถที่พบเห็นได้ไม่ยากนักในวิถีชีวิตและประเพณีต่าง ๆ ตลอดทั้งชื่อบ้านนามเมืองของคนมลายูปาตานี หลักหินในสุสานของชาวมลายูมุสลิมที่รูปทรงเหมือนโกศบรรจุศพคนชั้นสูงของชาวพุทธ ชื่อบ้านนามเมืองหลาย ๆ ที่ก็สะดุดหูชวนสงสัยว่าจะเกี่ยวเนื่องหรือเป็นมรดกที่หลงเหลือของวัฒนธรรมฮินดู–พุทธหรือเปล่า เช่น “ภูเขาบูโด” [Bukit Budur] หรือบูกิตบูโด ซึ่งคำว่า “บูกิต” ในภาษามลายูแปลว่าภูเขา เป็นคำที่ใช้เรียกภูเขาลูกนี้มานมนาน คำว่า “บูโด” นี้หาความหมายในภาษามลายูไม่ได้ ไม่ทราบว่าเป็นภาษาอะไรแน่ แต่ชวนให้นึกถึง โบโร บูโด หรือ โบโร โบโด ที่เมือง Yogyakarta บนเกาะชวา ซึ่งเป็นศาสนสถานของพุทธที่อยู่ท่ามกลางอารยธรรมของวัฒนธรรมพราหมณ์ เทือกเขาที่ใครๆ รู้จักกันดีในนามเทือกเขา “สันกาลาคีรี” ก็เช่นเดียวกัน เทือกเขาสันกาลาคีรีนี้ชาวมลายูเรียกกันว่า “ซังฆาลาฆีรี” [Sang Gala Giri] ซึ่งก็ไม่ใช่ภาษามลายู แต่เป็นภาษาสันสกฤต คำว่า Sang ภาษาไทยใช้คำว่า “สัน” นั้นทำให้ความหมายเปลี่ยนไปมาก คำว่า “สัน” ทำให้นึกถึงสันเขา แต่คำว่า Sang ในความหมายของชาวมลายูเป็นคำโบราณที่ใช้เป็นคำนำหน้าเรียกผู้ที่อยู่ในสถานะที่สูง เช่น กษัตริย์หรือเทวา คำนี้มีปรากฏในหนังสือโบราณของมลายูที่มีอายุมากกว่า ๕๐๐ ปี ในตำนานของฮังตูเวาะฮ์ [Hikayat Hang Tuah : Empat Orang Fakil] ที่กล่าวถึงกษัตริย์เชื้อสายเทวาหรืออสัญเดหวา [Asal Dewa] Asal หรือ อาสัน เป็นคำภาษามลายู แปลว่า ดั้งเดิม ชื่อ ซังเปอตาลาเดวา [Sang Pertala Dewa] Gala หรือ กาลา ในภาษามลายูท้องถิ่นปาตานีเรียกว่า “กาลอ” ในพจนานุกรมมลายูอธิบายว่า Sang Gala คือ The black king of the demons. Occasionally called Sang Gala Raja Jin, Sangkara or Sangkara. ซึ่งก็หมายถึง “พระกาฬ” นั่นเอง ส่วนคำว่า Giri ก็คือ “คีรี” แปลว่า ภูเขา ดังนั้นคำว่า “สันกาลาคีรี” ที่ถูกต้องแล้ว ควรเป็น “สังกาลาคีรี” [Sang Gala Giri] ที่แปลว่า “ภูเขาพระกาฬ” นั่นเอง หลักหินในสุสานของชาวมลายูมุสลิมในยุคแรกๆ จะมีรูปทรงเหมือนใบเสมา ที่แสดงถึงความเชื่อมโยงในรูปทรงของวัฒนธรรมทางพุทธศาสนาอยู่บ้าง ทั้งภูเขาบูโดและสันกาลาคีรีล้วนมีชื่อที่มาจากวัฒนธรรมฮินดู-พุทธ และภูเขาทั้งสองแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ [Sakti] ที่ไม่มีในวัฒนธรรมศาสนาอิสลาม มีเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับงูใหญ่หรือ “นาฆา” [Naga] และเป็นสถานที่ที่เหล่าศึกษาศาสนาสายตารีกัตในลัทธิซูฟี ซึ่งนิยมจำศีลในถ้ำเพื่อบำเพ็ญภาวนาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผมเคยเห็นรูปที่เพื่อนถ่ายมาจากหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่เชิงเขาบูโด เป็นแผ่นศิลาที่ชาวบ้านใช้ปูเป็นทางเดินก่อนขึ้นบันไดบ้าน เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดจากรูปถ่ายเห็นว่าน่าจะเป็นฐานของศิวลึงค์ มีหมู่บ้านหนึ่งในอำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส ห่างจากบ้านตะโหนดประมาณ ๕ กิโลเมตร ชื่อบ้าน “บาโงกือเต๊ะ” คำว่า “กือเต๊ะ” สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นกับคำมลายูโบราณจะเข้าใจว่าหมายถึง “กัด” แต่คำนี้มีที่มาจากคำว่า “เกอเต็ก” ที่แปลว่าวัด อาจจะเพี้ยนเสียงมาจากคำว่า กูติก หรือ กุฏิ นั่นเอง ผมเคยได้รับการบอกเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่ว่าเมื่อก่อนเคยมีวัดร้างอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ แต่ปัจจุบันถูกทำลายจนหาซากไม่เจอเสียแล้ว และหมู่บ้านแห่งหนึ่งในตลาดตันหยงมัส จังหวัดนราธิวาส เป็นหมู่บ้านที่ไม่มีชื่อปรากฏป้ายบอกทาง แต่คนมลายูท้องถิ่นเรียกว่า “บูกิต สามิง” หรือ “บูกิต สามี” คำว่า บูกิต [Bukit] แปลว่าภูเขา ส่วนคำว่า “สามี” ไม่ได้แปลว่า สามี หรือ Husband ของหญิงใด แต่เป็นคำมลายูโบราณแปลว่าพระหรือเทวรูป พื้นที่แห่งนี้มีเสียงซุบซิบและเล่าลือว่ามีวัตถุโบราณที่ถูกฝังอยู่ใต้เนินดินขนาดใหญ่ แต่ถูกเจ้าหน้าที่ลักลอบขุดและบรรทุกใส่รถขนไปกรุงเทพฯ แล้ว บ้างก็เล่าลือว่าที่ลักลอบขุดไปคือทองคำ ซึ่งคงไม่มีผู้ใดพอที่จะให้ข้อมูลในเรื่องนี้ได้อย่างจริงจังและมีหลักฐาน เพียงแต่เป็นเสียงซุบซิบดัง ๆ เท่านั้น น่าเสียดายที่ไม่มีการสืบค้นและศึกษาเรื่องราวเหล่านี้อย่างจริงจัง จนทำให้น่ากังวลใจว่า ต่อไปภายหน้าการที่จะย้อนรอยเพื่อสืบหาหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่มีก่อนยุคปาตานีคงทำได้ยาก หรือทำได้ก็คงไม่เหลืออะไรให้ศึกษาอีกเลย อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- คนตานีมลายูมุสลิมที่ถูกลืม
เผยแพร่ครั้งแรก 26 พ.ค. 2559 คนตานี ในขณะที่บทความและงานวิจัยหลายชิ้นซึ่งเกี่ยวเนื่องกับข้อมูลทางชาติพันธุ์ในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ปัจจุบันคุ้นเคยกับคำว่า “ออแฆนายู” หรือ “ออแฆซีแย” เมื่อต้องการแยกแยะคนมลายูมุสลิมและคนไทยพุทธในพื้นที่ดังกล่าว มีการอภิปรายกันมากถึงรากฐานที่มาของ “คำ” เรียกชื่อกลุ่มคนในคาบสมุทรมลายูในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงสมัยหลังอาณานิคมตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา[1] แต่ในบทความต่อไปนี้ เนื่องจากผู้เขียนเป็น “คนนอก” ทั้งอาศัยอยู่นอกพื้นที่ ไม่ได้เป็นคนในวัฒนธรรมมลายู และไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม มี “คำเก่า” สำหรับเรียกคนในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่สัมพันธ์กับพื้นที่ของกรุงเทพฯ ในยุคต้น เมื่อกวาดต้อนเอาผู้คนจากหัวเมืองต่าง ๆ มาอยู่อาศัยทั้งในกรุงและรอบกรุง หนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านั้นถูกเรียกว่า “แขกตานี” หรือเรียกตัวเองว่า “คนตานี” ดังพบในพื้นที่ใจกลางเมืองเก่าย่านบางลำพู ถนนทั้งสายตรงสี่แยกคอกวัวเรียกว่า “ถนนตานี” และมีชุมชนมุสลิมที่อยู่ในตรอกแคบ ๆ หลบเร้นแฝงตัวห่างจากสายตาผู้คนทั้งที่มัสยิดตึกดินและมัสยิดจักรพงศ์[2] ในความคุ้นเคยของคนกรุงเทพฯ ผู้คนที่ถูกกวาดต้อนมาอยู่ในเมืองเนื่องจากสงครามสมัยต้นกรุงเทพฯ และนับถือศาสนาอิสลามคือ “คนตานี” และเนื่องจากอัตลักษณ์ [Identity] เป็นเรื่องค่อนข้างกำกวมมีหลายนัยหรือเลื่อนไหลไปตามสถานการณ์ บทความนี้จึงใช้คำว่า “คนตานี” สำหรับผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามเชื้อสายมลายูและมีที่มาจากพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะบริเวณเมืองปาตานี [Patani][3] เก่าที่ปัจจุบันคือบ้านเมืองชายฝั่งในจังหวัดปัตตานีมากกว่าจะใช้เรียกกลุ่มคนซึ่งนับถือศาสนาอิสลามในกรุงเทพฯ ที่มีสำนึกของ “ความเป็นคนกรุงเทพฯ มากกว่าความเป็นคนตานี” แม้จะมีบรรพบุรุษเป็นคนตานีที่ถูกกวาดต้อนมาเมื่อครั้งต้นกรุงเทพฯ ก็ตาม คนตานีในที่นี้ คือ คนที่อยู่ในพื้นที่ทั้งสามจังหวัด ที่ไม่นับสตูลทั้งที่มีชาวมลายูผู้นับถือศาสนาอิสลามอยู่ไม่น้อยเพราะว่าถูกตัดขาดทางวัฒนธรรมและความเป็นมาทางประวัติศาสตร์จากลักษณะภูมิประเทศที่มีเทือกเขาขวางกั้น ทั้งนี้ การขยายบ้านเมืองตั้งแต่สมัยต้นกรุงเทพฯ ที่แยกรัฐปาตานีดั้งเดิมออกเป็น ๗ หัวเมือง กระจายไปสู่เขตภายในที่เคยมีชุมชนเก่าอยู่แล้วและปรับการปกครองจนกลายเป็นพื้นที่ในสามจังหวัดภาคใต้ โดยผู้คนอพยพเข้าไปอยู่อาศัยในเขตภายในเหล่านี้ส่วนใหญ่ขยายตัวมาจากชายฝั่งทางปัตตานีแทบทั้งสิ้น (ดังนั้น การเรียกชื่อ “คนตานี” ในบทความนี้ จึงเป็นการให้ความหมายจากภายนอกเท่านั้น) ในฐานะที่ผู้เขียนมีบรรพบุรุษอย่างน้อยหนึ่งท่านเป็น “คนตานี” แต่ไม่มีความเป็นคนตานีหลงเหลืออยู่ในตัวเอง คงเหมือนคนไทยพุทธในภาคกลางอีกไม่น้อยที่มีร่องรอยในสายเลือดเช่นเดียวกัน ทว่าถูกทำให้กลายเป็น “คนไทย” ที่ขาดประสบการณ์และไม่มีความเข้าใจต่อ “คนอื่น” เป็นพื้นฐานเหล่านี้คือเหตุให้พยายามเข้าใจความเป็น “คนตานี” ที่มีเลือดเนื้อ ความรู้สึก ความคิด ความเปลี่ยนแปลง และความใฝ่ฝัน ให้มากเท่าที่ประเทศไทยในยุคแห่งความหวาดกลัวและรังเกียจความแตกต่างทุกวันนี้ควรจะต้องการ สำหรับคนในภูมิภาคอื่น ชาวมลายูมุสลิมในสี่จังหวัดภาคใต้นับเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ไกลตัว อาจเป็นมรดกของแผ่นดินจากยุคประเทศราชที่ผู้ปกครองสมัยใหม่ทุกวันนี้ไม่อยากได้ เมื่อเกิดปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้และยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ก็เริ่มมีเสียงดังขึ้นไม่น้อยอย่างต่อเนื่องว่า “ให้ตัดพื้นที่ของผู้มีปัญหาเหล่านั้นคืนไป” ทว่า การแบ่งแยกดินแดนไม่ใช่สูตรสำเร็จของปัญหาในโลกแห่งความรุนแรงยุคปัจจุบันเสียแล้ว เพราะพื้นที่หรืออาณาเขตนั้นไม่ใช่เป้าหมาย