top of page

พบผลการค้นหา 220 รายการ

  • เส้นทางข้ามสมุทรเคคาห์-ปาตานี ความเป็นเมืองท่าและความสำคัญของทรัพยากรต่อบ้านเมืองภายใน

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ย. 2557 แผนที่แสดงเส้นทางข้ามคาบสมุทรยุคโบราณมาเลย์-สยาม บริเวณแผ่นดินของคาบสมุทรมาเลย์-สยามตั้งแต่โบราณกีดขวางการเดินทางระหว่างโลกตะวันตกและตะวันออก อันหมายถึงผู้คนทางฝั่งอินเดียที่เชื่อมต่อกับอาหรับ เปอร์เซีย และโรมันทางฝั่งตะวันตกกับจีนแผ่นดินใหญ่ทางฝั่งตะวันออก การเดินทางระยะไกลข้ามทวีปในช่วงแรกเริ่มเหล่านี้มนุษย์ล้วนแต่ใช้เรือเป็นพาหนะเดินทางต้องแล่นเรืออ้อมช่องแคบมะละกาที่มีขนาดเล็กหรือเดินทางบกข้ามคาบสมุทรมาเลย์-สยามในหลายช่องทาง ในยุคหนึ่งช่องแคบมะละกามีปัญหาโจรสลัดชุกชุมและการเดินทางที่อ้อมแหลมใช้เวลานาน ตลอดจนปัญหาเรื่องเวลาที่ต้องพึ่งพาลมมรสุม จึงมีความนิยมขนส่งสินค้าหรือเดินทางข้ามคาบสมุทรจนทำให้เกิดบ้านเมืองชุมชนใหญ่น้อยที่ต้นทาง กลางทาง และปลายทางขึ้นหลายแห่ง ปรากฏหลักฐานโบราณคดีบริเวณเส้นทางข้ามคาบสมุทรหลายเส้นทางตั้งแต่บริเวณตอนต้นตั้งแต่มะริดะกุยบุรีและเพชรบุรี กระบุรี-ชุมพร ตะกั่วป่าและกระบี่-อ่าวบ้านดอนและนครศรีธรรมราชตรังะพัทลุง เคดาห์หรือไทรบุรี-สงขลา และเคดาห์-ปัตตานี เป็นต้น ต่อมาเส้นทางเหล่านี้ถูกลดความสำคัญจากเส้นทางข้ามคาบสมุทรเป็นเส้นทางที่ใช้ในท้องถิ่นเนื่องจากการเดินเรือนั้นสามารถเดินเรือผ่านช่องแคบได้สะดวกกว่าในอดีต จึงไม่มีความจำเป็นต้องขนถ่ายสินค้าขึ้นบกอีกต่อไป และเส้นทางสำคัญจากเคดาห์ในมาเลเซียสู่ยะรังและปาตานี ซึ่งมีการพบกลุ่มเมืองโบราณสำคัญ ๓ กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มเมืองโบราณที่ ยะรัง ปรากฏเมือง ๓ เมือง ได้แก่ บ้านวัดบ้านจาเละ และปราแว 2.กลุ่มเมืองบริเวณเขาหน้าถ้ำ ที่ยะลา 3.กลุ่มเมืองบริเวณปากแม่น้ำเมอบก บริเวณหุบเขาบูจังหรือหุบเขาแม่ม่ายซึ่งอยู่ในบริเวณเคดาห์ กลุ่มเมืองทั้งสามแห่งนี้มีบทบาทสำคัญในการทำให้การติดต่อระหว่างจีนและอินเดียดำเนินไปได้โดยสะดวกโดยมีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ ซึ่งเป็นช่วงที่การค้าระหว่าง ตะวันออกกลาง อินเดีย และจีนเติบโตเป็นอย่างมาก กลุ่มเมืองดังกล่าวมีศูนย์กลางของบ้านเมืองขนาดใหญ่ที่เมืองโบราณยะรังซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะเป็น “ลังกาสุกะ” เมืองสำคัญในเอกสารโบราณ บทบาทของกลุ่มเมืองยะรังในขณะนั้นคือ เป็นเมืองการค้าที่เป็นเมืองท่าภายใน [Entrepot] ตั้งอยู่ห่างจากอ่าวปัตตานีราว ๑๖-๑๗ กิโลเมตร ร่องรอยที่ปรากฏคือคูน้ำคันดินของเมืองขนาดใหญ่และเล็ก ๓ แห่งเรียงจากทิศใต้ขยายไปยังทิศเหนือ ได้แก่บ้านวัด บ้านจาเละ และบ้านปราแว เหตุผลที่เมืองท่ายะรังอยู่ห่างจากชายฝั่งลึกเข้ามาในแผ่นดินถึง ๑๖-๑๗ กิโลเมตรนั้น เนื่องจากบ้านเมืองแรกเริ่มมักตั้งถิ่นฐานห่างไกลชายฝั่งทะเลเป็นระยะทางที่เหมาะสม ไม่ไกลและใกล้เกินไปจากเหตุผลการทำเกษตรกรรมที่จำเป็นต้องมีที่ราบและน้ำจืดเพื่อสะดวกแก่การเดินทางทั้งจากบ้านเมืองภายในแผ่นดินและภายนอก โดยรูปแบบการตั้งเมืองเช่นนี้ปรากฏในยุคสมัยเดียวกับบริเวณอื่น ๆ เช่น เมืองนครปฐมโบราณ เมืองอู่ทอง เมืองคูบัว ฯลฯ ปรากฏหลักฐานว่าเมืองปราแวในกลุ่มเมืองยะรังนี้ใช้เป็นที่อยู่อาศัยจนถึงยุคสมัยของรายากูนิง เมื่อย้ายบ้านเมืองมาตั้งอยู่ที่ริมฝั่งทะเลแล้วและแม้กระทั่งเปลี่ยนมาเป็นยุคแบ่งออกเป็น ๗ หัวเมืองแล้วก็ยังคงมีผู้คนอาศัยอยู่เรื่อยมา  กลุ่มเมืองโบราณที่ยะรังนี้มีการค้นพบเส้นทางน้ำภายในหลายเส้นทาง และมีการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด เนื่องจากระยะทางจากภูเขาในเขตยะลาจนถึงปากน้ำปัตตานีมีระยะทางไม่เกิน๓๐ กิโลเมตร อันเป็นระยะทางไม่ไกลนัก ทำให้เส้นทางน้ำเปลี่ยนแปลงโดยง่ายเมื่อมีการจัดการน้ำในรูปแบบทำนบหรือเขื่อนขนาดเล็กในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง เช่น ในสมัยของรายาฮิเยาก็มีการบันทึกว่ามีการทำทำนบกั้นน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วม ซึ่งภายหลังจากการสิ้นพระชนม์แล้วก็มีการรื้อออกเนื่องจากสร้างปัญหาในการทำนาเกลือ โดยทำนบโบราณนั้นคงมีปรากฏร่องรอยให้เห็นถึงปัจจุบัน โบราณวัตถุที่สำคัญที่พบในกลุ่มเมืองยะรังนี้ พบวัตถุโบราณเกี่ยวกับศาสนาพุทธมหายาน เช่น สถูปจำลองต่าง ๆ โบราณวัตถุของศาสนาฮินดู ได้แก่ โคนนทิและศิวลึงค์ในรูปแบบมุขลึงค์ แสดงให้เห็นถึงการได้รับอิทธิพลของศาสนาฮินดูและพุทธแบบมหายานด้วย กลุ่มเมืองบริเวณถ้ำคูหาภิมุข ที่ยะลา เป็นพื้นที่ภูเขาหินปูนซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนผ่านการเดินทางจากน้ำเป็นบกหรือเข้าเขตภูเขาจากเรือที่ล่องเข้ามายังแม่น้ำปัตตานี ถ่ายสินค้าหรือเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางขึ้นเขาโดยมีช้างเป็นพาหนะและเดินทางสู่ปากอ่าวอีกริมฝั่งทะเลหนึ่งเพื่อล่องเรือต่อ ในเขตถ้ำคูหาภิมุขนี้ ได้พบพระพิมพ์ดินดิบจำนวนมาก โดยรูปแบบของพระพิมพ์เป็นพระพุทธรูปประทับบนปัทมอาสน์ ซึ่งเป็นแบบมหายาน และยังค้นพบพระพิมพ์รูปแบบเดียวกันนี้ที่เคดาห์ ซึ่งสามารถแสดงถึงความร่วมสมัยและความเกี่ยวโยงกันได้อย่างชัดเจน เส้นทางข้ามคาบสมุทรบริเวณบ้านเมืองจากฝั่งเคดาห์ ลังกาสุกะ และปาตานี กลุ่มเมืองบริเวณหุบเขาบูจังที่เคดาห์นี้ มีลักษณะทางภูมิศาสตร์เป็นที่ราบสำหรับทำการเกษตร โบราณวัตถุที่พบในเขตนี้เป็นจารึกสำคัญ คือ “จารึกมหานาวิกะ พุทธคุปต์” อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ ซึ่งมีอายุรุ่นก่อนเมืองโบราณที่ยะรัง อีกทั้งปรากฏศาสนสถานของชาวฮินดูที่เรียกว่า “จันทิ” [Chandi] จำนวนมาก ซึ่งเป็นกลุ่มพ่อค้าจากอินเดียในช่วงเวลาร่วมสมัยและภายหลังจากเมืองโบราณที่ยะรังเจริญถึงขั้นสูงสุดแล้ว  จากข้อมูลทางโบราณคดีดังกล่าว ทำให้เห็นว่า กลุ่มเมืองทั้งสาม ต่างได้รับอิทธิพลของศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธมหายานซึ่งมีความร่วมสมัยกับศรีวิชัย และเห็นพ้องกับแนวคิดที่ว่า ศรีวิชัยไม่มีศูนย์กลางอย่างชัดเจน แต่เป็น “สหพันธรัฐเมืองท่า” [Port Politics] ที่ปรับตัวตามความเหมาะสม มีศูนย์กลางหลายแห่ง และเคลื่อนย้ายไปตามช่วงเวลา  การที่เมืองเริ่มย้ายตัวออกมาสู่บริเวณปากแม่น้ำในเวลาต่อมา ว่าเป็นเหตุผลของพัฒนาการด้านการค้ากับชาวตะวันตกเพื่อย่นระยะเวลาและเพิ่มความคล่องตัวในการติดต่อค้าขายที่มีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ศาสนาอิสลามเผยแผ่สู่ท้องถิ่นได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย เมืองปัตตานีเป็นเมืองที่มีบทบาทสำคัญมาก เนื่องจากมีแม่น้ำปัตตานีเชื่อมต่อถึงปากอ่าวที่มีภูมิประเทศกำบังลมได้และมีความปลอดภัยจากลมมรสุม อีกทั้งยังมีพื้นที่ราบลุ่มกว้างขวางเหมาะแก่การเพาะปลูก โดยสินค้าที่สำคัญของปัตตานีคือ  เกลือ  และสินค้าของป่า, พวกแร่ธาตุ และช้าง ทำให้เมืองปัตตานีมีบทบาทเป็นเมืองท่าที่สำคัญกับทั้งตะวันตกและพ่อค้าตะวันออก  แม้ในยุคที่ตะวันตกเข้ามาทำการค้าโดยตรงปัตตานีก็ยังคงมีความสำคัญในฐานะเมืองท่าตลอดมา เนื่องจากมีการค้นพบเครื่องถ้วยของดัตช์ในปัตตานีจำนวนมาก จึงเป็นหลักฐานแสดงความเชื่อมโยงระหว่างปัตตานีและชาวตะวันตกและความเป็นเมืองท่าสำคัญในภูมิภาคนี้ได้เป็นอย่างดี แผนที่แสดงตำแหน่งที่ตั้งเมืองโบราณที่ยะรัง แม่น้ำ และอ่าวปัตตานี เรื่องราวการเข้ามาของศาสนาอิสลามในดินแดนแถบคาบสมุทรมลายูนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีหลายแนวคิด โดยอ้างถึงบทความเรื่อง “สังเขปประวัติศาสตร์ปัตตานี” ของนิธิ เอียวศรีวงศ์ ว่าการเผยแผ่ศาสนาอิสลามจะเผยแผ่สู่ชาวบ้านโดยผ่านโต๊ะครูเป็นหลักซึ่งเป็นการเผยแผ่สู่ฐานที่กว้างที่สุด โดยมีลักษณะที่ต่างจากการเผยแผ่ศาสนาฮินดูและพุทธ ซึ่งจะเริ่มที่ชนชั้นปกครองเป็นกลุ่มแรกที่เริ่มรับศาสนาและสร้างศาสนสถาน อุปถัมภ์นักบวช ทำให้ศาสนาอิสลามมีความมั่นคงเนื่องจากเกิดขึ้นมาจากฐานของประชาชนจำนวนมาก นิธิ เอียวศรีวงศ์ยังเสนอต่ออีกว่า กลุ่มอิสลามที่เข้ามาน่าจะเป็นนิกายซูฟี เนื่องจากนิกายนี้เชื่อในเรื่องผีบรรพบุรุษ ทำให้ปรับตัวเข้ากับแนวคิด Animism ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างไม่ยากนัก  อีกทั้งมีอีกทฤษฎีหนึ่งที่เชื่อว่า การเข้ามาของมุสลิมอาจเข้ามาพร้อมกับ เจิ้งเหอ ขันทีชาวมุสลิมจากกวางตุ้ง ในรัชสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อ ราชวงศ์หมิง ที่เป็นแม่ทัพนำกองเรือออกสู่ดินแดนโพ้นทะเล เนื่องจากมีความร่วมสมัยกับรัชสมัยของเจ้าชายปรเมศวรผู้สถาปนามะละกาด้วย แผนผังบริเวณที่ตั้งกลุ่มเมืองโบราณที่ยะรังที่สันนิษฐานว่าน่าจะหมายถึงรัฐลังกาสุกะ ปัตตานีในยุครัฐรายามีความเป็นปึกแผ่นและรุ่งเรืองมีวัฒนธรรมเป็นของตนเอง เช่น การให้ความสำคัญกับสตรีโดยสังเกตได้จากผู้ปกครองมีจำนวนหลายพระองค์ที่เป็นอิสตรีเรื่องราวของช้างในปัตตานีมีความสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นการใช้ขนส่งสินค้าซึ่งจำเป็นอย่างมากในยุคนั้น แม้ขบวนเสด็จก็ยังปรากฏรูปช้างในขบวนด้วย รูปแบบของเมืองในคาบสมุทรนั้นทั้งในเคดาห์ ปัตตานี และมะละกามีลักษณะไม่ยืนยาว เปลี่ยนแปลงไปตามปัญหาการเมืองภายในและภายนอกของผู้ปกครอง อีกทั้งปัตตานีนั้น เป็นเมืองที่อยู่ท่ามกลาง ๒ ภูมิวัฒนธรรม คือ สยามและมลายู โดยตอนแรกปัตตานีอยู่ภายใต้การปกครองของนครศรีธรรมราช ต่อมาตกอยู่ใต้อำนาจของสงขลา จนเข้าสู่การแบ่งเป็น ๗ หัวเมือง ทำให้ปัตตานีและสยาม เข้าใจบทบาทของตนไม่ตรงกัน กล่าวคือปัตตานีเข้าใจว่าตนเองดำรงสถานะรัฐสุลต่าน [Sultaness] โดยตลอด ในขณะที่สยามมองปัตตานีว่าเป็นรัฐเมืองในอารักขาที่ต้องส่งบุหงามาศ และมีบ้านเมืองที่มีบทบาทสำคัญภายในคาบสมุทรที่ดูเหมือนจะหล่นหายไปในประวัติศาสตร์ในช่วงที่ปาตานีถูกแบ่งออกเป็น ๗ หัวเมืองแล้ว (ตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ รัชกาลที่ ๑ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์) และอยู่ในเส้นทางข้ามคาบสมุทรแต่โบราณที่ยังคงใช้ประโยชน์จากเส้นทางเชื่อมต่อและทรัพยากรธรรมชาติในแผ่นดินทั้งของป่าและเหมืองแร่มาอย่างต่อเนื่อง คือ “เมืองรามัน” ซึ่งเป็นเมืองภายในแผ่นดินที่ไม่มีพื้นที่ติดกับชายฝั่งทะเล พระพิมพ์แบบมหายานดินดิบพบที่ถ้ำคูหาภิมุข จังหวัดยะลา ต่วนลือบะห์  ลงรายา (หลวงรายาภักดี) บุตรเจ้าเมืองรามันผู้ถูกเรียกไปที่กรุงเทพฯ และหายสาบสูญไป (บน) ตันปุ่ย หรือหลวงสำเร็จกิจกรจางวาง ต้นตระกูลคณานุรักษ์ (ล่าง) การแยกหัวเมืองจากศูนย์กลางริมชายฝั่งทะเลทำให้เกิดเมืองภายใน เช่น ที่เมืองยาลอซึ่งเป็นจุดเริ่มการเดินทางจากพื้นที่ราบเป็นที่สูงใกล้ฝั่งน้ำปัตตานี เมืองระแงะที่ตันหยงมัสซึ่งอยู่กึ่งกลางของที่ราบระหว่างเชิงเขาบูโดและสันกาลาคีรีที่ยังไม่เคยมีหัวเมืองสำคัญใดตั้งขึ้นมาก่อน และเมืองรามันที่อยู่เชิงเขาใกล้กับลำน้ำสายบุรี ซึ่งต่อมากลายเป็นเมืองที่ถูกกล่าวขานและถูกจดจำจากผู้คนในท้องถิ่นกลายเป็นตำนานเรื่องราวต่าง ๆ จนทำให้เห็นภาพพจน์ว่าเมืองรามันในยุครุ่งเรืองนั้นมีอาณาเขตใหญ่โต เป็นต้นกำเนิดประเพณีและการละเล่นในราชสำนักมลายูแบบโบราณหลายเรื่องรวมทั้งมีผู้นำซึ่งผูกพันและใกล้ชิดกับชาวบ้านในหลายท้องถิ่นในการควบคุมแรงงานเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากทรัพยากร เช่น ช้างป่า การเลี้ยงสัตว์เพื่อใช้งาน เช่น ม้า วัว ควาย การทำนาแบบทดน้ำและการทำเหมืองแร่ดีบุก  เจ้าเมืองรามันตั้งแต่แรกเริ่มตั้งเมืองจนถึงท่านสุดท้ายสามารถคุมอำนาจในการดูแลและทำเหมืองแร่ดีบุก ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญในระยะนั้น ทำให้เจ้าเมืองมีฐานะและอำนาจจนมีตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับเจ้าเมืองรามันทั้งเรื่องไปเที่ยวจับช้างป่าหรือออกรบกับเมืองไทรบุรีหรือส่งคนไปควบคุมการปลูกข้าวปรากฏตามท้องถิ่นต่าง ๆ ในแถบเทือกเขาบูโดและไกลไปจนข้ามสันปันน้ำในฝั่งรัฐเประของมาเลเซีย  เมืองรามันซึ่งมีเขตแดนกว้างไกลและบางครั้งไม่สามารถตกลงในเรื่องขอบเขตของผลประโยชน์และเหมืองแร่ดีบุกกับรัฐเประทางเหนือเพราะเมืองรามันถือเอาดินแดนที่อยู่เลยสันปันน้ำเข้าไปในดินแดนของเประเสมอ เนื่องจากเป็นพื้นที่ซึ่งอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ดีบุกและสามารถส่งแร่ไปทางลำน้ำมูดาออกสู่ชายฝั่งทะเลฝั่งอันดามันได้สะดวกกว่า และรัฐปาตานีแต่เดิมก็ถือว่าเขตแดนที่เป็นบริเวณเหมืองดังกล่าวนั้นเคยอยู่ในดินแดนปาตานีซึ่งเมืองรามันก็ถือตามนั้น และยังไม่กำหนดใช้เส้นเขตแดนแบบรัฐสมัยใหม่หรือรัฐอาณานิคมที่ใช้สันปันน้ำเป็นเส้นกำหนดขอบเขตของบ้านเมือง เหมืองแร่ทางเขตสันปันน้ำฝั่งเประ คือ เกลียนอินตัน บริเวณที่เรียกว่า ฮูลูเประ ในปัจจุบัน เหตุที่ตั้งชื่อเช่นนี้ก็เพราะมีตัวแทนของเมืองรามันที่ไปคุมการขุดแร่ดีบุกที่นั่นชื่อ วันฮีตัม ผู้คนจึงเรียกว่าเกลียนวันฮีตัม หมายถึงเหมืองของวันฮีตัม คำว่า ฮีตัม แปลว่า ดำแต่เพื่อให้มีความหมายที่ดีจึงเปลี่ยนมาเป็น เกลียนอินตัน ซึ่งแปลว่าเหมืองเพชร  กล่าวกันว่าเจ้าเมืองรามันซึ่งมีเชื้อสายเป็นญาติกับเจ้าเมืองทางปัตตานีและยาลอมักไปดูเหมืองแร่บ่อยๆ เวลาไปแต่ละครั้งจะมีช้างหลายร้อยเชือก บางครั้งถึง ๓๐๐ เชือกก็มี จึงไม่มีที่อาบน้ำให้ช้าง วันฮีตันในฐานะเป็นตัวแทนของเจ้าเมืองรามันจึงได้ทำทำนบ เพื่อขังน้ำสำหรับให้เป็นที่ช้างอาบน้ำ จึงเรียกว่า ทำนบวันฮีตัน หลังจากเกิดการขัดแย้งต่อต้านรัฐสยาม ต่วนมันโซร์ หรือ ต่วนโต๊ะนิ หรือสำเนียงท้องถิ่นว่าตูแวมาโซ เป็นเจ้าเมืองต่อไป และรายได้สำคัญที่สร้างความร่ำรวยให้แก่เจ้าเมืองรามันในขณะนั้นคือ “ดีบุก”  โดยเฉพาะเหมืองแร่ที่ เกลียนอินตัน ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตรัฐเประ  ผลประโยชน์จากแร่ดีบุกนี่เองทำให้เมืองรามันกับเประวิวาทกันจนถึงรบราฆ่าฟันเพราะสุลต่านเประส่งทหารไปยึดค่ายกูบูกาแปะห์ เกลียนอินตัน และกัวลากปายัง ต่วนโต๊ะนิ เจ้าเมืองรามันจึงเตรียมพลพรรคเพื่อยึดค่ายและเหมืองแร่ มีแต่กัวลากปายังที่ยึดไม่ได้เพราะกำลังทหารจากเประมีมาก แต่เมื่อยึดภาคเหนือของเประที่ฮูลูเประได้แล้ว เจ้าเมืองรามันก็ถอยกลับโดยตั้งลูกสาวชื่อว่า โต๊ะนังซีกุวัตเป็นผู้คุมเหมืองที่เกลียนอินตันและโกระ ในราว พ.ศ. ๒๓๗๙  เมื่อ ต่วนโต๊ะนิ เจ้าเมืองรามันสิ้นชีวิต ศพของท่านถูกฝังไว้ที่โกตาบารู มีตำนานเกี่ยวกับโต๊ะนิปรากฏตามท้องถิ่นต่าง ๆ ถือเป็นกุโบร์ศักดิ์สิทธิ์ของคนในหลายท้องถิ่นและหลายชาติพันธุ์ทั้งไทยจีนและมลายูซึ่งมีอยู่ ๓ แห่ง คือที่โกตาบารู ที่เบตง และที่โกระในฝั่งเประ เจ้าเมืองรามันผู้นี้มีเรื่องเล่าลือสืบต่อกันมามากมายเช่น โต๊ะนิ เลี้ยงช้างหลายร้อยเชือกและเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องช้าง ขนาดช้างตกมันยังไม่กล้าทำร้ายและยังขึ้นไปขี่ได้อีก วิชานี้ถ่ายทอดไปถึงเจ้าเมืองระแงะคนสุดท้าย กล่าวกันว่าถ้าช้างป่าเข้าไปทำลายไร่สวนของผู้ใด ถ้านึกถึงโต๊ะนิแล้วช้างป่าโขลงนั้นจะไม่ทำลายไร่หรือสวนนั้นอีกเลย เป็นเวลากว่า ๑๐ ปีที่เมืองรามันมีอำนาจเหนือฮูลูเประต่อมาทางเประพยายามยึดคืนก็ไม่ได้ เมืองรามันสามารถป้องกันแต่ก็มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากปรากฏเป็นกุโบร์ของทหารทั้งสองฝ่ายที่เขตต่อแดนระหว่างเมืองเประและรามันบริเวณใกล้ชายแดนในอำเภอเบตงในปัจจุบัน  ซึ่งนักเดินทางชาวอังกฤษก็บันทึกถึงการเดินทางที่ผ่านกูโบร์ของนักรบจากสงครามที่ถูกจดจำได้ตลอดมา  จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ฝ่ายเประไม่ได้ส่งคนไปรบกวนอีก แต่ตรงกันข้ามฝ่ายเมืองรามันรุกล้ำเข้าไปเขตเมืองเประ เรื่อย ๆ จนได้ครอบครองฮูลูเประเกือบทั้งหมด และมีหลักฐานของกุโบร์ที่ฝังศพแม่กองเดเลฮาจากการทำสงครามนี้และถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเมืองเบตงจนกระทั่งปัจจุบัน หลังจาก ต่วนโต๊ะนิ สิ้นชีวิต ลูกชายคือ ต่วนนิฮูลู เป็นเจ้าเมืองแทน ซึ่งต่อมาท่านมีบุตรที่โดดเด่นสองท่านคือ ต่วนนิยากงหรือตงกูอับดุลกันดิสหรือพระยาจาวัง และ ต่วนนิลาบู ซึ่งเป็นหญิง ต่อมาเมื่อต่วนนิยากงเป็นเจ้าเมืองก็ส่งให้น้องสาวคือต่วนนิลาบูเป็นผู้ดูแลเหมืองแร่ต่าง ๆ ที่เกลียนอินตันแทนโต๊ะนังซีกุวัต ซึ่งเป็นบุตรสาวของต่วนโต๊ะนิ ซึ่งเป็นผู้ดูแลกิจการเหมืองมาก่อน ร่ำลือกันว่าต่วนนิลาบูเป็นผู้หญิงเก่งและชาวบ้านเชื่อว่าเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์เหนือคนธรรมดา ปรากฏในเอกสารว่าเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๑ต่วนนิลาบูกับบริวาร ๖ คน เป็นทูตนำสาสน์ของเจ้าเมืองรามันไปให้ข้าหลวงอังกฤษประจำเประ เธอได้เดินทางท่องเที่ยวไปดูกิจการความทันสมัยของเมืองไทปิง เช่น พิพิธภัณฑ์ โรงพยาบาล เรือนจำโดยการโดยสารรถไฟซึ่งเป็นเรื่องทันสมัยมากในยุคนั้น  ภรรยาของต่วนนิยากงเจ้าเมืองรามันมีนามว่า เจ๊ะนีหรือเจ๊ะนิงเรียกตามภาษามลายูว่า รายาปรัมปูวัน เป็นผู้หญิงเก่งกล้าสามารถอีกเช่นกัน หลังจากสยามจัดระบบการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาลและยกเลิกตำแหน่งเจ้าเมืองต่าง ๆ เธอสูญเสียสามีและบุตรชายอันเนื่องมาจากเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงเหล่านี้แต่ทำให้กรรมสิทธิ์เหมืองแร่ที่เกลียนอินตันเป็นของเธอ จึงพาบริวารอพยพจากโกตาบารูไปอยู่อาศัยที่เมืองโกระจนสิ้นชีวิต เมื่อเมืองรามันรุกล้ำเข้าไปในเประมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ สุลต่านเประจึงได้ร้องเรียนไปยังราชสำนักสยามผ่านทางเคดาห์ จนถึงพ.ศ. ๒๔๒๕ โดยความร่วมมือของเจ้าเมืองสงขลาจึงมีการปักเขตแดนระหว่างเประกับรามันที่ บูเก็ตนาซะ ซึ่งอยู่ระหว่างกือนายัตกับตาวาย แต่หลังจากปักหลักเขตแล้วก็ยังมีการปะทะกันประปรายตลอดมาจนมีการทำสัญญากันระหว่างอังกฤษกับสยามที่เมืองโกระเมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๒ ที่เรียกว่า Anglo-Siamese Treaty 1909 เหตุการณ์จึงสงบลง ทำให้เขตแดนของเมืองรามันเหลือเพียงบริเวณเบตงและยะรม ส่วน อินตัน โกรเน บาโลน และเซะหรือโกระในอีกฝั่งสันปันน้ำนั้นกลายเป็นของสหพันธรัฐมลายา พิธีการมอบดินแดนตามสนธิสัญญานี้มีนายฮิวเบิร์ต เบิร์กลีย์ [Hubert Berkeley] เป็นผู้แทนฝ่ายอังกฤษ การที่มีรายได้จากค่าสัมปทานการทำเหมืองแร่ ทำให้เจ้าเมืองรามันและยาลอซึ่งตั้งเมืองใหม่ที่อยู่ลึกเข้ามาภายในแผ่นดินและอยู่ในเส้นทางการเดินทางขนส่งสินค้าโดยเหมาะกับการทำเหมืองแร่ดีบุกมีบทบาทอาจจะมากกว่าหรือเทียบเท่าเจ้าเมืองที่อยู่ทางฝั่งทะเลซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่ดั้งเดิมของรัฐปาตานี  เส้นทางแม่น้ำปัตตานี เมื่อจะไปออกปากอ่าวหรือชายฝั่งทะเล เรือแพที่ขึ้นล่องค้าขายกับเมืองยะลาและรามันต้องผ่านด่านภาษีของเจ้าเมืองหนองจิก เพราะเส้นทางออกทะเลสายเดิมนั้นออกที่ปากน้ำบางตะวาเมืองหนองจิก โดยเฉพาะภาษีดีบุก ทำให้เมืองปัตตานีขาดผลประโยชน์ไปมาก “ตนกูสุไลมาน” เจ้าเมืองปัตตานี (พ.ศ. ๒๔๓๓-๒๔๔๒) จึงขุดคลองลัดหรือคลองสุไหงบารูหรือคลองใหม่จากหมู่บ้านปรีกีมายังหมู่บ้านอาเนาะบูลูดหรือชาวบ้านเรียกว่าอาเนาะบูโละในอำเภอยะรังระยะทาง ๗ กิโลเมตร อยู่ในเขตของเมืองปัตตานีโดยไม่ต้องผ่านเมืองหนองจิกอีกต่อไปและทำให้เมืองหนองจิกที่เคยอุดมสมบูรณ์ต้องกลายเป็นพื้นที่นาร้างเพราะน้ำกร่อยเนื่องจากลำน้ำขาดเป็นช่วง ๆ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ นี่เอง  ดังนั้นการเมืองระหว่างเจ้าเมืองหนองจิกและเจ้าเมืองปัตตานีจึงเป็นการแย่งชิงค่าภาคหลวงอากรดีบุกที่ปากน้ำซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผลประโยชน์ที่แย่งชิงกันจากดีบุกนั้นมีมูลค่ามหาศาล หลังจากสนธิสัญญาแองโกลสยาม พ.ศ. ๒๔๕๒ เป็นต้นมาก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ก้าวเข้ามามีบทบาทรับสัมปทานการทำเหมืองแร่ดีบุกในเขตแดนเมืองยะลาแทนที่กลุ่มเจ้าเมืองรามันที่สูญเสียเหมืองแร่ไปให้ทางฝั่งเประแล้ว คือ ตระกูลชาวจีนที่มี ปุ่ย แซ่ตัน หรือตันปุ่ย ขึ้นสำเภามาอยู่ที่จังหวัดสงขลา ขายของชำเป็นอาชีพได้ร่วมเป็นอาสารบกับพวกไทรบุรีและกลายเป็นคนสนิทของเจ้าเมืองสงขลาซึ่งมีเชื้อสายจีนอยู่แล้ว เมื่อบ้านเมืองที่ปัตตานีเรียบร้อยดีแล้วเจ้าเมืองสงขลาจึงให้ย้ายมาอยู่ที่เมืองปัตตานีเป็น “กัปปีตันจีน”ปกครองผู้คนฝ่ายจีนรวมทั้งเป็นนายอากรเก็บส่วยภาษีโรงฝิ่นบ่อนเบี้ย ส่งไปให้เจ้าเมืองสงขลา ต่อมาเลื่อนยศเป็น ”หลวงสำเร็จกิจกรจางวาง” ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้แม่น้ำปัตตานีที่เรียกว่าหัวตลาดหรือตลาดจีนต่อมาได้ขอสิทธิ์สัมปทานเหมืองแร่ดีบุกในเมืองยะลาหลายแปลงหลายตำบล เป็นต้นตระกูลคณานุรักษ์คหบดีและกลายเป็นชนชั้นนำในเมืองปัตตานีในเวลาต่อมา  ภูมิวัฒนธรรมของบ้านเมืองในคาบสมุทรรวมทั้งบริบททางการเมืองในยุคสมัยต่าง ๆ ทำให้บ้านเมืองในปาตานีไม่เคยโดดเดี่ยว ตั้งแต่เมื่อตั้งถิ่นฐานในลักษณะของการเป็นเมืองท่าภายในและอยู่ในระหว่างเส้นทางสองฝั่งมหาสมุทรจนถึงการเป็นเมืองท่าริมอ่าว ทำให้เกิดการติดต่อค้าขายจากโพ้นทวีป รับส่งวัฒนธรรมและผู้คนในกลุ่มชาติพันธุ์ ต่าง ๆ ให้อยู่ร่วมกันจนกลายเป็นสังคมพหุลักษณ์ที่มิได้แตกต่างไปจากบ้านเมืองในเขตอื่น ๆ แต่อย่างใด การทำความเข้าใจภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีในเขตรัฐปาตานีหรือในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ จึงต้องอาศัยความเข้าใจในบริบททางภูมิศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมในทุกระยะ จึงจะเข้าใจประวัติศาสตร์แบบสัมพัทธ์ [Relativism] ที่ไม่ติดยึดอยู่กับภาพตัวแทนเพียงช่วงเวลาเสี้ยวใดเสี้ยวหนึ่งทางประวัติศาสตร์เท่านั้น วลัยลักษณ์ ทรงศิริ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • ทวาย บ้านเมืองที่เราไม่รู้จัก

