พบผลการค้นหา 220 รายการ
- คลองสาน : ที่เป็นมาและเปลี่ยนไป
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มิ.ย. 2558 ย่านคลองสาน เป็นพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีความสำคัญมาตั้งแต่อดีต ถือเป็นย่านการค้าและอุตสาหกรรมที่มีความหลากหลายมากแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร ถึงแม้ว่าปัจจุบันสภาพของย่านคลองสานจะเปลี่ยนแปลงไปอันเนื่องมาจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย แต่ร่องรอยความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและสังคมที่ประกอบด้วยผู้คนหลายชาติพันธุ์ยังคงปรากฏให้เห็นผ่านสถานที่ต่าง ๆ และในความทรงจำของคนในย่านที่ใช้ชีวิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ขณะเดียวกันการพัฒนาและความเปลี่ยนแปลงยังคงไม่หยุดนิ่ง เนื่องด้วยมูลค่าของพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีศักยภาพอย่างยิ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว เป็นสิ่งที่ชวนให้คิดถึงอนาคตของคลองสานและวิถีชีวิตของคนในย่านว่าจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงระลอกใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นได้อย่างไร บรรยากาศในอดีตของย่านคลองสาน ริมแม่น้ำเจ้าพระยา จะเห็นเรือขนส่งสินค้าจอดกันหนาแน่น จากประเด็นดังกล่าวนี้ จึงเป็นที่มาของการเสวนาในโครงการบางกอกศึกษาครั้งที่ ๒ เรื่อง “คลองสาน : ที่เป็นมาและเปลี่ยนไป” จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ณ ห้องประชุมหลวงวิเชียรแพทยาคม สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา การเสวนาเป็นการร่วมพูดคุยกันระหว่างคนภายในซึ่งเป็นคน ๒ รุ่นที่มองเห็นภาพอดีตของคลองสานในยุคสมัยที่แตกต่างกัน ได้แก่ คุณชุณห์ คชพัชรินทร์และคุณสมบูรณ์ ศรีศุภภักดี และคนจากภายนอกคือ รศ.ดร.นิรมล กุลศรีสมบัติ อาจารย์ประจำภาควิชาวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UddC) ที่มาร่วมแลกเปลี่ยนถึงมุมมองในด้านการพัฒนาพื้นที่ริมน้ำและความสำคัญของภาคประชาชนในการวางแผนพัฒนาพื้นที่เมือง จากการเสวนาพบว่ามีหลายประเด็นที่น่าสนใจและสามารถถ่ายทอดให้เห็นสภาพความเปลี่ยนแปลงของย่านคลองสานตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และความเป็นไปได้ในอนาคต ดังนี้ ภาพจำ ‘คลองสาน’ ผู้คนและย่านการค้าริมน้ำ “เมื่อสมัยที่ผมเด็ก ๆ คลองสานเป็นอำเภอที่เล็กก็จริง แต่พูดถึงในระดับเศรษฐกิจของประเทศ คลองสานของเราไม่แพ้สำเพ็ง อีกทั้งสำเพ็งเขาค้าขายปลีกย่อย ซึ่งวงเงินจะสู้ทางคลองสานไม่ได้” คุณชุณห์ คชพัชรินทร์ วัย ๗๘ ปี ผู้เติบโตขึ้นมาในย่านคลองสานและเป็นอดีตเจ้าของบริษัทใช่เฮงหลี ซึ่งเป็นบริษัทค้าของป่า กล่าวยืนยันถึงความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของคลองสานในอดีตเพราะเมื่อนึกถึงย่านเศรษฐกิจที่เก่าแก่ของกรุงเทพฯ คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงย่านการค้าในฝั่งพระนครเป็นหลัก เช่น ย่านเยาวราช สำเพ็ง ราชวงศ์ ทรงวาด แต่ขณะเดียวกันเมื่อข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามายังฝั่งธนบุรี พบว่ามีย่านการค้าเก่าแก่อยู่มากมายเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะย่านคลองสานเลยไปจนถึงท่าดินแดง ถือเป็นย่านการค้าและอุตสาหกรรมที่สำคัญมากแห่งหนึ่ง ตลอดริมฝั่งแม่น้ำเป็นสถานที่ตั้งของโรงสีข้าว โรงงานต่าง ๆ รวมถึงโกดังเก็บสินค้าขนาดใหญ่ คุณชุณห์ได้เล่าถึงโรงงานและบริษัทต่าง ๆ ที่เคยตั้งเรียงรายอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา นับตั้งแต่ทางฝั่งด้านซ้ายของสะพานพุทธ ฝั่งธนบุรี ซึ่งเป็นเขตคลองสาน เรื่อยไปถึงท่าดินแดง ดังนี้ บริเวณพื้นที่อุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนคริทราบรมราชชนนี เดิมเป็นที่ดินของคุณเล็ก นานา ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจนำเข้าส่งออก บริเวณที่ดินดังกล่าวเดิมมีชุมชนอยู่กันอย่างหนาแน่น ทั้งมุสลิมและคนจีน ใกล้ ๆ กับที่ดินของตระกูลนานา ตรงบริเวณเชิงสะพานพุทธ เป็นที่ตั้งของชุมชนชาวจีนไหหลำ ตรงนั้นมี ร้านกวงหลี ซึ่งจะมีเรือที่บรรทุกของป่า เช่น สมุนไพร หนังสัตว์ เป็นต้น และสินค้าต่าง ๆ มาจอดที่นี่ตั้งแต่ช่วงเช้ามืด คนที่ต้องการจะซื้อต้องพายเรือไปตั้งแต่ตี ๓ เพื่อไปผูกจองสินค้าที่ต้องการ โดยใช้เชือกไปผูกที่เรือลำต่าง ๆ เป็นสัญลักษณ์ไว้ จากนั้นจึงนั่งดื่มกาแฟไหหลำรอเวลาจนถึงรุ่งเช้าราว ๘ โมง จึงนำเรือยนต์มาลากเรือพ่วงกลับไปที่บริษัทหรือโกดังของตนเอง นอกจากจีนไหหลำแล้ว ย่านคลองสานยังมีพวกจีนแต้จิ๋ว มาทำการค้าขายและพวกฮกเกี้ยนมาเปิดกิจการค้าข้าว ซึ่งต้องการแรงงานกุลีเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้บริเวณดังกล่าวยังมีมัสยิดตึกแดง ซึ่งเป็นของมุสลิมกลุ่มเชื้อสายอินเดียและกลุ่มที่มาจากไทรบุรีที่เข้ามาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น และในบริเวณใกล้เคียงกันเป็นที่ตั้งของ โรงชัน ทำการผลิตชันผงและน้ำมันยาง ซึ่งเป็นยางไม้ที่ใช้สำหรับอุดรอยรั่วของเรือ ในย่านนี้มีอยู่ ๒ โรงด้วยกัน ถัดไปจากมัสยิดตึกแดงมีศาลเจ้ากวนอูและบริเวณใกล้เคียงกันมี โรงน้ำปลาทั่งง่วนฮะ ซึ่งเป็นโรงน้ำปลาเก่าแก่ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเช่นกัน มีชาวจีนเป็นเจ้าของกิจการถัดไปมี โรงเกลือ ที่รับเกลือเม็ดมาจากจังหวัดสมุทรสงครามและสมุทรสาคร ส่วนหนึ่งนำมาใช้ในอุตสาหกรรมทำหนังสัตว์ และส่วนหนึ่งนำมาล้างให้สะอาด เข้าเครื่องโม่บดละเอียด บรรจุกระสอบส่งขายทั้งในและต่างประเทศ คุณชุณห์ คชพัชรินทร์ และคุณสมบูรณ์ ศรีศุภภักดี วิทยากรในงานเสวนา โดยมีคุณสุดารา สุจฉายา เป็นผู้ดำเนินรายการ ถัดไปเป็น แถบตึกขาว บริเวณนั้นมีท่าเรือ โรงสีข้าวขนาดใหญ่ และมีมัสยิดเซฟีหรือมัสยิดตึกขาว โดยรอบเป็นชุมชนของพวกกลุ่มแขกตึกขาวที่เป็นพ่อค้าชาวอินเดียที่เข้ามาในช่วงรัชกาลที่ ๕ ต่อมาทรัพย์สินที่ดินบางส่วนได้ขายให้ บริษัทเซ่งกี่ ทำเป็นโกดังเก็บสินค้า ที่ดินของพวกเซ่งกี่จึงมีอาณาบริเวณกว้างขวางมากยาวไปจรดถึงตรอกช่างนาก โกดังเซ่งกี่ทำเป็นอาคารสองแถวยาวขนานกัน เปิดเช่าให้พวกที่ค้าของป่า สมุนไพร หนังสัตว์ ซึ่งในบริเวณย่านคลองสานในอดีตมีบริษัทย่อย ๆ ที่ทำธุรกิจค้าของป่าอยู่เป็นจำนวนมาก รวมถึงย่านท่าดินแดงด้วยที่มีบริษัทค้าขายพวกครั่ง นุ่น มะขาม เป็นต้น มีโรงเก็บเครื่องยาสมุนไพร ปลาทูตากแห้ง โรงเลื่อยไม้ที่กิจการส่วนหนึ่งเป็นการผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อบรรจุหนังสัตว์ส่งไปขายยังต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีโรงนึ่งปลาทูและปลาชนิดต่าง ๆ ที่คนจีนนิยมไปซื้อมารับประทานเป็นอาหารเช้า จุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลง “คลองสานเป็นเมืองปิด” คำจำกัดความสั้น ๆ ที่คุณสมบูรณ์ ศรีศุภภักดี ประธานชุมชนตรอกช่างนาก–สะพานยาว วัย ๕๒ ปี ผู้เกิดและเติบโตขึ้นมาในย่านคลองสาน ใช้อธิบายคลองสานในยุคที่เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลง เดิมทีคลองสานเจริญเติบโตขึ้นเป็นแหล่งการค้าขนาดใหญ่ได้เพราะทำเลที่ตั้งริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่เอื้อประโยชน์ต่อการขนส่งสินค้าของบริษัทและโกดังสินค้าต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีคลองสาขาที่เชื่อมต่อระไปยังพื้นที่ต่าง ๆ คลองสำคัญ ในย่านคลองสาน เช่น คลองตลาดบ้านสมเด็จ เดิมเป็นคลองขนาดใหญ่ที่เข้ามาถึงวัดพิชัยญาติได้ โดยเรือต่าง ๆ สามารถเข้ามาได้โดยสะดวก สมัยก่อนมีด่านเก็บภาษีอากรอยู่ที่ปากคลองแห่งนี้ด้วย และยังเคยมี สะพานหัน ที่มีลักษณะอย่างสะพานหันที่ปากคลองโอ่งอ่าง ฝั่งพระนคร เช่นเดียวกับที่มาของชื่อตรอกสะพานยาว เพราะสมัยก่อนบริเวณนั้นยังเป็นเรือกสวนเก่า เวลาเดินจะต้องผ่านร่องสวนของบ้านต่าง ๆ และบริเวณนี้เคยมีลำคลองอยู่ด้วย จึงมีการสร้างสะพานไม้เป็นทางเดินของคนในชุมชน เริ่มตั้งแต่ที่กิ่งอำเภอคลองสาน ตรงวัดทองล่างหรือวัดทองนพคุณ ทำเชื่อมต่อไปถึงแถววัดกัลยาณมิตร จากความสำคัญของแม่น้ำลำคลองที่เป็นเส้นทางคมนาคมหลักในอดีต คนรุ่นก่อนจึงมักได้ยินคำโบราณที่บอกว่า “ลูกรักให้ที่ใกล้น้ำ ลูกชังให้ที่ปลายน้ำ” เพราะที่ดินใกล้น้ำย่อมสร้างประโยชน์และมูลค่าได้มากกว่าที่ที่อยู่ลึกเข้าไปไกลจากแม่น้ำลำคลอง อย่างไรก็ตาม บ้านเมืองย่อมมีการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง เพียงแต่ว่าการพัฒนานั้นอาจจะไม่สอดรับกับสภาพสังคมวิถีชีวิตที่มีมาแต่เดิม ย่านคลองสานก็เช่นเดียวกันที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพของบ้านเมืองและสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาระบบการคมนาคมทางบกที่เข้ามามีบทบาททดแทนแม่น้ำลำคลอง ทำให้กิจการห้างร้านต่าง ๆ ที่เคยอาศัยแม่น้ำลำคลองเป็นเส้นทางลำเลียงสินค้าต่างพากันซบเซาไป ขณะที่ถนนตรอกซอยต่าง ๆ ที่เข้ามาถึงคลองสานก็ขาดการวางผังเมืองที่ดี ทำให้พื้นที่ริมน้ำจำนวนไม่น้อยกลายเป็นพื้นที่ปิดที่รถยนต์ไม่สามารถเข้าถึงได้จนไม่สามารถใช้ประโยชน์จากที่ดินได้เต็มศักยภาพ การพัฒนาเส้นทางคมนาคมทางบกในย่านคลองสานเริ่มมาก่อนยุคการเกิดถนนหนทางคือ การสร้างสถานีรถไฟปากคลองสาน ในอดีตนั้นใช้เป็นสถานีต้นทางรถไฟสายแม่กลอง เริ่มเปิดทำการในสมัยรัชกาลที่ ๕ แต่ต่อมาทางรถไฟช่วงปากคลองสานถึงวงเวียนใหญ่ถูกยกเลิกไปเมื่อปี ๒๕๐๔ ในสมัยรัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จนปัจจุบันไม่หลงเหลือสภาพเดิมอีกแล้ว การเข้ามาของรถไฟนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากนัก นอกจากเป็นการเพิ่มทางเลือกในการเดินทางไปยังตลาดแม่กลองและใช้ลำเลียงสินค้า เช่น ปลา ของทะเล เป็นต้น นอกจากนี้คุณชุณห์ยังเล่าให้ฟังอีกว่าเดิมสองข้างทางรถไฟเป็นสวนผลไม้นานาชนิด จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่คือ การตัดถนนประชาธิปก หลังจากการสร้างสะพานปฐมบรมราชานุสรณ์หรือสะพานพุทธ ที่เริ่มต้นจากวงเวียนใหญ่ผ่านสี่แยกบ้านแขกตัดกับถนนอิสรภาพ ข้ามคลองสมเด็จเจ้าพระยา ผ่านวงเวียนเล็ก ตัดกับถนนอรุณอมรินทร์ตัดใหม่และถนนสมเด็จเจ้าพระยาในพื้นที่คลองสาน ทำให้การพัฒนาต่าง ๆ หันหน้าออกสู่ถนน ขณะที่คลองสายเล็กสายน้อยต่าง ๆ จำนวนมากถูกถมไป ส่วนที่เหลืออยู่ไม่ได้มีการดูแลรักษาที่ดี แม้กระทั่งคลองสมเด็จเจ้าพระยาที่เป็นคลองสำคัญก็อยู่ในสภาพเสื่อมโทรม เช่นเดียวกับการป้องกันน้ำท่วมโดยการสร้างเขื่อน ทำนบ ประตูน้ำ เท่ากับเป็นการตัดเส้นทางคมนาคมของเรือสินค้าต่าง ๆ ทำให้โรงงานริมน้ำหลายแห่งที่เคยอาศัยประโยชน์จากเส้นทางน้ำได้รับผลกระทบตามกันไป เช่น โรงเกลือต่าง ๆ ที่กิจการซบเซาลง เพราะเรือเกลือไม่สามารถวิ่งไปมาได้ เส้นทางที่เคยใช้ถูกตัดขาดทั้งหมด และไม่มีถนนขนาดใหญ่เพียงพอที่จะนำรถบรรทุกเข้าไปถึงยังโรงงานที่อยู่บริเวณพื้นที่ริมน้ำได้ เช่นเดียวกับโรงงานหนังที่ต้องย้ายออกไปด้วยข้อกำหนดเรื่องสุขลักษณะของชุมชน แต่ปัจจุบันที่โกดังเซ่งกี่ยังมีผู้เช่าเพื่อใช้เก็บเครื่องเทศ สมุนไพร และของป่า เช่น หนังวัวควาย รังนก ฯลฯ อนาคต ‘คลองสาน’ “การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่พวกเราโดยเฉพาะคนที่อยู่ในพื้นที่ จะสามารถกำกับความเปลี่ยนแปลงให้เป็นประโยชน์แก่คนในชุมชนได้อย่างไร?” รศ. ดร. นิรมล กุลศรีสมบัติ ผู้อำนวยการศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UddC) ได้กล่าวถึงโจทย์จากการพัฒนาที่คนในย่านต้องเตรียมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงระลอกใหม่ เนื่องด้วยฝั่งธนบุรีนั้นเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงมากในการพัฒนา เช่นเดียวกับในย่านกะดีจีนและคลองสานที่เป็นย่านเก่าแก่ริมแม่น้ำด้วย อย่างไรก็ตามมีความแตกต่างเรื่องการถือครองที่ดินในย่านกะดีจีนและคลองสาน คือย่านกะดีจีนนั้น ที่ดินส่วนใหญ่เป็นของศาสนสถานซึ่งเป็นเครื่องช่วยการันตีได้ในส่วนหนึ่งว่าจะไม่มีการพัฒนาที่สร้างความเปลี่ยนแปลงมากนัก เมื่อเทียบกับทางฝั่งคลองสานที่ที่ดินส่วนใหญ่เป็นของเอกชน จากการทำงานด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูย่านประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน อาจารย์นิรมลได้ชี้ให้เห็นว่า คุณค่าทางประวัติศาสตร์ของย่านเก่าจะสมบูรณ์ได้ถ้ามีหลักฐานทางกายภาพมาช่วยยืนยัน เหตุนี้จึงทำให้เกิดแนวคิดเรื่องการอนุรักษ์โบราณสถานต่าง ๆ เพื่อให้ภาพความทรงจำทางประวัติศาสตร์มีความชัดเจนขึ้น แต่เรื่องการอนุรักษ์ให้คงอยู่นั้นเป็นเพียงปัจจัยส่วนหนึ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการวางแผนพัฒนาให้สอดคล้องกับสภาพวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป โดยไม่ทำลายมรดกวัฒนธรรมดั้งเดิม ตัวอย่างที่ดีเรื่องการวางผังเมืองที่ผสมผสานระหว่างการดำเนินชีวิต วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมที่ดีมากคือในพื้นที่ย่านเก่า เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ที่สามารถออกแบบผังเมืองและปรับทัศนียภาพได้อย่างกลมกลืน ถือเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างพลังในจิตใจคนและสำนึกหวงแหนถิ่นที่อยู่ กรุงเทพมหานครมอบหมายให้ ศูนย์ออกแบบพัฒนาเมือง (UddC) ทำการศึกษาวิจัยเพื่อวางแผนการออกข้อบัญญัติท้องถิ่นเพื่อการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรม โดยมุ่งเน้นที่การมีส่วนร่วมของคนในภาคส่วนต่าง ๆ ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นว่ามีข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับผังเมือง ดังนี้ ๑. ผังเมืองรวม เป็นผังที่ควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินในลักษณะที่มองเป็นภาพใหญ่ โดยมุ่งเน้นที่เรื่องความหนาแน่นของการใช้ประโยชน์ที่ดิน การประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละพื้นที่ เช่น โรงงาน โรงฆ่าสัตว์ เป็นต้น ดังนั้นจึงเป็นการมุ่งไปที่เศรษฐกิจ สวัสดิภาพและสาธารณสุขของผู้อยู่อาศัยมากกว่าการให้คุณค่าด้านการอนุรักษ์ ๒. ข้อบัญญัติท้องถิ่น เป็นสิ่งที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครสามารถทำได้เลย ซึ่งสามารถครอบคลุมไปถึงเรื่องการอนุรักษ์ การสร้างออกแบบอาคารและทัศนียภาพภายในพื้นที่ ๓. การขึ้นทะเบียนโบราณสถาน โดยกรมศิลปากร ดังเช่นที่ย่านคลองสานมีโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนแล้วอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น วัด ป้อมป้องปัจจามิตร ฯลฯ ซึ่งต่อไปจำเป็นที่จะต้องออกข้อบัญญัติท้องถิ่นขึ้นมารองรับเพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดเรื่องการอนุรักษ์โบราณสถานที่ขึ้นทะเบียน สภาพคลองสมเด็จเจ้าพระยาในอดีต สำหรับกระบวนการศึกษาวางแผนเพื่อออกข้อบัญญัติท้องถิ่นโดยทางศูนย์ออกแบบพัฒนาเมืองมีทั้งในระดับกว้างคือกรุงเทพมหานคร และระดับเขตที่เป็นพื้นที่นำร่องคือย่านกะดีจีนและคลองสาน ที่ผ่านมาได้มีการทำ Workshop ร่วมกับกลุ่มต่าง ๆ เพื่อนำข้อคิดเห็นมานำเสนอในโครงการ มุ่งเน้นไปที่การมองภาพยาวถึงอนาคตของย่านโดยเชิญตัวแทนจากภาคส่วนต่าง ๆ อาทิเช่น ผู้นำทางศาสนา, ครูอาจารย์, ข้าราชการจากสำนักงานเขตและหน่วยงานราชการในพื้นที่ ตัวแทนชุมชน องค์กรภาคประชาสังคมและภาคเอกชนและนักพัฒนาที่ดินที่กำลังมีบทบาทอย่างสูงต่อย่านในปัจจุบัน ผลจากการพูดคุยร่วมกันพบว่าภาคส่วนต่าง ๆ เห็นตรงกันว่ามรดกวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่มีคุณค่าต้องรักษาไว้ แต่ขณะเดียวกันอนาคตของคลองสานจะพลิกโฉมหน้าเปลี่ยนไปจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง ทั้งการอพยพเข้ามาของประชากร การพัฒนาการขนส่งมวลชนระบบรางที่กำลังเข้ามาสู่ย่านคลองสาน นำมาสู่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น สิ่งที่คนในรุ่นปัจจุบันต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนคือการตั้งกฎกติการ่วมกันเพื่อกำหนดการพัฒนาของย่านให้เป็นไปในทิศทางที่ไม่ใช่การทำลายอัตลักษณ์ของตนเอง โดยนำภาพความรุ่งเรืองในอดีตมาใช้เป็นบทเรียนและเพื่อสร้างพลังร่วมกันให้คนในท้องถิ่น อภิญญา นนท์นาท อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ศาลเจ้าเซี้ยอึ้งกง ศาลเจ้าหลักเมืองในย่านสำเพ็ง
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ย. 2558 ในกลุ่มศาลเจ้าจีนที่ตั้งอยู่บริเวณย่านทรงวาดและสำเพ็งศาลเจ้าเซี้ยอึ้งกงหรือศาลเจ้าหลักเมืองตั้งอยู่ตรงตรอกชัยภูมิ ถือว่าเป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่มีความเก่าแก่และมีคติความเชื่อที่น่าสนใจแตกต่างจากศาลเจ้าอื่น ๆ ในย่านนั้น ทั้งที่เป็นความสำคัญในฐานะเทพเจ้าหลักเมืองของชาวจีนในย่านสำเพ็งและคติความเชื่อที่เกี่ยวของกับความตาย ตรอกชัยภูมิ เป็นตรอกเล็ก ๆ อยู่ทางด้านข้างศาลเจ้าเล่าปุนเถ่ากงและโรงเรียนเผยอิง เชื่อมต่อระหว่างถนนทรงวาดกับซอยวานิช ๑ ภายในตรอกมีชุดอาคารห้องแถว ซึ่งเป็นอาคารเก่าที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ เรียกกันว่า "ตึกสิบห้อง" มีความโดดเด่นที่ลวดลายไม้แกะสลักประดับอาคารที่ยังคงหลงเหลืออยู่ จากคำบอกเล่าของคุณมนตรี สุขกมลสันติพร ผู้ดูแลศาลเจ้าหลักเมืองและคนเก่าแก่ในชุมชนมิตรชัยภูมิกล่าวว่า เดิมตรอกชัยภูมิมีชื่อเรียกที่รู้จักโดยทั่วไปว่าตรอกแดง ก่อนที่จะมาเปลี่ยนชื่อเป็นตรอกชัยภูมิภายหลัง คำเรียก ตรอกแดง นั้น ยังปรากฎอยู่ในแผนที่เก่าที่ค้นได้จากหอสมุดแห่งชาติ ซึ่งเป็นแผนที่แสดงอาณาเขตของศาลเจ้าเก่าหรือศาลเจ้าเล่าปุ่นเถ่าถง ก่อนมีการตัดถนนทรงวาด จากคำบอกเล่าถึงประวัติและความสำคัญของตรอกแดงพบว่ามีความเกียวข้องกับ "เจ้าสัวติก" คหบดีชาวจีนแต้จิ๋ว ซึ่งมีบ้านอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาถัดจากท่าน้ำศาลเจ้าเก่า ซึ่งน่าจะเป็นบริเวณตรอกเจ้าสัวติกล้ง ริมถนนทรงวาดในปัจจุบันคนเก่าแก่ในชุมชนมิตรชัยภูมิยังคงบอกเล่าเรื่องราวของการเข้ามาตั้งถิ่นฐานของกลุ่มชาวจีนภายในชุมชนว่า เจ้าสัวติกได้อุปถัมป์และจัดสรรที่อยู่ให้กลุ่มคนจีนโพ้นทะเลที่มาจากตำบลเดียวกัน ให้มาตั้งหลักแหล่งอยู่บริเวณตรอกแดง ภายหลังจากเหตุเพลิงไหม้ใหญ่ในตำบลสำเพ็งเมื่อรา ร.ศ.๑๒๕ หรือ พ.ศ.๒๔๔๙ ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นเหตุให้มีการตัดถนนทรงวาดขึ้น และในช่วงเวลาเดียวกันนี้เจ้าสัวติกได้ขอพระราชทานที่ดินสร้างอาคารตึกแถวภายในตรอกแดง และแบ่งที่ดินส่วนหนึ่งสร้างเป็นศาลเจ้าเล็ก ๆ เพื่อประดิษฐานเทพเจ้าหลักเมืองหรือเซี้ยอึ้งกงที่อัญเชิญมาจากเมืองจีน ชุดอาคารเก่าภายในตรอกชัยภูมิ สร้างขึ้นสมัยรัชกาลที่ ๕ เทพเจ้าหลักเมืองเป็นเทพประธานของศาลทำเป็นเทวรูปแต่งกายแบบขุนนางจีนโบราณ และมีเทพบริวารขนาบข้างอยู่ซ้ายขวา นอกจากนี้ายในศาลยังเป็นที่เก็บรักษาระฆังโบราณที่มีจารึกปีศักราชกษัตริย์เต้ากวงปีที่ ๒๒ แห่งราชวงศ์เซ็งอีกด้วย คุณสมชัย กวางทองพาณิชย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องวัฒนธรรมจีน และเป็น "คนใน" ที่มีความสนใจศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นภายในย่านสำเพ็งและพื้นที่ใกล้เคียง ได้แสดงความเห็นเรื่องศาลเจ้าเซี้ยอึ้งกงว่าในเมืองจีนจะมีการตั้งศาลเจ้าหลักกเมืองขึ้นบริเวณข้างกำแพงเมืองหรือคูเมือง บริเวณที่เป็นทางเข้าออกเมืองจะต้องผ่านศาลหลักเมืองนี้เพื่อเป็นการขออนุญาต ความสำคัญของศาลเจ้าหลักเมืองในคติความเชื่อของชาวจีนยังเกี่ยวข้องกับความตายอีกด้วย คือมีความเชื่อว่าเทพเจ้าหลักเมืองมีหน้าที่ควบคุมการเข้าออกของดวงวิญญาณ หากมีผู้เสียชีวิตจะต้องมาไหว้เพื่อแจ้งบอกกล่าวองค์เทพหลักเมืองให้ทราบก่อนทุกครั้ง ก่อนที่จะมีการเคลื่อนย้ายนำศพไปฝัง สำหรับศาลเจ้าเซี้ยอึ้งกงแห่งนี้มีคติความเชื่อเช่นเดียวกันเมื่อมีคนที่อาศัยในบริเวณย่านนี้เสียชีวิตไป ลูกหลานจะต้องมาไหว้แจ้งบอกกล่าวต่อเทพเจ้าเพื่อให้ช่วยคุ้มครองดวงวิญญาณ ซึ่งยังคงเป็นประเพณีปฏิบัติที่ยึดถือมาถึงปัจจุบัน นอกจากนี้คุณสมชัยยังแสดงความเห็นว่าจากความสำคัญของศาลเจ้าหลักเมือง อาจจะเป็นองค์ประกอบหนึ่งแสดงถึง "ความเป็นเมือง" ของย่านสำเพ็งในมโนทัศน์ของชาวจีนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในย่านนี้ เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ของสภาพพื้นที่ลำคลอง ตรอก และศาลเจ้าสำคัญ พบว่าจากบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นไป จุดสำคัญที่เป็นประธานของเมืองคือ ศาลเจ้าเล่าปุนถ่างกง ซึ่งเป็นศาลเจ้าใหญ่และเก่าแก่ของกลุ่มชาวจีนแต้จิ๋ว ดังที่มีเรื่องเล่ากันว่า สมัยก่อนคณะงิ้วที่เดินทางมาจากเมืองจีน จะต้องขึ้นมาถวายที่ศาลเจ้าเล่าปุนเถ่ากงเป็นเวลา ๑ คืน ก่อนที่จะเดินทางไปแสดงยังที่อื่นได้ เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของศาลเจ้าเล่าปุนเถ่ากงว่าไม่ใช่เฉพาะคนในพื้นที่เท่านั้นที่ให้ความศรัทธาหากแต่รวมถึงกลุ่มคนจีนที่เข้ามาใหม่ด้วย "เซี้ยอึ้งกง" เทพประธานภายในศาลเจ้า ในอดีตศาลเจ้าเล่าปุนเถ่ากง ถูกขนาบข้างด้วยคลองสำคัญคือครองมังกรและครองโรงกระทะ ปัจจุบันถูกถมเป็นถนนมังกรและถนนเยาวพานิช และมีตรอกโรงโคม (เต็งลั้งโกย) เป็นเส้นทางสัญจรสำคัญที่เป็นเสมือนแกนหลักของย่านในยุคก่อนตัดถนนสายต่าง ๆ ตรอกโรงโคมเป็นเส้นทางเชื่อมจากทางจากท่าน้ำศาลเจ้าเก่า (ศาลเจ้าเล่าปุนเถ่ากง) เข้าไปสู่ตลาดเก่า ผ่านศาลเจ้าเล่งบ๊วยเอี๊ยะ ไปถึงศาลเจ้าปอเต็กตึ๊งที่ย่าพลับพลาไชย จากสภาพพื้นที่ของย่านสำเพ็งดังกล่าวนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงภาพความเป็นเมืองขนาดย่อม ๆ ดังนั้นการตั้งศาลเจ้าหลักเมืองขึ้นในบริเวณนี้ จึงน่าจะเป็นสิ่งที่เน้นย้ำถึงแนวคิดดังกล่าวด้วยก็เป็นได้ นอกจากนี้ศาลเจ้าเซี้ยอึ้งกงยังมีคติความเชื่อที่เป็นเรื่องเฉพาะของท้องถิ่นอีกด้วย จากคำบอกเล่าของคุณวิเชียร สุขกมลสันติพร เจ้าของเตียท่งเซ้ง ร้านทำซาลาเปาและขนมมงคลที่สืบทอดมาถึง ๓ รุ่นภายในตรอกชัยภูมิ กล่าวว่าบางคนเรียกศาลเจ้าแห่งนี้ว่า "ศาลเจ้าขี้ยา" เพราะสมัยก่อนคนนิยมนำฝิ่นมาเป็นเครื่องแก้บน ให้เทพบริวารของเทพเซี้ยอึ้งกง เพราะเชื่อกันว่าเทพบริวารทั้ง ๒ องค์มีหน้าที่ช่วยรับดวงวิญญาณซึ่งต้องทำงานตลอดทั้งวันทั้งคืน จึงต้องนำฝิ่นมาถวายเพราะคิดว่าฝิ่นเป็นยาที่ช่วยให้กระปรี้กระเปร่า ดังนั้นผู้ที่มาบนบานขอให้หายโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อมาแก้บนจะนำฝิ่นมาป้ายที่ปากของรูปเคารพบริวารทั้ง ๒ องค์ในยุคที่ฝิ่นกลายเป็นของผิดกฎหมายจึงเปลี่ยนเครื่องแก้บนเป็นบุหรี่ กาแฟดำ หรือชาร้อนตามสมควร การนำฝิ่นมาเป็นเครื่องก้บนบานศาลเก่านั้นยังปรากฏว่าเป็นความเชื่อที่พบในศาลเจ้าจีนแห่งอื่น ๆ อีกด้วย เพราะโรงฝิ่นถือว่าเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่นิยมในกลุ่มแรงงานชาวจีน ดังจะเห็นได้ว่าหากที่ใดมีชุมชนชาวจีน ย่อมเคยมีโรงฝิ่นเกิดขึ้นควบคู่กันเสมอ สมัยก่อนที่ตรอกแดงหรือตรอกมิตรชัยภูมิยังเคยเป็นที่ตั้งของโรงยาฝิ่น รวมถึงแหล่งเริงรมย์สำหรับบุรุษ ซึ่งแหล่งที่เกิดขึ้นชื่อภายในตรอกชัยภูมิคือ "กิมเทียนเหลา" โรงโสเภณีที่มีหญิงสาวชาวจีนกวางตุ้งคอยให้บริการ อย่างไรก็ตามแหล่งเริงรมย์ดังกล่าวได้เลิกราไปตามยุคสมัย ปัจจุบันอาคารต่าง ๆ ภายในตรอกส่วนมากถูกใช้เป็นที่อยู่อาศัยและบางส่วนถูกปรับเป็นโกดังสำหรับเก็บสินค้าของร้านในตลาดสำเพ็ง ในขณะที่ยุคสมัยแปรเปลี่ยน สภาพวิถีชีวิตของผู้คนในย่านสำเพ็งเริ่มเปลี่ยนแปลงตามกันไป แต่ศาลเจ้าเซี้ยอึ้งกงหรือศาลเจ้าหลักเมืองยังคงเป็นศูนย์รวมจิตใจและที่นับถือศรัทธาของคนเชื้อสายจีนในย่านสำเพ็งเรื่อยมา ดังจะเห็นว่าศาลเจ้าหลักเมืองไม่เคยว่างเว้นจากผู้ที่มาสักการบูชา โดยเฉพาะในช่วงวันที่ ๒๕-๒๖ มิถุนายนของทุกปี ซึ่งเป็นงานประเพณีประจำปีไหว้เจ้าพ่อหลักเมือง และในช่วงเทศกาลสำคัญของชาวจีน เช่น ตรุษจีน สารทจีน ทิ้งกระจาด เช่นเดียวกับศาลเจ้าจีนแห่งอื่น ๆ ในบริเวณย่านจีนแห่งนี้ยังคงรักษาความเป็นศูนย์รวมจิตใจของลูกหลานชาวจีนโพ้นทะเลสืบมาจนถึงปัจจุบัน ขอขอบคุณ คุณสมชัย กวางทองพานิชย์, คุณมนตรี สุขกมลสันติพร และคุณวิเชียน สุขกมลสันติพร อภิญญา นนท์นาท อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ความสับสนในที่มาของชื่อ นางเลิ้ง
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ย. 2558 จากคำบอกเล่าของย่าแห แก้วหยก ชาวมอญค้าขายทางเรือแห่งบ้านศาลาแดงเหนือ อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานีผู้ล่วงลับไปแล้วว่า ครอบครัวคนค้าขายทางเรือใช้เรือกระแซงลำใหญ่รับเอาสินค้าเครื่องปั้นดินเผาจากเกาะเกร็ดและบางส่วนจากราชบุรีขึ้นล่องไปขายในระหว่างพื้นที่ภาคกลางตั้งแต่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นไปจนถึงจังหวัดอุตรดิตถ์และพิษณุโลกของที่ขายส่วนใหญ่จะเป็นพวกเครื่องปั้นดินเผาและถ้วยชาม สินค้าอื่น ๆ ก็มีปูนแดง เกลือ กะปิ น้ำปลา ปูเค็ม ปลาเค็ม เต้าเจี้ยว ไตปลา ของแห้งต่าง ๆ ที่ใช้ในครัวเรือน ใส่เรือกระแซงชักใบล่องเรือไปขายคราวละไม่ตำ่กว่า ๓ - ๔ เดือน ปีละ ๒ - ๓ ครั้ง เมื่อคราวคนรุ่นย่ายายยังสาว พวกเครื่องปั้นดินเผาจะไปรับของที่เกาะเกร็ดและบ้านหม้อที่คลองบางตะนาวศรีใกล้ ๆ เมืองนนท์ฯ ส่วนสินค้าของแห้งจะไปจอดเรือแถบสามเสนหรือซังฮี้ แล้วว่าเรือเล็กเข้าไปซื้อแถวคลองบางหลวง ตลาดพลู หรือทางคลองโอ่งอ่างตามแต่แหล่งสินค้าขึ้นชื่อจะมีที่ใด นำไปขายตามรายทางจนถึงปากน้ำโพ เข้าแม่น้ำน่านไปแถวบางโพท่าอิฐที่อุตรดิตถ์ก็มี ส่วนแม่น้ำปิงท้องน้ำเต็มไปด้วยหาดทรายทำให้เดินเรือไม่สะดวกจึงไม่ขึ้นไป บางลำก็แยกที่อยุธยาเข้าไปทางป่าสักขึ้นไปจนถึงแก่งคอยและท่าลานบางรายแยกไปทางลำน้ำลพบุรีเข้าบางปะหัน มหาราช บ้านแพรก บ้านตลุง ลพบุรี วิธีการค้าขายก็จะใช้สินค้าเหล่านี้แลกข้าวเปลือกเป็นหลัก ขากลับจะบรรทุกข้าวเปลือกมาเต็มลำเอาไปขายโรงสีแถวกรุงเทพฯ ในคลองผดุงกรุงเกษมที่มีอยู่หลายเจ้า เรือมอญบ้านศาลาแดงเหนือรุ่นที่ ๓ ไปซื้อโอ่งราชบุรีที่โรงงาน บ้านท่าเสา จังหวัดราชบุรี ถ่ายภาพโดยมาณพ แก้วหยก พ.