แต่การใช้ศาสนาเพื่อเป็นเครื่องมือหนึ่งในการต่อสู้ของผู้ถูกกดขี่กลายเป็นหนทางสู่ความเสมอภาคที่กลุ่มคนใดๆ ก็ตามแสวงหา[4] บทความนี้พยายามสะท้อนภาพความเข้าใจที่สับสนของคนไทยต่อภาพพจน์ของชาวมลายูมุสลิมในประเทศไทยที่ถูกกักขังหรือมองอย่างเป็นภาพนิ่ง จนอาจกล่าวได้ว่า “ความเป็นมลายูมุสลิมในประเทศไทย” คืออัตลักษณ์ที่ถูกแช่แข็งไว้ [Frozen Identity] ยาวนานนับศตวรรษ การสร้างชาติไทย และอานุภาพทำลายความหลากหลายทางชาติพันธุ์ คำว่า “คนตานี” คือการแสดงอัตลักษณ์ในเชิงพื้นที่ [Territorial Identity] โดยมีนัยแฝงของการเป็นส่วนหนึ่งของรัฐปาตานีที่เคยรุ่งเรือง มักกล่าวกันว่า เมื่อคนตานีเข้าไปทำงานหรือท่องเที่ยวในมาเลเซียโดยเฉพาะในแถบรัฐทางเหนือใกล้เคียงกับฝั่งชายแดนไทย แสดงตนเองว่าเป็น “คนตานี” (ออแฆ ตานี) จะรู้สึกได้รับการยอมรับว่าเป็นคนที่มีรากเหง้าอยู่ในแผ่นดินที่เคยเป็นบ้านเมืองสำคัญและมีความเป็นเพื่อนพี่น้องพวกพ้องเดียวกัน ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะในพื้นที่ดังกล่าวรัฐปาตานีที่ดูห่างไกลจากความรับรู้ของ “ประวัติศาสตร์ชาติไทย” เพราะตัดเรื่องราวเหล่านี้ออกไป จะมีอยู่และกล่าวถึงก็เฉพาะการเรียบเรียงเหตุการณ์ในสมัยเสียดินแดนบางส่วนเพื่อรักษาสิทธิสภาพนอกอาณาเขตในสมัยรัชกาลที่ ๕ เพื่อเสียสละแก่ “ประเทศชาติ” ที่ต้องสูญเสียดินแดนที่เคยเป็นเมืองขึ้นไปเพื่อรักษาส่วนรวมไว้ ดังถูกตอกย้ำไว้ในงานเขียนทางประวัติศาสตร์หลายเรื่องที่ทำให้เห็นว่า ประวัติศาสตร์ของชาติไม่ได้มีส่วนร่วมหรือรู้สึกในระดับลึกกว่านโยบายเพื่อปฏิรูปการปกครองส่วนท้องถิ่นและต่อมาคือการปกป้องการล่าเมืองขึ้น[5]เพราะการแยกรัฐมลายูที่มีความเชื่อ ประเพณี และวัฒนธรรมเดียวกันออกจากกัน ทำให้พี่น้องญาติมิตรทั้งที่มีเชื้อสายมลายูนับถือศาสนาอิสลามและคนเชื้อสายไทยนับถือพุทธศาสนาและผู้คนอีกหลายกลุ่มชาติพันธุ์ที่เคยเดินทางไปมาหาสู่ในรัฐแบบเดิมต่างตกค้างอยู่ในกรอบของเส้นแบ่งแยกดินแดนของรัฐสมัยใหม่ทั้งสองฝั่ง คนตานีจากปาตานีซึ่งเคยเป็นเมืองท่าและโดยธรรมชาติของเมืองท่าไม่ว่าจะยุคสมัยใดก็คือสถานที่รวบรวมกลุ่มคนหลากหลายชาติพันธุ์มาร่วมอยู่อาศัยด้วยกัน เมืองท่าในคาบสมุทรมลายูทางฝั่งตะวันตกที่รุ่งเรืองในระยะร่วมสมัย เช่น มะละกา ยังเป็นสังคมพหุลักษณ์มาจนถึงทุกวันนี้ “คนตานี” ในความหมายแต่อดีตก็คือผู้คนหลากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นคนเชื้อสายมลายู จีน สยาม ดัชต์ ชวา ฯลฯ ต่างก็ถูกเรียกรวม ๆ ว่าเป็น “คนตานี” โดยมีคนกลุ่มใหญ่เชื้อสายมลายูที่นับถือศาสนาอิสลามและวัฒนธรรมหลักในวัฒนธรรมอันหลากหลายก็คือวัฒนธรรมของชาวมลายูที่หยิบยืมเอาภาษาและวัฒนธรรมของคนในกลุ่มอื่น ๆ มาร่วมใช้ ยังเห็นร่องรอยของภาษาที่ผสมทั้งอารบิค สันสกฤต โปรตุเกส ดัชต์ อังกฤษ จีน และไทย อีกทั้งคนเชื้อสายจีนจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในปัตตานีปัจจุบันที่นับถือศาสนาอิสลามและมีธรรมเนียมแบบมลายู น่าสังเกตว่า อัตลักษณ์เชิงพื้นที่ [Territorial Identity] สัมพันธ์กับการแสดงตัวของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ต่อรัฐก่อนสมัยใหม่ [Pre-Modern State] หรือ “รัฐแบบจารีต” [Traditional State] ที่มีมาก่อนการเกิดขึ้นของ “รัฐชาติ” [Modern State] ซึ่งมี “ขอบเขต” แน่นอน และเส้นแบ่งเขตแดนและสถานภาพทางการเมืองที่รัฐกระทำต่อพลเมืองเหล่านี้ส่งผลเชิงบังคับให้เกิดการแสดงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์[Ethnic Identity] ตามมา[6] ความเป็นรัฐสมัยใหม่คือการสร้างอาณาเขตของพื้นที่ซึ่งถูกแบ่งแยกอย่างแน่นอนและ “รัฐ-ชาติ” [Nation-State] ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองโดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องการวัฒนธรรมที่เป็นแกนกลาง [National Culture] โดยการยกวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มใหญ่ที่มีอำนาจทางการเมืองขึ้นมาเป็นตัวแทน แต่ธรรมชาติของดินแดนแถบนี้ซึ่งประกอบไปด้วยการอยู่อาศัยท่ามกลางกลุ่มคนหลากหลาย การยกวัฒนธรรมของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งขึ้นมาครอบงำ เช่น การใช้ชื่อ ภาษา อาหาร การแต่งกายประจำชาติ ประวัติศาสตร์ของชาติ ฯลฯ รวมไปถึงการให้สถานภาพทางการเมือง [Political Status] ที่มั่นคง สิ่งเหล่านี้เป็นแนวโน้มต่อการเบียดขับให้คนในกลุ่มอื่นออกไปอยู่ชายขอบเพื่อแลกกับบูรณาการหลอมรวมความเป็น “ชาติ” ให้เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งในระยะแรกลัทธิชาตินิยม [Nationalism] ดังกล่าวคือการต่อต้านระบอบอาณานิคม [Anti-Colonial Movement] โดยตรง หากต่อมาความเสี่ยงนี้ทำให้เกิดลักษณะที่เรียกว่า “อาณานิคมภายใน” [Internal Colonialism][7] ซึ่งเกิดจากความไม่เท่าเทียมในการพัฒนาทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจของคนในพื้นที่ต่างกัน สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในสยามประเทศมาตั้งแต่ปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ ๕ จากรัฐยุคเก่าที่คุ้นเคยกับรูปแบบการแบ่งการปกครองออกเป็น หัวเมืองประเทศราช หัวเมืองชั้นนอก หัวเมืองชั้นกลาง และหัวเมืองชั้นใน มีผู้ปกครองในท้องถิ่นของตนเองอย่างเป็นเอกเทศ ไม่มีอาณาเขตบนแผนที่อย่างชัดเจนแต่ไม่ใช่ไม่มีเขตแดนหากเป็นที่รับรู้กันเฉพาะท้องถิ่นที่คนนอกคงไม่เข้าใจหรือรับรู้ได้ง่าย ๆ โดยคงไม่เคยคาดว่า ในวันหนึ่งการกำหนดขอบเขตของดินแดนจะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญของเจ้าอาณานิคมเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของหรือทรัพย์สินเหนือแผ่นดินนั้น ๆ ประวัติศาสตร์แห่งชาติคือเรื่องราวที่ถูกยกขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมหลักดังกล่าว เป็นประวัติศาสตร์ที่เล่าจากศูนย์กลางโดยปราศจากการให้ความสำคัญแก่ท้องถิ่นอื่น โดยเฉพาะในพื้นที่ซึ่งอยู่ชายแดนหรือชายขอบ [Peripheral] ของศูนย์กลางที่วัฒนธรรมหลักของคนกลุ่มใหญ่ดำรงอยู่ ประวัติศาสตร์แห่งชาติที่คนไทยคุ้นเคยเพราะกลายเป็นหลักสูตรทางการศึกษาและนโยบายของรัฐหลายประการถูกสร้างขึ้นหลังจากการเกิดการรวมศูนย์เพื่อสร้าง “รัฐชาติสมัยใหม่” ที่เกิดขึ้นในโลกเมื่อไม่เกินสามร้อยปีและเกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมา หากจะนำข้อเสนอของ ธงชัย วินิจจะกูล[8] มาตีความและนำเสนออีกครั้งก็จะเห็นว่า ตรรกะของประวัติศาสตร์แห่งชาติกำหนดว่า “พรมแดนของประเทศไทยทุกวันนี้กำหนดความเป็นพรมแดนของประวัติศาสตร์ปัจจุบัน” คนไทยจึงขาดการทำความเข้าใจกับพื้นที่หรือประวัติศาสตร์ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทางประวัติศาสตร์แบบรัฐจารีตหรือตำนานพงศาวดารแบบโบราณ รัฐแบบสมัยใหม่นี้มี ภูมิ-การเมือง [Geo-politics] แบบสมัยใหม่ที่กำหนดความเป็นเอกภาพทางภูมิศาสตร์ด้วย ประวัติศาสตร์แห่งชาติแบบนี้มีโครงเรื่อง [Plot] แบบเรียงตามลำดับและมีศูนย์กลางอยู่แห่งเดียว ไม่เห็นความหลากหลายของศูนย์รวมอำนาจซึ่งเป็นลักษณะธรรมชาติของรัฐแบบโบราณ ส่วนความสัมพันธ์ของบ้านเมืองเหล่านี้ก็ถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์กลางมาโดยตลอดทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริง อำนาจเหล่านั้นขึ้นอยู่กับช่วงเวลาและสถานการณ์ทางการเมือง ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้รูปธรรมที่ชัดเจนที่สุดคือ การสร้างแผนที่ตามจินตนาการที่มีลักษณะเกินจริง ใหญ่โต และกว้างขวางตามเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ เป็นการเพ้อฝันที่กลายเป็นความภาคภูมิใจของชาติ ดังนั้น การเสียดินแดนในประวัติศาสตร์ทั้งการเสียกรุงแก่พม่าและการเสียดินแดนในยุคอาณานิคมจึงกลายเป็นความเจ็บปวดและความทุกข์แห่งชาติทีเดียว ทำให้เกิดการมองประเทศคู่สงครามว่าเป็นศัตรูอย่างถาวร เค้าโครงประวัติศาสตร์แห่งชาติแบบนี้คือการนำเอาศูนย์กลางที่กรุงเทพฯ เป็นหลัก เมืองประเทศราชหรือหัวเมืองชั้นนอกที่ต่างวัฒนธรรมต่างภาษาถูกผนวกเข้าเป็นเป็นส่วนหนึ่งของรัฐชาติที่ไม่มีบทบาทสำคัญอยู่ในเค้าโครงหลักของประวัติศาสตร์ชาติไทย กระบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นเพื่อสร้างอำนาจรัฐให้ควบคุมการบริหารการปกครอง ระบบการศึกษา เชื่อมโยงด้วยระบบสาธารณูปโภคโดยเฉพาะการสื่อสารอย่างรวดเร็วเพื่อเป็นเครื่องมือในการบูรณาการทางวัฒนธรรมเป็นลำดับ สิ่งเหล่าคือการสร้าง “ความเป็นไทย” ซึ่งมีพื้นที่น้อยมากสำหรับประวัติศาสตร์จากชายแดน สิ่งที่รัฐไทยกระทำอย่างต่อเนื่องแก่วัฒนธรรมและสถานภาพทางการเมืองของผู้คนในกลุ่มย่อยตั้งแต่ราวร้อยกว่าปีผ่านมาคือ การสร้างบูรณาการเพื่อลดความแตกต่างทั้งหลายทางชาติพันธุ์นั่นเอง นับเป็นมรดกของการต่อต้านลัทธิอาณานิคม [Colonialism] แบบไทย ๆ ด้วยการปกครองแบบรวมศูนย์ สร้างระบบราชการให้กลายเป็นกลไกหลักของการบริหารราชการส่วนภูมิภาค หมายถึงการครอบงำวัฒนธรรมย่อยอย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะในล้านนาและอีสานที่เคยมีปัญหาการแข็งข้อและต่อต้านเช่นเดียวกับหัวเมืองประเทศราชเช่นปาตานี[9] แต่อำนาจเหล่านี้แปลกปลอมเกินไปที่จะใช้กับบ้านเมืองในวัฒนธรรมที่แข็งแกร่งกว่าและกลายมาเป็นปัญหาอิหลักอิเหลื่อจากการไม่สามารถรวมศูนย์อย่างสมบูรณ์ได้เหมือนที่อื่น ๆ ในดินแดนสามจังหวัดภาคใต้ทุกวันนี้ ประวัติศาสตร์ของชาติแบบนี้ สร้างความกดดันให้กับผู้คนในวัฒนธรรมย่อยหนักหนาขึ้นไปอีกในสมัยจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม แม้จะได้สิทธิตามรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยแล้วก็ตาม แต่นโยบายเพื่อสร้างความเป็น “ชาตินิยม” หรือ “สร้างความเป็นไทย” ใน พ.