    เ ผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2558 เขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย “ทวาย” เมืองชายฝั่งทะเลอันดามันในรัฐตะนาวศรีของพม่า ซึ่งเป็นรัฐที่อยู่ใต้สุดของแผ่นดิน ระยะทางห่างจากฝั่งไทยที่ด่านพุน้ำร้อน เมืองกาญจนบุรีเพียง ๑๔๐ กิโลเมตร ผ่านเทือกเขาตะนาวศรี ลำน้ำตะนาวศรี ลงสู่ที่ราบและลุ่มน้ำทวาย ก่อนจะมีแนวสันเขาเตี้ย ๆ กั้นพื้นที่เพื่อเข้าสู่ชายฝั่งทะเลอันดามัน และบริเวณนั้นถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่เขตนิคมอุตสาหกรรมทวายที่กลุ่มบริษัทอิตัลไทยผลักดันมา ๓ ปี โดยจัดการสร้างถนนและจัดพื้นที่ไว้ในเขตชายฝั่งไว้ระยะหนึ่ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อชุมชนในเขตชายฝั่งหลายแห่งหลายชุมชน และสร้างความกังวลต่อผู้คนจำนวนหนึ่งในเขตทวายไม่ใช่น้อย โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายเริ่มจากปี พ.ศ. ๒๕๕๑เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและพม่า จนปี ๒๕๕๓ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ได้รับสัมปทานเพื่อดำเนินโครงการเป็นเวลา ๖๐ ปี และจัดการแผ้วถางพื้นที่ หมู่บ้าน และทำถนน โดยร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่นสัดส่วน ๗๕% และ ๒๕%  แต่พอปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โครงการนี้ไม่มีแหล่งเงินกู้จึงถูกระงับไปก่อนจะพยายามหาทุนจากที่อื่น ๆ มาร่วมลงทุนหลังจากที่แหล่งทุนหลายแห่งถอนตัวไปเมื่อปลายเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา จึงได้รัฐบาลไทยชุดปัจจุบันรับรองร่วมลงนามบันทึกเพื่อความเข้าใจ [MoU] กับรัฐบาลพม่าผลักดันให้เกิดโครงการต่อไป อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม และอาจารย์ซอ ทูระ ผู้ศกษาเรื่องสภาพแวดล้อมและประวัติศาสตร์โบราณคดีจากทวายกำลังสนทนากัน ครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างกลุ่มบริษัทอิตัลไทยกับนิคมอุตสาหกรรมโรจนะที่เพิ่มเข้ามาเพื่อผลักดันโครงการเขตเศษฐกิจพิเศษทวายนี้ให้ได้ และมีการกล่าวถึงการสร้างรถไฟความเร็วสูงจากญี่ปุ่น แต่ทางฝ่ายญี่ปุ่นก็มีเงื่อนไขว่าโครงการนี้ต้องถูกผลักดันให้สำเร็จเป็นรูปร่างเสียก่อน โครงการทวายบางโครงการอยู่ห่างจากตัวเมืองทวายราวๆ๒๐ กิโลเมตร โครงสร้างพื้นฐานหลักๆ คือ ท่าเรือน้ำลึกและอู่ต่อเรือ โรงกลั่นน้ำมันครบวงจร โรงถลุงเหล็ก โรงงานผลิตปุ๋ยเคมี อุตสาหกรรมปิโตรเคมี โรงงานแปรรูปกระดาษ โรงไฟฟ้าถ่านหินที่หาดมองมะกัน หาดท่องเที่ยวของชาวทวาย อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ การก่อสร้างถนนขยายเป็นสี่เลน การทำเหมืองแร่ต่าง ๆ แน่นอน สิ่งเหล่านี้กำลังเดินซ้ำรอยโครงการนิคมอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นในประเทศไทย รวมทั้งการก่อสร้างถนนที่คาดว่าจะให้เชื่อมต่อเป็นระเบียงเศรษฐกิจตะวันตก-ตะวันออก ผ่านประเทศไทยวกเข้าที่แหลมฉบังแล้วแยกไปออกที่เขมรออกสู่ฝั่งทะเลทางทะเลจีนใต้ อันเป็นความใฝ่ฝันของนักลงทุนมาทุกยุคสมัย สภาพแวดล้อมตั้งแต่เขตเทือกเขาศักดิ์สิทธิ์ที่เมืองมิตยา สวนหมากตามชุมชนในเขตที่สูง และบ้านเรือนชาวบ้านทวายที่เมืองวีดี ในทางหนึ่ง ถ้าโครงการนี้เกิดขึ้นย่อมกระทบอย่างจริงจังต่อทั้งพื้นที่ในทวายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแม้แต่ในแผ่นดินพม่าเอง และจะส่งผลกระทบแก่พื้นที่ของระบบการขนส่งในประเทศไทยอย่างมโหฬารที่ยังไม่มีกระบวนการศึกษาผลกระทบใด ๆ จากเส้นทางดังกล่าว แน่นอน ผลกระทบต่อเมือง ผู้คน และชุมชนที่อยู่ในโซนการจัดตั้งพื้นที่อุตสาหกรรม การทำเหมืองแร่ซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญของทวาย และจะมีความเปลี่ยนแปลงทั้งสภาพแวดล้อมอย่างขนานใหญ่จนถึงรากเหง้าโครงสร้างทางสังคม เราจะช่วยกันเตรียมรับความเปลี่ยนแปลงและผลกระทบที่กำลังสร้างห่วงโซ่ตามมาอย่างมหาศาลทั้งต่อคนทวาย สังคมคนทวาย และสังคมไทยอย่างไร ? คำถามเหล่านี้ยังไม่มีคำตอบ เพราะพวกเราเพียงแต่คุ้นเคยกับคำว่า “ทวาย” ทั้งที่ถูกเรียกกลุ่มคนทวายที่เข้ามาตั้งชุมชนในกรุงเทพฯ ยุคเก่า วัฒนธรรมทางอาหาร และคำบอกเล่าในทางประวัติศาสตร์บางช่วงเวลามากกว่าจะรู้จักเมืองทวายอย่างที่เป็นอยู่ เมืองทวายที่เราไม่รู้จัก หลังจากมีโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษ เมืองทวายสำหรับคนไทยสามารถเดินทางเข้าออกได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าเหมือนเมืองอื่นๆ และมีการสร้างจุดผ่านแดนถาวรที่บ้านพุน้ำร้อน เมืองทวายเปิดรับทุนไทยเสียมากมายจนพอมองเห็นแล้วว่ากำลังจะเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งในอนาคต เมื่อข้ามเทือกตะนาวศรี ผ่านต้นน้ำตะนาวศรีและลำน้ำสาขาที่เห็นได้ชัดว่า ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองทองคำของบริษัทจีน จนลำน้ำตื้นเขิน ขุ่นมัว มองเห็นได้ชัดจากภาพถ่ายดาวเทียมและถนนที่เพิ่งตัดผ่านป่าเขาในเขตนี้ เมื่อลงจากเทือกตะนาวศรีแล้วก็ถึงที่ราบลุ่มแคบๆ ของลุ่มน้ำทวาย เมืองทวายในปัจจุบัน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำทวาย ซึ่งอยู่ห่างจากปากน้ำที่อยู่ทางทิศใต้ราว ๆ ๔๐ กิโลเมตร และมีเทือกเขาเตี้ย ๆ กั้นระหว่างที่ราบลุ่มลุ่มน้ำทวายภายในและชายฝั่งทะเลที่ติดกับทะเลอันดามัน ข้ามไปสู่อ่าวเบงกอลได้สะดวก ที่ตั้งของเมืองทวายในปัจจุบัน อยู่ซ้อนทับและเหลื่อมอยู่กับเมืองทวายในยุคอยุธยา ที่มีบทบาทอยู่ในประวัติศาสตร์ของรัฐสยามอยู่ไม่น้อย  ทวายยังมีเมืองโบราณที่สำคัญในยุคพยู่ตอนปลายเรื่อยมาจนถึงยุคร่วมสมัยกับศรีวิชัย จนถึงสมัยอยุธยาซึ่งพบร่องรอยหลักฐานหลายอย่างที่สืบเนื่องในวัฒนธรรมแบบอยุธยา เมืองทาคะระหรือสาคะระ [Thagara]  ที่แปลว่าเมืองสาครหรือสายน้ำในภาษาบาลี อยู่ทางเหนือของเมืองทวายปัจจุบันและอยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำทวาย ในบริเวณที่มีลำน้ำสายสั้น ๆ เชื่อมต่อ แต่ปัจจุบันเมื่อไม่มีการใช้งานก็ทำให้ตื้นเขินไปมาก ตัวเมืองในรัศมี ๑ ไมล์ มีการกำหนดขอบเขตห้ามใช้ที่ดินเพื่อการกระทำต่าง ๆ หลังจากมีโครงการสร้างถนนตัดผ่านและชาวทวายเรียกร้องไปที่รัฐบาลกลางและได้ผลตอบกลับที่ดี ทำให้โครงการสร้างถนนยุติไป ที่นี่มีการขุดค้นทางโบราณคดีจากหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบของพม่าสองสามจุด เช่น ที่บริเวณซึ่งชาวบ้านเรียกกันว่า ‘วัง’ ทางฝั่งทิศเหนือทำให้เห็นอาคารในรูปแบบศาสนสถานชุดหนึ่งรวมทั้งสำรวจบริเวณรอบ ๆ และบริเวณที่เรียกว่า ‘ท่าเรือ’ [Jetty] ที่ยังคงมีร่องรอยทางน้ำเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำอยู่ ซึ่งพบโบราณวัตถุและฐานอาคารอิฐหลายแห่ง ฐานอาคารโบราณสถานในเมืองสาคะระที่ชาวบ้านเข้าใจว่าเป็น "วัง" แต่น่าจะเป็นอาคารทางศาสนาอาจจะเป็นฮินดูหรือพุทธก็ได้ โบราณวัตถุที่พบจากเมืองสาคะระ, แผ่นหินสลักรูปอาจจะเป็นพระศรีหรือลักษมีเทวี เทพแห่งความรุ่งเรืองที่นิยมกันในยุคนั้น (พยู่ตอนปลาย) เมืองสาคะระน่าจะมีการตั้งถิ่นฐานในรุ่นแรกๆ ในเขตลุ่มน้ำทวาย เพราะพบหลักฐานแตกต่างจากเมืองโบราณในทวายอื่นๆ นักวิชาการบางท่านจัดอยู่ในช่วงยุคเพี่ยวหรือพยู่ [Pyu] ซึ่งกำหนดอายุราว ๖-๑๔ แต่เมื่อเห็นหลักฐานทางโบราณคดี อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ประเมินคร่าว ๆ ว่าอาจจะอยู่ในช่วงยุคปลายของยุคพยู่แล้ว ส่วนอิฐที่พบมีหลายรูปแบบทั้งขนาดใหญ่และเล็กลงมาเล็กน้อยและหลายก้อนมีร่องรอยลายสัญลักษณ์ประทับอยู่หลายแบบ นอกจากนี้ยังพบโบราณวัตถุหลายชิ้นที่ต่อเนื่องกับสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เช่น ขวานหินขัดต่างๆ ลูกปัดแก้วหลายสี และบางชิ้นเป็นหินอาเกต พบแผ่นหินมีรูปสลักอาจจะเป็นพระศรีหรือพระลักษมีก็เป็นได้ พระพุทธรูปนั่งปางประทานอภัยขนาดเล็ก ๆ เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ของเมืองทวายซึ่งคล้ายกับพระพุทธรูปนั่งศิลาขนาดใหญ่พบที่วัฒนธรรมทวารวดีแบบภาคกลางของไทยหรือจันทิเมนดุต เกาะชวา เมืองสาคะระมีการอยู่อาศัยอย่างเบาบางเพราะพบหลักฐานการอยู่อาศัยน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับเมืองโบราณสมัยทวารวดีในประเทศไทย แต่มีการขยายขอบเขตของเมืองสองสามครั้ง เพื่อดึงน้ำหรือรับน้ำทางฝั่งตะวันตกและเหนือของเมืองที่อยู่ใกล้พื้นที่ชายเขา เพื่อเก็บน้ำในคูน้ำทางพื้นที่ที่สูงกว่าทางตะวันตก อย่างไรก็ตามก็ยังพบเครื่องถ้วยจีนบางชิ้นและเครื่องเคลือบหยาบๆ ที่แสดงว่ามีการอยู่อาศัยเรื่อยมาจนถึงการร่วมสมัยกับเมืองวีดีหรือเมืองทวายในยุคอยุธยาเช่นกัน โบราณวัตถุที่พบจากเมืองสาคะระ, ลูกปัดแก้ว ชิ้นส่วนเทวรูปยืนตริภังค์ น่าจะเป็นเทวรูปเช่นเดียวกับที่พบในแถบคาบสมุทรมลายู-สยามหลายแห่งซึ่งอยู่ในช่วงศรีวิชัย เมืองโมกติ  [Mokti]  อยู่ทางใต้ของเมืองทวายทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำทวาย เป็นเมืองรูปร่างซับซ้อน เพราะแยกออกจากกันโดยธรรมชาติ ด้านทิศเหนือมีร่องรอยของแนวกำแพงสามชั้นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งทางฝั่งขวาที่ติดกับเชิงเขา มีร่องรอยของแนวคันดินในพงป่าที่รกรื้อและเข้าสำรวจรูปร่างที่แท้จริงได้ยาก กล่าวกันว่ามีการพบเทวรูปทั้งสี่ด้านของเมือง ซึ่งชาวบ้านนำเทวรูปพระนารายณ์มาไว้สักการะที่ริมถนนทางเข้าเมืองด้านเหนือและสร้างหลังคาคลุมอยู่ ส่วนเทวรูปอื่นๆ ที่มีทั้งส่วนที่ใส่เครื่องประดับยืนตริภังค์ พระคเณศวร พระนารายณ์ ถูกนำไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์เมืองทวายที่วัดใหญ่ประจำเมือง และสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือ พระพิมพ์ขนาดใหญ่เป็นรูปพระพุทธรูปปางสมาธิ และปางหัตถ์แตะธรณี มีสถูปจำลองประดับทั้งสองข้าง ลักษณะคล้ายคลึงกับพระพิมพ์ที่พบในเขตคาบสมุทรภาคใต้และพบเป็นจำนวนมาก อายุของเมืองนี้น่าจะอยู่ในช่วงระหว่างช่วงอายุที่สืบเนื่องมาจากเมืองสาคะระในรุ่นพยู่ตอนปลายและสมัยอยุธยา จากวัตถุที่พบที่เป็นเทวรูป และพระพิมพ์ที่พบเช่นเดียวกันในแถบคาบสมุทรภาคใต้ ทำให้เห็นว่าน่าจะอยู่ช่วงกลุ่มรัฐศรีวิชัยหรือบ้านเมืองที่ติดต่อค้าขายทางทะเลในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๖ ภาพถ่ายทางอากาศแสดงเมืองโบราณ ๓ แห่งในที่ราบลุ่มน้ำทวาย เมืองสาคะระ เมืองโมกติ และเมืองวีดี บริเวณเนินดินกลางทุ่งในเขตที่มีแนวคันดินซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นส่วนของวังเจ้าชายรัชทายาท ใกล้กันนั้นมีบ่อน้ำดื่มศักดิ์สิทธิ์และมีตำนานกล่าวถึงเจ้าชายชาวฉานซึ่งคนทวายเรียกชื่อทั้งคนจากรัฐฉานและคนจากเมืองไทย เป็นเนินดินศักดิ์สิทธิ์ที่ยังใช้กราบไหว้ประจำปีและไม่มีผู้ใดไปทำลาย โบราณวัตถุพบที่เมืองวีดี เหรียญตะกั่วและดีบุกภาพบนเหรียญที่ปรากฏส่วนใหญ่เป็นสัตว์ในจินตานาการทางพุทธศาสนาเป็นพวกสัตว์ผสมบ้าง เช่น นาค หงส์ มังกร ? พระพุทธรูปยืนปางประทานอภัยและพระพุทธรูปที่พระพักตร์ยังคงเค้าลักษณะพระรุ่นอู่ทองที่วัดชินโมที ในเมืองโมกติ ที่นี่พบระฆังที่กล่าวถึงชนชั้นสูงที่เป็นคนไทยมาถวายไว้ ศักราช พ.ศ. ๑๙๗๕ เทวรูปพระนารายณ์ที่ชาวบ้านนำไปตั้งไว้หน้าเมืองโมกติ แต่เมืองนี้ยังมีการอยู่อาศัยสืบเนื่องตลอดมาจนถึงเมื่อคราวกรุงศรีอยุธยายกทัพมายึดทวายและผลัดกันปกครองกับฝ่ายพม่าตั้งแต่เมื่อพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ ดังเห็นได้จากวัดเก่าที่อยู่บนเขา ซึ่งเป็นวัดสำคัญของเมืองและมีคูน้ำคันดินล้อมรอบเขานี้ด้วยทางฝั่งทิศใต้ใกล้กับลำน้ำที่ต่อเนื่องกับแม่น้ำทวาย พบจารึกภาษาพม่าพระพุทธรูปปางประทานอภัยที่มักพบในเขตทวายซึ่งได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมทางอยุธยา รวมทั้งการมีโบสถ์ที่อยู่บริเวณนี้ด้วย ส่วนที่กลางเมืองมีวัดสำคัญของเมืองทวายคือวัดชินโมที ซึ่งมีตำนานเล่าถึงพระพุทธรูปพี่น้อง ๕ องค์ลอยน้ำมาจากลังกาและขึ้นที่เมืองท่าสำคัญของรัฐมอญและทางทวาย ที่นี่พบระฆัง ที่กล่าวถึงชนชั้นสูงที่เป็นคนไทยมาถวายไว้ศักราช พ.ศ. ๑๙๗๕ รวมทั้งยังคงมีพระพุทธรูปยืนปางประทานอภัยและพระพุทธรูปที่พระพักตร์ยังคงเค้าลักษณะ พระรุ่นอู่ทอง แม้จะมีการบูรณะปรับเปลี่ยนไปมากก็ตาม เมืองนี้ค่อนข้างถูกทำลายบริเวณกำแพงเมืองไปหลายส่วนแล้ว ทั้งจากการอยู่อาศัย และการสร้างถนนและการก่อสร้างทางรถไฟที่ไม่ได้ใช้งาน เมืองวีดี [Weidi ] เป็นเมืองรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า อยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำทวาย มีการขุดคลองขุดเป็นแนวตรงเข้ามาสู่ตัวเมืองและใช้เป็นแนวคูน้ำด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งเป็นลำน้ำธรรมชาติที่มีสภาพเป็นป่าชายเลนน้ำกร่อย ที่นี่น่าสนใจเพราะพบเหรียญและแม่พิมพ์ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว ๑๐ เซนติเมตร มีทั้งที่เป็นตะกั่วและดีบุก บริเวณเมืองทวายในเขตที่เป็นเทือกเขา ในแนวเทือกเขาตะนาวศรี มีแร่ธาตุดังกล่าวอยู่มาก จนกล่าวกันว่า ที่เมืองวีดีเมื่อครั้งกองทัพกู้ชาติเพื่ออิสรภาพของพม่ารวมตัวกันเดินทางจากเมืองไทย เข้าสู่ทวายเป็นที่แรก และใช้พื้นที่บริเวณเมืองวีดีเป็นแคมป์ ก็ขุดแนวกำแพงด้านหนึ่งออกไป (เราจะพบว่าเมืองนี้แนวกำแพงมีร่องรอยถูกรื้อทำลายเพื่อใช้พื้นที่อยู่มาก) และพบเหรียญตะกั่วและดีบุกดังกล่าวนี้ ก็ใช้นำมาหลอมเป็นกระสุนในช่วงเวลานั้นเสียจำนวนมาก อายุสมัยของเหรียญขนาดใหญ่ดังกล่าวน่าจะสัมพันธ์กับเมืองวีดี ที่มีอายุเข้าสู่ยุคสมัยแบบการเป็นเมืองท่าค้าขายชายฝั่งอันดามันที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญของทั้งพม่าตอนบนและกรุงศรีอยุธยาแล้ว คือในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒  ภาพบนเหรียญที่ปรากฏส่วนใหญ่ก็เป็นภาพที่มีลักษณะของสัตว์ในจินตนาการทางพุทธศาสนา เป็นสัตว์ผสมบ้าง เช่น นาค หงส์ มังกร ? ดูเหมือนที่ใช้ในงานศิลปกรรมทางศาสนาแบบคนไตหรือไทใหญ่ ซึ่งในเมืองนี้ก็มีร่องรอยตำนานเรื่องคนสาม หรือเสียม หรือเสียน ที่เป็นคำที่คนทวายใช้เรียกทั้งคนไตที่รัฐฉานและคนไทยจากเมืองไทยหรือกรุงศรีอยุธยาด้วย พื้นฐานดั้งเดิมของความเป็นเมืองทวาย หัวเมืองชายฝั่งทะเลทางใต้ของพม่ายังมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ สังคมและวัฒนธรรมอีกมากที่คนไทยยังไม่มีโอกาสรับรู้ แม้จะยังไม่มีการศึกษาเรื่องของเมืองทวายออกมามากนัก แต่ก็ควรตระหนักไว้เสมอว่า หากโครงการเศรษฐกิจพิเศษทวายเดินหน้าจะสร้างผลกระทบอย่างมากมายและถาวรแก่สังคม คนทวายและประเทศพม่าแล้ว สิ่งเหล่านี้ย่อมเป็นส่วนหนึ่งในความรับผิดชอบของคนไทยด้วยเหมือนกัน ที่จะต้องรู้ และเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างที่ทวาย ก็เพราะพวกเราเป็นส่วนหนึ่งของรัฐไทย ที่ไปรับรองโครงการนี้ให้เกิดขึ้นอย่างเต็มที่นั่นเอง วลัยลักษณ์ ทรงศิริ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • ช่างแทงหยวกสายวัดอัปสรสวรรค์

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ย. 2557 งานแทงหยวกที่ใช้ในงานศพ (ที่มา: Facebook ช่างแทงหยวก สกุลวัดอัปสรสวรรค์) งานแทงหยวก เป็นงานช่างที่ใช้การสลักลวดลายลงบนหยวกกล้วย เพื่อใช้ประดับอาคารชั่วคราวหรือปะรำพิธีในงานต่าง ๆ  คนทั่วไปมักเข้าใจว่างานแทงหยวกจะใช้ในงานศพเท่านั้น แต่ความเป็นจริงแล้วสามารถใช้ในงานมงคลได้ด้วย เช่น ใช้ประดับปะรำในงานโกนจุก งานขึ้นบ้านใหม่ เป็นต้น เพียงแต่ว่าไม่ค่อยพบเห็นมากนักในปัจจุบัน  ในพื้นที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา พบว่ามีกลุ่มช่างแทงหยวกกระจายอยู่ตามย่านต่าง ๆ ทั้งในฝั่งธนบุรีและพระนคร เช่น ช่างแทงหยวกสายวัดสังเวช ย่านบางลำพู, ช่างสายวัดพลับ (วัดราชสิทธาราม), ช่างสายวัดระฆังโฆษิตาราม, ช่างสายวัดจำปา ย่านตลิ่งชัน, ช่างสายวัดดงมูลเหล็ก วัดทองนพคุณ เป็นต้นแต่ทว่ากลุ่มช่างแทงหยวกที่ยังหลงเหลือสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันเหลืออยู่เพียงไม่กี่แห่งแล้ว หนึ่งในนั้นคือ ช่างสายวัดอัปสรสวรรค์ ย่านภาษีเจริญ โดยมีครูเชิด สกุล คชาพงษ์ เป็นผู้ดำเนินการสืบทอดวิชาการแทงหยวก   บ้านของครูเชิดตั้งอยู่ในตรอกใกล้กับวัดอัปสรสวรรค์ ตำบลปากคลองภาษีเจริญ เขตภาษีเจริญ ซึ่งเป็นบ้านที่อยู่อาศัยและแหล่งสืบทอดวิชาการแทงหยวกมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ  ครูเชิดเล่าให้ฟังว่า งานแทงหยวกของสายวัดอัปสรสวรรค์ในรุ่นปัจจุบัน มีที่มาสืบมาจากครูช่าง ๒ สาย ได้แก่ สายช่างวัดพลับ หรือวัดราชสิทธาราม ซึ่งได้สืบทอดมาจากฝั่งของปู่และพ่อ คุณปู่ของครูเชิดชื่อว่า โพ ส่วนคุณพ่อชื่อว่า นายขันธ์ คชาพงษ์  ท่านทั้งสองมีพื้นเพเป็นคนบางกอกใหญ่ และได้ร่ำเรียนวิชาการแทงหยวกมาจากช่างพระที่วัดพลับ ซึ่งในสมัยก่อนนั้นถือว่าเป็นแหล่งรวมของครูช่างหลายประเภท โดยเฉพาะงานแทงหยวกที่นับว่ามีความงามเป็นเลิศ นอกจากนี้ยังมีช่างแกะสลักไม้ ช่างแกะสลักเครื่องสด ผัก ผลไม้ ช่างทำหีบศพและโกศ ช่างเขียนลาย ช่างลงรักปิดทอง เป็นต้น  ส่วนอีกสายหนึ่งคือ สายวัดอัปสรสวรรค์ ได้รับสืบทอดมาจากฝั่งของตาท่าน ชื่อหมื่นสวัสดิ์ประชารักษ์ (จ้อย ม่วงนุ่ม) เป็นผู้ใหญ่บ้านและไวยาวัจกรอยู่ที่วัดอัปสรสวรรค์ ภายหลังเมื่อฝ่ายคุณพ่อแต่งงานจึงย้ายเข้ามาอยู่บ้านตรงที่วัดอัปสรสวรรค์แห่งนี้ และรับช่วงต่องานแทงหยวกภายหลังจากที่คุณตาเสียชีวิต ทำให้ลักษณะงานแทงหยวกของทั้งสองสายผสมผสานสืบทอดมาถึงรุ่นของครูเชิดในปัจจุบัน ในวัยเด็กครูเชิดมีโอกาสได้เห็นการทำงานของช่างแทงหยวกมาโดยตลอด ทั้งสายวัดพลับและวัดอัปสรสวรรค์ จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้เริ่มสนใจและฝึกฝนงานแทงหยวกในเวลาต่อมา  “ตอนเด็กๆ ผมชอบตามไปด้วย เพราะว่าไม่ต้องเสียเงินค่าขนม เขามีข้าวเลี้ยง ดึกๆ ก็มีข้าวต้ม พอไปดูก็เริ่มติดตา ติดใจ ... ผมเริ่มฝึกแทงหยวกตอนอายุได้ ๑๐ ปี แต่ไปขลุกอยู่ตั้งแต่อายุประมาณ ๗ ปี  พอย่างเข้าอายุ๑๑–๑๒ ปี ก็ทำได้แล้ว พอรุ่นตาหมดไป รุ่นพ่อหมดไป ก็เข้ามารับช่วงต่ออยู่จนถึงปัจจุบัน”  การฝึกฝนงานแทงหยวกต้องเริ่มจากการฝึกการเขียนลวดลาย โดยฝึกเขียนบนกระดาษก่อน เมื่อเขียนได้แม่นยำดีแล้ว จึงไปฝึกแทงลายลงบนกาบกล้วย บางคนในขั้นแรกอาจใช้วิธีการแทงลายตามกระดาษที่วางไว้ แต่ช่างที่ชำนาญแล้วจะสามารถแทงลวดลายลงบนกาบกล้วยได้เลยโดยไม่ต้องร่างแบบ งานแทงหยวกจึงเป็นงานที่ช่างได้อวดชั้นเชิงฝีมือของตนเอง ทั้งยังเป็นงานที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนและความรวดเร็วแข่งกับเวลา ด้วยข้อจำกัดเรื่องการใช้วัสดุธรรมชาติ  อุปกรณ์ที่ใช้ในงานแทงหยวก ได้แก่ มีดขนาดต่าง ๆ สำหรับใช้แทงหยวกและแกะสลักเครื่องสด  แม่พิมพ์แบบต่าง ๆ ที่ใช้กดพิมพ์ลงบนผลฟักทองหรือมะละกอ สำหรับที่นี่ช่างทุกคนจะมีเครื่องมือประจำตัว และต้องทำกันเองเพราะส่วนมากไม่มีขาย อีกทั้งความถนัดของช่างแต่ละคนไม่เหมือนกัน วัสดุที่สำคัญที่สุดคือหยวกกล้วย ต้องใช้กล้วยตานีเท่านั้นเพราะมีช่องน้ำเลี้ยงกว้าง เก็บน้ำเลี้ยงได้มาก ทำให้ไม่เหี่ยวง่าย ทั้งยังมีความเหนียว ไม่กรอบแตกง่ายเหมือนกล้วยชนิดอื่น ๆ และกาบมีสีขาว เรียบเนียน ไม่มีรอยด่าง  ถ้าเป็นสมัยก่อนกล้วยตานีหาไม่ยาก อย่างที่วัดอัปสรสวรรค์คุณตาของครูเชิดปลูกต้นกล้วยตานีเอาไว้จำนวนมากที่บริเวณป่าช้า เวลาจะใช้ก็ไปตัดมา แล้วไปนั่งทำกันที่หน้าวัด แต่ในปัจจุบันหยวกกล้วยตานีต้องสั่งมาจากต่างจังหวัดเท่านั้น เช่น นนทบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ฯลฯ และมีราคาสูงมากขึ้น เช่นเดียวกับพวกพืชผลอื่นๆ ที่ใช้ประกอบกับงานแทงหยวก เช่น ฟักทอง มะละกอ เผือก มัน ก็มีราคาสูงขึ้นเช่นกัน  การทำงานแทงหยวกในปัจจุบันจึงถือว่าเป็นงานที่ใช้ต้นทุนค่อนข้างสูง ซึ่งอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนนิยมใช้งานแทงหยวกในพิธีต่าง ๆ ลดน้อยลง งานแทงหยวกของช่างแต่ละสายต่างมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง ซึ่งขึ้นอยู่กับฝีมือช่างที่สืบทอดกันมา รวมถึงระเบียบแบบแผนของการใช้งานแทงหยวกในพิธีต่าง ๆ ที่มักจะข้อแตกต่างเล็กน้อยระหว่างงานมงคลและงานอวมงคล ซึ่งช่างสายวัดอัปสรสวรรค์ก็มีแบบแผนเช่นเดียวกัน   งานแทงหยวกที่ใช้ในงานศพเป็นงานที่ช่างได้แสดงฝีมือทั้งการออกแบบลวดลายและการประดับงานเครื่องถม ซึ่งก็คือการกดพิมพ์รูปต่าง ๆ ลงบนผลไม้เนื้อแข็ง เช่น มะละกอ ฟักทอง ทำเป็นรูปดอกไม้ ใบไม้ เพื่อประดับบนกาบกล้วย สำหรับช่างสายวัดอัปสรสวรรค์นั้น การใช้งานเครื่องถมจะทำกันเฉพาะในงานอวมงคลเท่านั้น   การสร้างปะรำพิธีเพื่อใช้ในงานศพ จะทำลักษณะเป็นอาคารชั่วคราว มีฐาน เสา และเครื่องบน โดยทั้งหมดจะประดับด้วยงานแทงหยวกที่ฉลุเป็นลวดลายรองด้วยกระดาษสีต่างๆ ประดับด้วยงานเครื่องถม และงานแกะสลักเครื่องสดเป็นรูปร่างต่าง ๆ ได้แก่ พุ่มดอกไม้ สิงสาราสัตว์ในเทพนิยาย เช่น นรสิงห์ มังกร และประเภทรูปบุคคล เช่น เทวดานางฟ้า ตัวละครจากวรรณคดี เช่น รามเกียรติ์ สังข์ทอง เป็นต้น รวมไปถึงสัญลักษณ์ตามปีนักษัตรของผู้ที่เสียชีวิต ซึ่งงานแกะสลักเครื่องสดเหล่านี้จะใช้ประดับบริเวณฐาน เสา และส่วนยอด  งานแกะสลักเครื่องสดเป็นรูปตัวละครต่าง ๆ นิยมใช้ฟักทองเป็นวัสดุหลัก เช่น ตัวหนุมานจะใช้ฟักทองมาแกะสลักอย่างเดียว หนุมานหนึ่งตัวจะใช้ฟักทอง ๔ ลูก ส่วนโค้งของลูกฟักทองจะใช้ทำแขนและขา ส่วนหัวใช้ฟักทองประมาณครึ่งลูก ซึ่งการเลือกฟักทองเพื่อนำมาแกะสลักนั้น ถ้ายังอ่อนเกินไปจะใช้ไม่ได้ หรือลูกที่แบนจนเกินไปก็ใช้ไม่ได้เช่นกัน ส่วนพวกมะละกอ เผือก และหัวไชเท้า จะนิยมใช้สลักเป็นดอกไม้และใบไม้ ครูเชิดกล่าวว่าการประดับดอกไม้และใบไม้ประกอบกันเป็นช่อใหญ่ ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นอย่างหนึ่งของงานแทงหยวกสายวัดอัปสรสวรรค์ เพราะบางแห่งมักจะติดดอกไม้ประกอบกับใบไม้เพียง ๒ – ๓ ใบ แต่ไม่ได้จัดรวมกันเป็นช่อขนาดใหญ่ นอกจากนี้ลักษณะของลวดลายของช่างสายวัดอัปสรสวรรค์มีความคมชัดและมีรายละเอียดมาก  นอกจากนี้การใช้งานแทงหยวกในพิธีศพยังมีรายละเอียดของการประดับและสีสันที่มากน้อยแตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของสถานะและความอาวุโสของผู้ตายเป็นสำคัญ ถ้าเป็นงานศพของพระภิกษุ ช่างสายวัดอัปสรสวรรค์จะทำให้แตกต่างจากบุคคลทั่ว ๆ ไปคือ จะใช้การแกะสลักหยวกกล้วยล้วน ๆ ไม่มีการลงสีที่หยวกกล้วย หรือติดดอกไม้ใบไม้จำนวนมาก และกระดาษสีที่นำมารองหยวกที่ฉลุลายจะใช้กระดาษสีทองเท่านั้น     ส่วนงานแทงหยวกในประเภทงานมงคล สมัยก่อนนิยมทำกันมากทั้งในงานโกนจุก งานสรงน้ำพระ แห่พระพุทธรูป เป็นต้น งานประเภทนี้เรียกว่า   งานเบญจา คือจะทำการตั้งเบญจาหรือแท่นเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูป อ่างน้ำมนต์ เป็นต้น โดยเบญจาจะประดับด้วยงานแทงหยวก  เช่น เบญจาโกนจุก ใช้เป็นที่ตั้งของอ่างน้ำมนต์ที่จะใช้อาบตัวเด็กที่เข้าพิธีโกนจุกเบญจาพระเจดีย์ทรายในงานขึ้นบ้านใหม่ ซึ่งงานเหล่านี้ปัจจุบันแทบไม่หลงเหลือแล้ว    รูปแบบของงานแทงหยวกที่ใช้ในงานมงคลของช่างสายวัดอัปสรสวรรค์ จะแตกต่างจากที่ใช้ในงานอวมงคลอย่างสิ้นเชิง คือใช้การแกะสลักหยวกกล้วยเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการตกแต่งด้วยเครื่องถมและรูปดอกไม้ใบไม้ แต่จะแต้มสีสันลงบนหยวกกล้วยเพื่อความสวยงามได้ และจะใช้หยวกกล้วยประดับเฉพาะส่วนฐานเท่านั้น โดยจะทำซ้อนกัน ๒ – ๓ ชั้นก็ได้ ส่วนเสาและหลังคาจะไม่นำกาบกล้วยไปประดับเลย แต่จะประดับด้วยผ้าขาวและงานร้อยดอกไม้ พวงมาลัย พวงอุบะ  ซึ่งลวดลายแทงหยวกที่นิยมใช้ในงานมงคลคือ ลายบัวกลุ่ม ทำเป็นลักษณะอย่างดอกบัว มีก้านบัว กลีบบัว และเกสรบัว แต้มด้วยสีเขียว สีเหลือง และชมพู เรียงซ้อนเป็นชั้น ประกอบเข้ากับลายฟันห้า     ครูเชิดเล่าว่า ในอดีตงานแทงหยวกถือว่ามีงานชุกมาก ทั้งงานมงคลและงานอวมงคล โดยเฉพาะงานศพที่สมัยก่อนยังไม่มีเตาเผาศพ จึงต้องจัดทำเมรุขึ้นกลางแจ้ง เวลามีงานแต่ละครั้งกลุ่มช่างแทงหยวกจะนำวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ขนลงเรือเอี้ยมจุ๊นไปยังวัดต่าง ๆ ในแถบฝั่งธนบุรีและพื้นที่ใกล้เคียงเพราะยังไม่มีถนนหนทางมากนัก ช่างที่ทำงานแทงหยวกได้ต้องมีความอดทนสูงและต้องมีความชำนาญมาก เนื่องจากต้องทำงานแข่งขันกับเวลา การเตรียมงานแทงหยวกจะมีขึ้นก่อนวันงานจริงหนึ่งวัน โดยช่างจะต้องดูสถานที่เพื่อออกแบบให้มีความเหมาะสม ทั้งความกว้าง ความสูง แล้วจึงเริ่มทำงานตั้งแต่ตอนเย็นไปจนตลอดทั้งคืนเพื่อให้ทันวันงานที่จะมีขึ้นในวันรุ่งขึ้น โดยจะมีช่างฝีมือหลาย ๆ คนแบ่งกันทำงาน ทั้งช่างแทงหยวก ช่างแกะสลักเครื่องสด ช่างทำเครื่องถม ติดดอกติดใบ และช่างร้อยดอกไม้ ครูเชิด สกุล คชาพงษ์ ผู้สืบทอดงานแทงหยวกสายวัดอัปสรสวรรค์ ปัจจุบันกลุ่มช่างสายวัดอัปสรสวรรค์ยังรับทำงานแทงหยวกอยู่ ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยมากจะเป็นงานศพ รวมถึงงานประเภทอื่น ๆ เช่น งานทำบุญกระดูก งานตั้งศาลพระภูมิ เป็นต้น ซึ่งครูเชิดยังคงเป็นหัวแรงหลักในการทำงานแทงหยวก ขณะเดียวกันก็ถ่ายทอดความรู้ให้กับลูกหลานและช่างรุ่นใหม่ ๆ  “ทุกวันนี้เวลามีงานผมยังไปเอง ถึงมีลูกศิษย์แต่ยังไปกำกับด้วยตนเอง แล้วยังมีลูกชายและหลาน แล้วมีเด็ก ๆ พาไปฝึกด้วยอีก ๒ – ๓ คน ให้ได้รู้ได้เห็นเพราะกลัววิชานี้จะสูญไป ... ทางสายผมก็เหลือแค่ผมที่ถือหางเสืออยู่เท่านั้นอย่างผมทุกวันนี้เริ่มมีปัญหาเรื่องสายตา แกะตอนกลางคืนไม่ได้แล้ว ต้องทำกลางวัน ซึ่งการแกะหยวกกล้วยยังพอไหว แต่ว่าให้แกะพวกมะละกอไม่ได้แล้ว” ในอนาคตครูเชิดหวังว่างานช่างแทงหยวกของช่างสายวัดอัปสรสวรรค์จะคงอยู่และสืบทอดไปในอนาคต ไม่สิ้นสูญไปเหมือนอย่างช่างแทงหยวกสายฝั่งธนฯ ที่ค่อย ๆ ล้มหายไปจนแทบไม่เหลืออยู่อีกแล้วในปัจจุบัน      อภิญญา นนท์นาท อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • วัดญวนสะพานขาวกับการทบทวนเรื่องราวของชุมชนแออัดที่มีการศึกษาทางมานุษยวิทยาแห่งแรกของกรุงเทพฯ

