top of page

พบผลการค้นหา 220 รายการ

  • ประเทศสยามวันนี้ : เมืองสองฝ่ายฟ้าระหว่างอเมริกันกับจีน

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 เม.ย. 2559 สำหรับข้าพเจ้าในทุกวันนี้ ภาวะที่ทำให้เกิดความระเหี่ยใจก็คือ ความรู้สึกของคนปัญญาชนในสังคมที่สะท้อนออกมาจากทั้งการแสดงออกในโซเชียลมีเดียและข่าวสารตามหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ ที่เห็นว่าแผ่นดินไทยในขณะที่ถูกปิดล้อมและคุกคามจากต่างชาติภายนอกทั้งในด้านสังคม การเมือง และเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก โดยมีเหตุใหญ่มาจากความแตกแยกภายในทั้งรัฐและสังคมของผู้ที่เรียกว่าคนไทยนั่นเอง ประเทศไทยอยู่ในระหว่างอิทธิพลทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมระหว่างมหาอำนาจ อเมริกาและจีน ประเทศสยามอันมีกรุงเทพมหานครเป็นศูนย์กลางรุ่งเรืองทางสังคม วัฒนธรรม และการเมืองที่สุด คือ ในรัชสมัยของรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พอสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การคุกคามของมหาอำนาจตะวันตกนักล่าอาณานิคมก็แผ่เข้ามา และนับว่าโชคดีด้วยเหตุสองประการ เพราะอสุรกายใหญ่สองตนที่มีอำนาจมากที่สุดในขณะนั้น คือ อังกฤษและฝรั่งเศส ได้หลีกเลี่ยงการประจัญหน้าด้วยการปล่อยให้ “สยามเป็นประเทศกันชน” หลังจากได้บรรดาบ้านเมืองใหญ่น้อยที่เคยอยู่ในราชอาณาจักรทั้งทางเหนือ ทางใต้ ตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือไปเป็นประเทศในอาณานิคม ประเทศสยามแม้จะอยู่รอดมาในฐานะเป็นประเทศเอกราชทางการเมืองการปกครองแห่งเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ตาม แต่ในทางสังคมและวัฒนธรรมนั้นหาได้เป็นอิสระไม่ เพราะการรับอารยธรรมตะวันตกเพื่อมาสร้างความทันสมัย [Westernization] ให้ทัดเทียมกับบ้านเมืองทางตะวันตกนั้น กลับทำให้คนสยามตั้งแต่ชั้นสูงลงมาจนถึงชั้นล่าง กลายเป็นอาณานิคมทางปัญญาของฝรั่งตะวันตกไปสิ้น เพราะไปเห็นดีเห็นงามกับตะวันตกไปทั้งหมดทั้งในด้านวัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมือง และการปกครอง โดยเฉพาะระบบการปกครองที่เรียกว่าสมบูรณาญาสิทธิราช ที่ทำให้ประเทศสยามเป็นรัฐอำนาจรวมศูนย์แบบเด็ดขาด จนไม่มีช่องว่างให้การปกครองท้องถิ่น [Local government] อย่างที่เคยมีมาแต่สมัยอยุธยาและสุโขทัย ก็เป็นผลมาจากเอาโครงสร้างและวิธีการบริหารปกครองแบบตะวันตกเข้ามาใช้แทนในทางสังคม เกิดชนชั้นใหม่ขึ้นมาคือ “คนชั้นกลาง” ที่ส่วนใหญ่มาจากคนต่างชาติ ต่างชาติพันธุ์ที่มาจากภายนอกที่เป็นผู้ประกอบการกิจกรรมต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจ อาศัยการมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ซึ่งแต่เดิมไม่มีในหมู่ไพร่ฟ้าประชากรของรัฐก่อนสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อันได้มาจากการซื้อขายและการยึดครองจากประชาชนที่ด้อยโอกาสและด้อยปัญญามาเป็นของตน ของครอบครัว ของพรรคพวกและบริวาร กล่าวโดยย่อก็คือ “ระบบทุนและนายทุน” นั่นเอง ซึ่งมีผลทำให้ความขัดแย้งเกิดขึ้นในสังคมชาวนา [Peasant] แต่เดิมที่ชาวบ้านไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินในระบบเศรษฐกิจแบบยังชีพ มาเป็นสังคมกสิกร [Farmer] ที่มีผู้ประกอบการเป็นพ่อค้า นายทุน เจ้าของที่ดิน และปลูกข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจ ซึ่งรวมไปถึงการสัมปทานป่าไม้และอื่น ๆ เกิดการขยายตัวของสังคมเมือง [Urbanism] เป็นบ้านเมือง มีตึกรามบ้านช่องและถนนหนทางเป็นแบบตะวันตก รูปแบบการดำรงชีวิตของคนเมือง [Life style] ก็เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการแต่งกายตามแบบตะวันตกที่สร้างความเหลื่อมล้ำกับผู้คนในสังคมระหว่างคนชั้นสูงและคนชั้นกลางกับชาวบ้านที่เป็นชาวนาและแรงงาน แต่ที่สำคัญคือการศึกษาแบบตะวันตกทำให้เกิดปัญญาชนรุ่นใหม่ที่มีความคิดและการมองโลกเปลี่ยนไปจากเดิมมากมาย คือ เน้นความสำคัญทางวัตถุและความเจริญทางเศรษฐกิจที่ลดความสำคัญทางศาสนาและจริยธรรมในมิติทางจิตวิญญาณจนไม่ได้ดุลย์กับความเจริญทางวัตถุจนทำให้บรรดาเจ้านาย ขุนนางข้าราชการ รวมทั้งพ่อค้า นักธุรกิจ คนชั้นกลางกลายเป็น “คนหัวนอก” ไป แตกต่างจากปัญญาชน “คนใน” ที่มีมาแต่เดิมให้กลายเป็นคนคร่ำครึไม่ทันโลกที่เรียกว่า “เชย” เพราะประเทศไทยเป็นอิสระไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของตะวันตกนี่เองที่ทำให้คนไทยเกิดความภูมิใจว่า ดีกว่าประเทศเพื่อนบ้านที่ตกอยู่ในสภาพเป็นคนในอาณานิคมของตะวันตก คนไทยนอกจากไม่รู้สึกในความเจ็บปวดในสิ่งเหล่านี้แล้วยังดูถูกคนในประเทศเพื่อนบ้านว่าต่ำต้อยกว่าตน และในขณะเดียวกันก็พยายามทำคนให้มีความก้าวหน้าทัดเทียมกับคนตะวันตกเพื่อความศิวิไลซ์ [Civilized] เพื่อความมีหน้ามีตาเป็นชาติศิวิไลซ์ ทำให้ปัญญาชนไทยส่วนใหญ่คิดอะไรไม่เป็น ลืมความเป็นมาของบ้านเมืองในอดีต ตั้งหน้าตั้งตาแต่จะลอกเลียนแบบตะวันตก นับแต่การศึกษา การปกครอง การบริหารราชการ รวมทั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจ จนคนไทยกลายเป็นทาสทางปัญญาของคนตะวันตกที่ทำอะไรตามคำแนะนำหรือเอาแบบอย่างตะวันตกมาข่มคนชั้นล่างที่ด้อยโอกาส และคนในประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นอาณานิคมคนตะวันตกในทางการเมืองและเศรษฐกิจ จนกลายเป็นที่เกลียดชังของเพื่อนบ้านแทบทุกประเทศในภูมิภาคเดียวกัน ความเป็นทาสทางปัญญาของคนไทยต่อคนตะวันตกนี้ ได้เพิ่มพูนทวีคูณมาเป็นทาสทางการเมืองและเศรษฐกิจของคนตะวันตกในช่วงเวลาหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งรู้จักกันในนามว่า “ยุคสงครามเย็น” ที่โลกแบ่งออกเป็นสองขั้ว คือ ขั้วของระบบเศรษฐกิจการเมืองที่เรียกว่า “ทุนนิยมเสรีประชาธิปไตย” กับ “สังคมนิยมคอมมิวนิสต์” สังคมนิยมคอมมิวนิสต์นั้น แท้จริงคือการต่อสู้เรียกร้องของคนที่เคยเป็นเบี้ยล่างทางเศรษฐกิจการเมืองของคนตะวันตกที่เป็นมหาอำนาจในยุคการล่าอาณานิคม เป็นการต่อสู้ที่มาจากคนชั้นล่าง แต่คนไทยและรัฐไทยไม่เคยอยู่ในสภาพเช่นนั้นทางเศรษฐกิจและการเมือง อยู่กันอย่างสบายและประเทศมั่งคั่งด้วยทรัพยากรและอาหารการกิน จึงคิดว่าการเคลื่อนไหวต่อสู้ของบรรดาประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นคอมมิวนิสต์นั้นคือ ภัยร้ายแรงที่คุกคามรัฐไทยและคนไทย แต่ภัยนี้ใหญ่หลวงนักเกินกว่าที่คนไทยจะต่อสู้ได้ ต้องพึ่งมหาอำนาจทางฝ่ายทุนนิยมคืออเมริกาที่มีผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขคืออังกฤษและฝรั่งเศสที่เคยเป็นอสุรกายในการยึดครองและกดขี่บ้านเมืองที่เป็นคอมมิวนิสต์มาก่อน ในยุคสงครามเย็นนี้ไทยอ้างตนเองว่าเป็นทุนนิยมประชาธิปไตย แต่แท้จริงแล้วไทยไม่เคยเป็นประชาธิปไตยแบบตะวันตกเลย เพราะยังคงเป็นรัฐรวมศูนย์ที่ไม่มีการกระจายอำนาจตามอุดมคติของการเป็นประชาธิปไตย โดยแท้จริงแล้วไทยคือรัฐเผด็จการทุนนิยมตลอดมา บ้านเมืองยังคงอุดมสมบูรณ์และสามารถพึ่งพาตนเองได้ หากไม่มีแรงกระทบจากภายนอกมาทำให้เสียสมดุลย์ทางนิเวศวัฒนธรรมไป โดยเฉพาะในยุคสงครามเย็นที่เป็นรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่เป็นเผด็จการเต็มตัว ไทยกลายเป็นสาวกอเมริกันอย่างเต็มที่ ซึ่งนอกจากพลีแผ่นดินไทยให้เป็นฐานทัพสำคัญในการทำสงครามกับฝ่ายสังคมนิยมประชาธิปไตยที่เรียกว่าคอมมิวนิสต์แล้ว ไทยยังปรับปรุงการบริหารการเมืองการปกครอง การเศรษฐกิจ และการศึกษา รวมทั้งการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจสังคมให้เปลี่ยนสังคมเกษตรกรรมที่มีมาแต่ดึกดำบรรพ์ให้เป็นสังคมอุตสาหกรรม เกิดกระบวนการทำให้เป็นอเมริกัน [Americanization] ที่ทำให้ผู้คนในระดับสูง ระดับกลางที่เป็นนักการเมือง นักปกครอง บริหาร นักการศึกษา และนักวิชาการคิดอะไรเป็นอะไรไปเป็นแบบอเมริกันทั้งสิ้น จนกระทั่งในยุคปัจจุบันที่เรียกว่าโลกาภิวัตน์นั้น