ศ. ๒๕๓๘ การค้าขายเช่นกันนี้เองที่ทำให้ย่านริมน้ำบริเวณคลองผดุงกรุงเกษม แถบปากคลองเปรมประชากรที่เดินทางออกไปยังพื้นที่นอกเมืองได้สะดวกและอยู่ฝั่งตรงข้ามกับปากคลองวัดโสมนัสฯ และปากครองจุลนาค ที่ใช้ดเส้นทางน้ำไปออกคลองมหานาค ย่านเส้นทางเดินทางสำคัญเพื่อออกนอกเมืองทางฟากตะวันออกได้และเรื่อยมาจนถึงเชิงสะพานเทว กรรมฯ สาวงามและการถ่ายแบบกับตุ่ม "อีเลิ้ง" เรือมอญบ้านศาลาแดงเหนือรุ่นที่ ๒ จอดขายโอ่งราชบุรีในคลองชลประทาน สะพานอำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี เรือของนางสุนทร เรืองเพชร ถ่ายในราว พ.ศ. ๒๕๑๒ หรือ ๒๕๑๗ ตุ่มอีเลิ้งคนในพระนครยังเรียกว่าตุ่มนครสวรรค์ น่าจะมาจากชื่อถนนนครสวรรค์ที่ต่อจากสะพานเทวกรรมฯ ไปยังประตูพฤฒิบาศที่กลายเป็นสะพานผ่านฟ้าฯ ในปัจจุบัน บริเวณนี้น่าจะเป็นย่านค้าขายเพราะมีหปากคลองใหญ่น้อยที่พักจอดเรือและเป็นตลาดขึ้น สินค้าหรือจะหาสินค้าพวก "ตุ่มสามโคก" หรือ "อีเลิ้ง" ที่คนมอญ (พิศาล บุญผูก) กล่าวว่าไม่ใช่ภาษามอญ เพราะคนมอญเรียกโอ่งว่า "ฮะรี" และภาชนะเครื่องปั้นดินเผาพวกโอ่งอ่างต่าง ๆ มาตั้งแต่เมื่อขุดคลองขุดเสร็จใหม่ ๆ ชุมชนแถบนี้เคยเป็นย่านที่อยู่ใหญ่ทั้งตึกชั้นเดียว บ้านชั้นเดียว ผู้คนย้ายมาจากหลายแห่งทั้งภายในพระนครและคนจากเรือมาขึ้นบกก็มีบ้างและมาจากต่างจังหวัดที่ใช้เรือค้าขายรอนแรมมาจากท้องถิ่นอื่น ๆ และบอกเล่าสืบกันมาว่าบ้างมีเชื้อสายมอญที่เคยมาค้าขายภาชนะต่าง ๆ ย่านนี้คือฝั่งด้าน ‘ตรอกกระดาน’ ต่อเนื่องมาจากริมคลองผดุงกรุงเกษมและอยู่ทางฝั่งเหนือตลาดนางเลิ้ง และบริเวณตรงข้ามกับแถบตลาดนางเลิ้งบนถนนศุภมิตร แต่หลังจากการไล่ที่เพราะเจ้าของต้องการขายที่ไปเมื่อราว พ.ศ. ๒๕๐๐ ผู้คนจากฟากย่านนางเลิ้งฝั่งที่ดินมีเจ้าของของเหนือ ถนนศุภมิตรแตกสานซ่านกระเซ็นไปจนหมดแล้วจึงสร้างตึกขึ้นมาภายหลัง “ตุ่มสามโคก” หรือ “ตุ่มอีเลิ้ง” ลักษณะปากและก้นแคบป่องกลาง เนื้อดินสีแดงใบไม่ใหญ่นักและมีขนาดเล็กใหญ่ต่างๆกัน เพราะเคยปรากฏข้อความถึงการทำอาหารพวกน้ำยาเลี้ยงคนจำนวนมากก็ใส่อีเลิ้งหลายใบด้วยกัน เป็นของรุ่นเก่าที่เล่ากันว่าผลิตแถวสามโคกซึ่งยังหาร่องรอยไม่ได้ว่าผลิตขึ้นที่ใด และเลิกทำกันไปตั้งแต่เมื่อไหร่และแม้แต่เตาสามโคกที่วัดสิงห์ ก็ยังไม่พบร่องรอยการผลิตนั้น จะมีเลียนแบบตุ่มสามโคกที่รู้จักแหล่งผลิตก็คือตุ่มปากเกร็ดที่รูปร่างคล้าย แต่คุณภาพและเนื้อดินแตกต่างและด้อยกว่า ผู้คุ้นเคยกับตุ่มสามโคกมอง ๆ ดูก็รู้ ตุ่มปากเกร็ดหรือโอ่งแดงเหล่า นี้ปั้นขายกันแพร่หลายและก็เรียกกันต่อมาอย่างเข้าใจผิดว่าเป็นตุ่มสามโคกเช่นเดียวกัน ส่วนโอ่งมังกร น่าจะมีการผลิตขึ้นก่อนแถบริมคลองผดุงกรุงเกษม โอ่งรุ่นแรกจะเป็นแบบเรียบ ๆ ไม่มีลวดลาย ต่อมาจึงใส่ลายมังกรเข้าไปภายหลัง ที่วัดศาลาแดงเหนือมีโอ่งมังกรลายหมูป่าฝีมือดีอยู่ใบหนึ่งเขียน ข้อความเป็นภาษาไทยตัวใหญ่ว่า “อยู่เย็นเป็นสุข” เขียนแหล่งผลิต เป็นภาษาไทยว่า “คลองขุดใหม่” และยี่ห้อภาษาจีน สันนิษฐาน ว่าเป็นโอ่งเคลือบแบบโอ่งมังกรรุ่นแรก ๆ ที่ผลิตในประเทศไทย และศูนย์กลางแหล่งผลิต และย่านการค้าโอ่งมังกรแต่แรกคือ แถบคลองผดุงกรุงเกษมหรือที่เรียกกันในสมัยนั้นว่า คลองขุดใหม่ ส่วนโอ่งมังกรของราชบุรี ทำโดยช่างชาวจีนที่เลียนแบบโอ่งจาก เมืองจีนน่าจะผลิตเมื่อราว ๗๐-๘๐ ปีมาแล้วนี่เอง ต่อมาเมื่อมีการสร้างเขื่อนภูมิพลแล้ว บางรายยังคงใช้เรือบรรทุกเฉพาะโอ่ง หม้อ ครก กระถางไปขายตามลำคลองแถบ คลองรังสิต คลองบางซื่อ คลองผดุงกรุงเกษม คลองเปรมประชากร คลองแสนแสบ เป็นพ่อค้าเร่ทางเรือที่ไม่ไกลบ้านเหมือนในอดีต ซึ่งคนรุ่นพ่อแม่ของชาวบ้านศาลาแดงเหนือที่อายุราว ๕๐ ปีขึ้นไป วิ่งเรือไปเอาโอ่งมังกรโดยใช้เส้นทางคลองภาษีเจริญผ่านท่าจีน เข้าคลองดำเนินสะดวกออกแม่กลองที่บางนกแขวก แล้วล่องไปรับโอ่ง มังกรที่ราชบุรี แต่ขากลับเรือที่เพียบแประต้องการพื้นนำที่ไม่วุ่นวาย เหมือนเส้นทางที่ผ่านมาก็จะเข้าทางแม่น้ำท่าจีนขึ้นไปทางสุพรรณบุรี ผ่านประตูน้ำบางยี่หน ผ่านบางปลาหมอ มาออกบ้านแพน แล้วล่องแม่น้ำน้อยมาออกแม่น้ำเจ้าพระยาแถวลานเท การค้าหม้อค้าโอ่งทางเรือค่อย ๆ เลิกรา เพราะคลองเริ่มเดินเรือไม่สะดวกและตลาดหรือที่ชุมชนไม่ใช่พื้นที่ริมฝั่งคลองอีกต่อไป เริ่มมีการเปลี่ยนจากเรือมาเป็นรถกันตั้งแต่ราวปี พ.ศ. ๒๕๑๗ สมมติฐานเรื่องการค้าขายภาชนะ เช่น ตุ่มสามโคกหรือสาวงามและการถ่ายแบบกับตุ่ม “อีเลิ้ง” ของชาวเรือมอญจากแถบสามโคกก็พ้องกันกับเรื่องราวของชื่อ "นางเลิ้ง" ที่เปลี่ยนตามสมัยนิยมของคนมีการศึกษาในเมืองไทยที่ไปเข้าใจคำว่า "อี" ที่ใช้มาแต่เดิมแต่โบราณนั้นเป็นคำไม่สุภาพ จากคำเรียกภาชนะแบบทับศัพท์ภาษามอญที่ใช้มาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาที่บันทึกว่าในย่านคลองสระบัว แหล่งทำภาชนะใช้ในครัวเรือนสำหรับ ชีวิตประจำวันก็มีการทำภาชนะใส่น้ำแบบอีเลิ้งด้วย และคงมีการปั้นโอ่งหรือตุ่มรูปทรงนี้ต่อมาจนเข้าสู่สมัยกรุงเทพฯ จากภาชนะใช้ในครัวเรือนสำหรับชีวิตประจำวันก็มีการทำภาชนะใส่น้ำแบบอีเลิ้งด้วย และคงมีการปั้นโอ่งหรือตุ่มรูปทรงนี้ต่อมาจนเข้าสู่สมัยกรุงเทพฯ จากภาชนะที่เรียกว่าอีเลิ้ง และเรียกย่านนั้นว่าอีเลิ้ง ก็กลายมาเป็นย่านนางเลิ้งตามจริต คนไทยให้ฟังดูสุภาพเสีย เพราะมีการเปลี่ยนชื่อเช่นนี้เสมอ เช่นหอยอีรมเป็นหอยนางรม, นกอีแอ่นเป็นนกนางแอ่น หนังสือพิมพ์บางกอกสมัยฉบับวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๒ กล่าวถึงการเสด็จพระราชดำเนินของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเปิดตลาดนางเลิ้งรวมทั้งงานรื่นเริงต่าง ๆ นั้น ก็เขียนถึงตลาดนี้ในชื่อว่า “ตลาดนางเลิ้ง” มาตั้งแต่ครั้งเริ่มทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการแล้ว คำว่า นางเลิ้ง พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๕ และ พ.ศ. ๒๕๒๕ ว่า “นางเลิ้ง” และ “อีเลิ้ง” เป็นคำนามหมายเรียกตุ่มหรือโอ่งใหญ่ว่าตุ่มอีเลิ้งหรือนางเลิ้งหรือ “โอ่งนครสวรรค์” ก็เรียก และยังหมายเป็นนัยถึงใหญ่เทอะทะ ปัจจุบันพบว่ามีความสับสนที่มาของชื่อ “นางเลิ้ง” ว่าเป็นชื่อมีที่มาอย่างไร สืบเนื่องจากมีการศึกษาชุมชนและตลาดนางเลิ้ง ในราว ๑๐ ปีหลังมานี้เป็นจำนวนมาก และอ้างอิงผลิตซ้ำคำอธิบายจาก “คำให้การผู้เชี่ยวชาญวัฒนธรรมท้องถิ่น” ของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม โดยอ้างอิงมาจากศูนย์วัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร และสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตพาณิชยการพระนคร ประวัติของชุมชนแต่เดิมในบริเวณนี้ก่อนการสร้างตลาดนางเลิ้งในสมัยรัชกาลที่ ๕ โดยเสนอสมมติฐานว่าเป็น คำที่สืบเนื่องจากภาษาถิ่นที่ใกล้เคียงกับภาษาเขมร ซึ่งเป็นชุมชน เขมรในพระนครที่เข้ามาพร้อมกับเชื้อพระวงศ์กษัตริย์เขมรเมื่อต้นรัชกาลที่ ๑ ข้อมูลเหล่านี้ปรากฏทั้งในอินเทอร์เน็ตและการคัดลอกผ่านงานศึกษาวิจัยต่าง ๆ ว่าสมมติฐานหนึ่งมาจากคำว่า "ฉนัง" และคำว่า "เฬิง" ในภาษาเขมร โดยแปลรวมกันว่าเป็นภาชนะขนาดใหญ่ แม้จะกล่าวว่าทั้งคำว่า "ฉนัง" และ "เฬิง" นั้นปกติในภาษาเขมรก็ไม่ได้นำมารวมกัน แม้จะมีหลักฐานว่าแต่เดิมเจ้านายเขมรนั้นพระราชทานที่ดินให้อยู่แถบตำบลคอกกระบือแถบวัดยานนาวา ต่อมาราว พ.ศ. ๒๓๒๙ จึงสร้างวังพระราชทานให้ที่ริมคลองเมืองเยื้องปากคลองลอดวัดราชนัดดา ฝั่งตรงข้ามวัดสระเกศซึ่งอยู่ภายในพระนครที่เรียกว่า "วังเจ้าเขมร" ส่วนครัวเขมรเข้ารีตราว ๔๐๐ - ๕๐๐ คนให้สร้างบ้านเรือนอยู่รวมกับชาวบ้านเชื้อสายโปรตุเกสที่มีศูนย์กลางของชุมชนคือวัดคอนเซ็ปชัญและบ้านญวนสามเสน ที่มีวัดเซนต์ฟรังซีสเซเวียร์ซึ่งเป็น กลุ่มอพยพเข้ามาภายหลังในราวรัชกาลที่ ๓ บริเวณนี้เป็นที่รวมของผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกหรือชาวคริสต์ตังและอยู่ต่อเนื่องสืบมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้วจากนั้นมาบ้านโปรตุเกสที่นี่จึงถูกเรียกอีกชื่อว่าบ้านเขมร และวัดคอนเซ็ปชัญก็ถูกเรียกว่า “วัดเขมร” ชุมชนบ้านเขมรริมแม่น้ำเจ้าพระยาแถบวัดคอนเซ็ปชัญนี้มีนายแก้วที่เป็นผู้ชำนาญการวิชาปืนใหญ่ เนื่องจากเคยได้เรียนกับชาวโปรตุเกส ต่อมาได้รับพระราชทานตำแหน่งเป็นที่พระยาวิเศษสงคราม รามภักดี จางวางกรมทหารฝรั่งแม่นปืนใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ ๑ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายแก้วเขมรนี้เป็นหัวหน้าดูแลชาวหมู่บ้านคอนเซ็ปชัญด้วย ต่อมาบุตรหลานได้รับราชการสืบต่อมาเป็นลำดับ เชื้อสายสกุลพระยาวิเศษสงครามภักดี (แก้ว) ปรากฏอยู่คือ “วิเศษรัตน์” และ “วงศ์ภักดี” ในระหว่างรัชกาลที่ ๓ มีศึกสงครามกับญวนอยู่หลายปีมีชาวญวนเข้ารีตคริสต์ตังแถบ "เมืองเจาดก" ขอเข้ามาอยู่ในเมืองสยาม จึงนำมาอยู่เหนือบริเวณบ้านเขมร ภายหลังผู้คนในบ้านเขมรมีมากขึ้นดังจากเหตุดังกล่าว จึงกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานขยายเขตหมู่บ้านเขมรออกไปอีก ทิศเหนือจรดวัดราชผาติการาม (วัดส้มเกลี้ยง) ทิศใต้จรดวัดราชาธิวาส (วัดสมอราย) ทิศตะวันออกติดถนนสามเสน ทิศตะวันตกจรดแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนพวกญวนขยับจากที่เดิมไปบ้านเรือนทางด้านเหนือและสร้างโบสถ์เซนต์ฟรังซีสเซเวียร์เป็นศูนย์กลางของชุมชนอีกแห่งหนึ่งเมื่อราว พ.ศ. ๒๓๙๖ ในภายหลัง (ประวัติวัดและหมู่บ้านคอนเซ็ปชัญ, รวบรวมจากหนังสือที่ระลึกงานฉลองวัดคอนเซ็ปชัญครบ ๒๕๐ ปี, ห้องเอกสาร อัครสังฆณฑลกรุงเทพฯ, คัดลอกจากอินเทอร์เน็ต ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๘) จะเห็นได้ว่าไม่มีข้อมูลใด ๆ ที่เกี่ยวกับชุมชนเดิมที่นางเลิ้งสามารถเชื่อมโยงไปถึงการตั้งถิ่นฐานของชุมชนชาวเขมรบริเวณใกล้กับโบสถ์คอนเซ็ปชัญซึ่งเป็นชุมชนเขมรคริสต์ตังใหญ่ปนเปกับผู้มีเชื้อสายโปรตุเกส ส่วนที่เป็นเชื้อพระวงศ์และได้รับที่ดินและวังพระราชทานบริเวณเยื้องปากคลองหลอดวัดราชนัดดา วังพระราชทานนั้นหมดสิ้นไปแล้วเมื่อมีการบันทึกสารบาญชีของกรมไปรษณีย์ในสมัยรัชกาลที่ ๕ และอาจเป็นเพียงการเข้าใจผิดในชื่อสถานที่แรกตั้งถิ่นฐานที่มีชื่อ "คอกกระบือ" แถบวัดยานนาวาที่อยู่นอกพระนครทางด้านใต้ พ้องกันกับแถบสนามกระบือทางด้านตะวันออกของพระนคร และการนำคำที่ปรากฏลากเข้าหาสมมติฐานที่ตนเองต้องการคือ "ฉนัง-เฬิง" ให้กลายเป็น "นางเลิ้ง" ดังกล่าว ขอบคุณ มาณพ แก้วหยก, บ้านศาลาแดงเหนือ อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี วลัยลักษณ์ ทรงศิริ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- การศึกษาท้องถิ่นอันเนื่องมาจาก “เมืองโบราณกับเล็ก วิริยะพันธุ์”
เผยแพร่ครั้งแรก ไม่ระบุ การศึกษาท้องถิ่นอันเนื่องมาจาก “เมืองโบราณกับเล็ก วิริยะพันธุ์” เมืองโบราณอุบัติขึ้นจากความรู้สึกและประสบการณ์ของคุณเล็กที่แลเห็นว่าในช่วงเวลาสี่สิบกว่าปีที่ผ่านมานั้น สังคมไทยพัฒนาอย่าลืมอดีตและเน้นความต้องการทางวัตถุเป็นสำคัญ จึงเป็นผลที่ทำให้คนรุ่นใหม่เติบโตอย่างขาดรากเหง้า จำเป็นที่จะต้องมีการศึกษาและรวบรวมข้อมูลหลักฐานทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของสังคมในอดีตมาไว้เพื่อคนรุ่นหลังจะได้ศึกษาและเรียนกัน การพบปะกับผู้รู้ก็เป็นเพียงการได้ยินและได้ฟังเท่านั้นยังไม่เพียงพอต้องไปพบเห็นด้วยประสบการณ์ จึงจะคิดได้และทำได้โดยเหตุนี้ในเวลาที่จะสร้างอะไร ทำอะไรในเมืองโบราณนั้นคุณเล็กจะต้องออกไปดูให้เห็นด้วยตนเองทำให้ในระยะเวลาเกือบสิบห้าปีของการสร้างเมืองโบราณ คุณเล็กออกตระเวนไปทั่วทุกภูมิภาคและหลาย ๆ ท้องถิ่น อาจนับได้ว่าแลเห็นแผ่นดินไทยและผู้คนสังคม ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมอย่างลุ่มลึกทีเดียวคุณเล็กคิดเสมอว่า สิ่งที่ท่านนำมาสร้างหรือนำมาเก็บรักษาไว้ในเมืองโบราณนั้น จะต้องเป็นสิ่งที่มีความหมายที่เป็นประโยชน์หาใช่นำมาแสดงแต่เพียงรูปแบบที่เป็นเสมือนภาพนิ่งไม่ การสร้างเมืองโบราณของคุณเล็กคือกระบวนการเรียนรู้ที่ไม่อาจกำหนดเป็นแผนงาน งบประมาณ และระยะเวลาที่แน่นอนและตายตัวได้ หากเป็นเรื่องที่มีความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ความสำคัญอยู่ที่การนำเอาสิ่งที่เรียนรู้จากอดีตมาสร้างเป็นความรู้อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อที่จะสื่อให้คนในสังคมโดยเฉพาะเยาวชนได้เห็นความเชื่อมต่อระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคตอย่างที่มนุษย์ที่ดีควรเรียนรู้ ความสำคัญของการศึกษาท้องถิ่นของศรีศักร วัลลิโภดม ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องของมิติทางเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป ประวัติศาสตร์ที่เขียนจากคนนอกโดยเข้าไม่ถึงคนในนั้น แลเห็นได้เพียงการเปลี่ยนแปลงที่เป็นมหภาคในเวลาที่ผ่านไปแล้วในยุคสมัยใดสมัยหนึ่ง [Change through time] ต่างจากการเปลี่ยนแปลงในการรับรู้ของคนภายในที่เป็นการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาอย่างต่อเนื่อง [Change over time] ที่มีลักษณะเป็นจุลภาคอย่างเป็นประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต การศึกษาประวัติศาสตร์จากภายนอกเข้าไม่ถึงคนใน เพราะมักกำหนดสมัยเวลาจากหลักฐานการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมจากภายนอก เช่น จากหลักฐานทางโบราณสถานวัตถุและบันทึกทางเอกสารที่มีการรวบรวมไว้เป็นลายลักษณ์ แต่ประวัติศาสตร์จากภายในเป็น ประวัติศาสตร์สังคม ที่กำหนดการเปลี่ยนแปลงจากชั่วชีวิตของคนในแต่ละรุ่น แต่ละกลุ่มเหล่า ที่เริ่มแต่การลำดับเครือญาติของคนในแต่ละโคตรตระกูล ที่สืบทอดมาจนถึงลูกหลานที่ดำรงชีวิตอยู่ในปัจจุบัน เหตุนี้ประวัติศาสตร์แบบนี้จึงเป็นประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต เพราะแลเห็นอดีตที่ผ่านมาจนปัจจุบันและแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงในอนาคต การเข้าถึงการเปลี่ยนแปลงภายในนี้แหละ เมื่อนำมาพิจารณาวิเคราะห์รวมกับการเปลี่ยนแปลงที่มาจากข้างนอก โดยเฉพาะจากโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองจากทางรัฐแล้ว คือการทำความเข้าใจที่จะนำไปสู่การควบคุมการพัฒนาได้