    เผยแพร่ครั้งแรก 7 ก.ค. 2560 หลังเสียกรุงศรีอยุธยา การสร้างบ้านเมืองในช่วงกรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ถือว่าการรวบรวมประชากรทั้งผู้คนจากกรุงเก่า จากเหล่านานาชาติ กลุ่มผู้มีฝีมือทางงานช่างสารพัดเข้ามาอยู่ในพระนครและปริมณฑลถือเป็นสิ่งสำคัญควบคู่ไปกับการสร้างพระราชวัง ศาสนสถาน ย่านการค้า ฯลฯ ในคราวที่บ้านเมืองร้างไร้ผู้คนอันมีผลมาจากสงครามครั้งใหญ่ หนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์สำคัญที่สืบเนื่องมาจากการสงคราม ครั้งรวบรวมพระราชอาณาเขตเข้าเป็นหนึ่งเดียวครั้งใหม่นี้คือ เหล่าชาวญวนซึ่งอพยพเข้ามาอยู่แถบบ้านญวนและวัดญวนใกล้กับทางตะวันออกของวัดโพธิ์ที่ตั้งถิ่นฐานกันมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี อันสืบเนื่องจากเหตุการณ์ไตเซินซึ่งเป็นการลุกฮือของผู้นำกลุ่มชาวนาต่อสู้กับเจ้านายทั้งฝ่ายทางเหนือและทางใต้ ทำให้บ้านเมืองญวนแตกออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ ความไม่สงบเกิดขึ้นมากพอ ๆ กับบ้านเมืองในสยามยุคเดียวกันนั้น องเซียงซุนมีศักดิ์เป็นอาขององเชียงสือ พาคนญวนกลุ่มหนึ่งเดินทางเข้ามาในสมัยกรุงธนบุรีฯ เมื่อราว พ.ศ. ๒๓๒๐ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดเกล้าฯ ให้ชุมชนญวนรุ่นนี้ตั้งบ้านเรือนอยู่ฟากกรุงเทพฯ ในปัจจุบัน และสร้างวัดขึ้น ๒ แห่ง คือ “วัดกามโล่ตื่อ” หรือ “วัดทิพยวารีวิหาร” ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นวัดแบบจีนแล้ว และ “วัดโห่ยคั้นตื่อ” หรือ “วัดมงคลสมาคม” ซึ่งเดิมตั้งอยู่หลังวังบูรพาภิรมย์ แต่เมื่อตัดถนนพาหุรัดพาดผ่านจึงแลกที่ดินไปตั้งอยู่แถบถนน แปลงนาม ย่านเยาวราช เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ขึ้นครองราชย์ ปีเดียวกันนั้นองเชียงสือนำชาวญวนเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ไตเซินในแถบภาคกลางและอยู่อาศัยที่กรุงเทพฯ อยู่นานถึง ๒๐ กว่าปีก่อนจะกลับไปกู้บ้านเมืองและปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์พระองค์แรกแห่งราชวงศ์ยาลอง ในช่วงระหว่างนี้ชุมชนชาวญวนสร้างวัดญวนขึ้นสองแห่งคือ “วัดกั๋นเพื๊อกตื่อ” หรือวัดญวนบางโพ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาไกลจากพระนครขึ้นไปทาง เหนือ และวัดญวนตลาดน้อยหรือที่เรียกกันแต่เดิมว่า “วัดคั้นเยิงตื่อ” ริมแม่นำ้เจ้าพระยาอีกเช่นกัน ชื่อเป็นทางการภายหลังคือ “วัดอุภัยราชบำรุง” เกิดไฟไหม้ใหญ่ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ราว พ.ศ. ๒๔๔๑ ติดกันถึงสองครั้ง จึงใช้ทรัพย์ส่วนพระองค์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าพาหุรัดมณีมัย กรมพระเทพนารีรัตน์ พระราชธิดาซึ่งประสูติจากสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ และสิ้นพระชนม์เมื่อพระชันษา ๑๐ ปี ตัดถนนสายใหม่จาก “บ้านลาว” ไปจนถึง “สะพานหัน” เรียกว่า “ถนนพาหุรัด” ถนนพาหุรัดตัดผ่านบ้านญวนจึงเรียกว่า “ถนนบ้านญวน” ในระยะแรก ๆ ก็เพื่อให้เป็นย่านเศรษฐกิจการค้าท่ีต่อเนื่องกับทางถนนเจริญกรุงที่ตัดขึ้นในคราวรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถนนตัดใหม่ทั้งเจริญกรุงและพาหุรัดจึงตัดผ่านทั้งบ้านญวน บ้านลาวหรือบ้านกระบะ และบ้านหม้อหรือบ้านมอญ ซึ่งเป็นชุมชนที่เรียงรายนับจากฝั่งตะวันออกไปทางตะวันตก ซึ่งเป็นชุมชนที่ไพร่พลทั้งอพยพและถูกอพยพมาจากถิ่นฐานบ้านเมืองเดิมและนำมาให้อยู่อาศัยในกรุงเทพมหานคร เมื่อมีการตัดถนนก็กระจัดกระจายไปอยู่ในพื้นที่อื่นหรือแทรกไปกับชุมชนอื่น ๆ ถูกบูรณาการทางสังคมและวัฒนธรรม ทำอาชีพต่าง ๆ ทั้ง งานช่างฝีมือ งานหัตถกรรม ตลอดจนรับราชการต่าง ๆ จนกลายเป็นผู้คนพลเมืองของสยามประเทศในกรุงเทพฯ ไปในที่สุด วัดญวน สะพานขาวหรือวัดสมณานัมบริหาร ชุมชนที่ “วัดญวน สะพานขาว” เกิดขึ้นสืบเนื่องจาก ราว พ.ศ. 2376 รัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ในศึกญวน เจ้าพระยาบดินทรเดชายกทัพได้ครัวญวนที่ถือพุทธศาสนาพวกหนึ่ง ก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่จังหวัด กาญจนบุรี ส่วนพวกญวนที่ถือศาสนาคริสตังให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่สามเสน ต่อมาในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พวกญวนบางกลุ่มที่เมืองกาญจนบุรีขอกลับคืนมายังกรุงเทพฯ แต่ในปัจจุบันก็ยังมีชุมชนวัดญวนที่กาญจนบุรีอยู่ จึงพระราชทานที่ดินพร้อมให้สร้างวัดกั๋นเพื๊อกตื่อในบริเวณริมคลองผดุงกรุงเกษมเมื่อราว พ.ศ. ๒๔๑๘ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงพระราชทานนามว่า วัดสมณานัมบริหาร ส่วนชาวบ้านเรียกกันทั่วไปจนถึงปัจจุบันว่า “วัดญวน สะพานขาว” บริเวณที่ตั้งของชุมชนคนญวนนี้อยู่ใกล้กับสี่แยกมหานาค ซึ่งมีชาวมลายูมุสลิมและคนจามมุสลิมตั้งชุมชนอยู่ริมคลองมหานาคไม่ไกลจากชุมชนวัดญวนนัก ย่านนี้ทั้งคนจาม คนมลายู และคนญวนในช่วงเวลานั้นล้วนอยู่ในกำกับของเจ้าคุณกลาโหมหรือเจ้าคุณทหารหรือเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) ผู้เป็นหลานสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ซึ่งทุกกลุ่มชาติพันธุ์น่าจะเป็นแรงงานในการช่วยขุดคลองคูเมืองรอบนอกคือคลองผดุงกรุงเกษม และคลองเปรมประชากร ที่นอกเหนือไปจากจ้างแรงงานชาวจีนขุดแล้ว โดยมีกลุ่มตระกูลบุนนาคและขุนนางท่ีได้รับการสนับสนุนและต่อมาได้เป็นเจ้ากรมคลอง เช่น พระยาชลธารวินิจจัย (ฉุน ชลานุเคราะห์) ผู้ได้รับการศึกษาจากกองเรืออังกฤษคนแรก ๆ ในช่วงเวลาราว พ.ศ. ๒๓๙๔ และช่วง พ.ศ. ๒๔๑๓ ซึ่งที่โบสถ์ของวัดสมณานัมบริหารยังคงมีภาพ “กัปตันฉุน” อยู่ภายใน คณะสงฆ์ชาวญวนนั้นได้นำวัตรปฏิบัติแบบพุทธศาสนามหายาน โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในขณะทรงผนวชอยู่ได้สนพระทัยและสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้กับ “องฮึง” เจ้าอาวาสวัดญวน ตลาดน้อยจนเป็นที่พอพระทัย เมื่อขึ้นครองราชย์ แล้วก็สนับสนุนให้ปฏิสังขรณ์วัดญวน ตลาดน้อยหรือวัดอุภัยราชบำรุงต่อมา และโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้าถวายพระพรในช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษา และเป็นพระสงฆ์อีกฝ่ายในพิธีสงฆ์ของหลวงเรื่อยมา และได้รับเกียรติให้ประกอบพิธีกงเต๊กแบบญวนถวายเป็นครั้งแรก โดยกระทำครั้งแรกในพระราชพิธีพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในพระราชพิธีพระบรมศพ และพระศพพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงเรื่อยมาจนทุกวันนี้ ซึ่งงานช่างฝีมือกงเต๊กหลวงยังสามารถสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน พร้อมกับพิธีกงเต๊กหลวงเผาเครื่องกระดาษแบบอนัมนิกาย แม้ช่างผู้ทำจะไม่ได้มีเชื้อสายญวนแล้ว แต่ก็เป็นคนจีนและไทยผสมที่มีถิ่นฐานอยู่ในละแวก วัดญวนสะพานขาว ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจัดทำชุดกงเต๊กถวาย พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ เมื่อเร็ว ๆ นี้ด้วย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ เคยเสด็จพระราชดำเนินมาที่วัดสมณานัมบริหาร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๖ และฉลอง พระอุโบสถเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๑ และได้พบกับเจ้าอาวาสองสุตบทบวร (บ๋าวเอิง) ซึ่งเป็นพระสงฆ์ชื่อดังเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านอย่างมาก นับว่าคณะสงฆ์อนัมนิกายที่มีวัดอยู่ทั่วประเทศได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระมหากษัตริย์ไทยมาทุกยุคสมัยจนถึงรัชกาลปัจจุบัน ซึ่งคณะสงฆ์อนัมนิกายนี้เป็นหนึ่งในคณะสงฆ์ทางพุทธศาสนา ที่มีการกำกับดูแลโดยกฎหมายของมหาเถรสมาคม มีการสวดแบบภาษาญวนเก่า สำเนียงเดิมที่จดจำต่อกันมา และจดคัดลอกบันทึกมาเป็นภาษาไทย มีการจัดตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรม 2-3 แห่ง ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๒ เป็นต้นมา ทั้งแผนกสามัญศึกษาระดับมัธยมและมหาวิทยาลัย โดยเป็นส่วนหนึ่งในมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย สำหรับคณะสงฆ์อนัมนิกาย การสืบพระศาสนาในคณะอนัมนิกายนี้ตัดขาดกับคณะสงฆ์ทางพุทธศาสนาที่เวียดนามโดยเด็ดขาดด้วยเหตุผลทางการเมืองและการต่อสู้ในประเทศเวียดนามที่มีอยู่อย่างต่อเนื่องไม่ตำ่กว่าสองร้อยปี จนเพิ่งจะมีการริเริ่มสมาคมระหว่างสถานทูตเวียดนามและสงฆ์ ชาวเวียดนามในปัจจุบันเพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทุกวันนี้นอกจากพระสงฆ์ในนิกายแบบอนัมนิกายแล้วก็มีเพียงฐานรอบเจดีย์ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทที่มีร่องรอยการบรรจุอัฐิของคนเชื้อสายญวนซึ่งส่วนใหญ่อพยพเข้ามาในประเทศไทย ช่วงสงครามอินโดจีนและในช่วงสงครามเวียดนามเท่านั้น และเป็นคนจากภาคกลางของประเทศเป็นจำนวนมากกว่าพื้นที่อื่น ๆ สอบถามคนที่อยู่อาศัยในละแวกนี้กลับไม่พบคนเชื้อสายญวนแต่อย่างใด สาเหตุน่าจะเนื่องมาจากการเมืองระหว่างประเทศในช่วงหนึ่งที่ทำให้คนไทยมองว่าพรรคคอมมิวนิสต์นั้นอันตราย ประเทศสังคมนิยมโดยเฉพาะเวียดนามนั้นอันตรายจนทำให้คนไทยเชื้อสายญวนดั้งเดิมไม่กล้าที่จะแสดงตน และกลืนกลายเป็นคนไทยทั้งชื่อนามสกุล หากไม่มีเหตุอันใด เช่น การทำบุญให้บรรพบุรุษหรือวันตรุษปีใหม่ก็จะมารวมตัวกัน และแทบจะไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะมากนัก บริเวณวัดญวน สะพานขาวแต่เดิมมีพื้นที่มีคูนำ้ล้อมรอบชัดเจนและมีต้นไม้ร่มครึ้ม เนื่องจากมีอาณาบริเวณมาก ภายหลังกล่าวกันว่าดูเป็นป่ารก คนเข้ามาจับจองกันมาก โดยเฉพาะพวกช่างต่าง ๆ หรือช่างปูกระเบื้องตั้งแต่สมัยมาสร้างพระที่นั่งอนันตสมาคม ช่วงระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๕๑-๒๔๕๙ ทั้งคนงานจากต่างจังหวัดและคนเรือค้าขายตลอดจนคนจีนไหหลำที่เข้ามาต่อตู้ โต๊ะ และเฟอร์นิเจอร์ไม้ต่าง ๆ จึงเข้ามาบุกรุกพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณริมคลองคูรอบวัด สร้างบ้านเรือนอยู่ต่อกันมาและรับจ้างทำงานก่อสร้างอาคารสำคัญ ๆ เช่น โรงหนังทางวังบูรพาเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และอยู่สืบเนื่องมาจนกลายเป็นย่าน “ชุมชนตรอกใต้” นั่นเอง งานศึกษาชุมชนทางมานุษยวิทยาในบริเวณที่เรียกว่า “ตรอกใต้” ของอาจารย์ ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ เป็นการศึกษาชุมชนแออัดหรือสลัมแห่งแรกในกรุงเทพมหานคร เป็นวิทยานิพนธ์ทางมานุษยวิทยาปริญญาเอกเมื่อราว พ.ศ. ๒๕๑๑-๒๕๑๒ ซึ่งต่อมาหลังจากชุมชนตรอกใต้ถูกไฟไหม้ เรื่องกรรมสิทธิ์ บริเวณนี้กลายเป็นกรณีพิพาทระหว่างวัดญวน สะพานขาวและสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งทางวัดอ้างอิงเรื่องการรับพระราชทานที่ดินในรัศมีของแนวคลองหรือคูน้ำล้อมรอบกับที่ภายนอก ตรอกใต้อยู่บนคูน้ำที่ตื้นเขินพอดี พื้นที่นี้กลายเป็นที่วัด ปลูกตึกแถว ให้เช่า ส่วนด้านหน้าติดถนนก็เป็นที่ดินและตึกแถวของสำนักงานทรัพย์สินฯ ไป แต่คนที่อยู่อาศัยบางคนยังสืบเนื่องมาจากตรอกใต้มีอยู่อีกจำนวนไม่น้อย ทั้งที่กระจายอยู่ด้านหลังตึกแถวของวัดในสถานที่ดั้งเดิม และกระจายเข้าไปอยู่ทางแถบริมคลองลำปักด้านที่ติดกับทางออกไปถนนหลานหลวง คลองแห่งนี้เคยเป็นคลองจริง ๆ กว้างราวเรือกลับลำได้ น้ำเคยใสว่ายเล่นอยู่ข้างวัดญวน ซึ่งมีการบุกรุกพื้นที่ต่อมาและให้เช่าบ้านพักภายในตรอกชุมชนวัดญวน-คลองลำปัก จนกลายเป็นย่านชุมชนแออัดขนาดใหญ่ ผู้คนมีจากหลากหลายที่มาต่อจากตรอกใต้ และชุมชนรอบวัดญวนนี้ยังคงมีอาชีพเป็นช่างปูกระเบื้องที่คนทั่วไปรู้จักดีและมักจะมาหาช่างเหล่านี้ที่วัดญวน สะพานขาวอยู่เช่นเดิม อาจารย์ ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ กล่าวว่า ครั้งหนึ่งตรอกใต้ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่เสื่อมโทรมที่สุดของกรุงเทพฯ ในยุคนั้นทีเดียว จากการบรรยายดูเหมือนจะพอมีพื้นที่สำหรับนั่งกินโอเลี้ยงกาแฟอยู่บ้าง แต่ทว่าบริเวณตรอกวัดญวน-คลองลำปักเดี๋ยวนี้แม้แต่พื้นที่จะหายใจ ยังอึดอัด ทางเดินทอดยาวและแคบเสียจนแทบจะต้องเบี่ยงตัวหลบ หากเดินสวนทางกัน และบางแห่งก็มืดมิดเพราะหลังคาที่ทับซ้อน และที่ต่างกันมากคือตรอกใต้ในสมัยนั้นยังไม่มียาเสพติด งานของอาจารย์อคิน (ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์) ที่นำมาเขียนย่อ ๆ แบบหลายชีวิต ถึงชีวิตคนตรอกใต้กลุ่มหนึ่งที่เป็นตัวแทนของผู้คนในตรอกดั่งนวนิยาย ในช่วงก่อน พ.ศ. ๒๕๑๑ หลังไฟไหม้ใหญ่เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๑ คุณพณิฎา สกุลธนโสภณ หรือพี่ใหญ่ของชาววัดญวน ผู้เป็นไวยาวัจกรและมีหน้าที่ดูแลหลายกิจกรรมสารพัดอย่างที่วัดญวน สะพานขาว ซึ่งเป็นคนตรอกใต้แต่กำเนิดเล่าให้ฟังว่าตนเองและครอบครัวย้ายออกมาจากตรอกใต้ พ่อไปทางแม่ไปทาง แม่พ่อใหญ่เป็นคนนครสวรรค์ที่มีเชื้อจีนผสมญวน แต่มาพบพ่อคนเมืองนนท์ที่ตรอกใต้ ยายกับแม่พี่ใหญ่มาโดยเรือค้าข้าว ที่นำข้าวเปลือกมาขายโรงสีในคลองผดุงฯ คนที่ตรอกใต้หลายคนมาด้วยวิธีนี้ บ้างก็มาจากเรือผลไม้ พวกแตงโมมาที่ตลาดมหานาคเป็นพื้น ถ้าขึ้นบกได้ก็มักจะอยู่กันแถบวัดญวนนี้ แต่แฟนพี่ใหญ่เป็นคนจีน ไหหลำหน้าวัดญวน พอแต่งงานกัน พี่ใหญ่ก็ย้ายกลับมาอีก แต่คราวนี้อยู่ข้างวัดที่ปลูกเป็นบ้านหลัง ๆ ติดกับแนวคลองลำปักที่เป็นทางนำ้ไปออกคลองผดุงกรุงเกษม ช่วงท่ีอาจารย์ ม.ร.ว.อคิน เข้าไปศึกษา พ่อใหญ่คงอายุไม่มาก แต่พี่ใหญ่ยังระลึกถึง “ความเป็นคนตรอกใต้” เสมอ หลังจากตรอกใต้ไฟไหม้ คนก็เข้าไปจับจองพื้นที่ทันทีเหมือนกัน หลังจากนั้นอีกราวเป็นสิบปี จึงทำข้อตกลงกับสำนักงานทรัพย์สินฯ เพื่อจะระบุแนวเขตที่ดิน แต่ภายหลังเห็นว่าตกลงกันได้ บริเวณตรอกใต้จึงปลูกเป็นตึกแถวเป็นแนวไป ด้านหน้าที่เป็นตึกของสำนักงานทรัพย์สินฯ ก็ให้คนที่ตรอกใต้เซ้งก่อน แต่ส่วนใหญ่ไม่สามารถเซ้งได้ ก็เลยมาปลูกบ้านอยู่หลังตึกที่สร้างนั่นเอง แต่อยู่บนแนวลำคลองที่เคยเป็นคูนำ้ใหญ่ล้อมรอบวัด ต่อมาบางครอบครัวที่พอเซ้งได้หรือโชคดีที่มีคนทิ้งไว้ให้ก็ออกมาอยู่ที่ตึก ทุกวันนี้ยังมีคนทำมังกรจุ่มสี หลังจากสมัยที่อาจารย์อคิน เข้ามาแล้วคงมีหลายบ้านทำเลียนแบบ ทำตุ๊กตายืดหด ป๋องแป๋งเด็กเล่น ยังมีคนทำอยู่บางบ้าน ทุกวันนี้ชาวตรอกใต้ก็ยังอยู่เพียงแต่ไม่ได้มีสถานะเป็นชุมชนเหมือนพื้นที่อื่น ๆ ทางฝั่งเหนือที่เป็นชุมชนวัดญวน-คลองลำปักก็เป็นชุมชนขึ้นทะเบียนของกรุงเทพมหานครไปแล้ว แต่ก็ไม่สามารถรับการช่วยเหลือจากทางรัฐท้องถิ่นเพราะเป็นชุมชนบุกรุก ช่วงแรก ๆ ในสมัย พล.ต. จำลอง ศรีเมือง เป็นผู้ว่าราชการออกเลขที่บ้านให้เด็กเพื่อเรียนหนังสือ ต่อมาจึงถูกนำมาใช้สถานะอื่น ๆ กลายเป็นชุมชนและบ้านที่ซื้อขาย เปลี่ยนมือได้ เพราะบริเวณนี้ทั้งใกล้และสะดวกทุกอย่างในการเลี้ยงชีพและดำเนินชีวิต ปัญหาหนักของคนในชุมชนแออัดทุกวันนี้ไม่พ้นยาเสพติด ทั้งดมกาวไปจนถึงยาบ้าและยาไอซ์ ได้ทหารมาปรามไปบ้างก็ค่อย ๆ ลดลง พี่ใหญ่ตั้งกลุ่มตั้งชมรมแอโรบิก กลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุข มีพี่ ๆ น้อง ๆ ผู้หญิงทั้งนั้นมาช่วยกันทำงานอาสาบ้าง ทำงานเรื่องเด็ก และเยาวชนบ้าง พี่ใหญ่ช่วยหาทุนสงเคราะห์กันบ้างก็ยังมีอาการน่าเป็นห่วง เด็ก ๆ หลังจากที่ชุมชนไม่ได้รับการยอมรับจากเจ้าหน้าที่รัฐ เมื่อสองสามปีที่แล้ว การดูแลช่วยเหลือก็ยิ่งทำได้ยากขึ้น ส่วนเด็กวัยรุ่นท้องก่อนวัยอันควรก็ยังเป็นปัญหาใหญ่ เรื่องเช่นนี้สมัยที่อาจารย์ ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ศึกษาชุมชนที่ตรอกใต้ ก็เห็นว่าไม่ค่อยมีเรื่องอะไรแบบนี้ ส่วนคนจีนไหหลำที่เคยปลูกบ้านอยู่ใกล้ ๆ กับคนตรอกใต้ ที่เรียกว่าพวกโรงตู้ คือมีอาชีพทำพวกเฟอร์นิเจอร์ ตู้ เตียงต่าง ๆ หลังจากไฟไหม้ส่วนใหญ่ย้ายไปอยู่แถว ๆ ซอยประชานฤมิตรที่เป็นถนนสายไม้ในปัจจุบัน แต่ก็ยังเหลือเจ๊หย่ง เจ๊วา อยู่ตึกปากตรอกใต้แต่เดิม หรือซอยลูกหลวง 6 ขายขนมจีนไหหลำทั้งหมูทั้งเนื้อ ซึ่งขายมาตั้งแต่อยู่ที่หน้าวัด เมื่อไฟไหม้และไม่ได้มีอาชีพด้านช่าง จึงไม่ได้ย้ายตามพรรคพวกไปแต่ย้ายมาขายขึ้นตึกมีฐานะจนถึงปัจจุบัน พี่ใหญ่บอกว่า คนเชื้อสายญวนเก่าก็ไม่มีแล้ว แต่ทางชุมชนวัดญวนยังได้รับมรดกทางวัฒนธรรมเป็นอาหารประจำถิ่นอยู่สองอย่าง คือ “ปอเปี๊ยะทอด” กับ “มะเหง่” ที่ใช้เส้นเหมือนขนมจีนไหหลำ แต่เส้นใหญ่กว่าและหนานุ่มกว่า ซึ่งเป็นเส้นข้าวเปียกตามแบบโบราณ ใช้น้ำซุปปลาแล้วแกะเนื้อปลาทูหรือเนื้อปลาช่อน เป็นข้าวเปียกปลาที่หารับประทานได้ยากแล้วในปัจจุบัน อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • สวนผัก: สวนของคนจีนย่านตลิ่งชัน

    เผยแพร่ครั้งแรก 26 พ.ค. 2559 แม้ว่าคนไทยประกอบอาชีพทำสวนมาหลายศตวรรษ ยังมีคนจีนที่เข้ามาตั้งรกรากในฝั่งธนบุรียึดอาชีพทำสวนด้วยโดยเริ่มแรกเข้ามาถือสวนจากชาวสวนไทยแต่คนจีนมักปลูกพืชที่ขายได้กำไร หรือเป็นพืชเศรษฐกิจตามสมัยนิยม สวนของคนจีนจึงมีทั้งสวนหมาก สวนพลูและสวนผักที่ชาวจีนนิยมปลูกกันพวกหัวไชเท้า ผักกาด พร้อมกับเลี้ยงหมูควบคู่ไปด้วย ดังจะเห็นได้จากบันทึกของชาวยุโรปที่เข้ามาบางกอกในสมัยรัชกาลที่ ๓ กล่าวถึงสวนของคนจีนที่อยู่ลึกเข้าไปจากแม่น้ำในกรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๙ ว่า มีการทำสวนกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก อาจจะพูดไม่ได้ว่าเป็นสวนที่มีคุณภาพดีเลิศ แต่ทว่าเป็นสวนที่งอกงามดี …. มีร่องถั่ว …. ผักกาดหอม หัวไชเท้า ( หัวผักกาด ) ใบพลู และหมาก ซึ่งปลูกกันเป็นส่วนใหญ่ในสวน ชาวสวนอยู่อาศัยในกระต๊อบสกปรกเล็ก ๆ ภายในอาณาบริเวณไร่สวนของตน มีสุนัขเฝ้าสวนเป็นจำนวนมากและมีเล้าหมูส่งกลิ่นตลบอบอวล (กรมศิลปากร, บันทึกรายวันของ เซอร์จอห์น เบาริง ค.ศ. 1792-1872, กรุงเทพฯ, ๒๕๓๒) วิธีทำสวนของคนจีนแตกต่างกับชาวสวนไทย เพราะทำควบคู่กับการเลี้ยงสัตว์ โดยใช้มูลสัตว์และปลาเน่าเป็นปุ๋ยชีวภาพ ช่วยทำให้พืชผักงอกงาม ขายได้ราคา ในยุคแรก ๆ คนไทยส่วนหนึ่งก็ไม่นิยมกินผักจากสวนของคนจีนเพราะเห็นว่าสกปรก โดยเฉพาะความเชื่อที่ว่ามีการนำมูลคนไปรดผักและเชื่อเช่นนั้นอยู่เป็นเวลานาน แต่ผักจากสวนของคนจีนเน้นปลูกจำนวนมากและราคาไม่แพง ด้วยความขยันอุตสาหะ สวนผักของคนจีนจึงกลายเป็นพืชผักหลักในการบริโภคในสำหรับอาหารและแทนที่ผักท้องถิ่นที่ออกผลตามฤดูกาลและมีจำนวนหลากหลายกว่า แวริงตัน สมิท กล่าวถึงการเดินทางไปกาญจนบุรีในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อผ่านเรือกสวนก็ระบุชัดว่าในช่วงเวลานั้นมีการปรับพื้นที่จากที่นาให้เป็นสวนยกร่องแบบจีน และสวนแบบนี้มักจะเป็นการปลูกพืชผักเพื่อขายภายในและการส่งเป็นสินค้าส่งออกในระบบตลาดอย่างชัดเจน ทั้งอ้อยที่ไปหีบทำเป็นน้ำตาล หมากซึ่งเป็นสินค้าที่มีความต้องการมาก ส่วนพริกไทยนั้นก็มีความต้องการของตลาดมาก ทุ่งนามักจะทำให้เหมาะเป็นสวนจีน ปลูกต้นกล้วย ต้นอ้อย ต้นหมาก และต้นพริกไทย โดยปลูกเป็นแถวยาวขนานไประหว่างคูน้ำ (H. Warington Smyth. Five Years in Siam, From 1891-1896. Vol. I & II, White Lotus, Bangkok 1994) เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้มีการขุดคลองมหาสวัสดิ์เชื่อมคลองบางกอกน้อยออกแม่น้ำท่าจีน สองฝั่งคลองขุดใหม่ก็เริ่มมีชาวจีนเข้ามาเช่าที่ตั้งรกรากปลูกผักขายทั้ง คะน้า กวางตุ้ง ผักบุ้งจีน ฯลฯ จนบริเวณริมฝั่งคลองมหาสวัสดิ์ด้านใต้กลายเป็นพื้นที่ยกร่องทำสวนผักของคนจีน ซึ่งส่วนใหญ่มีเชื้อสายจีนแต้จิ๋วเกือบทั้งนั้น และบริเวณนี้เรียกว่า “สวนผัก” มาจนถึงปัจจุบัน การทำสวนของคนจีนให้เกิดรายได้ดี ดังนั้นในปี พ.ศ. ๒๔๕๓ ชาวจีนจำนวนหลายพันในเมืองใกล้เคียงกรุงเทพ ฯ ได้พากันไปรับจ้างทำสวนผักและสวนพลู กับเลี้ยงหมู ทำให้การทำสวนและเล้าหมูแพร่หลายยิ่งขึ้น ย่านสวนผักเป็นสวนยกร่องน่าจะเริ่มตั้งแต่หลังขุดคลองมหาสวัสดิ์แล้วและเกิดคลื่นอพยพของคนจีนโพ้นทะเลเข้ามาทำมาหากินในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชาวจีนแถบนี้นับถือทั้งพุทธและคริสต์ศาสนาและนับถือเจ้าพ่อและศาลเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชุมชน คือ ศาลเจ้าและโรงเจเซียมซือกง โรงเจต้นโพธิ์ ศาลเจ้าพ่อจุ้ยและศาลเจ้าเห้งเจีย นอกจากนี้ ยังมีคนญวนที่เข้ามายังกรุงเทพฯ ในช่วงที่บ้านเมืองญวนเกิดความไม่มั่นคงและเป็นกลุ่มที่นับถือคริสต์ศาสนา ในบริเวณนี้จึงมีโบสถ์คริสต์ของคนเชื้อสายจีนและญวนที่วัดศีลมหาสนิท ย่านสวนผัก ปัจจุบันย่านสวนผักกลายเป็นซอยใหญ่ที่เลียบคลองมหาสวัสดิ์และแยกออกไปยังถนนหลายสาย เช่น แถบทุ่งมังกร ฉิมพลีซึ่งมีถนนสายใหญ่ตัดผ่าน ทำให้แยกส่วนไม่เชื่อมต่อเนื่องเช่นเดิม สวนผักก็กลายเป็นหมู่บ้านจัดสรรและบ้านเรือนผู้คนไปจนเกือบหมดแล้ว นอกจากบริเวณรอบนอกไปทางฝั่งตะวันตกที่ยังมีพื้นที่สวนผักแซมไปกับตึกรามขนาดใหญ่ คนจีนที่นี่มีเชื้อสายแต้จิ๋ว คนรุ่นพ่อแม่ของคนอายุราว ๕๐-๖๐ ปี มักอพยพมาจากเมืองจีน เพราะเป็นพื้นที่ทำสวนทั้งหมด แต่คนจีนที่เข้ามาทำสวนก็มักจะเช่าที่ทั้งสิ้น การปลูกผักนั้น ชาวสวนผักจะปลูกเองและขายเอง ขายส่งที่หน้าบ้านและที่สะพานผัก ราคาขึ้นลงตามตลาดไม่แน่นอนและขึ้นอยู่กับโรคผักด้วย แต่ผักคะน้าจะได้ราคาดีกว่า ชาวสวนผักทุกวันนี้ใช้จ้างแรงงานลงแขก เพราะไม่สามารถทำได้ในครอบครัวเดียวแล้วผักที่ปลูกส่วนใหญ่คือ กวางตุ้ง คะน้า ผักกาดขาว ผักบุ้ง แต่ปัญหาที่ชาวสวนผักพบและถือว่าเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่งในปัจจุบันก็คือ น้ำท่วม บางปีน้ำขึ้นสูงมากและเริ่มบ่อยขึ้น ๆ เพราะพื้นที่ต่ำติดคลองมหาสวัสดิ์และส่วนใหญ่มักปล่อยให้ชาวสวนต้องสู้ด้วยตนเอง ในเขตตลิ่งชัน หลังจากประสบภัยน้ำท่วมรุนแรง สวนผลไม้เสียหายหนัก ชาวสวนจึงหันมาทำสวนผักกันจนขยายพื้นที่ไปทุกแขวงยกเว้นแขวงชักพระ เพราะลงทุนน้อยและเก็บผลผลิตขายได้เร็ว แขวงตลิ่งชันและฉิมพลีปลูกผักจีนมาก ส่วนแขวงบางเชือกหนังและบางพรมปลูกผักไทยโดยเฉพาะมะกรูด มะนาว สามารถทนต่อสภาพน้ำท่วมได้ดี ชาวสวนจึงพากันปลูกมากขึ้นในแถบบางระมาด ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๖ เรื่อยมา จนกลายเป็นแหล่งผลิตและขายส่งที่สำคัญแหล่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ฯ การปลูกผักก็ยังเป็นการปลูกแบบสวนผสม ชาวสวนมักปลูกข่ากับตะไคร้คูกันหรือปลูกมะกรูดคู่กับใบเตยเล็ก ใบเตยใหญ่ และการปลูกผักแบบสวนของคนจีนจะขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาด ผักจีนที่ปลูกกันมีหลายอย่าง เช่น คะน้า กวางตุ้ง ผักกาด กะหล่ำ ผักบุ้งจีน กุยช่าย และผักไทย เช่น โหระพา กระเพรา นอกจากนั้นยังนิยมปลูกพืชที่ให้ผลผลิตเร็ว เช่น ขิง ข้าวโพด “สวนต้มยำ” ได้แก่ ข่า ตะไคร้ มะนาว มะกรูด แขวงบางระมาด หมู่ ๓-๕ และหมู่ ๑๘-๒๐ ทำสวนมะกรูด รายได้ดี เพราะมีพ่อค้ามารับไปอบแห้งแล้วส่งขายยุโรป หมู่ ๑๕ ปลูกข่าและตะไคร้มาก เจ้าของสวนผักแถบสวนผักบางคนก็เช่าสวนทำเช่นเดียวกับคนเชื้อสายจีนแต่ย้ายมาจากพื้นที่นาแถบคลองบางระมาด ราว ๆ ๒๐ กว่าปีที่ผ่านมาและปลูกพืชผัก เช่น ผักกาดหอม ผักกวางตุ้ง ใบกระเพรา โหระพา เป็นต้น และปลูกพืชหมุนเวียนไปเรื่อย ๆ เพราะยังเป็นดินร่วนดินดีเนื่องจากเป็นดินเก่า ชาวสวนผักและสวนผลไม้ปลงกับสภาพแวดล้อมดังกล่าวและลงความเห็นว่า การทำสวนผลไม้ สวนผักแบบจริงจังในพื้นที่ตลิ่งชันทุกวันนี้นั้นต้องเผชิญกับความเสี่ยงสูงทั้งน้ำท่วม น้ำขัง ค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่าแมลงที่ราแพง และยังเป็นงานหนักที่น่าเหน็ดเหนื่อยจนชาวสวนไม่อยากให้ลูกหลานกลับมาสืบทอดอาชีพที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายเคยทำไว้ อนาคตของสวนที่ตลิ่งชันจึงคงเหลืออยู่แต่เพียงรอวันโรยและและหมดสิ้นไปในที่สุด ท่ามกลางผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเจ้าพระยาที่อยู่ใต้ถนนคอนกรีตสายใหญ่และหมู่บ้านจัดสรรหลังงาม

  • ชุมชนป้อมมหากาฬ :ฟื้นพลังชุมชนจากเหตุความไม่สงบทางการเมือง

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 พ.ค. 2553 หากบทความนี้จะมีคุณงามความดีใด ๆ แล้ว ขออุทิศให้แก่ประชาชนไทยทุกคนที่สูญเสียและเจ็บปวดจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในปี ๒๕๕๓ นี้ สะพานผ่านฟ้าลีลาศและย่านชุมชนป้อมมหากาฬ ตั้งแต่วันที่ ๑๒ มีนาคมจนถึง ๑๔ เมษายน ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา ได้เกิดการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่ม “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” หรือ นปช. ตลอดบริเวณถนนราชดำเนิน รวมทั้งบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ จนถึงวันที่ ๑๔ เมษายน กลุ่ม นปช. จึงย้ายเวทีจากถนนราชดำเนินไปสมทบกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่แยกราชประสงค์จนถึงแยกศาลาแดง ระหว่างการชุมนุมในบริเวณถนนราชดำเนินและสะพานผ่านฟ้าลีลาศเกิดความตึงเครียดและเหตุการณ์รุนแรงหลายครั้ง มีการควบคุมความปลอดภัย การเผชิญหน้าระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ การลอบยิงวัตถุระเบิด โดยเฉพาะเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารและประชาชนเสียชีวิตหลายคน พื้นที่บริเวณถนนราชดำเนินมีชุมชนอยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องยาวนานหลายแห่ง เนื่องจากเป็นพื้นที่เก่าแก่ของกรุงเทพฯ รวมทั้งชุมชนป้อมมหากาฬที่มีมาตั้งแต่แรกสถาปนากรุงเทพฯ เป็นราชธานี ซึ่งอยู่บริเวณหลังเวทีปราศรัยของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. จึงเป็นที่น่าสนใจว่าชุมชนดั้งเดิมที่อยู่ใกล้ชิดกับพื้นที่ความรุนแรงทางการเมืองเช่นนี้ ได้ใช้พลังอันยาวนานของตนที่จะรับมือกับสถานการณ์นี้จนอยู่รอดอย่างเข้มแข็งมาได้อย่างไร ป้อมมหากาฬเป็นป้อมปราการที่สร้างขึ้นพร้อมกับการสร้างพระนครระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๒๕-๒๓๒๘ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ตั้งอยู่บริเวณแยกคลองรอบกรุงและคลองมหานาค ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ พระราชทานที่ดินหน้าป้อมให้แก่ขุนนางข้าราชบริพาร ในระยะต่อมาพื้นที่บริเวณนี้จึงพัฒนามาเป็นย่านชุมชน โดยชาวบ้านอยู่อาศัยในบารมีของขุนนางข้าราชการ ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนเป็นระบบการเช่าที่ ลักษณะของชุมชนสมัยนั้นจะเป็นชุมชนอิงกำแพงพระนคร มีตรอกซอยเพื่อเชื่อมการติดต่อภายในชุมชน และเนื่องจากบริเวณนี้เป็นจุดตัดคลอง รวมทั้งเป็นชุมทางคมนาคมสำหรับด้านตะวันออกของพระนคร เนื่องจากคลองมหานาคที่อยู่หน้าป้อมมหากาฬนี้เป็นคลองเส้นเดียวกับคลองแสนแสบ ซึ่งต่อเนื่องไปถึงแม่น้ำบางปะกง จึงมีเรือมาจอดมากจนเป็นย่านค้าขายสำคัญแห่งหนึ่ง เช่น มีเรือขายถ่าน เรือขายผลไม้ โดยมีวัดสระเกศ วัดเทพธิดาราม วัดราชนัดดา และป้อมมหากาฬ ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่ามีเจ้าพ่อปู่สถิตอยู่ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนจนถึงทุกวันนี้แวดล้อม ถือเป็นย่านสำคัญทางเศรษฐกิจและสังคมเก่าแก่ของพระนครแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ในย่านชุมชนแห่งนี้ได้สร้างมรดกทางวัฒนธรรมสำคัญ ๆ ได้แก่ ลิเกพระยาเพชรฯ เครื่องดนตรีไทยสายวังหลวง (รัชกาลที่ ๔) กรงนก (คนที่มาจากปักษ์ใต้ได้ถ่ายทอดวิชาเอาไว้) เครื่องปั้นดินเผา การนวดคลายจุด การเลี้ยงไก่พื้นบ้าน ฯลฯ ด้วยความเป็นชุมชนที่อยู่สืบทอดมานาน จึงทำให้รู้จักกันแทบทุกครัวเรือน มีอะไรก็แบ่งกัน มีงานธุระทุกคนก็ร่วมแรงร่วมใจจนสำเร็จลุล่วง แม้ในระยะต่อมาความเป็นย่านชุมชนดั้งเดิมของป้อมมหากาฬจะลดบทบาทลงก็ตาม เนื่องเพราะผู้คนเคลื่อนย้ายออกไป คนใหม่ ๆ เข้ามา โดยในปัจจุบันนี้มีประชากร ๓๑๗ คน ๖๖ ครอบครัว บ้าน ๕๕ หลังคาเรือน จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ทางราชการได้ออกกฎหมายเวนคืนที่ดินชุมชนริมป้อมมหากาฬเพื่อสร้างสวนสาธารณะ โดยกรุงเทพมหานครเป็นผู้รับผิดชอบ แต่ชาวบ้านในชุมชนไม่สามารถที่จะย้ายออกไปได้ เนื่องจากไม่ได้รับค่าชดเชยที่สามารถไปตั้งหลักฐานในที่อยู่อาศัยใหม่ได้ และด้วยความรู้สึกรักและผูกพันกับชุมชนที่อยู่อาศัยมานาน จึงได้มีการต่อสู้และต่อรองกับทางกรุงเทพมหานครจนกระทั่งทุกวันนี้ เมื่อกลุ่ม นปช. ได้ประกาศตั้งแต่วันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๕๓ ว่าจะชุมนุมในวันที่ ๑๒ มีนาคม ทางชุมชนป้อมมหากาฬจึงได้ประชุมร่วมกันเพื่อหาแนวทางที่จะป้องกันรักษาตนเอง โดยจัดเตรียมอุปกรณ์สิ่งของที่มีในท้องที่เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น โดยวางมาตรการสำคัญได้แก่ ๑) การวางเวรยามจากที่เคยมีเฉพาะกลางคืนให้เป็นเวรยามตลอด ๒๔ ชั่วโมง โดยกลุ่มแม่บ้านจะทำหน้าที่ในตอนกลางวัน ส่วนกลุ่มชายฉกรรจ์จะทำหน้าที่ในตอนกลางคืน รวมทั้งจัดตั้งกลุ่มวัยรุ่นเฉพาะกิจสำหรับดูแลการดับเพลิงและการอพยพคนชราและเด็กเล็ก ๒) ตั้งแผงสังกะสีล้อมชุมชนเพื่อป้องกันบุคคลภายนอกรุกล้ำ พร้อมกับประกาศห้ามคนภายนอกเข้า ๓) เตรียมอพยพหากเกิดเหตุอันตรายกับชุมชน โดยกำหนดให้อพยพไปที่โรงเรียนสงฆ์ธรรมวิลาส วัดเทพธิดาราม ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เคียงกับพื้นที่ชุมชน มีกลุ่มวัยรุ่นเฉพาะกิจทำหน้าที่นี้ เมื่อเกิดการชุมนุมบนถนนราชดำเนินตั้งแต่วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๓ ได้มีการจัดตั้งเวทีปราศรัยบนสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ซึ่งจะต้องมีการใช้เครื่องขยายเสียงให้ได้ยินทั่วทั้งถนนราชดำเนิน และมีกลุ่มกำลังรักษาความปลอดภัยหรือ “การ์ด นปช.” ควบคุมความปลอดภัยทั้งในและรอบพื้นที่ ดังนั้นจึงเกิดผลกระทบต่อผู้คนในชุมชนป้อมมหากาฬอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเสียงการปราศรัยสลับกับเสียงดนตรีการแสดงที่ดังกึกก้องตลอดทั้งคืน ได้ทำให้คนในชุมชนไม่สามารถพักผ่อนได้ในเวลากลางคืน ทำให้สุขภาพทางกายของคนในชุมชนหลายคนต้องทรุดโทรมลง โดยเฉพาะคนชราที่สุขภาพไม่ดีเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว และด้วยมาตรการการรักษาความปลอดภัยของทางกลุ่ม นปช. ชาวบ้านที่จะเข้าออกบ้านของตัวเองจึงต้องถูกตรวจค้นแทบทุกครั้ง และถูกห้ามไม่ให้เอารถเข้าออกเขตชุมชน ต้องจอดข้างนอก แม้บางรายจะพาคนเฒ่าคนแก่ไปรักษาพยาบาลก็ถูกห้ามไม่ให้เรียกรถไปรับในตำแหน่งที่ใกล้บ้าน ต้องไปเรียกรถที่แยกสำราญราษฎร์ (ประตูผี) เพราะผิดวินัยความปลอดภัย นอกจากนี้หน่วยงานและห้างร้านในพื้นที่รอบข้างชุมชนต่างพากันปิดทำการระยะหนึ่ง ชุมชนจึงขาดรายได้จากการจำหน่ายสินค้าภูมิปัญญาในชุมชน เช่น กรงนก เครื่องปั้นดินเผา กระเพาะปลา ฯลฯ แทบจะไม่สามารถทำงานใด ๆ เพื่อเลี้ยงปากท้องอย่างจริงจังได้ อย่างไรก็ตามในระหว่างการชุมนุม ตัวแทนชุมชนป้อมมหากาฬได้เจรจากับตัวแทนกลุ่ม นปช. ว่าชุมชนนี้เป็นกลุ่มชาวบ้านที่อยู่มาแต่เดิม ทำมาหากินด้วยอาชีพสุจริตโดยตลอด ไม่ได้เป็นกองกำลังที่จะทำร้ายใคร จึงขอให้ทางกลุ่ม นปช. อย่าได้ระแวงสงสัยและทำอันตรายอย่างใดแก่ชุมชน ซึ่งทางกลุ่ม นปช. ก็ตกลงด้วยดี จากสภาวะอัมพาตของชุมชนที่เกิดขึ้นนี้ “...เหมือนกับชีวิตตัวตนของพวกเราได้ขาดหายไป เพราะไม่สามารถดำเนินวิถีชีวิตตามปกติได้...” และในเวลาต่อมาเมื่อหน่วยสาธารณสุขเคลื่อนที่ได้เข้ามาตรวจสุขภาพชาวบ้านในพื้นที่ ปรากฏว่าทุกคนมีโรคเครียดจากสภาวะที่ตนเองประสบมาเป็นระยะเวลา ๑ เดือนเศษ ส่วนใหญ่ต้องได้รับการบำบัดจากจิตแพทย์จึงจะคลายจากอาการดังกล่าว จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ในวันที่ ๑๐ เมษายน เมื่อมีสิ่งบ่งชี้ว่าจะเกิดเหตุรุนแรง ทางชุมชนป้อมมหากาฬจึงได้ดำเนินการระวังป้องกันชุมชน โดยส่งชาวบ้านเข้าร่วมชุมนุมเพื่อดูท่าทีและรายงานสถานการณ์ให้ชุมชนทราบตลอดเวลา คนส่วนที่เหลือเตรียมถังดับเพลิงรวมไว้ในจุดเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีเด็กวัยเรียนชั้นประถมช่วยกันเตรียมถังน้ำไว้สำหรับล้างแก๊สน้ำตา โดยที่ไม่มีผู้ใหญ่คนไหนสั่งให้ทำ เมื่อเกิดการสลายชุมนุมในวันนั้น ปรากฏว่ามีแก๊สน้ำตาตกลงมาในพื้นที่ชุมชน ชาวบ้านจึงรีบเอาถังน้ำครอบไว้ก่อนที่จะระเบิดออกมา จากพลังความร่วมมือร่วมใจของชาวชุมชนป้อมมหากาฬในการฝ่าฟันช่วงวิกฤติของชุมชนครั้งนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งและความผูกพันอันแน่นแฟ้นของชุมชนที่ยังทรงพลังอยู่ คุณธวัชชัย ซึ่งเป็นผู้นำชุมชนได้กล่าวว่า ที่ชุมชนมีความเข้มแข็งและมีความผูกพันจนก่อเกิดเป็นพลังชุมชนเช่นนี้ได้ เป็นเพราะความรู้สึกอบอุ่นจากความผูกพันฉันเครือญาติที่ได้สั่งสมมาเป็นเวลานาน รวมทั้งความรู้สึกเป็นเจ้าของพื้นที่ร่วมกัน เนื่องมาจากทุกคนได้เคยช่วยเหลือทำงานทำบุญร่วมกันมาแต่อดีต ผู้นำชุมชนป้อมมหากาฬได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า พลังชุมชนที่ร่วมกันปกป้องดูแลและต่อสู้อย่างอดทนต่อความเครียดและความหวาดกลัวต่าง ๆ นับแรมเดือน ซึ่งเกิดขึ้นจากการชุมนุมของ นปช. ในครั้งนี้ จะเป็นฐานพลังอันเข้มแข็งที่จะใช้ต่อสู้กับการขับไล่เพื่อเอาพื้นที่ของชุมชนทำสวนสาธารณะโดย กทม. ในอนาคตอันใกล้อย่างแน่นอน อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • จากนครวัดถึงพิษณุโลก