ความคลั่งไคล้อเมริกันกลายเป็นโรคขึ้นสมองในบรรดาคนชั้นสูง ข้าราชการ นักธุรกิจ นักวิชาการและนักศึกษาไปทั้งหมด ดังตัวอย่างเช่น การมีรัฐธรรมนูญและการปกครองแบบประชาธิปไตยของไทยต้องเป็นแบบรัฐสภา มีประธานาธิบดี และการเลือกตั้งจากคะแนนเสียงของคนส่วนใหญ่ที่มาเลือกตั้งผู้แทนเป็นสำคัญ จึงเกิดความขัดแย้งที่ยากจะหาข้อยุติได้ในเรื่องการเป็นประชาธิปไตยของคนไทย ซึ่งกำลังกลายเป็นเครื่องมือหากินและทำลายล้างสังคมไทยด้วยการพยายามล้มล้างสถาบันกษัตริย์และพระมหากษัตริย์ของบรรดานักการเมือง นักธุรกิจ นักศึกษา นักวิชาการที่ออกมาเคลื่อนไหว เรียกร้องความเป็นประชาธิปไตยแบบอเมริกัน คนไทยเกือบจะฆ่ากันตายอย่างนองเลือดเพราะความกระหายที่จะเป็นประชาธิปไตยแบบอเมริกันนี้ ซึ่งแท้จริงก็คือยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ของบรรดานักธุรกิจการเมืองและนายทุนข้ามชาติที่ชั่วร้ายเพื่อการยึดครองประเทศทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม แต่เคราะห์ดีที่ก่อนการนองเลือดเกิดขึ้นก็เกิดปรากฏการณ์ทางสังคมและการเมืองขึ้นสองอย่าง อย่างแรกคือการปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลคอรัปชั่นที่มาจากการเลือกตั้งและบูชาประชาธิปไตยแบบอเมริกันโดยนายทหารกลุ่มหนึ่งที่มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และประเทศชาติบ้านเมือง สามารถยุติความรุนแรงและนำประเทศชาติกลับเข้าสู่ภาวะที่สงบได้อย่างเป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ในสังคม ปรากฏการณ์อย่างหลังคือ การตื่นรู้ทางสติปัญญาของผู้คนส่วนใหญ่ในสังคม ที่มีทั้งคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ที่แสดงออกจากการเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมืองในนามของมวลมหาประชาชน คนเหล่านี้แต่ก่อนไม่ใคร่นำพาต่อปัญหาใด ๆ ที่เกิดจากการคอรัปชั่น การโกงกิน และการกดขี่หลอกลวงของกลุ่มทรราชที่ขึ้นมามีอำนาจเป็นรัฐบาลปกครองบ้านเมือง คนเหล่านี้คือพลังทางสังคมที่ชอบธรรมหนุนการดำเนินการของคณะปฏิวัติให้ปราบปรามทุจริตและปฏิรูปบ้านเมือง แต่ในขณะเดียวกันก็คอยเฝ้าดูการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ของรัฐบาลว่าเป็นไปโดยชอบธรรมและแก้ไขให้เกิดความเรียบร้อยและความมั่นคงทางสังคมและการเมืองได้สำเร็จหรือไม่ เวลาล่วงมาเกือบสองปีเต็มแล้ว การแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของบ้านเมืองก็ยังไม่ดูดีเท่าใด แม้ว่าความรุนแรงภายในจะค่อย ๆ หมดไปหรือน้อยลงก็ตาม แต่เกิดความกดดันจากภายนอกที่ทำให้ประเทศไทยตกอยู่ใน “สภาพของการเป็นเมืองสองฝ่ายฟ้า” ขึ้นในลักษณะที่เป็นไดเลมม่า [Dilemma] คือภาวะที่อยู่ท่ามกลางเขาควาย หนีเสือปะจระเข้ คือเป็นเมืองที่อยู่ระหว่างมหาอำนาจสองกลุ่มคือ “อเมริกัน” กับ “จีน” ซึ่งกลายเป็นแอกสองแอกที่ต้องได้รับการปลดปล่อย ข้าพเจ้ามองไม่เห็นว่ารัฐบาลปฏิวัติคณะนี้ จะสามารถปลดแอกทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศออกจากภาวะระหว่างเขาควาย [Dilemma] นี้ได้ เพราะขาดความเด็ดเดี่ยวและเชื่อมั่นในตนเองเป็นประการแรก กับประการที่สองขาด ความรอบรู้และเข้าใจชีวิตความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของผู้คนทั้งในระดับต่าง ๆ และท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศ ข้าพเจ้าคิดว่าสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศในขณะนี้อยู่ในภาวะวิกฤต เพื่อปลดปล่อยสังคมให้ดำรงอยู่ได้อย่างราบรื่นนั้น รัฐต้องเข้มแข็งและเป็นรัฐบาลเผด็จการอย่างเต็มตัว อย่าไปคาดหวังหรือตกอยู่ในกับดักของประชาธิปไตยแบบอเมริกันที่บรรดานักการเมืองนักวิชาการและนายทุนที่ชั่วร้ายนำมาเป็นข้ออ้างเพื่อให้เกิดการเลือกตั้งอย่างรวดเร็ว รัฐควรจัดการอย่างเด็ดขาดด้วยศาลทหารกับการปลุกผีและเคลื่อนไหวของฝ่ายที่ไม่หวังดีที่อ้างต่างชาติ เช่น อเมริกา และองค์กรต่าง ๆ ของสหประชาชาติที่อ้างอิงและกดดัน