- ตลาดนางเลิ้งยังไม่ตาย
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ธ.ค. 2558 โรงหนังอาคารไม้ที่เหลืออยู่แห่งเดียวในกรุงเทพมหานคร โรงหนังเฉลิมธานีแห่งตลาดนางเลิ้ง ผมเกิดที่นี่และบริเวณตรงนี้เป็นที่พักอาศัยเริ่มแรกเลย (ใกล้กับโรงหนังเฉลิมธานี) ตลาดนางเลิ้งแต่ก่อนเป็นชุมชนที่อยู่กลางใจเมือง ผู้ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้โดยรอบก็จะมาจับจ่ายใช้สอยในตลาดนางเลิ้ง เพราะแต่ก่อนคมนาคมดี อาศัยว่ามีรถรางรอบเมืองก็เลยมาจับจ่ายใช้สอยหรือใกล้ ๆ ก็จะเดินมา ผมเกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๔ สมัยญี่ปุ่นบุกพอดี ตอนนี้อายุ ๗๔ ปีแล้ว ชีวิตเด็ก ๆ ก่อนไปโรงเรียนผมมีหน้าที่ตั้งเตากาแฟติดเตากาแฟหรือทำอะไรก่อนถึงจะไปทานข้าวไปเรียนคุณพ่อคุณแม่ขายกาแฟค้าขายเลย และส่วนหนึ่งชีวิตมันก็ผกผันว่าพ่อแม่ไม่มีเวลาเลี้ยงเรา ส่งเราไปอยู่แถวทุ่งมหาเมฆ ไปฝากเขาเลี้ยงคือค้าขายจนไม่มีเวลาดูแล ตลาดสมัยนั้นคึกคักมาก ในละแวกนี้แม้กระทั่งคนแถวศรีย่านหรือแถวราชวัตรต้องมาทานอาหารที่นี่จะกินอาหารก็ต้องมานางเลิ้งมีทุกอย่างครับ สมพงษ์ โชติวรรณ ทายาทผู็เช่าโรงหนังเฉลิมธานี จากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ คุณพ่อคุณแม่เชื้อสายจีนก็มาตั้งรกรากที่นี่เป็นคนจีนจากเมืองจีนแต้จิ๋วแซ่ลี้ครับ ตรงนี้มีคนจีนเชื้อสายหลายเชื้อสาย มีแต้จิ๋ว มีแคะ มีกวางตุ้ง แต้จิ๋วจะมากกว่า แต่ไหหลำจะไปอยู่ทางวัดสระเกศมากกว่า แล้วก็ทางวัดญวนแถววัดสระเกศพวกนี้ทำเรื่องที่เกี่ยวกับธุรกิจไม้มากกว่าส่วนหนึ่งคือผมได้อยู่ได้รู้จักคนแถววัดสระเกศคนหนึ่งก็ไปขยายงานคือไปทำประปาที่สี่แยกหลานหลวงก็พยายามหาอาชีพที่ดูแล้วจะก้าวหน้าเลยขายเครื่องประปาตรงสี่แยกหลานหลวง ไปเรียนชั้นประถม เรียนอยู่พักหนึ่ง ต้องไปอยู่กับคนรู้จักครับแต่มันก็เท่ากับฝากให้ชีวิตเรามันเข้มข้นขึ้น คือเช้าก่อนจะไปโรงเรียนก็ต้องไปซื้อกับข้าวมาทำกับข้าว ติดเตาหุงข้าวอีก แต่ชีวิตเราก็มามองดูว่าเรื่องของศาสนานี้ ส่วนหนึ่งนี่บุญวาสนาเราแยะ ผมว่าเป็นตัวอย่างที่เราจะช้าหรือเร็วต้องใส่บาตรทุกเช้า บุญกุศลจะส่งเสริมให้เราไม่ตกอับ บางทียังนึกถึงว่าเรามีหน้าที่อย่างนี้ทำมันก็มาส่งเสริมให้เรามีชีวิตที่ดี เสร็จแล้วก็ต้องกลับมาที่นี่ ก็มาเรียนต่ออีกที ผมไปจบที่พาณิชย์ตั้งตรงจิตร ความเห็นพ่อไม่อยากให้เรียน อยากให้ทำงานตรงนี้ชีวิตมันแปรผันครับก็มีเพื่อนของพ่อมาชวน ช่วงนั้นเรามาทำธุรกิจเช่าโรงหนังจากสำนักงานทรัพย์สินฯ ดำเนินการอยู่ ผมอายุสิบกว่ายังไม่ถึงยี่สิบปีพ่อก็อยากจะทำน่ะ เพราะว่าจริง ๆ เราอยู่หน้าโรงหนัง ขายอาหารก็เลยได้สัมผัสมาโดยตลอด ลองดูว่ามันเป็นอาชีพที่ดีหรือไงก็เลย ก็ไปได้ดี แล้วเพื่อน ๆ คุณพ่อก็มาชวนไปช่วยบริหารโรงภาพยนตร์ที่จังหวัดระยอง ผมก็เลยช่วงนั้นต้องวิ่งขึ้นวิ่งลงระหว่างกรุงเทพฯ-ระยองระยะทางตั้งแต่สัตหีบไประยองนี่ ๔๗ กิโลเมตร ฝุ่นแดงหมดตลอดทางระยะทางจากกรุงเทพฯ ไปถึงระยองลาดยางแค่ถึงสัตหีบ จากสัตหีบไประยองเป็นทางฝุ่นแดง เป็นโรงหนังใหม่ของเทศบาลครับ ช่วงนั้นอายุ ๒๐ กว่าช่วงนั้นก็วิ่งขึ้นวิ่งลงพ่อแยกมามีร้านขายเครื่องประปาตอนอายุ ๑๐ กว่าปี ผมก็ได้ฝากงานอยู่หลายอย่าง เพราะสมัยก่อนตรงหลานหลวงก็ตรงข้ามกับบริษัทสหศรีชัยของคุณบรรหาร ตรงหลานหลวง ตรงข้ามกันเลย ตอนที่เรามาทำครั้งแรกมันไม่ดีทีเดียว แต่ทุกอย่างมันก็ค่อยเติบโตของมัน แต่ก่อนมีลิเกอะไรบ้าง หนังยังไม่เข้ามาเต็มที่มันก็มีข้อจำกัด เพราะแต่ก่อนหนังจะเป็น 16 มิลลิเมตร ก็ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นหนังไทยที่ไปเปิดมีเพลงเป็นเสียงในฟิล์มก็คงไปล้อจากหนังอินเดียทุกข์ก็ร้องเพลง ดีใจก็ร้องเพลง หนังไทยเวลานั่นเสร็จต้องมีเพลงประกอบ ก็ค่อย ๆ พัฒนาตอนเริ่มทำคือหลัง พ.ศ. ๒๕๐๐ เล็กน้อย เข้าสมัยจอมพลสฤษดิ์แล้ว ตอนนั้นผมเข้าพาณิชย์แล้ว เข้าเรียนตั้งตรงจิตรแล้ว บุ๊กกิ้งหรืออะไรต่างๆ ก็เป็นเจ้าหน้าที่หนึ่งคนที่ทำ เราเป็นคนบริหาร เราก็เท่ากับเรียนรู้วิธีการทำงานของเขาจะจัดมาเป็นกรุ๊ปเข้ามาเลย เป็นสายของเขาอยู่แล้ว โรงหนังมีไม่มากครับ มีบางลำพู มีบุศยพรรณ โรงหนังศรีบางลำพูอยู่ทางวัดบวร บุศยพรรณก็อยู่ทางตลาดนานา แล้วก็มาที่นางเลิ้งแล้วก็ไปทางบางกระบือ ไปบางซื่อก็มีหนังหลายเรื่องที่คนมาแย่งตีตั๋วหนังดู แต่จริง ๆ โรงหนังมันจะมีเวที นอนดูบนเวทีเลย ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่าสมัยก่อนสิ่งบันเทิงมันมีจำกัด ทีวีก็ไม่มีต้องคนที่มีฐานะดีถึงจะมีเครื่องรับทีวี สื่อที่ถูกที่สุดคือภาพยนตร์ สมัยก่อนเขาจะมีนักเลงประจำถิ่น ถิ่นใครถิ่นมันอยู่ คือต้องมีชั้นก็เป็นตัวเอ้ในทางถิ่นนี้จะมีฉายาหมดพวกนี้มาจากบางลำพูพวกนี้นางเลิ้งหรืออะไร บางทีพวกนี้มาลองของอยู่ยงคงกระพัน เพราะแต่ก่อนต้องสักยันต์ เราจะเห็นคนโบราณมาสักยันต์หรืออะไรต่าง ๆ มีอะไรก็มาลองของกันบ้างจะเป็นนักเลงหัวลำโพงมากกว่าที่ดังที่มีชื่อสมัยยุคโน้นมันยุคเกชา เปลี่ยนวิถี พวกนั้นนักเลง ถ้าจีบผู้หญิงมันเป็นอีกเรื่องคือ แม่ค้าที่นี่ขายของต้องแต่งตัวสวยเป็นเอกลักษณ์ที่คนจะต้องมาซื้อของ สินค้าจะขายได้ไม่ได้แม่ค้าจะออกมาขายของต้องแต่งตัวสวย แม้กระทั่งขายขนมหวานอะไรต่าง ๆ พอตกเย็นต้องแต่งตัวสวย พอลูกค้ามาแล้ว เรียกว่าแต่งตัวแข่งกันเลยล่ะ ร้านค้านี่ต้องแต่งตัวแข่งกัน สนุกนะ พูดถึงแล้วก็สนุกขนมหวานจะขายตรงนี้ออกไปทางซอย ออกทางเส้นคลองผดุงกรุงเกษม มันจะเป็นช่วง ๆๆ ดักลูกค้า หน้าโรงหนังเป็นร้านค้าร้านขายอาหาร ตกเย็นคนก็มาจับจ่ายใช้สอยกัน ผมเทียบให้เหมือนหมู่บ้านชานเมือง ทางหมู่บ้านชานเมืองที่มีร้านค้า คนเดินขวักไขว่ ลักษณะเหมือนกันลูกค้าที่ไกล ๆ เมืองเลยก็มี คือตรงนี้ถ้าเราบอกว่า ถ้าถามอย่างนี้มันทำให้ผมนึกถึงแต่ก่อนที่ตรงนี้ที่มันรุ่งเรืองเพราะว่าส่วนหนึ่งเพราะมีทั้งกรรมกรคนจีนเป็นพวกจับกัง คำว่าจับกังคือที่มาแบกหามอะไรต่าง ๆ แล้วก็มากินใช้ตรงนี้ คนจีนแต่ก่อนมาขายโรงงานอย่างนี้บ่อย พอหมดรุ่นคนจีนคนอีสานมา คนอีสานมานี่ใช้จ่ายมาก ได้ง่ายปุ๊บก็ทำให้การสะพัดของเงิน ถ้าพูดถึงแล้วก็ตรงนี้เขาก็รับจ้างแบกของทำอะไรต่าง ๆ เสร็จ กลับมามีเงินจับจ่ายใช้สอย ตรงนี้เหมือนกับสลัมเป็นบ้านเช่า แต่จริง ๆ ก็ทำให้ตรงนี้มีความเจริญเพราะทุกอย่างจะเจริญได้จะได้จากคนหาเช้ากินค่ำมากกว่าพวกเงินเดือน วันนี้เขาได้มาปุ๊บ คนอีสานสมัยก่อนมาจะไม่คำนึงถึงเรื่องอดออมนี่ไม่เลยครับ มีเท่าไหร่ใช้หมด โรงหนังรูปแบบนี้มันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่ก่อนตรงนี้เป็นโรงที่ไม่ได้ปรับปรุงอะไรเลย แล้วเราก็มาปรับปรุงแค่ที่เราทำได้นอกจากสำนักงานทรัพย์สินฯ แล้วมีคนอื่นมาเช่าก่อนหน้าแต่ว่าทำไม่ไหวค่าใช้จ่ายเขาอาจจะสูง แต่อาศัยว่าเราทำในครอบครัวค่าใช้จ่ายมันอาจจะถูกลงแล้วเราก็ขายของอยู่ตรงนี้ด้วย ประมาณช่วง ๒๕๒๐ กว่า ๆ ตลาดยังอยู่แต่โรงหนังไปก่อน เพราะวิดีโอเข้า ผมไปทำสายอยู่ที่ภาคตะวันออก ทำสายหนังอยู่พอดีในช่วงที่โรงหนังมันลง เราก็มองดูว่าถ้าเราอยู่อย่างนี้เราตาย ก็ปรึกษาแม่บ้าน เราไปทำสวนกันดีกว่า เรามองดูว่าอาชีพจัดสวนการเกษตรมันคงจะยั่งยืน ก็เข้าไปทำสวนที่ระยอง อำเภอแกลง ที่ผมกลับมากรุงเทพฯ ก็เพราะเรากลับมามองดูบ้านเราและท้องถิ่นมันไม่มีอะไรดีขึ้นเลย พอดีมีเด็กเขาชวนว่ามาช่วยกันหน่อยที่นี่ก็เลยเข้ามาทำงานชุมนุมเกือบ ๓ ปีแล้ว แต่ผมไป ๆ มา ๆ อยู่ครับบ้านอยู่ที่นี่ คุณพ่อคุณแม่ก็ยังอยู่ที่สร้างบ้านหลังนี้ก็จะสร้างบ้านให้แม่อยู่ก็พอดีเสียชีวิตไปก่อนบ้านเพิ่งเสร็จครับ แต่ก่อนเป็นบ้านไม้ อายุ ๙๐ กว่าปีก่อนเสีย อยู่ที่บ้านนี้ตลอดและไม่ได้ค้าขายมีคนดูแลอยู่ ทุกคนก็อยากมีที่เป็นของตัวเอง ที่ตรงนี้คือที่ของสำนักงานทรัพย์สินฯ หมด ผมคิดว่าผมอยู่ที่นี่ เติบโตมาได้รับความอบอุ่นพอสมควรจากสำนักงานทรัพย์สินฯ อยู่กับสำนักงานทรัพย์สินฯ คงไม่มีใครมารังแก ถึงตกลงปลงใจที่จะลงทุนทำบ้านปลูกเองครับ พื้นที่ตรงนี้เช่าที่ไม่ได้เช่าตัวอาคาร พูดได้ว่าเป็นครอบครัวที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจของนางเลิ้งก็มีหลายครอบครัว บางทีเขาก็ไปตั้งรกรากที่ดีกว่านี้มีทำแท็กซี่ไปทำอะพาร์ตเมนต์ให้เช่าก็มี ที่เขาอยู่ประสบความสำเร็จที่นี่ คนอยู่ที่นี่แล้วไปร่ำรวยที่อื่นเยอะ ที่นี่มันมีทุกอย่างทั้งการพนันและอะไรมีคนทุกรูปแบบ ผมอยากทำงานที่คืนให้สังคมเพราะส่วนหนึ่งมองว่าตั้งแต่เราเด็ก เราเคยเห็นคนในท้องถิ่น ชีวิตเขาเป็นยังไง แล้วมาถึงสภาพตอนนี้ แล้วได้เคยไปดูแถวเวียดนามอะไรต่าง ๆ ความเป็นเอกภาพตรงนี้บ้านเราก็ทำได้ทำไมเราไม่ทำแล้วถ้าเราไม่มาหยิบยื่นให้เขาอีกหน่อยก็ไม่มีอะไรเหลือ ผมเคยนั่งคิดคนเดียว ทำยังไงให้ตรงนี้เขาอยู่แบบมีความยั่งยืน ให้เขารู้จักหวงแหนในท้องถิ่น เพราะสมัยแต่ก่อนเด็ก ๆ ริมถนนมีร้านค้าต่าง ๆ ครบหมดทุกอย่าง สมัยก่อนมีห้างพระจันทร์โอสถยาแก้ปวดฟันจุลโมกข์ บริษัทเทวกรรมโอสถ ตรงนี้เป็นที่รวบรวมอะไรต่าง ๆ แล้วทำยังไงเราจะดึงโครงสร้างอะไรต่าง ๆ ย้อนยุคกลับมาได้ มันก็ดี มันเป็นการค้าขายที่เรานั่น เราก็ต้องมองถึงถ้าคนในท้องถิ่นเขาบอกอยู่ที่นี่เขามีความมั่นคงก็เป็นการทำให้ท้องถิ่นอยู่แบบยั่งยืน ที่คิด ๆ อย่างนี้นะ ผมพอแล้วตรงนี้ ถ้าเรามาหยิบยื่นให้เขาจะเป็นยังไง ปัญหาคือคนส่วนใหญ่คิดว่า ธุระไม่ใช่เรายังต้องคิดว่าจะสร้างจิตสำนึกเขายังไง ให้เขารู้จักคุณค่า ผมเสียดายเงินที่พวกผู้นำท้องถิ่น ตัวแทนชุมชนไปเที่ยวไปดูงานต่าง ๆ ไปก็เพื่อไปหาเสียง แต่ไม่เคยมาหยิบยื่นชี้แนะว่าอย่างนี้ในท้องถิ่นเรา ถ้าเราพัฒนาตรงนี้ได้ ก็ต้องเริ่มจากตัวเราก่อน ถ้าเราทำขึ้นมาแล้วถ้าเผื่อมีแนวร่วมอะไรดี ๆ คู่คิดดี ๆ ก็พยายาม กำลังคิดอยู่ ผมไม่ได้มายึดติดอะไรตรงนี้ ผมได้ยินได้ฟังจากเพื่อน ๆ ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ เขาว่าถ้าการทำงานถ้าไปถึง ๓ เจนเนอเรชั่นด้วยกัน มีผู้สูงอายุ ระดับกลาง และระดับเด็ก คือคล้าย ๆ ให้เขาได้ซึมซับว่าแล้วจะไปต่อยอดให้เป็นบ้านเราได้ คนเก่า ๆ เขาก็พูดว่าเข้ามาแล้วก็มีแต่คนมาค่อนขอดเหมือนกัน บางทีถามว่าคนที่เข้ามาวัตถุประสงค์เพื่ออะไร เพราะบางอย่างการทำงานอาจจะมายึดโยงกับประโยชน์บางส่วนบางคนเขาก็พูดว่าพรรคพวกเขาบอกอย่าท้อนะ ถ้าท้อแล้วก็หมดแล้วไม่มีอะไรแล้ว เพราะผมก็มองดูว่า ผมไม่ยกยอตัวเองนะ ผมว่าถ้ารุ่นผมไม่มาอยู่ที่นี่เรื่องเล่าหรืออะไรต่าง ๆ ก็ไม่มีอะไรเหลือ ทำยังไงจะปลูกจิตสำนึกเขา ก็พยายามสนับสนุนคนบางส่วนที่เขามีใจตรงนี้ แต่เราต้องเป็นผู้ให้อย่างเดียวนะอย่าเป็นผู้รับ คือต้องสนับสนุนเขาจนเขาเกิดแรงก่อนบางทีก็ต้องเป็นความรู้บ้าง เงินทองบ้างที่มันขาดตรงนี้ที่จะสนับสนุน แล้วก็ต้องให้กำลังใจเขา ต้องชี้เราสนับสนุนเขาเสร็จต้องชี้ว่ามันจะเป็นยังไง ยกตัวอย่างบางคนแดดร้อน อยากเรียนเรื่องโซลาร์เซลล์ บอกคุณเรียนไม่ได้ คุณยังไม่มีพื้นฐานไฟฟ้า ก้าวกระโดดไปทำอะไรไม่ได้เดี๋ยวก็ตัน เรียนพื้นฐานโครงสร้างไฟฟ้าก่อน รู้จากตรงนี้เสร็จคุณถึงมาต่อยอดตรงนี้ได้ สิ่งแวดล้อมเหมือนกัน เราก็มองดูว่า สิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยสำคัญในเรื่องสาธารณสุขของสิ่งแวดล้อมไม่ดีสุขอนามัยของคนจะไม่ดี ก็เริ่มมาทำเรื่องของการกำจัดแยกขยะอะไรต่าง ๆ ค่อนข้างยากเคยเห็นมาหลายรุ่นแล้ว แต่ก็ต้องเป็นงานที่ท้าทายที่ต้องทำ แต่เราจะไปทำแบบหักดิบเลยไม่ได้ ต้องค่อย ๆ ก็ค่อย ๆ ทำไป ทุกอย่าง ส่วนหนึ่งเราทำงานตรงนี้ผลงานมันก็เกิดขึ้นมา เราได้เงิน SML มาแล้วเราก็มาทำ เป็นเรื่องของเสียงตามสาย ในเรื่องกล้อง CCTV ก็ทำให้เห็นเป็นรูปธรรมขึ้นบางอย่างมันต้องใช้เวลานิดนึง เราไปทำแบบหักด้ามพร้าด้วยเข่าไม่ได้ ต้องใช้เวลา เราไม่ได้โกหกตัวเอง เราทำงานไม่เต็มร้อยเพราะว่าส่วนหนึ่งจะต้องคิดถึงปากท้องเราด้วย ส่วนหนึ่งให้กับสังคมแต่ส่วนหนึ่งต้องให้กับครอบครัว มีลูกที่มารับงานต่อจากบริษัทที่ทำไว้แต่เขาก็ไม่เข้าใจในเรื่องโครงสร้างออกแบบผลิตภัณฑ์ เพราะเราเรียนรู้มาเองผมทำอะไรผมเรียนรู้ของผม คิดว่าเรื่องสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้ดูโดดเด่นคิดว่าจะทำเพราะถ้าดีขึ้นมาอะไรก็ตามมา เรื่องท่องเที่ยวก็ต้องให้เขาค่อย ๆ เรียนรู้ คือมองให้เห็นว่าจุดเด่นจุดด้อยมันอยู่ตรงไหน คือตรงนี้ค่อนข้างหนักใจเรื่องท่องเที่ยวตรงนี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่เขาจะค้าขายอยู่ได้หรือไม่ได้ คือการท่องเที่ยว แต่ต้องให้เขามองดูว่าถ้าเขาทำอย่างนี้เขาจะอยู่แบบยั่งยืน ก็ยังคิดอยู่ ได้สัมผัสกับคนขายน้ำเต้าหู้ตอนเย็น ได้คุย ว่าวันธรรมดาเขาขายดี แต่เสาร์อาทิตย์เขาเหลือเบอะบะเลย ในลักษณะอย่างนี้ก็มี เลยยังมองดูว่า เออ ถ้าเรามีเงินส่วนหนึ่งที่จะมาสำารอง แต่เราไม่ได้ให้เปล่า คล้าย ๆ ขาดทุนตรงนี้ยังพอกู้ยืมได้ แต่คุณต้องใช้เพื่อให้ค้าขายได้ ทีนี้มาที่นางเลิ้งไม่มีที่จอดรถ การคมนาคมไม่สะดวกก็มีปัจจัยหลายอย่าง แต่ทีนี้ก็ต้องมองดูว่า ทางราชการมีโครงสร้างอะไรที่จะมาเชื่อมโยงกันได้ให้เขามั่นใจว่าถ้าเขาทำแล้วเขาถามได้เราก็มาคิดว่าเราก็มีของดีนะในตลาด ศาลกรมหลวงชุมพร มารื้อฟื้นคุณผิดหวังจากตลาดแต่คุณก็ยังได้มากราบไหว้เสด็จเตี่ยหรืออะไรก็คิดหลายมุมไม่ได้คิดมุมเดียว คือการท่องเที่ยวผมไม่แฮปปี้กับเขาเลย คือเขาจะจัดทริปมาแต่ละทริปก็ต้องแจ้งว่าคุณจะมีกิจกรรมอะไร คุณจะมาโปรโมตมีคูปองหรืออะไรต้องติดต่อเรา เราเป็นคนจัดการกับแม่ค้า มาไม่มาก็ไม่รู้แล้ว ไม่ได้ติดต่อมาเลยคุณจะจัดอะไร คุณบอกเรา เราเสริมคุณได้ ว่าทางชุมชนอาจมาต้อนรับ เวลาเขาเข้ามาแล้วมันเกิดความอบอุ่นมาถึงท้องถิ่น ไม่ใช่จัดแล้วขอให้มาแล้วผ่านไปเราพยายามทำหลายอย่างไม่ใช่ว่าเราไม่ทำ ไม่ใช่ว่าเราต้องได้ประโยชน์ เราทำเพื่อให้ภาพรวม ถ้ามาแล้วมาได้รับการต้อนรับอะไรอย่างนี้ก็เป็นการโฆษณาที่ดีที่สุด ความมุ่งหวังที่กลับมาเพื่อจะพัฒนาให้ตลาดนางเลิ้งอยู่แบบยั่งยืนก็มองดูว่าตรงนี้คือโอกาส เรามีของดีอยู่ ไปดูที่อื่นเขาไม่เด่นอะไรเขายังทำหรูหราเลย แต่ตรงนี้เรามีอยู่แล้วเพียงแต่มาจัดให้ดีเราไปได้สบายเลย ปัญหาสำคัญที่สุดของตลาดนางเลิ้ง คือไม่มีความร่วมมือคือประโยชน์ไม่มี แต่เขายังมองไม่ออกว่าผลประโยชน์จะมีถ้ามันโตแล้ว มันดีกว่ากันเยอะเลย แต่ว่าตรงนี้เหมือนปลูกต้นไม้ ต้องรดน้ำพรวนดินให้ก่อน เขาจะปรับปรุงโรงหนังเขาพูดอย่างนี้อยู่แล้วว่าจะให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมเพราะว่าเวลานี้ในตลาดส่วนหนึ่งชุมชนมาช่วยตลาดในเรื่องการจัดการ เรื่องความสะอาด หรือสิ่งแวดล้อมคือเจ้าหน้าที่กับคนในท้องถิ่นใครมีจิตสำนึกดีกว่ากัน คือยังขาดความเชื่อมั่นพยายามจะให้เขาคิดว่าไอ้ที่เขาอยู่แล้วที่พ่อค้าแม่ค้าให้เขามองว่าตัวเขามีคุณค่าในอาชีพเขา ถ้าคุณอยู่คุณทำตรงนี้ได้ คุณจะอยู่จนสืบทอดเจตนารมณ์ลูกหลานได้อีกที่จะอยู่แบบยั่งยืนไม่ต้องทำอาชีพอื่นเลย วัดแคเขาก็ไปอีกรูปแบบหนึ่งนะ ก็คุยกับทางวัดแคอยู่ว่าอะไรต่าง ๆ คุณอย่าไปทำคนเดียว คุณทำกิจกรรมรู้คนเดียวแต่เป้าหมายก็คือตลาดแต่ก่อนที่นี่เสียคือทางชุมชนไม่ได้ให้ความสำคัญกับโลกภายนอกเลย แต่เรามองเข้ามามองเห็นว่าต้องมีโลกภายนอกเข้ามาร่วมกับเรา เราถึงจะออกมีทางออกได้ น่าเสียดายตอนนั้นที่เราทำการเปิดตลาดใหม่ ๆ ผมไม่ได้เข้ามา ไม่มีการจัดการต่อเนื่อง ถ้าทำการจัดการต่อเนื่องป่านนี้ติด เหมือนโรงหนังคุณต้องโฆษณาตลอดจัดกิจกรรมตลอดเพราะโรงหนังสอนผมไว้ ต้องแอคทีฟตลอด หนังใหม่มา คอนเซปต์เป็นไง คนอยากดูไหมโรงหนังสอนผมไว้เยอะ.... วลัยลักษณ์ ทรงศิริ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ความเจ็บปวดที่ชุมชนป้อมมหากาฬ "เมืองประวัติศาสตร์ต้องมีชุมชน"
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2559 วัดราชนัดดารามฯ พ.ศ. ๒๔๖๓ และ ๒๕๑๑ ตามลำดับ Image Source: Kanno Rikio, Japan, จากเพจ https://www.facebook.com/77PPP หลังจากเงี่ยหูฟังมาโดยตลอดของยุคสมัยที่มีกฎหมายสูงสุดกลายเป็นมาตรา ๔๔ และรัฐธรรมนูญทั้งฉบับกำลังถูกร่างแล้วร่างเล่าและยังไม่เห็นภาพของกฎหมายสูงสุดของประเทศที่จะทำให้ชีวิตวัฒนธรรมของชาวไทยดำเนินไปอย่างสันติสุขเสียที หลังจากกรุงเทพมหานครเริ่มไล่รื้อย่านตลาดเก่าและตลาดใหม่ ที่ทำมาหากินของชาวบ้านชาวเมืองไปแทบจะหมดเพื่อพัฒนาพื้นที่ตามเกณฑ์การจัดระเบียบพื้นที่ต่าง ๆ ก็มาถึงลำดับการไล่รื้อชุมชนป้อมมหากาฬ งานสำคัญที่ยังทำไม่เสร็จตลอดระยะเวลาเข้าปีที่ ๒๔ แล้ว แม้ปัญหาจะยืดเยื้อเปลี่ยนแปลงผู้รับผิดชอบมามากมายจนแทบจะไม่รู้จุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุดของปัญหาการไล่รื้อชุมชนที่นับวันจะกลายเป็นนโยบายแสนจะล้าหลังไปแล้วว่า ควรมีกระบวนการแก้ปัญหาที่ใดหรือทำอย่างไรจะไม่ให้เกิดความเสียหายต่อทั้งกระบวนการพัฒนาพื้นที่ย่านเมืองเก่า การท่องเที่ยวเมืองประวัติศาสตร์ และทำลายภาพลักษณ์ของประเทศด้วยความรุนแรงในการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมมากไปกว่านี้ รู้จัก "ตรอกพระยาเพชรฯ" และความเป็นชุมชนย่านชานพระนคร เมื่อผู้สื่อข่าวไปถามผู้อำนวยการท่านหนึ่งของกรุงเทพมหานครถึงเรื่องการไล่รื้อชุมชนที่อาจเสี่ยงต่อการหายไปของชุมชนเก่าแก่ภายในย่านของกรุงเทพมหานคร ท่านให้คำตอบกลับมาว่า บริเวณชุมชนที่ใกล้ กับป้อมมหากาฬนั้นไม่มีรากเหง้าหลงเหลืออีกแล้ว หากจะมีก็ต้องให้เห็นภาพประจักษ์ดังเช่น "บ้านสาย" ที่เคยถักสายรัดประคดแต่เลิกไปหลายปีแล้วเพราะไม่มีผู้ทำ แต่บริเวณนั้นเป็นพื้นที่ของเอกชนที่ลูกหลานได้รับพระราชทานที่ดินจากพระมหากษัตริย์ในการเป็นผู้บูรณะวัดเทพธิดารามฯ หรือต้องเห็นคนนั่งตีบาตรแบบ "บ้านบาตร" ย่านตีบาตรพระมาตั้งแต่เริ่มสร้างกรุงฯ และปัจจุบันยังมีผู้สืบทอดการตีบาตร คนบ้านบาตรต่อสู้กับโรงงานปั๊มบาตรราคาถูกด้วยตนเอง ไม่มีหน่วยงานใดไปช่วยเหลือ ทุกวันนี้ยังตีบาตรกันอยู่ ๓-๔ รายด้วยลมหายใจรวยริน และแน่นอนพื้นที่นั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งกรุงเทพมหานครไม่มีส่วนได้เสียหรือรับผิดชอบร่วมจัดการให้คนอยู่กับย่านเก่าแต่อย่างไร บรรยากาศภายในชุมชนป้อมมหากาฬในปัจจุบัน จะให้เข้าใจกันมากกว่านี้ ต้องขอส่งผ่านความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเมืองกรุงเทพมหานครในบริเวณที่เป็นเมืองกรุงเทพฯ แต่แรกเริ่มในพื้นที่ย่านประวัติศาสตร์ กรุงเทพมหานครเป็น “ เมืองประวัติศาสตร์” แห่งหนึ่งที่ยังมีชีวิต [Living Historic City] ซึ่งแม้จะมีร่องรอยกลิ่นอายชุมชนย่านเก่าแก่ทั้งหลายอยู่ แต่ดูเหมือนจะไม่มีการศึกษาหรือกล่าวถึงเป็นชิ้นเป็นอันที่เป็นการศึกษาจากภายใน ชุมชนที่ยังมีชีวิตเหล่านี้ต่างเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยที่กรุงเทพฯ ได้เปลี่ยนแปลงมากว่า ๒๐๐ ปี จากเมืองตามขนบจารีตแบบเมืองโบราณในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั่วไป มาเป็นเมืองในแบบสมัยใหม่ตั้งแต่เมื่อราวรัชกาลที่ 4 ลงมา และปรับเปลี่ยนไปมากเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ราชสำนักที่เคยอุปถัมภ์งานช่างงานฝีมือ การมหรสพต่างๆ ของผู้คนรอบพระนครก็เปลี่ยนแปลงไป จนต้องมีการผลิตและค้าขายด้วยตนเอง ซึ่งก็มักต้องพบกับทางตัน และทำให้งานช่างฝีมือเหล่านี้ที่ไม่ได้รับการเอื้อเฟื้อจากราชสำนักขุนนาง คหบดีอีกต่อไปแล้วถึงแก่กาลจนแทบจะหายไปหมดสิ้น จากย่านสำคัญต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ เหลือไว้แต่เพียงผู้สูงอายุที่เคยทันงานช่างต่าง ๆ และคำบอกเล่าสืบต่อกันมา นอกกำแพงเมืองส่วนที่ต่อกับคูคลองเมืองนั้นเรียกว่า “ชานพระนคร” เป็นพื้นที่ซึ่งเคยนิยมอยู่อาศัยเป็นธรรมเนียมปกติ สืบทอดกันมาตามขนบชุมชนแบบโบราณตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ต่อกับกรุงรัตนโกสินทร์ เพราะเป็นเมืองริมนำ้และเมืองลอยน้ำที่มีการคมนาคมและซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าโดยใช้เรือเป็นพาหนะผู้คนจึงนิยมอาศัยทั้งบนเรือ ในแพ และบ้านริมน้ำมากกว่าบริเวณพื้นที่ภายในที่ต้องใช้การเดินบนบก บริเวณ "ชานพระนคร" ด้านหน้ากำแพงเมืองใกล้ป้อมมหากาฬมาจนจรดริมคลองหลอดวัดราชนัดดาเป็นที่อยู่อาศัยของข้าราชการ และชาวบ้านมาหลายยุคสมัยมีการปลูกสร้างอาคารเป็นแนวยาวตลอดตั้งแต่สะพานผ่านฟ้าลีลาศจรดแนวคูคลองวัดเทพธิดารามในปัจจุบัน ในบุคตั้งแต่ราวครั้งรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา บริเวณนี้ผู้คนเรียกกันว่า "ตรอกพระยาเพชรฯ" ชุมชนป้อมมหากาฬ พ.ศ. ๒๕๑๕ ช่างภาพ Nick DeWolf, Image Source: Steve Lundeen, Nick DeWolf Photo Archive, United States, จากเพจ https://www.facebook.com/77PPP ชุมชนป้อมมหากาฬ พ.ศ. ๒๕๑๕ ช่างภาพ Nick DeWolf, Image Source: Steve Lundeen, Nick DeWolf Photo Archive, United States, จากเพจ https://www.facebook.com/77PPP "ตรอกพระยาเพชรฯ" เคยเป็นนิวาสสถานของพระยาเพชรปาณี (ตรี) ข้าราชการกระทรวงวังและเป็นชาวปี่พาทย์โขนละครเป็นแหล่งกำเนิดลิเกทรงเครื่อง สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเขียนถึงสมเด็จกรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ใน "สาส์นสมเด็จ" ถึงต้นกำเนิดของลิเกว่า อาจจะเป็นพระยาเพชรปาณี (ตรี) ติดตั้งโรงลิเกเก็บค่าดูและเล่นเป็น "วิก" ตามแบบละครเจ้าพระยามหินทรที่มีวิกละครอยู่ที่ท่าเตียน และเล่นเป็นเรื่องต่าง ๆ เหมือนอย่างละครไม่เล่นเป็นชุด โดยเอาดิเกร์แบบชาวมลายูผสมกับละครนอกของชาวบ้านเริ่มเมื่อราว พ.ศ. ๒๔๔๐ ลิเกของพระยาเพชรปาณีเป็นลิเกแบบทรงเครื่องคือส่วนที่เป็นสวดแขกกลายเป็นการออกแขก มีผู้แสดงแต่งกายเลียนแบบชาวมลายูออกมาร้องเพลงอำนวยพร ส่วนที่เป็นชุดออกภาษากลายเป็นละครเต็มรูปแบบ วงรำมะนายังคงใช้บรรเลงตอนออกแขก แต่ใช้ปี่พาทย์บรรเลงในช่วงละคร เดินเรื่องฉับไว เครื่องแต่งกายหรูหราเลียนแบบข้าราชสำนักในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ และเอาใจความชอบแบบชาวบ้าน เพลงรานิเกลิงหรือเพลงลิเกคิดขึ้นโดย นายคอกคิน เสือสง่า ในยุคลิเกทรงเครื่องช่วงรัชกาลที่ ๖ แพร่หลายไปทั่วภาคกลางอย่างรวดเร็ว มีวิกลิเกเกิดขึ้นทั้งในพระนครและต่างจังหวัดนำเนื้อเรื่องและขนบธรรมเนียมของละครรำมาใช้ แต่เมื่อเกิดสงครามโลกครั้ง ๒ มีความขาดแคลนไปทั่ว ลิเกทรงเครื่องก็หมดไป วงรำมะนาที่ใช้กับการออกแขกก็เปลี่ยนไปใช้วงปี่พาทย์แทน ต่อมานายหอมหวล นาคศิริ ได้นำเพลงรานิเกลิงไปร้องด้นกลอนสดดัดแปลงแบบลำตัดทำให้เป็นที่นิยมจนมีชื่อเสียงและมีลูกศิษย์มากมาย วิกลิเกที่โด่งดังมาตลอดยุคสมัยของความนิยมในมหรสพชนิดนี้คือ "วิกเมรุปูน" ซึ่งอยู่ทางฝั่งวัดสระเกศฯ และไม่ไกลจากวิกลิเกดั้งเดิมของพระยา เพชรปาณี ที่ใกล้ป้อมมหากาฬ ตัวอย่างร่องรอยของผู้คนที่เกี่ยวเนื่องในการแสดงมหรสพลิเกในย่านตรอกพระยาเพชรฯ คือสถานที่ผลิตเครื่องดนตรีไทย ตั้งเสียงระนาด และขุดกลองคุณภาพดีในช่วงรัชกาลที่ ๖ ที่ควรจดจำคือ นายอู๋และนางบุญส่ง ไม่เสื่อมสุข ที่เป็นผู้สร้างกลองเป็นพุทธบูชาในหลายวัดและที่สำคัญคือ กลองที่ “ศาลเจ้าพ่อหอกลอง” กรมการรักษาดินแดน ข้างกระทรวงมหาดไทย บ้านของนายอู๋และนางบุญส่ง ไม่เสื่อมสุข สืบทอดมาจากบิดาอีกทอดหนึ่ง และท่านทั้งคู่เป็นตาและยายของ คุณธวัชชัย วรมหาคุณ ผู้นำชุมชนป้อมมหากาฬ ผู้ซึ่งอายุห้าสิบกว่าปีแล้ว ดังนั้น บ้านหลังนี้จึงอยู่อาศัยสืบทอดตกกันมาไม่ต่ำกว่าในยุครัชกาลที่ ๕ หรือน่าจะใกล้เคียง ซึ่งควรจะมีรากเหง้าอยู่อาศัยมาไม่ต่ำกว่าร้อยปีแล้ว พื้นที่ดังกล่าวของบ้านเรือนในป้อมมหากาฬมีเจ้าของที่ดินหลายโฉนดหลายแปลงทั้งของเอกชนและของวัดราชนัดดาฯ เมื่อต้องถูกพระราชบัญญัติเวนคืนที่ดินเพื่อใช้สำหรับสร้างสวนสาธารณะให้กับโครงการเกาะรัตนโกสินทร์ ที่ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อครั้งหลังยังมีกรรมการเกาะรัตนโกสินทร์ที่ต้อง “ปรับภูมิทัศน์” พื้นที่ต่าง ๆ ในย่านเมืองประวัติศาสตร์ โดยไม่เห็นความสำคัญของชุมชนที่อยู่อาศัยมาแต่เดิมและคงอยู่ในสภาพทรุดโทรมเพราะติดปัญหาในด้านทุนทรัพย์ซ่อมแซมในรุ่นลูกหลานและเปลี่ยนมือเนื่องจากการย้ายออกไปของกลุ่มตระกูลและการย้ายเข้าของผู้มาใหม่ ซึ่งเป็นปกติของการอยู่อาศัยในย่านเมือง การออกพระราชบัญญัติเวนคืนในยุคดังกล่าวนั้น น่าจะมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาสืบตกทอดมาถึงทุกวันนี้คือ “ไม่ได้ศึกษารอบด้านในเรื่องประวัติศาสตร์สังคมของชุมชนต่างๆ จนละเลยจนกระทั่งถืออภิสิทธิ์ไม่เคารพสิทธิชุมชนหรือกฎเกณฑ์ทางสังคมที่ถือเอากรรมสิทธิ์ทางกฎหมายปัจจุบันเป็นหลักแบบมัดมือชก” เช่นนี้ เป็นที่น่าหดหู่เมื่อเกิดปัญหาการไล่รื้อชุมชน ซึ่งกรุงเทพมหานครให้ข่าวว่าจะกำหนดให้เสร็จสิ้นในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ นี้ โดยไม่ได้เริ่มเจรจากับชุมชนแต่อย่างใด ชุมชนตามธรรมชาติแห่งนี้ไม่สามารถเติบโตหรือสืบทอดการอยู่อาศัยในพื้นที่ชานพระนครได้มานานแล้วเพราะการไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการปกครองของกรุงเทพมหานคร เนื่องจากปัญหาทางกฎหมายจากพระราชบัญญัติเวนคืนและการควบคุมไม่ให้มีผู้คนเพิ่มจากที่มีอยู่เดิม แต่พื้นที่เหล่านี้ยังมีผู้คนที่สืบทอดความทรงจำของคนตรอกพระยาเพชรปราณี วิกลิเกแหล่งมหรสพชานพระนครอยู่ และยังคงสภาพความร่มรื่นชื่นเย็นในบรรยากาศแบบเมืองประวัติศาสตต์ในอดีตที่ยังมีชีวิตชีวา หากกรุงเทพมหานครยังยืนยันว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินจากพระราชบัญญัติเวนคืนที่ศาลปกครองได้ตัดสินไปแล้ว โดยไม่สนใจสิทธิแบบจารีตและสิทธิชุมชนที่ควรจะได้รับการพูดคุยถกเถียงในช่วงเวลาที่การท่องเที่ยวชุมชนและการท่องเที่ยวเมืองประวัติศาสตร์กำลังเป็นที่เข้าใจแก่ผู้คนทั่วไปและเห็นประโยชน์ในการเก็บรักษามรดกวัฒนธรรมทางประวัติศาสตร์ที่มีผู้คนอยู่อาศัยได้จริงและมีชีวิติชีวานั้นไว้ หากจะเหลียวมองดูการทำงานการจัดการกับชุมชนในพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ เช่นเดียวกับที่ทางสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ปรับเปลี่ยนวิธีปฏิบัติต่อชุมชนต่าง ๆ มาเป็นเวลาสักระยะแล้ว เพื่อทำให้ผู้คนสามารถอยู่อาศัยในพื้นที่ประวัติศาสตร์ได้อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีระบบระเบียบและสร้างความเป็นชุมชนด้วยการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์เพื่อดูแลตนเอง ก็จะช่วยให้พื้นที่เหล่านี้ไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปเป็นการสร้างตึก สร้างสนามหญ้าที่ไม่มีจิตวิญญาณหรือบรรยากาศของสภาพความเป็นเมืองประวัติศาสตร์แต่อย่างใด พวกเราสูญเสียสิ่งมีค่าในพระนครเก่าของเราไปแล้วมากมายและไม่สามารถเรียกคืนได้เนิ่นนานแล้ว อย่าปล่อยให้ชาวบ้านที่ย่านป้อมมหากาฬต่อสู้เพียงลำพัง การย้ายออกไปนั้นง่ายดาย แต่หากย้ายไปแล้ว หมดสิ้นสภาพย่านเก่าที่มีชีวิตวัฒนธรรมให้เหลือเพียงความทรงจำในแผ่นป้ายหรือกระดาษนั้น ไม่นับว่าเป็นประโยชน์ต่อแผ่นดินและผู้คนแต่อย่างใด หากมีการไล่รื้อชุมชนป้อมมหากาฬ สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นมรดกแห่งความบอบช้ำและความสูญเสียที่พวกเราต้องรับไม้ต่อแทนชาวชุมชนป้อมมหากาฬ เป็นมรดกแห่งความทุกข์ยากที่ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งมอบไว้ให้ผู้คนในเมืองกรุงเทพฯ และปัญหาอันไม่มีวันจบสิ้นนี้พวกเราทั้งสิ้นต้องเป็นผู้รับผิดชอบร่วมกันสืบต่อไปนานเท่านาน เป็นตราบาปแก่ใจที่ไม่สามารถพูดคุยให้เกิดความก้าวหน้าในการจัดการเมืองประวัติศาสตร์ที่มีปัญหายืดเยื้อยาวนาน จนแทบจะไม่น่าเชื่อว่าเรากำลังสู้ทนในสิ่งเหล่านี้เพื่ออะไร วลัยลักษณ์ ทรงศิริ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- เมื่อนึกถึง คุณเล็ก วิริยะพันธุ์