ศ.๒๔๘๒ คือการทำลายความหลากหลายทางชาติพันธุ์อย่างรุนแรงที่สุดและไม่ได้ตั้งตัว การตีความว่าทุกคนที่มีสัญชาติไทยถือว่าเป็นคนไทยโดยสมบูรณ์ เช่น จะต้องพูดภาษาไทย แต่งกายแบบไทย มีขนบธรรมเนียมแบบไทย โดยมีสภาวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ นโยบายรัฐนิยมเมื่อถูกนำไปปฏิบัติด้วยระบบราชการที่มีผู้มีอำนาจมาจากส่วนกลางหรือเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมหลักก็กลายเป็นการครอบงำซึ่งทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างหนัก โดยเฉพาะในกลุ่มประชาชนที่มีความแตกต่างทางชาติพันธุ์ ศาสนา และวัฒนธรรมอย่างชัดเจน[10] หลังการขึ้นครอบครองอำนาจทั้งสองครั้งของจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม แม้นโยบายชาตินิยมและการสร้างความเป็นไทยซึ่งเป็นรูปธรรมเด่นชัดกว่านโยบายการกลืนกลายทางวัฒนธรรมในยุคสมัยอื่น ๆ จะสิ้นสุดตามไปด้วยก็ตาม แต่ได้ทิ้งมรดกที่สำคัญจนถึงปัจจุบันคือ การคลั่งไคล้ความเป็นชาติ ความเป็นคนไทย ความเป็นเอกภาพ และไม่สามารถยอมรับความแตกต่างทางวัฒนธรรม การเมือง วิธีคิด วิถีชีวิตที่ต่างไปจาก “มาตรฐานแบบไทย” ได้ นับเป็นการใช้แนวคิดแบบอาณานิคมภายในที่ใช้เพื่อปกครองและครอบงำดินแดนต่าง ๆ ภายในรัฐสมัยใหม่ เป็นจุดเปลี่ยนไปสู่ความรุนแรง การดิ้นรนต่อรองของคนที่แตกต่างทางกลุ่มชาติพันธุ์ที่ถูกมองว่าเป็นการแบ่งแยกดินแดน แม้คำเรียกร้องนั้นจะเป็นการต่อรองเพื่อร้องขอความเสมอภาคตามสิทธิที่ควรจะได้รับตามรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยก็ตาม กรณีการจับตัวหะยี สุหรง บิน อับดุลกาเดร์ ผู้เป็นปราชญ์ทางศาสนาและผู้นำตามธรรมชาติของชาวมลายูจากปัตตานีซึ่งถูกฆาตกรรมโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐและการล้อมปราบที่ดุซงญอในปีต่อมากลายเป็นการผลักดันอย่างเป็น “สัญลักษณ์” ให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของขบวนการเพื่อการปลดปล่อยรัฐปาตานีต่าง ๆ และและถือเอา “การแบ่งแยกดินแดน” เป็นคำตอบสำเร็จรูปสำหรับรัฐไทยมาจนถึงปัจจุบัน [11] ตะกอนแห่งลัทธิชาตินิยมดังกล่าว ทำให้ความสามารถโดยธรรมชาติของคนสยามที่เคยอยู่ร่วมกับผู้คนอันหลากหลายที่ค้นหาหลักฐานได้ไม่ยากจากเอกสารทางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ถูกทำลายอย่างรุนแรงทีเดียว เพราะผลจากนโยบายชาตินิยมแบบไทยนั้นสะท้อนให้เห็นวิธีคิดและการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในช่วงปัจจุบันได้อย่างชัดแจ้งหลายประเทศเผชิญปัญหาการเชิดชูเพื่อการครอบงำของวัฒนธรรมหลักแบบเดียวกันแต่มี นโยบายในการแก้ปัญหาแตกต่างกัน พม่าเปลี่ยนมาเป็นเมียนมาร์ อย่างน้อยก็แสดงนัยทางการเมืองว่าชาตินั้นไม่ใช่พื้นที่สำหรับคนเพียงกลุ่มเดียวแต่เป็นมาตุภูมิสำหรับคนหลากหลายชาติพันธุ์ เวียดนามรวมและสร้างชาติโดยการให้ความสำคัญกับกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ๕๔ กลุ่มในฐานะวีรบุรุษอย่างเสมอภาค คนกิง [Kinh] หรือคนเวียดที่มีอยู่กว่า ๙๐ % ไม่ใช่เจ้าของประเทศแต่เพียงกลุ่มเดียว ในโลกของมาเลย์ [Malay World] ตัวอย่างที่อินโดนีเซียหรือมาเลเซียซึ่งมีลักษณะพิเศษคือเป็นสังคมแบบพหุลักษณ์ [Plural Society] ประกอบด้วยกลุ่มคนที่มีความแตกต่างหลากหลายมากกว่าสังคมไทยหลายเท่า ถึงแม้ไม่สามารถกล่าวได้ว่านโยบายที่เกิดขึ้นสามารถจัดการให้เกิดความเท่าเทียมกันอย่างแท้จริงก็ตาม แต่ทุกประเทศที่กล่าวมามักมีประสบการณ์สูงในการสร้างความสมานฉันท์และต่อรองผลประโยชน์ทางการเมืองร่วมกันมากบ้างน้อยบ้างตามเหตุปัจจัยของแต่ประเทศ เป็นตัวอย่างของการจัดการและนโยบายการอยู่ร่วมกันของความสัมพันธ์อันหลากหลายของผู้คนที่เป็นลักษณะเฉพาะโดยธรรมชาติของภูมิภาคนี้ สำหรับประเทศไทยที่ไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นมาก่อน ประสบการณ์การสร้างรัฐชาติแตกต่างไปจากประเทศที่เคยเป็นอาณานิคม ความยืดหยุ่นและการอยู่ร่วมกันของกลุ่มคนหลากหลายชาติพันธุ์และวัฒนธรรมนั้น ผู้คนในบ้านเมืองของเราทำได้ไม่ดีนัก การรับรู้ต่อปัญหายังอยู่ในแว่นสายตาแบบเดิม ๆ ท่ามกลางความเคลื่อนไหวทางสังคมและวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดนิ่ง โดยมีตรรกะของโครงร่างในการเขียนงานประวัติศาสตร์ชาติไทยที่เน้นหนักในเรื่องความเป็น “คนไทย” และอาณาเขตของชาติที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้เป็นพื้นฐาน ซึ่งจะพิจารณาถึงประสบการณ์เหล่านี้ต่อไป อัตลักษณ์ที่ถูกแช่แข็ง ในท่ามกลางความเคลื่อนไหวทางสังคมและวัฒนธรรมทั้งในกระแสโลก [Globalization] การก้าวไปสู่ความทันสมัยของมาเลเซียประเทศเพื่อนบ้าน กระแสการฟื้นฟูศาสนา [Religious Revivalism] โดยเฉพาะศาสนาอิสลาม เศรษฐกิจทุนนิยมแบบไทยที่เสาะแสวงหาทรัพยากรท้องถิ่นเพื่อนำมาใช้อย่างเต็มที่ และสภาพการณ์ทางการเมืองในประเทศไทยที่เปลี่ยนแปลงไปไม่น้อยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ภาพของ “คนตานี” ก็ยังถูกกักขังหรือมองอย่างเป็นภาพนิ่ง ชาวมลายูที่ถูกทิ้งไว้ในโลกของยาวี การเน้นความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์แทนการอยู่ร่วมกันบนพื้นที่อย่างหลวมๆ ของรัฐสมัยใหม่ มีตัวอย่างที่ควรพิจารณาเพราะเกี่ยวข้องกับความเป็นมลายูของผู้คนส่วนใหญ่ในสี่จังหวัดภาคใต้อย่างแยกกันไม่ออกและส่งอิทธิพลทางวัฒนธรรมต่อพื้นที่นี้เป็นอย่างมากคือ “ความเป็นมาเลย์” [Malayness] ความเป็นมาเลย์เกิดขึ้นในคาบสมุทรมลายูเมื่อราวศตวรรษที่ ๑๙ เริ่มจากอิทธิพลของอังกฤษในยุคอาณานิคมที่กล่าวถึงผู้คนในกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลออสโตรนีชียน [Austronesian] อย่างรวม ๆ ว่าเป็น “พวกมาเลย์” แม้ว่าจะเป็นคนในกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เช่น บูกิส อาเจ๊ะห์ อิบัน ราวาส์ ฯลฯ[12] ดังนั้น ความเป็นมาเลย์จึงเป็นคำสะสม [Collective Term] เมื่อจะอธิบายถึงคนที่พูดภาษามาเลย์และยึดถือจารีตธรรมเนียมหรือ adat แบบมาเลย์ที่เป็นเนื้อเดียวกับความเป็นมุสลิม ส่วนในหมู่เกาะของอินโดนีเซียความเป็นมาเลย์ก็มีลักษณะกลาง ๆ เช่นเดียวกันเพราะภาษามาเลย์ใช้เป็นภาษาสื่อสารกลางมานับศตวรรษก่อนหน้านั้นแล้ว[13] ความเป็นมาเลย์ถูกทำให้ชัดเจนขึ้นในมาเลเซีย “มลายู” คือคำในภาษามาเลย์มาตรฐาน [Standard Malay][14] ที่อ้างอิงถึงความเป็นสมาชิกของกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มใหญ่ในประเทศมาเลเซียที่พูดภาษามาเลย์ นับถือศาสนาอิสลาม ยึดถือและปฏิบัติตามจารีตประเพณีแบบมาเลย์ เริ่มต้นโดยการเขียนบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญของสหพันธรัฐมาเลเซีย และส่งอิทธิพลต่อมุสลิมที่พูดภาษามาเลย์ในประเทศเพื่อนบ้านไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ อินโดนีเซีย บรูไน หรือไทย ก็ใช้คำอธิบายแบบมาเลเซียนี้อธิบายความเป็นมลายูของตนเองเช่นเดียวกัน[15] มาเลเซียคือตัวอย่างที่น่าสนใจของการสร้างชาติหรือสหพันธรัฐและความเป็นมาเลย์ [Malayness]ให้กลายเป็นวัฒนธรรมหลักและส่งอิทธิพลแก่ประเทศเพื่อนบ้านที่มีกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันไม่น้อย นโยบายของพรรคอัมโนที่เน้นประโยชน์ทางเศรษฐกิจแก่คนมาเลย์ ทำให้มีการแยกความชัดเจนระหว่างกลุ่มที่เรียกว่า ภูมิบุตรา [Bumiputra] กับพวกไม่ใช่ภูมิบุตรา [Non-Bumiputra] คำว่า “ภูมิบุตรา” หมายถึงบุตรแห่งแผ่นดิน เป็นการตอกย้ำถึงความเป็นคนพื้นถิ่น [Indigenous]ก่อนจะมีพวกเจ้าอาณานิคม อินเดีย และจีน ที่อพยพเข้ามาภายหลัง[16] (แต่ก็แปลกที่ชนกลุ่มน้อย เช่น เซมัง เซนอยด์ที่เรียกว่า Orang Asli อาจได้รับสิทธิไม่เท่ากับชาวมลายู