เพราะเท่าที่ดูในขณะนี้คนส่วนใหญ่ที่เป็นผลพวงมาจากการตื่นรู้ของมวลมหาประชาชนนั้นสนับสนุนรัฐบาลอยู่แล้ว ข้าพเจ้านึกถึงครั้งสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่แสดงความเป็นเผด็จการอย่างเฉียบขาดและแก้ไขประเทศชาติในยามวิกฤตด้วยการสร้างกฎหมายของรัฐบาลปฏิวัติขึ้นมาดูแลประเทศเป็นเวลานาน ก่อนที่จะเปิดโอกาสให้เป็นการปกครองแบบเลือกตั้งทุนนิยมประชาธิปไตยเข้ามาแทนที่ แต่จุดอ่อนของรัฐบาลเผด็จการสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เรื่อยมาถึงสมัยจอมพลถนอม กิตติขจรก็คือ ปัญหาเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมของบ้านเมืองเพื่อการเปลี่ยนสังคมเกษตรกรรมเป็นสังคมอุตสาหกรรมเพื่อเกิดความทันสมัยขึ้นมา ซึ่งเป็นการพัฒนาสังคมเศรษฐกิจแบบทุนนิยมตะวันตก ซึ่งเป็นที่มาของวัตถุนิยมและบริโภคนิยมที่ทำลายรากเหง้าทางศีลธรรมและความเชื่อในมิติทางจิตวิญญาณที่ทำให้คนกลายเป็นคนวัตถุนิยมและเป็นปัจเจกชนที่เห็นแก่ตัว แย่งชิงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างไร้ศีลธรรมและจริยธรรมในขณะนี้ ความล้มเหลวของบ้านเมืองในยุคเผด็จการทหารที่แล้วมา คือไม่สามารถสถาปนารัฐประชาธิปไตยในหลักการที่แท้จริงได้ เพราะทำให้การสืบเนื่องของการเปลี่ยนรัฐรวมศูนย์นี้เป็นหัวใจของเผด็จการมาจนกระทั่งปัจจุบัน แม้กระทั่งรัฐบาลปัจจุบันจะเป็นรัฐบาลเผด็จการที่หวังจะสร้างแนวทางไปสู่การเป็นประชาธิปไตยก็จะไม่สำเร็จ ตราบใดที่ยังมองไม่เห็นโครงสร้างและแผนการในการกระจายอาจลงสู่ท้องถิ่นและทำให้เกิดรัฐบาลท้องถิ่นขึ้น ซึ่งนอกจากความกล้า ๆ กลัว ๆ ไม่เด็ดขาดในการจัดการกับความขัดแย้งทางการเมืองจากฝ่ายตรงข้ามแล้ว ยังขาดความเข้าใจในเรื่องสังคมเศรษฐกิจ คือการจัดการเศรษฐกิจเพื่อสังคมเพื่อผู้คนในสังคมได้เกิดความมั่นคงในชีวิตวัฒนธรรม สิ่งที่รัฐในปัจจุบันไม่เข้าใจในเรื่องนี้เห็นได้จาก การแก้ไขทางเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดรายได้ประชาชาติ [GDP] แก่คนทั่วไปได้ บ้านเมืองยังคงอุดมสมบูรณ์และสามารถพึ่งพาตนเองได้ หากไม่มีแรงกระทบจากภายนอกมาทำให้เสียสมดุลย์ทางนิเวศวัฒนธรรมไป อันความคิดในเรื่องรายได้ต่อหัวประชาชาติที่ตัดสินกันด้วยตัวเลขเงินทองนั้น เป็นความเชื่อในทางมายาที่อุปโลกน์ว่ามีอยู่จริง เพราะรายได้ที่แท้จริงนั้นจะไปตกอยู่กับคนที่เป็นนายทุนหมด รัฐบาลโดยการชี้แนะของนักการเมืองและนักวิชาการฝ่ายเศรษฐกิจที่วางแผนการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมในรูปแบบประชารัฐที่เน้นแต่ GDP และการประกาศพื้นที่ทางเศรษฐกิจพิเศษนั้น ไม่มีทางที่จะพบความสำเร็จในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาชนที่อยู่เบื้องล่างตามท้องถิ่นต่าง ๆ ได้ ทั้งที่ในปัจจุบันหลายท้องถิ่นในหลายบ้านหลายเมืองภาวะทางสังคมเศรษฐกิจอยู่ในสภาพดีอยู่แล้วด้วยระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงที่แลเห็นชีวิตวัฒนธรรมของชุมชนกลับคืนมา และสะท้อนให้เห็นสิ่งที่หลายคนพร่ำกล่าวถึง ความสุขมวลรวมของประชาชาติ [GNH] ที่แท้จริงแล้วคือความสุขมวลรวมของผู้คนที่อยู่ในชุมชนนั่นเอง ทุกวันนี้รัฐบาลถูกกดดันบีบคั้นให้รับเป็นประชาธิปไตยแบบอเมริกันจากข้างนอกและข้างใน จากข้างในนั้นหลุดมาแล้ว แต่จากข้างนอกก็คือ ชาติอเมริกันและพรรคพวกทางตะวันตก ซึ่งที่แท้จริงต้องการทรัพยากรในด้านต่าง ๆ ของประเทศไทย ที่ทำให้ผู้นำทางรัฐบาลต้องหันไประวังการถ่วงดุลทางอำนาจกับมหาอำนาจทางตะวันออกโดยเฉพาะกับจีนและพรรคพวก เลยทำให้รัฐไทยและสังคมไทยกลายเป็นเมืองสองฝ่ายฟ้าไป เพราะอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจ และการตลาด ถูกถ่ายทอดโดยประเทศมหาอำนาจข้างนอก แต่อสุรกายจากตะวันออกที่รัฐไทยและนายทุนไทยกำลังลุ่มหลงอยู่ในขณะนี้ ดูราวกับว่าไม่เบาไปจากอเมริกันเลย เพราะไม่สนใจในรูปแบบทางการเมืองการปกครอง