เผยแพร่ครั้งแรก 20 ก.พ. 2559 คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ปลายปี ค.ศ. ๒๐๐๐ ที่ผ่านมา วารสารเมืองโบราณได้สูญเสียคุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งวารสารเมืองโบราณ และมูลนิธิประไพ วิริยะพันธุ์ไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยอายุ ๘๖ ปี คนทั่วไปรู้จักคุณเล็กแต่เพียงในฐานะเจ้าของบริษัทธนบุรีพานิช ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ อันเป็นรถชั้นนำของโลก กับเป็นผู้สร้างเมืองโบราณ สถานที่ศึกษาประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ แต่ในความเป็นจริงคุณเล็กได้อุทิศทั้งกายใจ และทรัพย์สินเงินทองอันเป็นสมบัติส่วนตัวของท่านและครอบครัว ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ในด้านการศึกษาแก่เยาวชนของชาติอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง หนึ่งในกิจกรรมทั้งหลายแหล่เหล่านี้ก็คือการทำให้มีวารสารเมืองโบราณ ที่มีอายุนับแต่การออกฉบับแรกในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ มาจนถึงทุกวันนี้เป็นเวลา ๒๗ ปี แต่การเป็นวารสารเมืองโบราณในความคิดและความริเริ่มของคุณเล็กนั้น ไม่ได้เป็นเพียงการหาบทความมาจัดพิมพ์ขึ้นในรูปเล่มของวารสารเท่านั้น หากเป็นเรื่องของการลงทุนจัดหาบุคคลที่มีความรู้มาร่วมกันทำงานค้นคว้าหาข้อมูลใหม่ ๆ เสนอให้แก่วงวิชาการเป็นสำคัญ ดังนั้น สิ่งที่ตีพิมพ์ในวารสารเมืองโบราณจึงเป็นข้อมูลและหลักฐานใหม่ ๆ ตลอดจนความคิดเห็นและความรู้ใหม่ ๆ ตลอดเวลา คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ขณะออกสำรวจเพื่อนำข้อมูลไปสร้างเมืองโบราณกับอาจารย์มานิต วัลลิโภดม เหตุที่คุณเล็กให้ความสำคัญต่อการศึกษารวบรวมข้อมูลใหม่ ๆ นั้นมีที่มาจากประสบการณ์ของคุณเล็กในการสร้างเมืองโบราณนั่นเอง คุณเล็กขาดข้อมูลและหลักฐานเป็นอย่างมากในการสร้างสิ่งนั้นสิ่งนี้ในเมืองโบราณ เพราะสิ่งที่มีการบันทึกและค้นคว้ากันไว้ในขณะนั้นส่วนใหญ่เป็นเรื่องการเอาของเก่ามาเล่าใหม่ รวมทั้งผู้รู้ผู้เขียนก็มีอยู่ในแวดวงจำกัด เลยทำให้ต้องออกไปแสวงหาความรู้และข้อมูลด้วยตนเอง ในช่วงสิบปีแรกของการสร้างเมืองโบราณ คุณเล็กต้องเดินทางออกไปตามท้องถิ่นต่าง ๆ เกือบทั่วราชอาณาจักรแทบทุกอาทิตย์ เลยได้เห็นและเข้าใจสถานการณ์ของการศึกษาทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในสังคมไทย ว่าอยู่ในสภาพที่ล้าหลัง เพราะไม่มีการศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลใหม่ๆ มาสร้างเป็นความรู้ให้เหมาะสมกับกาลเวลา ยังคงอาศัยแต่เรื่องเก่า ๆ ความคิดเก่า ๆ มาอธิบายตัวเองและสังคมอยู่ตลอดเวลา คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ที่ปราสาทเขาพระวิหาร ผลที่ตามมาก็คือคนไทยมักมองความเป็นมาของชาติบ้านเมืองในลักษณะที่เป็นภาพนิ่งและหลงตัวเอง โดยเฉพาะความรู้สึกในเรื่องชาตินิยมนั้น ยังถูกจรรโลงอยู่ด้วยความรู้สึกนึกคิดที่เต็มไปด้วยอคติและอวิชชา ในขณะเดียวกัน บรรดาหลักฐานข้อมูลที่ควรแก่การรวบรวมและเรียนรู้ก็ถูกละเลยให้สูญหายไปทุกเมื่อเชื่อวัน เพราะในช่วงเวลาที่เป็นยุคสงครามเย็นนั้น รัฐไม่ให้ความสำคัญในเรื่องอดีตและวัฒนธรรมของผู้คนในสังคมท้องถิ่นแม้แต่น้อย ทุ่มเทการสนับสนุนไปในเรื่องพัฒนาการทางเศรษฐกิจในระบบทุนนิยมจนสุดโต่ง ทุกอย่างมุ่งเน้นไปในเรื่องปัจจุบันและอนาคต และในการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นการสร้างถนนหนทาง การสร้างเขื่อนพลังงานไฟฟ้า และการเปิดพื้นที่ในด้านเกษตรอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรม ซึ่งล้วนแล้วแต่ทำให้หลักฐานข้อมูลทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์สังคมของท้องถิ่นหมดสิ้นไปโดยไม่มีการศึกษารวบรวมไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาแต่อย่างใด ก่อนออกไปศึกษาค้นคว้า คุณเล็กบอกว่า ความรู้เกี่ยวกับอดีตความรุ่งเรืองทางศิลปวัฒนธรรมของเมืองไทยที่คนทั่วไปได้รับรู้นั้น ดูเหมือนมีอยู่เพียงสุโขทัย อยุธยา เชียงใหม่ และกรุงเทพฯ แต่เมื่อได้ออกไปสัมผัสด้วยตนเองแล้ว จึงเห็นว่าความมั่งคั่งและความหลากหลายทางวัฒนธรรมมีอยู่แทบทุกท้องถิ่น จนทำให้ความเป็นไทยที่เห็นจากสุโขทัย อยุธยา และกรุงเทพฯ กลายเป็นเพียงสิ่งสมมติเท่านั้น จึงเกิดความบันดาลใจที่จะรวบรวมหลักฐานและข้อมูลทั้งในด้านศิลปวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ของท้องถิ่น ไว้ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้โดยจัดให้มีการดำเนินการเป็นสองอย่างด้วยกัน คุณเล็กและคุณประไพ วิริยะพันธุ์ เมื่อยังหนุ่มสาว อย่างแรก คือการนำเอาบรรดาสถาปัตยกรรมเครื่องไม้ และวัตถุสิ่งของทางชาติพันธุ์ อันเป็นสิ่งที่ไม่เคยอยู่ในความสนใจที่จะศึกษาและอนุรักษ์ของหน่วยราชการและนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง มารักษาไว้ในเมืองโบราณในลักษณะที่เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ที่สื่อให้ผู้เข้ามาชมได้เห็นด้วยรูปแบบของความเป็นชุมชนมากกว่าการเอามาตั้งแสดงไว้เป็นเพียงสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเฉพาะ เช่นเป็นเรือนไทยแบบนั้นแบบนี้ หรือเป็นของภาคนั้นภาคนี้อย่างที่เขาทำกัน หากสร้างเชื่อมโยงให้เป็นกลุ่มที่มีโครงสร้างเป็นชุมชนทั้งในเมืองและชนบท เช่นบริเวณที่เรียกว่าตลาดบก ตลาดน้ำ และหมู่บ้านภาคเหนือ ที่แลเห็นความสัมพันธ์ทางสังคมและวัฒนธรรมระหว่างบ้านและวัดเป็นต้น อย่างที่สอง คือในส่วนของโบราณวัตถุทางชาติพันธุ์ที่ไม่สามารถนำเอาไปบูรณาการไว้ในกลุ่มอาคารที่เป็นชุมชนดังกล่าวได้ ก็นำมาจัดเก็บและแสดงไว้ในกลุ่มอาคารที่เรียกว่าพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมพื้นบ้าน พิพิธภัณฑ์แห่งนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ทางชาติพันธุ์ของสังคมชาวนาแห่งแรกในเมืองไทยก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าจะมีการนำมรดกทางวัฒนธรรมทั้งหลายแหล่ที่กล่าวมานี้มารักษาไว้ที่เมืองโบราณอย่างที่ไม่มีผู้ใดทำมาก่อนก็ตาม คุณเล็กก็หาได้พอใจและหยุดอยู่เพียงแค่นี้ไม่ เพราะไม่คิดว่าจะเป็นการแพร่หลายให้คนทั่วไป โดยเฉพาะเยาวชน ได้อย่างทั่วถึง รวมทั้งยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ควรมีการศึกษาและรวบรวมข้อมูลอย่างต่อเนื่อง จึงได้จัดตั้งกลุ่มนักวิชาการขึ้นมาดำเนินการสำรวจค้นคว้าและนำผลงานมาเสนอในรูปของ “วารสารเมืองโบราณ” อาจารย์ประยูร อุลุชาฎะ หรือ น ณ ปากน้ำ ศิลปินผู้เป็นกำลังสำคัญสำหรับวารสารเมืองโบราณครั้งก่อตั้ง บุคคลที่คุณเล็กให้ความนับถือและเชื้อเชิญให้เข้ามาเป็นเสาหลักในการดำเนินการก็คือ อาจารย์ประยูร อุลุชาฎะ ผู้ที่ใช้นามปากกาว่า น.ณ ปากน้ำ คุณเล็กรู้จักอาจารย์ประยูรจากข้อเขียนในหนังสือ และเห็นว่าเป็นผู้ที่มีความรู้และมีประสบการณ์จากความเป็นจริง ดีกว่านักวิชาการที่ทางราชการและวงวิชาการในระดับมหาวิทยาลัยในขณะนั้นยกย่อง โดยกล่าวว่าอาจารย์ประยูรเขียนหนังสือง่าย ๆ คนธรรมดาอย่างท่านอ่านรู้เรื่องและเข้าถึงความเป็นจริงได้ ต่างจากนักวิชาการที่มีชื่อเสียงที่มักเขียนอะไรเต็มไปด้วยแนวคิดทฤษฏีที่อ่านและฟังแล้วตามไม่ทัน ไม่รู้เรื่อง จนทำให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นเรื่อง “รู้น้อยรู้มาก” ไป โดยคุณเล็กมีคำอธิบายจากสุภาษิตโบราณว่า คนที่ไม่รู้และบอกว่าไม่รู้นั้นเป็นคนซื่อสัตย์ น่านับถือ ส่วนคนที่ไม่รู้และบอกว่ารู้นั้นยังไม่สู้กระไร พอจับได้ว่าไม่รู้ในที่สุด แต่คนที่รู้น้อยแล้วบอกว่ารู้มากนั้นอันตราย เพราะจับไม่ได้ แต่สามารถทำให้เกิดการหลงผิดได้ง่าย คนประเภทหลังนี้มีอยู่มากมายในสังคมไทย การที่คนรู้น้อยรู้มากมีมากมายในสังคมไทยนั้น ก็เพราะเป็นผลผลิตของรัฐในยุคสงครามเย็น การพัฒนาประเทศตามแบบอย่างตะวันตกอย่างผิวเผิน และเน้นความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ การศึกษา นิติศาสตร์ ตลอดจนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้น ทำให้คนไทยรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะพวกที่เป็นข้าราชการของรัฐ มองโลกในลักษณะที่คับแคบ และขาดความรู้ในเรื่องของความเป็นมนุษย์ ที่อาจเรียนรู้ได้จากเรื่องราวทางประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรม ผลที่ตามมาจนถึงขณะนี้ก็คือ พวกข้าราชการและนักวิชาการของรัฐส่วนใหญ่มีความรู้และความเข้าใจแต่เพียงเรื่องของวัฒนธรรมหลวงที่หยุดนิ่ง และมักนำมาอ้างอิงในการดำเนินการที่ใช้อำนาจในครรลองทางนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์เป็นสำคัญ หามีความเข้าใจในเรื่องชีวิตวัฒนธรรมที่หลากหลาย อันเป็นเรื่องของวัฒนธรรมราษฎร์ไม่ คนรู้น้อยรู้มากเหล่านี้แหละที่ทำให้รัฐกับสังคมมีช่องว่าง ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อันเป็นการนำมาซึ่งการมีรัฐ ทรราชย์อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เหตุนี้อาจารย์ประยูรจึงได้เข้ามาเป็นผู้นำในการสำรวจค้นคว้าและเสนอผลงานในวารสารเมืองโบราณในลักษณะที่เป็นการดำเนินงานแบบกู้ข้อมูลทางด้านศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นมาอย่างสม่ำเสมอในช่วงเวลากว่า ๒๐ ปี เพื่อเผยแพร่สิ่งที่ปัจจุบันได้สูญหายไปในยุคพัฒนาทางเศรษฐกิจ ให้คนทั่วไปในยุคปัจจุบันและอนาคตได้รับรู้ อาจารย์ประยูรทุ่มเททั้งกำลังกายและใจในการดำเนินงานร่วมกับคณะทำงาน ซึ่งได้แสดงออกมาทั้งในการเสนอบทความเป็นประจำ และการให้ข้อคิดเห็น ตลอดจนการชี้แนะในเรื่องที่เป็นประโยชน์ อาจารย์ประยูร ขณะออกไปถ่ายภาพสำรวจ เพื่อรวบรวมข้อมูลเพื่อจัดทำวารสารเมืองโบราณในยุคแรกเริ่ม สิ่งที่เป็นผลงานที่ล้ำค่าของอาจารย์ประยูรก็คือ การถ่ายภาพโบราณสถานและชีวิตวัฒนธรรมของผู้คนในท้องถิ่นต่างๆ เกือบทุกภูมิภาค ที่ส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่มีอีกแล้ว ไว้ให้เป็นมรดกของสังคม ภาพเหล่านี้ปัจจุบันอยู่ในการดูแลของมูลนิธิประไพ วิริยะพันธุ์ บัดนี้ ผู้ใหญ่ทั้งสอง คือคุณเล็ก วิริยะพันธุ์ และอาจารย์ประยูร อุลุชาฎะ ได้ล่วงลับไปแล้วในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน นับเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ของพวกเราที่อยู่ในคณะผู้จัดทำวารสารเมืองโบราณ แต่เจตนารมณ์ของท่านทั้งสองยังคงดำเนินอยู่อย่างสืบเนื่อง และจะงอกงามต่อไปในรูปของ มูลนิธิเล็ก–ประไพ วิริยะพันธุ์ ศรีศักร วัลลิโภดม : บทบรรณาธิการวารสารเมืองโบราณ ปีที่ ๒๗ ฉบับที่ ๑ (มกราคม-มีนาคม ๒๕๔๔)
- ดงแม่นางเมือง : การสำรวจของอาจารย์มานิต วัลลิโภดม เมื่อพ.ศ. ๒๕๐๖