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 พ.ย. 2545 ระหว่างวันที่ ๒๖-๒๘ กันยายนที่ผ่านมา มีการจัดอภิปรายทางวิชาการเรื่องกองทหารของสยามที่เป็นภาพสลักอยู่ในกระบวนพระราชพิธีสวนสนามบนผนังระเบียงคดที่ประสาทนครวัด เพื่อเป็นการระลึกถึง จิตร ภูมิศักดิ์ ปราชญ์สามัญชนที่จะมีอายุครบ ๗๒ ปี ถ้าหากยังมีชีวิตอยู่ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือชื่อที่คนส่วนใหญ่เรียกกันว่า "วัดใหญ่" ภาพสลักนี้มีจารึกภาษาเขมรโบราณกำกับไว้ว่า “เนะ สยำ กุก” ซึ่งแปลว่า “นี่ เสียม กุก” ผู้รู้ทั่วไปมีความเห็นว่าเป็น กองทัพสยามที่น่าจะส่งมาร่วมด้วยจาเมืองสยามในลุ่มน้ำเจ้าพระยา แต่ว่าจิตร ภูมิศักดิ์ อ่านและเสนอใหม่ว่าน่าจะเป็นกองทัพชาวเสียมจากลุ่มแม่น้ำกก ซึ่งเป็นลำน้ำสาขาของแม่น้ำโขงในเขตจังหวัดเชียงราย โดยอ้างความสัมพันธ์กับวรรณกรรมเรื่องฮุ่งหรือเจือง อันเป็นวรรณกรรมเก่าแก่ที่เกี่ยวกับกษัตริย์และบ้านเมืองทั้งสองฝั่งโขงในเขตล้านนาและล้านช้าง ความต้องการของการอภิปรายนี้ หาใช่การมาถกเถียงเพื่อการหาข้อยุติแต่อย่างใดไม่ หากมุ่งหวังที่จะนำข้อเสนอของจิตร ภูมิศักดิ์มาถกเถียงเพื่อหาคำตอบใหม่ ๆ หรือข้อคิดใหม่ ๆ ซึ่งเป็นหัวใจของกระบวนการเรียนรู้ที่เรื่องราวทางประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมในปัจจุบัน ในที่นี้ข้าพเจ้าคงไม่นำอะไรเกี่ยวกับเรื่องของเสียมกุกมาถกเพิ่มเติม เพราะได้เขียนได้พูดอะไรต่ออะไรมามากมายแล้ว แต่จะนำสิ่งที่คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่รู้มาเสนอไว้ คือเรื่องของนครวัดซึ่งโดยทั่วไปรู้จักในนามว่า “นครวัดนครธม” ในลักษณะที่เป็นโบราณสถานใหญ่โตเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยิ่งกว่านั้นคนรุ่นใหม่ที่ไม่ค่อยรู้อิโหน่อิเหน่ก็มักจะได้รับคำบอกเล่ามาว่า ผู้ที่ค้นพบนครวัดนครธมนั้นคือ นาย ฮองรี มูโฮต์ (Henri Mouhot) นักค้นคว้าและสำรวจชาวฝรั่งเศส อะไรต่ออะไรก็เลยกลายเป็นเรื่องฝรั่งพบฝรั่งเสนอไปหมด และคนไทยบางคนก็เชื่อตาม นครวัดและนครธมต่างกันดังนี้ นครวัดเป็นเรื่องของศาสนสถานขนาดใหญ่ที่มีคูน้ำล้อมรอบจนดูเป็นเมืองจึงเรียกว่า นครวัด ในขณะที่นครธมหมายถึงเมืองที่ใหญ่กว่า เพราะคำว่า “ธม” แปลว่าใหญ่ คือใหญ่กว่านครวัดนั่นเอง แต่นครธมไม่ใช่ศาสนสถานอย่างนครวัด หาเป็นเมืองที่มีผู้คนและกษัตริย์ประทับอยู่ ความต่างกันระหว่างนครวัดกับนครธมอีกอย่างหนึ่งก็คือ นครวัดมีอายุเก่าแก่กว่านครธมไม่น้อยกว่า ๔๐ ปี นครวัดสร้างในรัชกาลของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ส่วนนครธมสร้างแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ที่อยู่ในสมัยหลังลงมา ความต่างกันนี้ทำให้นำไปสู่ความสงสัยที่ว่า เมื่อมีนครวัดเกิดขึ้นนั้น เมืองที่มีคนอยู่มีกษัตริย์ประทับนั้นอยู่ที่ใด จึงต้องมีข้อมูลและความรู้เพิ่มเติมว่า เมืองนั้นอยู่ในบริเวณนี้นั่นเอง หากเป็นเมืองที่มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ กว้างและยาวเท่ากันด้านละ ๔ กิโลเมตร คนทั่วไปเรียกว่า นครหลวง แต่มีชื่อทางราชการว่า ยโสธรปุระ สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๑๖ เป็นเมืองที่มีเขาและปราสาทพนมบาเคงเป็นศูนย์กลาง เมืองนครวัดวัดแระสร้างนั้นอยู่ภายในเขตเมืองนี้ แต่ประมาณ ๔๐ ปี ต่อมาได้มีการสร้างนครธมขึ้นเป็นเมืองแทนเลยทำให้อาณาบริเวณของเมืองเดิมหมดความสำคัญไป แต่ยังคงเหลือร่องรอยของแนวกำแพงและคูเมืองให้เห็นอยู่ในบางส่วน เมืองนครธมมีขนาดเล็กว่าเมืองหลวงเดิมและแยกกันอยู่ต่างห่างจากนครวัด แต่ใช้ชื่อทางราชการตามเมืองเดิมคือ ศรียโสธรปุระ ส่วนนครวัดนั้นแต่เดิมก็หาเรียกว่านครวัดไม่ เพราะไม่ได้เป็นพุทธสถาน หากเป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดูตามความเชื่อของคนในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๗ เป็นศาสนสถานเพื่อการพระราชพิธีพระบรมศพของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ที่มีจารึกกำกับไว้ที่ภาพสลักของพระองค์ในกระบวนแห่ที่ระเบียงคดว่า “กมรเตงชคตปรมวิษณุโลก” จากพระนามนี้เองที่ทำให้รู้ว่าชื่อนครวัดเต็มคือ วิษณุโลก หรือพิษณุโลก อีกทั้งเป็นสิ่งที่ยืนยันจากจารึกใน พ.ศ. ๒๑๗๕ ที่มีคำเรียกนครวัดและพระพิษณุโลก ปะปนกัน ซึ่งก็แน่นอนว่าเป็นช่วงเวลาที่แสดงให้เห็นว่าศาสนสถานแห่งนี้กลายมาเป็นพุทธสถานหรือวัดไป ยิ่งกว่านั้นยังมีหลักฐานอ้างว่าพระสงฆ์ที่ไปจากเมืองไทยเรียกว่า เชตพน หรือ เชตวัน ก็มี อย่างไรก็ตาม ชื่อพระพิษณุโลกนี้คนไทยสมัยอยุธยาตอนต้นย่อมรู้จักดี โดยเฉพาะในสมัยของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) ที่ทรงยกกองทัพไปตีนครธมและกวาดต้อนผู้คนมายังพระนครศรีอยุธยา ความรู้เรื่องเมืองพระนครจึงมาอยู่ทางเมืองไทยไม่ใช่น้อย และนำมาเลือกใช้ในงานทางประเพณีวัฒนธรรมของกรุงศรีอยุธยา โดยเฉพาะชื่อพระพิษณุโลกนั้นได้ถูกนำไปขนานเป็นชื่อเมืองใหม่ที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงสร้างขึ้นบนสองฝั่งของลำน้ำน่าน ที่ผนวกเมืองสองแควเดิมของสุโขทัยเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมืองนี้คือเมืองพิษณุโลกที่นักประวัติศาสตร์รุ่นก่อนเชื่อว่าเป็นราชธานีทางฝ่ายเหนือของกรุงศรีอยุธยา และในปัจจุบันก็คือจังหวัดพิษณุโลก สุดท้ายข้าพเจ้าคิดว่า คนไทยนั่นแหละเอาชื่อพิษณุโลกมาจากขอม แล้วเอาคำว่าวัดของไทยไปใส่ให้เข้าแทนจึงเรียกว่านครวัดไป แต่จากการเปลี่ยนพิษณุโลกมาเป็นนครวัดนั้นก็หาได้ทำให้ศาสนสถานแห่งนี้โรยราไปไม่ซึ่งก็รวมทั้งนครธมด้วย ผู้คนทั้งไทยและเขมรล้วนทราบดี เพราะยังเป็นวัดและเป็นเมืองเรื่อยมา โดยเฉพาะนครวัดนั้นมีผู้สร้างพระพุทธรูปสลักด้วยหินไปประดิษฐานไว้มากมายนับเป็นพันองค์ จนอาจนับได้ว่ากลายเป็นสถานที่จาริกแสวงบุญของผู้คนในระดับภูมิภาคก็ว่าได้ ส่วนที่นครวัดนั้นก็กลายเป็นสถานที่ซึ่งผู้คนในราชสำนักอยุธยาเรียนรู้ เพราะให้อิทธิพลกับการสร้างวัดและสร้างพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่สมัยรัชกาลของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจนถึงรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ที่เห็นชัด ๆ ในรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองก็คือ การบูรณะพระที่นั่งจักรวรรดิไพชยนต์มหาปราสาท การสร้างพระราชพิธีสนาม พระราชพิธีเกี่ยวกับพระบรมศพ การถวายพระเพลิง การสร้างวัดไชยวัฒนาราม และปราสาทนครหลวงที่วัดริมแม่น้ำป่าสัก เป็นต้น เพราะฉะนั้นนครวัดนครธมไม่ได้ร้าง คนที่บอกว่าร้างก็คือฝรั่งตาน้ำข้าวที่ชอบเล่นมายากลมาแต่สมัยล่าอาณานิคมนั่นเอง วัดไชยวัฒนาราม อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • อารยธรรมซายฟอง / Say Fong Civilizationมรดกประวัติศาสตร์แบบอาณานิคม

    เผยแพร่ครั้งแรก 15 ก.พ. 2555 ไม่ใช่เฉพาะกรณีกัมพูชานำปราสาทพระวิหารไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกเพียงฝ่ายเดียวหรือการนำมหรสพหนังใหญ่ การจีบนิ้วในระบำราชสำนัก ไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้กับองค์การระหว่างประเทศแบบยูเนสโก แต่การศึกษาประวัติศาสตร์ในระหว่างประเทศแบบรัฐสมัยใหม่ ที่ฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคมเคยวางรากฐานไว้ก็กำลังกลายเป็นปัญหาซับซ้อนที่หนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ โบราณสถานเป็นเจดีย์รุ่นพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ ที่บ้านซายฟอง และฝั่งตรงข้ามคือเวียงคุก ยืนยันในการเป็นเมืองคู่สองฝั่งโขงในสมัยโบราณ เพราะวิธีคิดโดยจินตนาการแบบการจำลองความเป็นเจ้าเหนือดินแดนต่าง ๆ ในรัฐอารักขาสวมเข้าไปในวิธีการเขียนประวัติศาสตร์และสอนประวัติศาสตร์ในยุคอาณานิคม โดยเฉพาะประวัติศาสตร์แห่งความยิ่งใหญ่ยุคเมืองพระนคร จนกลายเป็นระเบิดเวลาที่ทำให้ประเทศในดินแดนสุวรรณภูมิจ้องจะตีกันเองแบบที่เกิดระหว่างกัมพูชาและไทยในช่วงนี้ ทั้งๆ ที่ดินแดนแห่งนี้ไม่เคยมีรูปแบบของ รัฐอาณานิคม [Colonialism] แต่เป็นเรื่องของการเกิดมณฑลแห่งอำนาจและรัฐแบบหลวม ๆ [Mandala, in term of historical, social and political sense.] นั่นเอง จากบทความของ Georges Maspero เรื่อง “ซายฟอง นครแห่งอดีต” ในวารสาร BEFEO เมื่อ ค.ศ.๑๙๐๓ เขากล่าวถึงว่า มีการค้นพบเมืองร้างนี้ในเดือนมีนาคม ค.ศ.๑๙๐๒ โดยบรรยายว่า เมืองนี้อยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ตรงข้ามกับเมืองคุกหรือเวียงคุกในปัจจุบัน และเรียกบริเวณนี้ว่า “ซายฟอง” จากร่องรอยที่เหลืออยู่ เขาสันนิษฐานว่า เคยเป็นเมืองที่ใหญ่มาก ประกอบด้วยย่านใหญ่ ๓ ย่าน คือ ย่านที่อยู่ติดแม่น้ำโขง ย่านที่สองขนานกับย่านแรก ย่านที่สามตั้งฉากกับแม่น้ำและอยู่ติดกับทั้งสองย่านแรก ตรงกลางเมืองเป็นที่สูงกว่าพื้นที่โดยรอบ ชาวบ้านเรียกว่า “สะพานเขมร” เมืองโบราณได้รับการดูแลดีกว่าที่อื่น ส่วนสุดทางด้านตะวันตกมีทะเลสาบ ที่แห่งนี้ Maspero อ้างว่าเขาพบจารึก ๓ หลัก และรูปปั้นขนาดสูง ๔๐ เซนติเมตร กว้าง ๓๐ เซนติเมตร เป็นศิลปะแบบเดียวกับที่นครวัด ทำจากหินทรายเนื้อละเอียดซึ่งไม่พบในแถบเวียงจันทน์ และพบว่าหลักแรก ทั้ง ๔ ด้านจารึกด้วยภาษาสันสกฤต ข้อความสั่งให้สร้างโรงพยาบาล คล้ายกับที่เคยพบในกัมพูชา ซึ่งหมายถึงจารึกพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ที่ให้สร้างอโรคยศาลหรือโรงพยาบาล ส่วนจารึกที่เหลืออีก ๒ หลัก จารึกด้วยภาษาลาว จารึกที่ Maspero อ้างว่าพบนี้ คือ จารึกพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ระบุศักราชราว พ.ศ.๑๗๒๙ เมื่ออ่านแล้วพบว่า รูปแบบหลักหินจารึกสลักลงทั้งสี่ด้าน ภาษาสันสกฤต อักษรขอมโบราณ และข้อความเรื่องการสร้างโรงพยาบาลหรืออโรคยศาลคล้ายคลึงกับจารึกพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ซึ่งพบเมืองพิมาย, ด่านประคำ จังหวัดบุรีรัมย์, ปราสาทตาเมียนโตจ, ที่อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ และกู่บ้านหนองบัว จังหวัดชัยภูมิ และเพิ่งพบอีก ๒ หลักที่จังหวัดร้อยเอ็ดเมื่อไม่กี่ปีมานี้ จากรึกจากซายฟองปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่หอพระแก้ว ในกรุงเวียงจันทน์ ส่วนรูปปั้นนั้น น่าจะหมายถึงรูปสลักจากหินทรายแบบลอยตัวที่เชื่อว่าเป็นพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ที่ยังคงสมบูรณ์กว่าที่พบแห่งอื่น ๆ ในอีสาน และปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่วิหารคดรอบพระธาตุหลวง เวียงจันทน์ หลุยส์ ฟีโนต์ [Louis Finot] ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบูรพาทิศ เขียนบันทึกที่ให้ข้อสังเกตว่า จารึกหลักนี้คือหลักฐานพยานสำคัญที่ทำให้เห็นถึงการมีอยู่ของ “กัมพูชา” ที่อยู่ไกลเกินกว่าฐานข้อมูลของเอโมนิเยร์ (Étienne François Aymonier ผู้เดินทางสำรวจโบราณสถานแบบเขมรในกัมพูชา ไทย ลาวและตอนใต้ของเวียดนามอย่างเป็นระบบคนแรกและเป็นผู้เชียวชาญการอ่านจารึกโบราณด้วย งานของเขาพิมพ์เป็นชุด ๓ เล่ม เมื่อช่วงปี ค . ศ . ๑๙๐๐ - ๑๙๐๔ ) ซึ่งเอโมนิเยร์กล่าวว่าโบราณสถานแบบเขมรอยู่เหนือสุดที่สกลนครที่ระนาบ ๑๗ องศา ๑๐ ลิปดา เหนือ (น่าจะเป็นกู่บ้านพันนา) อย่างไรก็ตาม ในบันทึกช่วงปีนั้น [BEFEO III,1903] เขาก็ยังไม่ปักใจนักเพราะจารึกแห่งเมืองซายฟองนี้อาจนำมาจากที่อื่นก็ได้ จากการค้นพบของ Maspero ดังกล่าวและการนำเสนอบทความของ Finot ก็เพียงพอที่จะถูกสืบต่อมาเรื่อย ๆ ว่า อำนาจทางการเมืองของเขมรสามารถควบคุมลุ่มน้ำโขงทั้งหมดได้ และอำนาจจากอาณาจักรอันเข้มแข็งและยิ่งใหญ่แผ่ขึ้นมาเหนือสุดที่เมืองซายฟอง การนำเสนอนี้คือปัญหาทางวิชาการ เนื่องจากสร้างความชอบธรรมแก่ฝรั่งเศสที่ยึดครองลาวได้แล้ว และกัมพูชาที่พนมเปญและกำลังพยายามขอเสียมเรียบและจังหวัดอื่น ๆ ที่สยามครอบครองอยู่ ความเคลือบแคลงนี้มีการวิเคราะห์ต่อมาอย่างมากมายถึงบทบาทดังกล่าว เพราะการเป็นนักสำรวจ นักวิชาการของชาวฝรั่งเศสนั้นอยู่ในฐานะของเจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายอาณานิคมด้วย อย่างไรก็ตาม เรื่องของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ แม้จะดูลึกลับและมีข้อมูลเพียงเล็กน้อยในช่วงแรก แต่การศึกษาและแปลความจากจารึกปราสาทพระขรรค์ของสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบูรพาทิศ ทั้ง หลุยส์ ฟีโนต์ และ ลูเนต์ เดอ ลาจองกิแยร์ [Lunet de Lajonquiere] ก็ระบุว่า มีเส้นทางสำคัญ ๕ สาย คือ จากเมืองพระนคร-พิมาย, พระนคร-วัดภู, พระนคร-สวายจิก, พระนคร-ปราสาทพระขรรค์ที่กำปงสวาย และพระนคร-กำปงธม รวมทั้งเขียนแผนผังแนวถนนโบราณจากร่องรอยของจารึกและจำแนกลักษณะโบราณสถานในแนวเส้นทางจากนครธมไปทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก และเมื่อประกอบกับหลักฐานทางโบราณสถานและโบราณวัตถุ ทั้งอโรคยศาล ธรรมศาลา จารึกพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ พระพุทธรูปนาคปรก พระไภสัชยคุรุ ฯลฯ ก็กลายเป็นแม่บทให้กับนักศึกษารุ่นหลังเพื่ออ้างความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์พระองค์นี้ตาม ๆ กันมา โดยเน้นสร้างความยิ่งใหญ่ให้เหนือจริงเพื่อเหตุผลทางการเมืองทั้งในยุคอาณานิคมโดยฝรั่งเศส ด้วยจินตนาการของประเทศแม่อาณานิคมที่ต้องกอบกู้ บอกเล่าอาณาจักรเมืองพระนครที่สูญสลายไป เป็นตัวแทนถึงประเทศฝรั่งเศสที่ยิ่งใหญ่ และสืบทอดสู่หลังยุคอาณานิคมโดยเฉพาะจากกัมพูชาด้วยเหตุผลในการสร้างชาตินิยมเพื่อความเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ (อ่าน Post / Colonial Discourses on the Cambodian Court Dance Sasagawa Hideo. SoutheastAsianStudies, Vol.42, No.4, March 2005 / ฉบับแปล http://lek-prapai.org/watch.php?id=466) อย่างไรก็ตาม คงไม่อาจปฏิเสธถึงการมีอยู่ของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่พระองค์นี้ไปได้ และโบราณสถานในรูปแบบ อโรคยศาลหรือสถานพยาบาลที่เป็นศาสนสถานด้วยมีอยู่ถึง ๒๓ แห่ง ไม่นับรวมธรรมศาลาอีกจำนวนหนึ่งในดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย แต่การกล่าวถึงอำนาจทางการเมืองโดยนัยะของ “กัมพูชา” ที่ประกาศตามนักวิชาการชาวฝรั่งเศสข้างต้นว่า อาณาจักรขอมแห่งเมืองพระนครมีอำนาจกว้างไกลไปจรดบ้านเมืองต่าง ๆ ที่ปรากฏชื่อในจารึกปราสาทพระขรรค์นั้น เป็นอำนาจเบ็ดเสร็จเหมือนการเป็นเจ้าอาณานิคมในยุคนั้นที่มี “อำนาจทางการเมือง” เหนือบ้านเมืองอื่น ๆ เช่น จามปาในเวียดนาม ภาคกลางของประเทศไทย ไปจนถึงเวียงจันทน์ที่ซายฟอง โดยใช้หลักฐานศิลปกรรมแบบขอมที่ปรากฏในศาสนสถานและวัตถุ ซึ่งดูจะเป็นการมองแบบหยุดนิ่งและผิดไปมาก เพราะรูปแบบของปริมณฑลอำนาจแบบมันดาลานั้นมีการศึกษาชัดเจนและยอมรับโดยแทนที่วิธีการศึกษาประวัติศาสตร์แบบอาณานิคมแล้วในเวลาต่อมา ( ศึกษาความสัมพันธ์ของบ้านเมืองในระยะเริ่มแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากงานของ Wolters, O.W. History, Culture and Region in Southeast Asian Perspectives. Institute of Southeast Asian Studies, Revised Edition, 1999.) แต่สิ่งที่ยังเหลืออยู่คือ “ มรดกการศึกษาทางประวัติศาสตร์จากยุคอาณานิคม ” ซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปในรายรูปแบบการศึกษาประวัติศาสตร์ในประเทศอินโดจีนของฝรั่งเศสในอดีต และถูกนำไปใช้จนกลายเป็นประเด็นทางการเมือง และแม้กระทั่งการศึกษาประวัติศาสตร์ในประเทศไทยตั้งแต่ยุคแรกเริ่มจนถึงปัจจุบัน และไม่เคยตกเป็นรัฐในอาณานิคมแต่อย่างใด ก็ยังรับนำเอาอิทธิพลของการศึกษาแบบอาณานิคมมาใช้จนฝังรากลึกเสียจนยากจะแก้ไข จารึกพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ เรื่องอโรคยศาล เก็บรักษาไว้ที่หอพระแก้ว เวียงจันทน์ในปัจจุบัน เนื้อความในจารึก แทบจะเหมือนกับที่พบที่พิมาย บุรีรัมย์ สุรินทร์ ชัยภูมิ กรณีของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว แม้จะผ่านช่วงเวลาแห่งการบีบคั้นในฐานะรัฐในอาณานิคมของฝรั่งเศสและต้องต่อสู้เพื่อเอกราชของชาวลาวมาอย่างยาวนาน แต่สิ่งที่ยังปรากฏอยู่อย่างเด่นชัดคือ การรับเอาแนวคิดการเขียนประวัติศาสตร์ [Historiography] แบบยุคอาณานิคมมาใช้ในปัจจุบัน เอกสารทางการจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเรื่อง “ความเป็นมาของนครหลวงเวียงจันทน์” พิมพ์ในวาระเฉลิมฉลองเวียงจันทน์ ๔๕๐ ปี เมื่อไม่นานมานี้ แบ่งประวัติเวียงจันทน์เป็น ๕ ยุค คือ เวียงจันทน์ในสมัยอาณาจักรศรีโคตรบองหรือศรีโคตรบูรณ์ (คริสตศตวรรษที่ ๑–๑๐) เวียงจันทน์สมัยซายฟอง (เมืองหาดซายฟอง) ในคริสตศตวรรษที่ ๑๒ เวียงจันทน์สมัยอาณาจักรลาวล้านช้าง (ค.ศ. ๑๓๕๓–๑๕๖๐) เวียงจันทน์ในสมัยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสและเวียงจันทน์สมัยราชอาณาจักรลาว โดยนักวิชาการลาวเสนอว่า คนในเวียงจันทน์ในสมัยแคว้นศรีโคตรบอง เป็นเมืองส่วยของจามและเขมร หากเขมรมีความขัดแย้งภายในหรือมีสงครามกับพวกจาม แคว้นศรีโคตรบองก็แข็งข้อต่อเขมร จนถึงยุคซายฟองจึงขึ้นต่อเขมรในยุคของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ เมื่ออำนาจเขมรลดลงเวียงจันทน์จึงเป็นอิสระจนถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๓ แต่นักวิชาการเช่น สุเนตร โพธิสาร เสนอว่า รูปแบบศิลปะแบบซายฟองนี้เป็นสิ่งที่พัฒนาการขึ้นในบริเวณนี้มากกว่ารับอิทธิพลมาจากเขมร พัฒนาการของท้องถิ่นในช่วงรัฐเริ่มแรกเกิดขึ้นในเวลาเดียวกับวัฒนธรรมแบบเขมร และได้รับอิทธิพลทั้งแบทวารวดีและเขมร ซึ่งสะท้อนให้เห็นอิทธิพลการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์แบบวิวัฒนาการ โดยมีอาณาจักรใหญ่แห่งหนึ่งเป้นเจ้า และการเป็นบ้านเมืองในอำนาจทางการเมืองหรือในการอารักขา ดังที่ดินแดนแถบแม่น้ำโขงคือส่วนที่อำนาจทางการเมืองจากอาณาจักรเขมรมีอยู่เหนือสุด และเป็นการเขียนประวัติศาสตร์ในธรรมเนียมเดิมที่กล่าวได้ว่า รับอิทธิพลจากการเขียนประวัติศาสตร์ยุคอาณานิคมมาอย่างชัดเจน การศึกษาประวัติศาสตร์ลาวยุคโบราณนอกเหนือไปจากงานของมหาสิลา วีระวงศ์ ในช่วงยุคอาณานิคมของฝรั่งเศส ที่ใช้ตำนาน พงศาวดารเป็นหลักฐานสำคัญ ก็จะมีผู้มีความสนใจในประวัติศาสตร์ เช่น มหาบุนมี เทบสีเมือง และมีนักโบราณคดีที่ได้รับการศึกษาจากฝรั่งเศสบางท่าน แต่สำหรับการศึกษาแบบประวัติศาสตร์สมัยใหม่แล้ว นอกจากนักวิชาการต่างชาติจำนวนไม่น้อยรวมทั้งนักประวัติศาสตร์ลาวสนใจประวัติศาสตร์ลาวในช่วงหลังอาณานิคมหรือช่วงหลังสงครามกู้เอกราช และส่วนใหญ่มักได้รับอิทธิพลการเขียนงานแบบตะวันตกเนื่องจากได้รับการศึกษาในต่างประเทศ เน้นเรื่องราวการศึกษาเหตุการณ์สร้างชาติลาวสมัยใหม่หลังจากสงคราม เช่น ในการตรวจสอบการค้นหาการสร้างอัตลักษณ์ กลุ่มชาติพันธุ์ การเมืองของการสร้างวัฒนธรรมแห่งชาติ ซึ่งก็เป็นการสร้างอุดมการณ์ชาตินิยมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ผ่านการศึกษาในอดีตนั่นเอง อย่างไรก็ตามในประเด็นละเอียดย่อย เช่น อิทธิพลของอำนาจทางการเมืองของเขมรในลาวนั้นก็ยังไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร เช่น งานประวัติศาสตร์ลาวของ Martin Stuart-Fox ก็ยังคงใช้ข้อมูลเรื่องอำนาจของเขมรที่ซายฟองในการแบ่งยุคสมัยทางประวติศาสตร์เป็นเรื่องปกติ เมื่อสงครามในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มสงบลง สำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบูรพาทิศ, Ecole française d'Extrême-Orient [EFEO] เริ่มกลับมาเปิดสำนักงานในภูมิภาคอินโดจีนแต่เดิมตั้งแต่ปี ค.ศ.๑๙๘๙ และเปิดสำนักงานที่ลาวเมื่อ ค.ศ.๑๙๙๓ สถาบันนี้สนใจศึกษาวิจัยในหัวข้อ เช่น จารึกและตำนานรวมถึงเอกสารต่าง ๆ ที่พบในลาว การศึกษาด้านวรรณกรรม การศึกษาทางโบราณคดีและประติมานวิทยาพวกโบราณวัตถุและศิลปวัตถุที่เกี่ยวเนื่องกับพุทธศาสนาในลาว รวมไปถึงการศึกษาเปรียบเทียบกลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ Michel Lorrillard นักวิจัยจากสำนักงาน EFEO ที่เวียงจันทน์ ทำงานศึกษาในลาวมานานและมีหนังสืองานวิจัยจำนวนไม่น้อยตั้งข้อสังเกตถึงเรื่องอิทธิพลวัฒนธรรมเขมรที่เข้าสู่ลาว โดยเฉพาะเรื่องราวจากซายฟอง โดยกล่าวถึงการแบ่งยุคสมัยในประวัติศาสตร์ลาว หรือเรียกชื่อวัฒนธรรมเขมรแบบบายนซึ่งเชื่อว่าเป็นหลักฐานอำนาจทางการเมืองจากเขมรที่ขยายมาจนสุดเหนือสุดที่เวียงจันทน์ว่า “อารยธรรมซายฟอง” บ้าง “ยุคซายฟอง”บ้าง หรือ “ศิลปะแบบซายฟอง” บ้าง [Say Fong civilization, Say Fong period, Say Fong art] และเขาเชื่อว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องเล่าหรือตำนานที่ไม่ควรเชื่อถือแต่อย่างใด โดยเขียนบทความมาตั้งแต่ ค.ศ. ๒๐๐๑ เพราะเขาไม่พบร่องรอยโบราณสถานแบบเขมรแต่อย่างใดในเขตบริเวณบ้านซายฟอง แต่เขาเสนอว่า ทั้งจารึกและรูปสลักลอยตัวพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ น่าจะนำมาจากอโรคยศาลที่ใกล้เวียงจันทน์ที่สุด คือที่ “กู่บ้านพันนา” ในอำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนครในปัจจุบัน ดังที่เอโมนิเยร์สำรวจในช่วงต้นศตวรรษที่ผ่านมา และฟิโนต์ก็ยังบันทึกในบทความร่วมสมัยไม่มั่นใจว่าจารึกนั้นอยู่ที่บ้านซายฟองแต่เดิมหรือไม่ Lorrillard ให้เห็นเหตุผลว่า จากการสำรวจที่บริเวณบ้านซายฟองไม่พบร่องรอยหลักฐานที่เป็นศาสนสถานแบบเขมรหรือเก่าไปจนถึงราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ดังปรากฏในอายุในจารึกแต่อย่างใด เขาเห็นว่าน่าจะมีการขนย้ายมาจากอโรคยศาลที่ใกล้ที่สุดและเป็นปลายสุดของเส้นทาง “ราชมรรคา” คือที่กู่บ้านพันนา เพราะที่บ้านพันนานั้นไม่พบโบราณวัตถุสำคัญที่มักเป็นส่วนประกอบสำคัญของอโรคยศาล เช่น พระพุทธรูป จารึก ฯลฯ คงพบเพียงศาสนาสถานแบบอโรคยศาลเท่านั้น และควรจะนำมาเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ ในช่วงที่เมืองซายฟองเป็นศูนย์กลางการค้าสำคัญคู่กับเมืองเวียงคุกที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งก็ยังคงใช้แนวทางสมมติฐานแบบฝรั่งเศสในภูมิภาคนี้คือ “ อำนาจทางการเมืองของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ แผ่ขยายสู่บ้านเมืองต่าง ๆ ตามเส้นทางราชมรรคา ” กรมศิลปากรขุดค้นที่กู่บ้านพันนาเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๒ พบโบราณวัตถุสำคัญ เช่น เศียรพระวัชรธร ชิ้นส่วนพระโพธิสัตว์วัชรปราณีทรงครุฑ พระยมทรงกระบือ พระกรพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และไม่พบร่องรอยวัตถุพวกจารึกหรือรูปสลักอื่น ๆ แต่อย่างใด เป็นไปได้มากที่วัตถุอื่น ๆ ที่มีพร้อมกับอโรคยศาลถูกเคลื่อนที่นำไปไว้ในสถานที่อื่น ๆ รูปสลักจากหินทรายลอยตัว น่าจะเป็นรูปพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ แต่รูปลักษณ์เป็นแบบท้องถิ่นอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เพียง Lorrillard ที่เคยตามหา “เมืองซายฟอง” เท่านั้น นักวิชาการชาวต่างประเทศที่เข้ามาศึกษาเรื่องการจัดการมรดกวัฒนธรรมเมืองเวียงจันทน์ก็พยายามค้นหาเมืองซายฟองตามข้อมูลที่เสนอโดย Maspero เช่นกัน, ANNA KARLSTRÖM สำรวจและขุดหลุมทดสอบทางโบราณคดี [Test pit excavation] เมื่อปลาย ค.ศ.๒๐๐๓ และเขียนรายงานไว้ในเอกสาร Preserving Impermanence the Creation of Heritage in Vientiane, Laos [Department of Archaeology and Ancient History Uppsala University, 2009] งานวิจัยศึกษาเกี่ยวกับการปกป้องรักษามรดกทางวัฒนธรรมในเวียงจันทน์ สำหรับบริเวณบ้านซายฟองเหนือและใต้ มีการสำรวจทางโบราณคดี สัมภาษณ์ประวัติศาสตร์บอกเล่าจากชาวบ้านและขุดค้นหลุมทดสอบทางโบราณคดี KARLSTRÖM รายงานว่าที่ซายฟอง สำรวจพบทรากวัดร้างราว ๓๐ แห่ง แต่ชาวบ้านในท้องถิ่นต่างเล่าว่าบริเวณมีวัดอยู่ถึง ๓๐๐ แห่ง ที่ฝั่งเวียงคุกแม้เรียกว่า “เมืองใหญ่ซายฟอง” แต่มีวัดราว ๆ ๘๐ แห่ง ที่เหลืออยู่ที่ฝั่งนี้ และไม่มีคำบอกเล่าใดเลยที่เกี่ยวข้องกับเขมร แต่เรื่องราวนั้นสัมพันธ์กับท้องถิ่นในพุธศตวรรษที่ ๒๑ เท่านั้น เธออ้างอิงถึงเอกสารจากพ่อค้าชาวดัชท์ที่มายังลาวในช่วง พ.ศ.๒๑๘๔-๒๑๘๕ และกล่าวว่า “เวียงคุก” เป็นสถานีใหญ่ในการขนถ่ายสินค้าจากลาวสู่เมืองโคราช ทำให้เป็นที่พักของพ่อค้าจากต่างถิ่นมากมายและเป็นเช่นนี้จนกระทั่งส่งต่อเข้ามายังกรุงเทพฯ เมื่อราวทศวรรษที่ ๒๔๐๐ อีกเมืองที่สำคัญคือ ศรีเชียงใหม่ ที่อยู่ตรงข้ามเวียงจันทน์ ทำให้ทราบว่าช่วงราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ เวียงคุก ท่าบ่อ ซายฟอง ศรีเชียงใหม่เป็นเมืองการค้าที่สำคัญ มีตำนานเขียนเป็นภาษาบาลีและภาษาลาวโบราณในพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (ตำนานเมืองซายฟอง / ซึ่งมีอยู่ในรวมประชุมพงศาวดารภาคที่ ๗๐ ตำนานนี้เขียนขึ้นตามขนบราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ - ๒๒ มีการกล่าวถึงกำเนิดบ้านเมืองต่าง ๆ และพระพุทธเจ้าเสด็จเลียบโลก ) หลักฐานทางโบราณคดีจากการขุดค้น ไม่อาจบอกได้ว่ามีเมืองหรือการอยู่อาศัยในวัฒนธรรมเขมร และไม่มีร้องรอยของอโรคยศาลที่นี่แต่อย่างใด มีการอยู่อาศัยเล็กน้อยช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓ สันนิษฐานจากใบเสมาซึ่งก็ยังไม่อาจยืนยันได้แน่ชัด และวัดร้างส่วนใหญ่น่าจะอยู่ในช่วงอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ เมื่อเดินทางสำรวจทางโบราณคดีในแถบภูพานคำ พระบาทบัวบาน-บัวบก ที่กรมศิลปากรเรียกว่าภูพระบาท เมืองพานที่บ้านหนองกาลึมซึ่งเป็นบ้านเกิดของพระครูหลวงโพนสะเม็กหรือญาคูขี้หอม และต่อเนื่องไปจนถึงท่าบ่อ พานพร้าว เวียงคุก เวียงจันทน์ จนถึงที่ราบลุ่มน้ำงึม บริเวณที่เรียกว่า เวียงคำหรือเมืองไผ่หนาม จนทำให้เห็นข้อสังเกตพ้องกับนักวิชาการที่ศึกษาเรื่องเมืองเวียงจันทน์และลาวทั้งสองท่านดังกล่าว จนเดินทางไปสำรวจที่แถบบ้านซายฟอง ซึ่งอยู่ในระหว่างพื้นที่คดโค้งของแม่น้ำโขง พื้นที่ทั่วไปมีสภาพของหนองบึงและที่ลุ่มอันเกิดจากการตกตะกอนของแนวชายหาดโค้ง บริเวณนี้จึงเป็นหมู่บ้านชนบทของเมืองเวียงจันทน์ เนื่องจากเมื่อข้ามสะพานไทย-ลาว จากนครพนมก็วิ่งตัดตรงสู่เวียงจันทน์โดยผ่านหมู่บ้านริมชายฝั่งเหล่านี้ไป และไม่พบหลักฐานที่เกี่ยวเนื่องจากการอยู่อาศัยในช่วงร่วมสมัยกับการสร้างอโรคยศาลแต่อย่างใด คงมีแต่วัดร้างและร่องรอยของชุมชนในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ ลงมา เอกสารในตำนานท้องถิ่นจากฝั่งไทย เช่น จากจารึกที่วัดบางแห่งในอำเภอโพนพิสัยหรือเมืองปากห้วยหลวง ตำนานวัดในใบลานบางแห่ง เรียกเมืองริมน้ำโขงทั้งสองฝั่งบริเวณนี้เป็นเมืองคู่ว่า “เมืองคุกชายฟอง” เมืองท่าบ่อ ศรีเชียงใหม่ พานพร้าว ปะโค เมืองคุกชายฟอง จนถึงเมืองปากห้วยหลวงหรือโพนพิสัยในปัจจุบัน ซึ่งเป็นยุครุ่งเรืองที่สุดของบ้านเมืองแถบนี้ร่วมกับเมืองอื่น ๆ ที่อยู่ริมแม่น้ำโขงและปรากฏชื่อบ้านนามเมืองในตำนานอุรังคธาตุซึ่งอยู่ในเขตสองฝั่งโขงอีกหลายแห่ง การเป็นเมืองคู่นี้น่าจะเป็นธรรมเนียมปกติของบ้านเมืองในแถบนี้ จารึกสุโขทัยเรียกชื่อ “เวียงจัน-เวียงคำ” ซึ่งหลายท่านก็สันนิษฐานว่า เวียงคำน่าจะเป็นเมืองไผ่หนามในตำนานและอยู่ที่ต้นที่ราบลุ่มแม่น้ำงึม ช่วงก่อนจะเข้าเขตเทือกเขาสูงซึ่งเป็นเส้นทางเดินทางสู่หลวงพระบาง และมีตำนานเรื่องพระบางและพระเจ้าฟ้างุ้มก่อนจะรวบรวมบ้านเมืองเป็นอาณาจักรล้านช้างในเวลาต่อมา คนในท้องถิ่นแถบเวียงจันทน์รับรู้เรื่องราวในตำนานเวียงคำนี้เป็นอย่างดี กรณีการเป็นเมืองคู่นี้ ในสมัยตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๒๑ เป็นต้นมา บ้านเมืองล้านช้างมีอาณาเขตทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขงและเป็นเมืองคู่ตลอดมา ความสัมพันธ์ของคนสองฝั่งโขงคือเครือญาติพี่น้อง อพยพข้ามไปข้ามมาจนเป็นเรื่องปกติ และเมืองเวียงจันทน์ก่อนที่จะถูกสยามข้ามไปเผาเมืองในสมัยรัชกาลที่ ๓ นั้นคู่กับเมืองพานพร้าวที่ศรีเชียงใหม่ กระทั่งฝรั่งเศสเข้ามายึดครองลาวและทำสนธิสัญญาแบ่งเขตลากเส้นพรมแดนประเทศจนส่งผลถึงปัจจุบัน แต่ สิทธิพร ณ นครพนม นักวิชาการท้องถิ่นที่เขียนเรื่องเมืองหนองคายเชื่อว่าซายฟองคือเมืองเวียงคำที่เป็นเมืองในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ แต่ให้คู่กับเมืองเวียงคุกและสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเมืองเดียวกัน เพราะพบหลักฐานการเป็นบ้านเมืองสำคัญในบริเวณเมืองเวียงคุกมากมาย เพราะพบวัดร้างและโบราณสถานกว่า ๑๐๐ แห่ง มีอาณาเขตกว้างขวางและอุดมสมบูรณ์รวมทั้งพระธาตุสำคัญของคนสองฝั่งโขงก็ประดิษฐานอยู่ที่นี่คือ พระธาตุบังพวน ที่กษัตริย์ลาวทรงสร้างและปฏิสังขรณ์เป็นการใหญ่โตเรื่อยมาทั้งสมัยพระเจ้าแสนหล้าและพระเจ้าไชยเชษฐา อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าไปสำรวจบริเวณเมืองเวียงคุก จึงพบว่ามีหลักฐานร่องรอยของบ้านเมืองที่เก่ากว่ายุครุ่งเรืองในการเป็นศูนย์กลางการค้าขายในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ วารสารเมืองโบราณไปสำรวจและถ่ายภาพที่สำคัญมากมายในปี พ.ศ.๒๕๑๘-๒๕๑๙ พบเทวรูป พระพุทธรูป ที่วัดยอดแก้ว วัดเทพพลประดิษฐานราม และเสนอว่าน่าจะอยู่ในช่วงลพบุรีตอนปลายต่อเนื่องกับล้านช้าง จากการสำรวจเพิ่มเติม ทำให้พบว่ายังพบหลักฐานที่เกี่ยวเนื่องกับแบบศิลปะลพบุรีที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมเขมรในช่วงหลังพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ เป็นต้นมา ซึ่งน่าจะมีอายุร่วมสมัยกับวัฒนธรรมเขมรแบบบายนที่ส่งอิทธิพลมาถึงบ้านเมืองสองฝั่งโขงในแถบเวียงจันทน์และหนองคายในบริเวณนี้ได้ บริเวณวัดเทพพลฯ นั้น มีร่องรอยของฐานศาสนสถานแบบเขมรอยู่แน่นอน เช่น ก้อนศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยม สระน้ำขนาดเล็ก กลีบขนุนที่ทำจากหินทรายและนำไปใช้เป็นใบเสมาในปัจจุบัน แต่ถูกเปลี่ยนแปลงการใช้พื้นที่จนแทบไม่อาจสังเกตเห็น นอกจากนี้พระพุทธรูปขนาดเล็กที่พบยังปรากฏรูปแบบจากใบหน้าและการแกะสลักที่ทำให้เห็นว่าเป็นฝีมือช่างแบบท้องถิ่น เช่นเดียวกับฝีมือช่างของการรูปสลักจากหินทรายลอยตัวรูปพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ที่เก็บรักษาไว้ที่ระเบียงคดรอบพระธาตุหลวงเวียงจันทน์ เมื่อเปรียบเทียบจากรูปสลักที่พบจากกีเมต์และพิมายแล้วจะเห็นฝีมือที่เกิดจากการเลียนแบบได้ชัด ทางฝั่งเวียงคุก พบหลักฐานที่เราเรียกว่าศิลปะแบบลพบุรีมากมายหลายชิ้น รวมทั้งโบราณสถานที่น่าจะเป็นรูปแบบเรื่องในวัฒนธรรมเขมรแม้จะไม่ชัดเจนนัก แตกต่างจากฝั่งซายฟองที่แทบไม่พบร่องรอยอื่นใดแม้จากการสำรวจและขุดค้นหลุ่มทดสอบก็ตาม หากเราใช้วิธีหาข้อสรุปเพื่อกล่าวว่า ที่จริงแล้วศาสนสถานเนื่องในวัฒนธรรมเขมรน่าจะอยู่ที่เวียงคุก ฝั่งประเทศไทย ก็คงเป็นการเดินตามรอยการยื้อแย่งความสำคัญหรือสร้างความเชื่อในเรื่องท้องถิ่นนิยมตามแบบประวัติศาสตร์ยุคอาณานิคมที่สร้างกับดักทางความคิดเช่นนี้เสมอ การจะไปกล่าวหาว่านักวิชาการชาวฝรั่งเศสในยุคสมัยหนึ่ง “ยกเมฆ” เพื่อเหตุผลในทางการเมืองใด ๆ ก็ตามก็คงไม่สมควรเช่นกัน แต่กรณีเรื่องราวของเวียงคุกที่อยู่ในห้วยคุก บ้านเมืองริมโขงทางฝั่งไทยที่ห้วยน้ำโมงซึ่งต่อเนื่องไปจนถึงภูพานคำและหนองบัวลำภูจนกระทั่งถึงต้นน้ำชี ซึ่งมีท้องถิ่นที่สำคัญและรับอิทธิพลจากวัฒนธรรมเขมรรวมทั้งวัฒนธรรมทวารวดีจากภาคกลางนั้นเป็นเส้นทางที่สำคัญที่จะถอดรหัสการมีอยู่ของท้องถิ่นที่มีชุมชนในสมัยทวารวีดตอนปลาย ชุมชนที่มีใบเสมาและพระพุทธรูปยืนที่มีอิทธิพลแบบทวารวดีร่วมสมัยกับอิทธิพลแบบเขมร อย่าง “พระบาง” และพระพุทธรูปในอีกหลายๆ แห่งที่พบในเขตเวียงจันทน์และเหนือขึ้นไปในที่ราบลุ่มน้ำงึมดังกล่าว โดยเฉพาะ “ใบเสมา” ที่อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ศึกษาและจัดกลุ่มไว้อย่างชัดเจน จะขาดข้อมูลไปก็คือในพื้นที่ทางอุดรธานีและหนองคายต่อเนื่องไปจนถึงที่ราบลุ่มน้ำงึม ซึ่งในระยะก่อนหน้านั้นไม่สะดวกนักที่จะเดินทางเข้าไปสำรวจที่ลาว ทำให้ยังไม่เห็นภาพชัดเจน หากนำข้อมูลเหล่านี้มาพิจารณาทั้งหมดใหม่ ก็จะเห็นภาพของพลวัตรบ้านเมืองที่ห่างไกลศูนย์กลางอำนาจที่เมืองพระนคร แต่ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากทั้งเขมรและแบบทวารวดี จนกลายเป็นลักษณะเฉพาะท้องถิ่น โดยที่ไม่จำเป็นต้องกลายเป็นรัฐในอารักขาของเขมร เหมือนกับที่ประวัติศาสตร์แบบอาณานิคมมักจะวิเคราะห์ไปในทิศทางดังกล่าว เมืองซายฟอง จึงไม่จำเป็นต้องเป็นเขตอิทธิพลเหนือสุดของอำนาจทางการเมืองของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ดังที่เกิด “ความเชื่อ” ที่หวลกลับมาอีกครั้งหนึ่งในสำนึกทางประวัติศาสตร์ของชาวกัมพูชาปัจจุบัน และหากกลาวถึงเมืองซายฟองโดยหรี่ตาไม่นำเอาเมืองคู่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามและยังคงมีหลักฐานทางโบราณคดีจำนวนมากมากล่าวด้วยก็คงเป็นการเลือกปฏิบัติในประวัติศาสตร์แบบรัฐชาติสมัยใหม่ ที่เลือกเฉพาะพื้นที่ในขอบเขตเส้นแบ่งพรมแดน ทั้ง ๆ ที่ธรรมชาติของบ้านเมืองสองฝั่งโขงนั้นไร้พรมแดนตลอดมา แม้จนทุกวันนี้ที่ผู้คนทั้งสองฝั่งยังคงเป็นเครือญาติ ไปมาหาสู่กันในบางกลุ่ม บ้านเมืองที่มีความเคลื่อนไหวเหล่านี้ สัมพันธ์กับ “แคว้นศรีโคตบูร” ซึ่งเป็นบ้านเมืองสองฝั่งโขงก่อนสมัยพระเจ้าฟ้างุ้มและล้านช้าง โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่แถบหนองหารสกลนคร อันเป็นเมืองใหญ่เนื่องในวัฒนธรรมเขมร ต่อเนื่องสัมพันธ์กับจามปาที่ริมทะเลในแถบเวียดนามตอนกลางด้วย สิ่งเหล่านี้ปรากฏร่องรอยในตำนานอุรังคธาตุและโบราณสถานและวัตถุหลายแห่งในเขตอีสานตอนเหนือและสองฝั่งโขง ชิ้นส่วนใบเสมาและพระพุทธรูปแบบนาคปรก เก็บรักษาไว้ตามวัดต่าง ๆ ในเวียงคุก อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • “เมืองแพร่และผลจากการสัมปทานป่าไม้”

    เผยแพร่ครั้งแรก 12 พ.ค. 2559 อุตสาหกรรมป่าไม้สร้างรายได้มหาศาลแก่รัฐบาลส่วนกลาง บริษัทข้ามชาติและนายทุนท้องถิ่นผู้รับสัมปทานผูกขาด ซึ่งไม่มีผลในทางบวกต่อชีวิตคนในเมืองแพร่เท่ากับผลกระทบในชีวิตการทำมาหากินต่อมาและสภาพแวดล้อมที่ถูกทำลาย เมืองแพร่คือตัวอย่างของการนำ ทรัพย์ส่วนรวม [Common property] ซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตจากสภาพแวดล้อมอันอุดมสมบูรณ์ของตนเองมาใช้ในระบบสัมปทานจนหมด ผลกระทบมากมายเกิดขึ้นอย่างเป็นลูกโซ่ในประวัติศาสตร์เมืองแพร่จนถึงปัจจุบัน คุณหลวงวิลาสวนวิทย์ (เมธ รัตนประสิทธิ์) เป็นผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการโรงเรียนป่าไม้ การทำป่าไม้ในระยะเริ่มแรก คือ การทำ “ไม้สัก” ซึ่งพบมากที่สุดในเขตจังหวัดภาคเหนือ คือ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน และยังพบประปรายแถบจังหวัดสุโขทัยและกำแพงเพชรลงมาถึงอุทัยธานี กาญจนบุรี ส่วนพม่านั้นเป็นประเทศที่มีไม้สักมากที่สุด การเริ่มต้นกิจการทำไม้สักในประเทศไทยเริ่มจากชาวจีนไหหลำที่ต้องการไม้สักมาต่อเรือส่งไปยังเมืองจีนตั้งแต่ช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งการเดินเรือสำเภาเลียบชายฝั่งเป็นกิจการที่เฟื่องฟูทั้งการค้าขายและการอพยพย้ายถิ่นในช่วงเวลานั้น และยังเป็นคนกลุ่มแรกที่ทำโรงเลื่อยเพื่อแปรรูปไม้สักที่นำมาจากแถบเมืองพิษณุโลกและสวรรคโลก และยังไม่ได้นำเอาขอนไม้มาจากทางเมืองเหนือแต่อย่างใด ป่าไม้สักโดยทั่วไปเป็นป่าผสมผลัดใบหรือที่เรียกกันว่า ป่าเบญจพรรณ ผลัดใบในฤดูแล้งพันธุ์ไม้มีค่านอกเหนือจากไม้สักแล้วมีไม้ประดู่ ไม้แดง ไม้มะค่า ไม้ตะแบก ไม้ไผ่ชนิดต่าง ๆ ฯลฯ ไม้สักเจริญเติบโตได้ดีในสภาพพื้นที่ที่มีความชุ่มชื้นสูง ดินลึก ระบายน้ำดี และมีสภาพที่เป็นกลางหรือด่างเล็กน้อย ปริมาณน้ำฝนที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและคุณภาพเนื้อไม้อยู่ระหว่าง ๑,๐๐๐-๑,๕๐๐ มิลลิเมตรต่อปี มีฤดูแล้งสลับกับฤดูฝนเพื่อที่เนื้อไม้จะได้มีลวดลายของวงปีชัดเจน ระดับความสูงของพื้นที่ไม่เกิน ๗๐๐ เมตรจากระดับน้ำทะเล เมื่ออังกฤษสามารถเข้ายึดพม่าเป็นอาณานิคมเริ่มแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๙ เป็นยุคอาณานิคมที่ทำให้กิจการการทำไม้สักเพื่อส่งออกเริ่มต้นขึ้น และกระทำอย่างจริงจังเมื่ออังกฤษยึดพม่าตอนล่างเพิ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๖ พื้นที่เหล่านี้เป็นแหล่งไม้สักที่สำคัญ ชาวอังกฤษตั้งบริษัทบอมเบย์ เบอร์มา บริษัทบริดิช เบอร์เนียว เพื่อรองรับการค้าไม้ส่งออก ซึ่งตลาดไม้สักที่สำคัญนั้นอยู่ในยุโรปและอินเดียซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษ หลังจากทำไม้เป็นระยะเวลาหนึ่งก็เริ่มขยายตัวมาทำไม้ในหัวเมืองทางเหนือของสยามเพราะเห็นว่ามีไม้สักมาก คุณภาพดีและราคาถูกกว่าของพม่า ทำให้คนอังกฤษและคนในบังคับอังกฤษ เช่น เงี้ยวหรือไทใหญ่ กะเหรี่ยง พม่า เข้ามาขอเช่าทำป่าไม้กับเจ้าผู้ครองนครซึ่งอยู่ในช่วงรัชกาลที่ ๔ ต่อรัชกาลที่ ๕ ในสมัยก่อนเกิดการรวมศูนย์อำนาจและยกเลิกหัวเมืองประเทศราช ป่าไม้ในหัวเมืองเหนือถือเป็นทรัพย์สินมรดกจากบรรพบุรุษและทรัพย์สินส่วนตัวของเจ้านายในหัวเมืองเหนือ ซึ่งแต่เดิมป่าไม้น่าจะเป็นทรัพย์สินโดยรวมที่มีผีอารักษ์คอยคุ้มครอง คอยรักษาสมดุลตามธรรมชาติและผู้คนเพียงใช้ประโยชน์จากการเก็บของป่า ดังนั้นผลผลิตจากป่าจึงกลายเป็นทรัพย์สิน ไม่ใช่บริเวณที่เป็นผืนป่าทั้งบริเวณดังที่เราสามารถพบร่องรอยของวิธีคิดในเรื่องทรัพยากรส่วนรวมที่ผู้คนยกให้เป็นของพระเจ้าหรือผีใหญ่อารักษ์คุ้มครอง และการอ้างอิงกับอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่พบได้ในบ้านเมืองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การจับจองอ้างเป็นทรัพย์สินส่วนตัวหรือทรัพย์สินเฉพาะกลุ่มจึงเกิดขึ้นในภายหลัง เมื่อทรัพยากรเหล่านั้นเริ่มมีคุณค่าในทางเศรษฐกิจ การจับจองพื้นที่จึงกลายเป็นทรัพย์สินกรรมสิทธิ์ที่สำคัญกว่าผลผลิตเฉพาะบุคคลที่ได้จากพื้นที่โดยรวม ใน พ.ศ. ๒๔๒๖ รัฐบาลไทยเริ่มอนุญาตให้ชาวยุโรปเข้ารับสัมปทานทำไม้สักในประเทศไทยได้ และในช่วงเวลาเดียวกันคือหลังจาก พ.ศ. ๒๔๒๘ เป็นต้นมา พม่าก็ได้ปิดป่าสักไม่ให้มีการทำไม้เนื่องจากสภาพป่าสักเสื่อมโทรมลงมากจากการทำไม้ของบริษัทต่างชาติ และความต้องการไม้สักในหมู่ประเทศยุโรปจึงมีมากขึ้น เมื่อมีความชำนาญในการทำไม้ในพม่า บริษัทของอังกฤษทราบถึงวิธีการที่จะได้ผลมากที่สุดทั้งเทคนิคการตัดไม้และลากจูง การลงทุนที่คุ้มค่าและมีกำไรสูงสุด และการบริหารงาน ความเชี่ยวชาญ และเหตุผลข้างต้นทำให้บริษัททำไม้ของยุโรปเข้ามาตั้งบริษัททำธุรกิจในประเทศไทย เริ่มจากบริษัทบริดิช เบอร์เนียว จำกัด มาตั้งที่เชียงใหม่เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๙ แต่เริ่มอย่างจริงจังเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๒ บริษัท บอมเบย์ เบอร์มา เทรดดิ้ง จำกัด [Bombay Burma Trading Corporation, Ltd.] ของอังกฤษ ซึ่งเป็นใหญ่และมีอิทธิพลมากในประเทศพม่าเข้ามาใน พ.ศ. ๒๔๓๒ ตั้งสาขาที่เชียงใหม่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๕ บริษัทสยามฟอเรสต์ จำกัด [Siam Forest Company, Ltd.] ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นแองโกลสยามและแองโกลไทย จำกัด เข้ามาทำป่าไม้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๕ บริษัทหลุยส์ ที. เลียวโนเวนส์ [Louis t.Leonowens Ltd.] ซึ่งแยกมาจากบริษัทบริดิช บอร์เนียว ใน พ.ศ. ๒๔๓๙ และบริษัทของชาวเดนมาร์กอีกแห่งหนึ่งคือ บริษัทอิสต์ เอเชียติค จำกัด ตั้งขึ้นราว พ.ศ. ๒๔๔๘ เป็นบริษัทที่นำสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาค้าขายด้วย สำนักงานเดิมตั้งอยู่ข้างโรงแรมโอเรียลเต็ล และบริษัทนี้ยังคงทำธุรกิจอยู่จนทุกวันนี้ และยังมีบริษัทของฝรั่งเศสอีกหนึ่งบริษัทคือ บริษัทเอชิอาติก เออาฟริเกน ตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๒ ส่วนผู้ทำไม้รายย่อยซึ่งเริ่มเป็นกลุ่มชนชั้นนำที่เป็นนายทุนของสยามได้แก่ บริษัทล่ำซำ จำกัด ของนายอึ้ง ล่ำซำ ซึ่งเป็นคนในบังคับฝรั่งเศส บริษัทกิมเซ่งหลี จำกัด ก่อตั้งโดย นายอากรเต็งหรือหลวงอุดรภัณฑ์พานิช ซึ่งมีทุนน้อยกว่าชาวยุโรป นอกจากนี้ยังมีเจ้านายจากเมืองต่าง ๆ โดยเฉพาะเมืองแพร่และเมืองน่าน คนอเมริกันและฮอลันดา และคนท้องถิ่น การทำป่าไม้ในมณฑลพายัพดำเนินการโดยพ่อค้าอังกฤษและชาวพม่าในบังคับอังกฤษ ซึ่งอยู่ในความควบคุมของ ๒ บริษัทป่าไม้อังกฤษใหญ่ ๆ คือ บริษัทบอมเบย์ เบอร์มา และบริษัท บริดิช บอร์เนียว ซึ่งการดำเนินงานของทั้งสองบริษัทจะกระทำอย่างมีแบบเเผนและใช้วิชาการเข้ามาเกี่ยวข้อง คนที่ทำป่าไม้ก็มีความชำนาญในการทำป่าไม้มาจากพม่า เมื่อบริษัทได้มาตั้งสาขาขึ้นในมณฑลพายัพก็ดำเนินการทำป่าไม้ทุกอย่าง นับตั้งแต่การรับเช่าทำป่าไม้ การตัด แม้แต่การออกทุนในการรับซื้อไม้จากพ่อค้าไม้ชาวพื้นเมือง การทำธุรกิจป่าไม้เป็นแบบการรับสัมปทานป่าเป็นผืน ๆ ไป การลงทุน เทคโนโลยี การจ้างแรงงานเป็นของบริษัทรับทำทั้งหมด ส่วนการอนุญาตเป็นของเจ้าของกรรมสิทธิ์ในพื้นที่ เช่น เจ้าผู้ครองนครของหัวเมืองต่าง ๆ ซึ่งนำไปสู่การขัดแย้งในทางธุรกิจที่อาจนำไปสู่ข้ออ้างทางการเมืองที่ฝ่ายเจ้าอาณานิคมที่เป็นคนดูแลทั้งบริษัทและคนในบังคับชาติต่าง ๆ สามารถใช้เป็นข้ออ้างในการจุดประเด็นเพื่อเข้ายึดดินแดนต่าง ๆ ได้ ดังที่เคยเกิดขึ้นในพม่าและที่อื่น ๆ การจัดการป่าไม้โดยรัฐบาลจากกรุงเทพฯ การฟ้องร้องจำนวนมากและหลายคดีที่ฝ่ายเจ้าของสัมปทานคือเจ้าผู้ครองนครเป็นฝ่ายแพ้ ทำให้รัฐไทยตระหนักว่าความขัดแย้งเหล่านี้จะขยายเพิ่มมากขึ้นและคุกคามต่ออาณาเขตของรัฐที่ยังไม่มีความชัดเจนในขณะนั้น จนนำไปสู่ระบบการปกครองแบบรวมศูนย์และยกเลิกหัวเมืองประเทศราช จัดระบบการปกครองที่ดูแลจากส่วนกลางอย่างเข้มข้นในระยะเวลาเดียวกัน การแก้ไขปัญหาในเรื่องการทำสัมปทานป่าไม้ซึ่งมีการออกพระราชบัญญัติและประกาศต่าง ๆ เกี่ยวกับไม้สักเพื่อแก้ปัญหาการให้สัมปทานเช่าซ้ำซ้อน การจัดเก็บภาษีที่ดีขึ้น การลักขโมยตัดไม้ การฆาตกรรม การลอบตีตราเถื่อนและซ้ำซ้อน ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๑๖ เจ้าผู้ครองนครต่าง ๆ ที่จะทำสัญญากับชาวต่างประเทศต้องได้รับความยินยอมจากกรุงเทพ ฯ ก่อน ในช่วง พ.ศ. ๒๔๒๖-๒๔๒๗ รัฐบาลส่งพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ไปเป็นข้าหลวงพิเศษแก้ไขปัญหาป่าไม้ และมีประกาศ พ.ศ. ๒๔๒๗ เรื่องซื้อขายไม้ขอนสักและประกาศเรื่องตัดไม้สัก พ.ศ. ๒๔๒๗ เพื่อควบคุมเรื่องการทำสัญญาเช่าป่าให้อยู่กับรัฐบาลและข้าหลวงจากกรุงเทพฯ เท่านั้น ห้ามเจ้านายเจ้าของป่าออกใบอนุญาตแก่ผู้ขอเช่าทำป่าไม้เอง เป็นการลดอำนาจเจ้าผู้ครองนครโดยตรง เพราะรายได้จำนวนมากเหล่านี้ตกอยู่กับเจ้านายในหัวเมือง ต่าง ๆ ซึ่งสวนทางกับแนวโน้มในการจัดระบบการปกครองแบบศูนย์รวมอำนาจที่จะเกิดขึ้น และห้ามไม่ให้ตัดฟันไม้สักในป่าเขตเมืองเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน แพร่ น่าน นอกจากได้รับอนุญาตจากข้าหลวง นอกจากนี้ยังมีประกาศเรื่องการเก็บภาษีไม้ขอนสักให้ถูกต้องใน พ.ศ. ๒๔๓๑ ห้ามไม่ให้ล่องไม้ในเวลากลางคืน ห้ามลักขโมยไม้ใน พ.ศ. ๒๔๓๙ รัฐบาลได้โอน Mr. Castenjold ที่เดิมปฏิบัติราชการประจำกระทรวงการคลังมาสังกัดกระทรวงมหาดไทย เพื่อช่วยสำรวจสถานการณ์ป่าไม้สักทางมณฑลพายัพเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖ แต่ได้ล้มป่วยและถึงแก่กรรมอย่างกะทันหันที่จังหวัดตาก ต่อมาสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้เจรจาขอยืมตัว Mr. H. A. Slade ข้าราชการอังกฤษที่รับราชการในกรมป่าไม้พม่าให้เข้ามาช่วยให้คำแนะนำ คำปรึกษา ในกิจการป่าไม้ของไทย เช่นเดียวกับที่ Sir. Dietrich Brandis ได้เริ่มลงมือจัดการป่าไม้ในประเทศพม่าเมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๙ กัปตัน W. Guldberg เดินทางเข้ามาสยามตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๒๕ เมื่อบริษัทอีสต์เอเชียติก ก่อตั้งในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของบริษัทอีสต์เอเชียติกในภาคเหนือของสยาม ภาพจากพิพิธภัณฑ์ไม้สัก จังหวัดแพร่ ในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๓๘ Mr. Slade ขึ้นไปตรวจการทำป่าไม้ในหัวเมืองภาคเหนือ โดยออกเดินทางจากกรุงเทพฯ พร้อมนักเรียนไทยฝึกหัดอีก ๕ คน ออกไปสำรวจและนำเสนอรายงานชี้แจงข้อบกพร่องต่าง ๆ ของการทำป่าไม้ในเวลานั้น และให้ข้อเสนอแนะต่อเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ซึ่งก็เป็นไปในแนวทางเดียวกับที่รัฐบาลไทยเคยออกประกาศและพระราชบัญญัติต่าง ๆ โดยสรุปคือ ข้อเสนอแนะต่อเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยของ Mr. Slade ควรทำแผนที่แบ่งป่าไม้สักและไม้อื่น ๆ ทางภาคเหนือเพื่อทราบความหนาแน่นของไม้และมูลค่าจริงของป่าแต่ละแห่งแล้วจัดวางโครงการทำป่าไม้ ควรสำรวจไม้อื่นที่ไม่ใช่ไม้สักเพื่อใช้ทดแทนไม้สัก เป็นการสงวนพันธุ์ไม้สักไว้ใช้ประโยชน์ในทางที่เหมาะสมต่อไป ควรดำเนินการให้ป่าไม้อยู่ในความดูแลของรัฐบาลและยกเลิกส่วนแบ่งค่าตอไม้ซึ่งเจ้านายต่าง ๆ ได้รับมาแต่เดิม โดยรัฐบาลจ่ายเงินเดือนให้เป็นการทดแทน รวมทั้งควรจัดตั้งหน่วยงานควบคุมป่าไม้ขึ้นเป็นทบวงการเมืองของรัฐ ควรออกกฎหมายสำหรับควบคุมกิจการป่าไม้เพื่อป้องกันรักษาป่า การจัดวางโครงการป่าและการจัดเก็บผลประโยชน์จากป่า รวมทั้งการแก้ไขสัญญาอนุญาตทำไม้ให้มีความเป็นระเบียบ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของนานาชาติ ควรจัดส่งนักเรียนไปศึกษาอบรมที่โรงเรียนการป่าไม้ในต่างประเทศ ๒ - ๓ คนทุกปี เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการบริหารกิจการป่าไม้ไทยต่อไป ควรจัดตั้งด่านภาษีใหม่รวม ๖ แห่ง ที่เมืองพิชัย สวรรคโลก ปากน้ำโพ และกรุงเทพฯ ส่วนค่าตอไม้สำหรับไม้ที่ล่องลงแม่น้ำสาละวิน ควรตั้งด่านภาษีที่เมืองมะละเเหม่งหรือเมาะลำเลิงเพื่อควบคุมไม้ที่ล่องไปยังพม่า และควรปรับปรุงวิธีจัดเก็บภาษีให้เป็นไปตามมาตรฐานการป่าไม้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเห็นชอบกับกระทรวงมหาดไทยและรายงานของ Mr. Slade ว่าถูกต้องสมควรทุกประการ โดยกล่าวถึงอำนาจรัฐบาลซึ่งถือว่าป่าไม้เป็นของหลวงมาแต่เดิมจะใช้สิทธิ์ตามอำนาจนั้น เจ้าผู้ครองนครผู้เป็นเจ้าของป่าเมื่อเป็นผู้อนุญาตแต่ผู้เดียวก็ไม่สามารถจัดการกับการสัมปทานค่าตอไม้ได้อย่างชัดเจน และการใช้จ่ายเงินทองรั่วไหลไปที่ผู้เกี่ยวข้องต่าง ๆ ไม่ถึงรัฐอย่างเต็มที่ หากจะสูญเสียรายได้ก็น่าจะเป็นการเสียรายได้จากการจ่ายเงินเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาคอรัปชั่นในการสัมปทานป่ามาตั้งแต่ช่วงแรก ๆ จากปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเปิดให้สัมปทานหรือทำสัญญาเช่าทำป่าไม้สัก กลายเป็นช่องทางให้ผู้รับเหมาตัดไม้สักอย่างเดียว ไม่จำกัดขนาดและปริมาณจนหมดป่า รัฐบาลกลางจึงจัดตั้ง กรมป่าไม้ ขึ้นในวันที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๓๙ มีชื่อภาษาอังกฤษว่า The Royal Forest Department สังกัดกระทรวงมหาดไทย เนื่องจากในเวลานั้นกระทรวงเกษตราธิการเพิ่งจะสถาปนาขึ้นใหม่ ยังไม่มีกำลังพอจะดำเนินการเองได้ และชื่อภาษาอังกฤษบ่งบอกเป็นนัยว่า ป่าไม้นั้นเป็นของหลวง เมื่อตั้งกรมป่าไม้ขึ้นแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ Mr. Slade เป็นเจ้ากรมป่าไม้คนแรกในอีกหนึ่งเดือนต่อมา สิ่งที่กรมป่าไม้จัดการก็คือ การแก้ปัญหาเรื่องกรรมสิทธิ์ป่าไม้ซึ่งเป็นไปในแนวทางเดียวกัน คือการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ ทำให้เกิดความไม่พอใจจากเจ้านายจากหัวเมือง โดยเฉพาะที่เกิดเหตุการณ์จนถึงกับล้มเลิกระบบเจ้าหลวงปกครองเมืองเป็นแห่งแรกในหัวเมืองเหนือ เช่นที่เมืองแพร่ ต่อมารัฐบาลได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติและกฎหมายป่าไม้ต่าง ๆ เกี่ยวกับระเบียบการทำไม้ การป้องกันรักษาป่าไม้ การตั้งด่านภาษี เป็นต้น ได้มีการปรับปรุงแก้ไขสัญญาอนุญาตทำป่าไม้สักกับบริษัทต่าง ๆ ให้รัดกุม เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดและถูกต้องตามหลักวิชาการมากยิ่งขึ้น ทั้งให้ทำสัญญาอนุญาตทำไม้สัญญาละ ๖-๑๒ ปี ต่อมาได้ขยายเวลาสัญญาออกเป็นสัญญาละ ๑๕ ปี ตามหลักการจัดการป่าสักโดยวางโครงการตัดฟัน ๓๐ ปี เริ่มต้นใน พ.ศ. ๒๔๕๑ ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๕๓ ได้ย้ายที่ทำการกรมป่าไม้จากจังหวัดเชียงใหม่มาอยู่ที่กรุงเทพฯ และย้ายสังกัดจากกระทรวงมหาดไทยไปขึ้นกับกระทรวงเกษตราธิการหรือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ฯ ในปัจจุบัน เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๔ ทั้งหมดนี้คือนโยบายที่ต้องการรายได้ไปบำรุงการปรับเปลี่ยนสยามประเทศที่กำลังเข้าสู่ความเป็นรัฐสมัยใหม่ ชาติสมัยใหม่ในช่วงเวลานั้น ในช่วงระยะแรกของการทำป่าไม้ บริษัทของอังกฤษได้รับสัมปทานมากที่สุดถึงร้อยละ ๘๐ เพราะมีเงินทุนมากพอที่จะทำให้ไม่เกิดปัญหาในการจ่ายเงินค่าตอไม้หรือค่าสัมปทานแก่รัฐ ส่วนที่เหลือที่เป็นนายทุนชาวจีน พม่า เงี้ยวหรือไทใหญ่ กะเหรี่ยง หรือเจ้านายในท้องถิ่นมักจะไม่มีเงินทุนเพียงพอ หากได้รับสัมปทานไม่นานก็ต้องนำไปขาย โอน หรือให้บริษัทต่างชาติรับเหมาช่วงต่อ ในระหว่างรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีนโยบายที่ต้องการให้การผูกขาดหรือรับสัมปทานป่าไม้ตกอยู่ในกลุ่มของคนไทยให้มากกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อรัฐบาลจะได้รับผลประโยชน์และผลกำไรมากกว่า จึงส่งเสริมให้บริษัทคนไทยรับสัมปทานมากขึ้น และจำกัดสิทธิ์และลดอิทธิพลของบริษัททำไม้ เช่น การให้กรมป่าไม้เป็นผู้รับสัมปทานป่าไม้สักเองในป่าที่เหลือ และพยายามให้สัมปทานแก่บริษัทคนไทยที่มีคุณสมบัติคือ มีเงินทุนในการทำป่าไม้ตลอดระยะเวลาที่รับสัมปทานและมีประสบการณ์ทำไม้ แต่นโยบายดังกล่าวก็ไม่ได้ผลนัก กิจการป่าไม้โดยบริษัทของชาวยุโรปก็ยังได้รับการต่อสัมปทานเพราะปฏิบัติตามเงื่อนไขอย่างเคร่งครัด จุดล่องไม้ของเมืองแพร่ จะอยู่ที่ชุมชนเชตวัน นอกเขตเวียงแพร่ ใกล้กับประตูมาร แม้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร์ จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจได้ ทุนและที่ดินยังเป็นของคนกลุ่มเดิม และบริษัททำไม้ชาวยุโรปก็ยังเป็นผู้รับสัมปทานรายใหญ่เช่นเดิม แต่เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นผู้นำรัฐบาลในวาระแรก มีการสร้างอุดมการณ์ชาตินิยมที่ปลูกฝังเรื่องความเป็นคนไทยที่ยิ่งใหญ่ชาติหนึ่งและเจริญทัดเทียมอารยประเทศ โดยมีการนำเอาค่านิยมเรื่องชาตินิยมมาใช้ในทางเศรษฐกิจ โดยเน้นว่าไทยจะเป็นทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ ไม่ใช่ต่างชาติเป็นผู้ขายและไทยเป็นผู้ซื้อ มีความคิดว่าต้องลดบทบาทของบริษัทต่างชาติในกิจการทำไม้ด้วย แต่ก็ไม่สามารถดำเนินนโยบายชาตินิยมดังกล่าวได้แต่อย่างใด เพราะบริษัทของชาวยุโรปที่รับสัมปทานสามารถขอต่อสัมปทานเป็นรอบที่ ๓ ได้ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓ จนกระทั่งเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ใน พ.ศ. ๒๔๘๔ รัฐบาลไทยเพิกถอนสัมปทานการทำไม้สักจากบริษัทอังกฤษทั้ง ๔ บริษัท สั่งยึดกิจการและทรัพย์สินต่าง ๆ ตาม “พระราชบัญญัติว่าด้วยการควบคุมและจัดการทรัพย์สินของบุคคลคนต่างด้าวบางจำพวกในภาวะคับขัน” และตั้งบริษัทไม้ไทย จำกัด ซึ่งเป็นองค์กรรัฐวิสาหกิจของรัฐขึ้น เพื่อรับช่วงการทำสัมปทานป่าไม้แทน หลังสงครามโลกใน พ.ศ. ๒๔๘๙ รัฐบาลต้องคืนสัมปทานป่าสักให้แก่บริษัททำไม้ต่าง ๆ ที่ยึดคืนมา และชดใช้ค่าเสียหายในระหว่างสงครามและยุบบริษัทไม้ไทย จำกัด จึงตั้งองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) ขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๙๐ ซึ่งเป็นองค์กรรัฐวิสาหกิจหนึ่งในจำนวนหลายแห่งที่ตั้งขึ้นในช่วงนี้ เพื่อดำเนินกิจการด้านป่าไม้ให้แก่รัฐบาล และเมื่อรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ยึดอำนาจกลับมาบริหารประเทศอีกครั้ง ก็ดำเนินนโยบายสนับสนุนให้คนไทยดำเนินการทำไม้แทนชาวยุโรปซึ่งมีการเตรียมตัวไว้ก่อนที่สัมปทานจะหมดอายุ จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๙๗-๒๔๙๘ สัมปทานป่าไม้สักของบริษัทต่าง ๆ ได้สิ้นสุดลงและไม่ได้รับการต่อสัญญาอีก มีการยกฐานะองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เป็นรัฐวิสาหกิจประเภทนิติบุคคล เพื่อสามารถแข่งขันและมีความคล่องตัวในการดำเนินงานทัดเทียมบริษัทเอกชน และมีการตั้ง บริษัทป่าไม้ร่วมทุนขึ้น โดยรวมทุนจากบริษัททำไม้ที่หมดสัมปทานทั้ง ๕ บริษัทเข้าด้วยกัน รัฐบาลไทยถือหุ้นร้อยละ ๒๐ นอกจากนี้ยังได้จัดตั้ง บริษัทป่าไม้จังหวัดขึ้น เพื่อรับทำไม้ในท้องที่จังหวัดนั้น ๆ ในปี พ.ศ.๒๔๙๘ ป่าสักได้ถูกแบ่งออกเป็น ๓ ส่วนคือ ให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ทำหนึ่งส่วน บริษัทป่าไม้ร่วมทุนหนึ่งส่วน และบริษัทป่าไม้จังหวัดอีกหนึ่งส่วน จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๕๐๓ ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อหมดสัมปทาน รัฐบาลจึงได้มอบให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เป็นผู้ดำเนินกิจการทำไม้สักทั้งหมด ยกเว้นสัมปทานป่าสักของเอกชนที่อายุสัญญายังเหลืออยู่ และบริษัททำไม้ต่างชาติทั้ง ๕ บริษัทปิดกิจการลง ป่าไม้สักเมืองแพร่ จากลักษณะทางกายภาพ ทั้งดิน น้ำ และทรัพยากรอื่น ๆ ทำให้บริเวณป่าเมืองแพร่มีไม้สักดีที่สุดแห่งหนึ่ง โดยเฉพาะตามลำน้ำที่พบมีอยู่แถบทุกสาย ก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ ชาวต่างชาติเข้ามาทำสัมปทานป่าไม้ในเมืองแพร่หลายบริษัท สัมปทานป่าไม้ที่เมืองแพร่ซึ่งรัฐให้กับบริษัทชาวยุโรปรอบละ ๑๕ ปี โดยให้ทั้งหมด ๓ รอบด้วยกัน บริษัทที่ได้รับสัมปทานมากที่สุดในเมืองแพร่ คือ บริษัทบอมเบย์ เบอร์มา ของอังกฤษ ซึ่งได้รับสัมปทานทำไม้ในบริเวณป่าแม่น้ำยมตะวันตก คือ ป่าไม้ด้านทิศตะวันตกของฝั่งเเม่น้ำยม นับตั้งแต่ป่าตำบลสะเอียบ อำเภอสอง จนถึงป่าแม่ต้า ในเขตอำเภอลอง แต่ป่าแม่ต้านี้เป็นพื้นที่ในกรรมสิทธิ์ของเจ้าผู้ครองนครลำปางในเวลานั้น ซึ่งเจ้าผู้ครองนครลำปางได้มอบสัมปทานให้กับบริษัทบอมเบย์ เบอร์มา รับทำ เป็นอาณาเขตที่มีไม้สักอันมหาศาล แต่นับว่าบริษัทบอมเบย์ เบอร์มา เข้ามาทำไม้เมืองแพร่ในระยะสั้น เมื่อเทียบกับบริษัทอีสต์ เอเชียติค ของเดนมาร์ก เพราะเมื่อไม้สักหมดป่าแม่ต้าแล้ว บริษัทบอมเบย์ เบอร์มา ก็ย้ายกิจการออกไปยังจังหวัดอื่นในภาคเหนือต่อไป การทำไม้ทำให้พม่าเข้ามาในจังหวัดแพร่เพิ่มมากขึ้น เพราะการทำไม้ต้องอาศัยแรงงานจำนวนมากที่ชำนาญงาน และพม่าเป็นแหล่งทำไม้ใหญ่ของอังกฤษมาก่อน ทั้งนี้การชักลากไม้ออกจากป่าลำบากมากแล้ว การล่องซุงเพื่อนำไม้ไปแปรรูปและส่งขายต่างประเทศยังเป็นเรื่องยากลำบากและใช้เวลานานกว่า เพราะต้องใช้จำนวนคนที่เป็นแรงงานมาก ส่งต่อกันเป็นทอด ๆ คนงานทำไม้ก็จะอาศัยแรงงานคนขมุ กะเหรี่ยง มากกว่าคนท้องถิ่นที่ไม่นิยมรับจ้างเป็นแรงงานในบริษัททำไม้ เพราะเป็นคนในพื้นที่ที่อาศัยการทำการเกษตรที่เพียงพออยู่แล้ว ส่วนคนงานในบริษัทของชาวยุโรปก็จะนิยมจ้างชาวพม่า เงี้ยวหรือไทใหญ่ที่เคยมีประสบการณ์ทำไม้กับบริษัทเหล่านี้มาในพม่า เป็นเสมียนผู้ดำเนินงานภายในบริษัท ไม้ที่ล่องนั้นเมื่อออกจากป่าเมืองแพร่จะไปรวมกันที่ลำน้ำยมหน้าวัดเชตวัน ซึ่งเป็นท่าน้ำลงน้ำยม พวกฝรั่งจะอาศัยอยู่ทางบ้านเชตวัน อยู่แถวริมน้ำ ซึ่งปัจจุบันเป็นน้ำยมไปแล้ว เพราะน้ำเซาะจนตลิ่งพัง ในอดีตเมื่อยังมีการทำไม้และล่องซุงไม้ในน้ำยมแต่มีการลักไม้เต็มไปหมด ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ก็ทำเองด้วย ทำให้มีการจับกุมกันบ่อย ต่อจากนั้นจะล่องผ่านแก่งน้ำในช่องเขาไปรวมกันที่หาดเสี้ยว ศรีสัชนาลัย แล้วล่องไปจนถึงสวรรคโลก ชาวบ้านที่หาดเสี้ยวจะมีอาชีพรับจ้างล่องแพผูกแพไปส่งที่ปากน้ำโพ คนที่รับจ้างทำไม้ส่วนใหญ่จะอยู่บ้านเวียงทอง อำเภอสูงเม่น ตระกูลใหญ่ในเมืองแพร่ก็มีชื่อเสียงในด้านการทำป่าไม้และการขายไม้แปรรูปและวัสดุก่อสร้าง ส่วนบริษัทอีสต์ เอเชียติค ได้รับสัมปทานทำไม้ขอนสักตลอดฝั่งแม่น้ำยมตะวันออก โดยมีการนำไม้ออกอย่างมากมายถึงขนาดทำทางรถไฟเข้าไปทำการชักลาก มีกำหนดอายุสัญญาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๕๑-๒๔๖๘ จำนวนไม้ที่ทำออกได้ในปีหนึ่งมีปริมาณกว่า ๖,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร บริษัทบอมเบย์ เบอร์มา มีที่ทำการอยู่หน้าที่ทำการป่าไม้ภาคแพร่ของกรมป่าไม้ที่บ้านเชตวัน ตำบลในเวียง ส่วนบริษัทอีสต์ เอเชียติค ที่ทำการบริษัทอยู่ที่บ้านสันกลาง ตำบลในเวียง ที่ทำการบริษัทอีสต์ เอเชียติค ปัจจุบันได้กลายเป็นโรงเรียนป่าไม้แพร่ ระหว่างปี พ.ศ.๒๔๘๔-๒๔๘๖ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในช่วงเวลานี้เองที่บริษัททำไม้ของอังกฤษซึ่งเป็นฝ่ายสัมพันธมิตรถูกรัฐบาลไทยยึดสัมปทานและไม้ในครอบครองทั้งหมด ยกเว้นก็แต่บริษัทอีสต์ เอเชียติค ของเดนมาร์กที่ไม่เกี่ยวข้องเป็นคู่กรณีในสงคราม ตระกูลใหญ่ในเมืองแพร่ซึ่งเป็นผู้รับจ้างเหมาบริษัทฝรั่ง โดยเฉพาะการรับจ้างใช้ช้างลากไม้ในป่า เพราะการทำไม้จำเป็นต้องใช้แรงงานคนและช้างชักลากมากกว่าวิธีอื่น ดังนั้นผู้สืบเชื้อสายเจ้านายเมืองแพร่และคหบดีชาวเงี้ยวหรือไทใหญ่และชาวพม่าก็จะรับจ้างเหมา โดยส่วนใหญ่จับช้างป่ามาหัดแล้วนำไปรับงานชักลากไม้ที่ต้องใช้แรงงานคนงาน โดยเฉพาะชาวขมุมาเลี้ยงช้างเป็นจำนวนมากและมีอยู่หลายตระกูลด้วยกัน เช่น เจ้าวงศ์หรือเจ้าโว้ง แสนศิริพันธุ์ บุตรพระวิชัยราชา หลวงพงษ์พิบูลย์หรือเจ้าน้อยพรหม วงศ์พระถาง สามีเจ้าสุนันตา พงษ์พิบูลย์ ผู้บูรณะวัดพงษ์สุนันทน์ นายแสน วงศ์วรรณ บิดานายณรงค์ วงศ์วรรณ เจ้าน้อยจู แก่นหอม เจ้าอ้น วังซ้าย เจ้าคำตัน วังซ้าย นายปัน ชมภูมิ่ง นายประพัฒน์ เมืองพระ เป็นต้น การลากไม้ออกจากป่าต้องใช้ช้างลาก ในยุคหลังจากเงี้ยวปล้นเมืองแพร่และยกเลิกระบบเจ้าหลวงปกครองแล้ว เจ้าของช้างที่รับทำสัญญาต่อกับบริษัทของฝรั่งรายใหญ่ คือ เจ้าโว้ง (เจ้าวงศ์) แสนสิริพันธุ์ คหบดีเชื้อสายเจ้าเมืองแพร่ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนแรกของจังหวัดแพร่ใน ราว พ.ศ. ๒๔๘๐ และเมื่อมีการดำเนินการสร้างภาพยนตร์ไทยเรื่อง “ พระเจ้าช้างเผือก ” โดยการผลักดันของนายปรีดี พนมยงค์ และเป็นผู้รับผิดชอบ ได้มาถ่ายภาพยนตร์ที่บริเวณโรงเรียนบ้านในและใช้ช้างจากเจ้าวงศ์หรือเจ้าโว้ง แสนสิริพันธุ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในยุคนั้น ถือว่าเป็นเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ในท้องถิ่น และภาพยนตร์พระเจ้าช้างเผือกก็กลายเป็นภาพยนตร์ที่มีความสำคัญของรัฐชาติไทยในเวลาต่อมาด้วย แต่การทำป่าไม้นี้ชาวบ้านจะไม่ได้มีส่วนร่วมเลย แต่จะมีบางคนขโมยไม้บ้าง ส่วนชาวบ้านในเวียงจะกลัว เพราะถ้าขโมยหรือตัดฟันจะถูกจับทันที ทั้งนี้เพราะบารมีของเจ้าวงศ์หรือเจ้าโว้ง แสนสิริพันธุ์ ซึ่งเป็นคนรับจ้างเหมากับบริษัทอีสต์ เอเชียติค การรับสัมปทานป่าไม้ของบริษัทอีสต์ เอเชียติค พนักงานส่วนใหญ่จะเป็นฝรั่งและคนกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เช่น พม่า ไทใหญ่ ที่เป็นเสมียน และกลุ่มขมุที่เป็นแรงงาน ส่วนคนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในกิจการไม้สักน้อยมาก เพราะเจ้าของสัมปทานเป็นบริษัทข้ามชาติ ส่วนผู้รับเหมาช่วงลากช้างก็เป็นคหบดีในเวียงแพร่ที่เป็นเชื้อสายของเจ้าหลวง ชาวบ้านทั่วไปจะเป็นคนงานหรือผู้รับจ้างทำงานในปางไม้แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะอาชีพหลักยังเป็นเรื่องของการทำเกษตรกรรมดังที่เคยทำมาแต่เดิม ชาวบ้านนิยมเข้ามารับจ้างตัดไม้โดยใช้ขวาน และแรงงานส่วนมากอยู่ในพื้นที่ซึ่งไม่ไกลจากหมู่บ้านนัก ในยุคที่บริษัทอีสต์ เอเชียติค เข้ามาทำสัมปทานชักลากไม้ลงแม่น้ำยมเพื่อขนส่ง จึงทำรถรางจากในเมืองเข้ามาถึงจุดที่เป็นที่ทำการเทศบาลช่อแฮในปัจจุบัน สำหรับชักลากไม้จากป่าแดง-ช่อแฮ โดยมีท่าซุงแถบวัดเชตวันและโรงเลื่อยในเมืองแพร่ที่ตลาดแพร่ปรีดา ใกล้กับตลาดชมพูมิ่งบริเวณหน้าวัดชัยมงคลในปัจจุบัน โรงเลื่อยดังกล่าวจะเป็นที่รวมหมอนไม้ต่าง ๆ ส่วนโรงเลื่อยขนาดใหญ่จะอยู่ที่เด่นชัย หากกลุ่มที่ได้ทำงานกับบริษัทต่างชาตินี้เป็นกลุ่มคนที่มีฐานะและได้รับการศึกษาขั้นสูงกว่าชาวบ้านทั่วไป ลูกจ้างที่ทำงานกับนายฝรั่งถึงจะเป็นคนท้องถิ่นก็ต้องมีความรู้พูดภาษาอังกฤษได้ ส่วนคนที่มีฐานะดี มีความรู้ดี ไปเรียนที่กรุงเทพฯ จบแล้วหากกลับบ้านก็เข้าทำงานกับบริษัทฝรั่ง ฝรั่งที่เข้ามาทำงานบางคนก็แต่งงานกับสาวท้องถิ่น สาว ๆ ที่แต่งงานกับฝรั่งชาวบ้านจะเรียกว่า แม่เลี้ยง เพราะจะมีฐานะดี และคนที่มีช้างสำหรับรับจ้างลากไม้ในป่าจำนวนมากในช่วงนั้นชาวบ้านจะเรียกกันว่า พ่อเลี้ยงช้าง การตัดไม้และ การขนย้ายไม้ซุงออกจากป่า วิธีการทำไม้ การค้าไม้สักส่วนใหญ่ตกอยู่ในมือของบริษัทป่าไม้อังกฤษตั้งแต่การเริ่มรับเช่าทำป่าไม้ ตลอดจนวิธีการจนถึงการส่งไม้ออกจำหน่ายไปยังต่างประเทศ ถึงแม้ว่าจะมีบริษัทอีสต์ เอเชียติค ของเดนมาร์กเข้ามาเป็นคู่แข่งในภายหลัง และได้ตั้งโรงเลื่อยไม้ของบริษัทขึ้นเองอีกหลายแห่ง ทั้งยังเป็นผู้นำในการใช้เรือกลไฟเพื่อบรรทุกไม้สักด้วยก็ตาม การส่งไม้สักออกจำหน่ายยังต่างประเทศนั้น แต่ละปีจะมีปริมาณการส่งออกแตกต่างกันไป เพราะปริมาณการส่งไม้ออกจำหน่ายในแต่ละปีมีความสัมพันธ์กับปริมาณน้ำในแม่น้ำแต่ละปีด้วย กล่าวคือหากปีใดมีน้ำมาก การส่งไม้สักออกก็ทำได้มากด้วย เพราะน้ำในแม่น้ำสามารถพาไม้สักล่องลงมาถึงกรุงเทพฯ ได้สะดวก แต่หากปีใดมีน้ำน้อยก็ส่งผลให้การล่องไม้ติดขัด จนไม้ที่ล่องมาขายที่กรุงเทพฯ มีปริมาณน้อยตามไปด้วย วิธีการนำไม้สักออกจากป่าโดยทั่วไปของผู้เช่าทำป่าไม้ในจังหวัดแพร่นั้น ส่วนมากจะใช้คนงานเข้าไปตัดฟันโค่นล้มไม้จากบนภูเขา ต้นไหนที่ทางการให้ตัดฟันชักลากออกจะต้องมีดวงตราประจำต้นตีกำกับพร้อมเลขเรียงลำดับเบอร์จากเจ้าหน้าที่ป่าไม้ และได้ทำการสับกานเพื่อทำให้ไม้ยืนต้นแห้งตายก่อน ผู้ได้รับสัมปทานจะไปตัดโค่นนอกเหนือจากไม้ที่กำหนดไว้ไม่ได้ การตัดฟันโค่นล้มไม้นี้ผู้เช่าทำป่าไม้จะนิยมตัดตอให้สูง เพื่อความสะดวกไม่ต้องทอนหัวไม้ทิ้ง แต่ภายหลังรัฐบาลได้ออกกฎข้อห้ามไม่ให้ตัดตอสูงเกิน ๕๐ เซนติเมตร เมื่อได้โค่นล้มและตัดทอนเป็นท่อนซุงแล้วจะใช้ช้างชักลากจากบนภูเขาลงมาเรียงรวมหมอนไว้ตามเชิงเขาเป็นแห่ง ๆ จากนั้นจะใช้ล้อหรือเกวียนที่ส่วนมากเทียมด้วยควายบรรทุกไม้เหล่านั้นลากขนลงไปถึงฝั่งแม่น้ำ ดังนั้นจะใช้ช้างชักลากไม้จากบนภูเขาเท่านั้น เมื่อลงมาถึงทางราบแล้ว หากหนทางห่างไกลก็จะทำทางล้อเทียมควายเข้าไปชักลากไม้มาจนถึงฝั่งน้ำ เพราะวิธีนี้จะช่วยให้ชักลากไม้ได้รวดเร็วกว่าการใช้ช้าง ในส่วนของการชักลากโดยใช้รถบรรทุกไม้เริ่มมีแพร่หลายที่จังหวัดเชียงใหม่ก่อน ต่อมาจึงมีการนำวิธีนี้มาใช้ในเมืองแพร่ ในระยะแรกนั้นการนำไม้ขึ้นบรรทุกบนรถจะใช้รอกแบบธรรมดา ซึ่งมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า “กว้าน” อาศัยแรงงานทำไม้ช่วยกันกว้านหรือหมุนเพื่อยกไม้ขึ้นบนคาน แล้วนำรถมารองรับไม้ข้างล่าง ทว่าภายหลังรอกแบบที่มีฟันเฟืองสำหรับทดกำลังเริ่มแพร่หลายเข้ามาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ จึงไม่ต้องอาศัยแรงงานคนอีกต่อไป เมื่อถึงฤดูน้ำหลากก็จะคัดไล่ล่องซุงตามแม่น้ำโดยไปจัดตั้งอู่เก็บไม้ไว้ที่ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นชุมทางขนส่งไม้สำคัญที่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐตั้งด่านเก็บค่าภาคหลวงอยู่ที่นั่น การคัดไล่ล่องซุงจากทางภาคเหนือลงไปนั้นจะยังไม่มัดซุงรวมกันเป็นแพ เพราะสภาพของแม่น้ำในภาคเหนือมีเกาะแก่งมาก ขั้นตอนดังกล่าวจึงไปเริ่มต้นที่สวรรคโลกซึ่งเเม่น้ำเริ่มเป็นสายเรียบไม่มีเกาะแก่ง จึงสามารถผูกซุงรวมกันเป็นแพล่องไปถึงปากน้ำโพ สมัยนั้นปัญหาการขโมยไม้ซุงที่ล่องลงแม่น้ำแทบจะไม่มี เพราะชาวบ้านเกรงกลัวความผิดกันมาก โรงเรียนป่าไม้ การก่อตั้งโรงเรียนป่าไม้นั้นมีอยู่ ๒ ยุค ยุคแรกยังไม่เรียกว่าโรงเรียนป่าไม้ แต่เรียกว่า โรงเรียนวนศาสตร์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๙ หลักสูตรการเรียน ๒ หลวงวิลาสวนวิทย์ (เมธ รัตนประสิทธิ์) ซึ่งดำรงตำแหน่งป่าไม้ภาคในเวลานั้นเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนป่าไม้ขึ้น จากนั้นก็ได้ระดมนักเรียนที่มีฐานะดี มีความรู้มาเรียน ในสถานที่ของบริษัทอีสต์เอเชียติค ที่หมดสัมปทานการทำไม้และมอบตึกที่ทำการให้ ต่อมา พ.ศ. ๒๔๘๖ ได้ยุบโรงเรียนวนศาสตร์ให้เป็นส่วนหนึ่งของคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน โรงเรียนป่าไม้ยุคที่สองเปิดขึ้นที่แพร่ช่วง พ.ศ. ๒๔๙๙ หลักสูตร ๒ ปี และผลิตบุคลากรแก่กรมป่าไม้ ๓๒ รุ่น ก่อนที่จะปิดอย่างถาวรใน พ.ศ. ๒๕๓๖ โดยมีนายรัตน์ พนมขวัญ เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนป่าไม้คนแรก ซึ่งตระกูลของนายรัตน์ พนมขวัญ ถือว่าเป็นที่นับถือของคนเมืองแพร่มาจนถึงปัจจุบัน คนเมืองแพร่เห็นว่าการเรียนที่โรงเรียนป่าไม้ถือว่าโก้มาก เพราะหากเรียนจบแล้วจะได้บรรจุเป็นข้าราชการทันที ซึ่งภายหลังยกเลิกไป มีคนในเมืองแพร่เรียนประมาณ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวและการเรียกรับเงินแรกเข้าซึ่งมีมูลค่าสูงมากกว่าลูกชาวบ้านทั่วไปจะมีได้ ดังนั้นชาวบ้านจึงเห็นว่าผู้ที่ได้เข้าเรียนส่วนใหญ่จะเป็นลูกพ่อเลี้ยง ปัจจุบันได้ยกเลิกการเรียนการสอนแล้ว และปรับปรุงกลายเป็นสถานที่อบรมสัมมนาของข้าราชการกรมป่าไม้ ภายในบริเวณโรงเรียนป่าไม้นี้มี สถานที่สำคัญที่น่าสนใจอยู่ ๒ แห่ง คือ พิพิธภัณฑ์ไม้สัก และอาคารที่ทำการของบริษัทอีสต์ เอเชียติค ซึ่งตั้งอยู่บนแนวกำแพงเมืองเก่า และปัจจุบันก็ได้จัดเป็นพิพิธภัณฑ์เรื่องราวการทำไม้ของเมืองแพร่ในสมัยนั้น ในระยะเวลาที่โรงเรียนป่าไม้ยังทำการเรียนการสอนอยู่ เศรษฐกิจภายในเมืองแพร่ค่อนข้างดี เพราะมีคนเข้ามาเรียนมากทำให้คนท้องถิ่นมีรายได้ ทำอาหารขาย รับซักผ้า ทำหอพัก เป็นต้น แต่พอโรงเรียนถูกยุบเศรษฐกิจก็เงียบเหงาลงอย่างมาก สัมปทานป่า โรงบ่มใบยา ฐานเศรษฐกิจของชนชั้นนำ / สวนเมี่ยงในป่าร้างคือการปรับตัวของชาวบ้านกับทรัพยากรที่หลงเหลือ คนเมืองแพร่ต้องพบกับปัญหาการทำลายสภาพป่าไม้ต่อมาอีกนาน เพราะบางส่วนชาวบ้านแอบขโมยเอาไปขาย เนื่องจากการดูแลหมอนไม้ของเจ้าหน้าที่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้มีเจ้าหน้าที่ไม่มากนัก เมื่อชาวบ้านเห็นตัวอย่างการตัดไม้สวมตอของเจ้าหน้าที่บางส่วนเพื่อนำไปขายให้นายทุนที่อำเภอสูงเม่น โดยคัดไม้ที่ดีไว้ขาย เหลือไม้ที่ไม่ค่อยมีคุณภาพไว้ให้กับทางองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้แพร่ เมื่อเห็นตัวอย่างเช่นนี้ชาวบ้านหลายคนจึงร่วมมือกันขโมยหมอนไม้ที่รอการจำหน่ายไปขายเป็นประจำ สำหรับตระกูลเก่าแก่ผู้รับสัมปทานจ้างเหมาในเมืองแพร่แทบทุกตระกูล เมื่อหมดสิ้นระยะเวลาสัมปทานป่าไม้กับบริษัทของชาวยุโรปเมื่อราว พ.ศ. ๒๔๙๘ ก็เกิดปัญหาใหญ่เพราะกิจการทำไม้ทุกอย่างนั้นองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เป็นผู้ดูแลและกำหนดหลักเกณฑ์แทนที่ หลังจากเลิกรับเหมากับบริษัทที่ทำสัมปทานไม้ คนในสายตระกูลดังกล่าวส่วนใหญ่ก็กินสมบัติเก่าหรือขายสมบัติเก่าที่เคยสะสมไว้จนหมดสิ้น ทรัพย์สมบัติที่เคยมีก็ไม่ได้ตกอยู่แก่ลูกหลานในปัจจุบัน ดังจะเห็นว่าบ้านเก่าแก่ของตระกูลต่าง ๆ ถูกรื้อ บ้างก็เสียหายทรุดโทรมหรือตกไปอยู่ในกรรมสิทธิ์ของผู้อื่น ระหว่าง พ.ศ.๒๔๙๙-๒๕๑๓ มีการทำลายป่าไม้อย่างต่อเนื่องจากการให้สัมปทานของรัฐเพื่อชักลากไม้ที่อยู่ตกค้างในป่าออกมา โดยไม่ได้ให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เป็นฝ่ายจัดการ รัฐบาลเปิดสัมปทานให้แก่คนไทยโดยอ้างว่าต้องการนำเงินมาช่วยเหลือทหารกองหนุน บริษัทที่ได้สัมปทานป่าไม้ต่อมาคือ บริษัทชาติไพบูลย์ บริษัทแพร่ทำไม้ ซึ่งเป็นของนักการเมืองใหญ่คนหนึ่งของแพร่ในเวลาต่อมา ชาวบ้านเรียกกันว่า “ สัมปทานไม้ล้างป่า ” เพราะไม่ตัดเฉพาะเพียงไม้สักแต่ตัดไม้อื่น ๆ ทุกอย่าง เมื่อระยะสัมปทานหมดลง ป่าไม้เมืองแพร่ก็ไม่เหลืออะไรเลย ประมาณ พ.ศ. ๒๔๙๙ มีการสร้างโรงบ่มใบยาราว ๓๐๐ เตา จากนายทุนที่เป็นคนลาวเริ่มทำโรงบ่มก่อน ต่อจากนั้นผู้ที่เป็นนายทุนท้องถิ่นที่มีเชื้อสายจีนและคนท้องถิ่นก็เริ่มทำตามบริเวณป่าแดง-ช่อแฮ จนทำให้เกิดกระแสการปลูกใบยาเพื่อส่งขายให้กับโรงบ่มใบยาในพื้นที่ต่าง ๆ ของจังหวัดแพร่ และขยายตัวไปจนถึงจังหวัดเชียงราย ฟืนซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักของเตาบ่มใบยาก็ตัดเอาจากในป่าเพื่อเข้าเตาบ่มอย่างมากมาย จนทำให้ป่าถูกทำลายเนื่องจากการใช้ฟืนที่ไม่จำกัดขนาด ช่วงเวลาที่มีการตัดไม้ฟืนส่งเตาบ่มเป็นการตัดไม้ทำลายป่าครั้งสำคัญของบริเวณป่าแดง-ช่อแฮ เพราะไม้ใหญ่จะคัดขายให้นายทุนทางอำเภอสูงเม่น ส่วนไม้เล็กขายให้เตาบ่มใบยาในพื้นที่ สามารถสร้างรายได้ให้กับนายทุนในพื้นที่เป็นกอบเป็นกำจนมีฐานะร่ำรวยและกลายเป็นฐานรองรับฐานะทางการเงินเพื่อนำไปสู่อำนาจในการเป็นนักการเมืองในระดับชาติและระดับท้องถิ่นจนถึงทุกวันนี้ ต่อมาป่าไม้ของจังหวัดแพร่ถูกทำลายไปมากโดยชาวบ้านและนายทุนนับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๙–๒๕๒๕ บริเวณป่าที่ถูกทำลายมากที่สุดอยู่ที่อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ ในปัจจุบันได้ประกาศพื้นที่ป่าหลายแห่งให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติจำนวน ๒๕ ป่า และยังอนุญาตเปิดสัมปทานทำไม้อยู่อีก ๘ ป่า คนจีนในเมืองแพร่รุ่นใหม่ที่ไม่ได้เดินทางมาตั้งแต่เมื่อสมัยทำทางรถไฟมาถึงเมืองแพร่ แต่เป็นคนจีนที่มาจากแผ่นดินใหญ่เป็นกลุ่มไหหลำบ้าง แต้จิ๋วบ้าง เข้ามาทำการค้า รับจ้าง และทำสวนผักแบบภาคกลางในสมัยเริ่มต้น และค่อย ๆ ขยับขยายไปสู่การค้าอื่น ๆ เช่น โรงบ่มใบยาที่กระจายไปทั่วทั้งภาคเหนือหรือรับสัมปทานป่าหน้าเขื่อนสิริกิติ์ เมื่อทำไปสักพักก็กลายเป็นผู้สนับสนุนนักการเมืองและกลายเป็นตระกูลนักการเมืองในเวลาต่อมา หลังจากยุคสัมปทานป่าไม้แล้ว สภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงเป็นเศรษฐกิจที่ใช้ทุนมากขึ้น ใช้อิทธิพลมากขึ้น ทำให้ผู้มีฐานะหรือพ่อเลี้ยงในเมืองแพร่ทำอาชีพอยู่ ๓ อย่าง คือ ทำไม้ โรงบ่มใบยา และลักลอบขายยาเสพติดที่เป็นฝิ่นดิบโดยรับมาจากน่าน ผู้มีอิทธิพลต่าง ๆ ก็มีพัฒนาการไปเป็นนักการเมือง การตัดไม้มีผลกระทบต่อการประกอบอาชีพของคนเมืองแพร่ส่วนใหญ่ จากการทำไม้มาเป็นเวลานานทำให้คนแพร่ยึดอาชีพตัดไม้ขายเป็นหลัก และอาชีพพื้นฐานคือรับจ้างที่ทำมานานหลังจากช่วงสัมปทานป่าไม้กับบริษัทชาวไทยทำรายได้ดีกว่าอาชีพเกษตรกรรม อีกเหตุหนึ่งซึ่งเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้ป่าไม้ถูกทำลายเป็นจำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว คือ การลักลอบตัดไม้เพื่อการค้า โดยมีกลุ่มผู้มีอิทธิพลและเจ้าของโรงเลื่อยสนับสนุน หลังจากการทำป่าไม้แล้ว เศรษฐกิจเมืองแพร่ที่ผูกติดอยู่กับอุตสาหกรรมป่าไม้ทั้งหมดก็ถดถอยลงตามลำดับ เมื่อป่าไม้หมด รัฐบาลห้ามตัดไม้ทำลายป่า ชาวบ้านในเมืองแพร่จำนวนมาก โดยเฉพาะจากอำเภอสูงเม่นไม่รู้ว่าจะประกอบอาชีพอะไร ทำให้เกิดปัญหาขึ้น ดังที่มีการประท้วงที่จวนผู้ว่าราชการจังหวัดตลอดมา ในขณะที่ชาวบ้านซึ่งปรับตัวได้ในแถบป่าแดง-ช่อแฮ ก็เปลี่ยนสภาพพื้นที่ซึ่งถูกสัมปทานป่าและตัดไม้สัก และสัมปทานของบริษัทคนไทยที่ล้างป่าจนหมดให้เป็นพื้นที่ทำสวนเมี่ยงและปลูกพืชสวนริมน้ำตามเชิงเขา แม้จะมีปัญหาในเรื่องเอกสารที่ทำกินของชาวบ้านที่เข้าไปใช้พื้นที่ป่ามาตั้งแต่ป่าไม้เมืองแพร่เริ่มหมดไปนานแล้วก็ตาม ชาวบ้านจำนวนมากที่ไม่ได้มีผลพลอยได้กับการรับสัมปทานของบริษัทชาวยุโรปมากว่า ๔๕ ปี และบริษัทสัมปทานป่าของคนไทยในระยะหลัง นอกจากการขโมยไม้ขอนบ้าง ต้องแลกเปลี่ยนกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะเรื่องน้ำและป่าในปัจจุบันที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก และโคลนดินถล่มที่เริ่มเกิดขึ้นบ่อยครั้งในหลาย ๆ ปีหลังมานี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากป่าไม้เมืองแพร่ที่หมดสิ้นลงเพราะการเข้ามารับสัมปทานของคนภายนอกที่ทำให้ชาวบ้านยุคนี้ต้องปรับตัวในการอยู่อาศัยกับป่าร้างที่เหลือนี้อยู่เพียงเท่านั้น การตัดไม้ ชาวบ้านธรรมดาไม่มีโอกาสได้ใช้ประโยชน์จากไม้สักอันเป็นทรัพยากรสำคัญในป่าไม้เมืองแพร่ เพราะธรรมเนียมดั้งเดิมชาวบ้านก็ไม่นิยมตัดไม้ใหญ่ไปทำบ้านเรือนเพราะถือว่าเป็น ขึด หรือข้อห้ามที่เป็นจารีตถือปฏิบัติสืบมา จะมีข้อแม้ก็คงเป็นการใช้ไม้ใหญ่เพื่อนำไปสร้างคุ้มเจ้าหลวงและบ้านเรือนของเจ้านายเท่านั้น ประวัติศาสตร์เมืองแพร่ที่ปรากฏโดยเฉพาะสมัยเจ้าหลวงเมืองแพร่องค์สุดท้าย คือ เจ้าพิริยะเทพวงศ์ฯ ที่เกิดเหตุเงี้ยวเข้าปล้นเมืองแพร่ล้วนสัมพันธ์กับการทำสัมปทานไม้สัก ป่าไม้สักเมืองแพร่ที่สำคัญอยู่ในเขตป่าแดง-ช่อแฮในระดับความสูงหนึ่ง หากสูงเกินกว่าบ้านปางม่วงคำก็ไม่มีป่าไม้สักแล้ว สภาพอาคารและสถานที่ต่าง ๆ ภายในโรงเรียนป่าไม้ ซึ่งในอดีตเคยเฟื่องฟูอย่างยิ่ง สิ่งที่เหลืออยู่สำหรับชาวบ้านเมืองแพร่ เมื่อสิ้นยุคสัมปทานป่าไม้ของบริษัทอีสต์ เอเชียติค และบริษัทบอมเบย์ เบอร์มา ก็ยังมีไม้บางส่วนที่ตัดล้มแล้วแต่ยังไม่ได้ชักลากออกมา กรมป่าไม้ให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ชักลากไม้ที่เหลืออยู่ในป่าในช่วง พ.ศ. ๒๔๙๙-๒๕๑๓ โดยมีการรวมไม้ทั้งหมดไว้บริเวณห้วยกวางเน่าเหนือฝายแม่ก๋อน ไม้บางส่วนก็ถูกชาวบ้านแอบขโมยไปขายเนื่องจากมีเจ้าหน้าที่ดูแลไม่กี่คน และชาวบ้านเห็นว่าเจ้าหน้าที่ตัดไม้สวมตอเพื่อนำไปจำหน่ายให้นายทุนที่อำเภอสูงเม่น โดยคัดไม้ที่ดีไว้ขาย เหลือไม้ที่ไม่ค่อยมีคุณภาพไว้ให้กับทางองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้แพร่ จึงทำให้ชาวบ้านบางคนร่วมกันขโมยหมอนไม้ที่รอการจำหน่ายไปขายอยู่เป็นประจำ ต่อมารัฐบาลจึงเปิดสัมปทานให้แก่คนไทยเนื่องจากอ้างว่าต้องการนำเงินมาช่วยเหลือทหารกองหนุน บริษัทที่ได้สัมปทานป่าไม้ต่อมาคือ บริษัทชาติไพบูลย์ บริษัทแพร่ทำไม้ ซึ่งเป็นของนักการเมืองใหญ่คนหนึ่งของแพร่ในเวลาต่อมา การสัมปทานไม้ของคนไทยชาวบ้านจะเรียกว่า “ สัมปทานไม้ล้างป่า ” เพราะหลังจากสัมปทานไม้ล้างป่าหมดลงแล้ว ป่าจะโล่ง ไม่เหลืออะไรอีกเลย ในช่วงเวลาสัมปทานป่าไม้ของบริษัทเอกชนนั้นเองที่ชาวบ้านเริ่มเข้ามาอยู่อาศัยและบุกเบิกพื้นที่ป่าสัมปทานเพื่อเป็นที่ทำกินบางส่วน และปี พ.ศ. ๒๔๙๘ กรมที่ดินได้ออกเอกสารสิทธิ์บนพื้นที่สูงแห่งแรกที่บ้านสันกลาง แต่เดิมบริเวณบ้านสันกลางเป็นที่ตั้งหมอนไม้ในสมัยที่มีการทำสัมปทาน ชาวบ้านมาสร้างที่พักที่นี่เพื่อรองรับงานตัดไม้ จนกลายเป็นปางไม้ใหญ่บนภูเขาแล้วจึงเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ต่อมา สรุปคือเหตุที่ป่าเมืองแพร่หมดเพราะมีการสัมปทานป่าไม้มาตั้งแต่สมัยเจ้าผู้ครองนครแพร่องค์สุดท้าย มาจนถึงการปฏิรูปการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลแล้วให้แก่บริษัทของชาวตะวันตก ต่อมาคนแพร่ตั้งบริษัทขึ้นมาเองประมาณ ๒-๓ แห่งเป็นการสัมปทานไม้ล้างป่า ชักลากไม้ทุกชนิดออกจากป่าแม้ไม่ใช่ไม้สักและรัฐเป็นฝ่ายยินยอม และเหตุที่ป่าหมดจริง ๆ เพราะการมีโรงบ่มซึ่งใช้ไม้ฟืนมาก ธุรกิจโรงบ่มเริ่มเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๐ สืบเนื่องจากท้าวรำพรรณซึ่งเป็นคนลาวได้เข้ามาลงทุนสร้างโรงบ่มใบยาขึ้นใน บ้านใน ประมาณ ๓๐๐ เตา จนทำให้เกิดกระแสการปลูกใบยาเพื่อส่งขายให้กับโรงบ่มใบยาในพื้นที่ คนแพร่เริ่มเปลี่ยนพืชในการเพาะปลูกมาเป็นปลูกใบยามากขึ้น ต่อมาแพร่เป็นต้นทางของโรงบ่มที่ขยับขยายไปสู่เมืองสอง เชียงราย และเชียงแสน ฟืนซึ่งเป็นเชื้อเพลิงของเตาบ่มใบยาก็ตัดมาจากป่าบริเวณใกล้เคียงจนทำให้ป่าถูกทำลายอีกครั้งเนื่องจากการใช้ฟืนที่ไม่จำกัดขนาดและแหล่งที่มา คราวนี้นับว่าเป็นการตัดไม้ที่ทำลายป่าครั้งสำคัญของป่าชุมชนช่อแฮ-ป่าแดง ไม้ใหญ่จะคัดขายให้นายทุนทางอำเภอสูงเม่น ส่วนไม้เล็กขายให้เตาบ่มใบยาในพื้นที่ พ่อเลี้ยงโรงบ่มซึ่งเป็นคนแพร่สามารถทำเงินจากธุรกิจนี้ได้มาก และกลายเป็นตระกูลนักการเมืองในเมืองแพร่และจังหวัดอื่น ๆ มาจนทุกวันนี้ ปัญหาที่ทำกินทับเขตอุทยานและเขตป่าสงวนแห่งชาติ เขตป่าสงวนแห่งชาติ ประกาศเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๗ ส่วนอุทยานแห่งชาติลำน้ำน่านเพิ่งประกาศเขตอุทยานเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๑ บริเวณที่ดินป่าแม่แคม ป่าแม่ก๋อน และป่าแม่สาย ตำบลสวนเขื่อน ตำบลป่าแดง ตำบลช่อแฮ อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ และป่าลำน้ำน่านฝั่งขวา ป่าแม่จริม และป่าน้ำปาด ตำบลท่าแฝก ตำบลนางพญา ตำบลน้ำหมัน ตำบลจริม ตำบลท่าปลา ตำบลผาเลือด อำเภอท่าปลา และตำบลแสนตอ อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษามีเนื้อที่ประมาณ ๙๙๙.๑๕ ตารางกิโลเมตร เขตอุทยานแห่งชาติกับเขตป่าสงวนต่างกันที่เขตอุทยานฯ จะมีเจ้าหน้าที่ดูแลรักษาป่าควบคุมดูแลทั้งหมด และขึ้นกับกรมป่าไม้ แต่พื้นที่ป่าสงวนไม่มีเจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลรักษาในพื้นที่ ในปัจจุบันทั้งเขตอุทยานฯ และเขตป่าสงวนต่างก็มีผู้เข้ามาลักลอบตัดไม้เป็นประจำ การมีเขตอุทยานแห่งชาติทำให้ชาวบ้านได้รับผลกระทบในเรื่องของที่ดินทำกินและอยู่อาศัย เนื่องจากการเป็นเขตอุทยานแห่งชาติมีกฎหมายเกี่ยวกับที่ดินและป่าไม้ที่รุนแรงกว่าเขตป่าสงวน รวมถึงผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลป่าไม้อีกด้วย เมื่อเริ่มแรกที่ชาวบ้านบุกเบิกพื้นที่บนเขาหรือบริเวณเขตป่าสงวนในปัจจุบัน เอกสารสิทธิ์หรือโฉนดนั้นไม่มี แต่รัฐออกให้เพียงใบ ภท. ๖ หมายถึงใบภาษีบำรุงท้องที่ หรือชาวบ้านเรียกทั่วไปว่า ภาษีดอกหญ้า ใช้ถือครองที่ดินเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๗-๒๕๐๘ โดยให้ผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ประเมิน พื้นที่บนภูเขาและพื้นราบเสียภาษีเท่าเทียมกัน เมื่อทำการสำรวจเพื่อเก็บภาษีในช่วงเวลานั้น ชาวบ้านส่วนใหญ่จะบอกจำนวนที่ดินของตัวเองไม่ครบ เช่นมี ๑๕ ไร่ แต่บอกทางการเพียง ๕ ไร่ เพราะกลัวเสียภาษีเยอะจนมีผลกระทบภายหลังเมื่อสามารถออกโฉนดได้แต่การถือครองอย่างเป็นทางการกับจำนวนที่ดินจริงไม่ตรงกัน ยังมีเอกสารอีกชนิดหนึ่งที่ชาวบ้านมีครอบครองก่อนการประกาศเขตป่าสงวน คือ สค. ๑ ซึ่งออกมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ เพียงปีเดียว เอกสารดังกล่าวชาวบ้านไม่ได้รับทุกหลังคาเรือน จะได้เฉพาะบ้านที่ให้ผู้ใหญ่บ้านเซ็นอนุมัติเท่านั้น บ้านที่อยู่บนภูเขาก็มี สค. ๑ เช่นกัน เช่น บ้านนาตอง พื้นที่ซึ่งเป็นนาก็ยังเป็นเอกสาร สค. ๑ อยู่ ส่วนพื้นที่เชิงดอยใช้เอกสารใบประเมิน ภท.๖ ช่วงปี พ.ศ. ๒๕๓๐-๒๕๓๔ จะมีการออกใบจองหรือเอกสาร นส. ๒ ปัจจุบันชาวบ้านบนดอยที่ได้เอกสารเป็นโฉนดเกือบหมดแล้วคือบ้านแม่ลัว ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้เซ็นโฉนดให้ แต่ทว่าโฉนดที่ชาวบ้านมีไว้เป็นกรรมสิทธิ์ต่างเอาไปจำนองกับ ธกส. แล้วทั้งสิ้น เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในการทำมาหากินและเพาะปลูก โดยเฉพาะการทำเมี่ยง ภายหลังเมื่อเปลี่ยนให้พนักงานที่ดินเซ็นแทน หมู่บ้านอื่นๆ จึงยังไม่ได้โฉนด เพราะพื้นที่อยู่อาศัยบนดอยมีความลาดเอียงกว่า ๓๐ องศา พนักงานจึงไม่กล้าเซ็น เพราะกลัวว่าจะมีปัญหาอื่น ๆ ตามมา อย่างไรก็ตามเคยมีการออกเอกสารสิทธิ์ที่อยู่อาศัยและที่ทำกินในสมัยพ่อแม่ ปู่ย่าตายายแล้ว แต่มีเหตุการณ์ไฟไหม้อำเภอในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ เอกสารต่าง ๆ ของชาวบ้านจึงสูญหายไปจนหมด และยังไม่สามารถอ้างอิงสิทธิ์นั้นกลับคืนได้ นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องที่ดินที่บ้านสันกลาง อีกเรื่องหนึ่ง คือเมื่อประมาณ ๔๐ ปีที่แล้ว มีเจ้าหน้าที่ทหารซึ่งเป็นสัสดีต้องการบริจาคที่ให้ทหารเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน จึงหลอกชาวบ้านที่มี สค. ๑ ว่าโดยจะไปของบจากทหารมาออกโฉนดให้ ชาวบ้านเกือบทั้งหมู่บ้านเชื่อจึงมอบเอกสารไป แต่ก็ไม่ได้ไปขอออกโฉนดแต่กลับเอาเอกสารไปประทับตราข้างหลังว่า “มอบให้ทหาร” ชาวบ้านจึงเดือนร้อน ภายหลังเมื่อที่ดินของบ้านสันกลางเป็นของทหาร และโอนไปให้ราชพัสดุดูแล วันหนึ่งราชพัสดุก็มาขอให้ชาวบ้านที่แต่เดิมเป็นเจ้าของให้เช่าที่ดินเหล่านั้นแทนเป็นรายปี ปัจจุบันนี้ ชาวบ้านยังคงดำเนินเรื่องเพื่อขอทวงคืนที่ดินอยู่ พื้นที่การเกษตรริมน้ำส่วนใหญ่จะเป็นเอกสาร สค. ๑ และใบจับจอง นส. ๒ ชาวบ้านหลายครัวเรือนยื่นขอไปแล้วแต่ยังไม่ได้ แม้จะจับจองพื้นที่มาเป็นเวลานานก่อนที่รัฐจะประกาศเขตสงวนใน พ.ศ.๒๕๐๗ ก็ตาม เพราะพื้นที่อยู่ในเขตป่าสงวนในปัจจุบัน ชาวบ้านไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว จึงอยู่อาศัยและเพาะปลูกเพื่อทำกินต่อไป อย่างไรก็ตามชาวบ้านใช้วิธีตกลงกันด้วยวาจาหากจะซื้อขายที่ดินสวนริมน้ำ ซึ่งทำให้เรื่องการซื้อขายง่ายกว่า

  • “นครแพร่” จากอดีตสู่ปัจจุบัน

    เผยแพร่ครั้งแรก 10 มิ.ย. 2559 งานวิจัยเรื่องนี้เป็นการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในลักษณะที่เป็นประวัติศาสตร์มีชีวิต [Living history] ที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางสังคม–วัฒนธรรมของผู้คนในพื้นที่การปกครองของรัฐซึ่งเรียกกันว่า จังหวัดแพร่ ในปัจจุบัน ที่เรียกว่าเป็นประวัติศาสตร์มีชีวิตก็เพราะเป็นเรื่องราวที่ส่วนใหญ่มาจากการศึกษาค้นคว้าของคนใน คือ ผู้รู้ ที่เป็นคนแพร่ ซึ่งทำให้แลเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคม - วัฒนธรรมที่ผ่านไปตามกาลเวลาอย่างต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน [Change through time] ผิดกับประวัติศาสตร์ที่เขียนขึ้นหรือสร้างขึ้นจากนักวิชาการที่เป็นคนนอกที่เห็นการเปลี่ยนแปลงของแพร่ไปตามยุคสมัย [Change over time] จนไม่อาจแลเห็นความต่อเนื่องทางสังคม-วัฒนธรรมได้ ความสำคัญของการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในงานวิจัยนี้ก็คือ การแสดงถึงความเป็นมาของผู้คนหลายกลุ่มเหล่าทางชาติพันธุ์ที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกันและสัมพันธ์กัน จนเกิดสำนึกร่วมในการเป็นพวกเดียวกันคือ คนแพร่ พื้นที่ทางวัฒนธรรม พื้นที่ทางวัฒนธรรมในที่นี้ก็คือสิ่งที่เรียกว่า ท้องถิ่น นั่นเอง เป็นอาณาบริเวณที่ผู้คนจากภายในเท่านั้นที่จะรู้ขอบเขตและสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่สัมพันธ์กับชีวิตวัฒนธรรมของพวกตน เหตุนี้งานวิจัยเรื่องนี้จึงประกอบด้วยกระบวนการเก็บข้อมูลและเรียนรู้คนกับพื้นที่ใน ๓ ระดับ คือ ภูมิวัฒนธรรม [Cultural landscape] นิเวศวัฒนธรรม [Cultural ecology] และชีวิตวัฒนธรรม [Way of life] ภูมิวัฒนธรรม เป็นบริบทของพื้นที่กว้างขวางในลักษณะที่เป็นภูมิประเทศของเมืองแพร่ที่แลเห็นได้จากการกำหนดชื่อภูเขา แม่น้ำลำคลอง ลำห้วย หนองบึง ขุนน้ำ และสถานที่ต่าง ๆ ทางการคมนาคม เศรษฐกิจ และการเมือง ที่คนแพร่รู้สึกว่าเป็นของตน เป็นเขตแคว้นของพวกตน ในขณะที่นิเวศวัฒนธรรม ก็คือพื้นที่ธรรมชาติที่ผู้คนพากันมาตั้งถิ่นฐานเป็นบ้าน และเป็นเมืองขึ้นมา โดยมีการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติร่วมกัน สร้างความรู้ร่วมกันในด้านการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ การจัดสรรแบ่งปันทรัพยากรระหว่างกัน รวมทั้งการกำหนดแบบแผนขนบธรรมเนียมประเพณีในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมร่วมกัน แก่นแท้ของความเป็นท้องถิ่นอยู่ตรงนิเวศวัฒนธรรมนี้ เพราะเป็นพื้นที่และสภาพแวดล้อมที่เกิดเป็นบ้านเป็นเมืองที่ทำให้เกิดประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ก็คือ ประวัติศาสตร์ของบ้านและเมืองในบริเวณใดบริเวณหนึ่งนั่นเอง ซึ่งในสมัยโบราณมักเล่าขานในตำนานที่เรียกว่า การสร้างบ้านแปงเมือง ท้องถิ่นจึงเป็นเรื่องของพื้นที่ซึ่งมีบ้านและเมืองอยู่รวมกัน จนเกิดสำนึกร่วมว่าเป็นพวกเดียวกัน เช่นคำว่า คนเมืองแพร่ คนเมืองลำปาง เป็นต้น ส่วน ชีวิตวัฒนธรรม หมายถึง ชีวิตของผู้คนในชุมชนที่เรียกว่า บ้าน อันเป็นหน่วยย่อยหรือบริวารของ เมือง ความเป็นบ้านนั้นหมายถึงชุมชนหรือกลุ่มชนทางชาติพันธุ์ [Ethnicity] ที่เข้ามามีความสัมพันธ์ทางสังคม อยู่ร่วมกันในพื้นที่อยู่อาศัยจนเกิดเป็นครัวเรือน ครอบครัว ตระกูล โคตรเหง้าและพี่น้องร่วมบ้านกันมาไม่ต่ำกว่าสามชั่วคน เป็นความสัมพันธ์แบบเห็นหน้าค่าตา รู้จักกันว่าใครเป็นใคร เป็นลูกเต้าเหล่าใคร และมักสื่อกันด้วยคำที่เป็นญาติ เช่น พ่อ แม่ ลุง ป้า น้า อา ตา ยาย และพี่น้อง เป็นต้น ทั้งหลายเหล่านี้ทำให้เกิดความเกาะเกี่ยวทางสังคมที่สอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแบบกลไกของเครื่องจักร เครื่องยนต์ [Mechanical solidarity] ความสัมพันธ์ทางสังคมของชุมชนบ้านแบบที่เป็นกลไกนี้ ทำให้การอยู่ร่วมกันของความเป็นชุมชน ซึ่งเป็นชุมชนที่เป็นจริง [Social reality] ที่แตกต่างไปจากชุมชนเมืองอันเป็นศูนย์กลางของชุมชนบ้านในท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่ง เพราะในพื้นที่หรือท้องถิ่นนั้นประกอบด้วยหลายหมู่บ้านที่แตกต่างกันไปตามความเป็นมาทางชาติพันธุ์ แต่การมาอยู่ร่วมพื้นที่เดียวกันที่ต้องใช้พื้นที่สาธารณะทั้งในด้านสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และสาธารณะร่วมกัน ทำให้เกิดสำนึกร่วมในการต้องพึ่งพิงจนเกิดสำนึกในความเป็นคนถิ่นเดียวกันขึ้น โดยโครงสร้างทางสังคมในลักษณะที่ต้องพึ่งพิงกันนี้ ทำให้การเกาะเกี่ยวทางสังคมมีลักษณะเหมือนอวัยวะ [Organic solidarity] เป็นโครงสร้างสังคมที่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำในเรื่องความเป็นชนชั้น นับเนื่องเป็นชุมชนทางจินตนาการ [Imagined community] ที่มีระบบการสื่อกันด้วยภาษาซึ่งมีระยะห่างทางสังคมและสัญลักษณ์ที่แสดงถึงสถานภาพที่แตกต่างกัน และการสมมุติให้เป็นพวกเดียวกัน เช่น การเป็นคนเมืองแพร่ เป็นต้น อย่างไรก็ตามความเป็นชุมชนทางจินตนาการอันเกิดจากความสัมพันธ์หรือความผูกพันของคนกับพื้นที่ยังกินเลยไปถึงเรื่องภูมิวัฒนธรรมด้วยต่างกันในลักษณะที่เป็นความสัมพันธ์ที่หลวมกว่า เพราะพื้นที่มีอาณาบริเวณที่เป็นธรรมชาติกว้างขวางเกินความสัมพันธ์ทางสังคมในระดับบ้านและเมือง จึงกลายเป็นความสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองในระดับเขตแคว้นหรือนคร หรือประเทศเป็นสำคัญ ท้องถิ่นของบ้านเมืองและเขตแคว้นทั้ง ๓ ระดับนี้ ถ้ามองในเชิงประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลง ก็นับเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ครั้งบ้านเมืองยังมีสภาพเป็น สังคมชาวนา [Peasant society] การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในที่นี้จึงเป็นการศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางสังคม-วัฒนธรรมจากอดีต คือตั้งแต่สังคมชาวนามาจนเป็น สังคมอุตสาหกรรม [Industrial society] ในปัจจุบัน เหตุที่ต้องเท้าความถึงสังคมชาวนาในที่นี้ก็เพราะสังคมชาวนาดูเป็นของแปลกประหลาดที่บรรดานักเศรษฐศาสตร์ นักรัฐศาสตร์ นักการศึกษา และนักวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีต่าง ๆ ในสังคมสมัยใหม่ยุคพัฒนาแต่ครั้งรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ไม่เคยสนใจ โดยมุ่งการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองทางเศรษฐกิจด้วยแผนพัฒนาจากแผนที่ ๑ มาจนปัจจุบันด้วยความเชื่อและความหลงผิดว่า สังคมไทยในสมัยก่อนการพัฒนาเป็น สังคมกสิกร [Farmer] ที่บรรดาคนทำไร่ คนจับปลา และคนเลี้ยงสัตว์ทั้งหลายคือคนที่สามารถเป็น ผู้ประกอบการรายเล็กและรายย่อย [Small Entrepreneur] ที่มีพัฒนาการมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ มาถึงสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว พื้นฐานทางสังคมของผู้คนทั่วไปในประเทศก็ยังเป็นชาวนามากกว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่มาจากข้างนอกและเบื้องบน (หมายถึงจากรัฐ) เช่น ในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีการแบ่งพื้นที่และกำหนดพื้นที่ท้องถิ่นของบ้านและเมืองให้เป็นหมู่บ้าน ตำบล และอำเภอ การให้กรรมสิทธิ์ที่ดิน การเลิกทาส และการเก็บภาษีอากรเข้ารัฐ เป็นต้น มีผลทำให้เกิดคนชั้นกลางที่เป็นผู้ประกอบการรายย่อยและเจ้าของที่ดิน ซึ่งถ้าไม่ใช่พวกเจ้านายหรือขุนนางก็มักเป็นพวกเจ๊ก จีน หรือคนต่างชาติ แต่ครั้งนั้นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของสภาพแวดล้อมและภูมิวัฒนธรรมที่มีมาแต่ครั้งโบราณก็ดูจำกัดอยู่แต่เพียงพื้นที่ราบลุ่มและลุ่มน้ำ เพราะพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญก็คือ ข้าว มีการบุกเบิกพื้นที่ป่าให้เป็นนา เป็นบ้านเป็นเมืองก็มาก อันเป็นเหตุให้คนปลูกข้าวถูกเรียกว่าเป็น ชาวนาไป ทำให้ภูมิทัศน์ของหลาย ๆ แห่งกลายเป็นทุ่งนา แต่ความเป็น บ้าน แบบเดิมก็ยังคงดำรงอยู่โดยมีวัดเป็นศูนย์กลาง สิ่งที่แปลกใหม่เกิดขึ้นก็คือ ตลาดและโรงสี ซึ่งมักเป็นของคนชั้นกลาง และการเพิ่มขึ้นของเมืองแบบใหม่ที่มีตลาดเป็นศูนย์กลาง การเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของสภาพแวดล้อมอันเนื่องมาจากการสร้างถนนหนทางและกิจกรรมอื่น ๆ ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางอุตสาหกรรมยังไม่ค่อยมี ยังแลเห็นความเป็นเมืองแบบใหม่ [Urban Area] และความเป็นชนบทแยกกันอยู่ มาถึงสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จึงมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของสภาพแวดล้อมของนิเวศวัฒนธรรมและภูมิวัฒนธรรมเกิดขึ้น เพราะเป็นยุคที่ปูพื้นฐานการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรม โดยการสร้างโครงสร้างพื้นฐานในหลาย ๆ ภูมิภาคของประเทศ อันได้แก่ การขยายเขตเมือง [Urbanization] การสร้างถนน สร้างเขื่อนพลังงานไฟฟ้า การสร้างแหล่งอุตสาหกรรมและย่านธุรกิจ ทำให้เกิดพืชเศรษฐกิจใหม่ ๆ ขึ้นมากกว่าการปลูกข้าวและทำนาแต่เดิม ได้แก่ มันสำปะหลัง อ้อย และอื่น ๆ บรรดาพืชเศรษฐกิจเหล่านี้ล้วนปลูกบนที่ดอนหรือที่สูงซึ่งเคยเป็นพื้นที่ป่าและเขาอันเป็นแหล่งต้นน้ำและเก็บน้ำที่มาจากฝนทั้งสิ้น สิ่งที่ตามมาอีกอย่างหนึ่งก็คือการตัดไม้ทำลายป่า ทั้งจากการสัมปทานและการลอบตัด สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้ทำให้สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและวัฒนธรรมของพื้นที่ทางนิเวศวัฒนธรรมและภูมิวัฒนธรรมเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงในเวลาราว ๒๐ กว่าปี ภายหลังรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของนิเวศวัฒนธรรมและภูมิวัฒนธรรมก็เพิ่มความรวดเร็วและรุนแรงขึ้น ภายหลังการสิ้นสุดของสงครามเย็นที่ทำให้ขบวนการคอมมิวนิสต์ซึ่งเคยมีอิทธิพลในพื้นที่ป่าเขาจนทำให้ไม่มีใครเข้าไปเกี่ยวข้องทำลายเลิกราไป อิทธิพลเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีเข้าครอบงำประเทศ บรรดาพ่อค้า นักธุรกิจ เข้ามาสมัครเลือกตั้งเป็นนักการเมืองได้จัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ เชื้อเชิญต่างชาติให้เข้ามาลงทุน สร้างแหล่งอุตสาหกรรม และเน้นการส่งออกผลผลิตทางเกษตรอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรม ซึ่งรวมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวด้วย ผลที่ตามมาใน ๒๐ ปีหลังจนปัจจุบันได้ทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงจากสังคมชาวนาแบบก้าวกระโดด ผ่านสังคมกสิกรปลูกข้าวที่มีผู้ประกอบการรายย่อยเป็นพื้นฐาน เข้าสู่สังคมอุตสาหกรรมอย่างสมบูรณ์ในด้านกายภาพ กล่าวคือมีความทันสมัยแทบทุกด้านในด้านวัตถุที่ไม่ต่างอะไรกับประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา แต่ทว่าการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดที่ฐานเดิมเป็นสังคมเกษตรกรรมแบบชาวนา [Peasant] ที่ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในชุมชนบ้านและเมือง ซึ่งต้องอยู่ร่วมกันอย่างเป็นคนบ้านเดียวกัน เมืองเดียวกัน หรือท้องถิ่นเดียวกันในลักษณะที่ต้องพึ่งพิงอาศัยกัน และแบ่งปันทรัพยากรร่วมกันตามขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณี ไม่อาจปรับตัวได้ทันและเกิดปัญหาความขัดแย้งทางสังคมและความล้าหลังทางวัฒนธรรม [Culture lag] ขึ้น ความขัดแย้งทางสังคมก็คือการให้ความสำคัญกับการเป็นปัจเจก [Individualism] จนเกินไปของเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรีนั้น ทำให้คนในครอบครัวของสังคมชาวนาขัดแย้ง เพราะสมาชิกบางคนที่มีการศึกษาดีและมีโอกาสดีก็ปรับตัวเป็นผู้ประกอบการได้ ทำให้มุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตัวและกิจกรรมส่วนตัวแทนการที่ต้องอยู่รวมกันและช่วยเหลือกันแบบก่อน แต่ที่สำคัญก็คือมีคนเป็นจำนวนมากที่เอาเปรียบญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง ต้องการหาผลประโยชน์จากแรงงานและสิทธิ์ที่เคยมี ผู้ประกอบการที่เป็นชาวบ้านกลายเป็นนายทุน เช่น ให้พี่น้องและเพื่อนร่วมชุมชนกู้ยืมเงินและรับจำนองที่ดิน รวมทั้งสินทรัพย์อย่างอื่น การเปิดช่องว่างทางกฎหมายที่มาจากรัฐทำให้กติกาและจารีตเดิมไม่อาจต้านทานได้ จึงเกิดนายทุนที่มีลักษณะเป็นมาเฟียหรือเจ้าพ่อที่มาจากคนในและคนนอก ซึ่งใช้ระบบอุปถัมภ์แต่เดิมเป็นชื่อเสียงในการเลือกตั้งเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผันตัวเองเป็นนักธุรกิจ นักการเมืองเข้านั่งในสภา พฤติกรรมดังกล่าวมีแทบทุกหัวระแหงในสังคมท้องถิ่น จนทำให้สภาพแวดล้อมและโครงสร้างสังคมของชุมชนบ้านถูกทำลาย ดังเห็นได้จากการขยายตัวของบ้านจัดสรร ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียม ที่รุกพื้นที่สาธารณะของท้องถิ่นและเข้าไปแทนที่บ้านเรือนตามประเพณีของชาวบ้าน ชาวบ้านเองก็ขายที่ขายนา ขายสวน รวมทั้งขายบ้านให้กับนายทุน แล้วออกไปทำงานเป็นแรงงานรับจ้างในเมือง ในต่างประเทศ หรือตามโรงงานอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นตามท้องถิ่น ต่าง ๆ แทบทุกภูมิภาค หลาย ๆ แห่งเช่นในภาคอีสาน เป็นต้น ครอบครัวของชาวนา [Peasant] แต่เดิมกลายเป็นครอบครัวบ้านแตก [Broken home] ที่หัวหน้าครอบครัวคือพ่อและแม่ออกไปทำงานนอกบ้านและไม่ค่อยได้กลับมา ปล่อยให้ลูกอยู่กับคนแก่ที่เป็นปู่ย่าตายาย ชุมชนบ้านแต่ละแห่งก็มีผู้คนจากภายนอกตามที่ต่าง ๆ เข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่ตามบ้านจัดสรร หรือไม่ก็สร้างบ้านเรือนใหญ่โตที่แปลกแยกไปจากบ้านเรือนของชาวบ้านแต่เดิม รวมทั้งละเมิดพื้นที่สาธารณะที่ชาวบ้านเคยใช้ร่วมกันมา วัดและพระสงฆ์หลายแห่งเปิดรับการส่งเสริมดูแลจากคนภายนอกแทนที่จะเป็นศูนย์กลางของชุมชนภายในแบบที่แล้วมา แต่ที่สำคัญก็คือชุมชนบ้านในปัจจุบันเป็นเพียงแหล่งที่อยู่อาศัยแบบต่างคนต่างอยู่ ไม่รู้จักหัวนอนปลายตีนซึ่งกันและกัน และไม่อาจบูรณาการให้เกิดสำนึกร่วมอะไรได้ ผลที่เกิดขึ้นในขณะนี้ก็คือการล่มสลายของชุมชนทางชาติพันธุ์ที่เคยมีอยู่ในสังคมชาวนาทั้งด้านกายภาพ สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ วัฒนธรรม และสังคม ปัจจุบันนี้อาจกล่าวได้ว่า ท้องถิ่นหลายแห่งตามภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จนทำให้ทั้งภูมิวัฒนธรรม นิเวศวัฒนธรรม และชีวิตวัฒนธรรม ที่เคยมีมาแต่สมัยสังคมชาวนาเกิดภาวะล่มสลาย และกำลังเพิ่มความขัดแย้งและความรุนแรงที่นำไปสู่การขาดความรับผิดชอบทางศีลธรรมและจริยธรรมที่จะมีผลไปถึงความล่มสลายของความเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์สังคม สาเหตุที่สำคัญอย่างหนึ่งของความล่มสลายดังกล่าวนี้ก็คือ รัฐบาลตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้นมา ขาดความเข้าใจในเรื่องสังคมชาวนา เพราะบรรดาผู้รู้และนักวิชาการ และผู้บริหารประเทศทั้งหลายมุ่งพัฒนาแบบแนวตั้ง คือจากข้างบนและข้างนอกเข้ามาข้างใน โดยคิดว่าคนในส่วนใหญ่คือคนในสังคมกสิกรปลูกข้าวที่แทบทุกครอบครัวและครัวเรือนมีความสามารถเป็น ผู้ประกอบการ [Entrepreneur] การพัฒนาจึงเป็นเรื่องของการส่งเสริมการผลิตทางเกษตรอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมที่ทุกคนต้องเรียนรู้ในการสร้างงาน ทำมาหากินแบบแข่งขันเพื่อให้มีผลผลิตเพิ่มขึ้นโดยไม่มีขีดจำกัด แต่ไม่เคยนึกถึงว่าคนเป็นจำนวนมากที่มีพื้นฐานมาจากสังคมชาวนานั้นไม่มีศักยภาพในการที่จะพัฒนาให้เป็นผู้ประกอบการได้ โดยเหตุนี้เมื่อทางรัฐบาลต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจของชาวบ้านด้วยการให้ทุนอุดหนุนเพื่อนำไปประกอบการ จึงประสบความล้มเหลวและนำไปสู่ความขัดแย้งทางสังคมตลอดมา โดยเริ่มแต่รัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ในเรื่องเงินผันที่ทำให้ชาวบ้านเลิก กิจกรรมของท้องถิ่น [Inter village cooperation] ในการร่วมงานกันในการสร้างถนนหนทาง ลอกคูคลอง และการจัดการระบายน้ำ ทดน้ำร่วมกัน มาเป็นรอให้มีเงินผันมาแจกจ่ายจึงจะทำ ในขณะที่ผู้มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการเงินผันก็คือพวกกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ก็เลยถือโอกาสผันเงินไปให้แก่พวกพ้องของตน การมีอำนาจหน้าที่ในการจัดสรรเงินรัฐบาลนั้นได้ทำให้พฤติกรรมของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เปลี่ยนไป แต่เดิมคนที่จะดำรงตำแหน่งนี้คือผู้ที่ชาวบ้านเห็นว่าเป็นผู้มีความสามารถและมีคุณธรรม แต่หลังจากการกระจายเงินอุดหนุนของทางรัฐบาล ผู้ที่เป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ก็คือผู้หาเสียง ซื้อเสียงเข้ามาดำรงตำแหน่ง ซึ่งก็มีทั้งคนในและคนนอกที่มีความสามารถในการเป็นผู้ประกอบการทางเศรษฐกิจนั่นเอง หลังจากรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช แล้ว การให้ทุนอุดหนุนเศรษฐกิจชุมชนท้องถิ่นก็มีเรื่อยมาทุกรัฐบาล โดยเฉพาะรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่แล้วมา ถือว่าเป็นนโยบายสร้างประชานิยมด้วยการแจกเงินทุนเป็นจำนวนมาก ๆ ไปทุกหมู่บ้านทั่วราชอาณาจักร นับเป็นสิ่งที่นำไปสู่การทำลายสังคม สภาพแวดล้อม และทรัพยากรของท้องถิ่นอย่างมหาศาล เพราะเงินทุนนั้นจะเป็นประโยชน์แก่บรรดาชาวบ้านที่เป็นผู้ประกอบการ คือ พวกกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. และพรรคพวก แต่ส่วนมากชาวบ้านทั่วไปคือพวกชาวนา [Peasant] ที่ประกอบการไม่เป็นก็กลายเป็นผู้นำเงินไปใช้ในสิ่งที่ฟุ่มเฟือยและเป็นหนี้สิน กลายเป็นคนไร้ฐานะไป ดังนั้นจึงพอสรุปให้เห็นได้ว่าการพัฒนาประเทศแต่สมัยเกือบครึ่งศตวรรษคือกว่า ๔๐ ปีที่ผ่านมาแต่ครั้งรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นั้น สังคมไทยเปลี่ยนแปลงแบบกระโดดผ่านสังคมชาวนาที่เป็นพื้นฐานมาแต่เดิม โดยการมองแบบทางตะวันตกที่เห็นว่าสังคมพื้นฐานคือสังคมเกษตรกร [Farmer] ที่ปัจเจกบุคคลมีความสามารถเป็นผู้ประกอบการได้แล้วพัฒนาเข้าสู่ความเป็นสังคมอุตสาหกรรมจากการชี้แนะและกระทำโดยรัฐ เพื่อให้สอดคล้องกับความเจริญทางวัตถุของโลกจากภายนอก จนทำให้ในปัจจุบันสังคมไทยคือสังคมอุตสาหกรรมที่แทบทุกหนแห่งถูกครอบงำไปด้วยกิจกรรมทางเศรษฐกิจแบบเกษตรอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมอื่น ๆ แทบทุกรูปแบบ จนคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันกลายเป็นผู้ที่ไม่รู้จักตัวเองและรากเหง้าความเป็นมาในอดีต มองตนเองในลักษณะปัจเจกที่ถูกครอบงำโดยสิ่งที่เป็นวัตถุนิยม ขาดความเข้าใจในด้านศีลธรรม จริยธรรม และความเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิง การศึกษาเรื่อง นครแพร่ จากอดีตสู่ปัจจุบัน ในงานวิจัยนี้จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับภาพรวมของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม-วัฒนธรรมในสามมิติจากกว้างมาหาแคบ คือ จากภูมิวัฒนธรรมมาถึงนิเวศวัฒนธรรม และชีวิตวัฒนธรรมตามลำดับ โดยเฉพาะชีวิตวัฒนธรรมนั้นจะพยายามแตะต้องให้มากที่สุด เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคนแพร่โดยตรงในทางชาติพันธุ์ [Ethnicity] แต่ก็ไม่ได้ลืมบริบททางประวัติศาสตร์ของเมืองแพร่ที่เคยมีพัฒนาการเป็นนครรัฐแห่งหนึ่งในดินแดนภาคเหนือของประเทศไทยที่รู้จักกันในนามของล้านนา ซึ่งในท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนทางเศรษฐกิจสังคมในสมัยปัจจุบัน เวียงแพร่อันเป็นศูนย์กลางของนครรัฐยังดำรงโครงสร้างทางกายภาพของเวียงได้ดีกว่าบรรดาเวียงทั้งหลายของล้านนา ไม่ว่าจะเป็นเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และน่าน ซึ่งร่องรอยของความเป็นเวียงและเมืองในอดีตได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วโดยสิ้นเชิง เหตุนี้เวียงแพร่จึงเป็น เมืองประวัติศาสตร์ที่ยังมีชีวิต [Living historic city] ท่ามกลาง บรรดาเมืองเก่า ๆ ในล้านนา แผนผังเวียงแพร่ ภูมิวัฒนธรรมของนครแพร่ โดยตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ นครแพร่ อยู่ในภาคเหนือของประเทศไทยเช่นเดียวกับบ้านเมืองในเขตแคว้นล้านนา อื่น ๆ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เป็นแอ่งและเป็นหุบ อันเป็นที่ว่างระหว่างเขา ภูมิประเทศทางภาคเหนือนั้นเป็นทิวเขาที่แตกแยกมาจากปลายเทือกเขาหิมาลัย แล้ววางตัวเป็นทิวลงมาคล้ายกันกับนิ้วมือ โดยมีที่ราบลุ่มน้ำ ลำห้วย อยู่ระหว่างง่ามนิ้วมือ โดยมีลำน้ำสายใหญ่ ๆ หล่อเลี้ยงถึง ๔ สายคือ ลำน้ำปิง วัง ยม และน่าน เป็นเหตุให้ตามลุ่มน้ำดังกล่าวนี้เกิดมีพัฒนาการทางสังคมของผู้คนขึ้นเป็นนครรัฐ เช่น เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เชียงราย พะเยา น่าน และแพร่ ถ้าพิจารณาแบ่งลักษณะภูมิประเทศตามลุ่มแม่น้ำระหว่างทิวเขาดังกล่าว ก็อาจกล่าวได้ว่า บรรดาบ้านเมืองในเขตแคว้นล้านนาที่กล่าวมานี้ล้วนตั้งอยู่ในบริเวณลุ่มน้ำปิง วัง ยม น่าน ตอนบนทั้งสิ้น ต่ำลงมาในเขตจังหวัดตาก สุโขทัย อุตรดิตถ์ กำแพงเพชร พิจิตร และนครสวรรค์ ที่มีลำน้ำทั้งสี่ไหลผ่านก็นับเนื่องเป็นบริเวณลุ่มน้ำปิง วัง ยม น่าน ตอนล่าง เป็นที่ตั้งของบรรดาบ้านเมืองในแว่นแคว้นสุโขทัย เพราะฉะนั้นหากพิจารณาภูมิประเทศแล้ว ทั้งเขตแดนล้านนาและสุโขทัยต่างก็อยู่ในบริเวณลุ่มน้ำปิง วัง ยม น่าน ด้วยกัน เลยเป็นเหตุให้ทางราชการแบ่งเขตการปกครองเป็นภาคเหนือตอนบน คือ เขตแคว้นล้านนา กับภาคเหนือตอนล่างในเขตแคว้นสุโขทัยไป ซึ่งก็ขัดกับความเป็นจริงทางภาษาและวัฒนธรรม ที่ผู้คนในเขตแคว้นสุโขทัยมีภาษาและวัฒนธรรมที่เป็นแบบภาคกลางมากกว่าแบบภาคเหนือในเขตแคว้นล้านนา ความเป็นภูมิวัฒนธรรมของนครแพร่ก็คือเป็นบ้านเมืองและผู้คนที่พัฒนาขึ้นในภูมิประเทศที่เป็นแอ่ง [Basins] และหุบ [Valley] ในลุ่มน้ำยม ที่มีต้นน้ำอยู่ที่ภูเขาในเขตอำเภอปง จังหวัดพะเยา ไหลผ่านบริเวณหุบ [Valley] อันเป็นที่ราบแคบระหว่างเขามายังอำเภอเชียงม่วน โดยมีลำห้วยเล็กใหญ่ไหลลงจากเขาทั้งสองด้านมาสมทบ ทำให้พื้นที่ของหุบบางแห่งป่องกลาง เป็นที่ชุ่มน้ำและมีหนองบึงคล้ายกับแอ่งเล็ก ๆ เป็นที่รวมสายน้ำ ทำให้ลำน้ำยมใหญ่ขึ้นก่อนที่จะไหลผ่านพื้นที่หุบแคบ ๆ ลงไปทางใต้ไปยังตำบลสะเอียบ อันเป็นบริเวณหุบกว้างที่มีที่ราบลุ่มและมีลำห้วยหลายสายไหลมาสมทบ นับเนื่องเป็นแอ่งเล็ก ๆ [Small basin] ที่ทำให้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานเป็นบ้านเป็นเมืองได้ พื้นที่แอ่งเล็ก ๆ ภายในหุบใหญ่ดังกล่าวนี้ก็คือนิเวศวัฒนธรรมที่ผู้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานสร้างบ้านแปงเมืองกัน โดยเหตุนี้ยังกล่าวได้ว่าพื้นที่ของหุบแม่ยมจากอำเภอปงผ่านอำเภอเชียงม่วนมาถึงตำบลสะเอียบ เป็นที่ซึ่งมีทั้งหุบแคบ [Small basin] และหุบกว้าง บริเวณที่เป็นหุบกว้างเช่นที่อำเภอปง อำเภอเชียงม่วน และตำบลสะเอียบ ก็เป็นแหล่งที่ผู้คนเข้ามาสร้างบ้านแปงเมือง เกิดเป็นเมืองปง เมืองเชียงม่วน และเมืองสะเอียบ ซึ่งมีฐานะเป็นเมืองด่านเล็ก ๆ เช่นที่ลำน้ำยมจะไหลผ่านหุบแคบลงสู่พื้นที่ราบลุ่มเป็นแอ่งใหญ่ [Basin] ของเมืองสองซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแอ่งเมืองแพร่ หุบแม่ยมตั้งแต่อำเภอปงลงมาจนถึงอำเภอสองนั้น เคยเป็นเส้นทางคมนาคมโบราณจากเมืองแพร่ผ่านเมืองสองไปยังเชียงม่วน เพื่อต่อไปยังบ้านเมืองในลุ่มน้ำปิงซึ่งมี เมืองพะเยา เป็นเมืองสำคัญ และเมืองปง ที่เป็นเส้นทางข้ามเขาสันปันน้ำไปยังบ้านเมืองในลุ่มแม่น้ำน่านเช่น เมืองปัว อีกทีหนึ่ง การเป็นเส้นทางคมนาคมและทั้งมีแอ่งเล็ก ๆ ที่สร้างบ้านแปงเมืองได้นี้ ทำให้ภูมิประเทศ ป่าเขา ลำน้ำ และลำห้วยสองฝั่งน้ำยมมีความเป็นภูมิวัฒนธรรมขึ้นมา