แต่สนใจในมิติทางสังคมเศรษฐกิจที่เคลื่อนด้วยการขยายตัวทางการลงทุนเข้ามายึดครองที่ทำกินและแย่งตลาดผลผลิตภายในประเทศด้วยการส่งสินค้าราคาถูกเข้ามาขาย แต่ที่สำคัญคือการอุดหนุนส่งเสริมคนของตนเข้ามาตั้งถิ่นฐาน แต่งงานกับคนท้องถิ่นที่ตกเป็นเหยื่อวัตถุนิยมและบริโภคนิยม นับเป็นการรุกคาดแบบยึดครองที่ทำให้ไทยที่มีมาแต่เดิมสูญพันธุ์ไปได้ในที่สุด ประเทศไทยนี้มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยความหลากหลายทางชีวภาพนานาชนิดที่สามารถเป็นแหล่งอาหารของคนได้ทั่วโลก ถ้าหากไม่ต้องการอุตสาหกรรมแบบทุนนิยมและประชาธิปไตยแบบอเมริกันแล้ว สามารถปิดประเทศได้นานกว่าห้าปีที่ทำให้ผู้คนในชุมชนมนุษย์มีความสุขมวลรวมด้วยระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียง แต่บรรดาอมนุษย์ทั้งหลายที่เป็นนายทุนน่าจะตายหมด อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • นิวกรุงเทพฯ นิวรัตนโกสินทร์ : การพัฒนาบ้านเมืองที่ไม่เห็นมนุษย์

    เผยแพร่เมื่อ 28 ก.ย. 2559 ข้าพเจ้าพูดตอกย้ำมาตลอดเวลากว่า ๓๐ ปี ที่ผ่านมาว่า การพัฒนาเศรษฐกิจสังคมที่มีแผนพัฒนาแต่ครั้งรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้นมา ตั้งแต่แผนแรกจนแผนปัจจุบันนั้น เป็นการพัฒนาจากข้างบนลงล่างในลักษณะการบังคับให้มีการเปลี่ยนแปลง [Forced change] แบบแผนพัฒนาของประเทศที่เป็นสังคมนิยม หาเป็นการพัฒนาที่เป็นการวางแผน [Planned change] แบบประเทศเสรีประชาธิปไตยที่คำนึงถึงการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจของคนในท้องถิ่นที่เป็นพื้นที่ในการพัฒนาไม่ ตรอกพระยาเพชรปราณีฯ ชุมชนป้อมมหากาฬ กล่าวคือการพัฒนาเปลี่ยนแปลงใดทางเศรษฐกิจและสังคมนั้น ต้องได้ “ดุลยภาพต่อรองกันระหว่างการพัฒนาจากข้างบนกับการพัฒนาตนเองจากคนในพื้นที่ซึ่งอยู่ข้างล่าง” เพราะการพัฒนาคือการเปลี่ยนแปลงทั้งคนในพื้นที่และพื้นที่ จำเป็นต้องให้คนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ [Decision making] ด้วย แต่ที่ผ่านมา การพัฒนาในสังคมไทยนั้นเป็นการพัฒนาจากข้างบนที่การตัดสินใจมาจากคนข้างบนและคนข้างล่างโดยไม่เห็น “ คนใน ” ซึ่งเป็นการพัฒนาที่ตรงข้ามกับพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ว่า “ เข้าถึง เข้าใจ และพัฒนา ” นั่นคือการเข้าไม่ถึงคนและไม่เข้าใจคนในพื้นที่ซึ่งจะได้รับการเปลี่ยนแปลงนั่นเอง การพัฒนาแบบจากบนลงล่างที่ผ่านมาร่วมกึ่งศตวรรษแลไม่เห็นหัวคนในพื้นที่ดังกล่าวนี้ ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็น “การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม” อย่างที่เรียกกัน หากเป็น “การพัฒนาเศรษฐกิจและการเมือง” มากกว่า และทุกครั้งที่ผ่านมาทุกหนแห่งในประเทศ คือ การสร้างนิเวศทางเศรษฐกิจและการเมืองทับลงไปยังนิเวศทางสังคมวัฒนธรรมของคนในพื้นที่ของท้องถิ่นตลอดเวลา ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงล่มสลายของสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในสังคมเกษตรกรรมและความเป็นมนุษย์ของคนในท้องถิ่นที่อยู่กันมาเป็นครอบครัว เครือญาติ และชุมชนทั้งในระดับบ้านและเมือง ดังเห็นได้ว่า ก่อนยุคโลกาภิวัตน์อันเป็นยุคสงครามเย็นนั้น การพัฒนาเป็นเรื่องการเปลี่ยนประเทศและสังคมให้เป็นสังคมอุตสาหกรรมที่มีการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเข้าถึงแหล่งทรัพยากร มีการสร้างถนน การชลประทาน เขื่อนพลังงานไฟฟ้า และแหล่งเมืองใหม่ พร้อมกับการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานของคนในสังคมเกษตรกรรมที่อยู่ติดที่เป็นชุมชนบ้านและเมือง [Local communities] มาหากินเป็นแผนงานและผู้ประกอบการในเมือง เช่น แหล่งโรงงานอุตสาหกรรมแหล่งธุรกิจและสถานที่บริการ การพัฒนาทำให้เกิดสถานที่ทางอุตสาหกรรมและบ้านเมืองใหม่ในระยะแรกเริ่ม คือการพัฒนาแบบจากบนลงล่างโดยอำนาจของรัฐ อย่างเช่น การสร้างเขื่อนพลังงานไฟฟ้า ถนนหนทางที่ทำให้เกิดการเวนคืนจนเกิดความเดือดร้อนของคนในท้องถิ่น