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2558 ‘ดงแม่นางเมือง’ เป็นแหล่งโบราณคดีสำคัญแห่งหนึ่งในจังหวัดนครสวรรค์ ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำปิงทางทิศตะวันตกกับแม่น้ำยมและแม่น้ำน่านทางทิศตะวันออก ในพื้นที่รอยต่อของตำบลบรรพตพิสัย ตำบลตาสัง และตำบลเจริญผล ในอำเภอบรรพตพิสัย เป็นเมืองโบราณรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด ๕๐๐x๖๐๐ เมตร มีคลองคดซึ่งมีต้นกำเนิดจากเขากะล่อนที่อยู่ในอำเภอขาณุวรลักษบุรี จังหวัดกำแพงเพชร ไหลผ่านตัวเมืองทางด้านเหนือมาลงคลองตะเคียนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนไปออกแม่น้ำเกรียงไกรหรือแม่น้ำเชิงไกรในอดีต แล้วจึงไหลไปบรรจบกับแม่น้ำน่านที่อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ เมืองโบราณดงแม่นางเมืองจึงอยู่ในภูมินิเวศของลุ่มน้ำเกรียงไกร-น่านตอนปลาย ที่มีลำน้ำ หนองบึง มาบ เช่น หนองปลาไหลมาบมะขาม คลองคด รวมทั้งเขากะล่อนเป็นองค์ประกอบหลัก ปัจจุบันสภาพพื้นที่ของอาณาบริเวณเมืองโบราณแห่งนี้เป็นท้องไร่ท้องนาสลับกับทุ่งร้างและป่าละเมาะ จากซากโบราณสถานและโบราณวัตถุที่ขุดพบบ่งบอกว่า เมืองโบราณแห่งนี้มีการตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย ต่อเนื่องมาจนถึงสมัยทวารวดีและสมัยลพบุรีตอนต้นราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๘ ดังปรากฏหลักฐานที่พระสถูปที่เพิ่งขุดพบใหม่ เป็นพระสถูปสมัยทวารวดี และใต้ฐานพระสถูปไม่ลึกนัก พบโครงกระดูกจำนวนมากฝังอยู่ในท่านอนหงายเหยียดยาวและท่านอนหันข้างงอเข่า อันเป็นวัฒนธรรมยุคก่อนประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ยังพบพระพุทธรูปและพระพิมพ์สมัยทวารวดีตอนปลายต่อสมัยลพบุรี ไหขอม เครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ซุ้ง ที่สำคัญคือบริเวณนี้เคยพบจารึกหินชนวนเขียนด้วยอักษรอินเดียและขอม ซึ่งกรมศิลปากรกำหนดให้เป็นจารึกหลักที่ ๓๕ ระบุนามเมืองแห่งนี้ว่า “ธานยปุระ” อีกทั้งกล่าวถึง กษัตริย์ศรีธรรมาโศกราช (องค์ที่ ๒) โปรดเกล้าฯ ให้ เจ้าสุนัติแห่งธานยปุระกัลปนาที่ดิน ผู้คน สัตว์แรงงาน และพืชผล ถวายแด่พระสถูปอันบรรจุพระบรมอัฐิของ “กมรเตงชคตศรี- ธรรมาโศก” (องค์ที่ ๑) ผู้เป็นพระราชบิดาเมื่อปี พ.ศ. ๑๗๑๐ อันแสดงให้เห็นว่า เมืองธานยปุระหรือดงแม่นางเมืองเคยเป็นบ้านเมืองมาแต่ก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๘ แล้ว อีกทั้งพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนบนมีรัฐอิสระ รับนับถือพุทธศาสนาเถรวาท ดังเห็นได้จากการเรียกนามพระมหากษัตริย์ว่า ศรี- ธรรมาโศกราช อันเป็นประเพณีนิยมในวัฒนธรรมพุทธศาสนาแบบเถรวาท แตกต่างจากที่เคยปลูกฝังตามประวัติศาสตร์กระแสหลักมาแต่เดิมว่า ดินแดนสยามประเทศก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๘ นั้นตกอยู่ใต้การปกครองของอาณาจักรขอม ทั้งเมืองธานยปุระน่าจะสัมพันธ์กับเมืองเจนลีฟูที่ปรากฏในจดหมายเหตุจีนในพุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ รวมถึงมีการติดต่อสัมพันธ์กับเมืองโบราณหลายแห่งที่พบในเขตนครสวรรค์ เช่น เมืองบน (เขาโคกไม้เดน) เมืองล่าง (หางน้ำสาคร) เมืองท่าตะโก เมืองไพศาลี ฯลฯ ซึ่งเมืองเหล่านี้เกาะกลุ่มกันในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำน่าน รวมถึงลุ่มน้ำเกรียงไกรที่เป็นสาขาหนึ่งของแม่น้ำน่านด้วย บรรดาเมืองโบราณในเขตนี้มีร่องรอยแสดงถึงการติดต่อกับบ้านเมืองในดินแดนภาคอีสานตอนบน ดังปรากฏประเพณีการปักหินตั้งหรือเสมาแสดงเขตศักดิ์สิทธิ์ของศาสนสถาน เช่น ที่รอบพระสถูปของดงแม่นางเมือง บริเวณท้องถิ่นนี้เป็นแหล่งที่อุดมด้วยแร่เหล็กอันเป็นทรัพยากรสำคัญทางการค้า จึงพบตะกรันที่หลงเหลือจากการถลุงแร่กระจายอยู่ทั่วไป เมืองธานยปุระมีพัฒนาการสืบเนื่องเป็นเวลานานกว่า ๒,๐๐๐ ปี ก่อนร้างราไปในต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๘ จนเกิดการตั้งชุมชนใหม่อีกครั้งเมื่อไม่เกิน ๑๐๐ ปีนี้ โดยเป็นกลุ่มที่อพยพมาจากอุทัยธานีและชาวลาวอีสาน พ.ศ. ๒๕๐๖ คณะเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร นำโดยอาจารย์มานิต วัลลิโภดม ได้มาสำรวจขุดค้นที่ดงแม่นางเมือง พบหลักฐานโบราณสถานและโบราณวัตถุต่าง ๆ ที่ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญ จึงมีการทำผังเมืองโบราณไว้เป็นเบื้องต้น แต่ยังขาดการขุดสำรวจและบูรณะอย่างจริงจัง ทำให้โบราณสถานหลายแห่งถูกปกคลุมด้วยดงไม้ในเวลาต่อมา และมีไม่น้อยที่ถูกลักลอบขุดทำลายเพื่อหาโบราณวัตถุ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ผู้ใหญ่ที่จากไป
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2544 ก่อนสิ้นปีที่ผ่านมา มูลนิธิประไพ วิริยะพันธุ์ ต้องเสียปูชนียบุคคลไปถึง ๒ ท่าน คือ คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิฯ และอาจารย์ประยูร อุลุชาฎะ หรือ น. ณ.ปากน้ำ ผู้เป็นครูที่พวกเราเคารพเสมอมา คุณเล็ก วิริยะพันธุ์นั้น คนส่วนใหญ่รู้จักผิวเผินเพียงในนามของ “เสี่ยเล็กธนบุรี” ในสมัยที่ท่านยังดูแลกิจการธุรกิจในบริษัทธนบุรีพานิช ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดสเบนซ์ในประเทศไทย คุณเล็กเป็นผู้ประสบความสำเร็จในการที่ทำให้รถเบนซ์ติดอันดับ เป็นทั้งสถาบันของรถที่มีคุณภาพและสัญลักษณ์ของบุคคลที่มั่งคั่งในประเทศไทย แต่ต่อมาเมื่อคุณเล็กหันหลังให้กับการทำธุรกิจ โดยไปสร้างเมืองโบราณเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่สมุทรปราการแล้ว คนก็เปลี่ยนมาเรียกคุณเล็กว่า “เสี่ยเล็ก เมืองโบราณ” แทน โดยยังติดคำว่าเสี่ยที่มีนัยของการเป็นนักธุรกิจ นายทุนอยู่อย่างเดิม เหตุที่ไม่ใคร่มีคนรู้จักมากมายอะไรนั้น เป็นเพราะคุณเล็กได้อุทิศเวลาทั้งหมดในชีวิตของท่านไปกับการทำกิจกรรมทางปัญญา ประวัติศาสตร์ และศิลปวัฒนธรรมเป็นชีวิตจิตใจ ใช้เวลาว่างในการอ่านหนังสือและสุภาษิตที่เป็นประโยชน์พร้อม ๆ กับการสะสมโบราณวัตถุและศิลปวัตถุที่มีคุณค่า จนกล่าวได้ว่าบรรดาของโบราณที่คุณเล็กรวบรวมไว้นั้น ล้วนมีคุณค่าในระดับชั้นนำของประเทศทีเดียว ความรู้ความเข้าใจในเรื่องปรัชญา ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมได้ทำให้คุณเล็กแลเห็นความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจที่ท่านประสบความสำเร็จเป็นเพียงแค่ทางผ่าน ยิ่งกว่านั้นยังแลเห็นการพัฒนาบ้านเมืองที่ดำรงอยู่ในยุคสงครามเย็น ทั้งรัฐและสังคมละเลยอดีตและคุณค่าทางศาสนาและศิลปวัฒนธรรมที่มีความสำคัญในเรื่องของความเป็นมนุษย์ในมิติทางจิตวิญญาณ การสร้างเมืองโบราณเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่สำคัญของคุณเล็ก เพราะได้รู้ได้เห็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรมมากมาย โดยเฉพาะในด้านสถาปัตยกรรมนั้น นับได้ว่ามีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ เพราะได้เรียนรู้จากประสบการณ์การรื้อถอนสิ่งที่เป็นหอศิลปสถาปัตยกรรมตามภาคต่าง ๆ ของประเทศมาสร้างเก็บไว้เป็นเมืองโบราณ คุณเล็กมีความสุขที่ได้แลเห็นคนมาเที่ยวและศึกษาที่เมืองโบราณ โดยเฉพาะพวกเด็ก ๆ และเยาวชนที่ครูพามาศึกษาหาความรู้สิ่งเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจให้คุณเล็กอุทิศเวลาที่เหลือในชีวิตของท่านให้แก่การสร้างกิจกรรมทางปัญญา คุณเล็กสร้างสิ่งต่าง ๆ เพิ่มเติมในเมืองโบราณตลอดเวลา สร้างปราสาทสัจธรรมในที่ดินของท่านที่พัทยา โดยมีความมุ่งหมายที่จะเชิดชูสิ่งที่เป็นปรัชญาและคุณธรรมที่ศาสนาและปราชญ์ของโลกได้แสดงไว้ รวมทั้งเลือกเฟ้นรูปแบบและเรื่องราวทางศิลปวัฒนธรรมของสังคมต่าง ๆ ในเอเชียมาแกะสลักประดับไว้ และเมื่อก่อนที่จะจากไปก็ได้สร้างพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณที่ตำบลสำโรง อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ ขึ้นไว้เป็นที่เก็บและแสดงโบราณวัตถุศิลปวัตถุที่ได้สะสมไว้ เพื่อให้มรดกทางวัฒนธรรมเหล่านี้ยังอยู่ในประเทศไทยสืบไป คุณเล็กเป็นคนซื่อสัตย์ต่ออุดมการณ์และเห็นคุณค่าของความสำคัญของเวลาอย่างแทบจะหาผู้เสมอเหมือนมิได้ นับแต่การสร้างเมืองโบราณมาจนสิ้นอายุขัย คุณเล็กทำงานสร้างสรรค์ตลอดเวลา ทั้งคิดทั้งคุมงานก่อสร้างสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง เริ่มแต่เช้าจนเย็นและกลางคืน มีการกินอยู่หลับนอนอย่างง่าย ๆ อีกทั้งไม่สนใจคบค้าสมาคมกับผู้ใดที่ทำให้มีผลพลอยได้ทางเศรษฐกิจการเมืองและชื่อเสียงเกียรติยศ เหตุนี้จึงไม่มีใครรู้เรื่องราวอะไรที่เกี่ยวกับคุณเล็ก ผู้ที่ทำให้คุณเล็กได้ทำงานอย่างราบรื่นโดยไม่ต้องคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจก็คือ คุณประไพ วิริยะพันธุ์ ผู้เป็นภรรยา เป็นผู้ที่ต้องรับภารกิจในการดำเนินการต่าง ๆ ของบริษัทและเครือข่าย รวมกับบุตรธิดาในครอบครัว คุณประไพเป็นคนที่ไม่ปล่อยให้เวลาหมดไปโดยเปล่าประโยชน์เช่นเดียวกับคุณเล็ก ทำหน้าที่ปลูกและเพาะพันธุ์ไม้ต่าง ๆ ส่งมาให้คุณเล็กปลูกในเมืองโบราณแทบทุกอาทิตย์ อาจกล่าวได้บรรดาต้นไม้ทั้งหลายที่เติบโตในเมืองโบราณที่แต่เดิมเป็นทุ่งโล่งดินเค็มนั้นคือสิ่งที่เกิดมาจากการใช้เวลาว่างจากงานธุรกิจของคุณประไพ วิริยะพันธุ์ เมื่อคุณประไพจากไป คุณเล็กก็ให้ตั้งมูลนิธิประไพ วิริยะพันธุ์ขึ้นเป็นอนุสรณ์ ให้ดำเนินการทางด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดีและวัฒนธรรม เพื่อคนทั่วไปในสังคม โดยเฉพาะในด้านบริการข้อมูลข่าวสารและการสนับสนุนการจัดพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น พร้อมกันนั้นก็ได้ผนวกการพิมพ์วารสารเมืองโบราณให้เข้ามาเป็นกิจกรรมของมูลนิธิฯ ด้วย วารสารเมืองโบราณเป็นสิ่งที่คุณเล็กทำให้มีขึ้นกว่ายี่สิบปีที่แล้ว โดยมีเหตุมาจากประสบการณ์ของคุณเล็กในช่วง ๑๐ ปีแรกของการสร้างเมืองโบราณ คุณเล็กเดินทางไปเก็บข้อมูลตามท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศได้แลเห็นว่า ข้อมูลหลักฐานทางโบราณคดี ศิลปวัฒนธรรม และชาติพันธุ์ของท้องถิ่นนั้น ไม่ใคร่มีใครสนใจศึกษากำลังอยู่ในสภาพที่หมดไปเพราะคนไม่สนใจ จึงอยากจะให้มีการค้นคว้าและพิมพ์ขึ้นเผยแพร่ คุณเล็กเป็นคนอ่านและติดตามอยู่ตลอดเวลาว่า มีผู้ใดบ้างที่สนใจศึกษาค้นคว้าในเรื่องนี้ ก็พบว่าอาจารย์ประยูร อุสุชาฎะ ผู้ใช้นามปากกาว่า น.ณ.ปากน้ำ คือผู้ที่โดดเด่นกว่าใคร ๆ คือทั้งออกศึกษาค้นคว้าสิ่งใหม่ ๆ และเขียนขึ้นมาให้คนอื่นได้รับรู้อย่างสม่ำเสมอ คุณเล็กจึงเชิญอาจารย์ประยูรมาเป็นหลักในการค้นคว้าและจัดทำวารสารเมืองโบราณขึ้น โดยให้เป็นกิจกรรมเพื่อสังคมที่แยกเป็นอิสระ ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานสร้างเมืองโบราณที่บางปู เพราะในช่วงเวลานั้นมีผู้กล่าวหาอยู่เนือง ๆ ว่า คุณเล็กสร้างเมืองโบราณเพื่อหนีภาษี หรือไม่ก็เพื่อทำธุรกิจอะไรทำนองนั้น ความต้องการของคุณเล็กก็คืออยากให้อาจารย์ประยูร เป็นทั้งหัวหน้าโครงการค้นคว้ารวบรวมหลักฐานทางโบราณคดี ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และในขณะเดียวกันก็เป็นบรรณาธิการของวารสารเมืองโบราณด้วย แต่อาจารย์ประยูรปฏิเสธขอทำหน้าที่เป็นเพียงที่ปรึกษา ทั้ง ๆ ที่ในการจัดรูปแบบและโครงสร้างของวารสารนั้น อาจารย์ประยูรเป็นผู้ดำเนินการเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งกว่านั้นจะเป็นผู้ใหญ่ที่ออกไปสำรวจค้นคว้าเก็บข้อมูลตามท้องถิ่นต่าง ๆ ด้วยทุกครั้ง แต่ละครั้งอาจารย์จะเป็นผู้นำและแนะให้มีการถ่ายภาพสิ่งที่พบเห็นไว้เป็นหลักฐาน จนกล่าวได้ว่า บรรดาภาพถ่ายของสถานที่และสิ่งสำคัญทางศิลปวัฒนธรรมที่ปัจจุบันกลายเป็นสมบัติของมูลนิธิประไพ วิริยะพันธุ์นั้น เกิดจากการชี้แนะของอาจารย์ประยูรแทบทั้งสิ้น นอกจากนั้นอาจารย์ยังนำบรรดาฟิล์มและภาพถ่ายต่าง ๆ ที่ทำไว้ด้วยทุนส่วนตัว ครั้งก่อนที่จะเข้ามาร่วมงานวารสารเมืองโบราณ มอบให้กับศูนย์ข้อมูล เพื่อการให้บริการแก่นักวิชาการและนักศึกษาที่มาขอความรู้และขอความช่วยเหลือ อาจารย์ประยูรคือผู้ที่กู้หลักฐานข้อมูลทางศิลปวัฒนธรรมในยุคสงครามเย็นอย่างแท้จริง เพราะไม่เพียงแต่ทำการศึกษาสำรวจและถ่ายภาพเก็บไว้เท่านั้น หากยังเป็นผู้ขยันในการเขียนเป็นหนังสือและบทความเผยแพร่อย่างทันท่วงทีคือไม่ค่อยแช่ข้อมูลไว้แล้วมาเขียนขึ้นภายหลัง แต่จะเขียนและนำเสนอทันทีเมื่อได้พบเห็นมา เพราะอาจารย์มีความเห็นว่าในช่วงเวลานั้น ความจำและภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ยังดีอยู่ เหตุนี้จึงมีหนังสือและข้อเขียนของอาจารย์มากมาย เขียนบรรยายและพรรณนาอย่างง่าย ๆ พร้อมด้วยความคิดเห็นอย่างเป็นอิสระ ไม่เน้นรูปแบบและโอ้อวดในเรื่องแนวคิดทฤษฎี แต่มุ่งที่จะให้คนทั่วไปได้รู้ได้เข้าใจให้มากที่สุด อาจกล่าวได้ว่าอาจารย์มีความเห็นในการเสนอข้อมูลพื้นฐาน (Basic Research) อย่างหาผู้เสมอเหมือนยาก โดยเฉพาะเรื่องจิตรกรรมฝาผนังตามวัดต่าง ๆ ลวดลายปูนปั้นและลายไทยโบราณต่าง ๆ ที่มีอยู่ในหลักฐานทางโบราณคดีนั้น เกือบจะไม่มีผู้ใดค้นคว้าและรวบรวมได้เท่ากับอาจารย์ประยูร อุลุชาฎะ บัดนี้ผู้ใหญ่ทั้งสองท่านคือ คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ และอาจารย์ประยูร อุลุชาฎะ ได้จากไปแล้ว แต่เจตนารมณ์และผลงานของท่าน คือสิ่งที่จะผลักดันให้มูลนิธิฯ ดำเนินงานต่อไปอย่างมั่นใจและมั่นคง อักทั้งจะเป็นการขยายชื่อมูลนิธิประไพ วิริยะพันธุ์ เป็น “เล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์” รวมทั้งการขยายการดำเนินงานของมูลนิธิฯเพื่อสังคมให้กว้างกว่าแต่เดิมด้วย อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ฟื้นขุนยวม-เมืองปอนเมื่อพลังท้องถิ่นตั้งรับ