เพราะเป็นพื้นที่และสภาพแวดล้อมที่ผู้คนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานใช้สติปัญญาในการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ เพื่อให้เกิดความรู้และภูมิปัญญาในด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เป็นการดำรงชีวิตรอดร่วมกัน ความเป็นภูมิวัฒนธรรมนั้นสะท้อนให้เห็นจากบรรดาชื่อของสถานที่ทั้งทางธรรมชาติ ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เช่น ชื่อภูเขาในนามของดอยหรือภู เป็นต้น ซึ่งลำน้ำลำห้วยที่ไหลผ่านท้องถิ่น (นิเวศวัฒนธรรม) ต่าง ๆ รวมทั้งชื่อของพืชพันธุ์ ต้นไม้ และสัตว์ เป็นต้น คนในพื้นที่ซึ่งเป็นหุบหรือแอ่งเดียวกันจะรู้จักสิ่งเหล่านี้เหมือนกัน รวมทั้งรู้จักและเข้าใจว่าอะไรอยู่ในท้องถิ่นของคน อะไรที่เป็นของรวมกัน จากความรู้ความเข้าใจดังกล่าวทำให้มีการสร้างและอธิบายความหมายในรูปแบบของตำนาน นิทาน และสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ถ่ายทอดแก่กันด้วยลายลักษณ์และการเล่าขาน รวมทั้งการพบปะในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและไสยศาสตร์ร่วมกัน สิ่งที่น่าสังเกตจากการเดินทางเข้าไปในหุบแม่ยมจากสะเอียบจนถึงเมืองปงก็คือ ได้แลเห็นการขยายตัวของภูมิวัฒนธรรมและนิเวศวัฒนธรรมไปในพื้นที่และภูมิประเทศที่ห่างไกลผู้คนระหว่างเมืองต่อเมือง แต่ก่อนเมืองปง เมืองเชียงม่วน และสะเอียบจะมีพื้นที่ว่างระหว่างกัน มาบัดนี้การขยายตัวของการตั้งถิ่นฐานได้ทำให้ช่องว่างหรือระยะห่างดังกล่าวเชื่อมต่อกัน จึงปรากฏการให้ชื่อของภูเขาป่าดง และลำน้ำลำห้วยเพิ่มขึ้น เพื่อให้เกิดท้องถิ่นที่เป็นชุมชนบ้านและเมืองเพิ่มขึ้น จากหุบแม่ยมจากตำบลสะเอียบ ลำน้ำยมไหลผ่านพื้นที่แคบ ๆ ในหุบเขาลงสู่ที่ราบของแอ่งเมืองสองในเขตอำเภอสอง แอ่งนี้เป็นที่รวมของลำน้ำสำคัญ ๒ สาย คือ ลำน้ำยม ที่มาจากอำเภอปงดังได้กล่าวมาแล้วกับ ลำน้ำงาว ที่ไหลมาจากทางเหนือจากเทือกเขาในเขตอำเภองาว จังหวัดลำปาง หุบเขาแคบ ๆ ที่ลำน้ำงาวไหลลงมานั้นยังมีภูมิประเทศที่เป็นธรรมชาติที่เพิ่งมีการบุกเบิกเป็นชุมชนเมื่อไม่นานมานี้ ลำน้ำงาวสบกับลำน้ำยมในบริเวณที่เรียกว่า สบงาว และกลายเป็นลำน้ำเดียวกันลงสู่ที่ราบลุ่มแอ่งเมืองสอง ณ บริเวณเมืองสองนี้เป็นที่ที่มีลำน้ำสองไหลลงจากเทือกเขาทางด้านตะวันออกลงมาออกที่ลุ่มน้ำยม แอ่งเมืองสองนับเนื่องเป็นนิเวศวัฒนธรรมที่มีการสร้างบ้านแปงเมือง ดังเห็นได้จากการมีร่องรอยของเวียงโบราณแต่สมัยล้านนา ๒ แห่ง คือ เวียงสองและเวียงเทพ มีพระบรมธาตุเจดีย์ มีวัดและชุมชนหมู่บ้านหลายแห่งอย่างต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน เวียงสองตั้งอยู่ริมลำน้ำสองบนที่ลาดลงมาจากเขา มีร่องรอยของคูน้ำและคันดินสลับซับซ้อน รวมทั้งภายในบริเวณเมืองมีความโดดเด่น แสดงการเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและศาสนสถานหลายแห่ง การกระจายตัวของเศษภาชนะดินเผาทั้งแบบเผาธรรมดา เผาแกร่งและเผาเคลือบ แสดงให้เห็นชัดว่าเป็นเวียงที่มีคนอยู่อาศัยมากและต่อเนื่อง รวมทั้งมีความสำคัญขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ เป็นต้นมา อันเป็นเวลาที่นครแพร่ถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นล้านนาในสมัยพระเจ้าติโลกราช มหาราชแห่งนครเชียงใหม่ ส่วนเวียงเทพ นั้นมีเพียงร่องรอยของแนวกำแพงดินและคูน้ำเหนือให้เห็นได้ชัดใกล้กันกับลำน้ำยม แต่ภายในตัวเวียงพบซากของโคกเนินที่เป็นศาสนสถานน้อย อีกทั้งเศษกระเบื้องถ้วยชามที่สะท้อนให้เห็นถึงการอยู่อาศัยก็กระจายอยู่ไม่มาก มีลักษณะเบาบางที่แสดงการอยู่อาศัยของผู้คนในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นในเวลามีศึกสงคราม เพราะแอ่งเมืองสองนั้นนับเนื่องเป็นเมืองหน้าด่าน ที่การคมนาคมและเส้นทางเดินทัพจากเมืองพะเยาและเมืองน่านผ่านไปมาถึงเมืองแพร่ แอ่งเมืองสองมีพื้นที่ราบกว้างขวางพอสำหรับทำชลประทานแบบเหมืองฝายที่ทำให้ผู้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานเป็นบ้านเป็นเมืองได้อย่างมีการสืบเนื่อง ซึ่งก็แลเห็นได้จากชุมชนท้องถิ่นของเมืองสองในปัจจุบันที่มีการเติบโตเป็นอำเภอและมีย่านตลาดใหญ่โต การที่มีผู้คนตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยอย่างสืบเนื่องมาจนปัจจุบันนี้ ทำให้เมืองสองกลายเป็นเมืองสำคัญในตำนานประวัติศาสตร์ของเมืองแพร่ ในนามของเมืองพระเพื่อนพระแพง ในวรรณคดีเรื่อง พระลอ ที่เชื่อกันว่าแต่งขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เมื่อมีการตื่นตัวค้นคว้าเรื่องราวโบราณคดีขึ้นแต่สมัยรัชกาลที่ ๕– ๖ ก็ทำให้มีผู้เชื่อว่าเมืองในวรรณคดีของเรื่องนี้มีความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์ ได้มีการศึกษาบรรดาเมืองโบราณต่าง ๆ ในเขตแคว้นล้านนา และให้ความเห็นว่าเมืองสองในเขตจังหวัดแพร่นี้คือ เมืองสองในตำนานเรื่องพระลอ ลำน้ำสองก็ถูกตีความว่าเป็น ลำน้ำกาหลง และพระสถูปเจดีย์ที่สำคัญของเมืองก็ถูกกำหนดให้เป็น พระธาตุพระลอ เกิดศาลเจ้าปู่สมิงพราย เป็นที่เคารพของผู้คนทั้งในเขตเมืองและคนภายนอกที่ผ่านไปมา แต่ที่สำคัญมีการเล่าขานกันว่าภูเขาที่เป็นขุนน้ำและต้นน้ำของเมืองสองทางด้านตะวันออกของเมืองคือ เขาปู่เจ้าสมิงพราย จากแอ่งเมืองสองลำน้ำยมไหลผ่านที่ราบลุ่มในเขตบ้านห้วยขอน บ้านทุ่งน้าว บ้านแม่ทะ บ้านวังหลวง บ้านห้วยคงเจริญ เข้าสู่ที่ราบกว้างใหญ่ของแอ่งเมืองแพร่ที่มีลำห้วยและลำน้ำหลายสายไหลลงจากเทือกเขาทางเหนือ ทางตะวันตก และทางตะวันออกลงมารวมกับลำน้ำยม ที่ทำให้พื้นที่ของแอ่งเป็นที่ราบลุ่ม มีน้ำบริบูรณ์เพื่อการเกษตรกรรมที่กว้างใหญ่ แต่ลำน้ำสำคัญที่มารวมกับลำน้ำยมในแอ่งใหญ่นี้ได้แก่ลำน้ำแม่คำมี ที่ไหลมาจากเทือกเขาทางด้านตะวันออกที่กั้นแอ่งแพร่ออกจากแอ่งน้ำในเขตจังหวัดน่าน ลำน้ำนี้ไหลผ่านหุบเขาเล็ก ๆ มาออกพื้นที่ราบของเขตอำเภอร้องกวาง ก่อนที่จะไปรวมกับลำน้ำยมในเขตบ้านแม่หลายในอำเภอเมือง จากบ้านแม่หลายลำน้ำยมขยายใหญ่ มีสภาพเป็นแม่น้ำไหลผ่านที่ราบลุ่มกว้างใหญ่ของแอ่งแพร่ ที่มีลำน้ำลำห้วยจากทิวเขาทั้งด้านตะวันตกและตะวันออกไหลลงมา ปัจจุบันเห็นการตั้งถิ่นฐานของบ้านเมืองภายในแอ่งได้ชัดเจน กล่าวคือแม่น้ำยมมีลักษณะการไหลที่คดเคี้ยวเพราะลงสู่พื้นที่ราบลุ่มเกิดบริเวณลำน้ำคด ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำมีที่ราบกว้างใหญ่เหมาะกับการตั้งถิ่นฐานมากกว่าทางฝั่งตะวันตก พื้นที่ดังกล่าวเริ่มตั้งแต่เขตอำเภอเมืองลงไปทางใต้ ผ่านอำเภอสูงเม่นจนถึงอำเภอเด่นชัย ที่ราบลุ่มทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำยมนี้เองที่มีผู้คนตั้งหลักแหล่งบ้านเมืองมาแต่โบราณ เพราะได้อาศัยบรรดาลำน้ำลำห้วยที่ไหลลงจากเทือกเขาทางด้านตะวันออกในการทำเหมืองฝาย เพื่อจัดการน้ำอุปโภคบริโภคและการเพาะปลูกพืชพันธุ์ต่าง ๆ ในขณะที่ทางฝั่งตะวันตกเป็นเพียงที่ราบและทุ่งราบแคบ ๆ ที่แม้จะมีลำห้วยลำน้ำไหลลงจากเทือกเขาก็ตาม แต่ก็ไม่เหมาะในการจัดการน้ำกินน้ำใช้ของผู้คน เหตุนี้การเติบโตของชุมชนที่อยู่อาศัยและการเกษตรกรรมจึงเจริญขึ้นในสมัยหลัง ๆ ลงมา สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ การตั้งถิ่นฐานของผู้คนในแถบนี้มักจะเกี่ยวข้องกับการทำป่าไม้สัก ที่เป็นเศรษฐกิจสำคัญของเมืองแพร่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ จนอาจกล่าวได้ว่า นับแต่เขตอำเภอสูงเม่นลงไปจนถึงอำเภอเด่นชัย มีแหล่งค้าไม้และบ้านเรือนที่สร้างด้วยไม้สักที่มีการนำเอาต้นซุงไม้สักมาทำเสาบ้านกันมากมาย เมืองแพร่จึงเป็นเมืองที่ทำไม้สักและมีรายได้จากไม้สักมากกว่าการเป็นเมืองปลูกข้าวและทำเกษตรกรรม บริเวณอำเภอเด่นชัยคือบริเวณที่ราบลุ่มตอนล่างของแอ่งแพร่ เพราะจากบริเวณนี้ลำน้ำยมจะไหลคดเคี้ยวผ่านซอกเขาและหุบเขาไปทางตะวันตกและทางใต้ พื้นที่จึงเต็มไปด้วยป่าเขาที่อุดมสมบูรณ์ด้วยต้นสัก ซึ่งปัจจุบันมีการตัดไม้สักในลักษณะทำลายสภาพแวดล้อมกันเป็นอย่างมาก แต่ก่อนแทบไม่มีชุมชน แต่ปัจจุบันชุมชนรุ่นใหม่ขึ้นตามเส้นทางถนนที่ตัดผ่านไปยังจังหวัดลำปางและสุโขทัย แต่เมื่อแม่น้ำยมไหลผ่านซอกเขาและหุบเขาเข้าเขตอำเภอลองก็เข้าสู่พื้นที่ราบลุ่มเป็นแอ่งเล็ก ๆ แห่งหนึ่งคือ แอ่งเมืองลอง บริเวณที่มีลำน้ำแม่ลานไหลจากหุบเขาทางเหนือมาสบแอ่งเมืองลองนี้กินพื้นที่ตั้งแต่บ้านนาสารในหุบแม่ลาน ที่ลำน้ำแม่ลานไหลผ่านบ้านปินลงไปสบกับแม่น้ำยมในบริเวณอำเภอลอง และทำให้แม่น้ำยมกว้างขึ้นก่อนที่จะผ่านบริเวณซอกเขาและหุบเขาเข้าสู่แอ่งที่ราบลุ่มในเขตอำเภอวังชิ้น ความสำคัญของแอ่งเมืองลองก็คือ เป็นบริเวณชุมทางของการคมนาคมและเส้นทางเดินทัพในสมัยโบราณระหว่างเมืองแพร่ เมืองลำปาง กับเมืองศรีสัชนาลัย สวรรคโลกและสุโขทัย อันนับเนื่องเป็นบ้านเมืองในลุ่มน้ำยมตอนล่าง แอ่งเมืองลองมีพื้นที่รับน้ำเป็นที่ราบกว้างใหญ่อย่างชายฝั่งตะวันตกของแม่น้ำมูล เพราะมีลำน้ำลำห้วยไหลลงจากทิวเขาที่แยกลุ่มน้ำยมออกจากพื้นที่ภูเขาในเขตจังหวัดลำปาง การตั้งถิ่นฐานของบ้านเมืองจะอยู่ในบริเวณนี้ โดยเฉพาะบริเวณอำเภอลองและตำบลบ้านปินที่อยู่ริมลำน้ำแม่ลาน บ้านปินเป็นบริเวณที่ทางรถไฟผ่าน มีสถานีรถไฟที่ทำให้เกิดย่านตลาดและบ้านเมืองแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ลงมา ในขณะที่ตัวอำเภอลองเป็นแหล่งศูนย์กลางของวัดพระธาตุห้วยอ้อหรือวัดศรีดอนคำ ที่เป็นศูนย์กลางศาสนาและพิธีกรรมของท้องถิ่น ต่ำจากบริเวณตัวอำเภอลองลงมาใกล้กับบริเวณที่ลุ่มน้ำแม่ลานสบกับลำน้ำยมเป็นที่ตั้งของ เมืองลองโบราณ ที่มีคูน้ำและคันดินอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำยม เมืองลองนี้มีฐานพระสถูปเจดีย์ที่เป็นพระบรมธาตุอยู่กลางเมือง ซึ่งน่าจะสร้างขึ้นแต่รัชกาลพระเจ้าติโลกราชในพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ลงมา เมืองลองเป็นเมืองทางยุทธศาสตร์สำคัญของกองทัพล้านนาที่ทำสงครามกับกองทัพกรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ที่เกี่ยวข้องกับวรรณคดีลิลิตยวนพ่ายที่แต่งขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถในรัชกาลของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา ทางตอนเหนือของแอ่งเมืองลองอันเป็นหุบเขาที่ลำน้ำแม่ลานไหลผ่านบ้านปินไปรวมกับแม่น้ำยมนั้น มีลำน้ำอีกสายหนึ่งคือลำน้ำแม่ตัว ซึ่งนับเป็นต้นน้ำของลำน้ำแม่ลาน ลำน้ำนี้มีต้นกำเนิดมาจากภูเขาทางด้านเหนือในเขตบ้านแป้น ไหลลงสู่ที่ราบลุ่มที่เป็นหุบเหมาะกับการสร้างบ้านแปงเมือง มีภูเขาหินปูนที่มีถ้ำที่ผู้คนถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ปัจจุบันพื้นที่ในหุบนี้ทั้งสองฝั่งน้ำแม่ตัวเกิดเป็นชุมชนในระดับตำบลที่มีผู้คนเข้ามาอยู่มากมาย มีวัดเก่าและแหล่งโบราณคดีตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์ในสมัยล้านนา ชาวบ้านบอกว่ามีร่องรอยของเวียงคือ บริเวณที่มีคันดินและคูน้ำสร้างบนเนิน และเรียกชุมชนที่ตั้งอยู่ในหุบนี้ว่า เวียงต้า ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ เวียงต้า คือแหล่งหลบภัยและปฏิบัติการของขบวนการเสรีไทยที่ผู้รู้ในท้องถิ่นได้ทำการศึกษาและบันทึกไว้ โดยตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ เวียงต้านับเป็นชุมชนภายในหุบเขาที่เหมาะสำหรับหลบภัย และมีเส้นทางคมนาคมเข้าไปยังเมืองแพร่ที่อยู่ทางตะวันออกได้ ต่อจากแอ่งเมืองสอง แม่น้ำยมไหลผ่านซอกเขาและที่ราบลุ่มในเขตบ้านทุ่งแล้ง บ้านแม่ป้วก เข้าสู่ที่ราบลุ่มของแอ่งวังชิ้นอันเป็นที่ตั้งของอำเภอวังชิ้นในปัจจุบัน บริเวณนี้เป็นแอ่งยาวที่มีพื้นที่ราบลุ่ม มีลำน้ำลำห้วยจากเขาไหลลงมาหล่อเลี้ยงทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยม ทำให้เกิดชุมชนบ้านเมืองมาแต่โบราณ มีร่องรอยของเวียงโบราณที่เป็นเมืองอยู่ริมฝั่งแม่น้ำยมฝั่งตะวันตก โดยตั้งอยู่ ณ บริเวณปากลำน้ำเก่าที่ไหลมาจากเทือกเขาทิศตะวันตกเฉียงใต้มาสบกับแม่น้ำยม โดยมีวัดพระธาตุปงสนุกเป็นพระธาตุประจำเมือง เมืองนี้ใช้ลำน้ำยมเป็นคูเมืองด้านตะวันออก โดยมีคูน้ำและกำแพงเมืองทางด้านตะวันตกยาวขนานไปกับแม่น้ำยม ณ วัดพระธาตุปงสนุกซึ่งเป็นวัดโบราณพบศิลาจารึกสมัยสุโขทัยหลักหนึ่งที่มีอายุอยู่ในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๙ กล่าวถึง เมืองตรอกสลอบ และเจ้าเมืองที่น่าสนใจก็คือบริเวณแอ่งวังชิ้นมีร่องรอยของลำน้ำแม่สร้อยที่ไหลผ่านหุบเขาที่มีที่ราบลุ่มจากบริเวณบ้านแม่หละ บ้านป่าสัก บ้านสองแคว มาสบกับแม่น้ำยมในบริเวณบ้านแม่สร้อย ซึ่งอยู่ต่ำจากเมืองโบราณที่อำเภอวังชิ้นลงมาเล็กน้อย หุบแม่สร้อยนี้เป็นเส้นทางโบราณที่เชื่อมบ้านเมืองในเขตแอ่งวังชิ้น จากต้นลำน้ำแม่สร้อยข้ามเข้าไปยังห้วยแม่ปะสู่บ้านเมืองในแอ่งเมืองเถินในลุ่มน้ำวังในจังหวัดลำปาง นิเวศวัฒนธรรม ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นคือภูมิวัฒนธรรมอันเป็นเรื่องของภูมิประเทศ หุบและแอ่งที่ผู้คนเข้ามาสร้างบ้านแปงเมืองและปรับตัวเองเข้ากับสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ สิ่งที่เป็นแกนสำคัญของการตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัยก็คือ น้ำ ที่ต้องใช้อุปโภคบริโภคและทำการเพาะปลูก การจัดการน้ำจึงมีความหมายต่อการอยู่อาศัยของผู้คนในท้องถิ่นหนึ่งที่อยู่ในแอ่งและหุบ แม่น้ำยม คือเส้นชีวิตของคนเมืองแพร่ที่ไหลผ่านหุบและแอ่งจนเกิดท้องถิ่นหรือนิเวศวัฒนธรรมอันเป็นพื้นที่ในการสร้างบ้านแปงเมืองหลายแห่ง สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้คือ บรรดานิเวศวัฒนธรรมที่เกิดเป็นบ้านเมืองของนครรัฐแพร่ ซึ่งในปัจจุบันนับเนื่องเป็นเขตการบริหารการปกครองที่เรียกว่า จังหวัดแพร่ ในที่นี้จะไม่นำเสนอในทุกนิเวศวัฒนธรรมตามที่มีอยู่ในภูมิวัฒนธรรมที่กล่าวมาแล้ว แต่จะนำเสนอเพียงบรรดานิเวศวัฒนธรรมสำคัญ ๆ โดยเฉพาะในเขตแอ่งที่ราบเมืองแพร่และสะเอียบ นครแพร่หรือเวียงแพร่ เป็นศูนย์กลางของเมืองหรือนครแพร่ ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำยมที่มีลักษณะการไหลคดเคี้ยวมากกว่าบริเวณอื่น จนทำให้เกิดมีกุดและบริเวณน้ำหลง [Oxbow lake] จึงเป็นบริเวณชุ่มน้ำและเป็นที่รับน้ำจากลำห้วยหลายแห่งที่ไหลลงมาจากเทือกเขาทางด้านตะวันออกและตะวันตกเฉียงใต้ โดยเฉพาะลำน้ำแม่แคมและลำน้ำแม่สายที่ไหลลงมาจากภูเขาสูงอันเป็นต้นน้ำ คือ ดอยผาช้างด่านและผาช้างแดง อันเป็นดอยศักดิ์สิทธิ์ที่สูงสุดของแอ่งแพร่ ลำน้ำทั้งสองไหลจากต้นน้ำในหุบเขาผ่านเขา และตะพักที่สูงจากข้างในลงมายังตะพักต่ำข้างล่าง ผ่านแหล่งที่มีการตั้งถิ่นฐานบ้านเมือง หล่อเลี้ยงการเพาะปลูกบนพื้นราบ ทำให้เกิดการสร้างเหมืองและฝายแบ่งน้ำไปหล่อเลี้ยงผู้คนในชุมชนท้องถิ่น และการเพาะปลูกข้าวและพืชพันธุ์ต่าง ๆ การไหลลงสู่ที่ราบลุ่มของลำน้ำเหล่านี้มีทั้งคุณและโทษ เพราะถ้าฝนตกชุกและต่อเนื่องจะทำให้เกิดน้ำป่าไหลบ่าลงมาจากเทือกเขาอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันแก่บ้านเรือนผู้คนตามชุมชนที่อยู่ในพื้นราบ ที่เป็นคุณก็คือการทำเหมืองฝายชักน้ำ เบนน้ำ จากลำห้วยเหล่านี้ไปเลี้ยงที่นาและแหล่งการเพาะปลูก โดยเฉพาะการชักน้ำจากลำแม่แคมและแม่สายเข้าไปยังหนองน้ำในเวียงแพร่เพื่อการอุปโภคบริโภค ซึ่งปัจจุบันหนองน้ำดังกล่าวนี้ตื้นเขินและถูกกลบเพื่อเป็นพื้นที่ในการก่อสร้างบ้านเรือนและสถานที่ในเมืองไปหมดแล้ว เพราะคนเมืองมีน้ำประปาเพื่อการบริโภคและอุปโภคแทน รวมทั้งบรรดาเหมืองฝายที่เคยมีมาแต่เดิมก็ลดน้อยไป อันเนื่องมาจากทางรัฐได้ขุดลำชลประทานจากเหนือลงใต้ได้ จนทำให้ทางน้ำธรรมชาติที่ไหลมาจากเขาสูงทางตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้หลายสายตันไป การเปลี่ยนแปลงทางน้ำดังกล่าวทำให้ความรู้และความทรงจำเกี่ยวกับแหล่งน้ำกินน้ำใช้ และแหล่งต้นน้ำของผู้คนในเมืองยุคปัจจุบันแทบไม่หลงเหลืออยู่ ซึ่งเห็นได้จากการที่คนรุ่นใหม่ไม่รู้ และมีความรู้เกี่ยวกับผาช้างด่านและผาช้างแดงอันเป็นดอยศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นต้นน้ำของลำน้ำลำห้วยที่ไหลลงมาหล่อเลี้ยงแหล่งเพาะปลูกและเป็นน้ำกินน้ำใช้ของคนเมือง ผาช้างด่านและผาช้างแดงเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นประธานของภูมิทัศน์ทางจักรวาลของคนเมืองแพร่ที่คนรุ่นก่อนรู้จักและบอกเล่ากัน โดยเฉพาะบรรดาคนที่เป็นพรานป่าและพวกที่เข้าไปเก็บของป่าเพื่อการทำมาหากิน มีผู้คนเข้าไปตั้งถิ่นฐานกันภายในหุบเขาตามตะพักที่ลำห้วยไหลผ่านลงมา โดยเฉพาะการปลูกป่าเมืองและทำเหมือง จนเกิดกลุ่มชนเผ่าบนที่สูงที่เก็บของป่าและผลิตผลจากไร่มาแลกเปลี่ยนกับคนบนพื้นราบ ทำให้การตั้งถิ่นฐานบ้านเมืองของผู้คนในระยะแรกซึ่งย้อนหลังไปถึงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เกิดขึ้นในบริเวณพื้นที่ราบบนตะพักที่ลาดลงจากเทือกเขาผาช้างด่านและผาช้างแดง พื้นที่ดังกล่าวนี้อยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ลงมา ผู้คนนับถือพระพุทธศาสนา ได้สร้างวัดขึ้นตามชุมชนแต่ละแห่งมากมาย รวมทั้งมีการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ขึ้นตามที่สูงและบนเขา ได้แก่ พระธาตุช่อแฮ พระธาตุจอมแจ้ง และพระธาตุดอยเล็ง บริเวณสำคัญที่สุดที่มีการสร้างบ้านแปงเมืองอย่างต่อเนื่องก็คือ พื้นที่ตั้งแต่บ้านป่าแดง บ้านพันเชิง บ้านมุ้ง บ้านธรรมเมือง บ้านปอ บ้านต้นไคร้ มายังบ้านกลาง นับเป็นชุมชนที่สัมพันธ์กับพระธาตุช่อแฮซึ่งเป็นหลักของนครแพร่ ภายในเขตวัดพระธาตุช่อแฮมีศาลผีใหญ่เป็นที่สถิตของขุนลัวะอ้ายก้อม ซึ่งน่าจะเป็นบรรพบุรุษของชนเผ่าบนที่สูงซึ่งเคยตั้งถิ่นฐานอยู่บนเนินเขาที่ลาดลงมาจากผาช้างผาด่าน และผาช้างแดง ขุนลัวะอ้ายก้อมเป็นหัวหน้าคนพื้นเมืองที่หันมานับถือพระพุทธศาสนา และมีบทบาทในการบำรุงพระพุทธศาสนา จึงได้มีการสร้างศาลบูชาไว้ในพื้นที่ของวัดพระธาตุช่อแฮ กล่าวกันว่าในงานบุญประเพณีไหว้พระธาตุหรือขึ้นธาตุแต่ก่อนก็มีประเพณีไหว้และสักการะขุนลัวะอ้ายก้อม ผู้กราบไหว้และดูแลพระบรมธาตุด้วย ตามที่กล่าวมาแสดงให้เห็นว่าบริเวณที่ลาดของตะพักเขาจากดอยผาช้างด่านและผาช้างแดง ลงมาจนถึงบริเวณที่ราบลุ่ม ที่ราบเชิงเขา อันเป็นบริเวณที่มีพระธาตุช่อแฮเป็นศูนย์กลางนั้น เป็นพื้นที่ของการเกิดเป็นบ้านเป็นเมืองอย่างต่อเนื่อง พระพุทธศาสนาจากแคว้นสุโขทัยได้เข้ามาเป็นที่รับนับถือของผู้คนทั้งที่สูงและที่ราบลุ่มตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๙ เป็นต้นมา และได้ทำให้คนในแอ่งนครแพร่มีความสัมพันธ์กับกษัตริย์สุโขทัย โดยเฉพาะสมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไท ดังมีกล่าวถึงในศิลาจารึกของสุโขทัยหลายหลัก เช่น จารึกวัดเขาสุมนกูฎ ระบุว่าสมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไทยทรงนำคนแพร่ คนเมืองปัว ไปไหว้พระพุทธบาทที่เมืองสุโขทัย รวมทั้งจารึกปู่ขุนจิตขุนจอด หลังรัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไทกล่าวถึง การสาบานระหว่างกษัตริย์สุโขทัยและกษัตริย์เมืองน่านในการร่วมมือกันรบกับศึกทางกรุงศรีอยุธยา ก็ย่อมแสดงให้เห็นว่าสุโขทัยจะเกี่ยวข้องกับน่านไม่ได้ ถ้าไม่เดินทางผ่านแพร่ ทางด้านศิลปกรรมพบว่าบรรดาพระพุทธรูปสำคัญของเมืองแพร่มีรูปแบบลักษณะคล้ายกับพระพุทธรูปสุโขทัยเป็นอย่างมาก จนราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ แพร่ก็ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นล้านนาภายใต้การนำของพระเจ้าติโลกราช ผู้ทรงทำสงครามกับสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา ครั้งนั้นกษัตริย์สุโขทัยพระองค์หนึ่งคือพระยายุทธิษฐิระ ผู้เคยเป็นเจ้าเมืองสองแควได้หนีไปเข้ากับทางล้านนา พระเจ้าติโลกราชโปรดให้ไปครองเมืองพะเยา ซึ่งเป็นเมืองเอกที่สำคัญในแอ่งเชียงรายของแคว้นล้านนา การขึ้นไปครองเมืองพะเยาของพระยายุทธิษฐิระนั้นต้องผ่านเมืองแพร่ขึ้นไป ในทางประวัติศาสตร์เชื่อกันว่าพระยายุทธิษฐิระคือผู้นำการทำเครื่องปั้นดินเผาเคลือบไปเผยแพร่ตามเมืองสำคัญ ต่าง ๆ ในแอ่งเชียงราย และทำให้เกิดการผลิตเครื่องปั้นดินเผาเคลือบกันอย่างแพร่หลาย สิ่งที่สะท้อนให้เห็นจากการพบภาชนะดินเผาเคลือบและเศษภาชนะที่มีแบบสุโขทัย เมืองพาน และพะเยา ซึ่งพบหลักฐานในบริเวณเวียงสองซึ่งเป็นเส้นทางที่ผ่านขึ้นไปยังพะเยา จากบริเวณที่ราบเชิงเขาของบ้านเมืองในเขตป่าแดง–ช่อแฮ ที่มีพัฒนาการมาแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ก็มีการขยายตัวลงสู่ที่ราบลุ่มชุ่มน้ำทางตะวันตกเฉียงเหนือใกล้กับฝั่งแม่น้ำยม อันเป็นบริเวณที่หล่อเลี้ยงโดยลำน้ำลำห้วยที่ไหลจากเขาดอยผาช้างด่านและผาช้างแดงมาลงแม่น้ำยม และบรรดาลำห้วยที่ไหลลงจากทิวเขาทางด้านตะวันตกผ่านที่ราบลุ่มต่ำมาบรรจบกับแม่น้ำยม แม่น้ำยมในบริเวณนี้กว้างใหญ่ขึ้น อีกทั้งไหลคดเคี้ยวทำให้เกิดพื้นที่สูงริมฝั่งน้ำพอเป็นที่ตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัยได้ การขยายตัวดังกล่าวทำให้เกิดการสร้างเวียงแพร่ขึ้นเป็นศูนย์กลางของนครรัฐ ซึ่งอาจเกิดขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ลงมา เวียงแพร่เกิดขึ้นท่ามกลางที่ราบลุ่มที่มีน้ำจากลำห้วยและลำเหมืองหล่อเลี้ยงและตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำยม โดยรับน้ำจากลำน้ำและลำเหมืองของลำน้ำแม่แคมและแม่สายเข้ามาใช้ในการอุปโภคบริโภค น้ำกินน้ำใช้เหล่านี้ถูกกักเก็บไว้ในบริเวณหนองก่อนที่จะระบายลงสู่แม่น้ำยมที่อยู่ทางด้านตะวันตก ด้วยเหตุที่เป็นพื้นที่ราบชุ่มน้ำจึงมีโอกาสเกิดน้ำท่วมจากน้ำป่าที่ไหลบ่ามาจากเทือกเขาทั้งทางด้านตะวันออกและตะวันตก อีกทั้งจากการเอ่อล้นของแม่น้ำยม จึงทำให้การสร้างเวียงแพร่โดยเฉพาะกำแพงเมืองสูงใหญ่มั่นคงที่ไม่ป้องกันการรุกล้ำของข้าศึกศัตรูเพียงอย่างเดียว หากใช้เป็นเครื่องป้องกันน้ำท่วมในเวลาน้ำยมเอ่อล้นอีกด้วย ลักษณะเช่นนี้เป็นเหตุให้การดูแลและบูรณะกำแพงเมืองให้ถาวรจึงดำรงอยู่เรื่อยมา แม้ว่าปัจจุบันการใช้กำแพงเป็นเครื่องป้องกันข้าศึกศัตรูหมดไปแล้วก็ตาม การไม่รื้อกำแพงเมืองทั้งหมดเพื่อการขยายเมืองตามแบบเมืองสมัยใหม่ [Urbanization] นับเป็นสิ่งสำคัญที่ทำในพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่เคยอยู่กันมาตามแบบประเพณีไม่ถูกทำลาย แม้ว่าในขณะนี้ทางเทศบาลและชาวบ้านได้รื้อทำลายและบุกรุกพื้นที่และก่อสร้างอาคารใหม่ ๆ ขึ้นมาทำลายสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมที่มีมาแต่สมัยโบราณก็ตาม เมืองแพร่เป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต เพราะมีการอยู่อาศัยกันมาอย่างต่อเนื่องแต่สมัยล้านนา ดังเห็นได้จาก ศาสนสถานที่สำคัญ เช่น เจดีย์วัดศรีชุม เจดีย์วัดหัวข่วง วัดหลวง และวัดพระนอน เป็นต้น ยังคงเหลือให้ได้เห็นและศึกษาในบริเวณวัดที่ไม่ร้าง ซึ่ง วัดหลวง น่าจะเป็นวัดสำคัญเป็นวัดใหญ่ แต่พระธาตุเจดีย์ได้รับการบูรณะเปลี่ยนแปลง สิ่งที่หลงเหลือให้เห็นเป็นวัดสำคัญก็คือ ซุ้มประตูโค้งเกือกม้ามียอดลวดลายปูนปั้นประดับที่เป็นของแต่ครั้งรัชกาลพระเจ้าติโลกราชลงมา วัดอื่น ๆ ในเขตเมืองที่เป็นวัดสำคัญของผู้คนแต่ละกลุ่มเหล่าในเมืองที่สร้างขึ้นในสมัยหลังลงมาก็มากมาย การเปลี่ยนแปลงในเรื่องสิ่งก่อสร้างคงเป็นเรื่องของบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ซึ่งส่วนมากทำด้วยเครื่องไม้ที่มีรูปแบบและขนาดใหญ่โตขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕-๖ ลงมา ล้วนเป็นสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลของฝรั่งยุคอาณานิคม แต่ก็ปรับปรุงและปรับเปลี่ยนให้มีรูปแบบเฉพาะเป็นของตนเอง แต่การแบ่งเขตถนนและตรอกคงยังรักษารูปแบบเดิมอยู่ จนกล่าวได้ว่าเวียงแพร่เป็นตัวอย่างของเมืองล้านนาที่ยังไม่ถูกทำลายเหมือน เช่น เชียงใหม่ ลำปาง และน่าน ซึ่งก็อาจเปรียบได้กับเมืองหลวงพระบางของแคว้นล้านช้างในขณะนี้

เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page