ทั้งที่เป็นกลุ่มพื้นเดิมที่อยู่มาก่อนชาวมลายูก็กล่าวได้) ภูมิบุตราส่งผลให้เกิดความมั่นคงแข็งแกร่งทางการเมืองและรัฐบาลทั้งในกระบวนการพัฒนา การสร้างชาติ และการก้าวเข้าสู่ความทันสมัย เกิดความพยายามที่จะทำให้มาเลเซียเป็นศูนย์กลางทั้งในด้านการศึกษา วัฒนธรรมมลายู และศาสนาอิสลาม จนถึงขั้นเปิดให้ผู้คนในกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีภาษา วัฒนธรรม และศาสนาเดียวกันเข้ามาในประเทศมาเลเซียได้ เช่น ชาวจามอพยพจากเวียดนามก็สามารถได้สิทธิเป็นภูมิบุตราได้ นโยบายภูมิบุตราเป็นผลสำเร็จของรัฐบาลมหาธีร์ ในการยกเอาคนเชื้อสายมลายูให้มีบทบาททางเศรษฐกิจทัดเทียมชาวจีน แต่ผลของนโยบายนี้คงต้องอภิปรายถึงผลเสียที่พบได้หลายประเด็น แต่อาจไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการนำเสนอเรื่องอัตลักษณ์ของชาวมลายูตานีเท่าใดนัก นอกจากจะเปรียบเทียบว่า “ความเป็นมาเลย์” นั้น ด้านหนึ่งเท่ากับ “ความเป็นมุสลิมที่ทันสมัย” นั่นเอง ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย ซึ่งมีประชากรชาวมลายูเป็นส่วนใหญ่และพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องเดียวกันกับประวัติศาสตร์ของชาวตานีจัดการให้ “ความเป็นมาเลย์” ถูกบัญญัติไว้ตามรัฐธรรมนูญ อินโดนีเซีย บรูไน และมาเลเซีย ใช้ภาษามาเลย์มาตรฐาน อินโดนีเซียรับการใช้อักษรโรมันมาเป็นตัวเขียน [Bahasa Indonesia] เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๑ มาเลเซียใช้ภาษามาเลเซีย [Bahasa Malaysia] เป็นภาษาราชการเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๐ โดยเปลี่ยนการใช้อักษรยาวีมาเป็นอักษรรูมี[17] การปรับเปลี่ยนในมาเลเซียก็เพื่อมุ่งพัฒนาด้านภาษาและหนังสือ สร้างคำศัพท์มลายูด้านต่าง ๆ เพื่อการศึกษาในระดับสูง เป็นส่วนสำคัญทำให้ชาวมลายูมีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจมากขึ้น ภาษากลายเป็นพื้นฐานในการพัฒนาชีวิตของคนมลายูในมาเลเซีย[18] สิ่งเหล่านี้คนตานีในสามจังหวัดไม่ได้มีส่วนร่วมแต่อย่างใด ในขณะที่การสื่อสารระหว่างคนมลายูในโลกของมาเลย์สามารถสื่อสารกันได้ด้วยภาษามาเลย์มาตรฐานและอักษรรูมี เอกสารตำราและหนังสือจำนวนมากพิมพ์เผยแพร่ความรู้สู่ชาวมลายูในประเทศเหล่านั้น แต่คนตานียังคงใช้อักษรยาวี ซึ่งเคยใช้กันอยู่ในโลกมาเลย์ยุคก่อนยังพูดภาษายาวีแบบปาตานี มีนักวิชาการสมัครเล่นที่เป็นคนตานี ได้รับการศึกษาในระบบการศึกษาขั้นสูงแบบไทย ใช้ภาษายาวีท้องถิ่นเมื่ออยู่บ้าน แต่รู้สึกอึดอัดใจเมื่อต้องไปประชุมในเรื่องประวัติศาสตร์ของชาวมลายูในมาเลเซียทั้งที่ทราบข้อมูลเป็นอย่างดี แต่ไม่สามารถสื่อสารได้ดั่งใจ สิ่งนี้ทำให้เห็นว่า “คนตานี” ขาดโอกาสในการสื่อสารและการศึกษาที่รุดหน้าไปอย่างรวดเร็วในโลกของมาเลย์ โดยเฉพาะการรับรู้ข้อมูลเพื่อปรับตัวเองให้ทันโลกและวิทยาการสมัยใหม่แบบมาเลเซีย การศึกษาในทางศาสนาคงไม่เพียงพอ ความภาคภูมิใจใน กีตาบยาวี [Kitab Jawi] ซึ่งเป็นหนังสือที่แต่งขึ้นโดยอุลามะห์ชาวปาตานีและกลายเป็นหนังสือพื้นฐานความรู้ของศาสนาอิสลามที่สำคัญในอดีตที่โด่งดังและแพร่หลายในหมู่ชาวมลายูที่ไม่รู้ภาษาอาหรับ[19] คงไม่เพียงพอสำหรับการนำพาคนตานีไปสู่โลกแห่งการศึกษาที่เท่าทันโลกการศึกษาของชาวมลายู คนอาหรับที่เมกกะจะเรียกคนมุสลิมที่มาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่า “คนยาวี” และในอดีต คนมาเลย์มุสลิมเรียกตัวเองว่า “คนยาวี” แต่ปัจจุบันเป็นเรื่องพ้นสมัยไป ก่อนปัจจุบันราวสักยี่สิบปี “คนยาวี”[20] เป็นที่รู้กันว่าคือคนจากปัตตานี ประเทศไทยและได้กลายมาเป็นคำที่ใช้เรียกคนในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นเรียกตนเองว่า “คนนายู” ในทุกวันนี้ การเปลี่ยนการเรียกตนเองจาก “คนยาวี” ซึ่งหมายถึงคนที่พูดภาษายาวี ใช้ตัวอักษรยาวีและเป็นคนจากปัตตานี มาเป็น “คนนายู” หรือคนมลายูในภาษามาเลย์มาตรฐาน มีผู้สังเกตและให้ความเห็นว่าน่าจะเริ่มเมื่อสยามแยกรัฐในปาตานีเดิมบางส่วนให้กับอังกฤษ ในพ.ศ.๒๔๕๒ เป็นต้นมา จนถึงเมื่อราวยี่สิบปีที่ผ่านมาอาจจะพร้อม ๆ กับกระแสการฟื้นฟูศาสนาอิสลามที่ผ่านมาจากมาเลเซีย เริ่มจากคนที่มีฐานะเป็นคนชั้นกลางและมีการศึกษาอาศัยอยู่ในเมืองและพอใจจะเรียกตนเองว่า “คนนายู”มากกวา “คนยาวี” เพราะคำว่าอาแฆยาวีค่อนข้างจะรู้สึกว่าเป็นพวกบ้านนอกหรือคนชนบทคล้ายๆ กับคำว่าชาวเขา[21] ทุกวันนี้ คนนอกจะรู้จัก “คนตานี” ในนาม “คนนายู” มากกว่า “คนยาวี” ที่แทบไม่เคยมีใครอ้างถึงแล้ว เพราะต่างเรียกตนเองว่า “คนนายูหรือออแฆนายู” เพื่อให้ต่างไปจาก “ออแฆซีแยหรือคนสยาม” ในขณะเดียวกัน “คนตานี” ที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นพลเมืองที่กรุงเทพฯ และอาศัยอยู่ในปริมณฑลตามจังหวัดรอบนอก เช่น นนทบุรี ปทุมธานี ฉะเชิงเทรา แม้บางส่วนจะกลับไปสู่ปัตตานีในรุ่นต่อมา แต่ชุมชนเหล่านี้ยังคงอยู่เป็นจำนวนมาก ยังคงนับถือศาสนาอิสลามและบางส่วนยังคงพูดภาษายาวีอยู่ (เช่นที่ชุมชนท่าอิฐ) แต่กลุ่มคนเหล่านี้มีสถานภาพแตกต่างไปจากชาวมลายูมุสลิมที่เป็นคนตานี เพราะสภาพสังคมในเมืองสามารถซ่อนเร้นอัตลักษณ์ของตนเองให้พ้นไปจากสายตาของคนกลุ่มใหญ่ได้ นอกจากในสายตาของผู้คนละแวกใกล้เคียงแล้วพวกเขาแทบไม่มีตัวตนในสังคมของกรุงเทพมหานคร การดำรงอยู่ทางศาสนาก็กลายเป็นบุคคลชั้นสอง คือพวกที่ไม่นับถือพุทธ ซึ่งอาจจะถูกกำหนดจากทางรัฐให้แตกต่าง แต่คนเชื้อสายตานีในปัจจุบันถูกมองจากคนในพื้นที่ว่า พวกเขาได้หลงลืมอดีตไปหมดแล้ว มาตุภูมิในปัจจุบันก็คือ หนองจอก ลาดกระบัง นนทบุรี ปทุมธานี ไม่ใช่ “ปาตานีดารุสลัม” หรืออีกนัยหนึ่ง มุสลิมที่กรุงเทพฯ หรือภาคกลาง ไม่ใช่คนตานีอีกต่อไป แต่เป็นคนกรุงเทพฯ ที่เป็นมุสลิม ดังนั้น คนมลายูในมาเลเซีย คนตานีที่กรุงเทพฯ และคนตานีที่ปัตตานี จึงถูกตัดขาดออกจากกันโดยพื้นที่ทางสังคม [Social Space][22] นับแต่กระบวนการสร้างรัฐชาติเกิดขึ้นขอบเขตพื้นที่แน่นอนจึงกลายเป็นพื้นที่ทางสังคมซึ่งเกี่ยวข้องกันอย่างน้อยที่สุด และแน่นอนที่สุด ได้ตัดขาดชีวิตของคนตานีไว้ในโลกของยาวี ซึ่งหมายถึง โลกของมาเลย์ที่พ้นสมัยและแช่นิ่งโดยขาดการพัฒนาและด้อยโอกาส ไม่ทัดเทียมคนมลายูที่นับถือศาสนาอิสลามกลุ่มอื่น ๆ ความต้องการแบ่งแยกดินแดน คนตานีสามจังหวัด ถูกทิ้งไว้กับปัญหาลักษณะเดียวมาตั้งแต่เริ่มต้นความขัดแย้งดังกรณี เต็งกู อับดุลกอเดร์ กอมารุดดีน กษัตริย์ปาตานีองค์สุดท้ายที่ต้องลี้ภัยไปอยู่ที่กลันตันเพราะเรียกร้องเอกราชคืนในปี พ.ศ.๒๔๖๖ มีการสู้รบที่อำเภอมายอ โดยถูกจับข้อหาเป็นกบฎ กรณีหะยีสุหรงและดุซงญอ ใน พ.ศ.๒๔๙๐ และ ๙๑ โดยมี “ผี” ของการเรียกร้องเอกราชเพื่อปลดแอกจากรัฐไทยและสร้าง “อาณาจักรหรือชาติ” ของตนขึ้นมาใหม่ เป้าหมายเพื่อรวมกับกลุ่ม (ชาติพันธุ์) เดิมของตนเอง เป็นแม่แบบของปัญหา และถูกมองอย่างเป็นภาพนิ่งมาจนถึงปัจจุบัน เพราะชาวมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้อยู่ภายใต้การจองจำของ การสร้างประวัติศาสตร์รัฐปัตตานี ที่มักจะนำมาใช้อ้างอิงจนกลายเป็นข้อสรุปสำเร็จรูปสำหรับเหตุผลในการเรียกร้องรัฐอิสระ ทั้งจากกลุ่มที่ถูกเรียกว่าเป็นกลุ่มแบ่งแยกดินแดนต่าง ๆ หรือกลุ่มต่อต้าน และนักวิชาการของรัฐที่มองภาพความไม่สงบในพื้นที่นี้ แล้วมักสะท้อนสาเหตุสำคัญว่ามาจากรากเหง้าปัญหาทางประวัติศาสตร์เป็นการอารัมภบทกันอยู่เสมอ ดังข้อสรุปเรื่อง “ลัทธิการแบ่งแยกดินแดน” ของอาจารย์ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ โดยย่อว่า ในวาทกรรมการเมืองสมัยใหม่ของรัฐไทยเกิดมายาคติในเรื่อง “กบฏหะยีสุหลง” และ “กบฏดุซงญอ” ในเวลาเดียวกันพัฒนาการและความเป็นมาของรัฐไทยสยามที่เปลี่ยนผ่านจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบประชาธิปไตย และการสร้างรัฐไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองและสงครามมหาอาเซียบูรพาก็มีส่วนในการผลักดันและสร้างแนวความคิดทางการเมืองของ “การแบ่งแยกดินแดน” ให้เกิดขึ้นในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มพลังการเมืองใหม่ในภูมิภาคต่าง ๆจากใต้จรดเหนือและอีสาน กระบวนการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองและการสร้างรัฐไทยสมัยชาตินิยมนี้ นำไปสู่การใช้กำลังและความรุนแรงปราบปรามและสยบการเรียกร้องและสร้างอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและการเมืองของภูมิภาคทั้งหลายลงไป โดยที่กรณีของมลายูมุสลิมในภาคใต้มีลักษณะเฉพาะต่างจากภาคอื่นและมีผลสะเทือนที่ยังส่งผลต่อมาอีกนาน ทรรศนะและการจัดการของรัฐไทยต่อข้อเรียกร้องของขบวนการมุสลิมว่าเป็นภยันตรายและข่มขู่เสถียรภาพของรัฐบาล จนเมื่อเกิดรัฐประหาร ๒๔๙๐ และสถานการณ์ในยุคสงครามเย็น สนับสนุนวาทกรรมรัฐว่าด้วย “การแบ่งแยกดินแดน” กลายเป็นความชอบธรรมที่จะจัดการผู้ต่อต้านอย่างรุนแรง[23] จนปัจจุบันนี้ การมอง “คนตานี” ยังเป็นการใส่แว่นเดิมนับจากสมัยรัชกาลที่ ๑ จนถึงรัชกาลที่ ๕ ที่รู้สึกรำคาญและต้องการ “จัดการ” กับพื้นที่แห่งความแตกต่างอย่างเบ็ดเสร็จ แม้รัฐไทยมีโอกาสเผชิญปัญหาอื่น ๆ เช่น ในยุคสงครามเวียดนามหรือต่อมาในยุคสงครามเย็น การต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งมีความซับซ้อนของปัญหามากเช่นกัน รัฐไทยมีประสบการณ์จากการเข้าจัดการปัญหาทั้งในเขตอีสานและเหนือที่มีความซับซ้อนของปัญหา แต่การมองปัญหาในสามจังหวัดภาคใต้ก็ยังมีโจทย์อยู่ในประเด็นเดิม คือ “การแบ่งแยกดินแดน” (หมายถึงคนมลายูมุสลิมต้องการแบ่งแยกดินแดนเพื่อไปรวมกับมาเลเซีย?) เห็นได้จากการแสดงความคิดของผู้รับผิดชอบในบ้านเมืองและการแสดงความเห็นของประชาชนในเวบบอร์ดต่าง ๆ รวมทั้งบทความ-หนังสือจากทหารเก่าผู้เคยรับผิดชอบในการแก้ปัญหาพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้มาหลายยุค ในความเป็นจริงจะมีที่ทาง (พื้นที่) เหลือให้คนตานีปัจจุบันในสังคมของรัฐชาติไทยและสังคมของโลกมลายูสักเท่าใด ในกระบวนการสร้างรัฐชาติให้ความสำคัญกับอาณาเขตหรือพื้นที่ การสูญเสียดินแดนสำหรับคนไทยเท่ากับเสียอธิปไตยและเป็นเรื่องใหญ่ การผนวกดินแดนไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะเงื่อนไขทำได้ยากอย่างยิ่งในสังคมโลกปัจจุบัน เงื่อนไขของสาเหตุแห่งความรุนแรงของปัญหาในภาคใต้ได้เปลี่ยนไปแล้ว เป้าหมายเรื่องการแบ่งแยกดินแดนอาจจะเป็นรองต่อความคับแค้นที่ถูกปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียม ปัญหาในเรื่องความรุนแรงของแนวคิดทางศาสนาอาจจะเป็นปัจจัยโดยอ้อมที่กระตุ้นให้การแบ่งแยกเพื่ออุดมการณ์ทางศาสนาด้วยวิธีการรุนแรง ซึ่งไม่ใช่สาเหตุหลักเท่ากับการเปลี่ยนของระบบคุณค่าและโครงสร้างสังคมภายในที่ถูกทำลายไป ทุกวันนี้การสงครามเปลี่ยนไป เป็นสงครามชนิดพิเศษ [Guerrilla Warfare] ที่กลายเป็นสงครามกลางเมืองแทรกซึมไปทั่วทั้งสังคมในพื้นที่รุนแรงสามจังหวัด ในขณะที่รัฐบาลยังใช้การจัดรบจากกองทัพและประสบการณ์ปราบปรามคอมมิวนิสต์ในอดีตให้เห็นอย่างชัดเจน ความโกลาหลครั้งนี้ คือสงครามภายใน สังคมตกอยู่ใต้ความหวาดกลัวเพราะการสู้รบนั้นเป็นการก่อการร้ายที่ไม่มีรูปแบบและยุทธวิธี ไม่เห็นศัตรูที่ชัดเจนเพราะแฝงเร้นอยู่ทุกหนทุกแห่ง และชาวบ้านทุกคนอาจถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุนแรงนี้ได้ตลอดเวลา คนบริสุทธิ์หลากหลายที่มาคือเหยื่อของสถานการณ์ และเมื่อเริ่มก่อรูปเป็นขบวนการเช่นนี้แล้วก็ยากจะยุติ มีเพียงการเรียนรู้ ประนีประนอม ปรับเปลี่ยนแนวทางเพื่อไม่สร้างเงื่อนไขให้เกิดความคับแค้น และทำความเข้าใจต่อสังคมอันหลากหลายภายใต้เอกภาพของชาวมุสลิมในท้องถิ่นท่านั้น จึงจะเป็นวิธีแก้ไขและป้องกันไม่ให้สถานการณ์ก้าวเข้าสู่สงครามแบบที่เห็นในปัจจุบันซึ่งยังไม่เคยมีรัฐแห่งใดในโลกนี้สามารถยุติปัญหาดังกล่าวโดยวิธีปราบปรามด้วยความรุนแรงได้สำเร็จ ความเป็นมุสลิมคือปัญหา? นับวันในโลกของข้อมูลข่าวสารนับแต่เหตุการณ์วินาศกรรมที่ ตึกเวิร์ล เทรด เซ็นเตอร์ ในสหรัฐอเมริกา มุสลิมทั่วโลกก็ถูกมองว่าเป็นผู้นิยมความรุนแรง เป็นการติดภาพลักษณ์ทางศาสนา จนทำให้ผู้นับถือศาสนาอิสลามเป็นประชากรชั้นสอง ไม่เว้นแม้ในประเทศไทย ไม่ว่าจะมีผู้ให้ความเห็นว่าความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ไม่ได้มีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ดังกล่าวเพื่อไม่ให้เกิดการแทรกแซงโดยชาติตะวันตกอย่างไรก็ตาม แต่เหตุการณ์นี้ส่งผลสะเทือนต่อประชากรทุกคนในโลกของเรา ในโลกทุกวันนี้ “กระแสการฟื้นฟูศาสนา” [Religious Revivalism] คือขบวนการเคลื่อนไหวทางศาสนาที่มีความสำคัญซึ่งควรนำมาพิจารณา เพื่อทำความเข้าใจชีวิตทางสังคมและศาสนาซึ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในสังคมชาวมุสลิมทุกวันนี้ การฟื้นศาสนาคือ ความพยายามไปสู่โครงสร้างเดิมในอดีตในรูปแบบที่สัมพันธ์กับยุคสมัยปัจจุบัน บางมุมมองว่า เกี่ยวข้องกับการตีความพระคัมภีร์ใหม่ การย่อหย่อนทางศาสนา การเป็นโลกวิสัย [Secularism] ความเป็นเหตุผลและอิสรภาพ สิ่งเหล่านี้ก็คือการปรับความคิดทางศาสนาและการปฏิบัติไปสู่วัฒนธรรมแบบทันสมัยโดยการใช้รูปแบบของความทันสมัยในการปรับตัว หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การไปสู่หลักพื้นฐานเพื่อพลักดันแนวโน้มแบบทันสมัยให้ถูกต้องกับหลักธรรมเนียมประเพณี การฟื้นศาสนาเป็นความเคลื่อนไหวเพื่อพยายามอยู่เหนือแรงกดดันของความทันสมัย หรือเป็นการต่อต้านจักรวรรดินิยม ต่อต้านผู้มีอิทธิพลเหนือกว่า[24] การฟื้นฟูศาสนาเกิดขึ้นได้กับศาสนาต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น การฟื้นศาสนาฮินดูในชุมชนอินเดียทั่วทั้งเอเชีย ความเคลื่อนไหวของการฟื้นศาสนาพุทธที่ทำให้เกิดสภาพุทธศาสนาโลก ส่วนกระแสหรือความเคลื่อนไหวเพื่อสร้างความเป็นอิสลาม [Islamization] เกิดขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อทศวรรษที่ ๑๙๗๐ เป็นความเคลื่อนไหวทางศาสนา ดาวะห์ [Dakwah] เป็นคำศัพท์ที่รับมาจากภาษาอารบิค คือ da’wah หมายถึงการเชิญชวนให้มีศรัทธาต่ออิสลามและแสดงปฏิกิริยาต่อต้านแนวคิดและการปฏิบัติที่ขัดต่อหลักศาสนา ดาวะห์ เป็นขบวนปฏิรูปของสุหนี่ เริ่มที่อินเดียแล้วแพร่ไปทั่วในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความเคลื่อนไหวในอินโดนีเซียตั้งแต่ระหว่าง ค.ศ.๑๙๐๐-๑๙๔๒ สำหรับกลุ่มเพื่อฟื้นอิสลามเกิดขึ้นในช่วงหลังการเรียกร้องเอกราชในมาเลเซีย และแพร่เข้ามาสู่สังคมในสามจังหวัดภาคใต้ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา มีการสร้างอัตลักษณ์ของชาวมุสลิมอย่างแข็งขัน วาฮาบีเป็นขบวนการของผู้ปฏิบัติเคร่งครัดทางศาสนาตามแนวทางท่านวาฮาบีแพร่หลายในอาหรับ ปัญญาชนทางศาสนาที่จบจากอาหรับจึงรับอิทธิพลเหล่านี้แล้วแพร่ไปทั่วโลก กลับไปปฏิรูปการศาสนาในบ้านเมืองตนเองให้ถูกต้องตามแนววาฮาบี ในสามจังหวัดก็เช่นกันมีผู้ไปเรียนศาสนาจำนวนมาก เมื่อได้พูดคุยกับชาวบ้านอยู่ใกล้ๆ ปอเนาะภูมี ในอำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี ในหมู่โต๊ะปาเกหรือนักเรียนปอเนาะที่ฐานะไม่ดีนัก และพบว่าการออกไปดาวะห์ยังอินเดียเป็นความใฝ่ฝันอย่างหนึ่งของเด็กหนุ่ม เพื่อที่จะได้เรียนรู้โลกภายนอกโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายมากเพราะศูนย์ดาวะห์ยังต่างประเทศจะช่วยเหลือออกค่าใช้จ่ายอยู่กินให้ แต่ต้องหาค่าเดินทางสำหรับตนเองและใช้เวลานานนับเป็นปี Isamization มีผลต่อการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนให้เริ่มหันมาประพฤติปฏิบัติตามวัฒนธรรมที่เชื่อว่าจะถูกหลักศาสนามากกว่า เคร่งครัดต่อการเป็นอิสลามิกที่แท้มากขึ้น การไม่ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ถูกมองว่าขัดต่อหลักศาสนา การตีความใหม่ ๆ ทำให้เกิดเอกลักษณ์ในหมู่ชาวมลายูมุสลิมแบบใหม่ที่เน้นศรัทธาและความเคร่งครัดมากขึ้นกว่าในอดีตมากมาย สร้างความรู้สึกแปลกแยกและหวาดระแวงในหมู่คนไทยที่นับถือพุทธศาสนาและไม่มีท่าทีเคร่งครัดหรืออยู่ในกระแสการฟื้นฟูศาสนาแต่อย่างใด เมื่อผสมกับกระแสโลก ทำให้คนไทยและรัฐไทยในปัจจุบันลงความเห็นในใจทันทีว่า ปัญหาของสามจังหวัดภาคใต้คือการเป็นมุสลิมของคนในพื้นที่ นี่อาจเป็นสาเหตุของช่องว่างที่ถ่างออกจากการกันระหว่างชาวมุสลิมต่อชาวมุสลิมในท้องถิ่น หรือชาวพุทธและมุสลิม ที่นับวันจะกลายเป็นความไม่เข้าใจและขยายไปสู่ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มได้อีกมาก ชีวิตที่สับสน อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ควรจะเลื่อนไหลไปตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ในขณะที่นักวิชาการจำนวนไม่น้อยในขณะนี้ใช้คำว่า “มลายูมุสลิม” เพื่อหลีกเลี่ยงและแสดงความนับถือในการเป็นอีกกลุ่มชาติพันธุ์ที่แตกต่าง ในขณะที่รัฐพึงพอใจจะเรียกว่า “ชาวไทยมุสลิม” ที่เป็นการแสดงการไม่ยอมรับความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์โดยวัฒนธรรม เพียงนี้ก็พอจะมองเห็นนโยบายที่รัฐมีต่อปัญหาในสามจังหวัดภาคใต้ได้พอสมควร หนทางของชาวมลายูมุสลิมในประเทศไทยถูกบีบรัดเข้ามาในทุกด้าน คำถามที่ตอบไม่ได้ในขณะนี้คือ “คนตานี” จะไปเดินไปสู่หนใด การละทิ้งความเป็นมลายูสู่ความเป็นอิสลาม รัฐไทยไม่รับรู้หรือให้ความสนใจที่คนสามจังหวัดไปเรียนต่อกันตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในโลกอาหรับซึ่งเป็นการสูญเสียโอกาสไปโดยเปล่า หลายคนกลับมาเคว้งคว้าง “สังคมมุสลิมเป็นสังคมที่รักการศึกษา” มีระบบการศึกษาของตนเองที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก การที่รัฐไทยระแวงและแทรกแซงการจัดการศึกษามาโดยตลอด ไม่ส่งเสริมระบบการศึกษาตามแนวทางที่ชาวมุสลิมในท้องถิ่นต้องการ คือการทำลายความคาดหวังในอนาคตของชาวมุสลิมอย่างสิ้นเชิง จากกระแสการฟื้นฟูศาสนาของกลุ่มวาฮาบี ซึ่งมีนักศึกษาจากประเทศไทยไปเรียนเป็นจำนวนมากมักบริจาคเงินเพื่อการกุศล โดยผู้บริจาคนี้คือคนในตะวันออกกลางและการอุปถัมภ์ของกลุ่มออธอดอกซ์แก่โรงเรียนศาสนาไม่น้อย การเผยแพร่ศาสนาอิสลามที่เป็นแบบออธอดอกซ์ เช่น วาฮาบี และ Fundamentalist สร้างอุสตาสรุ่นใหม่ที่ผลิตนักเรียนซึ่งมีแนวคิดทางการเมือง[25] ผลก็คือการขยายตัวของความแตกแยกห่างเหินของเยาวชนที่ละทิ้งความเข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่นแบบมลายูหรือแบบดั้งเดิม กลายเป็นกลุ่มคนเคร่งศาสนาที่ขาดความเข้าใจในมิติทางสังคม ความขัดแย้งของกลุ่มเดิมที่ปฏิบัติแบบจารีตและกลุ่มวาฮาบีที่น่าสนใจ ปรากฏในเอกสาร ที่เป็นปฏิกิริยาของนักศึกษามุสลิมในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ต่อการขยายตัวของแนวคิดวาฮาบีในวิทยาลัยอิสลาม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานีแห่งนี้ กล่าวว่าสร้างความอึดอัดใจแก่นักศึกษาที่ไม่ใช่วาฮาบี สร้างความหนักใจแก่ผู้ปกครองที่จะส่งลูกหลานมาศึกษาต่อในสถาบันแห่งนี้เพราะกลัวการครอบงำบุตรหลานของตน เพราะแนวคิดของวาฮาบีต่างไปจากการประพฤติและปฏิบัติของมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้อย่างมากและดูถูกระบบการศึกษาแบบปอเนาะดั้งเดิม[26] การสนับสนุนของมุสลิมจากตะวันออกกลาง บริจาคเงินนำมาใช้สร้างมัสยิดแทนที่สุเหร่าไม้เก่า ๆ ซึ่งดูเหมือนกับอาคารแบบคนมาเลย์พื้นถิ่นทั่วไปมากกว่าที่จะเป็นสถานที่สำหรับอิสลามมิกชน สนับสนุนเงินช่วยเหลือกับครูสอนศาสนาบางกลุ่ม ด้วยสร้างความขัดแย้งในหมู่บ้านที่เป็นกลุ่มแบบดั้งเดิม เพราะการสร้างมัสยิดขึ้นมาสักหลังหนึ่งโดยน้ำพักน้ำแรงของชาวบ้านใช้เวลานาน เน้นความสามัคคีรวมพลัง แต่การบริจาคเงินจำนวนมากสู่สังคมหมู่บ้านเพื่อมีมัสยิดเพิ่มอีกหลังหนึ่งและอาจจะถูกมองจากคนกลุ่มใหญ่ว่าไม่จำเป็นเพื่อปฏิบัติศาสนากิจที่แตกต่างกัน กลายเป็นรอยร้าวในสังคมหมู่บ้านเล็ก ๆ ได้ ในขณะที่กลุ่มดาวะห์เน้นศรัทธาเข้าถึงและได้รับการยอมรับจากชาวบ้านอย่างไม่มีปัญหา จากคนที่เรียนศาสนาในชุมชน ในปอเนาะ เน้นการเชื่อโต๊ะครู การร่วมมือร่วมใจช่วยเหลือกันในสังคม หลังละหมาดจะประชุมกันไต่ถามทุกข์สุข หาทางช่วยเหลือกัน คนส่วนใหญ่จึงยอมรับได้เร็ว เพราะสร้างความสามัคคีในชุมชน ดึงเยาวชนออกจากอบายมุขได้ มักจะเห็นการแต่งกายแบบดาวะห์เข้ามาแทนการแต่งการแบบมลายูมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็เห็นความต่างกันระหว่างการแต่งกายของกลุ่มวาฮาบีที่แต่งกายคล้ายชาวอาหรับและการแต่งกายแบบดาวะห์ที่แต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีขาว สวมหมวกกาปิเยาะ และในกลุ่มวาฮาบีที่มีบทบาทอยู่ในสังคมระดับมหาวิทยาลัยหรือเรียกว่าเป็นปัญญาชนทางศาสนา ทั้งสองกลุ่มคือการเคลื่อนไหวทางศาสนาที่มีต่อสังคมในสามจังหวัดภาคใต้ที่มีแนวโน้มตัดขาดวัฒนธรรมท้องถิ่นหรือวัฒนธรรมแบบจารีตตามประเพณีมุสลิมดั้งเดิมที่มีรายละเอียดมากมาย แต่มุ่งไปสู่หลักศาสนาเพียงด้านเดียว ข้อคิดเห็นดังกล่าวนี้อาจจะผิดก็ได้ เพราะผู้เขียนเป็นคนนอกที่ไม่ได้ทราบในทุกรายละเอียด เพราะยังพบผู้ที่นับถือการปฏิรูปทางศาสนาแบบสายใหม่ที่ยังใช้ชีวิตตามปกติในวัฒนธรรมแบบมลายูโดยไม่ได้เห็นว่าเป็นเรื่องผิดปกติแต่อย่างใด อัตลักษณ์นี้กลายเป็นเครื่องหมายของการต่อสู้บางอย่างด้วย ผู้นำในการเคลื่อนไหวทางสังคมต่อโครงการของรัฐในพื้นที่บางคนมักใส่ชุดดาวะห์อยู่เสมอ และใช้เป็นอัตลักษณ์เพื่อแสดงความเป็นเฉพาะตนเมื่อออกนอกพื้นที่หรืออยู่ในหมู่คนไทยพุทธแสดงออกถึงความเคร่งด้วยการปฏิบัติด้วยการแต่งกาย การสนทนา การละหมาด การรับประทานอาหารที่เคร่งครัดมากกว่าชาวมุสลิมโดยทั่วไป การประพฤติปฏิบัติเช่นนี้มักมีผู้เลื่อมใสติดตามมากมาย สถานภาพเช่นนี้ทำให้เกิดการเปรียบเทียบว่า คล้าย ๆ โต๊ะครูผู้มีชื่อเสียงจากปอเนาะ ซึ่งถือเป็นเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์หรือได้รับการยอมรับในสังคมของคนตานีอย่างแท้จริง ทรัพยากรที่เหลือกับคนที่ยังอยู่ หากลงไปในอ่าวปัตตานี ก็จะรับรู้ได้ว่ามีความคุกรุ่นของความขัดแย้งสะสมและตกตะกอนมาอย่างยาวนาน ปัญหาที่หนักหนาสาหัสคือ การแย่งชิงทรัพยากรจากขบวนการทุนนิยมที่รัฐเอื้อเฟื้อและสนับสนุนให้เกิดขึ้นโดยชอบ เพราะสามารถทำลายล้างสังคมมุสลิมที่ยังอยู่ในระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงให้ย่อยยับไปถึงระดับครอบครัวที่เป็นรากฐานแห่งชีวิต การรุกไล่ยึดชิงทรัพยากรไปจากบ้านเกิดกลายเป็นแรงกดทับมหาศาลแก่ เรืออวนลากอวนรุนที่ลากกันทั้งคืนและคงเหลือไว้เพียงผืนน้ำที่ว่างเปล่า เรือกอและเล็ก ๆ เทียบไม่ได้เลยกับเรือประมงจากในเมืองปัตตานี ทางฝั่งปัตตานีเห็นปล่องไฟจากโรงงานอุตสาหกรรมผุดขึ้นเป็นกลุ่ม ๆ คือเขตอุตสาหกรรมที่รัฐส่งเสริมและกำลังรุกที่ถมทะเลเข้ามาเรื่อยๆ และแน่นอนโรงงานเหล่านี้ปล่อยมลพิษสู่อ่าวปัตตานีสะสมต่อเนื่องกันมาหลายปี ส่วนนาเกลือแห่งเดียวในแหลมมลายูคือบริเวณปากน้ำปัตตานีมาจนถึงบ้านบางปู นาเกลือโบราณส่วนใหญ่เป็นที่ราชพัสดุจึงให้เช่าใช้ทำนากุ้งและโรงงานอุตสาหกรรม และสงวนพื้นที่ไว้ทำนาเกลือเพียงเล็กน้อยพอที่จะได้ชื่อว่าเคยเป็นนาเกลือแห่งเดียวเท่านั้นในภาคใต้ อ่าวปัตตานีที่เคยได้ชื่อว่าอุดมสมบูรณ์ที่สุดในแหลมมลายู เปลี่ยนไปหวังประโยชน์เฉพาะหน้าโดยการทำลายทรัพยากรธรรมโดยตรง และกำลังทำลายชีวิตวัฒนธรรมของชาวบ้านรอบอ่าวปัตตานีอย่างรุนแรง ทุนนิยมในประเทศไทยมีผลต่อชุมชนของชาวประมงและชาวนาหรือสังคมแบบดั้งเดิมของชาวมลายู เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพการดำรงชีวิต ที่ดินเปลี่ยนมือ เริ่มมีกรรมสิทธิ์และสูญเสียกรรมสิทธิ์นั้นไปอย่างง่ายดาย การสูญเสียอาชีพการทำมาหากินที่ไม่สมบูรณ์และปรับตัวไม่ได้กับการรุกของทุนนิยมที่ขัดกับหลักศีลธรรมทางศาสนา ค่านิยมเริ่มเปลี่ยนแปลงไป การค้นหาพื้นที่ของตนเองแบ่งออกเป็นในหลายกลุ่มคน กลุ่มที่มีโอกาสมากกว่า เช่น สถานภาพสูง มีฐานะ มีรากฐานหรือเครือญาติในกรุงเทพฯ ก็จะไปแสวงหาโอกาสทางการศึกษาหรือเพื่อหางานทำคนกลุ่มนี้สามารถปรับตัวได้และมีความยืดหยุ่นกว่า อีกกลุ่มด้อยโอกาสกว่าแต่ต้องการเริ่มต้นมี “ทุน” เพื่อใช้ในการเริ่มกิจการของตัวเอง หลังจากเปลี่ยนจากอาชีพทางเกษตรกรรมแล้ว เช่น ไม่มีที่ดินเพียงพอ ไม่มีสวนผลไม้ หรือ สวนยาง การมองไปที่มาเลเซียคือคำตอบ เพราะเมืองหลวงของเราไม่สามารถตอบสนองความเป็นอยู่แบบชาวมุสลิมด้วยกันหรือค่าตอบแทนที่คุ้มค่าให้ได้ ในสามจังหวัดภาคใต้อย่าได้คิดว่าทรัพยากรธรรมชาติยังอุดมสมบูรณ์อยู่ เพราะการรุกคืบของทุนนิยมทำได้ช้า ปัจจุบันทราบกันแล้วว่า สภาพแวดล้อมที่คิดกันว่ายังไม่เปลี่ยนแปลงนั้นเปลี่ยนไปเสียจนชาวบ้านธรรมดาคงปรับตัวได้ยาก เกิดปัญหาสำหรับชีวิตแบบพออยู่พอกินแต่ดั้งเดิม โครงสร้างทางสังคมเปลี่ยนแปลง การปรับตัวได้ช้าและโอกาสในการทำงานสำหรับผู้มีการศึกษาและด้อยการศึกษามีน้อย ชีวิตในความสับสนนี้จะทำอย่างไรต่อไป การออกไปทำงานมาเลเซีย ความหวังสุดท้าย ในหมู่บ้านบางแห่งจากการพูดคุยจนประเมินคร่าว ๆ ได้ว่าคนในหมู่บ้านเคยไปทำงานที่มาเลเซียในช่วงหนึ่งของชีวิตเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่า ๖๐ % บางหมู่บ้านหนุ่มสาวที่จบการศึกษาโดยมากในชั้นประถมหรือมัธยมต้น อายุเพียงสิบห้าสิบหกก็ออกไปทำงานที่มาเลเซียกันจนเกือบหมดแล้ว ส่วนใหญ่ไปทำงานร้านต้มยำที่มาเลเซียที่มีอยู่ทุกรัฐ ไม่ทราบว่ามีจำนวนแน่นอนเท่าไหร่ ที่นิยมมากที่สุดคือทำงานร้านต้มยำ มีคนทำงานแบบถูกกฎหมายขึ้นทะเบียนไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนคน ส่วนที่ไม่มีใบอนุญาต ไปทำงานประมง เกี่ยวข้าว ตัดปาล์ม กรีดยาง ก่อสร้าง ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไม่ถึงน่าจะมากพอ ๆ กันหรือมากกว่า ดังนั้นแรงงานนับหลายแสนคนที่ออกไปทำงานในมาเลเซีย นิยาวัยต้นสามสิบมาจากบาโงยซิแย อำเภอยะหา จังหวัดยะลา เด๊าะอายุอ่อนกว่านิดหน่อยมาจากปัตตานี พบรักกันที่ร้านต้มยำ หลังแต่งงานทั้งคู่มีลูกคนหนึ่ง ตอนนี้อยู่กับย่าที่บาโงยซิแน ทั้งสองคนต้องทิ้งลูกไว้ให้เข้าโรงเรียนที่เมืองไทยเพราะเข้าโรงเรียนที่นี่ไม่ได้ ทั้งร้านมีลูกน้องอยู่ ๑๕ คน ส่วนใหญ่เป็นญาติเกี่ยวดองกันทั้งนั้น นิยาเป็นลูกจ้างอยู่นาน เก็บเงินเพื่อเปิดร้านซึ่งเป็นความหวังของคนหนุ่มสาวที่มาทำงานมาเลเซีย หลังจากนั้นก็ชักชวนพี่น้องให้มาทำงานและกลายเป็นเจ้าของร้านไปด้วยกัน คือ นิเฮง นิโมะ และน้องสาวของเด๊าะ ทั้งหมดรวมเป็น ๔ ร้าน ลักษณะร้านก็ไม่ใหญ่มากมาย ส่วนใหญ่อยู่บริเวณนอกเมืองในส่วนที่ขยายตัว มีพื้นที่มากพอจะตั้งโต๊ะอาหารได้หลายโต๊ะ ทำเลร้านของนิยาอยู่ตรงสี่แยกนอกเมืองมะละกา ในย่านที่เริ่มมีตึกสูงของที่พักตากอากาศเข้ามา เพราะไม่ไกลจากหาดชายฝั่งทะเลนัก ทำเลค่อนข้างดีเพราะเห็นได้ง่าย มีที่จอดรถกว้างขวาง นิยาลองเช่าดู ค่าเช่าเฉพาะที่ดินเดือนละหมื่นเจ็ดพันบาท นิยาใช้ค่าใช้จ่ายเพื่อจ้างงานไม่ต่ำกว่าเดือนละ ๗ หมื่นบาท เริ่มจากหกพันบาทจนถึงพ่อครัวได้มากที่สุดหมื่นสี่พันบาท แต่นิยาก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงานแบบถูกกฎหมายเฉลี่ยคนละสองพันบาทต่อเดือนโดยแบ่งจ่ายคนละครึ่งกับลูกน้อง นิยามาเซ้งตึกแถวเพื่อเป็นที่พักอาศัยอยู่แบ่ง ๆ กันกับลูกน้องทั้งหมด ต้องจ่ายเดือนละสามหมื่นบาท นิยามีรถขับสองคัน ทิ้งไว้ที่บ้านยะลาคันหนึ่งและนำมาใช้ที่มะละกาคันหนึ่ง ค่าใช้จ่ายที่นิยาและเด๊าะต้องใช้จ่ายหมุนเวียนต่อเดือนในร้านต้มยำร้านเดียวไม่ต่ำกว่าสองแสนบาท หากนิยาอยู่บ้าน ด้วยการศึกษาไม่จบ ป.๔ และเด๊าะที่จบเพียงมัธยมต้น คงไม่พ้นรับจ้างกรีดยาง ทั้ง ๆ ที่นิยาและเด๊าะเป็นคนฉลาดและมีศักยภาพในการบริหารจัดการอย่างเยี่ยมดังที่เห็น ครอบครัวของนิยาฐานะไม่ดีและไม่มีที่ดินของตัวเอง แต่นิยาส่งพ่อแม่ไปฮัจห์ได้และซื้อที่ดินซึ่งเป็นสวนยางไว้ให้ทำด้วยได้แล้ว บุคคลสองสัญชาติคืออะไร ไม่มีความแน่ชัด สำหรับแรงงานถูกกฎหมายการถือบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ตเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องถูกตรวจตราอย่างเคร่งครัด การเชื่อมโยงแรงงานที่ไปทำงานในมาเลเซียกับคนสองสัญชาติและขบวนการก่อการร้ายหรือขบวนการแบ่งแยกดินแดนดูเป็นสมมุติฐานที่เลื่อนลอยเกินไป วันนี้ นิยาในวันต้นสามสิบกลายเป็นความมุ่งหวังของคนในชุมชนที่ผู้ใหญ่ต้องการให้ดูเป็นตัวอย่างและเป็นอุดมคติของคนรุ่นหนุ่มสาวที่อยากจะสร้างฝันให้ได้เหมือนนิยา แต่ความฝันเหล่านี้ไล่หาในประเทศไทยไม่ได้ และไม่มีโอกาสที่เด็กหนุ่มสาวจากชายแดนในสามจังหวัดจะมีโอกาส นอกเสียจากที่มาเลเซีย สรุป การที่รัฐไม่สนใจที่จะ “เห็น” ความเปลี่ยนแปลงของสังคมมุสลิมไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงจากภายใน การเปลี่ยนแปลงจากกระแสของมุสลิมโลก กระแสเรื่องความทันสมัย หรือไม่เข้าใจในบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปของสถานการณ์ปัญหาที่เกิดแก่ชาวมลายูมุสลิมแห่งปัตตานี ทำให้เกิดการแก้ปัญหาไปที่จุดเดิม โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการแบ่งแยกดินแดน ในขณะที่รัฐสนับสนุนให้เกิดการทำลายพื้นที่ ทรัพยากร ทุนทางศีลธรรม และวัฒนธรรมอันเนื่องมาจากศาสนาของชาวมลายูมุสลิมไปจนหมด (เป็นการสร้างอาณานิคมภายในเพื่อที่ดึงดูดทรัพยากรเป็นหลัก ไม่ใช่เป็นเพื่อการบูรณาการทางการเมืองเพียงเท่านั้น) และปล่อยให้พวกเขาผจญปัญหาที่เกิดขึ้นจากโจทย์ปัญหาใหม่ ๆ ด้วยตัวเอง อาจเป็นเหตุให้คนถูกฆ่าตายไปราวใบไม้ร่วงไปทุกวัน เพราะการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ยังมองภาพความเป็นคนตานีในต้นแบบทางประวัติศาสตร์ที่เห็นเป็นกลุ่มคนที่สร้างแต่ปัญหาและไม่คุ้มในการเกี่ยวข้องด้วย หนทางไปสู่สันติสุขและสันติภาพไม่ได้รับการพิจารณาถึงเหตุที่ทำให้เกิดปัญหา การแก้ปัญหาของรัฐโดยตำรวจหรือกองทัพรวมทั้งพลังสมานฉันท์จึงไม่สามารถทำได้ เพราะไม่เข้าใจบริบทของปัญหาที่เปลี่ยนไปแล้ว ข้อเขียนของอิบรอฮิม ชุกรี ในหน้าสุดท้ายกล่าวว่า “ในจำนวน ๑๐๐ ล้านคนของประชากรของชนชาติมลายูทั้งหมดนั้น ชาวมลายูปะตานีถือว่าเป็นผู้โชคร้ายที่สุด ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ภายใต้การปกครองของระบอบประชาธิปไตยเป็นเวลาที่ยาวนาน แต่ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่เป็นประชาธิปไตยที่แบ่งชนชั้นของเชื้อชาติซึ่งกำหนดโดยรัฐบาลสยาม โชคชะตาของชาวมลายูปะตานีจึงเปรียบได้กับต้นไม้เล็กๆ ชนิดหนึ่งที่ไม่มีวันที่จะเจริญเติบโตได้”[27] เราจะยอมให้เพื่อนร่วมประเทศเผชิญชะตากรรมอย่างโดดเดี่ยวดังคำทำนายของนักประวัติศาสตร์เมื่อห้าสิบกว่าปีที่แล้วเชียวหรือ? เชิงอรรถท้ายบท [1] งานของ Anthony Reid. Understanding Melayu (Malay) as a Source of Diverse Modern Identities. Journal of Southeast Asian Studies. Vol 32: 3, 2001. ที่สืบสวนถึงที่มาในทางประวัติศาสตร์ของคำว่ามลายูหรือมาเลย์ในเขตคาบสมุทรและหมู่เกาะ และ Pierre Le Roux. To Be or Not to Be ... the Cultural Identity of the Jawi. Asian Folklore Studies. Vol 57: 2, 1999. ที่กล่าวถึงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของคนยาวีในประเทศไทย [2] ในเอกสารเก่าเช่น เรื่องนางนพมาศหรือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ซึ่งเขียนขึ้นในราวรัชกาลที่ ๓-๔ เช่น สะท้อนความรู้เกี่ยวกับคนต่างชาติต่างภาษาแบบรวม ๆ เช่น เรียกชาวมุสลิมส่วนใหญ่ว่า “แขก” และเรียกชาวมลายูในคาบสมุทรตอนใต้ ว่า “แขกมลายู” ซึ่งเป็นการเรียกแบบกลุ่มชาติพันธุ์ [Ethnic Identification] แต่ถ้าเจาะจงว่ามาจากที่ใดจึงจะเรียกเฉพาะลงไป ดังเช่น “แขกตานี” นี้ [3] Patani ใช้เรียกรัฐบริเวณคาบสมุทรในยุคที่รุ่งเรืองเมื่อราวศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ ส่วนคำว่าปัตตานี หรือ Pattani ที่มีตัวอักษร t สองตัว ใช้เรียกพื้นที่ของจังหวัดปัตตานีที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทยในปัจจุบัน [4] บทความของศรีศักร วัลลิโภดม เรื่อง “ศาสนาของผู้ถูกกดขี่ [Religion of the Oppressed]” จดหมายข่าวมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ฉบับที่ ๔๙ (กรกฎาคม-สิงหาคม ๒๕๔๗) กล่าวถึงเหตุการณ์ที่กรือเซะ เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๔๗ ว่าเป็นความเชื่อทางศาสนาที่เปลี่ยนไปของคนกลุ่มใหม่ในสังคมมุสลิม ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากแก่การทำความเข้าใจสำหรับคนทั่วไปในสังคมไทยในขณะนี้ [5] ดูงานเขียนที่เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนรูปแบบการปกครองจากหัวเมืองประเทศราชและหัวเมืองชั้นนอกไปสู่การปกครองส่วนท้องถิ่นในระบบมณฑลเทศาภิบาลของ เตช บุนนาค เรื่อง “การปกครองเทศาภิบาลของประเทศสยาม พ.ศ.๒๔๓๕-๒๔๕๘” สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๘., และงานเขียนทางประวัติศาสตร์ข้อมูลในสมัยรัชกาลที่ ๕ การเสนอข้อมูลทางประวัติศาสตร์ตอนยกหรือแยกดินแดนให้กับอังกฤษเพื่อแลกการกู้เงินสร้างทางรถไฟ ซึ่งมองเห็นว่าเป็นเรื่องรุงรังของรัฐชาติแบบสมัยใหม่ ดังข้อความของที่ปรึกษาราชการทั่วไป “เอ็ดเวิร์ด เฮนรี สโตรเบล” ชาวอเมริกัน (พ.ศ.๒๔๔๗-๒๔๕๑) เห็นว่า ไทยควรเสียสละรัฐมลายูเพื่อเป็นอิสระจากอนุสัญญาลับฉบับปี พ.ศ.๒๔๔๐ เพื่อผ่อนคลายปัญหาเกี่ยวกับการให้สัมปทานแก่ชาวต่างชาติ เพราะประเทศราชหัวเมืองมลายู “.. เป็นบ่อเกิดแห่งความยุ่งยากทั้งมวลของไทย และยังปราศจากคุณค่า โดยเหตุที่มิได้ทำรายได้ที่น่าพอใจให้แก่ท้องพระคลังในกรุงเทพฯ” โดยการยินยอมยกกลันตัน ตรังกานู ไทรบุรีให้ โดยอังกฤษต้องยกเลิกอำนาจศาลกงสุลและสิทธิสภาพนอกอาณาเขตเป็นการตอบแทน โดย วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย เรื่อง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ, ๒๕๔๗ ที่จัดพิมพ์โดยทายาทแห่งราชสกุลเทวกุล [6] ตัวอย่างคือ ชาวตะวันตกบันทึกไว้ว่า ในดินแดนประเทศไทยปัจจุบันถูกเรียกอย่างกลาง ๆ โดยไม่ระบุความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใด ๆ ว่า “สยาม” ขณะที่เรียกคนที่มาจากสยามตามชื่อเมือง เช่น คนกรุงเทพ (อยุธยา) โดยจะเพิ่มเติมว่าเป็นไท ลาว โยน พะกัน เมื่อระบุถึงรายละเอียด การแสดงความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์จึงไม่ใช่ความสำคัญอันดับแรกในการบ่งบอกอัตลักษณ์ของรัฐก่อนสมัยใหม่แต่อย่างใด [7] สุเทพ สุนทรเภสัช “ระบบอาณานิคมภายในกับภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : ตัวแบบเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองของอีสานกับรัฐบาลกลางของประเทศไทย” มานุษยวิทยากับประวัติศาสตร์: รวมความเรียงว่าด้วยการประยุกต์ใช้แนวความคิด และทฤษฎีทางมานุษยวิทยาในการศึกษาข้อมูลทางประวัติศาสตร์, ๒๕๔๐. ดูเพิ่มเติม David Brown, THE STATE AND ETHNIC POLITICS IN SOUTH EAST ASIA, Routledge, London and New York, 1994. Chapter 5 “Internal colonialism and ethnic rebellion in Thailand” การเป็นอาณานิคมภายในเห็นได้ชัดจากการยกตัวอย่างกรณีภาคอีสานในประเทศไทย [8] ธงชัย วินิจจะกูล “เรื่องราวจากชายแดน สิ่งแปลกปลอมต่อตรรกะทางภูมิศาสตร์ของประวัติศาสตร์แห่งชาติไทย”เสนอต่อการประชุมนานาชาติเกี่ยวกับภาคใต้เรื่อง “ประสบการณ์ถิ่นไทยทักษิณ: การปริวรรตทางสังคมในทัศนะประชาชน” มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ๑๓-๑๕ มิถุนายน ๒๕๔๕ พิมพ์ซ้ำในชื่อ “เรื่องเล่าจากชายแดน” ใน ประวัติศาสตร์ปกปิดของ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ รัฐปัตตานีใน “ศรีวิชัย” เก่าแก่กว่ารัฐสุโขทัยในประวัติศาสตร์ สำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรม, ๒๕๔๗ [9] เรื่องราวการต่อต้านในยุคต่าง ๆ โดยเฉพาะในภาคอีสานสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมจากประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่เขียนขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ [10] เรื่องราวที่สะท้อนความคับแค้นจากนโยบายดังกล่าวของชาวมลายูปัตตานี แม้จะเป็นการเล่าเรื่องของผู้ถูกกระทำก็ตามพิจารณาได้จากงานเขียนที่เป็นที่สนใจของนักประวัติศาสตร์อย่างยิ่งของ อิบรอฮิม ชุกรี เรื่อง ประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรมลายูปะตานี เขียนเป็นภาษามลายู อักษรยาวี คาดว่าน่าจะเขียนขึ้นหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองราว ๑๗ ปี หมายถึงในราว พ.ศ. ๒๔๙๒ มีทั้งฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษ โดย Conner Bailey, John n. Miksic ปี ๑๙๘๕ และแปลเป็นภาษาไทยครั้งแรกตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๗ และพิมพ์ล่าสุด แปลโดย ดร.หะสัน หมัดหมาน และมะหามะซากี เจ๊ะหะ ซิลค์เวอร์ม บุ๊ค, ๒๕๔๙ (หน้า ๗๕-๘๐) [11] หะยี สุหรง บิน อับดุลกาเดร์ ในฐานะประธานกรรมการประจำจังหวัดปัตตานียื่นข้อเสนอต่อรัฐบาลเรียกร้องความต้องการพื้นฐานของชาวมลายู ๗ ข้อ เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๐ ซึ่งไม่มีข้อใดบ่งบอกถึงความต้องการแบ่งแยกดินแดน นอกจากจะเป็นไปเพื่อปกป้องผลประโยชน์แก่ชาวมลายูโดยมีกรอบของธรรมเนียมแบบมุสลิมเป็นบรรทัดฐาน และเรียกร้องในกรณีข้าราชการรังแกประชาชน อาจจะพิจารณาว่านี่คือคำขอร้องการจัดตั้งเขตปกครองตนเอง [Autonomous Region] ที่ยุคสมัยนั้นมองว่าเป็นการขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ หากแต่รัฐไทยระแวงในกรณีของการแบ่งแยกดินแดนมากกว่า ประเด็นนี้ถูกนำมาถกเถียงเมื่อเกิดเหตุรุนแรงในปี ๒๕๔๗ แม้แต่ในกรรมการ กอส. ก็ไม่สามารถผลักดันแนวคิดเรื่องเขตปกครองตนเองให้เป็นที่ยอมรับได้ เนื่องจากการติดกรอบใน Plot ทางประวัติศาสตร์ชาติไทย แท้จริงแล้วรัฐสามารถเจรจาต่อรองเพื่อสร้างทางออกได้ดีกว่าการจัดการโดยรุนแรง อันนำมาซึ่งความรุนแรงตอบโต้โดยไม่สิ้นสุดตามมา [12] Anthony Reid. Understanding Melayu (Malay) as a Source of Diverse Modern Identities. Journal of Southeast Asian Studies. Vol 32: 3, 2001. [13] การอธิบายถึงลักษณะความเป็นมลายูทางวัฒนธรรมและเกี่ยวข้องกับสภาพการณ์ทางประวัติศาสตร์ในคาบสมุทรมลายู ดู “บทสรุป: บางสาระในประวัติศาสตร์” ใน ประวัติศาสตร์มาเลเซีย บาร์บาร่า วัตสัน อันดายา และ ลีโอนาร์ด วาย. อันดายาม พรรณี ฉัตรพลรักษ์ แปล, มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์, ๒๕๔๙. [14] ภาษามาเลย์มาตรฐาน [Standard Malay] หมายถึงการภาษามาเลย์อย่างถูกต้อง วลีในภาษามาเลย์คือ Bahasa Melayu Baku ซึ่งมีการตกลงร่วมกันระหว่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย และบรูไน ว่าใช้ภาษาบาฮาซารีเยา(Bahasa Riau) เป็นมาตรฐาน เพราะภาษาของหมู่เกาะรีเยาถือว่าเป็นต้นกำเนิดของภาษามลายู [15] ปรากฏคำนิยามในบทนำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของ Saroja Devi Dorairajoo. “No Fish in the Sea: Thai Malay Tactics of Negotiation in a Time of Scarcity” Ph.D. dissertation, Dept. of Social Anthropology, Harvard University. (2002) [16] David Brown, THE STATE AND ETHNIC POLITICS IN SOUTH EAST ASIA, Routledge, London and New York, 1994., pp. 206-265. ภูมิบุตรา กลายเป็นกลุ่มชาติพันธุ์แบบหนึ่งที่เป็นทั้งคำเรียกตนเอง การอ้างสิทธิเหนือแผ่นดิน โดยมีภาษาและวัฒนธรรมเป็นหัวใจสำคัญของการแยกแยะความเป็นกลุ่ม ภูมิบุตรากลายเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจในระบบทุนนิยมให้สามารถดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว มีการเกิดขึ้นของสภาเศรษฐกิจภูมิบุตรา [Bumiputra Economic Congress] ในปี ๑๙๖๕ โดยข้าราชการ นักการเมืองและชนชั้นกลางโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อรักษาระบบการเงินของคนมาเลย์เพื่อถ่วงดุลกับนักลงทุนชาวจีนที่เข้ามาในประเทศและที่อยู่ในประเทศแต่เดิม สถาปนาธนาคารภูมิบุตรา (Bank Bumiputra) พร้อมกับ MARA (Council of Trust for the Indigenous People) เพื่อทำธุรกรรมทางการเงินและโครงการต่างๆ ที่เกิดจากชาวมาเลย์ การเกิดขึ้นของภูมิบุตราจึงกลายเป็นสิ่งที่นักวิชาการตะวันตกหลายคนมองว่าเป็นมายาคติ [myth] ของคนชั้นกลาง พ่อค้า และนักการเมืองที่สร้างขึ้นมาเพื่อธำรงเศรษฐกิจแบบทุนนิยม การเมือง และการสร้างชาติ มากกว่าการอธิบายถึงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ของตนเอง ภูมิบุตราจึงกลายเป็นทั้งการเมืองเรื่องชาติพันธุ์และอุดมการณ์ทางชาติพันธุ์ที่ถูกสร้างขึ้นและกีดกันคนหรือเชื้อชาติอื่นออกไปเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การสร้างชาติในยุคหลังอาณานิคม [17] จารึกภาษายาวีที่เก่าที่สุดพบที่ตรังกานูในช่วงราวปลายศตวรรษที่ ๑๔ เขียนโดยใช้อักษรยาวี ซึ่งหมายถึงตัวอักษรอารบิคที่ยืมและปรับมาใช้ในภาษามาเลย์ซึ่งไม่มีตัวอักษรของตนเอง นำเข้ามาโดยพ่อค้าชาวอาหรับตั้งแต่ศาสนาอิสลามแพร่เข้ามาในศตวรรษที่ ๑๔ [18] ประวัติศาสตร์มาเลเซีย บาร์บาร่า วัตสัน อันดายา และ ลีโอนาร์ด วาย. อันดายาม พรรณี ฉัตรพลรักษ์ แปล, มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์, ๒๕๔๙. (หน้า ๔๘๒-๔๘๗) [19] Hasan Madmarn. The Pondok & Madrasah in Patani. PENERBIT UNIVERSITI KEBANGSAAN MALAYSIA, 2001 [pl.49-50] [20] คำว่า “ยาวี” มีบริบทในการใช้คือ Sura Jawi คือการเขียนภาษายาวี Baso Jawi เรียกภาษาพูด และ Ore Jawi คือคนยาวี [21] ข้อสังเกตนี้น่าสนใจที่จะตรวจสอบอัตลักษณ์การเรียกชื่อมักจะเลื่อนไหลไปตามสถานการณ์ Pierre Le Roux. To Be or Not to Be ... the Cultural Identity of the Jawi. Asian Folklore Studies. Vol 57: 2, 1999. [22] "Social space" คือ พื้นที่ที่กำหนดโดยระบบของลักษณะร่วมของผู้คนหมายถึงรูปลักษณ์ความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ถูกกำหนดมา, ibid., อ้างจากงานของ CONDOMINAS, Georges. L'Espace social. A propos de l'Asie du Sud-Est, 1980 [23] กำเนิดและความเป็นมาของ “ลัทธิแบ่งแยกดินแดน” ของมลายูมุสลิมในภาคใต้ไทย แปลและเรียบเรียงจาก งานวิจัยของ ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ เรื่อง Origins of Malay Muslim “Separatism” in Southern Thailand โดยได้รับทุนจาก Asian Research Institute (ARI) แห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ [National University of Singapore] ใน พ.ศ. ๒๕๔๗ [24] Khun Eng Kuah. Maintaining Ethno-Religious Harmony in Singapore. Journal of Contemporary Asia. Vol 28: 1, 1998. [25] ความเห็นเหล่านี้ไม่ถูกยืนยันในพื้นที่จากการสอบถามบุคคลในระดับปัญญาชน หลังจากผู้เขียนเฝ้าสังเกตและหาคำตอบก็ยังไม่ชัดเจน แต่ถูกนำเสนอในบทความของ Aurel Croissant. Unrest in South Thailand: Contours, Causes, and Consequences since 2001. Contemporary Southeast Asia. Vol 27: 1, 2005. [26] เสียงโต้จากกลุ่มส่งเสริมศิลปะและวัฒนธรรมมุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (เซาดารอ) สำนักข่าวประชาไท [www.prachathai.org] เปิดพื้นที่ให้ ‘กลุ่มส่งเสริมศิลปะและวัฒนธรรมมุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้’ หรือเซาดารอชี้แจงและตอบโต้รายงานเรื่อง ‘เจาะวงใน ‘นักศึกษามุสลิม’ กับสถานการณ์ร้ายชายแดนใต้’ ที่มีผลกระทบต่อนักศึกษามุสลิมในวงกว้าง ๑๖/๘/๒๕๔๙ ความขัดแย้งเช่นนี้ เมื่อสอบถามบุคคลในระดับปัญญาชนจะเห็นว่าไม่ใช่ปัญหามากนัก เป็นความขัดแย้งระหว่างสำนักคิด แต่สำหรับชาวบ้านในหมู่บ้านที่มองเห็นความขัดกันดังกล่าว พบว่ามีปฏิกิริยาเช่นเดียวกับนักศึกษาที่ออกแถลงการณ์ [27] อิบรอฮิม ชุกรี. ประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรมลายูปะตานี แปลโดย ดร.หะสัน หมัดหมาน และมะหามะซากี เจ๊ะหะ. ซิลค์เวอร์ม บุ๊ค, ๒๕๔๙ (หน้า ๙๕)