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2553 กลางเดือนกรกฎาคม ฝนที่ควรตกหนักเสียนานแล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะมีน้ำฟ้าน้ำฝนมากพอให้ชาวบ้านร่วมกันปักกล้าดำนา ในพื้นที่แบบเทือกเขาและหุบเขาของแม่ฮ่องสอน หากมีที่ราบเป็นช่องว่างพอจะทำนาได้ ผืนดินเหล่านั้นจะกลายเป็นที่นาอันมีค่าแก่หมู่บ้าน เราจึงได้เห็นการจัดการพื้นที่อย่างละเอียดยิบ แม้จะเป็นที่เนินสูงก็ถูกจัดแปลงทำเป็นนาขั้นบันได ตามหุบตามช่องเขาน้อยใหญ่ในแม่ฮ่องสอน หากมองจากฟ้าในหน้าฝนก็จะเห็นภาพผืนนาเรียบเขียวแทรกอยู่เป็นหย่อม ๆ อากาศปรวนแปรที่ร้อนและแล้งนานเช่นปีนี้กลับกลายเป็นทรัพย์ในดินแก่คนทั่วขุนยวม ตั้งแต่ฝนลงมาบ้าง เห็ดเผาะหรือเห็ดถอบตามแต่ท้องถิ่นไหนจะเรียกก็ผุดนอนยิ้มรออยู่ใต้ดินให้คนมาเก็บกันไปเป็นรายได้กว่า ๓๐ ล้านบาทแล้ว วันเลี้ยงผีเจ้าเมืองที่ศาลเจ้าเมืองขุนยวม ท่านทำนายไว้ว่า จะมีเพชรมีคำโปรยอยู่ในไร่ในดอย แม่เฒ่าหลายท่านนึกถึงคำทำนายนี้และเห็นเห็ดเผาะที่ผุดตามธรรมชาติอย่างมากมายในปีนี้ก็คือขุมทรัพย์จากแผ่นดินที่โปรยปรายให้แก่ชาวบ้านชาวเมืองนั่นเอง เห็ดเผาะทำรายได้งามแก่ชาวบ้าน บางคนตั้งแต่ต้นฤดูหาเงินได้หลายแสนบาท เดี๋ยวนี้มีโรงงานทำเป็นเห็ดเผาะกระป๋องกันแล้วจึงรับซื้อได้อย่างไม่อั้น แต่การที่ขึ้นโดยธรรมชาติใต้ดินจึงเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ราคาจึงขึ้นลงตามตลาดว่าจะมีมากหรือน้อย แม้ผู้คนจะถือว่าวิธีเผาโคนไม้จะทำให้เห็ดเผาะออกมาก จนถึงกับกล่าวว่าเมืองแม่ฮ่องสอนมีหมอกควันปกคลุมเพราะชาวบ้านเผาป่านี่แหละ แต่ปีนี้ฝนแล้ง ร้อนนาน ธรรมชาติก็ชดเชย ป่าเขาถือเป็นพื้นที่สาธารณะ ใครขยันเก็บเท่าไหร่ก็ได้ แม้เริ่มจะมีคนจากต่างถิ่นเข้ามาบ้าง แต่ก็ถือว่ายังไม่มีใครลุแก่อำนาจมาชี้ที่ดินในเขตขุนยวมให้ตกแก่กลุ่มและตนเองแบบถือสิทธิ์เหมือนท้องถิ่นอื่น ๆ ทุ่งนาเมื่อแรกตกกล้าดำนา ในบ้านเมืองที่ตั้งอยู่ตามหุบเขา มีลำห้วยสายเล็กสายน้อย พื้นที่ราบดูเหมือนจะมีค่ามหาศาลแก่การเพาะปลูกทำกิน เมื่อตั้งบ้านตั้งเมืองเป็นชุมชนขนาดใหญ่ จากหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ถูกห่อหุ้มด้วยจักรวาลทัศน์หรือการมองโลกแบบเบ็ดเสร็จในตัวเองก็ดูเหมือนจะมีการติดต่อจากโลกภายนอกเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยมากในปัจจุบัน การจัดการพื้นที่ภายในท้องถิ่นของตนเองที่มีหลักบ้านหลักเมืองรูปแบบท้องถิ่นโบราณชัดเจน ซึ่งเน้นใน “การแบ่งปันทรัพยากรส่วนรวม” ก็เปลี่ยนไปตามมูลค่าที่ดินแบบปัจเจกที่ถือการออกโฉนดเอกสารสิทธิ์เป็นสิ่งสำคัญ ทรัพยากรส่วนรวม [Common property] คือหัวใจของท้องถิ่นแบบดั้งเดิม การแบ่งสันปันส่วนของคนในท้องถิ่นต่างๆ มักขึ้นอยู่กับสภาพนิเวศในแต่ละแห่งที่แตกต่างกันไป หากไม่มีการจัดสรรอย่างเป็นธรรมและเป็นที่ยอมรับ ชาวบ้านชาวเมืองก็จะไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้มานานหลายชั่วอายุคนเช่นนี้ วิธีคิดแบบดั้งเดิมเป็นที่ยอมรับแพร่หลายมาเนิ่นนานก่อนที่ ทุนนิยม [Capitalism] ซึ่งเปลี่ยนวิธีคิดเป็นการใช้เอกสิทธิ์แบบปัจเจก ให้สิทธิ์เฉพาะคนเข้าจัดการทรัพย์สินที่อาจเคยเป็นของส่วนรวมหรือของท้องถิ่นมาก่อนที่ชาวบ้านเคยยกให้เป็นพื้นที่ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องตกไปอยู่ในมือของเจ้าของทุนที่มีเงินมาก เป็นใครมาจากไหนไม่มีใครทราบก็ได้ และใช้อำนาจทางกฎหมายจัดการกับผู้บุกรุกโดยไม่ทราบหรือไม่สนใจอำนาจการจัดการทรัพยากรส่วนรวมแต่เดิมเหล่านั้น ปัจจุบันนี้ “เมืองปอน” คือหมู่บ้านขนาดใหญ่ [Village] ในขณะที่ “ขุนยวม” คือเมืองขนาดเล็ก [Town] ชุมชนทั้งสองแห่งอยู่ใกล้กัน เป็นแอ่งที่ราบเล็ก ๆ มีเพียงภูเขากั้น ท่ามกลางเทือกเขาน้อยใหญ่ของแม่ฮ่องสอน ตั้งอยู่เลยจากเมืองแม่สะเรียงและแม่ลาน้อยมาไม่เท่าไหร่ คนส่วนใหญ่ของพื้นที่เป็นกลุ่มคนไทใหญ่ พวกเขาพึงพอใจจะเรียกตนเองว่า “คนไต” มากกว่า ทุกวันนี้ผู้คนทั้งสองแห่งเกิดความสับสนของการเป็นบ้านเมืองที่ยังคงสืบวัฒนธรรมเป็นแบบจารีต ชาวบ้านยังศรัทธาในหลักบ้านหลักเมือง สงวนพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ไว้แก่ชุมชน เช่น วัด ศาลเจ้าเมือง ศาลากลางบ้าน จนถึงที่ฝังศพและลานทำพิธีกรรมเผาศพของพระผู้ใหญ่ ซึ่งเปรียบเสมือนผู้ศักดิ์สิทธิ์ของท้องถิ่น แม้จะคลายความหมายสำหรับที่ดินส่วนรวมอื่นๆ เช่น ถนนหนทาง ป่าไม้ ที่ว่างอื่น ๆ ที่ไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัยกลายเป็นเอกสิทธิ์ของคนที่สามารถซื้อหาได้ แต่พื้นที่เดิมแบบจารีตที่ชาวบ้านถือว่าไม่ควรมีการใช้งานอย่างอื่น กลายเป็นว่ามีนโยบายจากผู้บริหารซึ่งเป็นคนจากท้องถิ่นอื่นว่า ควรจะถูกนำไปใช้ทำสวนซากุระและอนุสรณ์สถานความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ทำให้คนขุนยวมลุกขึ้นมาทวงถามความเหมาะสมในนโยบายของรัฐในระดับเทศบาลที่ควรจะเข้าใจและใกล้ชิดกับโลกทัศน์และความเชื่อของชาวบ้านชาวเมืองขุนยวมได้ดีกว่าที่เป็นอยู่ การเคลื่อนไหวดังกล่าวนำไปสู่ การอบรมฟื้นพลังความรู้ท้องถิ่นอย่างที่เคยมีและเคยเป็นไปจากประสบการณ์การทำงานเรื่องการศึกษาท้องถิ่นต่าง ๆ ของคนภายนอก มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ได้รับเชิญจากองค์กรชาวบ้านในท้องถิ่นเมืองปอนและขุนยวมให้ช่วยไปพูดไปคุยเรื่องราวเกี่ยวกับ “จะศึกษาประวัติศาสตร์และสังคมวัฒนธรรมท้องถิ่นที่สร้างโดยชาวบ้านได้อย่างไร” เด็ก ๆ ช่วยกันเสนองานเรื่อง “เฮือนไต” ที่เมืองปอน วัตถุประสงค์นั้นตั้งเรื่องกันไว้ว่า เพื่อสร้างความเข้าใจเรื่องท้องถิ่นของตนเอง โดยเฝ้ามองและสังเกตการณ์จากภูมิวัฒนธรรม หรือภูมิประเทศที่สัมพันธ์กับชีวิตของมนุษย์ ทำความเข้าใจเรื่องพื้นที่ในเชิงจินตนาการที่เรียกว่า “ท้องถิ่น” ประกอบด้วยองค์ประกอบอย่างไรบ้าง และมนุษย์อยู่ร่วมเป็นสังคมในท้องถิ่นนั้นอย่างไร และสร้างประวัติศาสตร์ของตนเองในเรื่องต่าง ๆ ผ่านการบอกเล่าจากประสบการณ์ของผู้คนในท้องถิ่นในวัยและภูมิหลังที่แตกต่าง ต่อมาจึงเป็นการบันทึกความทรงจำเหล่านั้นด้วยการนำเสนอต่าง ๆ เช่น การเขียนบรรยาย การวาดภาพสื่อจินตนาการ การถ่ายทำวีดีโอดิจิตอล การตัดต่อเสียงสัมภาษณ์ หรือการเล่าเรื่องผ่านการเล่นละคร การจัดแสดงนิทรรศการ การนำเสนอในพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่อาจจะเกิดขึ้น ตลอดจนนำความรู้ที่ได้ไปเป็นฐานความคิดเรื่องการจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในชุมชนของตนเอง ชาวบ้านทั้งสองแห่งได้งบประมาณสนับสนุนจากสภาพัฒนาการเมืองของจังหวัดแม่ฮ่องสอน สถาบันพระปกเกล้าเป็นเจ้าภาพหลัก ในขณะที่ภาวะบ้านเมืองต้องการสร้างความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยกันอย่างขนานใหญ่ แต่หากพิจารณาแบบลึกซึ้ง รูปแบบประชาธิปไตยอย่างไรเล่าจึงจะเหมาะสมแก่ท้องถิ่นที่เคยมีระบบวิธีคิดยึดมั่นในพุทธศาสนา มีความเชื่อและจารีตแบบเดิมเป็นฐานสำคัญของชีวิต หากตัดยอดนำแต่หลักการประชาธิปไตยที่ไม่เคยประสบความสำเร็จให้ผู้คนรู้สึกมีส่วนร่วมได้กับกิจกรรมของท้องถิ่น มีแต่จะถูกริบหรือผลักไสสิทธิ์และเสียงของตนเองไปให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ไม่มีสิ่งใดเป็นหลักประกันว่าจะได้อำนาจมาด้วยใจศรัทธา อำนาจทางการเมืองในประเทศไทยนิยมใช้อำนาจทางกฎหมายแบบเบ็ดเสร็จ แตกต่างจากอำนาจบารมีของผู้นำชุมชนของเมืองหรือหมู่บ้านแบบเดิมที่ใช้รูปแบบการต่อรอง ประนีประนอม พูดคุยทำความเข้าใจในหมู่คนของตนในเรื่องต่าง ๆ และหากไม่สามารถตัดสินได้ก็มักใช้ “อำนาจผีหรือบารมีพระสงฆ์” เป็นเครื่องมือในการตัดสินให้เด็ดขาด คนที่มาฟังความรู้เหล่านี้ก็มีคนท้องถิ่นทั้งจากบ้านไกลๆ เช่น ตัวแทนคนปกากะญอ คนไต ที่เป็นพ่อหลวงเก่า กำนัน เจ้าหน้าที่จาก อบต. ครูอาจารย์ นักเรียน หลากหลายวัยตั้งแต่เด็ก ๆ ไปจนถึงผู้สูงอายุ ชาวบ้านจากเขตการปกครองตำบลเมืองปอนอันหลากหลายเหล่านี้กระตือรือร้นในการอบรมเชิงปฏิบัติการกันมาก เพราะได้ลงพื้นที่ไปคุยกับคนเฒ่าคนแก่ในบ้านที่พวกเขาเลือกหัวข้อทดลองเก็บข้อมูลเอง มีการเรียนรู้ข้ามวัฒนธรรมระหว่างคนที่สูงกับคนที่ราบ รื้อฟื้นและเตรียมตัวเพื่อนำเสนอประสบการณ์จากการเก็บข้อมูลภายในคืนเดียวด้วยการใช้สื่อโดยโปรแกรม “Power point” ที่เมืองปอนด้วยเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ โครงสร้างทางสังคมไม่ซับซ้อนและยังคงพื้นฐานความเชื่อและสามารถสืบถึงระบบการจัดการพื้นที่และทรัพยากรในท้องถิ่นตามแบบเดิมได้มากกว่าทางขุนยวมที่ปัจจุบันกลายเป็นเมืองไปแล้ว และเป็นที่ตั้งของกลุ่มคนหลากหลายชาติพันธุ์และศาสนา เพราะเคยเป็นตลาดแต่ดั้งเดิมจนปรับเปลี่ยนกลายเป็นตลาดอีกหลายรูปแบบในปัจจุบัน คนสูงอายุในขุนยวมดูจะเป็นผู้นำในการบอกเล่าข้อมูลและกระตือรือร้นที่จะถ่ายทอดความทรงจำเรื่องต่าง ๆ แก่คนอีกรุ่นหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มคนหนุ่มสาวและเด็กนักเรียนที่พยายามทำความเข้าใจเพื่อให้ต่อติดกับเรื่องราวที่ผ่านมาเหล่านั้น สำหรับบางกลุ่มแล้ว ข้าวของเครื่องใช้ที่นำมาเสนอประกอบการบอกเล่าจากการออกไปเก็บข้อมูลดูจะเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นและสนุกสนาน ยามเมื่อต้องหยิบยกมาให้ดูทีละชิ้นและมีคนเฒ่าคนแก่คอยเล่าเสริมในสิ่งที่คาดว่าจะตกหล่นไป วงเสวนาบอกเล่าเรื่องเมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่ขุนยวม ที่ขุนยวมไฟฟ้าดับทั้งวัน กลายเป็นการนำเสนอแบบปากเปล่า เขียนบนแผ่นกระดาษและนำสิ่งของจริงๆ มาให้ดูกัน เทคโนโลยีก็ไม่ได้ทำให้เกิดความแตกต่างของเนื้อหาแต่อย่างใด คนเฒ่าคนแก่หลายท่านบอกว่า เมื่อก่อนไม่เห็นต้องมีอะไรก็ยังเล่าเรื่องยังประชุมพูดคุยกันได้ และเหมาะสมดีเสียอีกกับเมืองขุนยวมที่ไฟฟ้าดับอยู่เรื่อยคราวละนาน ๆ การอบรมที่เป็นไปโดยทั้งสองฝ่ายมีส่วนร่วมเช่นนี้ ทำให้ได้แลกเปลี่ยนและรับรู้ความรู้ใหม่ๆ ได้มากมาย ที่ประทับใจเป็นพิเศษก็คือ ได้รับรู้ว่าการทำความเข้าใจเรื่องการศึกษาท้องถิ่นในแบบภาพรวม ๆ [Cosmology] นั้น กลุ่มที่เข้าถึงได้ไวและทำความเข้าใจได้เร็วที่สุดน่าจะเป็นชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่ไม่ได้เรียนในระบบการศึกษาอย่างเป็นทางการมากนัก และผู้เฒ่าผู้แก่ที่อายุล่วงพ้นวัยหกสิบกว่าปีมาแล้ว แม้จะเคยเป็นผู้อำนวยการเก่า ครูเก่า หรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อื่น ๆ หากอายุมากก็สามารถเข้าใจและต่อติดกับระบบความรู้แบบดั้งเดิมหรือแบบท้องถิ่นคนไตได้อย่างรวดเร็ว กลุ่มที่เข้าใจได้ยากคือกลุ่มที่มีกรอบความรู้ของตนเองแบบเคร่งครัดในระบบการศึกษาอยู่แล้ว เช่น ครูอาจารย์ในสถานศึกษา นักเรียนที่ถูกอบรมมาในระบบ และกลุ่มนักพัฒนาองค์กรเอกชนที่รับงานจากหน่วยงานต่าง ๆ และส่วนใหญ่มีพื้นฐานการเรียนรู้มาจากนักวิชาการใหญ่ ๆ ตามมหาวิทยาลัยอีกทีหนึ่ง แสดงถึงความรู้ท้องถิ่นนั้นถูกทำให้เลือนหายและเข้าใจยากด้วยความรู้ในระบบการศึกษาแบบเป็นทางการเป็นสำคัญ เมื่อจะฟื้นพลังจากผู้คนในสังคม ความเข้าใจในท้องถิ่นต้องมีไว้เป็นพื้นฐานเป็นอันดับแรก หากจะต่อสู้ในเชิงนโยบายเพื่ออธิบายต่อสังคมให้เกิดความเข้าใจให้ถูกต้อง ก็ต้องเข้าใจภูมิวัฒนธรรมอันเป็นระบบความรู้จักรวาลทัศน์ของคนในพื้นที่เป็นสำคัญ การจัดการพื้นที่ซึ่งผสมผสานกับระบบการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติที่เป็นอันดับรองไปจากศาสนาหลัก จึงเป็นมุมมองที่จำเป็นต้องวางใจที่มีระบบวิธีคิดแบบทื่อ ๆ ไว้ก่อน แล้วปล่อยให้ข้อมูลที่รับรู้นำทางไปสู่ความเข้าใจที่มนุษย์จะต้องสัมพันธ์ด้วยทั้งสามประการ นั่นคือ ธรรมชาติแวดล้อม ความเชื่อและความศรัทธาตลอดจนในตัวเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง นักการเมืองท้องถิ่นอาจจะคิดว่า การล่วงล้ำเข้าไปใช้พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนเป็นสิ่งถูกกฎหมาย หรือคิดว่าชาวบ้านไม่สามารถต้านทานอำนาจทางการเมืองได้ สิ่งเหล่านี้อาจกลับกลายเป็นพลังมหาศาลที่ไปกระตุ้นให้ผู้คนในท้องถิ่นทลายกำแพงความคิดและค้นหาพื้นฐานของชุมชนแบบดั้งเดิมที่เคยมีกฎเกณฑ์อยู่ร่วมกันมานานนับร้อยปี เพื่อที่จะนำมาอธิบายว่า “อำนาจทางการเมืองไม่สามารถสั่งหรือละเมิดจารีตดั้งเดิมได้” หากทำผิดเสียแล้วก็จะกลายเป็นการผิดกฎระเบียบที่ผู้กระทำและสังคมจะได้รับผลกระทบอย่างใดอย่างหนึ่ง ชาวบ้านที่เมืองปอนและขุนยวมเริ่มฟื้นพลังทางสังคมจากความเข้าใจในธรรมชาติในสังคมของตนที่มีมาแต่เดิม โดยการฟื้นความรู้และการรับรู้แบบเดิมเพื่อถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังหรือพวกที่เรียนมากได้เรียนรู้ สถานการณ์ของการท่องเที่ยวที่มาพร้อมกับทุนจำนวนมหาศาลและเศรษฐกิจจากการสร้างตลาดรูปแบบใหม่ที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนในขุนยวมไปมาก จะเป็นข้อสอบใหญ่ในการนำเสนอหาแนวทางร่วมกัน โดยมีพื้นฐานทางสังคมของตนเองเป็นต้นทุนทางความคิด เดือนกันยายนคงเป็นเดือนแห่งการเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ ที่มูลนิธิฯ กับชาวบ้านที่เมืองปอนและขุนยวมร่วมปรึกษาหารือกันอีกครั้ง ผลจากการทำงานในครั้งต่อไปน่าจะมีแง่มุมและเรื่องเล่าจากประสบการณ์ที่น่าสนใจไม่แพ้ในครั้งนี้ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:









