พบผลการค้นหา 220 รายการ
- ประวัติพระเมรุมาศ และพระโกศ เพื่อการถวายพระเพลิงพระบรมศพ
เผยแพร่ครั้งแรก 1 พ.ย. 2560 เนื่องในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลย-เดชมหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ ในวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๐ นี้ จะเป็นการออกพระเมรุที่ใหญ่โตมโหฬารที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยของกรุงรัตนโกสินทร์ จึงมีผู้สนใจอยากรู้ความหมายความสำคัญของพระเมรุมาศมากมายทั้งคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ข้าพเจ้าจึงอยากเขียนเรื่องราวความเป็นมาของพระเมรุมาศและพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระมหากษัตริย์ ตามความรู้ที่ได้ศึกษาและค้นคว้ามาทางมานุษยวิทยาดังนี้ พระเมรุมาศพระบาทสมเด็จสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ ท้องสนามหลวง ประเพณีการออกพระเมรุมาศเพื่อการถวายพระเพลิงพระบรมศพนั้นเริ่มมีมาแต่สมัยอยุธยาตอนปลายในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองและสมเด็จพระนารายณ์มหาราชในพุทธศตวรรษที่ ๒๓ เป็นการสร้างพระเมรุมาศขึ้นถวายพระเพลิงในพื้นที่กำหนดให้เป็น “ทุ่งพระเมรุกลางกรุงศรีอยุธยา” ทางด้านตะวันออกของพระบรมมหาราชวังซึ่งปัจจุบันนี้คือ ที่ตั้งพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นสถานที่ตั้งของวิหารพระมงคลบพิตรที่สร้างมาแต่สมัยอยุธยาตอนต้นตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระไชยราชาธิราช โดยย้ายวิหารพระมงคลบพิตรมาสร้างใหม่ทางด้านใต้ของพระบรมมหาราชวังในตำแหน่งปัจจุบัน ก่อนรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง การถวายพระเพลิงพระมหากษัตริย์กำหนดไว้อย่างกว้าง ๆ เพียงภายในกำแพงพระนคร ส่วนการเผาศพ ปลงศพ ของขุนนางข้าราชการและคนในเมืองต้องนำศพไปออกประตูผีเพื่อทำกันนอกเกาะเมือง ดังเช่น พระบรมศพของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) นั้นถวายพระเพลิงที่ “วัดพระราม” อันเป็นวัดที่สร้างขึ้นภายหลังการถวายพระเพลิงแล้ว พระบรมศพของสมเด็จพระนครินทราชาธิราชถวายพระเพลิงที่ “วัดราชบูรณะ” รวมทั้งพระศพของเจ้าอ้ายพระยาและเจ้ายี่พระยาผู้เป็นพระราชโอรส หรือพระบรมศพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ก็ถวายพระเพลิงที่ “วัดวรเชษฐาราม” อันเป็นวัดที่สมเด็จพระเอกาทศรถสร้างถวาย ณ บริเวณที่ถวายพระเพลิง เป็นต้น และยังมีวัดอื่น ๆ ภายในเมืองอีกหลายวัดที่สร้างขึ้นภายในบริเวณที่ถวายพระเพลิงพระมหากษัตริย์องค์อื่น ๆ ที่ไม่ได้ระบุไว้ในพระราชพงศาวดาร ลานท้องสนามไชยหน้าพลับพลาฐานจตุรมุข เป็นแนวยาวราว ๓๕๐ เมตร สูงจากพื้น ๓ เมตร ผนังสลักเป็นรูปช้างและครุฑ มีมุขยื่นออกมาทั้งสองด้าน ใช้เป็นสถานที่สำหรับพระมหากษัตริย์นั่งทอดพระเนตรพระราชพิธีสนามและการเฉลิมฉลองต่างๆ ภาพถ่ายเมื่อกว่า ๕๐ ปีมาแล้ว ภาพของอาจารย์มานิต วัลลิโภดม การถวายพระเพลิงพระบรมศพพระมหากษัตริย์ดังกล่าวนี้ ไม่มีหลักฐานว่าเป็นการออกพระเมรุแบบที่ทำกันต่อมาจากสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง และสมเด็จพระนารายณ์ฯ จนกระทั่งสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ อีกทั้งก็ไม่รู้ว่ามีการสร้างพระเมรุมาศหรือไม่ อาจจะเป็นการสร้าง “ พระจิตกาธาน” หรือที่ตั้งศพเพื่อเผาบนฐานยกพื้นเช่นที่พบในเขตวัดเจ็ดยอดเชียงใหม่ ที่รู้จักกันในภาคเหนือว่า “เมรุพระพิลก” อันเชื่อว่าเป็นที่ถวายพระเพลิงสมเด็จพระเจ้าติโลกราชแห่งล้านนาในตอนต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ และเมรุเช่นเดียวกันนี้อีกหลายแห่งในลำปาง ข้าพเจ้าเชื่อว่า การถวายพระเพลิงพระบรมศพพระมหากษัตริย์ตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้นลงมา ถึงรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองไม่มีคติทั้งความเชื่อและการสร้างพระเมรุมาศ รวมไปถึงการสร้างพระโกศขึ้นในการประดิษฐานพระศพ และการนำไปถวายพระเพลิง หลักฐานในเรื่องการสร้างพระโกศไม่มีเช่นเดียวกันกับพระเมรุมาศ คงมีแต่โลงหรือหีบพระศพที่น่าจะสร้างด้วยไม้หอมเท่านั้น การสร้างพระโกศขึ้นมาคงมาพร้อมกันกับการสร้างพระเมรุมาศนั่นเอง เป็นการเปลี่ยนแปลงประเพณีการบรรจุศพในโลงแบบนอนเหยียดยาวมาเป็นท่านั่งในแนวตั้งเพื่อให้เข้ากันกับความสูงส่งของบุคคลที่อยู่ใน วิมาน หรือปราสาท เช่น พระมหากษัตริย์และเทวดา พระยมบริเวณที่เรียกว่าลานพระเจ้าขี้เรือน ซึ่งจะเป็นพื้นที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพกษัตริย์ อันการบรรจุศพแบบแนวตั้งนี้ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จะพบเห็นแต่เพียงในประเพณีการฝังศพครั้งที่สองที่มีการนำเอากระดูกคนตายที่เนื้อหนังมังสาเปื่อยเน่าหลุดไปแล้ว มาบรรจุใน หม้อ หรือผอบ อย่างเช่นที่ทุ่งไหหินในประเทศลาว และแหล่งก่อนประวัติศาสตร์ในที่ราบสูงแอ่งโคราช เป็นต้น สมัยก่อนประวัติศาสตร์การปลงศพด้วยการเผามีน้อยมาก แต่เมื่อเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์ที่มีการนับถือพุทธศาสนาและศาสนาฮินดู-พราหมณ์แล้ว ก็เกิดประเพณีการนำเอากระดูกและอังคารที่มีการเผาแล้วไปเก็บไว้ในภาชนะที่เรียกว่า “ผอบ” ที่มีการปรุงแต่งให้มียอดฝาผอบสูงเป็นทรงปราสาทอะไรทำนองนั้น พัฒนาการของพระโกศน่าจะมาจากเรื่องผอบที่บรรจุพระอัฐิของพระมหากษัตริย์หรือกระดูกของบุคคลที่มีฐานะสูงกว่าคนธรรมดา ผอบบรรจุสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ เช่น อัฐิธาตุ หรือเครื่องประดับของกษัตริย์และคนชั้นสูง จะพบมากในสังคมฮินดูของกัมพูชาแต่สมัยเมืองพระนคร ดังเห็นได้จากรูปร่างลักษณะของเครื่องปั้น ดินเผาเคลือบของขอมที่พบในกัมพูชา และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย แต่ผอบที่บรรจุอัฐิธาตุก็เป็นของขนาดเล็กไม่ใหญ่ เช่น พระโกศที่บรรจุพระศพที่ยังไม่ได้ถวายพระเพลิง แต่ตั้งไว้ในปราสาทเพื่อทำพิธีกรรม และเก็บไว้รอเวลาถวายพระเพลิง ซึ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่ตอนต้นลงมาจนถึงรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองนั้น เมื่อมีการถวายพระเพลิงของกษัตริย์และเจ้านายแล้ว ก็จะสร้างวัดขึ้นอุทิศถวายไว้ ณ บริเวณที่ถวายพระเพลิงนั้น อย่างเช่นที่วัดพระรามและวัดวรเชษฐารามที่กล่าวมาแล้ว กรุงศรีอยุธยาแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นสมัยเวลาที่มีการนำเอาคติความเชื่อทางจักรวาลของฮินดูแบบขอมมาผสมผสานกับลัทธิความเชื่อของศาสนาพุทธเถรวาทมากกว่าสมัยใด ๆ โดยเฉพาะในเรื่องทางพระมหากษัตริย์และสถาบันกษัตริย์ ที่ได้รับอิทธิพลลัทธิเทวราชาเข้ามาทำให้เกิดการสร้างสถาปัตยกรรมและศิลปะสถาปัตยกรรมแบบขอมขึ้น จนคนไทยส่วนใหญ่ในปัจจุบันยังเชื่อว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทวราชาแบบขอมคือเป็น อวตารของพระผู้เป็นเจ้า เช่น พระวิษณุลงมาเกิดเพื่อปราบยุคเข็ญ แต่หลักฐานทางโบราณคดีที่เป็นศิลปสถาปัตยกรรมและศิลปวัฒนธรรมอื่นๆ หาได้แสดงให้เห็นว่า ขอมในสมัยเมืองพระนครไม่ได้แสดงว่ากษัตริย์ขอมทรงเป็นอวตารของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าพระวิษณุและพระศิวะ หากความเป็นเทวราชานั้นหมายเพียงการจุติของผู้ที่เป็นเทพเจ้าลงมาเกิดมากกว่า แผนผังแสดงบริเวณลานสนามไชยหน้าพระราชวังเมืองพระนคร ดังเห็นได้จากพระนามของพระมหากษัตริย์องค์สำคัญ เช่น พระเจ้าอินทรวรมันที่ ๑ ผู้สร้างนครหริหราลัย ที่มีปราสาทบากองเป็นศูนย์กลาง และสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้พระองค์หลังพระชนม์แล้ว มีรูปเคารพศิวลึงค์เป็นตัวแทนในพระนามของพระองค์หลังสวรรคตแล้วว่า “อินทเรศวร” หรือในสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ ที่มีการถวายพระนามว่า “พระนิพพานบท” (พระบาทบรมนิพพานบท-วฺรบาทบรมนิวฺวานบท) และที่สำคัญก็คือ พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ที่มีพระนามว่า “พระบรมวิษณุโลก” ที่มีการสร้างปราสาทนครวัดขึ้นมาอุทิศถวาย เป็นปราสาทที่แลเห็นชันเจนว่าสร้างถวายพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ หลังสวรรคตแล้ว เพราะเป็นปราสาทที่หันหน้าไปทางตะวันตก และตัวปราสาทเองคือรูปจำลองของพระเมรุมาศที่เป็นปราสาทห้าหลังที่เปรียบเหมือนเขาพระสุเมรุที่มีเขาสำคัญรายรอบสี่ทิศ ปราสาทนครวัดนี้มีนามแต่ครั้งนั้นว่า “วิษณุโลก” ที่สัมพันธ์กับ “กมรเตงอัญปรมวิษณุโลก” อันเป็นพระนามของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ปราสาทหลังนี้แสดงความหมายของพระราชพิธีสำคัญของลัทธิเทวราชาที่เรียกว่า “อินทราภิเษก” ที่หมายถึงพระราชพิธีราชาภิเษกพระมหากษัตริย์ที่สวรรคตแล้วคืนเข้าวิมานที่เขาพระสุเมรุ สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเป็นพระราชพิธีอินทราภิเษก ก็คือภาพแกะสลักการกวนเกษียรสมุทร บนผนังรอบปราสาทนครวัดนั่นเอง สังคมราชสำนักสยามในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้นำเอาแนวความคิดในเรื่องการสร้างปราสาทราชวังและพิธีกรรมดังกล่าวของลัทธิเทวราชาที่อยู่ในศาสนาฮินดูแบบขอมเข้ามาผสมผสานกับความเป็นพระมหากษัตริย์ในพุทธเถรวาทในกรุงศรีอยุธยาที่มีการสร้างพระราชวังใหม่ให้เป็นศูนย์กลางของราชอาณาจักรสยามที่เกิดขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ จึงสามารถพูดได้ว่า พระราชวังหลวง ปราสาท สถานที่สำคัญทางศาสนาและสถาบันกษัตริย์นั้น เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งนำเอาแนวคิด รูปแบบ และแผนผังมาจากพระราชวังหลวงเมืองพระนครอันเป็นพระราชวังที่เกิดขึ้นราวสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ ลงมา ที่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้คือ พระราชวังหลวงซึ่งอยู่ติดกันกับวัดพระศรีสรรเพชญ กับพระราชวังขอมที่ติดกับปราสาทบาปวน หรือปราสาททองของขอม ที่มีฉนวนต่อถึงกันกับพระราชวังชั้นใน พระราชพิธีอินทราภิเษกของขอมได้รับการนำมาปรุงแต่งให้เป็นพระราชพิธีอินทราภิเษกของไทยที่เน้นไปถึงการปราบดาภิเษก ที่แสดงออกโดย “พิธีกรรมชักนาคดึกดำบรรพ์” หรือกวนเกษียรสมุทร ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ การเอาชื่อปราสาทนครวัดที่เรียกว่า “ วิษณุโลก ” มาเป็นชื่อเมืองสองแควใหม่ที่สร้างขึ้นเมื่อครั้งสงครามกับอาณาจักรล้านนาในนามของ “ พิษณุโลก ” นับเป็นราชธานีทางเหนือของกรุงศรีอยุธยาที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถไปประทับเพื่อการทำสงครามและเสด็จลงมาผนวช ณ เมืองนี้ แต่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถไม่ทรงมองว่าพิษณุโลกเป็นเมืองที่เกี่ยวกับการตายอย่างของขอม แต่เป็นเมืองในทางพระพุทธศาสนาที่สะท้อนให้เห็นจากการให้นามของวังที่เสด็จออกผนวชว่า “ วัดจุฬามณี ” เพื่อตอกย้ำให้เห็นในคติจักรวาลของทางพุทธศาสนาที่หมายถึงยอดเขาพระสุเมรุ คือ พระมหาสถูปจุฬามณีที่พระมหากษัตริย์ไทยและลาวให้ความสำคัญ เมื่อเสด็จสวรรคตจะต้องไปไหว้พระจุฬามณีที่ยอดเขาพระสุเมรุ ความต่างกันทางจักรวาลของพุทธเถรวาทแบบไทยกับฮินดูแบบขอมก็คือ ทางไทยถือว่ายอดเขาพระสุเมรุ คือ “พระเจดีย์จุฬามณี” แต่ขอมให้ความสำคัญกับปราสาทที่เรียกว่า “ไพชยนต์ปราสาท” อันเป็นที่ประทับของพระอินทร์ในการดูแลโลก แต่แนวความคิดให้เรื่องพระสุเมรุแบบขอมนี้ได้ส่งอิทธิพลกับไทยสมัยอยุธยาอีกครั้งหนึ่งในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ผู้ทรงฟื้นฟูและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ทางศิลปวัฒนธรรมด้านศาสนาและราชสำนักแบบใหม่ๆ ขึ้นมา ทรงรับเอาความคิดทางจักรวาลแบบฮินดู และเทวราชาของขอมสมัยเมืองพระนครเข้ามาปรุงแต่งให้เป็นศิลปวัฒนธรรมไทยของยุคกรุงศรีอยุธยาตอนปลายนี้ โดยเฉพาะความคิดให้เรื่องสร้างศิลปสถาปัตยกรรมให้ได้สัดส่วนตามเรขาคณิตแบบอินเดียและขอม แผนผังบริเวณแสดงลานสนามไชยหน้าพระที่นั่งจักรวรรดิ์ไพชยนต์และบริเวณทุ่งพระเมรุกลางเมือง พระบรมมหาราชวัง กรุงศรีอยุธยา โดยเฉพาะผังพระสุเมรุที่นำมาใช้ในการสร้างพระมหาธาตุเจดีย์วัดชัยวัฒนาราม อันเป็นบริเวณที่ปลงพระศพพระราชมารดา ทำให้ผังของพระมหาธาตุเจดีย์ที่เป็นทรงพระปรางค์แบบเดียวกันกับบรรดาพระปรางค์ในสมัยอยุธยาตอนต้น ดูได้สัดส่วนทางเรขาคณิต เป็นรูปแบบพระสุเมรุมาศที่แวดล้อมไปด้วยปรางค์สี่ทิศ ซึ่งไม่เคยมีปรากฏในกรุงศรีอยุธยามาก่อน และรูปแบบพระบรมธาตุทรงพระปรางค์มีเมรุรายสี่ทิศดังกล่าวนี้ก็สืบทอดมายังพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามที่ รัชกาลที่ ๓ ทรงสร้างขึ้น ภาพสลักรูปครุฑที่ประดับลานพลับพลาโถงทรงจตุรมุข เมืองพระนครหลวง กัมพูชา แต่สิ่งที่เป็นนวัตกรรมใหม่ของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองก็คือ การสร้างพระราชพิธีที่เกี่ยวกับพระบรมศพของพระมหากษัตริย์ให้มีรูปแบบและกระบวนการที่โอ่อ่าและวิจิตรกว่าสมัยใด ๆ การตั้งพระศพบนพระจิตกาธานหมดไป แต่ก่อสร้างพระเมรุมาศที่หมายถึงเขาพระสุเมรุมาตั้งแทน เป็นรูปปราสาทที่มีเมรุรายสี่ทิศเทียบได้กับปราสาทนครวัด ต่างกันแต่เพียงปราสาทนครวัดเป็นเพียงที่ประดิษฐานพระบรมศพเพื่อการประกอบพระราชพิธีอินทราภิเษก ไม่เป็นที่ถวายพระเพลิงเฉกเช่นพระเมรุมาศของไทย อีกสิ่งหนึ่งที่ขอมเมืองพระนครไม่มีก็คือ “พระโกศ” บรรจุพระบรมศพ ขอมไม่มีพระโกศแต่มีหีบพระศพที่ทำด้วยหิน ไม่พบที่ปราสาทนครวัดแต่พบเห็นในที่อื่น เช่นที่ปราสาทบึงมาลาอันเป็นปราสาทร่วมสมัยกับนครวัด เป็นต้น พระเมรุมาศใช้เพื่อการถวายพระเพลิง แต่การตั้งพระบรมศพนั้นไปตั้งที่ “ปราสาทสุริยาศน์อัมรินทร์” อันเป็นปราสาทจตุรมุขที่สร้างขึ้นภายในกำแพงพระราชวังชั้นนอก ไม่ได้อยู่ในพระราชวังชั้นที่ ๒ เหมือนกับ “พระที่นั่งสรรเพชญ” และ “พระที่นั่งวิหารสมเด็จ” อันเป็นพระที่นั่งเพื่อออกว่าราชการ รับแขกเมืองและพระราชพิธีสำคัญต่าง ของราชอาณาจักร แต่พระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์นั้น สร้างเพื่อการตั้งพระบรมศพเป็นสำคัญ เพื่อให้คนทั้งภายนอกและภายในเข้าถวายบังคมพระบรมศพได้ทั่วถึงกัน และเป็นสถานที่ซึ่งสัมพันธ์กับการอัญเชิญพระบรมศพออกมาตั้งขบวนแห่มาตามสนามไชยภายในกำแพงพระราชวังชั้นแรก จากพระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์มาทางตะวันออกผ่านปราสาทตรีมุขที่อยู่บนกำแพงพระราชวังชั้นที่ ๒ ชื่อ “พระที่นั่งจักรวรรดิ์ไพชยนต์” เป็นพระที่นั่งโถงที่ประทับของพระมหากษัตริย์ในพระราชพิธีสนามตามฤดูกาลต่าง ๆ แต่ในงานถวายพระเพลิงนั้นพระมหากษัตริย์เสด็จออกเป็นประธาน เมื่อริ้วขบวนพระบรมศพเคลื่อนผ่านหน้าพระที่นั่งออกยังประตูพระราชวังทางทิศตะวันออกสู่พื้นที่ซึ่งกำหนดให้เป็น “ทุ่งพระเมรุ” ยังบริเวณซึ่งกำหนดให้เป็นพื้นที่เพื่อการถวายพระเพลิงโดยเฉพาะ ภาพปูนปั้นรูปครุฑที่ประดับฐานพระที่นั่งจักรวรรดิไพชยนต์ของพระราชวังกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแบบแผนที่รับมาจากเมืองพระนครหลวง การมีท้องสนามไชยและประเพณีการเชิญพระบรมศพผ่านพระที่นั่งโถงที่พระมหากษัตริย์ประทับทอดพระเนตรนั้น มีรูปแบบอยู่แล้วที่พระราชวังเมืองพระนคร ที่แลเห็นจากปราสาทจัตุรมุข โถงหน้าพระราชวังที่ตั้งอยู่บนฐานยกพื้นเหนือบริเวณสนามไชย ปราสาทตั้งอยู่ตรงกลาง ทางปีกขวาของฐานมีภาพสลักช้างเป็นช่อง ๆ ไป บริเวณนี้คงเป็นที่รับแขกเมืองที่มาร่วมพระราชพิธี ในขณะที่ทางปีกซ้ายเป็นฐานยาวที่ตอนปลายฐานมีร่องรอยของฐานจิตกาธาน แต่สิ่งที่บ่งได้ว่าน่าจะเป็นตำแหน่งที่ถวายพระเพลิงพระมหากษัตริย์ ก็คือการมีรูปปั้นศิลาของพระยมในลักษณะที่เปลือยเปล่านั่งอยู่ ในคติทางฮินดูพระยมคือพระธรรมราชาผู้ที่จะมานำพระวิญญาณของกษัตริย์ไปสรวงสวรรค์ ขอมเมืองพระนครไม่มีการสร้างพระเมรุมาศเพื่อถวายพระเพลิงแน่นอน แต่ขบวนการแห่พระบรมศพจากปราสาทที่ตั้งพระศพคือสิ่งที่ทางไทยได้รับความคิดมา คือมีขบวนแห่พระบรมศพผ่านหน้าพระที่นั่งจตุรมุขจากทางปีกขวาของฐานยกพื้น อันเป็นที่ชุมนุมของแขกเมือง เจ้านายและขุนนางผ่านพระที่นั่งจตุรมุขไปทางปีกซ้ายของฐานยกพื้นที่เป็นที่ประกอบพระราชพิธีถวายพระเพลิงบนฐานจิตกาธานที่มีรูปปั้นพระยมเป็นสัญลักษณ์ เทวปฎิมากรรมรูปนี้คือสิ่งที่คนทั่วไปเรียกว่า “พระเจ้าขี้เรื้อน” แต่สิ่งที่ยืนยันได้เห็นได้ว่าสมเด็จพระเจ้าปราสาททองเอาแนวคิด และรูปแบบการมีขบวนแห่พระบรมศพผ่านหน้าพระที่นั่งจตุรมุข ก็คือภาพสลักรูปครุฑที่ประดับรอบฐานที่พบเห็นเช่นเดียวกันที่ปราสาทพระที่นั่งจักรวรรดิไพชยนต์ของพระราชวังกรุงศรีอยุธยา เมื่อมาถึงท้ายสุดนี้ใคร่สรุปว่า พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพที่แลเห็นในกรุงรัตนโกสินทร์ทุกวันนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลายคือราวรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองและสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยได้อิทธิพลความคิดทางด้านจักรวาลที่มีเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลางจากปราสาทนครวัด หรือวิษณุโลกของขอม แต่ขอมไม่มีการตั้งพระเมรุมาศ รวมทั้งไม่มีพระโกศบรรจุพระบรมศพ ทั้ง ๒ อย่างนี้จึงเป็นนวัตกรรมของไทยโดยเฉพาะ เป็นสัญลักษณ์และเกียรติภูมิของพระมหากษัตริย์ไทยที่ได้รับการรักษาอนุรักษ์และต่อเนื่องมาจนสมัยปัจจุบัน ปีกขวาของฐานพระที่นั่งโถงของพลับพลาฐานจตุรมุขแกะสลักภาพช้าง ซึ่งพระที่นั่งจักรวรรดิ์ไพชยนต์รับมาในรูปแบบเดียวกัน ในทางสังคมและวัฒนธรรมทั้งพระเมรุมาศและพระโกศคือสัญลักษณ์ของความสูงต่ำทางบรรดาศักดิ์ของสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำที่เป็นค่านิยมเรื่อยมาจนปัจจุบัน เพราะหาได้หมดสิ้นไปกับการหมดไปของสังคมศักดินาสมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่ ในสังคมสมัยใหม่ที่มีชนชั้นกลางมากมายนั้น ทุกคนต้องการเผาศพตนเองอย่างมีเกียรติ จึงเกิดการสร้างเมรุหรือพระเมรุมาศเผาศพแทนการเผาที่เชิงตะกอนตามป่าช้าของวัดกันไปทุกแห่งทุกวัด จนเมรุเผาศพกลายเป็นจุดเด่นจุดสูงของวัดแทนหลังคาโบสถ์ และพระสถูปเจดีย์กัน เมรุเผาศพจึงกลายเป็นนวัตกรรมใหม่ของวัดไทยหลังยุคสังคมศักดินา ในส่วนโกศนั้นยังไม่แพร่หลายทั่วไป ยังคงสงวนไว้สำหรับเจ้านายและขุนนางข้าราชการที่ได้สายสะพาย โดยเฉพาะบรรดาขุนนางพ่อค้าที่เป็นนักธุรกิจมั่งคั่ง และนักการเมือง อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ประชาวิพากษ์ [Social Sanction]
เผยแพร่ครั้งแรก 3 เมษายน 2561 ข้าพเจ้าเขียนบทความนี้ขึ้น ด้วยความระลึกเป็นอย่างยิ่งถึง ดร . สุเทพ สุนทรเภสัช นักมานุษยวิทยาอาวุโสที่ข้าพเจ้าเคารพและนับถือ ผู้จากไปเมื่ออาทิตย์ที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ที่แล้วมาด้วยวัย ๘๔ ปี อาจารย์สุเทพในเบื้องต้นเป็นนักมานุษยวิทยาสังคม [Social anthropologist] เช่นเดียวกับข้าพเจ้า อาจารย์สุเทพเรียนจบปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยลอนดอนที่อังกฤษ ส่วนข้าพเจ้าเรียนที่ออสเตรเลีย ที่มหาวิทยาลัยเวสเทรินออสเตรเลีย ครั้งนั้นการเรียนวิชามานุษยวิทยาทั้งอังกฤษและออสเตรเลียเป็นมานุษยวิทยาสังคมเหมือนกัน แนวคิดทฤษฎีและกระบวนการค้นคว้าวิจัยเหมือนกันในแนวคิดทางโครงสร้างและหน้าที่ [Structural, Functional ที่เป็นหัวใจในการค้นคว้าเก็บข้อมูลจากประสบการณ์ภาคสนาม [Field work] ในลักษณะองค์รวม [Wholistic] ด้วยการศึกษา การเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมของมนุษย์ในชุมชน [Community study] ความเหมือนกันที่สำคัญระหว่างอาจารย์สุเทพกับข้าพเจ้าก็คือ ในการเขียนวิทยานิพนธ์เพื่อจบปริญญาโทนั้นคือต้องเข้าไปอยู่ในชุมชนเป็นเวลาร่วมปี ข้าพเจ้าศึกษาเก็บข้อมูลที่ชุมชนบ้านม่วงขาว ตำบลโคกปีบ อำเภอศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรี ในขณะที่อาจารย์สุเทพศึกษาที่ชุมชนบ้านนาหมอม้าในเขตอำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี ( จังหวัดอำนาจเจริญในปัจจุบัน ) อาจารย์สุเทพเป็นรุ่นก่อนข้าพเจ้าหลายปี ได้กลับมาเป็นอาจารย์ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่ระยะหนึ่ง แล้วลาออกไปทำงานในองค์กรอเมริกัน ARPA ร่วมกับบรรดานักวิชาการที่เป็นนักมานุษยวิทยาและสังคมศาสตร์อื่น ๆ เพื่อการพัฒนาสังคมเศรษฐกิจของผู้คนในภาคเหนือและภาคอีสาน ต่อต้านการรุกรานของคอมมิวนิสต์ในยุคสงครามเย็นที่นำไปสู่การทำสงครามระหว่างอเมริกันกับเวียดนามหลังสงครามสงบ อาจารย์สุเทพได้เข้ามาเป็นอาจารย์ในคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเป็นผู้บุกเบิกตั้งภาควิชามานุษยวิทยาขึ้น จึงนับได้ว่าเป็นผู้ให้กำเนิดภาควิชามานุษยวิทยาของคณะสังคมศาสตร์อย่างแท้จริง [Founding Professor] ข้าพเจ้ากลับมาทำงานภาคสนามที่บ้านม่วงขาวเกือบปี จนถึงวันสิ้นสุดของสงครามที่ประธานาธิบดีนิกสัน ถอนทหารจากสงครามเวียดนามและกลับไปเขียนวิทยานิพนธ์ร่วม ๒ ปี จึงกลับมาที่คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร หากแต่ไม่ลงรอยกับผู้บังคับบัญชาและอาจารย์หลายคนในคณะจึงได้ขอให้อาจารย์สุเทพที่เป็นหัวหน้าภาควิชามานุษยวิทยาที่เชียงใหม่ ยืมตัวชั่วคราวจากศิลปากรไปอยู่เชียงใหม่ร่วม ๒ ปี โดยสอนวิชามานุษยวิทยาร่วมกัน ขณะที่อยู่เชียงใหม่ได้มีการออกไปทำงานภาคสนามตามชุมชนชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่อยู่บนพื้นราบร่วมกัน ๓ คนคือ อาจารย์สุเทพ สุนทรเภสัช อาจารย์เกษม บุรกสิกร ผู้เป็นนักสังคมวิทยา ต่อมาอาจารย์สุเทพได้รับทุนจากอเมริกาไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเบิร์กเลย์เพื่อทำปริญญาเอกทางวิชามานุษยวิทยาวัฒนธรรมร่วม ๖ ปี ในขณะที่ข้าพเจ้ากับอาจารย์เกษม บุรกสิกรยังทำงานศึกษาชุมชนทั้งด้านชาติวงศ์วรรณา [Ethnography] และโบราณคดี [Archaeology] อยู่พักหนึ่ง จึงกลับมาสอนที่ภาควิชามานุษยวิทยาศิลปากรจนเกษียณอายุราชการ จุดหันเหระหว่างข้าพเจ้าและอาจารย์สุเทพก็คือ การไปศึกษาต่อที่อเมริกาที่เน้นในเรื่องมานุษยวิทยาวัฒนธรรมนั้นเป็นกระแสสังคมและโลกที่เปลี่ยนแปลงและกว้างขวางออกไป แตกแยกออกเป็นหลายมิติและหลายแขนงทางวิชาการ จนมานุษยวิทยากลายเป็นวิชาครอบจักรวาลไปจนเรื่องของความเป็นมนุษย์อันเป็นสัตว์สังคม หรือสัตว์หมู่ ต้องมีชีวิตอยู่รวมกันอย่างมีโครงสร้างและหน้าที่กลายเป็นปัจเจกบุคคล [Individual] หรือสัตว์เดี่ยว ซึ่งแลเห็นได้จากชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่เป็นสังคมแบบก่อน อันสะท้อนให้เห็นได้จากการสร้างที่อยู่อาศัยแบบต่างคนต่างอยู่ เช่น คอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร เป็นต้น ร้อยพ่อพันแม่เข้ามาอยู่รวมกันโดยไม่มีโครงสร้างสังคม ซึ่งแลเห็นได้จากแนวโน้มทางแนวคิดทฤษฎีแบบโครงสร้างและหน้าที่เปลี่ยนแปลงมาเป็น Post structuralism หรือ Post modernism และ Post colonialism อะไรทำนองนั้น ส่วนข้าพเจ้ายังคงยืนอยู่กับสังคมแบบมีโครงสร้างและหน้าที่ของมานุษยวิทยาสังคมที่เน้นการออกเดินทางไปตามท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศด้วยการเก็บข้อมูลทางชาติวงศ์วรรณา [Ethnography] สำหรับชุมชนปัจจุบัน [Ethnographic present] และอดีตที่ห่างไกลของชุมชนโดยทางโบราณคดี [Archaeological past] ข้าพเจ้ายังมั่นคงกับการศึกษาที่ดูการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของมนุษย์ในชุมชนในบริบททางสังคมและวัฒนธรรมในทั้งทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์สังคม และไม่ตีความคุ้นเคยกับแนวคิดทฤษฎีใหม่ในเชิงวาทกรรมแบบสร้างคำใหม่ ๆ คำใหญ่ ๆ แบบนักวิชาการในยุค Post modern ปัจจุบัน แต่เมื่อมีอะไรติดขัดหรือสติปัญญาน้อยตามการเปลี่ยนแปลงไม่ทัน ข้าพเจ้าก็ต้องหันมาหาอาจารย์สุเทพ สุนทรเภสัช ผู้แม้จะไม่ออกไปตะลอน ๆ ทำงานภาคสนามอย่างข้าพเจ้า แต่ก็รับรู้และหาความรู้ในลักษณะเป็นนักปราชญ์ทางสังคมวัฒนธรรมเพื่อการอธิบาย ตั้งแต่เกษียณราชการจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อาจารย์สุเทพใช้เวลากับการอ่านหนังสือหลาย ๆ อย่างทางสังคมวัฒนธรรม การเมือง เศรษฐกิจ และศิลปวัฒนธรรม ในลักษณะที่เป็นปราชญ์มากกว่านักวิชาการที่รู้อะไรต่ออะไรเฉพาะด้านแบบรู้มากรู้น้อย เมื่อมีอะไรติดขัดข้าพเจ้าก็ต้องหันหน้าไปถามไถ่หารือขอความรู้จากอาจารย์สุเทพที่นับเป็นครูคนหนึ่งของข้าพเจ้า และมักจะได้รับความรู้และคำอธิบายที่กระจ่างเร็วกว่าการไปอ่านหนังสือค้นหาด้วยตนเอง ในฐานะที่เล่าเรียนมาทางมานุษยวิทยาสังคมเหมือนกัน ข้าพเจ้ามักพูดคุยกันกับอาจารย์สุเทพในสิ่งที่เป็นกลไกทางสังคม เช่น การควบคุมสังคม [Social control] และการวิพากษ์สังคม [Social sanction] เสมอ เช่นเรื่องการนินทา [Gossip] ของชาวบ้านที่เป็นคนในชุมชน การนินทาเป็นกลไกในการควบคุมพฤติกรรมทางสังคมของคนที่มีชีวิตร่วมกันในชุมชน เป็นทั้งการส่งสัญญาณทางอ้อมให้ผู้ที่ไม่ประพฤติในกรอบของศีลธรรม จารีตประเพณี ได้รู้สึกตัวอย่างไม่ต้องเผชิญหน้าและชัดเจนว่าใครมีความขัดแย้งต่อกัน เพื่อให้ผู้ที่ถูกพาดพิงมีสติและปรับปรุงแก้ไข แต่ถ้าไม่เปลี่ยนพฤติกรรมก็อาจจะนินทาหนาหูขึ้นจนถึงขั้นพิพากษ์ว่าอะไรเหมาะหรือไม่เหมาะ ดีหรือไม่ดี แล้วมีการลงโทษ หรือถ้าบุคคลนั้นเป็นผู้ทำดีก็จะถูกยกย่องอันเป็นขั้นที่เรียกว่า สังคมพิพากษ์ [Social sanction] ซึ่งในที่นี้ข้าพเจ้าเรียกว่า ประชาวิพากษ์ เพื่อให้เหมาะกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในปัจจุบัน เพราะเป็นกลไกทางสังคมโดยภาคประชาชนและให้แตกต่างไปจากประชารัฐด้วย ปัจจุบันการนินทาก็ยังเป็นกลไกสำคัญอยู่ในสังคมท้องถิ่นที่ยังมีชุมชนอยู่เช่นตามบ้านและเมือง แต่ไม่ใช่กับในละแวกที่อยู่อาศัยสมัยใหม่ เช่น บ้านจัดสรรและคอนโดมีเนียมในสังคมเมือง ที่มีแต่โครงสร้างกายภาพแต่ไม่มีโครงสร้างทางสังคม มีเรื่องตลกกับข้าพเจ้าในการนำนักศึกษาปัจจุบันที่เรียนทางมานุษยวิทยาและสังคมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งลงศึกษาชุมชน เมื่อตอนที่ข้าพเจ้าพูดถึงบทบาทและหน้าที่ของการนินทาก็ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์เชิงขบขันว่าแปลกประหลาดและกระทบกระแทกว่าทั้งข้าพเจ้าและอาจารย์สุเทพยังมีความคิดและวิธีการเช่นนักมานุษยวิทยารุ่นศตวรรษที่แล้วมา ทั้งนี้ก็เพราะนักศึกษาและนักมานุษยวิทยารุ่นใหม่ ๆ เหล่านี้คุ้นกับเรื่องของข่าวลือ [Rumor] อันเป็นเรื่องเชื่อถือไม่ได้ ที่เป็นกลไกของการกล่าวหาของคนที่มีความคิดเป็นปรปักษ์ต่อกันในสังคมปัจจุบัน ที่ความสัมพันธ์ทางสังคมกลายเป็นเครือข่ายของความสัมพันธ์ [Social network] กระจายออกไปกว่าการมีขอบเขตของชุมชน แต่การตั้งข้อสังเกตของข้าพเจ้าที่สะท้อนจากปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทางสังคมที่เรียกว่า ประชาวิพากษ์ นี้ ก็ยังคงดำรงอยู่ในรูปแบบที่เปลี่ยนไปจากคำว่า นินทา [Gossip] ในชุมชนท้องถิ่นที่มีมาแต่เดิม รูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นก็คือสิ่งที่เรียกว่า เฟสบุ๊ค [Facebook] อันเกิดขึ้นจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการสื่อสาร ข้าพเจ้ากำลังจะถกปัญหาเรื่องนี้กับอาจารย์สุเทพแต่ก็ช้าไป เพราะท่านล้มป่วยและจากไปเสียก่อน จึงต้องนำข้อสังเกตมาเสนอต่อในที่นี้แทน สังคมไทยโดยภาพรวมปัจจุบันเป็นสังคมทุนนิยมอุตสาหกรรมที่มีความก้าวหน้าทางด้านวัตถุและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้าสู่ระดับ ๔.๐ เช่นประเทศแนวหน้าหลายแห่งในสังคมโลกที่เรียกว่ายุคโลกาภิวัตน์ แต่ในด้านศีลธรรม จริยธรรมและระเบียบวินัย การศึกษาและความรู้สึกนึกคิดของคนส่วนใหญ่ในสังคมยังอยู่ในระดับ ๐.๔ เพราะคนส่วนใหญ่ยังมีพื้นฐานทางสังคมวัฒนธรรมของสังคมเกษตรกรรมแบบชาวนา [Peasant society] อยู่ ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเทคโนโลยีในระดับ ๔.๐ กับคนส่วนใหญ่ของประเทศที่ยังไต่ระดับ ๐.๔ จึงเป็นสิ่งที่นักมานุษยวิทยาเรียกว่า ความล้าหลังทางวัฒนธรรม [Culture lag] ความล้าหลังทางวัฒนธรรมที่เกิดจากการเปลี่ยนผ่านของสังคมเกษตรกรรมแบบชาวนาเข้าสู่สังคมทุนนิยมอุตสาหกรรมตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้นมานั้น ทำให้เกิดความขัดแย้งทางระบบศาสนา ศีลธรรม และจริยธรรมเรื่อยมา ที่มีผลทำให้สังคมไทยในส่วนรวมไม่ว่าทั้งประชารัฐและประชาสังคมกลายเป็น สังคมละเมิดกฎหมาย [Law violating society] ที่มาถึงการเกิดวิกฤติทางศีลธรรมและจริยธรรมที่สะท้อนให้เห็นจากความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและประชาสังคมในยุคโลกาภิวัตน์ การขัดแย้งระหว่างรัฐและประชาชนหรือประชาสังคมที่เห็นชัดก็คือ การใช้อำนาจทางกฎหมายจัดการกับประชาชนอย่างไร้เป็นธรรมทำให้เกิดการทุจริตคอรัปชั่น ฉ้อราษฎร์บังหลวงของขุนนางข้าราชการของรัฐที่ให้ความร่วมมือกับนักธุรกิจ นายทุนทั้งในชาติและข้ามชาติ กระทำการไม่ชอบธรรมเอาเปรียบประชาชนที่ด้อยโอกาสและเดือดร้อน ในขณะที่ทางภาคสังคมทั้งคนชั้นกลางและชั้นล่างทั้งรุ่นผู้ใหญ่และเด็กก็ถูกครอบงำด้วยวัตถุนิยม ความโลภและตัณหากิเลสราคะในเรื่องโลกีย์สุข แต่ทุกฝ่ายล้วนใช้สื่อแบบเล่ห์ทุบายในการชวนเชื่อให้คนต่างก็เป็นคนดีมีศีลธรรมกันทั้งนั้น ผลที่สะท้อนออกมาเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมและวัฒนธรรมในขณะนี้ก็คือ ความขัดแย้งที่เห็นได้จากเรื่องราวของตำรวจ ข้าราชการ พระสงฆ์องค์เจ้า นักธุรกิจ นายทุนและนักการเมือง รวมทั้งนักวิชาการกับประชาสังคมในขณะนี้ แต่ท่ามกลางความล้มเหลวในการใช้กฎหมาย การใช้อำนาจรัฐที่ไม่เป็นธรรมและกระบวนการยุติธรรมที่ล้วนแต่จนเกือบไม่ทำอะไรเลย ก็เกิดการเคลื่อนไหวทางภาคประชาสังคมในการติดตามและวิพากษ์วิจารณ์การกระทำที่ไม่ชอบธรรมของข้าราชการของรัฐ นักการเมืองและพ่อค้านายทุนตลอดจนพระสงฆ์และขุนนางพระมากขึ้นในช่องทางของระบบอินเทอร์เน็ตที่เรียกว่า Facebook ที่ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นกลไกทางสังคมในการควบคุมและวิพากษ์วิจารณ์ที่มีพลังในการต่อรองกับรัฐและนายทุน เป็นอะไรที่คล้ายกับการนินทา [Gossip] ของสังคมชาวนาในท้องถิ่นที่ใช้บริบทของความสัมพันธ์ทางสังคมในพื้นที่ [Social structure] แต่ปรากฏการณ์ของ Facebook เป็นเรื่องของในสังคมที่มีความสัมพันธ์ทางเครือข่าย [Social network] ที่แผ่กว้างออกไปกว่าความสัมพันธ์ทางสังคมของคนในชุมชนใดชุมชนหนึ่ง ก็นับว่าเป็นพัฒนาการทางเทคโนโลยีกับคนในสังคมที่ทันสมัยขึ้นเพื่อยุคสังคม ๔.๐ ในอนาคต โดยสรุปการใช้ Facebook ของผู้คนในปัจจุบันก็คือกลไกเพื่อการวิพากษ์ทางสังคมในระบบความสัมพันธ์ที่เรียกว่า Social network ในปัจจุบันนั่นเอง ความสำคัญและความหมายของ Facebook และช่องทางในโซเชียลมีเดียต่าง ๆ นอกเหนือไปจากการสื่อปกติก็คือ Social sanction ที่มีอำนาจในการต่อรองกับทางรัฐและทางทุนของผู้คนทั่วไปในภาคประชาสังคม ที่ว่าอำนาจนั้นไม่ได้หมายถึงอำนาจที่บังคับใช้ได้ตามกฎหมาย หากเป็นอำนาจต่อรองจากการแสดงความคิดเห็นของผู้คนในประชาสังคมที่เกิดจากการแสดงออกของคนหลายกลุ่มเหล่า ที่มีทั้งการขัดแย้งในทางตรงข้ามและเลือกฝักฝ่ายว่าเป็นพวกใดกลุ่มใด เสียงเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยใน Facebook ของแต่ละบุคคลนั้นเป็นเสียงจากปัจเจกที่มีทั้งรู้เรื่องราวอย่างตื้นและผิวเผินหรือลุ่มลึก แต่เมื่อมาเชื่อมโยงจากเครือข่ายแล้วผ่านออกมาทางสื่อมวลชน เช่น โทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์ รวมทั้งการวิเคราะห์ของผู้สนใจและรักความถูกต้องชอบธรรมแล้ว ก็สามารถชี้ให้เห็นว่าอะไรถูกต้องเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมได้ในการวิพากษ์วิจารณ์ เกิดเป็นความรู้ความเข้าใจที่มีอำนาจในการต่อรองกับการตัดสิน ความเห็นของทางฝ่ายผู้มีอำนาจทางกฎหมาย ซึ่งถ้าหากทางผู้มีอำนาจไม่ยอมรับและหลีกเลี่ยงก็อาจจะเกิดสิ่งที่นำไปสู่การเคลื่อนไหวในลักษณะที่เป็นประชาขัดขืน [Civil disobedience] ได้ ในเรื่องนี้มีหลายกรณีที่ทางผู้มีอำนาจมักจะอ้างความถูกต้องทางกฎหมายในกระบวนการยุติธรรม แต่ฝ่ายที่ไม่ยอมรับเห็นว่าเป็นสิ่งไม่ชอบธรรมที่ต้องตัดสินกันด้วยมโนธรรมและศีลธรรม สังคมไทยในยุคเทคโนโลยี ๔.๐ นี้กำลังมีการต่อรองกันด้วยอำนาจของรัฐโดยชอบธรรมทางกฎหมาย กับอำนาจของประชาวิพากษ์ที่หลาย ๆ เรื่อง ยังไม่อาจหาข้อยุติได้ บางเรื่องเล็ก ๆ ก็พอหาข้อยุติได้ เช่น กรณีหวย ๓๐ ล้าน แต่เรื่องการที่รัฐจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในภาคใต้ยังซื้อเวลาอยู่ เพราะผู้มีอำนาจพอมีสติว่าถ้าหากดำเนินการต่อไปย่อมเกิดการขัดขืนที่รุนแรงอย่างแน่นอน แต่เรื่องที่ยังคลุมเครือและแอบทำอยู่เรื่อย ๆ ก็คือ การรื้อป้อมมหากาฬอันเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของคนในชุมชน รวมทั้งโครงการทำถนนขนาบแม่น้ำเจ้าพระยาที่จะมีผลให้เกิดการขับไล่คนในชุมชนและการทำลายวัดวาอารามสิ่งก่อสร้างทางศิลปวัฒนธรรมและทิวทัศน์ทางประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฯ และธนบุรีนั้น น่าจะกลายเป็นการประลองกำลังกันระหว่างอำนาจทางกฎหมายของผู้เผด็จการกับอำนาจประชาวิพากษ์ที่มาจาก Facebook และสื่อต่าง ๆ ในภาคประชาสังคม อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- “คนจน” กับ “วัฒนธรรมความจนในสังคมไทย”
เผยแพร่ครั้งแรก 22 มิ.ย. 2561 ในแนวคิดทางมานุษยวิทยาของข้าพเจ้า “ความจน” [Poverty] ในสังคมไทยปัจจุบัน วิเคราะห์ได้เป็น ๒ อย่าง ดร.ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ และอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ถ่ายที่บ้านบาตร อย่างแรกคือ คนจนที่แลเห็นเป็นคน ๆ ไป [Individual] เป็นความจนที่พิจารณาจากระดับรายได้ที่ต่ำสุดซึ่งไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ เป็นสิ่งที่ทางรัฐและสังคมต้องให้เงินช่วยเหลือ อย่างเช่นการจัดกองทุนหมู่บ้านที่ทำมาแต่สมัยนายทักษิณ ชินวัตร และสืบเนื่องมาจนถึงรัฐบาลยุคปฏิวัติของคสช. ในปัจจุบัน อย่างที่สองคือ “วัฒนธรรมความจน” ซึ่งเป็นแนวคิดและการศึกษาทางมานุษยวิทยาที่มาจากการศึกษาชุมชนในนิวยอร์กและเม็กซิโกของ “ออสการ์ ลูวิส” ใน ค.ศ. ๑๙๖๖ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ห่างไกลกับความคิดของนักวิชาการสมัยโพสต์โมเดิร์น ในปัจจุบันมาก “วัฒนธรรมความจน” ของออสการ์ ลูวิส เป็นเรื่องของวิถีชีวิตของคนที่อยู่รวมกันในชุมชนท้องถิ่นในสังคมที่เปลี่ยนผ่านจากสังคมชาวนาที่เป็นเกษตรกรรม [Peasant society] มาเป็นสังคมเมืองในยุคอุตสาหกรรม ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันเนื่องจากการโยกย้ายถิ่นฐานของผู้คนที่เคยอยู่กันมานานในท้องถิ่น ต้องละทิ้งอาชีพเดิมทางเกษตรกรรมและการเลี้ยงสัตว์ ที่เคยมีที่ดินที่ทำกินของตนเอง เข้ามาเป็นแรงงานรับจ้างตามเมืองและแหล่งอุตสาหกรรม อันเป็นเหตุให้เกิดการพลัดพรากจากครอบครัว และการล่มสลายของชุมชนในท้องถิ่น เมื่อโยกย้ายเข้ามาอยู่ในพื้นที่ซึ่งเป็นเมืองและแหล่งอุตสาหกรรมแล้ว ไม่อาจปรับตัวให้ทันกับความเจริญทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยีและวัฒนธรรมของคนเมืองได้ เกิดภาวะความล้าหลังตามไม่ทันสมัย ก็กลายเป็นกลุ่มคนที่เร่ร่อน สร้างที่อยู่อาศัยตามพื้นที่ต่าง ๆ ที่ไม่พัฒนาทั้งในเขตเมืองและตามชายขอบของที่เป็นปริมณฑล ดังเช่น บรรดานักผังเมือง นักสังคมสงเคราะห์เรียกว่าพื้นที่แออัดและสกปรกเต็มไปด้วยโรคภัย [Slum and plight area] ชุมชนบ้านบาตรและบ้านเรือนในอดีตที่มีความเป็นชุมชนแบบดั้งเดิมที่มีความชำนาญเฉพาะด้านในโครงสร้างแบบเมือง แต่ออสการ์ ลูวิส แลเห็นว่าเป็นกลุ่มวัฒนธรรมย่อยของสังคมใหญ่ที่เรียกว่า Sub culture ของกลุ่มชนที่มีวิถีชีวิตร่วมกัน เป็นสังคมหรือชุมชน [Community] ในสังคมเมือง [Urban society] โดยสร้างสังคมของคนในชุมชนที่เป็นวัฒนธรรมย่อยดังกล่าวนี้ เหมือนกันกับความเป็นชุมชนทั่วไปที่ประกอบด้วยครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับแม่ ที่มีบทบาทมากกว่าพ่อในการดูแลเลี้ยงดูลูก เหนือระดับครอบครัวขึ้นไปก็คือการสัมพันธ์ทางสังคมกับครอบครัวอื่นที่เข้ามาอยู่รวมกันในพื้นที่เดียวกัน ทำให้คนแต่ละครอบครัวเหล่านี้ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันมีความสัมพันธ์กันในทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมในการมีชีวิตรอดร่วมกัน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นวิถีชีวิตที่มีความรู้สึกร่วมทุกข์สุขในการเป็นกลุ่มเดียวกัน สิ่งนี้ข้าพเจ้าเรียกว่า “ชีวิตวัฒนธรรม” ที่มีลักษณะเป็นองค์รวม ทำให้คนในกลุ่มวัฒนธรรมย่อยมีปึกแผ่นทางสังคม [Social solidarity] สูงกว่าบรรดาชุมชนอื่นในสังคมเมืองทั้งหลาย แต่ต่างจากชุมชนเมืองเหล่านั้นเมื่อนำมาเปรียบเทียบ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในเรื่องฐานะความเป็นอยู่ รายได้และมาตรฐานในการดำรงชีวิต ความแตกต่างเหลื่อมล้ำนี้คือที่มาของคำว่า วัฒนธรรมความจน [The Culture of poverty] วัฒนธรรมความจนจะไม่พบมากในสังคมชนบทที่เป็นสังคมชาวนา [Peasant society] เพราะความแตกต่างในชีวิตวัฒนธรรมแทบไม่มี เพราะอยู่ในระดับใกล้เคียงกันหมดและความยากจนยากไร้ของปัจเจกบุคคล อันได้รับการดูแลช่วยเหลือจากคนในครอบครัวหรือจากองค์กรของชุมชนเอง อย่างเช่นในชุมชนของคนมุสลิมในภาคใต้จะมีกฎเกณฑ์ที่เป็นประเพณีให้คนในสังคมที่มีรายได้มากต้องเสียภาษีคนจนให้กับองค์กรของชุมชนที่จะมีหน้าที่รับรู้ถึงคนใด และครอบครัวใดที่ยากจนและขัดสน ก็จะนำเงินเหล่านั้นไปให้ความช่วยเหลือ แม้แต่ในชุมชนของคนพุทธคนที่เดือดร้อนขัดสนก็อาจมีชีวิตรอด มีที่อยู่อาศัยตามวัดหรือกับพี่น้องที่จะต้องดูแลไม่ให้อดตายเพราะความยากจน และชุมชนบ้านใดถิ่นใดเกิดมีคนยากจนอดอยากก็จะเป็นที่ดูถูกเหยียดหยาม โดยชุมชนอื่น ๆ ในท้องถิ่น สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่เป็นยุคแรก ๆ ของการปรับเปลี่ยนประเทศให้เป็นสังคมอุตสาหกรรม ได้มีการเคลื่อนย้ายของผู้คนในสังคมชาวนาในชนบทเข้ามาหางานทำและหาที่อยู่อาศัยในเขตเมือง โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครที่มีการขยายตัวอย่างกว้างขวาง ปรากฏการณ์ที่คนชาวนาเข้ามาตั้งหลักแหล่งทำมาหากินในเมืองนี้ เรียกว่า Peasantization of urban society ซึ่งข้าพเจ้าได้ว่าประมาณปี ค . ศ . ๑๙๖๒ ที่ข้าพเจ้ากลับจากออสเตรเลียมาเก็บข้อมูลภาคสนามเพื่อทำวิทยานิพนธ์นั้น ก็ได้แลเห็นปรากฏการณ์ Peasantization นี้ จากการมีคนทางภาคอีสานเข้ามามาก เกิดร้านค้า อาหารส้มตำไก่ย่างที่มาพร้อมกับบรรดาเพลงลูกทุ่งที่กลายเป็นที่นิยมของคนเมืองทั่วไปอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนย้ายของคนชนบทโดยเฉพาะจากทางภาคอีสานนั้น มีทั้งการเข้ามาเป็นแรงงานรับจ้างทำงานตามฤดูกาล เช่นในฤดูแล้งและว่างเว้นจากการทำนาทำไร่ แล้วกลับไปกับพวกที่เข้ามาทั้งครอบครัว อันเนื่องจากเป็นพวกไม่มีที่ดินทำกิน มักเข้ามาอยู่อาศัยพักพิงตามชุมชนเก่า ๆ ในเมืองตามย่านต่าง ๆ จนทำให้บรรดาชุมชนเมืองเหล่านั้นมีสภาพแออัด หลาย ๆ แห่งกลายเป็นชุมชนแออัดและพื้นที่สกปรกที่ทางราชการเรียกว่า Slum and plight area เป็นสิ่งที่เสื่อมโทรมและล้าหลังทั้งผู้คนและสภาพแวดล้อม จะต้องได้รับการพิจารณาใหม่หรือไม่ก็ให้เคลื่อนย้ายไปอยู่ที่อื่น โดยเฉพาะบรรดาผู้คนที่อยู่ในแหล่งพื้นที่แออัดและเสื่อมโทรมเช่นนี้ ก็มักจะถูกมองโดยคนในสังคมเมืองรุ่นใหม่ที่อยู่ในแหล่งที่อยู่อาศัยที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีและทันสมัย ซึ่งคือคนรุ่นใหม่หรือไม่ก็ย้ายเข้ามาใหม่จากที่อื่น ๆ จากต่างจังหวัดหรือต่างประเทศเข้ามาเป็นพลเมืองในยุคใหม่จำนวนมาก มักดูถูกว่าเป็นคนยากจน ไม่มีอาชีพการทำมาหากินที่แน่นอน มักละเมิดกฎหมาย เล่นการพนัน ลักขโมย รวมทั้งเป็นอันธพาล ในยามใดที่มีคดีความในเรื่องการละเมิดกฎหมายเกิดขึ้น ทั้งทางรัฐและคนเมืองก็มักจะคิดว่าเป็นการกระทำของคนด้อยโอกาสเหล่านั้น แหล่งชุมชนแออัดที่เรียกว่าเป็นแหล่งเสื่อมโทรมดังกล่าวนี้ คือสิ่งผู้คนภายในที่มีวิถีชีวิตร่วมกันที่ไม่ได้ระดับมาตรฐานของความเป็นอยู่ของความเป็นเมืองคือ “วัฒนธรรมความจน” [The culture of poverty] เป็นความยากจนที่มองจากข้างนอกเข้ามา ความยากจนที่มองจากวิถีชีวิตร่วมกันที่เรียกว่าเป็นชีวิตวัฒนธรรมนั้น ทางรัฐและสังคมไทยในส่วนรวมมักไม่เข้าใจ แต่จะเข้าใจเพียงว่าความจนเป็นเรื่องของความขัดสนในเรื่องเงินทองที่เป็นรายได้อันเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล จึงมักจะให้ความช่วยเหลือเป็นราย ๆ ไป จากการบริจาคหรือจากการตั้งเป็นกองทุนแล้วแจกจ่ายผ่านองค์กรหรือหน่วยงาน จนเกิดเรื่องการยักยอกและการทุจริตในเรื่องเงินช่วยเหลือคนจนในขณะนี้ ตามที่กล่าวมาแล้วนี้พอสรุปให้เห็นได้ว่า การพัฒนาบ้านเมืองเข้าสู่สมัยใหม่ที่เป็นการเปลี่ยนผ่านจากสังคมเกษตรกรรมแบบชาวนาตั้งแต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้นมานั้น มีทั้งสิ่งที่เรียกว่าความก้าวหน้าในความเป็นเมืองสมัยใหม่กับความล้าหลังทางวัฒนธรรมของกลุ่มชนที่อยู่มาแต่เดิมกับคนกลุ่มใหม่จากชนบทเข้ามาอยู่รวมกันก่อให้เกิดภาวะความแออัดในเรื่องที่อยู่อาศัยและสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรม ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำและแตกต่างทางเศรษฐกิจและสังคม ที่ทั้งรัฐและพลเมืองรุ่นใหม่แลเห็นว่าเป็น “คนยากจน” อยู่ในพื้นที่แออัดและเสื่อมโทรมที่เรียกว่า Slum and blight area ทั้งหมดนี้ นำไปสู่อคติในเรื่องชีวิความเป็นอยู่ของคนด้อยโอกาสเหล่านี้ว่านอกจากยากจนแล้วยังมีพฤติกรรมนอกกฎหมายที่เป็นแหล่งอันธพาลเล่นการพนัน ลักขโมย อันเป็นที่รังเกียจของคนเมือง นี่คือสิ่งที่ทางหน่วยราชการของรัฐ เช่น หน่วยงานรับผิดชอบทางผังเมืองและนักวิชาการทางสังคมศาสตร์ในยุคนั้น แลเห็นว่าต้องทำการโยกย้ายเวนคืนที่ดิน และสร้างสถานที่ใหม่ พื้นที่ใหม่ให้มาแทน โดยการฟ้องขับไล่ หรือไม่ก็ให้ค่าชดเชยเป็นเงินเป็นทองไปหาที่อยู่ใหม่ ดังเช่นการกระทำของกรุงเทพมหานคร ในการจัดการชุมชนชาวตรอกที่ชุมชนป้อมมหากาฬเป็นตัวอย่าง สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่นักมานุษยวิทยาแต่ปี ค.ศ ๑๙๖๖ ให้ความสำคัญกับกลุ่มคนด้อยโอกาสที่อยู่ในพื้นที่ซึ่งทางรัฐว่า แหล่งเสื่อมโทรม เป็นวัฒนธรรมย่อยของสังคมเมืองที่ผู้คนที่อยู่ร่วมกันในพื้นที่มีชีวิตวัฒนธรรมที่เรียกว่า “วัฒนธรรมความจน" แต่เมืองไทยและวงการศึกษาทางมานุษยวิทยาเกี่ยวกับสังคมเมืองไม่มี มาจนปี ค.ศ. ๑๙๖๘ เมื่อ รองศาสตราจารย์ ดร . อคิน รพีพัฒน์ ผู้เป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไปศึกษาขั้นปริญญาเอกทางมานุษยวิทยาที่มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ สหรัฐอเมริกา และเข้ามาทำงานภาคสนามในสังคมเมืองกรุงเทพมหานครโดยเลือกศึกษาเก็บข้อมูลที่ ชุมชนแออัดที่เรียกว่า “สลัม” [Slam] ท่านอาจารย์อคินจึงนับเนื่องเป็นนักมานุษยวิทยาคนไทยคนแรกที่ทำการศึกษาชุมชนในเมืองอย่างแท้จริง ผลการศึกษาของท่านก็คือแหล่งที่เรียกว่า “สลัม" หรือ “ชุมชนแออัด” นั้น คือชุมชนที่มีโครงสร้างทั้งด้านสังคมและวัฒนธรรมอย่างชัดเจน ซึ่งในความเห็นของข้าพเจ้าเป็น ชุมชนในวัฒนธรรมความจน [Culture of poverty] นั่นเอง จากนั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ความรู้ความเข้าใจในเรื่องความเป็นชุมชนและชีวิตวัฒนธรรมของแหล่งที่เรียกว่า Slum และ Plight areas ก็แพร่หลายเป็นที่รับรู้ไปทั้งคนในหน่วยราชการที่รับผิดชอบของรัฐกับของทางฝ่ายประชาสังคม โดยเฉพาะคนที่เป็นเจ้าหน้าที่ทางรัฐนั้นค่อนข้างเฉื่อยชา ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าชุมชนสลัมนั้นต้องเน้นที่คน ต้องพัฒนาที่คน แต่กลับยังใช้วิธีการเดิมอยู่ เช่น พยายามไล่ รื้อ ขับไล่ กล่าวหา เพราะง่ายต่อการปฏิบัติ ในขณะที่คนที่อยู่ในภาคประชาสังคมมีการเคลื่อนไหวผลักดันต่อรองเพื่อการดำรงอยู่ทางชีวิตวัฒนธรรมร่วมกันของคนในชุมชน ซึ่งในทุกวันนี้กำลังเพิ่มพูนความขัดแย้งมากกว่าแต่เดิมอันมีเหตุมาจากทางผังเมืองและหน่วยงานของรัฐต้องการพัฒนาโครงสร้างและขอบเขตของบ้านเมืองสมัยใหม่เพื่อขานรับความเป็น ๔.๐ ทางเศรษฐกิจและสังคมในยุคโลกาภิวัตน์ การศึกษาวิจัยทางมานุษยวิทยาของ อาจารย์ ม . ร . ว . อคิน รพีพัฒน์ ในสังคมเมืองยุคเปลี่ยนผ่านจากสังคมเกษตรกรรมเข้าสู่การเป็นสังคมอุตสาหกรรมนั้น ในส่วนรวมได้ทำให้สังคมรับรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่า ชุมชนแออัดและแหล่งเสื่อมโทรมนั้นคือชุมชนของมนุษย์ เช่นเดียวกันกับมนุษย์ที่อยู่ในชุมชนทั้งหลาย แม้เจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยราชการตลอดจนพวกนายทุน พ่อค้าที่ยังยึดมั่นกับคำว่าแหล่งเสื่อมโทรมเหล่านั้นจะไม่ยอมรับและมีวันเข้าใจ แต่ผู้คนในที่อยู่ในชุมชนแออัดเหล่านั้น ได้ตระหนักในความเป็นมนุษย์ที่จะต้องอยู่ร่วมกันและมีวัฒนธรรมร่วมกันที่จะได้มีชีวิตรอด จึงเกิดการเคลื่อนไหวและตื่นตัวมาโดยตลอด ซึ่งเห็นได้จากการคัดค้าน ต่อรอง และขัดขืนต่อโครงการพัฒนาบ้านเมืองที่ทำให้เกิดความวิบัติขึ้นในชีวิตวัฒนธรรมของพวกคน อาจารย์อคินคือนักมานุษยวิทยาในสังคมเมืองของประเทศในขณะนี้ก็ว่าได้ที่เรียนรู้และรู้จักชุมชนในวัฒนธรรมความจน อีกทั้งพยายามช่วยเมื่อเกษียณอายุราชการจากสถาบันในมหาวิทยาลัย ได้รับการเชิญจากสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ให้เป็นที่ปรึกษาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบรรดาชุมชนแออัดที่อยู่ในพื้นที่ความรับผิดชอบของสำนักงาน ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์จะเห็นคุณค่าในคำเสนอแนะนำของอาจารย์อคินเป็นอย่างไร แต่คงไม่ถึงเป็นแบบเดียวกันกับบรรดาสำนักงานของทางราชการทั้งหลาย เช่น กรุงเทพมหานครและผังเมืองเป็นอาทิที่ดูมีกิจกรรมในทางลบกับชุมชนในวัฒนธรรมความจนเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง ในส่วนของข้าพเจ้าและมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ได้รับคำแนะนะและอนุเคราะห์จากอาจารย์อคินให้รับทุนอุดหนุนจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เพื่อทำการศึกษาประวัติศาสตร์สังคมของบรรดาชุมชนในพื้นที่เขตของกรุงเทพมหานครที่อยู่สองฝั่งของคลองบางลำพู-โอ่งอ่างและคลองผดุงกรุงเกษม ที่มีแหล่งชุมชนแออัดที่จะต้องได้รับการเคลื่อนย้ายและปรับปรุงมากมาย เป็นผลให้ได้ความรู้ความเข้าใจในข้อเท็จจริงของความเป็นชุมชนมนุษย์ที่คนภายนอกมองว่าเป็นแหล่งมั่วสุมมั่วยาเสพย์ติดเสื่อมโทรมและนอกกฎหมายนั้น ที่แท้คือชุมชนมนุษย์ที่คนในชุมชนยังมีวิถีชีวิตร่วมกันในวัฒนธรรมความจนนั่นเอง ชุมชนดังกล่าวนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นชุมชนชาวตรอกที่กลายเป็นกลุ่มวัฒนธรรมย่อย [Subculture] ของสังคมใหญ่ในท้องถิ่นที่เรียกว่า “ ย่าน ” หรือ “ บาง ” เช่น ชุมชนชาวตรอกบ้านบาตรที่เป็นส่วนหนึ่งของย่านใหญ่ที่มีวัดสระเกศเป็นศูนย์กลาง และชุมชนชาวตรอกที่ป้อมมหากาฬ อันมีวัดราชนัดดาเป็นศูนย์กลาง ความต่างกันของชุมชนชาวตรอกทั้งสองแห่งนี้คือ ชุมชนป้อมมหากาฬถูกไล่รื้อทำลายโดยโครงการพัฒนาเมืองใหม่ของกรุงเทพมหานครที่ยังมีแนวคิดติดกับการพัฒนาพื้นที่แต่ไม่เห็นผู้คนในชุมชนที่มีชีวิตสืบเนื่องมาหลายยุคสมัย แต่ในทำนองตรงข้ามชุมชนชาวตรอกของบ้านบาตรยังดำรงอยู่ของคนในชุมชนรุ่นใหม่ที่สืบเนื่องวิถีชีวิตความเป็นอยู่มาแต่รุ่นเก่าหลายชั่วคนแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ ซึ่งแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเติบโตไปกว่าแต่เดิมก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่คนในชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนากับสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ที่มีรองศาสตราจารย์ ดร . อคิน รพีพัฒน์ เป็นที่ปรึกษา อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- เขาขุนน้ำนางนอน : ภูศักดิ์สิทธิ์ของแอ่งเชียงแสน
เผยแพร่ครั้งแรก 21 ก.ย. 2561 ทุกวันนี้คนไทยทั่วประเทศคงไม่มีใครปฏิเสธว่าไม่เคยได้ยิน หรือไม่รู้จักคำว่า เขาขุนน้ำนางนอนและถ้ำหลวงที่เด็กนักฟุตบอลทีมหมูป่าอาคาเดมี เข้าไปเที่ยวและติดอยู่ในถ้ำจนเกือบไม่รอดชีวิต เป็นเหตุให้คนไทยและคนทั่วโลกระดมทั้งความรู้และพละกำลังไปช่วยเหลือให้รอดมา เหตุการณ์ครั้งนี้นับเป็นปรากฏการณ์ทางศีลธรรมและมนุษยธรรมอย่างแท้จริง และนับได้ว่าเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ด้วย ในการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยจากหลักฐานของการสร้างบ้านแปงเมืองของข้าพเจ้าในภูมิวัฒนธรรมของดินแดนล้านนาในภาคเหนือของประเทศไทย ที่ปรากฏตามที่ลาดลุ่มและที่ราบลุ่มในบริเวณระหว่างเขา (intermountain area) ที่เรียกว่า หุบ (valley) และแอ่ง (basin) นั้น เขาขุนน้ำนางนอนเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของแอ่งเชียงแสนในจังหวัดเชียราย ซึ่งเป็นที่ราบลุ่มโอบล้อมด้วยภูเขาทุกด้าน ด้านตะวันตกคือเขาขุนน้ำนางนอนที่เป็นขอบของเทือกเขาแดนลาวที่เป็นพื้นที่ของรัฐฉานในเขตประเทศพม่า ทางเหนือเป็นของเขาที่อยู่ในเขตพม่าที่มีลำน้ำสายและลำน้ำรวกมาสบกันเป็นลำน้ำใหญ่ ไหลผ่านที่ลาดลุ่มทางตอนเหนือของแอ่งเชียงแสนไปออกแม่น้ำโขงทางตะวันออกที่ตำบลสบรวก หรือที่เรียกกันในปัจจุบันว่า สามเหลี่ยมทองคำ และลำน้ำรวก คือเส้นจดแดนที่แบ่งเขตประเทศไทยออกจากประเทศพม่า จากสบรวกลงมาทางใต้จนถึงปากลำน้ำแม่คำใกล้กับเมืองเชียงแสน มีเขาเตี้ย ๆ ทำหน้าที่เป็นขอบของแอ่งเชียงแสนก่อนที่จะถึงบริเวณชายฝั่งแม่น้ำโขงและตอนปลายเขากลุ่มนี้ ซึ่งเป็นที่ลาดลุ่มชายของลงแม่น้ำโขงลำน้ำรวก และเมืองเชียงแสนทางตอนล่างที่ใกล้กับปากลำน้ำแม่คำ ทางด้านใต้ของแอ่งเชียงแสน มีกลุ่มเขาเตี้ย ๆ จากอำเภอแม่จัน เป็นของแอ่งเป็นบริเวณที่มีลำน้ำสองสายจากทางตะวันตก ผ่านแอ่งเชียงแสนมาออกแม่น้ำโขงใต้เมืองเชียงแสนลงมา ลำน้ำทั้งสองนี้คือ ลำน้ำแม่จันกับลำน้ำแม่คำ ลำน้ำแม่จันไหลผ่านช่องเขาทางใต้ของเขาขุนน้ำนางนอนเลียบกลุ่มเขาแม่จันมาสมทบกับลำน้ำแม่คำที่ไหลมาจากขุนน้ำนางนอนกลายเป็นลำน้ำแม่คำไหลผ่านเมืองเชียงแสนไปออกแม่น้ำโขงที่ปากคำ กลุ่มเขาของแม่จันจากอำเภอแม่จันมาออกปากลำน้ำคำนี้คือทิวเขาที่กันบริเวณแอ่งเชียงแสนของลำน้ำแม่สาย ลำน้ำคำและลำน้ำแม่จันออกจากลุ่มน้ำแม่กกที่นับเนื่องเป็นบริเวณแอ่งเชียงรายที่มีลำน้ำแม่ลาวและแม่กกรวมไหลกันมาออกแม่น้ำโขงที่ตำบลสบรวก อาจกล่าวได้ว่าทิวเขาแม่จันนี้คือ สันปันน้ำที่แบ่งแอ่งเชียงรายออกจากแอ่งเชียงแสน แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่าการแบ่งสันปันน้ำก็คือ ทางเชิงเขาฟากฝั่งแอ่งเชียงรายเป็นที่ลุ่มต่ำเต็มไปด้วยหนองบึงที่เรียกว่า หนองหล่ม คือหนองที่มีน้ำซับหรือน้ำใต้ดินที่มีระดับน้ำไม่คงที่ เช่นเวลาฝนตกและมีน้ำใต้ดินมาก น้ำอาจท่วมท้นทำให้เกิดน้ำท่วมดินถล่มกลายเป็นทะเลสาบได้ หรือเมือง น้ำใต้ดินลดน้อยลงแผ่นดินโดยรอบก็จะแห้งกลับคืนมาทำให้คนเข้าไปตั้งถิ่นที่อยู่อาศัยโดยรอบของหนองหรือทะเลสาบนั้นได้ ในการศึกษาทางภูมิวัฒนธรรมของการสร้างบ้านแปงเมืองในแอ่งเชียงแสนจากตำนานของข้าพเจ้า และบิดาคือ อาจารย์มานิต วัลลิโภดม พบว่าแอ่งเชียงแสนเป็นที่เกิดของเมืองที่เป็นต้นกำเนิดของคนไทยสองเมือง คือเมืองเวียงพางคำ เชิงที่ราบลุ่มของเขาขุนน้ำนางนอนที่อยู่ขอบเขาใกล้กับลำน้ำแม่สายที่อยู่ทางตอนเหนือของแอ่งเชียงแสน กับเมืองเวียงหนองหล่มที่อยู่ชายขอบทิวเขาแม่จันทางฟากลุ่มน้ำแม่กก ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของแอ่งเชียงแสน ตำนานที่กล่าวถึงการสร้างบ้านแปงเมืองที่ว่านี้ เป็นตำนานของคนสองเผ่าพันธุ์ คือคนไทยและคนลัวะ ตำนานของคนไทยคือตำนานสิงหนวัติ ส่วนตำนานของคนลัวะคือตำนานเกี่ยวกับปู่เจ้าลาวจก ความต่างกันของตำนานทั้งสองก็คือ ตำนานของคนไทยคือตำนานของคนที่เข้ามาในแอ่งเชียงแสนจากภายนอก ในขณะที่ตำนานปู่เจ้าลาวจกเป็นตำนานของคนที่มีถิ่นฐานอยู่ในแอ่งเชียงแสนมาก่อน ตำนานของคนลัวะตั้งถิ่นฐานอยู่บนที่สูง เช่นเขิงเขาและเขาเตี้ย ๆ ส่วนของคนไทยตั้งหลักแหล่งในที่ราบลุ่มใกล้แม่น้ำ ลำน้ำและหนองบึง และคนเหล่านี้ก็เข้ามาพร้อมกันกับความเชื่อในเรื่องของผีบนท้องฟ้า เช่น ผีแถน และพญานาคที่เป็นเจ้าของแผ่นดินและน้ำ ดังเช่นบริเวณใดที่เป็นหนอบึงที่มีน้ำซับก็จะเชื่อว่าเป็นรูของพญานาค เมื่อมาผสมกับความเชื่อทางพุทธศาสนาแล้วก็มักจะสร้างพระมหายอดเจดีย์ ณ ตำแหน่งที่เป็นรูของพญานาคให้เป็นหลักของบ้านและเมือง ส่วนความเชื่อของคนลัวะไม่มีเรื่องผีบนฟ้า เช่น ผีแถน ผีฟ้า และพญานาค ซึ่งเป็นสัตว์เนรมิต แต่เชื่อในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนดิน และสัตว์ธรรมชาติที่เป็นสัตว์กึ่งน้ำกึ่งบก เช่น งู ปลาไหล จระเข้ ตะกวด เหี้ย ที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ รวมทั้งความเชื่อในเรื่องผู้หญิงเป็นใหญ่กว่าผู้ชายในสังคม เช่นผู้ที่เป็นเจ้าเมือง และปกครองคนคือผู้ที่เป็นหญิง เป็นต้น จากหลักฐานทางโบราณคดีที่ได้ศึกษาและสำรวจมาเกี่ยวกับคนลัวะ ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บนที่สูงตามเขาและเนินเขาเหล่านี้ พบว่าระบบความเชื่อของคนลัวะได้พัฒนาขึ้นเป็นระบบหินตั้ง (megalithic) คือ มีการแยกพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ออกจากพื้นที่ธรรมดาสาธารณ์ด้วยแท่งหิน ก้อนหิน หรือแผ่นหิน รวมทั้งการกำหนดลักษณะภูเขา ต้นไม้ เนินดินให้เป็นแหล่งที่สถิตของอำนาจเหนือธรรมชาติ เช่น การกำหนดให้เป็นที่ฝังศพของคนสำคัญ หรือไม่ก็เป็นบริเวณที่สัมพันธ์กับการอยู่สถิตของอำนาจเหนือธรรมชาติ และพื้นที่ในการมาประกอบพิธีกรรมร่วมกัน เป็นต้น การฝังศพของบุคคลสำคัญมักจะถูกกำหนดให้ฝังไว้ในที่สูงที่ไม่ไกลจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่อาจจะเป็นโขดหิน เพิงหิน หรือกองหินสามก้อน หรือสามเส้าที่อาจจะเป็นก้อนหินธรรมชาติ หรือเป็นของที่เคลื่อนย้ายจากที่อื่นมาประดิษฐานไว้ ในขณะที่บริเวณที่ฝังศพจะทำให้เป็นเนินดินล้อมเป็นรูปกลมหรือรูปเหลี่ยม รวมทั้งนำแท่งหินหรือก้อนหินมาปักรอบในระยะที่ห่างกันเป็นสี่ก้อนหรือมากกว่านั้นโดยไม่กำหนดตามจำนวนอย่างใด และบริเวณที่วางศพก็จะมีเครื่องเซ่นศพที่อาจจะเป็นเครื่องประดับ อาวุธและภาชนะดินเผา รวมทั้งเครื่องใช้บางอย่าง คนที่อยู่ในที่สูง เช่น พวกลัวะที่กล่าวมานี้ตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่มากมายตามเขาต่าง ๆ ในเขตแคว้นล้านนา อาจแบ่งออกได้เป็นหลายเผ่า (tribes) แม้ว่าจะเป็นชาติพันธุ์เดียวกันก็ตาม บางเผ่ามีพัฒนาการทางสังคมและการเมืองใหญ่โตเป็นเมืองเป็นรัฐ (tribal state) เกิดขึ้นมา ซึ่งแลเห็นได้จากการสร้างเนินดินที่มีคูน้ำและคันดินล้อมรอบเป็น เวียง ขึ้นเพื่อการอยู่อาศัย การจัดการน้ำและการป้องกันการรุกรานของข้าศึกศัตรู เหนือความเชื่อในเรื่องพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นแหล่งฝังศพของคนสำคัญ โขดหินและเนินศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นแหล่งพิธีกรรมดังกล่าวมานี้ ก็เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่มีลักษณะโดดเด่นทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นขุนเขา ยอดเขาที่มีความสูงเป็นที่สุดเหนือบริเวณเขาทั้งหลาย หรือที่มีรูปร่างแบบไม่ธรรมดาที่ชวนให้คนที่เห็นมีจินตนาการนึกเห็นเป็นเรื่องราวอะไรต่าง ๆ ก็ได้ ก็คือบรรดาขุนเขาที่สัมพันธ์กับตำนาน ความเชื่อในเรื่องของความเป็นมาของบ้านเมืองที่เกิดขึ้นในท้องถิ่น บรรดาขุนเขาเหล่านี้ที่เป็นโดดเด่นในภาคพื้นล้านนาก็มี เช่น ดอยหลวงเชียงดาว ดอยสุเทพ ดอยด้วนและดอยตุง เป็นต้น ซึ่งในที่นี้ดอยตุงก็คือดอยที่สูงสุดของขุนเขาขุนน้ำนางนอน ในพงศาวดารโยนกที่กล่าวถึงเรื่องราวของกลุ่มคนลัวะในตระกูลของปู่เจ้าลาวจกที่ต่อมาพัฒนาการเป็นราชวงศ์ลวจักราชของพญามังรายปฐมกษัตริย์ของเมืองเชียงใหม่ แต่ในพงศาวดารไม่เรียกว่าดอยตุง แต่เรียกว่า ภูสามเส้า จากรูปร่างที่ปรากฏอยู่ของดอยสามดอยในบริเวณใกล้เคียงกัน คือดอยจ้อง ดอยผู้เฒ่า และดอยตุง ซึ่งในบรรดาดอยทั้งสามนี้ ดอยตุงอยู่ในระดับสูงที่สุดเป็นที่ซึ่งมีการนำพระธาตุมาประดิษฐานไว้เหนือดอยที่รู้จักกันในนามของดอยตุง คำว่าตุง โดยทั่วไปหมายถึงธงที่เป็นสัญลักษณ์ในทางศาสนาและความเชื่อ แต่ผู้รู้ในท้องถิ่นบางท่านบอกว่าเป็นบริเวณที่มีน้ำมารวมกัน ในตำนานของดอยตุงจากพงศาวดารโยนกบอกว่า บนดอยตุงเป็นที่อยู่อาศัยและที่ทำกินของกลุ่มคนลัวะที่มีปู่เจ้าลาวจกเป็นผู้นำทำการเพาะปลูกพืชพันธุ์ด้วยการใช้เสียมตุ่น (เครื่องมือหิน) ในการพรวนดิน ต่อมาได้เคลื่อนย้ายลงจากบนเขามาสร้างบ้านแปงเมืองที่เชิงเขาใกล้กับลำน้ำสายที่ตอนปลายน้ำเรียกลำน้ำรวก และเรียกชื่อเมืองนี้ว่าหิรัญนครเงินยางที่เป็นต้นกำเนิดให้เกิดเมืองเชียงแสนขึ้น เป็นรังเป็นนครในสมัยต่อมา โดยมีกษัตริย์ผู้เป็นต้นตระกูลมีพระนามว่า ลวจักราช ผู้ทำให้เกิดรัฐเชียงแสนขึ้น กษัตริย์สำคัญของราชวงศ์นี้คือขุนเจือง เป็นผู้ที่แผ่อำนาจของรัฐเชียงแสนกว้างใหญ่ไปทั้งสองฟากของแม่น้ำโขง และต่อมาจากขุนเจืองอีกสี่รัชกาลก็มาถึงพญามังรายผู้สถาปนาแคว้นล้านนาขึ้นโดยมีเมืองสำคัญอยู่ที่เชียงใหม่ การสร้างเมืองขึ้นที่เชิงดอยตุงใกล้กับลำน้ำที่กล่าวในตำนานปู่เจ้าลาวจกนี้มีเมืองอยู่จริงในบริเวณเชิงเขาดอยเวาอันเป็นแนวเขาต่อเนื่องจากดอยจ้องลงไปจดลำน้ำสายที่กั้นเขตแดนไทย-พม่าที่ตำบลท่าขี้เหล็ก แต่คนท้องถิ่นในปัจจุบันไม่ได้เรียกว่าเมืองหิรัญนครเงินยางดังกล่าว ในตำนานลวจักราชผู้มีต้นตระกูลเป็นคนลัวะบนดอยตุง แต่เรียกชื่อเมืองว่า เวียงพางคำ เป็นบ้านเกิดเมืองนอนของพระเจ้าพรหมมหาราชพระองค์แรกของชนชาติไทยในดินแดนประเทศไทย เป็นการอ้างเรื่องราวในตำนานสิงหนวัติของกลุ่มตนไทยที่เคลื่อนย้ายจากทะเลสาบตาลีฟู หรือหนองแส เป็นต้น แม่น้ำโขงในมณฑลยูนนานของประเทศจีน เป็นกลุ่มของชนเผ่าไทยที่อยู่ในพื้นราบทำนาในที่ลุ่มที่เชื่อกันว่าอพยพผ่านเขตอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ตามลำน้ำแม่กกลงมาสร้างบ้านแปงเมืองอยู่ ณ บริเวณหนองหล่มใกล้กับแม่น้ำโขงใกล้กับเมืองเชียงแสน ในตำนานนี้บอกว่าผู้นำของชนเผ่าไทยคือพญาสิงหนวัติ สร้างเมืองในบริเวณหนองหล่ม โดยได้รับการช่วยเหลือจากพญานาคผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินและน้ำที่หนองหล่มนี้ จึงมีการตั้งชื่อเมืองให้เป็นเกียรติแก่พญานาคว่า โยนกนาคพันธุ์ โดยเอาชื่อเผ่าที่เรียกว่า ยวน หรือ โยนกมาผสมกับชื่อนาคพันธุ์ของพญานาคตนนั้น กษัตริย์ราชวงศ์สิงหนวัติครองเมืองโยนกนาคพันธุ์มาหลายชั่วคน บ้านเมืองก็ล่มจมน้ำไปอันเนื่องมาจากความชั่วร้ายของผู้คนที่ไปจับปลาไหลเผือกจากหนองน้ำมากิน ทำให้ต้องมาตั้งเมืองใหม่ขึ้นที่เวียงปรึกษาริมฝั่งแม่น้ำโขงใกล้กับปากลำน้ำแม่คำเป็นเมืองใหม่ขึ้นมาแทนเมืองหนองหล่ม แต่เชื้อสายของพญาสิงหนวัติให้แยกย้ายไปสร้างบ้านแปงเมืองที่อยู่เหนือน้ำไปยังลุ่มน้ำแม่กกและแม่ลาวในเขตจังหวัดเชียงราย มีเมืองชัยนารายณ์และชัยปราการเป็นต้น แต่กลุ่มหนึ่งไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่แม่สายเชิงดอยตุงและตั้งชื่อเมืองว่า เวียงพางคำตามพระนามของพญาพังคราชผู้เป็นพระราชบิดาของพระเจ้าพรหมมหาราช แต่จากหลักฐานทางโบราณคดีมีร่องรอยของเมืองหรือเวียงอยู่จริงที่เชิงดอยตุงใกล้ลำน้ำสาย ที่ชาวบ้านในปัจจุบันเรียก เวียงพางคำ ตามชื่อกษัตริย์ในตระกูลสิงหนวัติที่เป็นกลุ่มชนเผ่าไทยในที่ราบลุ่มทำนาเหมือง นาฝาย ต่างจากการทำไร่นาของคนลัวะที่อยู่บนที่สูง และเมืองนี้ก็เป็นต้นกำเนิดของการสร้างเหมืองฝายโดยกษัตริย์ผู้ครองเมืองที่เรียกว่าเหมืองแดง สร้างจากการชักน้ำสายสาขาหนึ่งที่ไหลลงจากทิวเขาดอยตุงมาทำนาในที่ลุ่มทางด้านตะวันออกของเมืองในการศึกษาสำรวจทางโบราณคดีของข้าพเจ้าทั้งจากภาพถ่ายทางอากาศ และการศึกษาภาคพื้นดินได้ความว่าเป็นเมืองรูปสี่เหลี่ยมค่อนข้างเป็นผืนผ้าแบบไม่สม่ำเสมอ พอแลเห็นแนวคูน้ำและคันดินเป็นรูปเหลี่ยมค่อนข้างชัดทางตะวันตกเฉียงเหนือ อันเป็นด้านติดกับภูเขาขุนน้ำนางนอนที่มีความยาวประมาณ ๑,๐๑๐ เมตร และทางด้านใต้ประมาณ ๑,๐๒๓ เมตร ทางด้านเหนือแนวกำแพงและคูน้ำคดเคี้ยวอันเนื่องมาจากเป็นบริเวณที่รับน้ำจากลำห้วยที่ลงจาเขาเพื่อชักให้ไหลผ่านคูเมืองออกไปลงพื้นที่ราบลุ่มทางตะวันออก ในขณะที่ทางด้านตะวันออกที่อยู่ในที่ลาดลุ่มไม่มีร่องรอยของแนวคันดินและคูน้ำปล่อยให้เปิดกว้างเป็นที่รับน้ำของลำห้วยและลำเหมืองที่มาจากเขาทางมุมเมืองด้านเหนือต่อกับด้านตะวันตก และการที่มีคูน้ำและคันดินไม่ครบทุกด้านเช่นนี้ก็สะท้อนให้เห็นว่าการสร้างคูน้ำและคันดินของเวียงพางคำไม่ใช่เป็นเรื่องของการป้องกันการรุกรานของศัตรูในยามสงครามเป็นเรื่องสำคัญ หากเป็นเรื่องการจัดการน้ำในเรื่องการป้องกันน้ำป่าบ่าไหลเข้าท่วมเมืองประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งก็คือ การชักน้ำเข้ามาใช้ในเมืองและเบนน้ำเขาตามลำเหมืองออกไปยังพื้นที่อยู่อาศัยและทำกินของผู้คนที่อยู่นอกเมืองทางด้านตะวันออก ลักษณะรูปพรรณสัณฐานและตำแหน่งเมืองติดกับภูเขาเช่นนี้มีลักษณะคล้ายกันกับเมืองเชียงใหม่ ที่ตั้งอยู่ตรงที่ลาด หรือเชิงเขาดอยสุเทพ ดังแลเห็นได้จากแนวคูน้ำและกำแพงเมืองชั้นนอกที่มีไม่ครบ โดยปล่อยให้ด้านเหนือของตัวเมืองปล่อยโล่งเพื่อให้น้ำจากลำห้วยไหลผ่านที่ลาดไปลงแม่น้ำปิงทางทิศตะวันออก ทำให้ด้านตะวันออกไม่มีแนวคันดินและคูน้ำ แต่มีการขุดเหมืองแม่บ่าชักน้ำผ่านด้านตะวันออกของเมืองลงไปออกตั้งแต่น้ำปิงที่ตำบลไชยสถานที่อำเภอหัวดงแทน แนวคันดินและคูน้ำรูปไม่สม่ำเสมอของเมืองชั้นนอกของเชียงใหม่ที่น่าจะเป็นของเดิมที่มีมาก่อนการสร้างเมืองเชียใหม่ในสมัยพญามังรายเป็นเมืองเพื่อการจัดการน้ำที่ไม่เน้นการป้องกันข้าศึกเช่นเดียวกันกับเวียงพางคำ พอมาถึงสมัยพญามังรายจึงมีการสร้างเมืองสร้างคูน้ำและคันดินเป็นรูปสี่เหลี่ยมแบบเมืองสุโขทัยขึ้นมา ตามตำนานที่ว่าพญามังรายทูลเชิญให้พญาร่วงจากสุโขทัยมาช่วยสร้างเมือง ซึ่งต่อมาในรัชกาลพระเมืองแก้วก็มีการสร้างกำแพงก่อด้วยอิฐมีใบเสมาอันเป็นลักษณะกำแพงเมืองที่ได้รับอิทธิพลตะวันตกเช่นเดียวกับเมืองในสมัยอยุธยา สำหรับเวียงพางคำนั้นก็มีร่องรอยบางอย่างที่มีการสร้างแนวคันดินและคูน้ำใหม่ขึ้นภายในบริเวณเมืองเดิมเป็นรูปสี่เหลี่ยมแต่มีขนาดเล็กที่ยังดูอะไรไม่ชัดเจน เพราะมีการปรับเปลี่ยนพื้นที่ในสมัยปัจจุบัน ยกเว้นร่องรอยของสระน้ำโบราณหลายแห่งที่มีความหมายต่อการใช้น้ำนความเป็นอยู่ของคนเมือง รวมทั้งเนินดินไม่สม่ำเสมออีกหลายแห่งที่ยังไม่มีการขุดค้นทางโบราณคดีเพื่อศึกษา การที่กล่าวพาดพิงเปรียบเทียบไปถึงเมืองเชียงใหม่ในที่นี้ก็เพื่อที่จะชี้ให้เห็นว่าทั้งเชียงใหม่ในแอ่งเชียงใหม่มีอะไรที่คล้ายกันกับเมืองเวียงพางคำในแอ่งเชียงแสนอย่างมาก เริ่มแต่เรื่องของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ขุนน้ำนางนอนกับดอยสุเทพ กับการสร้างบ้านแปงเมืองของเมืองสำคัญที่ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาอันเป็นที่ลาดลุ่มลงสู่ที่ชุ่มน้ำ ที่รับน้ำลงมาจากลำน้ำลำห้วยและลำเหมืองฝายจากทิวเขาทางด้านตะวันตก และมีลำน้ำสายใหญ่หล่อเลี้ยงเช่นลำน้ำปิง และลำน้ำสาย จากบริเวณต้นน้ำที่ลาดลงจากทิวเขา ทำให้เกิดการทำเหมืองฝายเพื่อการทำนาข้าวที่เลี้ยงผู้คนพลเมืองให้อย่างมากมาย และทำให้เกิดการกระจายตัวของบ้านและเมืองไปตามลำน้ำธรรมชาติ และลำเหมือง เป็นบ้านเมืองของการทำนาแบบทดน้ำ (wet rice) ที่เรียกว่า นาดำ (trans planting) ดังเห็นได้จากบริเวณที่ราบลุ่มด้านตะวันออกของทั้งทิวเขาขุนน้ำนางนอนและเขาดอยสุเทพ เขาขุนน้ำนางนอนคือชื่อในปัจจุบัน แต่ก่อนในตำนานเป็นเขาของคนลัวะที่เรียกว่า ภูสามเส้า ต่อมาเปลี่ยนเป็นดอยตุง อันเนื่องมาจากการสร้างพระธาตุบนยอดเขาที่สูงสุดในบริเวณนี้ ข้าพเจ้าเคยขึ้นไปสำรวจดูบริเวณเขานี้ในเวลาอันจำกัดไม่พบร่องรอยของโขดหินศักดิ์สิทธิ์ หรือเนินดินที่ฝังศพคนสำคัญในรอบหินตั้งเหมือนในที่อื่น แต่พบบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ปัจจุบันยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แทน ซึ่งพอนำมากล่าวตีความได้ว่าน่าจะเป็นแหล่งศักดิ์สิทธิ์ของคนลัวะก่อนการสร้างพระธาตุดอยตุงที่มากับความเชื่อของคนเผ่าไทย-ลาวในล้านนาและล้านช้างที่เชื่อว่าที่ใดมีน้ำซับหรือน้ำใต้ดินเป็นรูพญานาคจะมีการสร้างพระธาตุในทางพุทธศาสนาขึ้นปิดรูนาค ทำให้การสร้างพระธาตุดอยตุงขึ้นในบริเวณนี้ เปลี่ยนชื่อภูสามเส้ามาเป็นดอยตุงทางพุทธศาสนาแทน จนมาปัจจุบันคนทั่วไปรุ่น. ใหม่ ๆ กำลังลืมชื่อดอยตุงมาเป็นเขาขุนน้ำนางนอนแทน โดยเอาตำนานท้องถิ่นของคนรุ่นหลัง ๆ มาอธิบายแทน แต่เหตุการณ์ที่มีการช่วยเหลือเด็กนักฟุตบอลทีมหมูป่าอาคาเดมีโดยทั้งคนไทยและคนทั่วโลกนั้น ทำให้ข้าพเจ้าได้เห็นและเข้าใจในสิ่งใหม่อย่างหนึ่งก็คือ ทิวเขาขุนน้ำนางนอนเป็นแหล่งน้ำใต้ดินที่ใหญ่โตตลอดแนวเขาที่บรรดาน้ำที่มาจากที่สูงบนเขาทางด้านตะวันตกที่แผ่ยาวไปในเขตรัฐฉานของพม่ามาสะสมอยู่ใต้ทิวเขาก่อนที่จะไหลออกพื้นที่ราบลุ่มทางด้านตะวันออกตามลำห้วย ลำเหมืองใหญ่น้อยที่เป็นต้นน้ำทำให้เกิดการทำเหมือง ฝาย ขยายพื้นที่การเพาะปลูกและการตั้งถิ่นฐานของผู้คน จนกล่าวเป็นแอ่งเชียงแสนขึ้นมา การเป็นทิวเขาของการสะสมน้ำใต้ดินที่อยู่ชายขอบเทือกเขาและที่สูงที่มีที่ลาดลุ่มและราบลุ่มอันเป็นพื้นที่ทางการเกษตรกรรมปลูกข้าวเช่นนี้เป็นเหมือนกัน ทั้งแอ่งเชียงแสนและเชียงใหม่ ดังเห็นได้จากร่องรอยของเหมืองฝายมากมายนับไม่ถ้วน ในปัจจุบันที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคของบ้านเมืองในสังคมอุตสาหกรรม โดยเฉพาะดอยตุงที่กำลังเปลี่ยนเป็นดอยขุนน้ำนางนอนนั้นข้าพเจ้าเผอิญได้รับรู้การให้ความหมายใหม่จากผู้รู้ที่เป็นคนท้องถิ่นว่า คำว่าดอยตุงนั้นคงไม่ได้หมายความว่าเป็นดอยที่มีตุงที่แปลว่าธงที่เป็นสัญลักษณ์ทางพุทธศาสนา แต่หมายถึงพื้นที่และขอบเขตที่น้ำมาตุงอยู่กระมัง ก็ดูสมเหตุสมผลดีกับการมีบ่อน้ำใต้ดินหรือน้ำขังที่เป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์บนยอดดอยตุงตรงเนินที่จะสร้างพระธาตุดอยตุง ในทุกวันนี้คนไม่รู้จักภูสามเส้าของคนลัวะและกำลังลืมดอยตุงของคนล้านนา แต่คนทั้งประเทศรู้จักตำหนักแม่ฟ้าหลวงของสมเด็จย่าและบรรดาชาวเขาเผ่าใหม่ ๆ มีเคลื่อนย้ายเข้ามาตอนหลังและในปัจจุบันกำลังพูดถึงเขาขุนน้ำนางนอนและถ้ำหลวง รวมถึงทางรัฐและเอกชน คาดหวังว่าจะพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ นานาที่ไม่ได้คิดถึงผลที่ตามมาทางสภาพแวดล้อมธรรมชาติและวัฒนธรรมจะเกิดความฉิบหายอย่างไร ปัจจุบันคนเรียกเขานี้ว่าเขาขุนน้ำนางนอนที่มากับการเปลี่ยนแปลงของตำนานบ้านเมืองที่คนรุ่นหลังในปัจจุบันสร้างและเรียกกัน ซึ่งกลายเป็นเรื่องความรักและการพลัดพรากของเจ้าหญิงผู้เป็นธิดาของเจ้าผู้ครองเมือง ซึ่งคงหมายถึงเมืองเวียงพางคำในเขตอำเภอแม่สาย ซึ่งคนชาติพันธุ์ไทยใหญ่เป็นกลุ่มสำคัญที่สร้างตำนานเมืองเวียงพางคำและพระเจ้าพรหมมหาราช คือผู้นำวัฒนธรรม (culture hero) และนางนอนของขุนเขาขุนน้ำก็คือพระธิดาของกษัตริย์ที่เป็นคนไทยใหญ่ ซึ่งตำนานก็บานปลายมาถึงเรื่องความรักที่เป็นโศกนาฏกรรมของเจ้าหญิงกับคนเลี้ยงม้าที่เกิดความเชื่อว่าคือ พระครูบาบุญชุ่มผู้ประกอบพิธีกรรมช่วยเด็กนักฟุตบอลหมูป่าให้รอดชีวิตออกมาจากถ้ำหลวง การเปลี่ยนแปลงของเรื่องในตำนานและชื่อสถานที่ตลอดจนบุคคลสำคัญเกี่ยวกับเขาขุนน้ำนางนอนดังกล่าวนี้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงความจริงของการเปลี่ยนแปลงทางภูมิวัฒนธรรมของพื้นที่แอ่งเชียงแสนที่มีขุนเขาน้ำนางนอนเป็นประธาน ว่าเป็นแอ่งของที่ลาดลุ่มและกลุ่มที่มีการเคลื่อนย้ายของคนหลายชาติพันธุ์จากภายนอกที่ผลัดกันอพยพเคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานในแอ่งเชียงแสนของจังหวัดเชียงรายถึงสามสิบชนชาติและชาติพันธุ์ในหนังสือสามสิบชนชาติในเชียงรายของ ส.ส.บุญช่วย ศรีสวัสดิ์
- ก่อนจะเป็นเมืองโบราณและมูลนิธิเล็ก–ประไพ วิริยะพันธุ์
เผยแพร่ครั้งแรก 26 ธ.ค. 2561 เมืองโบราณอันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกในทุกวันนี้ มีกำเนิดมาแล้วร่วม ๔๘ ปี นับแต่วันเริ่มก่อสร้าง และอีก ๒ ปี ข้างหน้าก็จะมีอายุกึ่งครึ่งศตวรรษทีเดียว คุณเล็กและคุณประไพ ที่ปราสาทหินศรีขรภูมิ ก่อนจะมีเมืองโบราณนั้น กล่าวได้เต็มปากเลยว่าไม่มีใครสร้างมาก่อน บางทีอาจจะมีคนคิดอยู่บ้างแต่สร้างไม่สำเร็จ แหล่งที่ท่องเที่ยวและหาความรู้ที่มีอยู่แล้วนั้นมีเพียงพิพิธภัณฑ์ โดยเฉพาะพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติและแหล่งโบราณสถานทางประวัติศาสตร์ตามบ้านเก่าเมืองเก่าที่มีอยู่เกือบแทบทุกท้องถิ่น ซึ่งเป็นเพียงพิพิธภัณฑ์ที่ไม่มีชีวิต และการท่องเที่ยวที่องค์กรทั้งของรัฐและเอกชนจัดทำขึ้นก็จะวนเวียนซ้ำซากอยู่กับสถานที่อันไม่มีชีวิตเหล่านี้ เมื่อเมืองโบราณเกิดขึ้น ก็ยังมีผู้เข้าใจว่าเป็นแหล่งเพื่อการท่องเที่ยวทั่ว ๆ ไปของบรรดานายทุนเพื่อหากำไรทางเศรษฐกิจ แถมยังมีผู้รู้ที่เป็นนักวิชาการตำหนิว่าเป็นการทำลายศิลปวัฒนธรรมเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อเมืองโบราณเกิดมาได้ ๒๐ ปี ถึงได้เกิดการเคลื่อนไหวทางสังคมจากคนรุ่นใหม่ที่ไม่ใช่ทางราชการและข้าราชการของรัฐในเรื่องพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกันขึ้น จัดตั้งให้เป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ทั้งทางวัฒนธรรมและสังคมในระดับราษฎร์ที่ไม่ใช่ระดับหลวงของทางรัฐ คุณเล็กและคุณประไพ นำรถยนต์ข้ามโขงไปยังวัดภู จำปาสัก ซึ่งในที่นี้อยากใช้คำว่าเป็น “ พิพิธภัณฑ์ราษฎร์ ” ไม่ใช่ “ พิพิธภัณฑ์หลวง ” แบบพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติของทางราชการทั้งหลาย ในปัจจุบันพิพิธภัณฑ์ราษฎร์หรือพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเกิดขึ้นมากมาย และมีพัฒนาการเป็นพิพิธภัณฑ์ในยุคใหม่ที่เรียกว่า “ พิพิธภัณฑ์มีชีวิต ” [Living museum] ในขณะที่พิพิธภัณฑ์หลวงที่ใกล้ตายก็กำลังคิดจะปรับปรุงอะไรใหม่ ๆ ให้มีชีวิตบ้าง เพราะถ้าหากไม่เปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่ก็คงจะไปไม่รอด ทั้งหมดที่เกริ่นมานี้ ก็เพื่อนำไปสู่ความคิดที่ว่าเมืองโบราณคือ “พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่มีชีวิต” ที่ได้คิด ได้ทำขึ้นโดย คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ตั้งแต่ราว ๔๘ ปีที่ผ่านมา เป็นพิพิธภัณฑ์เกิดจากทั้งการคิดและการทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปทีละน้อย ที่ไม่เบ็ดเสร็จสมบูรณ์ในเวลาอันสั้นด้วยการมีการวางแผนผังและรูปแบบโดยนักวิชาการอย่างการก่อสร้างสถานที่ทางประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม เพื่อการท่องเที่ยวอย่างในทุกวันนี้ เตียงที่คลอดลูก ปัจจุบันอยู่ในเมืองโบราณ สมุทรปราการ เครื่องมือทอผ้าในบ้านเรือนภาคกลาง แต่ “เมืองโบราณ” ไม่ได้เกิดขึ้นหรือสร้างขึ้นด้วยเวลาอันสั้นอย่างที่กล่าวมานี้ การเป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิตของเมืองโบราณไม่ใช่การจำลองสร้างโบราณสถานทางประวัติศาสตร์ที่หักพัง ที่ตายไปแล้ว [Dead monuments] มาตั้งแสดง แต่เป็นการสร้างบรรดาสถานที่ทางประวัติศาสตร์เหล่านั้นให้เต็มรูปอย่างมีชีวิต และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นบริบททางภูมิวัฒนธรรมของท้องถิ่นที่เป็นบ้านเป็นเมืองอย่างในอดีต ดังเช่น พระที่นั่งสรรเพชญปราสาท ในพระราชวังกรุงศรีอยุธยา เพื่อให้คนในปัจจุบันได้เห็นอย่างครั้งยังไม่ถูกทำลายและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นปราสาทราชวังเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา เครื่องมือทอผ้าในบ้านเรือนภาคกลาง หอไตรกลางบึงที่วัดทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งก่อนที่ปราสาทแห่งนี้ในเมืองโบราณจะเป็นที่ยอมรับของคนทั้งในประเทศและต่างประเทศดังในทุกวันนี้ ก็ได้รับการตำหนิและวิจารณ์อย่างเสียหายว่าเป็นการทำลายสิ่งที่เป็นศิลปวัฒนธรรมของชาติเพื่อประโยชน์จากการท่องเที่ยว เพราะไม่ถูกต้องในทางวิชาการ เป็นเพียงการเนรมิตขึ้นมาเองอะไรทำนองนั้น แต่หลังจากสร้างเสร็จทางรัฐบาลก็ขอใช้เมืองโบราณและพระที่นั่งสรรเพชญฯ แห่งนี้เป็นที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ ๙ รับรองการเสด็จมาเยือนราชอาณาจักรไทยของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ ๒ แห่งสหราชอาณาจักร อันเป็นการเสด็จมาเยือนครั้งแรกในปี พ.ศ ๒๕๑๕ และพระที่นั่งสรรเพชญฯ ของเมืองโบราณแห่งนี้ก็คือ หนึ่งในตัวอย่างของพิพิธภัณฑ์มีชีวิตของเมืองโบราณที่นอกจากจะทำให้ผู้มาพบเห็นสามารถจินตนาการย้อนอดีตให้เห็นว่าเมื่อครั้งยังไม่ถูกทำลายเป็นอย่างไรในบริเวณของสภาพแวดล้อมทางภูมิวัฒนธรรมของพระราชวังและบ้านเมืองครั้งกรุงศรีอยุธยา และนอกเหนือไปจากนี้ก็ได้เรียนรู้ถึงลักษณะทางศิลปวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมอันเป็นผลงานของการค้นคว้าของนักประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีที่มีส่วนร่วมในการสร้างปราสาทหลังนี้ขึ้น บ้านเรือนโบราณในจังหวัดแม่ฮ่องสอน แต่สำหรับคุณเล็ก วิริยะพันธุ์ การสร้างพิพิธภัณฑ์มีชีวิตดังที่กล่าวมานี้ไม่ใช่สิ่งที่สร้างให้เสร็จได้รวดเร็วด้วยทุนทรัพย์อย่างคนที่เป็นมหาเศรษฐีหรืออย่างของทางรัฐบาล ข้าราชการ แต่เป็นการสร้างด้วยกำลังความคิดอ่านทางสติปัญญาเพื่อให้เกิดเป็นแหล่งเรียนรู้ของคนในชาติได้ รู้จักอดีตของชาติบ้านเมืองว่าเคยมีความเจริญรุ่งเรืองมาอย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีขึ้นเพื่อให้คนในยุคปัจจุบันได้รับทราบและเรียนรู้ คุณเล็กแม้จะเป็นนักธุรกิจใหญ่ก็ตาม แต่เป็นคนรักในการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ศาสนา ปรัชญา เริ่มต้นด้วยการใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัวของครอบครัว สะสมศิลปวัตถุทางโบราณคดีและวัฒนธรรมที่เป็นทั้งของมีค่าและมีความหมายในเรื่องความรู้โดยไม่คิดนำไปแลกเปลี่ยนซื้อขายอย่างนักเล่นของเก่าทั่ว ๆ ไป ของสิ่งใดที่มีค่าควรเมืองทั้งทางประติมากรรม สถาปัตยกรรม และศิลปวัฒนธรรมก็จะตามซื้อตามหาเพื่อไม่ให้มีการซื้อขายออกนอกประเทศ ควรอยู่เป็นสมบัติของเมืองไทย ประจวบกับในช่วงเวลานั้นเป็นสมัยของการเริ่มต้นพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แต่ยุครัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เพื่อเปลี่ยนบ้านเมืองให้เป็นสังคมอุตสาหกรรมที่เดินตามรอยของอเมริกัน คนไทยรุ่นใหม่ได้รับการศึกษาอบรมแต่ในทางความก้าวหน้าทางวัตถุ และเน้นปัจจุบันจนลืมอดีต คุณเล็กแม้มีเชื้อสายเป็นคนจีน แต่เมืองไทยก็คือแผ่นดินเกิดและแผ่นดินตาย คิดสร้างสถานที่อะไรก็ได้ให้เป็นแหล่งเรียนรู้อดีตอย่างมีสติปัญญาและเพลิดเพลินโดยอาศัยบรรดาโบราณวัตถุและศิลปวัตถุทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมที่ครอบครัวได้สะสมไว้เป็นทุนเดิม จัดทำขึ้นในที่ดินที่คุณประไพผู้เป็นศรีภริยาซื้อไว้กว่า ๖๐๐ ไร่ ในเขตชายทะเลจังหวัดสมุทรปราการเป็นพื้นที่รับรองโครงการพื้นฐานที่แบ่งออกในทางภูมิศาสตร์ให้เป็นแผนที่ประเทศไทย โดยขุดคลองให้เป็นแม่น้ำใหญ่ ๆ ของแต่ละภูมิภาคเป็นเครื่องแบ่งเขต คุณเล็กและคุณประไพที่หมู่บ้านเรือนโบราณในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ในขั้นแรกลองสร้างเมืองจำลองให้แลเห็นภาพรวมในลักษณะคล้ายเมืองตุ๊กตาสำหรับนักท่องเที่ยวได้ชมก่อน แล้วค่อยคิดสร้างให้ใหญ่โตตามในแต่ละภูมิภาคทีหลัง เมื่อโครงสร้างพื้นฐานทางภูมิประเทศเรียบร้อยแล้ว คุณเล็กก็ออกเดินทางเที่ยวศึกษาภูมิวัฒนธรรมของบ้านเมืองตามท้องถิ่นในแต่ละภูมิภาค เพื่อเลือกเฟ้นว่าสถานที่ทางประวัติศาสตร์อะไรที่จะเลือกมาสร้างขึ้นให้เป็นที่หมายของแต่ละบ้านเมืองในแต่ละจังหวัด และในขณะเดียวกันก็แสวงหาโบราณวัตถุ สิ่งของทางวัฒนธรรม และศิลปกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ตามชุมชนเก่า ๆ นำมาเก็บไว้เพื่อจัดทำพิพิธภัณฑ์ คุณเล็กใช้เวลากว่า ๑๐ ปีในการออกไปเที่ยวศึกษาตามจังหวัดต่าง ๆ ในแต่ละภูมิภาคของประเทศเพื่อให้ได้เห็นภูมิวัฒนธรรมของแต่ละบ้านเมืองอย่างซึมซับ เพราะถ้าหากจะสร้างสถานที่ทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมใด ๆ ขึ้นควรจะมีลักษณะของสิ่งแวดล้อมที่ใกล้กับความเป็นจริงในท้องถิ่น ทั้งหมดนี้เป็นกระบวนการขั้นแรกในการศึกษาภาคสนามเพื่อเก็บข้อมูลในบริบทของพื้นที่ทางวัฒนธรรม ซึ่งการเดินทางออกไปแต่ละครั้งก็ไม่ดูเคร่งเครียดเอาจริงเอาจัง แต่ละคนต้องการเที่ยวชมธรรมชาติและวัฒนธรรมไปในตัวเองในช่วงวันสุดสัปดาห์ เพราะเกือบแทบทุกครั้งที่ออกเดินทางไปก็จะพาคุณประไพ ผู้เป็นภริยา และคุณสุวพร ผู้บุตรสาวตามไปด้วยเพื่อการพักผ่อนจากการทำกิจกรรมด้านธุรกิจ หลังเวลา ๑๐ ปี ที่ออกไปท่องเที่ยวศึกษาเก็บข้อมูลตามท้องถิ่นจนอิ่มตัว คุณเล็กก็เลิกเดินทาง ฝังตัวเองอยู่กับการคิดออกแบบและก่อสร้างสถานที่ทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมตามพื้นที่ซึ่งกำหนดให้เป็นบ้านเป็นเมืองในภูมิภาคต่าง ๆ โดยแทบไม่เคยเดินทางออกจากเมืองโบราณไปไกล ๆ และสิ่งที่ได้จากการออกไปศึกษาตามท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศนั้นก็ทำให้คุณเล็กได้เห็นและได้คิดว่าการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองที่จะทำให้เมืองไทยเป็นสังคมทันสมัยแบบสังคมอุตสาหกรรมทั่วไปอย่างทางตะวันตกนั้น กำลังทำให้บรรดาร่องรอยความเป็นมาในอดีตและความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมของสังคมเกษตรกรรมที่มีมาแต่สมัยทวารวดี ศรีวิชัย ลพบุรี อยุธยา ลงมาจนถึงสมัยกรุงเทพฯ ก่อนการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองนั้นสูญหายไปอย่างไม่มีวันกลับ แต่การได้ออกไปตามจังหวัดต่าง ๆ ได้เห็นร่องรอยเหล่านี้แล้วนำมาเพื่อการสร้างเมืองโบราณอย่างเดียวนั้นเป็นเพียงสิ่งเล็ก ๆ ในการอนุรักษ์ข้อมูลและความรู้เฉพาะช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังไม่ได้พบเห็นและเก็บไว้ให้เห็นประโยชน์ในวงกว้าง จึงไม่ควรจะหยุดออกไปศึกษาค้นคว้ารวบรวมข้อมูลเฉพาะช่วงเวลาที่จะทำเมืองโบราณเท่านั้น ควรทำงานต่อเพื่อนำข้อมูลหลักฐานและความรู้ออกเผยแพร่แก่สังคม จึงจะต้องทำการออกไปศึกษาอย่างต่อเนื่องก่อนที่จะสูญหายไปอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นสังคมอุตสาหกรรม เรือนเสาร้อยต้นที่จังหวัดเชียงใหม่ 317-5 ความคิดนี้เป็นสิ่งที่นำมาจัดทำวารสารเมืองโบราณที่เพื่อเผยแพร่สิ่งที่ศึกษา ค้นพบ และการเสนอความคิดใหม่ ๆ ทางโบราณคดี ประวัติศาสตร์ และมานุษยวิทยา จึงจัดตั้งคณะทำงานออกไปศึกษาค้นคว้าตามท้องถิ่นและเก็บข้อมูลอยู่ตลอดเวลาให้เมืองโบราณมีฐานข้อมูลทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของบ้านเมืองเกือบทั่วประเทศที่รวบรวมไว้อย่างต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน ก่อนที่คุณเล็กจะถึงแก่กรรม จึงได้จัดตั้งมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ เพื่อเป็นองค์กรในการศึกษาค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลหลักฐานทางโบราณคดีอันเป็นเรื่องของประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอื่นเป็นอดีตห่างไกลไม่เห็นคน [Archaeological past] กับหลักฐานทางประวัติศาสตร์สังคมอันเป็นเรื่องภูมิวัฒนธรรมของถิ่นฐานบ้านเมืองของชุมชนทางชาติพันธุ์ [Ethnographical present] ที่ยังเห็นมีชีวิตอยู่และควบคู่ไปกับการออกสำรวจศึกษารวบรวมหลักฐานทั้งทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์สังคม และให้ความช่วยเหลือแก่ผู้คนในชุมชนท้องถิ่นเพื่อการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นให้เป็นแหล่งเรียนรู้จักตนเองของคนในชุมชน ในรูปของพิพิธภัณฑ์มีชีวิต [Living museum] และอันเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่จัดการโดยคนท้องถิ่นในลักษณะที่เป็น การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน [Sustainable tourism] สภาพวิหารวัดจองคำ อำเภองาว จังหวัดลำปางก่อนขอผาติกรรมนำมาปลูกใหม่ที่เมืองโบราณ ในทุกวันนี้มรดกทางภูมิปัญญาของคุณเล็กและคุณประไพ วิริยะพันธุ์ ที่ให้ไว้กับแผ่นดินเกิดคือ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่มีชีวิต ๓ แห่ง แต่ที่เรียกว่าเสร็จแล้วดูดีในสมัยที่คุณเล็กและคุณประไพมีชีวิตอยู่ แห่งแรกคือ “เมืองโบราณ” ที่ตำบลบางปู จังหวัดสมุทรปราการ ปัจจุบันอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นเสมือนโอเอซิสทางศิลปวัฒนธรรมของประเทศ ท่ามกลางทะเลทรายของตึกรามบ้านช่องและสถานที่ใหญ่น้อยนานาชนิดของสังคมอุตสาหกรรม แห่งที่ ๒ คือ “ช้างเอราวัณสามเศียร” ที่เป็นพิพิธภัณฑ์โบราณวัตถุที่มีคำควรเมืองและกลายเป็นแหล่งศักดิ์สิทธิ์ในความเชื่อของผู้คน และแหล่งที่ ๓ คือ “ปราสาทสัจธรรม” ริมอ่าวพัทยา จังหวัดชลบุรี นับเป็นพิพิธภัณฑ์ร้อยปี เพราะสร้างไม่เสร็จในชั่วอายุของคุณเล็กและคุณประไพ แต่เหลือไว้ให้ลูกหลานที่มุ่งรักษาอุดมการณ์และเจตนารมณ์ของคุณเล็กดำเนินต่อไป อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- โครงการผันน้ำโขง – ชี – มูล กรรมวิบัติของคนสยาม
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2551 “ โอ้พสุธาหนาแน่นเป็นแผ่นพื้น ถึงสี่หมื่นสองแสนทั้งแดนไตร เมื่อเคราะห์ร้ายกายเราก็เท่านี้ ไม่มีที่พสุธาจะอาศัย ล้วนหนาวเหน็บเจ็บแสบคับแคบใจ เหมือนนกไร้รังเร่อยู่เอกา ” ( นิราศภูเขาทอง ) ข้าพเจ้าคิดว่าคำกลอนที่ยกมาอันนี้คือความเจ็บปวดและคับแค้นใจของ คนสยาม ในแผ่นดินที่เรียกว่าประเทศไทยในขณะนี้ เพราะเต็มไปด้วยผู้มีอภิสิทธิ์ที่เรียกตนว่า คนไทย ทั้งสิ้น ผู้ล้วนเป็นชาติพันธุ์ที่สูงส่ง ฟ้าประทานให้มาเกิดแต่สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้คนสยามที่หลากหลายไปด้วยชาติพันธุ์นานาทั้งเก่าและใหม่เคลื่อนย้ายกันมาอยู่อย่างสมานฉันท์ในดินแดนที่เรียกว่าสยามประเทศ อันมีมานับพันปีต้องกลายเป็นคนสิ้นไร้ไม้ตอก เพราะโครงการพัฒนาเศรษฐกิจ-การเมืองของรัฐบาลแต่ละชุดแต่ละสมัยนั้น ล้วนแต่มาจากการใส่แว่นตาเหยี่ยว ตาแร้ง และนกอินทรีย์แทบทั้งสิ้น เพราะบรรดาสัตว์กินเนื้อจากเบื้องบนเหล่านี้ล้วนมองอะไรแต่เฉพาะที่จะเป็นอาหารที่แย่งกินได้ ทึ้งได้ และโกงได้เพื่อการอยู่รอดของคนและพรรคพวกทั้งสิ้น หาเข้าใจถึงการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนและสมานฉันท์ของสัตว์บนพื้นพิภพ ซึ่งเป็นหนอน ไส้เดือน และกิ้งกือไม่ คนสยามก็คือประเภทไส้เดือน กิ้งกือและตัวหนอนเช่นนี้แหละ ที่มีอยู่ทุกภูมิภาคของประเทศ คนไทยไม่เคยรู้จักคนสยาม เพราะเรียนรู้ความเป็นมาของชาติโดยประวัติศาสตร์ของรัฐที่สร้างโดยเจ๊กขบถที่ให้สถาบันการศึกษาทั้งโรงเรียน และมหาวิทยาลัยทำหน้าที่สอนให้เชื่อว่า คนไทยเป็นเชื้อชาติที่สืบกันมาอย่างไม่มีการเจือปนกับคืนอื่นแต่เพียงอย่างเดียว จะคัดค้านหรือซักถามก็ไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่คนสยามนั้นเต็มไปด้วยชาติพันธุ์ทั้งใหม่และเก่าเช่น เจ๊ก แขก ไท ลาว ญวน เขมร พม่า มาเลย์ รวมทั้งฝรั่งผิวขาวดำแดง เต็มไปหมด วิถีทางของประวัติศาสตร์ไทยอันเป็นเรื่องของการบังคับให้เชื่อฟังนั้น คือการเปลี่ยนแปลงทางสังคม วัฒนธรรม การเมืองและเศรษฐกิจที่มาจากเบื้องบน จากรัฐและจากภายนอกที่ไม่อาจแลเห็นและเข้าใจผู้คนภายในท้องถิ่นแต่ละแห่งแต่ละกลุ่มเหล่าได้ ทั้ง ๆ ที่ผู้คนแต่ละท้องถิ่นก็ล้วนมีประวัติศาสตร์ของตนเหมือนกัน คือการเรียนรู้และแลเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมจากภายใน นับแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ราว พ.ศ.๒๕๐๐ เป็นต้นมา ก็เกิดประวัติศาสตร์รัฐยุคใหม่ขึ้น คือประวัติศาสตร์ของการพัฒนาเศรษฐกิจการเมือง พัฒนาหมายถึงการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น แต่ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงจากภายนอก โดยเฉพาะจากทางรัฐในรูปของโครงการนานาชนิดที่ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับการให้ความรู้ใหม่ ๆ เทคโนโลยีใหม่ ๆ และความคิดใหม่ ๆ ที่มาจากตะวันตก ในการจัดการกับทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อมที่เคยมีมาแต่เดิมให้เปลี่ยนแปลงไปแบบมั่วภายใต้คำว่า ถูกต้องทางวิชาการเพื่อให้เกิดผลประโยชน์ในทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ โครงการของการเปลี่ยนแปลงจากภายนอกจากรัฐบาลดังนี้ ไม่เคยมีพื้นที่ใด ๆ ที่จะแลเห็นหรือเข้าใจการเปลี่ยนแปลงจากภายนอกของคนหลายกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในแต่ละท้องถิ่นแม้แต่น้อย เพราะคนเหล่านั้นเป็นแค่ไส้เดือนและกิ้งกือเท่านั้น จึงเท่ากับเป็นการเบียดบังให้คนที่อยู่ตามท้องถิ่นต่าง ๆ กลายเป็นคนชายขอบที่ด้อยโอกาส (marginalization) เพราะไม่สามารถจะแสดงตัวตนอย่างมีความรู้ความเข้าใจและจัดการใด ๆ ด้วยศักยภาพของความเป็นมนุษย์ที่มีสติปัญญาและภูมิปัญญาของตนได้ ดังนั้นการจัดการใด ๆ ในเรื่องการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิต จึงเป็นเรื่องที่มาจากภายนอก คนนอกที่ทำให้คนในรู้สึกว่าตนเองเป็นคนโง่อยู่ร่ำไป แต่ที่น่าทึ่งแถมสองเพศในขณะนี้ก็คือบรรดานักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญการวิจัยเพื่อการพัฒนาจากสถาบันการศึกษาและกองทุนต่าง ๆ มักพร่ำเพ้อแต่คำว่าจะต้องสร้างความเข้มแข็งและพลังชุมชนขึ้น (empowerment) เหมือนกับคาถากันผี แต่การดำเนินการใด ๆ ก็มักจะมาจากการชี้แนะและริเริ่มควบคุม (โดยเฉพาะเงินทุน) จากคนนอกทุกทีไป สิ่งที่น่าเศร้าใจในขณะนี้ก็คือ พอเปลี่ยนรัฐบาลทีก็มีการทำโครงการพัฒนาที่เคยล้มเหลวและทำลายชีวิตวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ของคนท้องถิ่นอันเป็นคนชายขอบออกมาปัดฝุ่นทุกทีไป อย่างเช่น โครงการมหาภัยใกล้วิบัติ เช่น การปราบปรามยาเสพติด และโครงการผันน้ำโขง-ชี-มูล ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และการฟื้นโครงการสร้างแอ่งเสือเต้น เป็นต้น โครงการปราบยาเสพติดแบบเด็ดขาดนั้น จะไม่กล่าวถึงในบทความนี้ เพราะเห็นประจักษ์กันทั่วไปเกี่ยวกับความรุนแรงในภาคใต้ที่นำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชน จนนานาชาติต่างประณาม แต่จะพูดเฉพาะโครงการผันน้ำโขง-ชี-มูลเป็นสำคัญ ความคิดเรื่องการเอาน้ำโขงมาใช้นั้น มีประวัติของความล้มเหลวมาตั้งแต่โครงการสร้างเขื่อน และโครงการขององค์การแม่น้ำโขงสหประชาชาติ แม้ว่าจะถูกต้องกับทฤษฎีในการผันน้ำจากที่สูงเข้าสู่ที่ราบลุ่มของภาคอีสานแบบคุ้มทุนก็ตาม แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะประเทศลาวไม่ร่วมมือด้วย ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่า การเอาน้ำจากแม่น้ำนานาชาติมาใช้นั้น ย่อมมีปัญหาทางการเมืองแน่ โครงการแบบซื่อบื้อผันน้ำโขง-ชี-มูล นั้นก็คงไม่คุ้มทุนจากการใช้พลังงานไฟฟ้าสูบน้ำจากแม่น้ำโขงที่มีตลิ่งสูงกว่าระดับน้ำกว่า ๒๐ เมตรในฤดูแล้ง แต่ที่เสียหายอย่างแน่ชัดเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนตามท้องถิ่นที่ท่อน้ำ หรือคลองส่งน้ำต้องผ่านไปก็คือ บรรดาทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อมที่อยู่ในสิทธิของคนท้องถิ่นต้องเสียหาย ซึ่งจะมีผลนำไปสู่ความเป็นบ้านแตกสาแหรกขาดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชีวิตความเป็นอยู่ในระดับครอบครัวและชุมชนจะไม่มีอะไรเหลือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ถูกเปลี่ยนให้เป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจไม่ว่าโรงงาน โรงแรม คอนโดมิเนียม ทาวน์เฮาส์ และที่พักของคนงาน เพื่อคนเข้ามาใหม่เป็นจำนวนมากที่ไม่มีหัวนอนปลายตีน ซึ่งทุกวันนี้ก็แลเห็นอยู่แล้วหลายแห่งที่มีเหมือนรังผึ้ง รังต่อแตนและคอกสัตว์ที่อยู่กันอย่างปัจเจก ไม่มีโครงสร้างความสัมพันธ์กันอย่างมนุษย์ เช่นครอบครัวและชุมชนได้ ภาคอีสานนั้นเป็นพื้นที่กึ่งแห้งแล้งและชุ่มชื้น ที่คนจากภายนอกแลเห็นว่าเป็นพื้นที่แห้งแล้งทุรกันดาร แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเป็นพื้นที่มีความเหมาะสมในการตั้งถิ่นฐานบ้านเมืองของมนุษย์ที่มีร่องรอยของอารยธรรมมาแต่โบราณกว่า ๒,๕๐๐ ปี อารยธรรมที่ว่านี้ก็คือการจัดดการน้ำ (water management) ที่แลเห็นได้จากแบบแผนของการตั้งชุมชนหลายยุคหลายสมัย เช่นแรกเริ่มมักอยู่ชายขอบที่สูงอันเป็นป่าโคก และใกล้พื้นที่ลุ่มที่เป็นแอ่งหรือหนองน้ำ หรือกุด (ลำน้ำด้วน) อันเป็นที่กักเก็บน้ำได้ เมื่อเกิดเป็นชุมชนใหญ่ที่อยู่กันอย่างหนาแน่นก็มีการขุดสระน้ำล้อมรอบชุมชน ที่ทำให้คนปัจจุบันแลเห็นว่าเป็นเมืองไปก็มี ดูแตกต่างจากชุมชนเมืองในที่อื่น ๆ เช่นในพม่าที่มีลักษณะเป็นกำแพงล้อมรอบมากกว่าการขุดคูเมืองให้กว้างใหญ่ ยิ่งในสมัยหลังลงมาก็มีพัฒนาการขุดอ่างเก็บน้ำที่เรียกว่า บาราย ขึ้น ให้เป็นอ่างน้ำศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนที่เป็นเมือง อันมีศาสนสถานที่มีกำแพงล้อม (ปุระ) เป็นเครื่องบ่งบอก ยิ่งในสมัย หลัง ๆ ลงมาจนปัจจุบันก็มีการกักเก็บน้ำในอ่างน้ำขนาดใหญ่โดยกรมชลประทาน และการขุดอ่างเก็บน้ำเล็ก ๆ สำหรับชุมชนที่เกิดใหม่แทบทุกชุมชน ซึ่งก็ทำให้สระน้ำ (ตระพัง) คือสัญลักษณ์ของชุมชนบ้าน และชุมชนอ่างเก็บน้ำ (tank) เป็นสัญลักษณ์ของชุมชนเมือง เพราะที่ใดมีอ่างน้ำหรือสระน้ำย่อมมีชุมชน นับเป็นอัตลักษณ์สำคัญของสังคมน้ำ ทั้งในภาคอีสานที่แตกต่างไปจากสังคมน้ำไหลที่อาศัยแม่น้ำลำคลองและคลองชลประทานเป็นโครงสร้างในการจัดการน้ำ ระบบการจัดการน้ำของอีสานแต่โบราณที่ยังหลงเหลืออยู่ในหลาย ๆ ท้องถิ่นนั้นเป็นการจัดการภายในนิเวศธรรมชาติของแต่ละท้องถิ่นไป โดยใช้ระบบบังคับน้ำจากทางลาดหรือที่สูงเข้ามากักเก็บไว้ในที่ต่ำ (gravity) ที่มาของน้ำที่สำคัญคือ (๑) มาจากป่าโคกซึ่งเป็นที่สูง มักเป็นป่าโปร่งที่มีพืชพันธุ์ ต้นไม้และสัตว์นานาชนิดที่คนได้พึ่งพาในการหาอยู่หากิน ป่าโคกเหล่านี้จะไม่โดนทำลาย เป็นที่ซึ่งมีอำนาจเหนือธรรมชาติ เช่นผีดูแล เช่น ผีปู่ตา เป็นต้น คนอีสานส่วนใหญ่อาศัยน้ำจากฟ้า คือในฤดูฝน ฝนตกผ่านที่สูงจากเทือกเขา เขาและป่าโคกลงสู่ที่ราบลุ่ม น้ำจะไหลลงมา (๑) ตามร่องน้ำหรือลำห้วย และ (๒) ไหลแผ่กันลงมาเป็นบริเวณกว้างก็จะใช้คันดิน และทำการชักน้ำ เบนน้ำและกันน้ำเข้าไว้ในพื้นที่ทำการเพาะปลูก หรือพื้นที่ซึ่งเป็นสระหรืออ่างเก็บน้ำ เช่นในการทำนาได้อาศัยน้ำไหลแผ่ลงมาจากที่สูง เข้าเก็บไว้ในบิ้งนา หรือคันนารูปสี่เหลี่ยม เมื่อน้ำเต็มทีแล้วก็ปล่อยผ่านรูพักช่องทางเล็ก ๆ ลงสู่บิ้งนาในระดับต่ำต่อไป แต่ถ้าบริเวณพื้นที่ลุ่มทำการเพาะปลูกกว้างใหญ่ก็จะทำทำนบขวางทางน้ำเพื่อชะลอน้ำ และกระจายน้ำเข้าสู่ที่นา โดยไม่ปล่อยให้ไหลลงหนองบึง หรือลำน้ำอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการชะลอน้ำนั้นมักจะทำกันในตอนใกล้สิ้นฤดูน้ำ เมื่อน้ำที่ไหลเร็วเจิ่งนองไหลกลับคือสู่หนองบึงและลำน้ำ ทำนบดังกล่าวจะช่วยชะลอน้ำที่จะใช้ในการปลูกข้าวต่อไป นับเป็นการทำนาแบบนาทามนั่นเอง แนวทำนบที่ทำหน้าที่กั้นน้ำ ขวางน้ำ ชะลอน้ำและเบนน้ำดังกล่าวนี้มักถูกเรียกโดยคนปัจจุบันว่า ถนนโบราณ จนมักมีการศึกษาและตีความไปต่าง ๆ นานา เช่นว่า เป็นถนนหลวงจากษัตริย์ของเมืองนครธม หรือนครหลวงจากกัมพูชาเข้ามาเมืองไทย เป็นต้น ในท้องถิ่นหลาย ๆ แห่งที่เป็นเมืองก็มักมีการขุดอ่างเก็บน้ำแบบบาราย กักน้ำจากทำนบหรือจากลำน้ำ ร่องน้ำให้เพียงพอแล้วก็ปล่อยให้ไหลลงไปยังท้องถิ่นอื่นต่อไป วิธีการกักน้ำระบบบาราย (tank) ตามลำน้ำเช่นนี้ เป็นชลประทานราษฎร์ที่พบมากมายในศรีลังกา ต่างกันแต่ว่า อ่างเก็บน้ำของทางศรีลังกาเป็นการกักน้ำเพื่อการเพาะปลูกให้ได้สัดส่วนกับจำนวนครัวเรือนและพื้นที่การเพาะปลูกของชุมชน แต่ของทางอีสานไม่มุ่งหวังในการเพาะปลูก หากเก็บไว้ใช้เพื่อการบริโภคอุปโภคเป็นสำคัญ ดินแดนอีสานส่วนใหญ่ขาดน้ำใต้ดิน อีกทั้งข้างล่างเป็นหินเกลือ จึงมักเก็บน้ำบนผิวดินด้วยการยกขอบเขื่อนของอ่างเก็บน้ำให้สูง จึงเรียกว่า บาราย อันเป็นภาษาสันสกฤตที่แปลว่า ยกให้สูง บารายเป็นอ่างเก็บน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนจะเอาวัวควายลงไปอาบกินไม่ได้ เพราะมุ่งหวังให้เป็นแหล่งน้ำกินน้ำใช้ในการดำรงชีวิต เป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นว่าหัวใจของการจัดการน้ำที่สำคัญของคนอีสานแต่โบราณ หรือ อาจจะกล่าวว่าของทุกท้องถิ่นละถิ่นฐานบ้านเมืองก็ได้ คือการจัดการน้ำกินน้ำใช้ หาใช่เพื่อการเกษตรกรรมไม่ แม้กระทั่งน้ำในแม่น้ำลำน้ำใหญ่ ๆ ก็ไม่นำมาใช้ทั้งการอุปโภคบริโภค ยกเว้นพื้นที่บางแห่งในบริเวณที่สูงเท่านั้นที่มีการใช้ระหัดชักน้ำที่เรียกว่าพัด หรือ หลุก ตักน้ำเข้าไปใช้ในแปลงนา เช่นที่พบในต้นน้ำลำตะคองในเขตนครราชสีมา ต้นน้ำชีในเขตชัยภูมิ และลำน้ำหมันในเขตอำเภอด่านช้าง จังหวัดเลย ทุกอย่างในการจัดการน้ำกินน้ำใช้ของคนอีสานนั้น เป็นระบบที่สัมพันธ์กับลำน้ำธรรมชาติที่มีต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำทั้งสิ้น โดยมีอำนาจเหนือธรรมชาติ เช่น ผี พระ และเทพ เป็นเจ้าของที่คุมกติกาในการใช้น้ำร่วมกัน แต่โครงการผันน้ำโขง-ชี-มูล นั้นเป็นโครงการผันน้ำเพื่อการเกษตรมารับใช้ การเกษตรอุตสาหกรรมเพื่อบรรดาเหยี่ยว กา นก แร้ง และนกอินทรีเป็นทั้งสาธารณ์ที่ทำความพินาศวอดวายมาให้กับแหล่งน้ำธรรมชาติย่อมนำไปสู่การทำลายนิเวศธรรมชาติ และระบบทางวัฒนธรรมของผู้คนตามท้องถิ่นต่าง ๆ ของอีสานอย่างไม่มีทางกู่ให้กลับ นับเป็นการเชื้อเชิญความวิบัติอย่างใหญ่หลวงมาสู่ชีวิตคนพอ ๆ หรือมากกว่าโครงการเหมืองโปแตสอุบาทว์ในพื้นที่รอบ ๆ หนองหานกุมภวาปี จังหวัดอุดร และโครงการโรงงานอุตสาหกรรมเหล็กในเขตอำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ร่วมไปกับโครงการแก่งเสือเต้นที่มาจากอเวจีด้วย อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- มรดก (รก) โลก กับ “คน” พระวิหาร
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2551 ข้าพเจ้าไม่เคยมีความเชื่อมั่นในเรื่องการทำให้โบราณสถาน แหล่งโบราณคดีและแหล่งธรรมชาติเป็นมรดกโลก ตั้งแต่แหล่งมรดกโลกแรกอุบัติขึ้นในพื้นพิภพนี้ เพราะเป็นแหล่งที่เกิดขึ้นจากการเอาของเก่า บรรยากาศเก่า ๆ มายำใหญ่ โดยนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิทยาการต่าง ๆ ทางสังคมศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งมาจากที่ต่าง ๆ โดยแทบไม่มีผู้รู้ในท้องถิ่นของแหล่งเก่าแก่นั้นเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ทำให้เกิดโครงสร้างและรูปแบบจากข้างบนลงข้างล่าง [top down] ที่ดูเสมือนจริงแต่ไม่จริง และเข้ากันได้กับวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คนในท้องถิ่น ผลที่ตามมานั้น ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างของคนท้องถิ่นที่สืบทอดกันมาต้องเสียหายไปหมดสิ้น ไม่ว่าสภาพแวดล้อมธรรมชาติ ทรัพยากร และแม้แต่วิถีชีวิตทางวัฒนธรรมของผู้คน ดังเห็นจากแหล่งมรดกโลกหลายแห่งที่มีอยู่ขณะนี้ เช่น เมืองหลวงพระบาง เมืองสุโขทัย อยุธยา และเมืองฮอยอัน เป็นอาทิ เพราะพื้นที่อยู่อาศัยกลายเป็นพื้นที่ค้าขายของคนจากภายนอกทั้งต่างชาติ ข้ามชาติ และต่างถิ่นมากมาย กลายเป็นย่านตลาดนานาชาติ ศาสนสถานและแหล่งทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรม ถูกเปลี่ยนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ทำลายและลดความศักดิ์สิทธิ์ให้กลายเป็นแหล่งทัศนาจรที่สาธารณ์และสามานย์กลายเป็นแหล่งปลดปล่อยของอารมณ์นานาประการมากกว่าการเป็นแหล่งเรียนรู้ กระนั้นก็ดี ข้าพเจ้าก็ยังมีทัศนคติที่ดีให้กับการทำให้ปราสาทพระวิหารเป็นแหล่งมรดกโลก เพื่อการเป็นแหล่งเรียนรู้ถึงความสวยงาม ความสำคัญทางอารยธรรมของโลกแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในตำแหน่งของเขตแดนที่ทับซ้อนกันอยู่ที่ยังไม่มีการตกลงกันอย่างชัดเจน อีกทั้งยังเกิดข้อพิพาทกันอยู่บ่อย ๆ สมควรที่จะให้คนที่เป็นกลางได้จัดการให้ เพื่อเป็นประโยชน์ของผู้คนท้องถิ่นของสองเขตแดนจะได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติเหมือนกับสมัยที่ยังไม่มีการแบ่งเส้นเขตแดน คนท้องถิ่นที่อยู่สองฟากเขาพระวิหารทั้งในที่ราบสูงโคราชของไทยและที่ราบลุ่มทะเลสาบเขมรของกัมพูชา คือผู้ที่เกี่ยวข้องกับปราสาทพระวิหาร ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นผู้มีส่วนได้และส่วนเสีย [stake holder] ของท้องถิ่นอย่างแท้จริง เป็นกลุ่มชนที่มีเผ่าพันธุ์มอญ - เขมร เหมือนกัน อีกทั้งมีความสัมพันธ์เป็นพี่น้องและเครือญาติระหว่างกันและมีประวัติศาสตร์ร่วมกันมาก่อนสมัยการมีการแบ่งเขตแดน แม้กระทั่งปัจจุบันประวัติศาสตร์ของคนท้องถิ่นดังกล่าวนี้ก็ยังดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องในลักษณะที่เป็นประวัติศาสตร์มีชีวิต [living history] ดังเห็นได้จากเมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม ซึ่งอยู่ในพื้นที่สันปันน้ำของเทือกเขาพนมดงเร็ก มีผู้คนจากฟากเขมรต่ำและผู้คนจากสุรินทร์ในเขตประเทศไทย พากันมาประกอบพิธีกรรมทำบุญร่วมกันที่ปราสาทโดยไม่คำนึงถึงเส้นแบ่งเขตแดน เมื่อพบปะกัน เจริญความสัมพันธ์ร่วมกันในงานพิธีกรรม ก็เอาสิ่งของมาขายแลกเปลี่ยนกัน โดยที่ไม่สนใจคนทางกรุงเทพฯ หรือพนมเปญแม้แต่น้อย ซึ่งก็คงเช่นเดียวกันกับเหตุการณ์ครั้งพระธาตุพนมล้มที่ริมฝั่งโขง ในเขตจังหวัดนครพนม ที่แม้ว่าพระบรมธาตุจะเป็นโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมที่อยู่ในเขตแดนประเทศไทยก็ตาม แต่ทั้งคนไทย คนลาวริมฝั่งโขงก็ไม่ยี่หระกับคนกรุงเทพฯ และคนเวียงจันทน์ ต่างพากันแต่ถ้าพายเรือ แล่นเรือข้ามฝั่งมาร้องไห้ ร้องห่มรวมกันในการสูญเสียแหล่งศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่พึ่งและความมั่นคงทางจิตใจ คนท้องถิ่นมีประวัติศาสตร์ร่วมกันมาแต่ดั้งเดิมและยังคงอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้เวลาจะเปลี่ยนแปลง และล่วงเลยมานับหลายศตวรรษ ก่อนจะมีการแบ่งเขตแดนอันเป็นผลผลิตของประวัติศาสตร์อาณานิคมของฝรั่งเศสและประวัติรัฐชาติของไทยและเขมรที่มีอายุร้อยกว่าปีมานี้เอง ประวัติศาสตร์อาณานิคมของฝรั่งเศส ไม่เคยเอื้ออาทรกับคนท้องถิ่นสองฟากพนมดงเร็ก แต่กลับอ้าง พระราชอำนาจของกษัตริย์วรมันแห่งเมืองพระนครที่เสียมเรียบ ว่าสร้างปราสาทพระวิหารขึ้นเพื่อประกอบพระเดชานุภาพเหนือผู้คนและดินแดนทั้งสองฟากพนมดงเร็ก แต่โดยเหตุที่ฝรั่งเศสมีอำนาจเหนือเขมรและเขมรเป็นเมืองในอาณานิคมของฝรั่งเศส จึงจำเป็นต้องมีการแบ่งเขตแดนให้ชัดเจนออกจากเขตแดนประเทศไทยที่ไม่ใช่อาณานิคมฝรั่งเศส ใช้แผนที่เป็นเทคนิคในการแบ่งเขต ซึ่งดูยุติธรรมดีเมื่อกำหนดเอาสันปันน้ำอันเป็นลักษณะธรรมชาติเป็นสิ่งกำหนด แต่เพราะทางฝ่ายไทยไม่มีความรู้และสันทัดในการทำแผนที่ ก็เลยปล่อยให้ฝรั่งเศสทำไปแต่ฝ่ายเดียว แล้วยอมเซ็นรับรองความถูกต้อง ครั้นแล้วความชั่วช้าของประเทศมหาอำนาจก็ปรากฏขึ้นด้วยการโกงอย่างซึ่งหน้าและน่าละอายเป็นอย่างยิ่ง เพราะปราสาทพระวิหารที่อยู่ในสันปันน้ำทางฝั่งไทย กลายเป็นอยู่ในเขตเขมรของฝรั่งเศสไป ครั้นเกิดคดีความขึ้นครั้ง พ.ศ. ๒๕๐๕ แทนที่ศาลโลกจะตัดสินจากความถูกต้องทางภูมิศาสตร์ก็ยังใช้ความถูกต้องของแผนที่ครั้งฝรั่งเศสทำไว้ตัดสินให้ทางไทยแพ้คดี ซึ่งใคร ๆ ก็รู้ว่าบรรดามหาอำนาจหลายชาติที่คนไทยซึ่งล้วนแต่ไปเรียนเมืองนอกจนกลายเป็นขี้ข้าทางปัญญาเป็นแถว ๆ นั้น ร่วมลงขันให้ทางฝ่ายเขมร ก็พวกบ้าตะวันตกที่เป็นขี้ข้าทางปัญญาของมหาอำนาจตะวันตกเหล่านี้แหละที่สร้างประวัติศาสตร์รัฐชาติขึ้นทั้งสองประเทศ ทำให้เกิดการมีประวัติศาสตร์ที่มีเขตแดนของคนกรุงเทพฯ และพนมเปญขึ้นมา คนพนมเปญ อาศัยความใกล้ชิดกับฝรั่งเศสในยุคอาณานิคม ก็เลยสานต่อความยิ่งใหญ่ของเขมร ด้วยการอ้างความชอบธรรมของกษัตริย์วรมันที่สูญหายไปช้านานแล้ว ว่าดินแดนที่ราบสูงโคราชและแม้แต่ดินแดนภาคกลางของประเทศไทยก็เคยอยู่ในแผ่นดินเขมรมาก่อน ทุกวันนี้นักวิชาการรุ่นใหม่ของเขมรและคนเขมรเป็นจำนวนมากที่มีปมด้อยในความเป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจก็มักจะแสดงอาการคลั่งชาติเขมรด้วยความเชื่อเช่นนี้ ในขณะเดียวกัน นักประวัติศาสตร์โบราณคดีของฝรั่งยุคอาณานิคมก็เขียนประวัติศาสตร์ชนชาติไทยว่าเป็นพวกที่ถูกขับไล่จากดินแดนประเทศจีน เข้ามาในดินแดนขอมสมัยกษัตริย์วรมัน มาเป็นขี้ข้าคนขอมอยู่ แล้วต่อมาจึงตั้งตัวเป็นอิสระที่สุโขทัย ซึ่งนักปราชญ์และนักประวัติศาสตร์แต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ลงมาก็เชื่อเช่นนั้น จึงเกิดการสร้างประวัติศาสตร์ชาติไทยแบบไทย-ไทย ไทยใหญ่ ไทยโต ต่อมาในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม จึงหาจุดเด่นและเหตุการณ์ทางการเมืองสมัยอยุธยากับสมัยกรุงเทพฯ มาอธิบายข่มพวกขอม เขมรบ้าง ในช่วงเวลาที่เขมรต้องมาเป็นเมืองขึ้นและขี้ข้าไทยบ้าง ทำให้เกิดการขัดแย้งและตอบโต้กันบ่อย ๆ ดังเช่น กรณีปราสาทพระวิหารในขณะนี้ที่ทางเขมรไม่ทวงเฉพาะปราสาทพระวิหารเท่านั้น แต่ทวงทั้งภาคอีสานทั้งหมดเลย เพราะหลาย ๆ พื้นที่มีปราสาทขอม มีจารึกขอมแสดงหลักฐานให้เห็น เพราะทางเขมรเห็นว่ากษัตริย์วรมันยังเรืองอำนาจอยู่ในลักษณะอมตะนิรันดร์กาล ส่วนทางไทยก็ตอบโต้ด้วยประวัติศาสตร์สมัยกรุงเทพฯ ที่เขมรเคยอยู่ในราชอาณาจักรไทยและข่มขู่จะรุกเข้าไปยึดเสียมราฐ พระตะบองคืนมา อาการคลั่งชาติจึงเกิดด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย แต่ฝ่ายไทยดูเสียเปรียบ เพราะนอกจากบรรดาประเทศใหญ่ ๆ เข้าข้างเขมรแล้ว ในเมืองไทยยังมีคนไทยข้ามชาติ ขายชาติและขายตัวอีกแยะที่มองเห็นการเป็นแหล่งมรดกโลกของปราสาทพระวิหารเป็นประโยชน์กับตนเองและพรรคพวก พวกนักธุรกิจข้ามชาตินั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะรู้กันดีว่าใครเป็นใคร แต่ก็มีคนครึ่ง ๆ กลาง ๆ ในหมู่ขายชาติและขายตัวที่เป็นดอกเตอร์ดอกตีนอีกเยอะที่มักออกมาแสดงเหตุผลทางวิชาการแบบตามก้นฝรั่ง ถึงความเป็นกลาง ๆ อย่างไร้เดียงสา อย่างเช่น การเป็นมรดกโลกนั้นจะทำให้ไทยเป็นที่รู้จักของสังคมชาวโลก อีกทั้งมีรายได้ทางเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยว หรือการแสดงความเห็นอกเห็นใจเขมรในเรื่องดินแดนว่าทั้งปราสาทพระวิหารและดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมไปถึงเสียมราฐ พระตะบอง เป็นของเขมร ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่ายังพูดไม่ออกอยู่แต่เพียงว่า ภาคกลางของประเทศไทยก็เป็นของเขมรด้วย และคนไทยสมัยรัชกาลที่ ๕ ไปโกงเขามา ข้าพเจ้าก็เดาไม่ออกว่าการพูด การเขียนที่แสดงออกมาอย่างออกทะเลที่อ่าวอุดมเช่นนี้ทำเพื่ออะไร แต่ก็พอสรุปได้ว่า ล้วนมาวนอยู่ในประวัติศาสตร์ที่หมดอายุไปแล้วของสมัยกษัตริย์วรมันและสมัยรัชกาลที่ ๕ เท่านั้นเอง อันเป็นเรื่องที่คนกรุงเทพ ฯ คนพนมเปญ หรือพวกฝรั่งต่างชาติได้เล่าเรียนกันมา แต่แทบไม่มีใครเลยที่จะพูดถึงประวัติศาสตร์ของคนที่อยู่ทั้งสองฟากของเขาพระวิหารที่มีสำนึกว่า ปราสาทพระวิหารเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ร่วมกันของพวกเขาแต่อดีตจนปัจจุบัน การเป็นมรดกโลกของปราสาทพระวิหารดูเหมือนจะใช้แต่เพียงประวัติศาสตร์ยุคกษัตริย์วรมันที่ขึ้นไปกราบไหว้ศิวลึงค์เป็นสำคัญโดยจะรื้อฟื้นให้กลับคืนมาในลักษณะการแสดงเพื่อการท่องเที่ยว เพราะคงไม่มีนักท่องเที่ยวจากภายนอกคนใดที่ไปไหว้ศิวลึงค์เป็นแน่แท้ ในขณะที่คนในท้องถิ่นแม้ว่าจะยังให้ความเชื่อความเคารพกับปราสาทในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์อยู่ก็คงไม่ไปไหว้ศิวลึงค์อีกเช่นกัน ทั้งศิวลึงค์ก็ถูกขโมยไปนานแล้ว รวมทั้งเทวาลัยก็พังลงหมดแล้ว แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ในความเชื่อและความคิดของชาวบ้านก็คือ ผี จึงไหว้ผีกันมากกว่าศิวลึงค์ แต่ถ้าปราสาทกลางเป็นมรดกโลกเพื่อให้นักท่องเที่ยวมาชม ผีก็ถูกไล่ออกไปอีกและคงเหลืออยู่แต่ในความทรงจำของชาวบ้านรุ่นพ่อรุ่นแม่เท่านั้น คนรุ่นใหม่ก็คงได้รู้ได้เห็นปราสาทพระวิหารเป็นแต่เพียงแหล่งท่องเที่ยวที่ผลประโยชน์ เช่น รายได้ที่เป็นเงินเป็นทองไปเป็นของคนอื่น ของนักธุรกิจ นายทุนจากกรุงเทพฯ พนมเปญและนายทุนข้ามชาติทั้งหลาย ดังเห็นได้จากการที่นักข่าวของ ทีพีบีเอส ไปพูดคุยกับชาวบ้านที่บ้านภูมิซรอล อันเป็นชุมชนเก่าแก่ของท้องถิ่นว่าเขาเข้าใจอะไรบ้างเกี่ยวกับการเป็นมรดกโลกของปราสาทพระวิหาร ซึ่งชาวบ้านก็อธิบายให้ฟังถึงความผูกพันกับเขาพระวิหารและปราสาทในเรื่องของนิเวศวัฒนธรรม บ้านภูมิซรอลตั้งอยู่ริมลำห้วยกลางที่ไหลจากภูศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่ตั้งปราสาท ชาวบ้านอาศัยน้ำกินน้ำใช้จากลำน้ำนี้ ซึ่งก็ไหลลงไปสู่ชุมชนบ้านอื่น ๆ เช่นกัน ชาวบ้านหาของป่าจากธรรมชาติรอบ ๆ เขา รู้จักแหล่งโบราณสถานต่าง ๆ ที่อยู่รายรอบที่ผู้คนในท้องถิ่นล้วนคุ้นเคย จนมีการเล่าขานกันเป็นตำนานสื่อสารและถ่ายทอดกันเอง บางคนก็เกิดความไม่มั่นใจและหวาดกลัวว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับสิ่งเหล่านั้น โดยเฉพาะบริเวณปราสาทที่เคยเข้านอกออกในได้ ไปไหว้ไปเที่ยวหาของป่าตามบริเวณโดยรอบ ถ้าเปลี่ยนไปก็คงไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องและอาจต้องเสียค่าผ่านเพื่อเข้าชมอีกด้วย นี่คือสิ่งที่คนในท้องถิ่นมีความรู้สึกและหวาดกลัวถึงความสูญเสีย ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นและชีวิตวัฒนธรรมของคนในท้องถิ่นจึงนับเป็นความสำคัญอีกมิติหนึ่งที่ความเป็นมรดกโลกขาดไป แม้ว่าจะมีการพูดถึงเรื่องสังคมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เห็นอะไรเป็นรูปธรรมและความหมาย บัดนี้ ความพยายามของข้าพเจ้าได้มีทัศนคติที่ดีกับคณะกรรมการมรดกโลก อันเป็นคณะกรรมการนานาชาติก็สิ้นสุดลง ภายหลังจากเมื่อเร็ว ๆ มานี้ ในที่ประชุมที่เมืองควิเบค ประเทศคานาดา ได้ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาแต่ฝ่ายเดียว แทนการให้เป็นมรดกโลกร่วมกันของทั้งไทยและกัมพูชาที่หลาย ๆ คนได้คิดไว้ว่าจะนำความสันติสุขในเกิดขึ้นแก่คนทั้งสองประเทศ ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่าคณะกรรมการมรดกโลกจะทำเช่นนี้ เพราะการเอาแต่เพียงตัวปราสาทเป็นมรดกโลกแต่เพียงอย่างเดียวนั้น ไม่สามารถจะทำให้เป็นแหล่งอารยะธรรมเพื่อการเรียนรู้ได้ เกณฑ์ของการเป็นมรดกโลกนั้น เท่าที่คณะกรรมการอ้างถึงต้องมี ๓ ข้อ ข้อแรกเกี่ยวกับศิลปสถาปัตยกรรมของปราสาทซึ่งหมายถึงตัวปราสาท แต่อีกสองข้อหลังคือ ความสมบูรณ์และความเป็นสากลของแหล่งมรดกโลกที่ต้องเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อม ทั้งสามกฎเกณฑ์นี้จะแยกกันเสียไม่ได้ แต่คณะกรรมการมรดกโลกก็ได้ทำไปแล้ว โดยอ้างแต่เพียงเกณฑ์ข้อแรกอันเดียวนับเป็นการผิดทั้งความหมายและวัตถุประสงค์ของการเป็นแหล่งเรียนรู้อารยธรรมของโลกโดยตรง ทำนองตรงข้ามกลับแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อมีรายได้ทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงแลเห็นว่า คณะกรรมการมรดกโลกชุดนี้ขาดความชอบธรรมโดยสิ้นเชิง หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ทบทวนการขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารของกัมพูชาให้เป็นมรดกโลกตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับรัฐบาลไทยในช่วงเวลาที่ผ่านมา ก็แลเห็นความไม่ชอบมาพากลของคณะกรรมการมรดกโลกอย่างแจ้งประจักษ์ นั่นคือทางกัมพูชาได้รับการช่วยเหลือจากมรดกโลกในการเตรียมการเสนอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารให้เป็นแหล่ง [site] มรดกโลก มาก่อนการติดต่อขอความยินยอมจากไทยนานแล้ว ถึงแม้ว่าทางไทยรับรู้มาบ้างแล้วก็ตาม แต่ก็เข้าใจเพียงว่ากัมพูชาขอขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาท ซึ่งก็เป็นที่ยอมรับว่าเป็นของกัมพูชาหลังการตัดสินจากศาลโลกในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ โดยหาเฉลียวใจไม่ว่าเจตนาทางกัมพูชาที่แท้จริงแล้ว หาได้หมายเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้นไม่ หากหมายถึงการเป็นแหล่ง [site] มรดกโลกที่รวมถึงพื้นที่โดยรอบ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเขตแดนประเทศไทย เพราะในการตัดสินของศาลโลกนั้นฝ่ายไทยยังถือว่าดินแดนเขาพระวิหารยังอยู่ในเขตประเทศไทยตามลักษณะของสันปันน้ำ โดยเหตุนี้รัฐบาลไทยสมัย พ.ศ. ๒๕๐๕ จึงได้ส่งกำลังทหารเข้าไปล้อมรั้วกันตัวปราสาทพระวิหารออกไป ทำให้ทางฝ่ายกัมพูชามีพื้นที่อยู่เฉพาะบริเวณปราสาทเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ทางกัมพูชาก็ยังไม่เห็นด้วย เพราะถือว่าศาลโลกได้ตัดสินให้กัมพูชามีอำนาจอธิปไตยในเขตเขาพระวิหารเหมือนกัน แต่ระยะแรกก็ไม่แสดงท่าทีอะไร เพราะในช่วงเวลานั้นปราสาทพระวิหารยังไม่ได้รับความสนใจในเรื่องการเป็นแหล่งมรดกโลก รวมทั้งกัมพูชาเองก็เกิดความไม่สงบมีสงครามภายใน ทำให้บริเวณปราสาทพระวิหารกลายเป็นแหล่งที่มั่นของกองกำลังเขมรแดง และมีผู้คนอพยพเข้ามาลี้ภัย ซึ่งก็ทำให้ล้ำเขตบริเวณที่ทางไทยกั้นไว้แต่ พ.ศ. ๒๕๐๕ พอสงครามสงบ ปราสาทพระวิหารกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทั้งของไทยและกัมพูชาก็มีคนเขมรเข้ามาตั้งร้านค้าและบ้านเรือนอยู่ในเขตของไทย ดูเหมือนทางไทยปล่อยปละละเลยไม่ได้แย้งอันใด ทำให้ต่อมาเขมรอ้างเป็นเขตกัมพูชา และเมื่อมีการเตรียมการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก กัมพูชาก็อ้างแผนที่ซึ่งแสดงเขตแดนที่อ้างว่าเป็นคำตัดสินของศาลโลก กินแดนเข้ามาในเขตไทย ทำให้เกิดแผนที่ ๒ ชุด ชุดกัมพูชาชุดหนึ่งกับชุดของไทยชุดหนึ่งทำให้เกิดการล้ำแดนเป็นพื้นที่ทับซ้อนกันขึ้น ในการขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกนั้น ทางกัมพูชาส่งแผนที่ชุดของตนขึ้นมา เพื่อให้ทางไทยรับรอง จึงเกิดปัญหาขึ้น เพราะทางไทยเห็นว่าการเป็นมรดกโลกของปราสาทพระวิหารนั้นกินพื้นที่เข้ามาในเขตไทย จึงต้องมีการเจรจากัน ให้การเป็นมรดกโลกของปราสาทพระวิหารเป็นของทั้งกัมพูชาและไทยร่วมกัน ผลของการเจรจานั้นประหลาดมาก เพราะเขมรดูไม่ต้องการให้ไทยมีส่วนรวมในเรื่องมรดกโลก โดยอ้างว่าจะขึ้นทะเบียนแต่เพียงตัวปราสาทแต่อย่างเดียว ส่วนพื้นที่รอบ ๆ ที่เป็นปัญหาทับซ้อนกับเขตแดนไทยนั้นไม่เกี่ยว อีกทั้งดูเหมือนจะยอมรับแผนที่ชุดของไทยที่กันพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรออกจากพื้นที่ปราสาทที่มีเพียง ๑.๔ ตารางกิโลเมตรเท่านั้น เลยเป็นเหตุให้ทางฝ่ายไทยกลับมาบอกกับประชาชนว่า ทางไทยไม่เสียดินแดนแต่อย่างใด แต่พอมาถึงการประชุมกรรมการมรดกโลกเพื่อประกาศแหล่งมรดกโลก ณ เมืองควิเบค ที่ประเทศคานาดา ซึ่งมีทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศและคณะกรรมการมรดกโลกของไทยเข้าประชุมด้วย ทางคณะกรรมการมรดกโลกก็ประกาศขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา โดยไม่มีไทยร่วมด้วย โดยไม่รับฟังการทักท้วงของฝ่ายไทยแม้แต่น้อย ทำนองเดียวกันนั้นเขาก็แนะนำให้ทางไทยร่วมมือในการจัดการพื้นที่ทับซ้อนที่อยู่ในพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตร กับกรรมการอีก ๖ ชาติ เพื่อสมทบเป็นแหล่งมรดกโลกปราสาทพระวิหารในปีต่อไป เลยทำให้ผู้แทนมรดกโลกไทยหน้าบานกลับมาแล้วแสดงความจำนงที่จะร่วมมือกับชาติต่าง ๆ อีก ๖ ชาติ ในพื้นที่ซึ่งไทยอ้างสิทธิ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรต่อไป การตัดสินของคณะกรรมการมรดกโลกได้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาแต่ฝ่ายเดียวก็ดีหรือการเสนอแนะให้ไทยร่วมมือกับอีก ๖ ชาติเพื่อจัดการพื้นที่รอบปราสาทให้เป็นมรดกโลกในปีต่อไปก็ดี คือการเผยร่างพรางกายของคณะกรรมการมรดกโลกอย่างชัดแจ้ง คณะกรรมการมรดกโลกนอกจากกระทำในสิ่งที่ไม่น่าจะทำได้แล้ว ยังขุดหลุมพรางให้คณะกรรมการมรดกโลกไทยไปร่วมมือในการจัดการกับพื้นที่ ๔ . ๖ ตารางกิโลเมตร ร่วมกับต่างชาติอีก ๔ - ๕ ชาติ ที่ล้วนเข้าด้วยกับทางกัมพูชาทั้งสิ้น ข้าพเจ้าไม่เชื่อน้ำยาของนักวิชาการไทยของคณะกรรมการมรดกโลกไทย จะสามารถทำอะไรในการต่อรองให้เกิดผลดีกับทางไทยได้ เพราะคนเหล่านี้โดยสันดานก็ยอมฝรั่งอยู่แล้ว ถ้าหากตามทันเราก็คงไม่เสียปราสาทพระวิหาร การแพ้คดีศาลโลกที่แล้วมาคือบทเรียน เพราะบรรดาชาติมหาอำนาจที่อยู่ในคณะกรรมการนั้นส่วนใหญ่เข้าข้างกัมพูชา ไทยต้องเสียปราสาทพระวิหารและเกิดปัญหาในเรื่องดินแดนและเขตแดนเป็นผลตามมาจนถึงปัจจุบัน ก็เพราะนักวิชาการและนักบริหารตามไม่ทัน เกิดความโง่ เพราะไปตกลงอยากจะเป็นสมาชิกขององค์การโลกนั้นเอง บัดนี้หลุมพรางของมรดกโลกก็กำลังเข้ามาเยือน ถ้าไปตกลงเข้าเมื่อใดก็จะเป็นการโง่ซ้ำซากนั่นเอง แต่ทว่าการโง่ครั้งนี้จะมีผลกระทบอย่างรุนแรงกับบ้านเมืองและผู้คนในท้องถิ่นอย่างมหาศาล อาจพูดได้เต็มปากว่า จะเสียทั้งอำนาจอธิปไตยและชีวิตวัฒนธรรมของผู้คนในสังคมท้องถิ่นด้วย อำนาจอธิปไตยเป็นเรื่องของทหารของกองทัพ ไม่ขอพูดในที่นี้แต่จะพูดเฉพาะชีวิตวัฒนธรรมของคนท้องถิ่น ที่อยากเรียกว่า คนพระวิหาร ซึ่งเป็นผู้คนในสังคมชายแดนที่อยู่ทั้งสองฟากเขาพระวิหารทั้งในฟากไทยและฟากกัมพูชา คนเหล่านี้เขามีประวัติศาสตร์ความเป็นมาทางสังคมวัฒนธรรมในบริบทของสภาพแวดล้อมธรรมชาติร่วมกัน เป็นประวัติศาสตร์กษัตริย์วรมันของพวกอาณานิคมกับประวัติศาสตร์รัฐชาติไทย/ชาติเขมรครั้งยุครัชกาลที่ ๕ ประวัติศาสตร์ของคนท้องถิ่นที่แลเห็นคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่องนี้เป็นประวัติศาสตร์ที่สร้างโดยความทรงจำของผู้คนในท้องถิ่น หาใช่เป็นประวัติศาสตร์ยุคอาณานิคมหรือประวัติศาสตร์รัฐชาติที่แลเห็นแต่เส้นเขตแดนในเรื่องเศรษฐกิจและการเมืองที่ถูกสร้างโดยบรรดาดอกเตอร์ดอกตีนทั้งหลายที่เป็นคนข้างนอก ประวัติศาสตร์ที่แลเห็นคนเช่นนี้คือประวัติศาสตร์ที่คนในท้องถิ่นร่วมกันสร้างและต้องมีส่วนร่วมในการสร้าง ข้าพเจ้าไม่คิดว่าคณะกรรมการมรดกโลกจะเข้าใจและเห็นความสำคัญของประวัติศาสตร์ของคนในดังกล่าวนี้ ดังนั้น เมื่อมีการจัดการพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรขึ้น ก็จะเกิดโครงสร้างใหม่ที่คนในท้องถิ่นไม่เข้าใจและกลายเป็นเหยื่อจนสูญเสียทุกอย่างในชีวิตทางสังคม-วัฒนธรรมอย่างที่เคยมีมา การที่คณะกรรมการมรดกโลกไม่มีมิติของประวัติศาสตร์ของคนในอยู่ในสมองคิดเช่นนี้นั้น แลเห็นได้ในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน เรื่องแรกก็คือ คนท้องถิ่นที่เข้าไปตั้งร้านค้าขายและที่อยู่อาศัยในบริเวณตีนปราสาทพระวิหารอันเป็นพื้นที่ซึ่งทางไทยเห็นว่าคนกัมพูชาล้ำเขตแดนเข้ามา คนเหล่านี้คือคนพระวิหารฟากเขมรที่อพยพลี้ภัยสงครามภายในมาอยู่กับกองกำลังเขมรแดง ซึ่งทางไทยก็อะลุ่มอล่วยให้อยู่ จนปัจจุบันเกิดการอ้างสิทธิว่าอยู่ในเขตแดนกัมพูชาขึ้น ถ้าหากมีการจัดการพื้นที่บริเวณนี้เป็นพื้นที่มรดกโลก คนเหล่านี้ที่มีร้านค้าและที่อยู่อาศัยก็ไม่มีทางอยู่ได้ ต้องเคลื่อนย้ายออกไป เรื่องนี้ถ้าหาทางคณะกรรมการมรดกโลกไทยไปร่วมมือกับ ๖ ชาติในการจัดการพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรแล้ว ก็คงถูกกำหนดให้จัดการกับคนพระวิหารในความรับผิดชอบของทางฝ่ายไทยอย่างแน่นอน นั่นก็คือการรังแกคนพระวิหารนั่นเอง นับเป็นการโยนเผือกร้อนที่น่าทุเรศ ส่วนเรื่องที่สองเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ในบริเวณเขาพระวิหารฟากแผ่นดินไทย เมื่อคณะธรรมยาตราของฝ่ายพันธมิตรที่คัดค้านการขึ้นทะเบียนมรดกโลกปราสาทพระวิหารในนามของกัมพูชาเดินทางมายังเขาพระวิหารเพื่อให้กำลังใจกับทหารไทยที่ขึ้นไปตรึงกำลังไม่ให้เกิดการละเมิดอธิปไตยเขตแดนไทย ชาวบ้านของหมู่บ้านภูมิซรอลอันเป็นชุมชนเก่าแก่ในลุ่มน้ำตราวของท้องถิ่นพระวิหารได้ออกมาขัดขวางไม่ให้ขึ้นไปบริเวณปราสาท เพราะเห็นว่าเป็นการสร้างความวุ่นที่จะทำให้คนท้องถิ่นซึ่งเป็นคนพระวิหารทั้งฟากไทยและฟากกัมพูชาหมดอาชีพและรายได้ที่เกิดจากการท่องเที่ยวปราสาทพระวิหาร เลยเกิดทุบตีและใช้ความรุนแรงกันขึ้น ฝ่ายพันธมิตรนั้นมุ่งหวังที่จะไปให้กำลังใจทหารเพื่อไม่ให้ทางไทยยินยอมทำงานร่วมกับคณะกรรมการมรดกโลก ถ้าหากไม่ยอมให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกร่วมกันกับกัมพูชา เพราะถ้ายินยอมก็จะมีผลกระทบมาถึงการเสียดินแดนที่รวมไปถึงผู้คนที่เป็นคนพระวิหารทางฟากไทย และรวมทั้งฟากกัมพูชาด้วยที่อาจะไม่มีอาชีพและรายได้ดังที่เป็นอยู่ ฝ่ายทางชาวบ้านภูมิซรอลซึ่งเป็นคนพระวิหารเองก็เข้าใจไปว่า ถ้าหากบริเวณเขาพระวิหารเป็นพื้นที่มรดกโลกแล้ว พวกตนจะเดือดร้อนเพียงใด เพราะการจัดการพื้นที่ทั้งหมดเป็นการจัดการจากคนภายนอกซึ่งเป็นคนข้ามชาติข้ามถิ่นทั้งสิ้น คณะกรรมการมรดกโลกทั้งหลายเหล่านั้นไม่เคยมีประวัติศาสตร์ของคนท้องถิ่นพระวิหารอยู่ในสมองเลย ทำนองตรงกันข้ามกลับใช้ประวัติศาสตร์สมัยอาณานิคมและสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อร้อยปีมานี้อันเป็นประวัติศาสตร์ที่หมดอายุแล้วมาสร้างความมีตัวตนของปราสาทพระวิหารขึ้นใหม่ เพื่อการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ การท่องเที่ยวของมรดกโลกแทบทุกแห่งที่มีมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่เคยมีมิติของคนท้องถิ่นว่าเขาจะต้องสูญเสียและเดือดร้อนอะไรบ้าง ทำนองตรงข้ามกลับเป็นประโยชน์ของนายทุน นักธุรกิจข้ามชาติที่เป็นคนข้างนอกแทบทั้งสิ้น ดังนั้นก็อยากสรุปไว้ในที่นี้ว่า การทำให้ปราสาทพระวิหารเป็นแหล่งมรดกโลกนั้นก็คือการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเพื่อรายได้ทางเศรษฐกิจที่มีลักษณะทอปดาวน์ โดยคนจากภายนอกที่บีบบังคับให้คนในท้องถิ่นต้องยอมตาม จนเกิดการสูญเสียวิถีชีวิตความเป็นอยู่สภาพแวดล้อมธรรมชาติ ทรัพยากรและการอยู่ร่วมกันทางสังคมที่เคยมีมาหลายศตวรรษ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ความสุขประชาชาติของคนภูฐานกับความทุกข์ประชาชาติของคนไทย
เผยแพร่ครั้งแรก 1 พ.ค. 2551 ข้าพเจ้าเพิ่งไปภูฏานร่วมกับศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ได้มีโอกาสทำความเข้าใจกับความหมายของ ความสุขมวลรวมประชาชาติ -GNH [Gross National Happiness] อันเป็นสิ่งที่พระมหากษัตริย์ของภูฏานทรงสร้างให้เป็นอุดมคติของประเทศชาติในลักษณะเดียวกันกับเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก่อนได้ไปได้เห็นอันเนื่องมาจากได้ยินและได้อ่านนั้น ยังคิดอะไรไม่ออก แต่หลังจากได้ไปได้เห็นอย่างมีประสบการณ์ แม้ว่าเพียงระยะเวลาสั้น ๆ เพียง ๑๐ วันก็พอเข้าใจ ความสุขประชาชาตินั้นคือ วาทะกรรมตอบโต้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ -GNP [Gross National Product] ที่ความแตกต่างกันอยู่ที่ฝ่ายแรกให้ความสำคัญกับการพัฒนาทางวัฒนธรรม แต่ฝ่ายหลังเป็นการพัฒนาทางเศรษฐกิจ หัวใจการพัฒนาทางเศรษฐกิจของคนไทยอยู่ที่ “เงิน” ดังในคำขวัญของประเทศครั้งแรกการพัฒนาในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ขึ้นป้ายและโฆษณาในทีวีว่า “เงินคืองาน บันดาลสุข” ความสุขของคนไทยยุคพัฒนาจึงอยู่ที่เงินที่จะได้มาด้วยกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทั้งการผลิตด้านอุตสาหกรรม การตลาด การบริการที่จะบันดาลให้เกิดบ้านเมืองแบบใหม่ที่ทันสมัยแบบตะวันตกและคนไทยแบบตะวันตกขึ้นมา ในยุคพัฒนาเศรษฐกิจ รัฐให้ความหวังกับการผลิตนักวิชาการ ผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์เป็นอันดับแรก อย่างเช่นการให้ทุนกับนักศึกษาและข้าราชการไปเรียนต่อ ก็มักให้กับวิชาเศรษฐศาสตร์เป็นอันดับแรก นักเศรษฐศาสตร์คือนักรบผู้ยิ่งใหญ่ มีขุนพลทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นมากมายทั้งในสถาบันวิชาการ การปกครอง และการบริหารประเทศ รวมทั้งแผนพัฒนาเศรษฐกิจอีกมากเป็นลำดับมาจนทุกวันนี้ จากการขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจ เพื่อให้มีผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ [Gross National Product] ที่จะก่อให้เกิดรายได้ประชาชาติอย่างเป็นเงินอันเป็นความสุขตลอดเวลากว่า ๔๐ ปี ได้ทำให้สังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงทางสังคม-วัฒนธรรม จากสังคมชาวนา [Peasant society] มาเป็นสังคมอุตสาหกรรมในลักษณะก้าวกระโดด จนไม่อาจจัดระเบียบและรูปแบบทางสังคมได้ เพราะระบบเศรษฐกิจที่ใช้ในการพัฒนานั้นลอกเลียนมาจากทางตะวันตกทั้งดุ้นเลยก็ว่าได้ เป็นเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีที่เน้นความสำเร็จของปัจเจกบุคคลและพรรคพวก โดยอาศัยการตลาดและระบบเงินตราเป็นกลไกที่สำคัญ คนหรือมนุษย์กลายเป็นสัตว์เศรษฐกิจ ที่มุ่งการผลิตให้ได้ผลมากตลอดเวลา มีการแข่งขันกันตลอดเวลา ทั้งคนเองก็ถูกสอนไม่ให้พอใจในสิ่งที่มีอยู่ ต้องหาทางเพิ่มพูนอยู่ตลอดเวลา จึงเพิ่งมาถึงปัจจุบันนี้ ถ้าหากจะมีคำถามว่าการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศเพื่อให้มีผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติหรือรายได้ประชาชาตินั้น เป็นจริงแค่ไหนละก็ใคร่ตอบว่าแลไม่เห็นเลย นอกจากการมีรายได้ที่ไม่ทัดเทียมกันของผู้คนในสังคม คือมีคนจน คนขัดสน คนด้อยโอกาสมากมาย ในขณะที่คนรวยมีไม่มากแต่กลับรวยกันอย่างมหาศาล รวยเฉพาะตัวเองและพรรคพวกแล้วยังไม่พอ พากันไปชักชวนนักธุรกิจข้ามชาติให้มาลงทุน จนพากันร่ำรวยไปหมด สังคมอุตสาหกรรมของคนไทยทุกวันนี้เป็นสังคมที่มีคนเพิ่มจำนวนขึ้นมาก เป็นการเพิ่มจากการเคลื่อนย้ายของคนจากข้างนอกเข้ามาตั้งถิ่นฐานทั้งในระดับชนชั้นสูงและชั้นล่าง มีการโยกย้ายกระจายตัวไปอยู่ตามแหล่งอุตสาหกรรม ต่าง ๆ อย่างไม่มีระเบียบทำให้ท้องถิ่นหนึ่ง ๆ หรือชุมชนหนึ่ง ๆ เป็นที่อยู่ร่วมกันของผู้คนที่ส่วนใหญ่เป็นพวกที่ไม่มีหัวนอนปลายตีน ผู้คนไม่อยู่ติดที่อย่างเป็นหมู่เหล่ากันแบบแต่ก่อน มีการเคลื่อนย้ายอยู่ตลอดเวลาทั้งในระยะใกล้และไกล ซึ่งทำให้ในทุกวันนี้เกิดการขาดแคลนพลังงานอย่างแสนสาหัส โดยเฉพาะน้ำมันที่มีราคาแพงกันทั้งโลก คนไทยทั่วไปในสังคมอุตสาหกรรมที่มีชีวิตความเป็นอยู่และการทำงานอย่างไม่มีถิ่นไม่มีฐาน จนต้องสิ้นเปลืองคำใช้จ่ายในเรื่องน้ำมัน เพื่อการขนส่งและคมนาคม กลายเป็นอมทุกข์มากกว่าอมสุขไป ซึ่งถ้ามองในภาพรวมขณะนี้ก็คือ สังคมไทยเป็นสังคมที่มีความทุกข์มวลรวมประชาชาติ [Gross National Suffering] นั่นเอง ในทำนองตรงข้าม การขับเคลื่อนการพัฒนาของบ้านเมืองให้เกิดความสุขของประชาชาติของคนภูฎานนั้น ภูฎานไม่ใช้การขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจเพื่อปรับประเทศเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรมในกระแสโลกาภิวัตน์ แต่ใช้ การพัฒนาทางวัฒนธรรม [Culture] เป็นหลัก คำว่า วัฒนธรรม ในที่นี้ไม่ใช่ศิลปวัฒนธรรม อย่างที่เข้าใจและรับรู้กันในสังคมไทย อันเป็นวัฒนธรรมที่ไม่แลเห็น คน หากเป็นสังคมและวัฒนธรรมที่หมายถึง ชีวิตวัฒนธรรมของกลุ่มชนทางสังคม ซึ่งอาจจะเรียกว่าวิถีชีวิตก็ได้ เป็นวิถีชีวิตของกลุ่มชนที่อยู่รวมกันในพื้นที่ใดที่หนึ่งในเวลาใดเวลาหนึ่ง สังคมภูฎานแต่เดิมมาจนปัจจุบันมีพื้นฐานเป็นสังคมชาวนา [Peasant society] ที่ผู้คนอยู่กันเป็นกลุ่มเหล่า [Local community] ตามท้องถิ่นต่าง ๆ ในลักษณะที่มีถิ่นฐานบ้านช่อง รู้จักกันว่าใครเป็นใคร ต่างกับคนในสังคมอุตสาหกรรมที่ผู้คนแห่กันมาตั้งบ้านเรือนกันอย่างไม่รู้จักกัน ไม่มีหัวนอนปลายตีน หัวใจของการพัฒนาความสุขประชาชาติของภูฏาน ซึ่งอยู่ตรงสังคมท้องถิ่นนี้ คือพยายามให้คนในท้องถิ่นอยู่ติดที่ไม่เคลื่อนย้าย โดยให้การศึกษาตั้งแต่ขั้นประถมไปถึงขั้นอุดมศึกษาและการพัฒนาทางเศรษฐกิจให้กับคนท้องถิ่นรุ่นใหม่ ๆ ได้อยู่และมีงานทำในท้องถิ่นของคน โดยไม่ต้องร่อนเร่ไปหาที่อยู่หรือไปทำมาหากินในที่อื่น ๆ อีกทั้งไม่มีแผนและนโยบายที่จะสร้างโครงสร้างขั้นพื้นฐาน [Infra structure] เช่นถนนหนทาง เขื่อนพลังงานไฟฟ้า แหล่งอุตสาหกรรมและการขยายเขตเมืองเข้าไปรุกพื้นที่ธรรมชาติและชนบทในการเร่งรัฐพัฒนา โดยเฉพาะโครงการเกี่ยวกับพลังงานที่ทำลายสภาพแวดล้อมธรรมชาติอย่างเช่นของไทย แต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ภูฏานข้าพเจ้าแลเห็นการเติบโตของเมือง [Urban area and urbanization] มักอยู่ในเมืองใหญ่ ๆ บางแห่งเท่านั้น โดยเฉพาะที่เมืองทิมปูอันเป็นเมืองหลวง แต่ก็ดูไม่เร่งรีบในการลงทุนจากภายนอก รวมทั้งการตลาด การบริการให้ทันสมัยอย่างรวดเร็วแต่อย่างใด สิ่งที่โดดเด่นทางเศรษฐกิจอันน่าจะทำรายได้ให้กับภูฏานมากที่สุดก็คือ การท่องเที่ยว เพราะภูฏานเป็นประเทศหนึ่งในโลกหิมาลัยที่มีภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมสวยงาม ผู้คนไม่หนาแน่นและมีชีวิตความเป็นอยู่ตามแบบประเพณีที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปเท่าใด ซึ่งภูฏานเองก็เข้าใจในเรื่องนี้ แต่ก็ไม่แสดงอาการอันใดที่จะมีการพัฒนาให้เกิดรายได้อย่างประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างประเทศไทยซึ่งดูเหมือนจะพัฒนามากในสิ่งที่ว่าจำเป็นแก่การคมนาคมเป็นสำคัญ เหตุนี้เมื่อไปถึงภูฏานจึงได้เห็นถนนหนทางที่ดี มั่นคงและปลอดภัยทั้งในเขตเมืองชนบทและการติดต่อระหว่างบ้านเมืองในหุบเขาต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักร ทิวทัศน์ระหว่างหุบเขาบนเส้นทางขึ้นเขาผ่านเหวและลงห้วยแวดล้อมด้วยธรรมชาติที่สวยงามยิ่ง แต่ภูฏานได้ไม่รับนักท่องเที่ยวจนเกินขอบเขตในการควบคุม ไม่พัฒนาโรงแรม ร้านอาหาร ร้านค้า และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอื่น ๆ ให้ทันสมัย อีกทั้งสร้างกติกาต่าง ๆ ในการเข้าประเทศเพื่อป้องกันการเข้ามาของนักท่องเที่ยวแบบปลดปล่อยตัวเองและล้างผลาญวัฒนธรรมของคนท้องถิ่นอย่างที่เป็นอยู่ในเมืองไทยขณะนี้ ภูฎานใช้สังคมชาวนาเป็นพื้นฐานในการพัฒนา โดยตรึงคนในชนบทไม่ให้เคลื่อนย้ายและหลั่งไหลเข้าเมือง จึงสามารถสร้างดุลยภาพระหว่างของเก่าและของใหม่ในกระแสการพัฒนาได้ คือคนในไม่ออกไปมากและคนนอกไม่เข้ามามาก แต่เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องถูกท้องถิ่นบูรณาการให้เป็นคนท้องถิ่นไป ท้องถิ่นจึงเป็นชุมชนทางจินตนาการอันดับแรกที่ทำให้คนเก่าและใหม่อยู่ด้วยกันได้ในกติกาท้องถิ่น เมื่อท้องถิ่นมีทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมความขัดแย้งก็ลดน้อยลง โดยเฉพาะเรื่องการใช้พลังงานไฟฟ้าและน้ำมัน เมื่อไม่มีโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่โดยมนุษย์ข้ามชาติ แต่มีโรงงานขนาดเล็กในระดับครอบครัวและชุมชน [Cottage industry] ก็ไม่ต้องทำเขื่อนพลังงานไฟฟ้าที่ดีแต่สร้างความพินาศให้กับสภาพแวดล้อมและชีวิตของคนในท้องถิ่น ไม่มีผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาอยู่ทับถมในท้องถิ่นอย่างไม่มีหัวนอนปลายตีน บ้านจัดสรร ทาวน์เฮาส์ หรือคอนโดมิเนียมที่เป็นคอกสัตว์ รังสัตว์ก็ไม่เกิด การคมนาคมภายในท้องถิ่นและบริเวณที่เกี่ยวข้องก็อยู่ในขอบเขตที่ไม่ต้องใช้รถยนต์และน้ำมันที่กำลังมีราคาแพงเท่าใด เพราะบรรดาสถานที่ทำงาน โรงเรียน และอื่น ๆ ล้วนอยู่ไม่ห่างไกลกัน อีกทั้งไม่จำเป็นต้องมีย่านตลาดใหญ่โต มีซูเปอร์มาเก็ตและศูนย์การค้าที่ ชอปปิ้งกันด้วยเครื่องกลเครื่องไฟฟ้าแต่อย่างใด สภาพเช่นนี้ยังแลเห็นได้ในสังคมท้องถิ่นของภูฏาน แต่สิ่งที่ยังดำรงอยู่อย่างหนักแน่นและเปลี่ยนแปลงน้อยมากก็คือ เรื่องความสัมพันธ์ของคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติในเรื่องความเชื่อทางศาสนาที่ครั้งหนึ่งในสังคมชาวนาของคนไทยเคยมี แต่บัดนี้กลายเป็นความเชื่อทางไสยศาสตร์ไปหมดแล้ว คนภูฏานนับถือทั้งผีและพุทธมหายาน ทั้งสองศาสนาอยู่ด้วยกันได้ พุทธเป็นสิ่งสูงสุดเพื่อชีวิตในโลกหน้า ผู้คนปรารถนาความสุขในโลกหน้าก็ต้องทำดีอยู่ในศีลอยู่ในธรรม ในขณะที่ผีคือกลไกที่ควบคุมชีวิตความเป็นอยู่ของคนในโลกนี้ที่มีทั้งให้คุณและให้โทษ เป็นสิ่งที่ทำให้คนท้องถิ่นต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่มทางสังคมอย่างมีจารีตประเพณี ผีมีอยู่แทบทุกแห่งในสภาพแวดล้อมธรรมชาติ ไม่ว่าบ่อน้ำ หนองน้ำ โขดหิน ภูผา ล้วนมีผีดูแล โดยเฉพาะผีนาคที่ดูแล้วคล้าย ๆ กันกับความเชื่อเรื่องนาคในลุ่มน้ำโขงของไทยและลาว แต่ทั้งศาลผีหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของผีก็ดูไม่โดดเด่นเท่ากับสิ่งที่เป็นศาสนสถานของพุทธ เช่น วิหาร สถูป มณฑปน้ำ กำแพงสวด และถุงมนต์ ศาสนสถานเหล่านี้เป็นที่ผู้คนที่ผ่านไปมาในชีวิตประจำวันสามารถประกอบพิธีกรรมได้ทุกเมื่อด้วยการสวดมนตรา “โอม มณี ปัทเม หุม” อันเป็นคาถาเพื่อสร้างความเบิกบานให้แก่จิตใจ คนภูฏานสวดมนตรานี้ได้ทุกขณะเมื่อมีเวลาว่างเพื่อหยุดความต้องการทางกิเลส คล้าย ๆ กันกับคนมุสลิมที่ต้องทำละหมาดวันละ ๕ ครั้งฉะนั้น จากการที่ได้ไปเห็นไปสัมผัส แม้ว่าจะมีเวลาเพียงเล็กน้อยไม่ถึง ๑๐ วันก็ตาม ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ความสุขประเทศของคนภูฏานนั้นสถิตอยู่ในมิติทางจิตวิญญาณนี้เอง ข้าพเจ้าได้พบเห็นว่าคนภูฏานไม่มีจิตใจที่คดโกง หลอกลวงเมื่อเวลาติดต่อซื้อขายสิ่งของและการบริการ รวมทั้งไม่มีขโมยขโจรให้แลเห็น ผิดกับคนในสังคมปากว่าเป็นคนพุทธของคนไทยในสมัยโลกาภิวัตน์ทุกวันนี้ จึงใคร่สรุปเปรียบเทียบการพัฒนาสังคมของไทยกับภูฏานอย่างสั้น ๆ ในที่นี้ว่า ความสุขของคนไทยอยู่ที่เงิน ที่แสดงออกจากวัตถุนิยมและบริโภคนิยม เป็นความทันสมัยทันโลกที่กำลังเดินทางส่งความทุกข์ ความวิบัตินานาประการ ในขณะที่คนภูฏานให้ความสำคัญกับการพัฒนาวัฒนธรรมจากพื้นฐานสังคมชาวนานั้น เป็นสังคมที่มีความสุขแต่เป็นความสุขในมิติทางจิตวิญญาณของสังคมชาวนาที่ไม่เลอเลิศแต่ฉิบหายเท่ากับสังคมอุตสาหกรรมแบบทันโลกของคนไทย อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- นิเวศเดรัจฉาน การสร้างบ้านแปงเมืองในยุคโลกาภิวัตน์
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2552 สมัยกรุงเทพตอนต้นตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ มาถึงที่ ๓ การตั้งถิ่นฐานบ้านเมืองของผู้คนในสยามประเทศ เป็นกระบวนการสร้างบ้านแปงเมืองในสังคมชาวนา [Peasant society] ที่เป็นเช่นนั้นเรื่อยมานับพันปี แต่สมัยทวารวดี-ลพบุรีก็ว่าได้ คือ กระบวนการเดียวกันที่ทำให้เกิดชุมชนในระดับบ้านและเมืองขึ้น แม้ว่ารูปแบบของแต่ละยุคแต่สมัยจะไม่เหมือนกันก็ตาม มาถึงสมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นช่วงต้นของการเปลี่ยนผ่านอันเนื่องมาจากการได้รับอิทธิพลความคิดแบบบ้านเมืองทางตะวันตกเข้ามา ทำให้โลกทัศน์และค่านิยมของชนชั้นปกครองเปลี่ยนแปลง สิ่งสำคัญที่เป็นพลังผลักดันก็คือ ความคิดในเรื่องโลกวิสัย [Secularization] อันเป็นต้นตอของความคิดแบบแยกส่วน ดังเช่น แต่ก่อนคนมองโลกในลักษณะที่เป็นองค์รวม ไม่มีการแบ่งแยกโลกทางวัตถุกับโลกทางธรรมและจิตวิญญาณในจักรวาลแบบไตรภูมิที่เชื่อว่าโลกแบน มีปลาอานนท์หนุนแผ่นดินและมีเขาพระสุเมรุมาศเป็นศูนย์กลางของจักรวาลที่สะท้อน ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน (นั่นคือ คนต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเหล่า) ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติ (อันนำมาซึ่งการจัดการกับสภาพแวดล้อมธรรมชาติเพื่อการมีปัจจัยสี่ในการดำรงชีวิตรอดร่วมกัน เป็นที่มาของความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกสิกรรมทางเศรษฐกิจ-การเมือง) ความสัมพันธ์กับสิ่งเหนือธรรมชาติ อันเป็นเรื่องของระบบความเชื่อในมิติทางจิตวิญญาณ ทำให้กิจกรรมต่าง ๆ ทั้งมวล มีความเชื่อมโยงด้วยมิติความสัมพันธ์กันทั้งสามอย่างนี้อย่างเป็นองค์รวม หากแต่ โลกวิสัย [Secularization] เป็นอิทธิพลความนึกคิดของคนตะวันตกที่แยกส่วนโลกทางวัตถุออกจากโลกทางจิตวิญญาณ แถมยังมีความพยายามในการดำเนินการต่าง ๆ ของทางรัฐ ที่จะเพิกเฉยและลบล้างอะไรต่าง ๆ ในเรื่องจิตวิญญาณให้หมดไป ซึ่งมีผลที่ทำให้คนมองอะไรต่ออะไรในแง่ทางวัตถุและเชื่อในเรื่องวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีจนสุดโต่ง สมัยรัชกาลที่ ๕ คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงจากสังคมชาวนา [Peasant society] สู่สังคมกสิกร [Farmer society] เป็นยุคของปัญญาชน ชนชั้นปกครองรุ่นใหม่ที่ได้รับอิทธิพลตะวันตกเต็มตัว สิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญก็คือ การปฏิรูปการเมือง การปกครอง โดยใช้ กระบวนการสร้างอาณานิคมภายใน ตามแบบการสร้างอาณานิคมองคนตะวันตกในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ อย่างเช่นการกำหนดการปกครองส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น ที่ทำให้การดำรงอยู่ของสังคมบ้านและเมืองอย่างมีอิสระทางวัฒนธรรมต้องสุดสิ้นลง บ้านและเมืองกลายเป็นหมู่บ้าน ตำบล อำเภอและจังหวัดไปจนหมดสิ้น ท้องถิ่นที่เป็นบ้านและเมืองหมดความเป็นอิสระทางชีวิตวัฒนธรรม ภายใต้การบริหารของบรรดาผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายอำเภอและข้าหลวง ที่เป็นตัวแทนที่ได้รับมอบหมายอำนาจมาจากรัฐไม่มีอำนาจจากของล่างในระดับท้องถิ่นต่อรอง การให้กรรมสิทธิ์ที่ดินและการเลิกทาส ทำให้เกิดกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยและรายใหญ่ที่พัฒนาตัวเองขึ้นเป็นชนชั้นกลางและแรงงานที่มีผลมาจากการเลิกทาส การทำนาปลูกข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญที่มีการส่งออกได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศและนิเวศวัฒนธรรมของคนในสังคมชาวนามาเป็นสังคมกสิกรในการปลูกข้าว มีการถางป่าทางพงให้เป็นนา เกิดการขุดคลองชลประทานส่งน้ำและการทำนบเบนน้ำชักน้ำที่นำไปสู่การสร้างประตูน้ำและเขื่อน ปล่องโรงสีข้าวอันเป็นแหล่งสถิตของบรรดานายทุนและพ่อค้าคนกลางและการเกิดย่านตลาด คือการเกิดความเป็นเมืองในสมัยนี้ รวมทั้งการสร้างถนนและทางรถไฟที่ทำให้เกิดการขยายตัวของการสร้างบ้านแปงเมืองในยุคของสังคมกสิกรขึ้น อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนผ่านจากสังคมชาวนามาสู่สังคมกสิกรก็ยังมีเยื่อใยในทางสังคม วัฒนธรรมอย่างรุนแรง จนถึงเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทั้งหมด เพราะเนื่องด้วยการเป็นสังคมเกษตรกรรมเหมือนกัน กระบวนสมัยประชาธิปไตยเผด็จการของรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้นมา มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากสังคมเกษตรกรรมเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรม เป็นการเปลี่ยนแปลงทางโลกวิสัยที่เป็นวัตถุนิยมอย่างสุดโต่งตามพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ทางอเมริกาและประเทศใหญ่ ๆ ทางตะวันตก เกิดสถาบันใหญ่ ๆ ในการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการเมือง ไม่ว่ากระทรวงพัฒนาการแห่งชาติที่ต่อมาเป็นสภาพัฒนาเศรษฐกิจในปัจจุบัน รวมทั้งการสร้างคนรุ่นใหม่ที่ส่งไปเล่าเรียนและอบรมตามมหาวิทยาลัยในสำนักพ่อแม่ทางตะวันตกมากมายในทางเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ การศึกษา วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีมากมาย โดยแทบไม่มีวิชาที่เกี่ยวข้องกับความเป็นมนุษย์ในทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์แต่อย่างใดเกิดแผนพัฒนาเศรษฐกิจ การเมืองที่ไม่เห็นสังคมวัฒนธรรม ที่เป็นผลให้เกิดกระบวนการสร้างบ้านแปงเมืองแบบใหม่ขึ้น เพื่อสังคมที่เปลี่ยนจากเกษตรกรรมแต่เดิมมาเป็นสังคมอุตสาหกรรม เป็นกระบวนการที่เป็นโลกวิสัยในทางวัตถุนิยมอย่างสุดโต่ง ที่ไม่มีมิติทางจิตวิญญาณอันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งนอกเหนือธรรมชาติแม้แต่น้อย รวมทั้งเน้นความเป็นปัจเจกบุคคลนิยมที่ขัดแย้งต่อธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ที่ต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเหล่าในลักษณะครอบครัวและชุมชน ในขณะเดียวกันก็ทำลายความสัมพันธ์อย่างมีดุลยภาพระหว่างคนกับธรรมชาติโดยสิ้นเชิง เพราะเป็นกระบวนการทำลายธรรมชาติและสร้างสภาพแวดล้อมและของเทียมของประดิษฐ์ขึ้นมาแทนที่ ทำให้ความเป็นบ้านเมืองใหม่ที่เกิดขึ้นตกอยู่ในสภาวะที่ขาดความเป็นมนุษย์ ขาดชีวิตความเป็นอยู่ที่เคยเป็นอิสระเป็นตัวเองมาเป็นอนุภาคของสิ่งที่ไม่มีชีวิตและทุกสิ่งทุกอย่างต้องพึงพิงจากภายนอก คนรุ่นใหม่ที่เป็นผลผลิตไม่รู้จักธรรมชาติเพราะกำลังมีชีวิตอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เป็นสิ่งเทียม สิ่งประดิษฐ์ หมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เสมือนจริงในไซเบอร์เสปซ และความนึกคิดจินตนาการที่แห้งแล้งเหมือนหุ่นยนต์ ในที่สุดคนก็กลายเป็นทรัพยากรอย่างหนึ่ง เรียกว่า ทรัพยากรมนุษย์ ที่ใครก็ได้ที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจ การเมือง จะบงการให้ทำมาหากินเพื่อการดำรงชีวิต เดี๋ยวนี้การสร้างให้คนเป็นทรัพยากรมนุษย์นั้นมีดาษดื่น มีสอนอบรมกันตามมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนที่ต้องทำอะไรให้เหมือนกันกับบรรดามหาวิทยาลัยและสถาบันพ่อแม่ทางอเมริกาและตะวันตก อันกระบวนการสร้างบ้านแปงเมืองในสังคมเกษตรกรรมนั้น เป็นการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ในนิเวศธรรมชาติในที่หนึ่ง ๆ ให้เป็นพื้นที่ทางนิเวศวัฒนธรรมในสิ่งที่เรียกกันว่า ท้องถิ่น ซึ่งก็มีทั้งพื้นที่อยู่อาศัย พื้นที่ทำกิน อันเป็นกรรมสิทธิ์ของปัจเจกบุคคลและครอบครัว และพื้นที่สาธารณะ ที่ไม่เป็นกรรมสิทธิ์ของใคร หากเป็นของหลวงหรือของรัฐโดยนิตินัย แต่ในพฤตินัยเป็นของผู้คนในชุมชนต่าง ๆ ที่อยู่ร่วมกันในท้องถิ่น พื้นที่สาธารณะเหล่านี้มีทั้งพื้นที่วัฒนธรรม เช่น วัด ตลาด โรงเรียน ป่าช้า สถานที่ศักดิ์สิทธิ์กับพื้นที่ธรรมชาติ เช่น หนอง บึง ลำน้ำ แม่น้ำ ท้องทุ่ง ป่าและเขา ที่มีการกำหนดชื่อร่วมกัน สร้างตำนานอธิบาย รวมทั้งเป็นพื้นที่ซึ่งมีสิ่งเหนือธรรมชาติดูแล ทั้งหมดนี้ทำให้แลเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนที่ต้องอยู่รวมกันเป็นครอบครัวและชุมชนอันได้แก่ บ้าน ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นชุมชนทางเครือญาติและชาติพันธุ์ ที่อาจจะแตกต่างกันกับชุมชนบ้านอื่น ๆ ที่อยู่ในท้องถิ่นเดียวกัน ชุมชนบ้านเหล่านี้จะมีความสัมพันธ์กับทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม จนทำให้เกิดสำนึกร่วมของความเป็นคนถิ่นเดียวกัน ในลักษณะที่เป็น มาตุภูมิ ที่ใดบ้านใดที่กลายเป็นศูนย์กลางของท้องถิ่น เช่น ตลาด วัดใหญ่มีมหาธาตุเจดีย์ หรือศาสนสถานที่สำคัญ อันเป็นที่ซึ่งผู้คนที่มีอำนาจหน้าที่ในการปกครอง การบริหาร การจัดการทางประเพณีพิธีกรรม และความหลากหลายของคนต่างอาชีพ รวมทั้งเป็นแหล่งศูนย์กลางคมนาคม ชุมชนนั้นมีขนาดใหญ่ มีคนหลากหลายกลุ่มและอาชีพอยู่รวมกัน ชุมชนนั้นก็คือ เมือง เพราะฉะนั้นเรื่องของบ้านเมืองเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออกในท้องถิ่นเดียวกัน ซึ่งก็มักปรากฏในคำพังเพยแต่โบราณมาว่า บ้านเกิดเมืองนอน ซึ่งก็หมายถึง มาตุภูมิ นั่นเอง ท้องถิ่นที่เป็นบ้านเมืองนั้น มีประวัติศาสตร์ร่วมกันในนามของประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์สังคม เพราะเน้นความสำคัญอยู่ที่ความเป็นมาและความเป็นอยู่ของผู้คนแต่ละชุมชนทั้งบ้านและเมืองว่าเป็นใครมาจากไหน มาอยู่ร่วมกันจนเป็นบ้านเป็นเมืองขึ้นได้อย่างไร อีกทั้งช่วยกันสร้างนิเวศวัฒนธรรมในการมีชีวิตรอดอยู่ร่วมกันอย่างไรและมีการเปลี่ยนแปลงเรื่อยมาอย่างไร ซึ่งทำให้ผู้คนในท้องถิ่นทั้งหมดแทบรู้จักกันหมดว่าใครเป็นใคร ดีชั่วอย่างไร มีจารีตประเพณีพิธีกรรมต่อความเชื่อ ค่านิยม โลกทัศน์ร่วมกันอย่างมีอำนาจเหนือธรรมชาติในท้องถิ่นควบคุมดูแลผ่านการประกอบพิธีกรรมทั้งในพิธีกรรมเกี่ยวกับชีวิต พิธีกรรมในรอบปีหรือพิธีกรรมสิบสองเดือน และพิธีกรรมทางศาสนา ทั้งหมดนี้ทำให้แลเห็นกระบวนการทางสังคมและวัฒนธรรมสามารถจรรโลงมนุษยธรรม ศีลธรรม และจริยธรรมให้คนในท้องถิ่นอยู่ร่วมกันอย่างราบรื่น อันการอยู่ร่วมกันของผู้คนในท้องถิ่นแต่ละถิ่นนั้น หาได้อยู่ในสภาพหยุดนิ่งไม่ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของคนในแต่ละรุ่น การย้ายออกและเข้ามาใหม่ตลอดเวลา การย้ายออกไปของผู้คนไปอยู่ที่อื่นก็หาได้ตัดขาด หากไปเกิดเป็นชุมชนเครือข่ายใหม่ที่มักมีโอกาสกลับมาพบปะสังสรรค์กันในงานประเพณีในรอบปีหรือพิธีกรรมเกี่ยวกับชีวิต ส่วนการเข้ามาของคนใหม่ ก็มักจะได้รับการบูรณาการจากคนนอกให้เป็นคนในตลอดเวลา จนในที่สุดเกิดสำนึกร่วมของการเป็นคนท้องถิ่นเดียวกัน การเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่นั้น ต้องผ่านการสัมพันธ์ทางสังคมกับคนในพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการแต่งงานเข้ามาหรือจากการที่ผู้ที่เข้ามาปฏิบัติตัวให้เหมือนคนใน โดยร่วมกิจกรรมทางจารีตประเพณีของท้องถิ่น จนเป็นที่ยอมรับ ซึ่งต่างจากการเคลื่อนย้ายของคนนอกในปัจจุบันที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในท้องถิ่นโดยอาศัยความชอบธรรมทางกฎหมายจากรัฐเป็นสำคัญ เช่น พวกนายทุนเข้ามาประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แยกตัวออกจากคนภายในและกลายเป็นผู้มีอิทธิพลอย่างเช่นเห็นในทุกวันนี้ โดยเฉพาะคนนอกที่เข้ามาในท้องถิ่นสมัครเลือกตั้งเข้ามาเป็นผู้ใหญ่บ้าน กำนัน อบต. และ อบจ. เป็นต้น คนนอกเหล่านี้มักไม่มีสำนึกของการเป็นคนท้องถิ่นแต่มุ่งมาแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตัวเองและพวกพ้องเป็นสำคัญ ทุกวันนี้สังคมไทยเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรมอย่างไม่เหลียวหลังในสองชั่วอายุคน กระบวนการทางอุตสาหกรรม [Industrialization] กับการขยายเมือง [Reurbanization] ได้ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายของผู้คน [Special mobility] ข้ามมิติของเวลาและสถานที่จนท้องถิ่นไม่มีทางที่จะบูรณาการคนนอกให้เป็นคนในอย่างมีสำนึกของการอยู่ร่วมกัน เป็นคนถิ่นเดียวกันอย่างแต่ก่อนได้ มิหนำซ้ำกระบวนการดังกล่าวนี้ยังเป็นสิ่งทำลายล้างสภาพธรรมชาติแวดล้อมของท้องถิ่นและคนท้องถิ่นที่มีมาแต่เดิมด้วย เช่น เมื่อเกิดโรงงานอุตสาหกรรม หรือแหล่งธุรกิจการค้าขึ้น ณ ที่ใด การตัดต้นไม้การถมที่ซึ่งเป็นลำน้ำหนองน้ำ โคกเนิน ป่าเขาเกิดขึ้นเสมอ มีการเคลื่อนย้ายคนจากถิ่นอื่นเป็นจำนวนมาก บางทีมากกว่าคนที่อยู่ในท้องถิ่น ๒-๓ เท่า มาทำงานและอาชีพนานาชนิดที่ทำให้คนในท้องถิ่นตั้งรับและปรับไม่ทัน แต่ที่สำคัญคนที่เข้ามาใหม่เหล่านี้มักมาด้วยความเป็นปัจเจกเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้องเป็นสำคัญ จนเกือบจะเป็นปรากฏการณ์แทบทุกแห่งที่เกิดแหล่งอุตสาหกรรมหรือย่านธุรกิจขึ้นนั้น มักเปลี่ยนสภาพความเป็นชุมชนบ้านเมืองท้องถิ่นแต่เดิมให้เกิดเป็นเมืองสมัยใหม่ตามแบบสังคมอุตสาหกรรมขึ้น มีบ้านจัดสรร คอนโดมีเนียมขึ้นมาแทนบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของผู้คนที่มีมาแต่เดิม แบบรื้อรากถอนโคนกัน เพราะบ้านเรือนแบบใหม่ที่เกิดขึ้นมีรูปแบบและการใช้พื้นที่ซึ่งแตกต่างไปจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม ทาวน์เฮาส์และแม้กระทั่งบ้านเอื้ออาทรอะไรต่าง ๆ นานานั้น มีลักษณะที่คล้ายกับรังผึ้งและคอกสัตว์ที่จัดไว้เฉพาะตัว ต่างคนต่างอยู่ตัวใครตัวมัน หลาย ๆ แห่งมีรั้วรอบขอบชิดทั้งระหว่างบ้านที่ติดกันกับทั้งบริเวณทั้งหมดของหมู่บ้านมีชื่อแปลก ๆ เป็นภาษาต่างประเทศเวอร์จิเนียแลนด์ ลาสเวกัส ซึ่งดูไม่เข้ากับลักษณะทางภูมิประเทศของพื้นที่ต่างจากชุมชนของชาวบ้านที่เน้นลักษณะโคกเนิน หนองบึง เช่น บึงกุม โคกไม้เคน เป็นต้น ชุมชนบ้านและเมืองใหม่เกิดขึ้นโดยการจัดการของบริษัทเอกชนในทุกที่อย่างไม่มีกาลเทศะขึ้นอยู่กับความพอใจและความคิดในเรื่องกำไรขาดทุน หามีความเคารพต่อพื้นที่ทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นตามประเพณีไม่ เพราะมักเข้าไปรุกล้ำพื้นที่สาธารณะที่มีทั้งพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ พื้นที่เศรษฐกิจ และพื้นที่ธรรมชาติที่มีความสวยงาม ทำให้สิ่งที่เป็นอัตลักษณ์ทางกายภาพของท้องถิ่นหมดไป ที่ทำเศร้าใจก็คือ ผู้ที่มีหน้าที่ในการก่อสร้างเช่น พวกวิศวกร สถาปนิก และนักผังเมืองทั้งหลาย นั้นแหละที่ต้องถูกตำหนิ เพราะไม่สนใจเรื่องของบ้านเมืองที่มีมาแต่อดีต กลับมองแต่ปัจจุบันโดยเอารูปแบบเฉพาะความคิดต่าง ๆ จากทางตะวันตกมาออกแบบและเปลี่ยนแปลงให้เกิดบ้านเมืองแบบใหม่ขึ้น ที่น่าขำก็คือหลายคนพูดถึงสวนหย่อม หรือสวนสาธารณะบ่อย ๆ ดูราวกับว่าพื้นที่สาธารณะเหล่านั้นเป็นสิ่งที่คิดและจัดตั้งได้โดยใช้ความนึกคิด หรือจินตนาการของตนแต่ผู้เดียว แต่สิ่งที่แลเห็นในทุกวันนี้อันเป็นผลผลิตของการสร้างบ้านแปงเมืองในสังคมอุตสาหกรรมก็คือ มีแต่โครงสร้างทางกายภาพก็ดูหน้าตื่นตาตื่นใจเป็นแบบตะวันตก มีต้นไม้ที่คิดสรรคิดพันธุ์มาแต่งสวน มีทะเลสาบ มีถนนและสถานที่หย่อนใจส่วนตัว ซึ่งดูดีในตอนแรก ๆ แต่พอหมดสัญญาในการดูแลของบริษัทแล้ว ก็เสื่อมโทรมสกปรก รกรุงรังกลายเป็นป่าคอนกรีตไป เพราะผู้ที่อยู่ต่างคนต่างอยู่ในลักษณะซุกหัวนอนเท่านั้น ไม่คิดที่จะทำอะไรในการดูแลชุมชนร่วมกัน ข้าพเจ้ามีเพื่อนฝูงและญาติพี่น้องที่อยู่ในบ้านจัดสรรแห่งหนึ่งที่แต่ก่อนรู้จักกันในนามของ เมืองเอก ดูเป็นชุมชนในอุดมคติที่ปรากฏในหน้าโฆษณาทางหนังสือพิมพ์และจอทีวีบ่อย ๆ แต่อนิจจาปัจจุบัน คนเหล่านั้นกำลังอยู่ในความทุกข์ เพราะมีคนร้อยพ่อพันแม่และไม่มีหัวนอนปลายตีนเข้ามาอยู่และผ่านไปมา โจรผู้ร้ายชุกชุม ทำให้เกิดความไม่สบายใจ ขาดความสุขและความมั่นคงในชีวิต ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะชุมชนบ้านเมืองแบบใหม่ที่เกิดขึ้นนี้ อาจมีโครงสร้างทางกายภาพที่ทันสมัยและดูดี แต่ไม่อาจสร้างโครงสร้างทางสังคมอันเป็นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ขึ้นมาได้ ความเป็นท้องถิ่นที่เป็นบ้านและเมืองในปัจจุบัน จึงเป็นแต่เพียงที่พำนักของปัจเจกบุคคลที่ไม่มีความสัมพันธ์เป็นสังคมมนุษย์ขึ้นมาได้ เป็นนิเวศที่แลไม่เห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติและคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติแต่อย่างใด มันคือ นิเวศเดรัจฉาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ภูมิวัฒนธรรมและการเปลี่ยนแปลงนิเวศวัฒนธรรมในหุบปัตตานีและหุบสายบุรี
เผยแพร่ครั้งแรก 26 พ.ค. 2559 ข้าพเจ้ามีความเห็นว่าพื้นที่บริเวณสามจังหวัดภาคใต้มีลักษณะพิเศษในเรื่องสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างไปจากบรรดาพื้นที่ในจังหวัดอื่น ๆ ที่อยู่ทางฝั่งทะเลตะวันออกด้วยกัน เช่น จังหวัดนครศรีธรรมราชและสงขลา คือ เป็นพื้นที่บนคาบสมุทรมลายูที่ถูกกำหนดโดย เทือกเขาสันกาลาคีรี เพราะบริเวณนครศรีธรรมราชและสงขลานั้นถูกกำหนดโดย เทือกเขานครศรีธรรมราชกับเทือกเขาบรรทัด ซึ่งเป็นทิวเขายาวเหยียดตรงขนานไปกับชายฝั่งทะเลตั้งแต่อำเภอสิชลลงมาจนถึง จังหวัดพัทลุงและจังหวัดสงขลา ทำให้เกิดพื้นที่ราบชายฝั่งทะเลเป็นแนวยาว มีลำน้ำสายสั้น ๆ ไหลลงจากเทือกเขามาออกทะเลทางด้านตะวันออก ไม่มีทิวเขาและที่สูงขั้นระหว่างลำน้ำสายต่าง ๆ ที่ไหลลงทะเล และโดยการกระทำของคลื่นลมที่ซัดเข้าฝั่งทะเล ทำให้เกิดเป็นแนวสันทรายยาวขนานไปกับชายฝั่งทะเลหลายแนว แต่ทำนองตรงข้าม พื้นที่ในเขตเทือกเขาสันกาลาคีรีถูกกำหนดโดยเทือกเขาที่คดเคี้ยวจากเหนือลงใต้ และมีแขนงเขาแยกลงมาทางด้านตะวันออกเป็น ๘ ทิวด้วยกัน โดยพื้นที่ระหว่างเขามีลำน้ำไหลผ่ากลางจากทิศตะวันตกไปออกชายฝั่งทะเลทางตะวันออก ได้แก่ ลำคลองนาทับ ลำน้ำเทพา แม่น้ำปัตตานี แม่น้ำสายบุรี และแม่น้ำบางนรา พื้นที่ระหว่างเขาที่มีแม่น้ำทั้งห้าสายนี้ไหลผ่าน ล้วนเป็นพื้นที่ในหุบเขาที่กว้างมีทั้งที่ราบที่สามารถทำนาและทำสวนได้ แต่หุบเขาใหญ่ที่สัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานเป็นบ้านเมืองสำคัญนั้น ได้แก่ หุบเขาทางลุ่มน้ำปัตตานีและลุ่มน้ำสายบุรี ที่หุบปัตตานี แม่น้ำปัตตานีมีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาทางตะวันออกที่กั้นแดนประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย ผ่านเขตอำเภอเบตงลงมาสู่บริเวณที่ต่ำกว่าซึ่งกลายเป็นเขื่อนบางลาง ไหลผ่านจากที่ลาดลงสู่บริเวณบ้านหน้าถ้ำที่มีเขาหินปูนขนาบอยู่ทั้งสองฝั่ง แม่น้ำ นับเป็นการสิ้นสุดของพื้นที่ราบระหว่างเขาเข้าสู่พื้นที่ราบกว้างใหญ่ที่ เริ่มแต่เขตจังหวัดยะลาไปยังจังหวัดปัตตานี ลุ่มน้ำปัตตานีถูกแยกออกมาจากลุ่มน้ำสายบุรี โดยทิวเขาทางด้านตะวันออกที่ผ่านเขตอำเภอบันนังสตามายังอำเภอเมืองยะลาแล้ว ลดระดับความสูงเป็นกลุ่มเขาขนาดเล็กอันทำให้เกิดช่องทางคมนาคมจากลุ่มน้ำ ปัตตานีไปยังเขตอำเภอรามันในลุ่มน้ำสายบุรี ต่อจากนั้นก็ยกระดับขึ้นสูงตั้งแต่เขตอำเภอทุ่งยางแดงผ่านอำเภอมายอไปจนจรด ชายทะเลที่อำเภอปะนาเระ ทิวเขานี้ทำให้เกิดลุ่มน้ำสายบุรีขึ้น เพราะถูกขนาบด้วยเทือกเขาบูโดทางด้านตะวันออกที่เริ่มจากเขตอำเภอสุคิริน ผ่านอำเภอจะแนะ อำเภอรือเสาะ อำเภอบาเจาะ ไปจนถึงอำเภอกะพ้อ ทางด้านตะวันออกของเขาบูโดก็คือ ที่ราบลุ่มต่ำไปจนจรดชายทะเล เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีพรุขนาดใหญ่เกือบครึ่งหนึ่งของพื้นที่ราบทั้งหมด และเป็นต้นกำเนิดของลำน้ำบางนรา ทั้งหมดอยู่ในพื้นที่ของอำเภอสุไหงโกลก อำเภอยี่งอ อำเภอเมือง อำเภอตากใบ และอำเภอไม้แก่น จังหวัดนราธิวาส ลุ่มน้ำสายบุรีในหุบสายบุรีเป็นหุบที่มีที่ราบริมฝั่งแม่น้ำยาวไกลกว่าหุบปัตตานี โดยเริ่มแต่อำเภอสุคิรินมายังอำเภอศรีสาคร ซึ่งมีพื้นที่ราบกว้างเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ได้ และตั้งแต่เขตอำเภอศรีสาครเป็นต้นมา ก็ยังมีลำน้ำสายเล็ก ๆ ไหลลงมาจากทิวเขาที่ขนาบทั้งทางด้านตะวันตกและตะวันออกไหลลงมาสมทบ โดยเฉพาะเขตอำเภอรือเสาะ จำนวนธารน้ำที่ไหลลงมาจากเขาทั้งสองข้างเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดหุบเขาเล็ก ๆ ที่ผู้คนเข้าไปตั้งถิ่นฐานได้ ความต่างกันของหุบเขาปัตตานีกับหุบสายบุรีก็คือ แม้จะมีลำน้ำยาวขนาดใหญ่พอกันก็ตาม แต่ลำน้ำปัตตานีไหลจากบริเวณต้นน้ำทางใต้ผ่านซอกเขาที่ไม่มีพื้นที่ราบมาจน ถึงเขตอำเภอบันนังสตา ซึ่งทำให้ทางราชการใช้ประโยชน์ในการสร้างเขื่อนบางลางขึ้น กว่าจะมีที่ราบพอตั้งถิ่นฐานชุมชนและที่ทำกินของผู้คนได้ก็ต้องผ่านมายังเขต อำเภอเมืองยะลา ในเขตบ้านหน้าถ้ำ ซึ่งนับเป็นเขตปากหุบปัตตานี จาก บ้านหน้าถ้ำ ลำน้ำปัตตานีจึงไหลลงพื้นที่ที่เป็นแอ่งใหญ่ มีลำน้ำหลายสายทั้งจากซอกเขาและหุบเขาใกล้ ๆ ไหลมาสมทบเป็นแอ่งกว้างใหญ่ที่ทำให้เกิดบ้านเมืองในเขตอำเภอเมืองยะลา อำเภอโคกโพธิ์ อำเภอยะรัง อำเภอหนองจิก อำเภอยะหริ่ง และอำเภอเมืองปัตตานี ในทำนองตรงข้ามหุบสายบุรีกลับมีพื้นที่ราบตามลำแม่น้ำยาวลึกกว่าหุบปัตตานี แต่ต้นน้ำในเขตอำเภอสุคิรินลงมาก็มีพื้นที่ตั้งถิ่นฐานทำกินได้ พอถึงเขตอำเภอศรีสาครก็กลายเป็นพื้นที่ราบกว้างใหญ่ มีลำน้ำสาขาเล็ก ๆ ไหลลงมาจนสมทบกับลำน้ำสายบุรี ทำให้ลำน้ำใหญ่ขึ้นจนมีการเดินทางโดยทางเรือขนส่งและแลกเปลี่ยนสินค้าเข้ามาถึง เมื่อเข้าเขตอำเภอรือเสาะพื้นที่ราบจะมีลำน้ำเล็ก ๆ จากหุบเล็กและแอ่งเล็ก ๆ ไหลลงมาสมทบทำให้เกิดบริเวณที่ลุ่มน้ำขังที่เรียกว่า พรุ มากมาย แต่ละพรุก็คือ พื้นที่แก้มลิงที่กักน้ำและระบายน้ำตามธรรมชาติเข้าสู่ลำน้ำสายบุรี พรุที่สำคัญก็คือ พรุลานควายในเขตอำเภอรามัน ที่ทำให้ลำน้ำสายบุรีกว้างใหญ่ก่อนไหลไปออกทะเลที่อ่าวสายบุรี แต่ทว่าหุบสายบุรีแม้จะยาวลึกเป็นที่ผู้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานได้ก็ตาม แต่ก็ไม่มีบริเวณที่เป็นแอ่งใหญ่ติดกับทะเล เช่น หุบปัตตานี งานวิจัยการศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมในเขตสามจังหวัดภาคใต้ที่มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ เข้าไปเกี่ยวข้อง ได้เลือกพื้นที่ในการศึกษาที่อยู่ภายในของทั้งหุบปัตตานีและหุบสายบุรีเป็นสำคัญ เพราะการศึกษาในพื้นที่ราบชายทะเลได้ทำการศึกษาไปแล้ว ในหุบปัตตานีได้เลือกชุมชนหมู่บ้าน [Village] ในเขต บ้านหน้าถ้ำและบริเวณใกล้เคียง เป็นแหล่งทำการศึกษารวบรวมข้อมูล พื้นที่บริเวณอยู่ในเขตรอยต่อระหว่างที่ราบในหุบเขาตามลำน้ำปัตตานีกับที่ราบของแอ่งปัตตานี อันเป็นที่ราบลุ่มกว้างใหญ่ไปจนถึงชายฝั่งทะเล ในขณะที่ทางหุบสายบุรีนั้น เริ่มตั้งแต่บริเวณต้นน้ำในเขตอำเภอสุคิริน ริมสองฝั่งลำน้ำสายบุรี จะมีพื้นที่ราบพอแก่การเพาะปลูกและตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนของผู้คนจากเขตอำเภอสุคิริน พื้นที่ราบริมฝั่งน้ำก็ขยายใหญ่จนเป็นทุ่งราบในเขตอำเภอศรีสาครอีกทั้งมีธาร น้ำสายเล็ก ๆ จากทิวเขาทั้งทางด้านตะวันตกและตะวันออกมาสมทบด้วย เลยทำให้มีความสมบูรณ์ในเรื่องน้ำท่า อีกทั้งทำให้ลำน้ำสายบุรีกว้างขึ้นกลายเป็นท้องถิ่นที่มีหลายชุมชนเกิดขึ้น รวมทั้งเป็นบริเวณที่เรือค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าจากทางฝั่งทะเลที่ปากแม่น้ำสายบุรีเดินทางเข้ามาถึง ณ บริเวณภายในนี้ทางโครงการวิจัยได้เลือกชุมชน บ้านซากอและบ้านกาเยาะมาตี เป็นตัวแทนในการศึกษาการเก็บข้อมูล ทำให้เห็นความสำคัญของท้องถิ่นนี้ในลักษณะที่เป็นศูนย์กลางการคมนาคมของบริเวณภายในของหุบสายบุรี เพราะนอกจากเป็นบริเวณที่เป็นท่าเรือจอดของเรือสินค้าจากปากน้ำสายบุรีเข้ามาถึง และนำสินค้าของกินจากทางชายทะเลเข้ามาแลกเปลี่ยนกับสินค้าเกษตรและของป่ากับกลุ่มคนที่อยู่ภายในแล้ว ยังเป็นที่ซึ่งคนที่อยู่ในหุบเล็กและที่สูงในเขตอำเภอสุคิรินที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น คนซาไกเดินทางโดยช้างและล่องแพมาติดต่อ แต่ที่สำคัญพื้นที่ซึ่งเป็นทุ่งราบของอำเภอศรีสาครนั้น เป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงช้าง สัตว์ และโคกระบือได้ดี จึงทำให้กลายเป็นที่ตั้งของชุมชนหลาย ๆ ชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียงกัน เมื่อเดินทางตามลำน้ำสายบุรีผ่านเขตอำเภอศรีสาครขึ้นไปก็จะถึงเขตอำเภอรือเสาะ อันเป็นบริเวณที่มีชุมชนตั้งอยู่ทั้งสองฝั่งแม่น้ำ มีเส้นทางผ่านช่องเขาบูโดไปยังอำเภอระแงะทางทิศตะวันออกไปลงแม่น้ำสายบุรี ทางตะวันตก มีชุมชนหลายชุมชนตามหุบเขาเหล่านี้ ชุมชนที่เลือกขึ้นมาเป็นตัวแทนในการศึกษาครั้งนี้ คือ ชุมชนบ้านตะโหนด เหนืออำเภอรือเสาะขึ้นไปตามลำน้ำสายบุรีไปยังเขตอำเภอรามัน ภูมิประเทศสองฝั่งแม่น้ำเป็นที่ต่ำลงมีที่ลุ่มต่ำเป็นพรใหญ่น้อยไปจนถึงพรุ ลานควายที่เป็นพรุขนาดใหญ่ อันมีลักษณะเป็นแก้มลิงที่รับน้ำจากลำน้ำลำห้วยต่าง ๆ ที่ไหลลงจากที่สูงจากเทือกเขาทางด้านตะวันตกและตะวันออก โดยเฉพาะที่มาจากเขตอำเภอรามัน จึงทำให้มีน้ำไหลจากพรุลงสู่ลำน้ำสายบุรีทำให้เกิดเป็นลำน้ำใหญ่ไหลลงสู่ที่ราบลุ่มไปออกปากน้ำที่อำเภอสายบุรี ชุมชนที่เลือกทำการศึกษาในลุ่มน้ำสายบุรีในเขตอำเภอรามันนี้ ได้แก่ บ้านเกะรอ ที่ตั้งอยู่ใกล้กับพรุ ผู้คนในพื้นที่นี้ดังกล่าวได้ใช้พื้นที่ราบของพรุปลูกข้าวเป็นนาพรุเพื่อเป็นอาหารหลักแต่โบราณมา จากการเลือกชุมชนศึกษาในบริเวณภายในของทั้งหุบปัตตานีและหุบสายบุรีตามที่กล่าว มาในทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่นและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมในขั้นแรกนี้ ได้ทำให้เห็นการตั้งถิ่นฐานของบ้านเมืองของผู้คนที่แตกต่างและเหมือนกัน ดังต่อไปนี้ ใน หุบปัตตานี นั้น แม้ว่าแม่น้ำปัตตานีจะเป็นลำน้ำใหญ่และยาวกว่าลำน้ำสายบุรีก็ตาม แต่การตั้งถิ่นฐานนั้นไม่เข้าไปลึกเท่ากับหุบสายบุรี เพราะตั้งแต่เขตอำเภอบันนังสตาไป พื้นที่สองฝั่งน้ำเป็นซอกเขาที่ไม่มีพื้นที่ราบพอแก่การตั้งถิ่นฐานของชุมชน การเกษตรได้ดี เป็นเรื่องของบริเวณที่สูงที่เป็นป่าเป็นเขาที่เหมาะกับผู้คนที่ทำไร่และเก็บของป่า เช่น พวกซาไก เป็นต้น ชุมชนสำคัญจึงไปเกิดที่เขตอำเภอยะหาและทางบ้านหน้าถ้ำแทน เพราะเป็นบริเวณที่นอกจากมีที่ราบใกล้ลำน้ำลำห้วยที่ทำการเพาะปลูกได้ดีแล้ว ยังเป็นชุมชนทางการคมนาคมทั้งทางบกและทางน้ำด้วย ทางบกก็คือเป็นชุมทางของการเดินทางข้ามคาบสมุทรจากต้นน้ำปัตตานีและเขตอำเภอเบตงลงมาพบกับเส้นทางเดินทางที่มาจากเขตอำเภอสงขลา ผ่านอำเภอโคกโพธิ์มายังอำเภอยะหา ในขณะที่ทางน้ำนั้น บริเวณนี้เป็นท่าเรือติดต่อไปออกทะเลที่เมืองปัตตานี โดยเหตุนี้จึงทำให้เกิดเป็นเมืองขึ้นภายในหุบปัตตานีขึ้นจนกลายเป็นเมืองยะลาในปัจจุบัน ซึ่งเท่ากับว่าเมืองปัตตานีคือ เมืองท่าชายทะเล ในขณะที่เมืองยะลาคือเมืองภายในการเติบโตของชุมชนเป็นบ้านเป็นเมือง เริ่มแต่ บ้านยาลอ ในเขตอำเภอยะหามายังเขต บ้านหน้าถ้ำ ก่อนที่จะเปลี่ยนตำแหน่งไปยังตัวจังหวัดยะลาในปัจจุบัน ในเขตบ้านหน้าถ้ำนั้นขนาบด้วยภูเขาหินปูนที่มีทั้งเขาหินอ่อนและถ้ำที่เป็นศาสนสถานมาแต่โบราณสมัยศรีวิชัย เพราะพบภาพเขียนสี พระพิมพ์ รวมทั้งการใช้เป็นศาสนสถานสืบเนื่องมาจนปัจจุบัน มีผู้คนทั้งคนมุสลิม คนจีน และคนไทยพุทธเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ด้วยกันอย่างสงบ ในบางพื้นที่ซึ่งคนมุสลิมเข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่ก่อน แต่พบว่าเป็นบริเวณที่มีโบราณสถานวัตถุทางพุทธศาสนาก็เลยมีการแลกที่กับกลุ่มคนซึ่งเป็นชาวพุทธ ส่วนคนจีนเข้ามาตั้งถิ่นฐานเพราะเป็นแหล่งที่เรือจากทะเลและปัตตานีมาจอดแลก เปลี่ยนสินค้ากับคนภายในที่มาจากทางโคกโพธิ์ บันนังสตา และอำเภอรามันในหุบสายบุรี จึงพบว่าชุมชนหมู่บ้านบางแห่งมีชื่อที่เกี่ยวข้องกับคนจีน ผู้คนที่เป็นชาวบ้านชาวเมืองในท้องถิ่นบ้านหน้าถ้ำไม่ว่าจะเป็นคนไทยพุทธ คนจีน และคนมุสลิมเคยมีความสัมพันธ์ต่อกันทางสังคมและเศรษฐกิจเป็นอย่างดี อย่างเช่น คนมุสลิมก็ร่วมงานประเพณีของคนพุทธ แม้ว่าจะไม่เข้าร่วมในพิธีกรรมทางศาสนาก็ตาม และคนทั้งสามกลุ่มคือ คนพุทธ คนมุสลิม และคนจีน เชื่อถือในโชคลางและข้อห้ามในระบบความเชื่อของท้องถิ่นซึ่งเกี่ยวกับพิธีกรรม เกี่ยวกับชีวิต ความอุดมสมบูรณ์ และการรักษาพยาบาลร่วมกัน ในงานรื่นเริงในเวลามีพิธีกรรม เช่น การมีหนังตะลุง มะโย่ง และดีเกฮูลู ทั้งคนพุทธ คนมุสลิม และคนจีนก็มาดูการแสดงร่วมกัน เป็นต้น ส่วนในหุบสายบุรีนั้น มีความลึกของการตั้งถิ่นฐานตามลำน้ำสายบุรีไปจนเกือบถึงบริเวณต้นน้ำในเขตอำเภอสุคิรินที่ไกลกว่าหุบปัตตานี แต่ชุมชนที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มีอายุน้อยกว่าชุมชนในหุบปัตตานีมักเป็นชุมชนของคนมุสลิมที่ผู้คนจำนวนหนึ่งเคลื่อนย้ายมาจากเมืองโกตาบารูในรัฐกลันตันของมาเลเซีย คนพุทธทั่วไปตั้งถิ่นฐานน้อย ซึ่งแลเห็นได้จากการมีวัดทางพุทธศาสนาไม่กี่แห่ง อีกทั้งชุมชนใหญ่ ๆ จะเกิดขึ้นก็เฉพาะบริเวณที่เป็นชุมทางคมนาคมตั้งแต่เขตอำเภอศรีสาครลงมา เพราะมีท่าเรือที่ติดต่อมาออกทะเลที่อำเภอสายบุรีได้ ชุมชนในหุบสายบุรีนี้จะเกาะกลุ่มกันเป็นท้องถิ่น ๆ ไป เช่น บ้านซากอ และบ้านกาเยาะมาตี ในเขตอำเภอศรีสาครก็นับเนื่องเป็นกลุ่มที่อยู่ในนิเวศวัฒนธรรมหนึ่งกับกลุ่มบ้านตะโหนดในหุบเขาทางตะวันออกเฉียงเหนือของอำเภอรือเสาะก็นับเนื่องเป็นอีกนิเวศวัฒนธรรมที่ต่างกันออกไป ในขณะที่บ้านเกะรอก็อยู่ในกลุ่มนิเวศวัฒนธรรมที่มีการทำนาพรุร่วมกัน บรรดาชุมชนในแต่ละนิเวศวัฒนธรรมเหล่านี้ต่างอยู่แยกจากกัน จนเกิดเป็นความแตกต่างกันระหว่างท้องถิ่นขึ้น สิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างกัน เกิดจากการติดต่อกันทางสังคมและเศรษฐกิจน้อย ในขณะที่แต่ละท้องถิ่นมีความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนกระชับแน่น อันเนื่องจาก การแต่งงานกันเองจากภายใน [Village Endogamy] ประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งอาชีพหลักในการทำมาหากิน ได้แก่ การทำสวนดูซงและสวนยางนั้น เป็นสวนแบบสมรมที่ไม่เพียงแต่ปลูกพืชเศรษฐกิจเท่านั้น หากยังรวมไปถึงบรรดาต้นไม้และพืชพันธุ์ต่าง ๆ ที่เป็นทั้งวัสดุในการก่อสร้าง อาหารการกินและยารักษาโรคด้วย รวมทั้งกิจกรรมทางสังคมและเศรษฐกิจร่วมกันอีกหลายอย่างที่ทำให้ท้องถิ่นมีลักษณะ อยู่ได้อย่างเพียงพอ [Self Contain] โดยไม่ต้องพึ่งพาภายนอกเท่าใด ผู้คนแต่ละชุมชนในท้องถิ่นล้วนมีส่วนสำนึกร่วมกันสูง อีกทั้งมีศักยภาพในการจัดกลุ่มและองค์กรในเรื่องการศึกษาเศรษฐกิจและสังคมร่วมกันอย่างมั่นคง ผู้คนในหุบปัตตานีกับหุบสายบุรีแม้จะอยู่ในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ด้วยกันก็ตาม แต่ก็มีความแตกต่างทางวัฒนธรรมในระดับท้องถิ่นอย่างเห็นได้ชัด ในหุบปัตตานีมีพัฒนาการทางสังคมเป็นบ้านเป็นเมืองมาช้านาน จึงมีผู้คนหลายชาติพันธุ์ ทั้งคนมุสลิม คนไทยพุทธ และคนจีนสังสรรค์และอยู่ร่วมกันมาเป็นเวลานานรับการเปลี่ยนแปลงจากภายนอกได้เร็วและง่ายกว่า ในขณะที่ทางหุบสายบุรีการตั้งถิ่นฐานของผู้คนเป็นชุมชนบ้านเมืองเกิดขึ้นไม่นานเท่าใด ผู้คนที่เกิดขึ้นเคลื่อนย้ายมาจากเมืองโกตาบารูในรัฐกลันตันของมาเลเซีย และผู้คนที่อยู่ในหุบ เช่น พวกซาไกและผู้ทำไร่หาของป่า เป็นต้น ผู้คนเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับผู้คนที่อยู่ในเขตอำเภอต่าง ๆ ของจังหวัดนราธิวาสที่ต่อไปยังเขตมาเลเซียมากกว่าทางจังหวัดปัตตานี การอยู่ในเขตภายในหุบเขาที่มีการติดต่อกับภายนอกในเขตชายทะเลน้อย ทำให้มีคนจีนและคนไทยพุทธไปเกี่ยวข้องด้วยน้อยมาก ดังนั้นเมื่อนำมาเปรียบเทียบระหว่างกันแล้ว ก็จะเห็นได้ว่า ผู้คนในหุบปัตตานียังเปิดโอกาสให้มีการติดต่อเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนภายนอกได้ ดีกว่าคนในหุบสายบุรีที่มีลักษณะเป็นสังคมปิด แต่ท่ามกลางความแตกต่างระหว่างผู้คนในสองหุบเขาก็มีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกันในหมู่คนมุสลิมในเรื่องของความเชื่อ วิถีชีวิต และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม นั่นคือ ศาสนา โดยเฉพาะคำสอนของพระเจ้ายังคงเป็นส่วนสำคัญในการดำรงชีวิต คนมุสลิมยังคงยึดมั่นในพิธีละหมาด ผู้ที่เคร่งครัดจะต้องทำกันวันละ ๕ ครั้ง และเชื่อว่า สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกเป็นของพระเจ้า ความเชื่อและพิธีกรรมดังกล่าวนี้ คือพื้นฐานสำคัญที่ทำให้คนมุสลิมมองมนุษย์ทุกคนเสมอภาคกันหมด ไม่ว่าคนไทยพุทธและคนจีน ถัดลงมาจากพระเจ้าก็คือ ผู้นำทางคุณธรรม เช่น โต๊ะครูและโต๊ะอิหม่ามโดยเฉพาะโต๊ะครูนั้นดูเหมือนเป็นผู้นำทั้งทางโลกและทางธรรม เพราะเป็นคนปกครองโรงเรียนปอเนาะที่เป็นสถาบันการศึกษาที่สำคัญของสังคม โต๊ะครูคือบุคคลที่มักได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์ที่คนนำเอาคำพูดคำสอนไปปฏิบัติ แต่ก่อนคนศักดิ์สิทธิ์แบบนี้คลุมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสหรือผู้รู้ที่รู้ในเรื่องเวทมนต์คาถาที่สามารถปัดเป่าความชั่วร้ายและให้การรักษาพยาบาลในเรื่องโรคภัยไข้เจ็บด้วย คนศักดิ์สิทธิ์ประเภทนี้ไม่จำกัดอยู่แต่เฉพาะคนมุสลิมเท่านั้น หากยังเป็นผู้ที่คนพุทธและคนจีนเคารพนับถือด้วย ในเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมผู้คนในสองหุบเขาก็มีอะไรที่คล้ายคลึงกัน ผลกระทบทางเศรษฐกิจและความเจริญทางวัตถุทำให้คนมุสลิมที่เคยมีภรรยาหลายคน เปลี่ยนมาเน้นการมีภรรยาคนเดียว ลูกผู้หญิงส่วนใหญ่มีการศึกษาดีกว่าลูกผู้ชาย รวมทั้งการจัดประเพณีพิธีกรรมเกี่ยวกับชีวิตก็ลดความใหญ่โตและการสิ้นเปลืองลง แต่ที่สำคัญคนส่วนใหญ่เลิกประกอบอาชีพพื้นฐานทางเกษตรกรรม เช่น การปลูกข้าวและการทำน้ำตาลโตนด จึงเกิดมีนาร้าง โดยเฉพาะคนทำนาพรุนั้นแทบจะหมดไปแล้วก็มีการทำสวนยาง ทำไร่ และทำสวนผลไม้ แม้ว่ายังดำรงอยู่ แต่ราคาของผลิตผลกลับขึ้น ๆ ลง ๆ เช่น ลองกอง เป็นต้น แต่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเห็นจะได้แก่ ช่องว่างระหว่างวัยของคนรุ่นลูกรุ่นหลาน ที่มีการมองโลกแบบใหม่และคิดใหม่ ไม่ยึดมั่นในการประกอบอาชีพและการดำรงชีวิตของคนรุ่นเก่า ไม่ใคร่สนใจกับการเรียนทางศาสนาอย่างแต่เดิม ออกไปทำงานนอกบ้านและมีการสังสรรค์ระหว่างกันตามโรงน้ำชา รวมทั้งการเที่ยวเตร่และสนใจในสิ่งอบายมุขเพิ่มขึ้น นับเป็นความเข้าใจในขั้นพื้นฐานทางประวัติศาสตร์สังคมของท้องถิ่น รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมที่สามารถนำมาตั้งคำถามเพื่อการ ดำเนินการรวบรวมข้อมูลเชิงลึกทางด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมต่อไป อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

![ประชาวิพากษ์ [Social Sanction]](https://static.wixstatic.com/media/9512c9_80d29e1c94464d9a8da6c141c3dd7631~mv2.png/v1/fit/w_176,h_124,q_85,usm_0.66_1.00_0.01,blur_3,enc_auto/9512c9_80d29e1c94464d9a8da6c141c3dd7631~mv2.png)