จนมีการออกมาเดินขบวนคัดค้านเรียกร้อง เป็นต้น โดยย่อก็คืออำนาจที่ใช้ในการเปลี่ยนแปลงพื้นพัฒนานั้นเป็นอำนาจของรัฐเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่มาถึงยุคโลกาภิวัตน์แต่สมัยรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นต้นมา เป็นยุคของการลงทุนที่มาจากภายนอก ซึ่งอำนาจในการเปลี่ยนแปลงเพื่อการพัฒนาหาได้มาจากอำนาจรัฐอย่างแต่เดิมไม่ หากมาจากอำนาจของทุนทั้งจากภายนอกและภายในที่เหนือทั้งตลาดและรัฐ สังคมไทยเปลี่ยนเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรมอย่างเต็มรูปแบบ มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาเพื่อการลงทุนทั้งด้านอุตสาหกรรมหนักและอุตสาหกรรมเบา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเบาที่หมายถึง “การท่องเที่ยว” เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดรายได้ประชาชาติ [GDP] แก่ประเทศชาติอย่างมากมาย เป็นผลให้เกิดการฟื้นฟูบ้านเมืองเก่าแก่และท้องถิ่นทางประวัติศาสตร์ให้ขานรับการท่องเที่ยวไปเกือบทุกทั่วภูมิภาคในประเทศ เมืองประวัติศาสตร์หลายเมืองถูกปรับปรุงใหม่ [Renovation] ที่ทำให้เกิดผังเมืองใหม่ ที่มีทั้งการอนุรักษ์และพัฒนา อย่างเช่น อยุธยา เชียงใหม่ สุโขทัย กำแพงเพชร และกรุงเทพฯ - ธนบุรี ซึ่งเป็นผลให้เกิดการกระทบกระเทือนกับผู้คนในชุมชนบ้านเมืองที่อยู่กันมาช้านาน โดยเฉพาะกรุงเทพฯ และธนบุรี อันเป็นเมืองราชธานีที่ตั้งอยู่สองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีผลกระทบเรื่อยมาไม่ต่ำกว่า ๒๐ ปีที่ผ่านมา เริ่มแต่การตัดถนนหนทางใหม่ทั้งสองฝั่งน้ำ สร้างคอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร โรงแรม ภัตตาคาร อาคารร้านค้าขึ้นมาตลอดเวลา เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรม [Culture landscape] ของบ้านเมืองสองฝั่งน้ำที่ใช้แม่น้ำเจ้าพระยาและบรรดาคลองขุดที่เป็นคลองซอยสองฝั่งน้ำที่มีมาแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ อย่างแทบไม่แลเห็นรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ ทางสังคมและวัฒนธรรมของบ้านเมืองแต่สมัยอยุธยาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ กระแสการพัฒนาบ้านเมืองในทางเศรษฐกิจแบบจากบนลงล่างเพื่อให้มีรายได้ทางเศรษฐกิจดีให้มี GDP มาก ๆ นั้น มีสองอย่างที่สำคัญในขณะนี้คือ ๑) การเปิดพื้นที่แหล่งทรัพยากรในแทบทุกภูมิภาคของประเทศให้มีนักลงทุนจากภายในและภายนอกประเทศเข้ามาลงทุนทางอุตสาหกรรม เกษตรอุตสาหกรรม สถานที่ประกอบธุรกิจย่านการค้า ซุปเปอร์มาเก็ต และแหล่งที่อยู่อาศัยที่เป็นคอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร แหล่งรื่นรมย์บริการต่าง ๆ ในรูปของ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่มีผลทำให้เกิดการเวนคืนที่ดินไล่รื้อชุมชนบ้านเมืองแต่เดิมในสังคมเกษตรกรรม ทำให้คนในท้องถิ่นที่อยู่กันอย่างเป็นชุมชนมาช้านานต้องบ้านแตกสาแหรกขาด โยกย้ายถิ่นฐานไปเป็นแรงงาน ประกอบอาชีพทำมาหากินในเมืองทั้งแหล่งอุตสาหกรรมหนักและแหล่งอุตสาหกรรมเบา ๒) การพัฒนาแหล่งเมืองประวัติศาสตร์และแหล่งประวัติศาสตร์โบราณคดีให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวจนเกิดตัณหาความอยากของคนในท้องถิ่น อยากทำให้เป็น “แหล่งมรดกโลก” กันอย่างแพร่หลาย กระแสการพัฒนาบ้านเมืองเก่าให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวนี้ดูรุนแรงกว่าการพัฒนาในเรื่องอื่น ๆ ขณะนี้ ทำให้ผู้คนชาวบ้านชาวเมืองที่อยู่กันอย่างเป็นชุมชนมาแต่เดิมได้รับความเดือดร้อน โดยที่ทางรัฐและผู้มีอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ หาเคยสำเหนียกไม่ เป็นการพัฒนาเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเห็นคนและความเป็นมนุษย์ของคนที่เป็นไพร่บ้านพลเมืองอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติ บ้านเรือนริมคลองเมือง คลองโอ่งอ่าง-บางลำพู ที่ยังพบว่าเป็นชุมชนชานพระนครแห่งสุดท้ายของกรุงเทพฯ กรุงเทพมหานคร - ธนบุรี และบ้านเมืองริมสองฝั่งน้ำเจ้าพระยาและลำคลองใหญ่น้อยที่เป็นบริวาร ของบ้านเมือง พื้นที่และผู้คนที่เป็นเป้าหมายของการพัฒนาจากข้างบนโดยอำนาจรัฐและอำนาจทุน โดยเฉพาะภายในเกาะเมืองกรุงเทพฯ ที่เป็นราชธานีมีคูน้ำที่เป็นคลองเมืองและกำแพงเมืองล้อมรอบ ได้รับการคุกคามเรื่อยมาแต่ครั้งรัฐบาลประชาธิปไตยเผด็จการรัฐสภาของพรรคการเมืองหนึ่ง เสนอให้มีการพัฒนาถนนราชดำเนินให้เป็นแบบถนนชองเอลิเซ่ของฝรั่งเศสที่จะทำให้เกิดการรื้อไล่บ้านเรือนราษฎรและร้านค้าทั้งสองฝั่งถนนให้เป็นแบบใหม่เพื่อการท่องเที่ยว ตามไปด้วยการที่จะขุดไชรอบกำแพงเมืองและถนนรอบเมืองให้เป็นเส้นทางรถไฟฟ้าใต้ดิน รวมทั้งการทำรถไฟฟ้าผ่าเมืองไปยังฝั่งธนบุรี แต่ที่รุนแรงก็คือการทำทางรถไฟฟ้าและสถานีผ่านบ้านไชน่าทาวน์ตามแนวถนนเยาวราช ราชวงศ์ไปข้ามฝั่งน้ำเจ้าพระยาในเขตคลองสานฝั่งธนบุรี ที่จะมีผลให้เกิดย่าน ศูนย์การค้า การท่องเที่ยวและสถานที่ใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาแทนที่บ้านช่องที่คนกรุงเทพฯ ย่านไชน่าทาวน์ เช่น เวิ้งนครเขษมเป็นต้น ต้องมีอันบ้านแตกมาถึงทุกวันนี้ ในยุครัฐบาล คสช . ( คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ) ที่ข้าพเจ้าเห็นว่าดีกว่ารัฐบาลประชาธิปไตยของนักธุรกิจการเมืองที่แล้วมา การคุกคามไล่รื้อชุมชนบ้านเมืองของคนกรุงเทพฯ ก็หาได้ลดราไปไม่ ทำนองตรงข้ามกลับมากมายและซับซ้อนกว่าแต่เดิม เพราะมีหน่วยงานของทางรัฐไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพมหานคร กรมศิลปากร องค์กรอิสระ เช่น สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พระคลังข้างที่ ราชพัสดุ กลุ่มทุน และกลุ่มนักวิชาการไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรมผังเมืองจากหลายมหาวิทยาลัย สร้างโครงการต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงกรุงเทพมหานครและบริเวณโดยรอบในลักษณะคล้ายกันกับการสร้างใหม่ [Renovation] ด้วยเหตุผลนานาประการ โดยอ้างเหตุผลความชอบธรรมจากหลักฐานทางกฎหมายบ้าง การอ้างการดำริเห็นชอบจากผู้นำรัฐบาลและบุคคลสำคัญในคณะ คสช. ด้วยการออกข่าวทางสื่อหลาย ๆ ทาง การดำเนินการตามโครงการเหล่านี้ทั้งออกหน้าและเบื้องหลัง ถ้าสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีแล้ว คนไทยทั้งประเทศคงได้แลเห็นความเป็นบ้านเมืองเก่าแก่ของกรุงเทพมหานคร สภาพแวดล้อม และทิวทัศน์ทางวัฒนธรรมสองฝั่งน้ำเจ้าพระยาของกรุงรัตนโกสินทร์ในส่วนรวมกลายเป็น “นิวกรุงเทพฯ” และ “นิวรัตนโกสินทร์” อย่างแน่นอน และที่เลวร้ายอย่างสุด ๆ ก็คือการถูกขับไล่ออกไปของคนกรุงเทพฯ คนเก่าสองฝั่งน้ำเจ้าพระยา และตามลำคลองหลายแหล่ที่เคยเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของชุมชนบ้านเมืองมากว่าสามร้อยปี ในความคิดเห็นของข้าพเจ้า การดำเนินการตามโครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานของรัฐ องค์กรอิสระ กลุ่มทุน และกลุ่มนักวิชาการผังเมืองและประวัติศาสตร์ที่จะบันดาลให้เกิด “นิวกรุงเทพฯ” และ “นิวรัตนโกสินทร์” นี้ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบธรรม เพราะแลไม่เห็นคนกรุงเทพฯ คนรัตนโกสินทร์ที่อยู่กันอย่างเป็นชุมชนบ้านเมืองมาไม่ต่ำกว่า ๓๐๐ ปี ถ้าหากสำเร็จเป็นประสิทธิผลจะกลายเป็นตราบาปของประเทศชาติในเรื่องมนุษยธรรม เหตุที่การพัฒนาเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองแต่ละครั้งนับแต่อดีตมายังเป็นเช่นนี้ล้วนเป็นการพัฒนาและการดำเนินการที่แลไม่เห็นความเป็นมนุษย์และผู้คนในพื้นที่ และก็เพราะการให้การศึกษาทางประวัติศาสตร์บ้านเมืองที่มีมาแต่อดีตจนปัจจุบันเป็นประวัติศาสตร์ของบ้านเมืองในเรื่องสถานที่ เศรษฐกิจ การเมืองและศิลปวัฒนธรรม ดังเห็นได้จากการอ้างเหตุผลหรือความคิดของนักวิชาการโดยเฉพาะพวกสถาปัตยกรรมที่มีแต่โครงสร้าง รูปแบบ และวัตถุที่ดูสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาดหมดจดเหมือนกันกับการสร้างบ้านเมืองเนรมิต โดยหามีมิติของความสกปรกไม่เรียบร้อยของบ้านเรือนและชุมชนที่คนทั่วไปหลายระดับชั้นอยู่ไม่ ตัวอย่างที่เป็นอุทาหรณ์ได้ในเรื่องนี้ก็คือ เรื่อง “ชุมชนป้อมมหากาฬ” และชุมชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ซึ่งทางกรุงเทพมหานครกำลังดำเนินการอย่างเด็ดขาดในการไล่รื้อให้หมดไป โดยอ้างอำนาจความถูกต้องตามกฎหมายที่ล้วนสร้างขึ้นมาหลังการเกิดของชุมชนเป็นร้อยปี ในการศึกษาของข้าพเจ้าเรื่องผังเมืองกรุงเทพฯ เมื่อแรกสร้างในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น กรุงเทพฯ มีลักษณะเป็นเกาะเมืองเหมือนพระนครศรีอยุธยา คือเป็นเมืองที่มีแม่น้ำลำคลองล้อมรอบ ใช้แม่น้ำลำคลองเป็นเส้นทางคมนาคมและการใช้น้ำในการอุปโภคบริโภค มีลำน้ำเจ้าพระยาเป็นคูเมืองด้านตะวันตก ทางด้านตะวันออกเป็นคูขุดให้เรือเดินเข้าออกได้ ซึ่งข้าพเจ้าเรียกว่า “คลองเมือง” เพราะใหญ่กว่าการเป็นคูน้ำธรรมดา การมีลำน้ำล้อมรอบที่ใช้ประโยชน์ในการคมนาคมขนส่ง ทำให้ทั้งกรุงศรีอยุธยาและกรุงเทพฯ มีพื้นที่ว่างริมตลิ่งเป็นที่เรือแพมาจอดเทียบได้ เป็นที่มีผู้คนพลเมืองมาตั้งเรือนแพและบ้านเสาสูงอยู่อาศัย พื้นที่ล่างระหว่างริมตลิ่งน้ำและกำแพงเมืองดังกล่าวนี้เรียก “ชานกำแพงพระนคร” เป็นเช่นเดียวกันกับเมืองอยุธยาและเมืองใหญ่ ๆ อื่น ๆ ในสมัยอยุธยา จากชานกำแพงมาถึงกำแพงเมืองที่มีทั้งประตูใหญ่ตามทิศสำคัญและประตูช่องกุดที่มีถึง ๑๖ ประตู เพื่อให้คนในเมืองผ่านออกไปลงเรือขึ้นเรือริมฝั่งน้ำได้สะดวกโดยไม่ต้องรอใช้การเข้าออกทางประตูใหญ่ ก่อนการรื้อกำแพงเมืองพระนครเลียบคลองเมืองด้านตะวันออกนี้ ภายในเมืองเป็นที่ตั้งของวัดและวังของเจ้านายที่ทรงกรมมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๔-๕ บรรดาเจ้านายเหล่านี้ออกจากวังมาที่ลำคลองเมืองเพื่อการเดินทางโดยประตูใหญ่และประตูช่องกุดกันทุกวัง และมีบรรดาข้าราชบริพารและประชาชนมาสร้างที่อยู่อาศัยเป็นชุมชนเรียงรายอยู่ตามชานกำแพงเมืองที่มีทางเดินจากประตูเมืองและประตูช่องกุดตัดผ่านไปลงลำน้ำ ชุมชนตามชานกำแพงเหล่านี้จึงมีทั้งบุคคลที่เป็นข้าราชบริพาร ขุนนาง ของพวกเจ้านายและประชาชนจากที่ต่าง ๆ ที่มาตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัย ชุมชนเหล่านี้จึงเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ เป็นต้นมา แต่ดูเป็นปึกแผ่นที่แลเห็นความสัมพันธ์ทางสังคมและวัฒนธรรมระหว่างกันมาแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว อันเป็นสมัยเวลาที่มีการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ภูเขาทองขึ้น ณ วัดสระเกศ ยิ่งกว่านั้นบริเวณชานกำแพงเมืองตรงป้อมมหากาฬเป็นท่าจอดเรือสำหรับเจ้านายและคนภายในกำแพงเมืองผ่านประตูช่องกุดมาขึ้นเรือจากคลองเมืองไปคลองมหานาค ที่ผ่านวัดสระเกศไปทางตะวันออก ผ่านคลองเมืองผดุงกรุงเกษมที่ขุดครั้งรัชกาลที่ ๔ ออกไปติดต่อกับชุมชนตามสองฝั่งคลอง ผ่านปทุมวันไป ไปผสานกับคลองแสนแสบ ชุมชนป้อมมหากาฬเป็นชุมชนที่อยู่ต่อกันอย่างสืบเนื่องมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ ดังเห็นได้จากความสัมพันธ์ทางสังคมของคนรุ่นแรก ผ่านครอบครัวและตระกูลในรุ่นลูกหลานลงมาอย่างสืบเนื่อง ความเป็นปึกแผ่นแลเห็นได้ชัดจากบรรดาบ้านเรือนที่เป็นไม้ทั้งชั้นเดียวและสองชั้นที่มีทั้งบ้านไทยแบบเดิมหลังคาทรงหน้าจั่ว และเรือนรุ่นหลังหลังคาทรงปั้นหยาและบังกะโลตามลำดับ ทุกครัวเรือนอยู่กันอย่างมีพื้นที่ มีถนนติดต่อถึงกันด้วยการเป็นตรอก นับเป็นชุมชนชาวตรอกที่สะท้อนให้เห็นความเป็นชุมชนแบบเดิมได้เป็นอย่างดี ภายในบริเวณชุมชนมีศาลเจ้าพ่อป้อมพระกาฬ อันเป็นแหล่งพิธีกรรมในเรื่องความเชื่อของคนในชุมชน สิ่งที่โดดเด่นของการเป็นชุมชนคนกรุงเทพฯ ที่เก่าแก่ของเมืองกรุงเทพมหานครก็คือ การที่ยังรักษาต้นไม้ใหญ่ ๆ แต่เดิมนานาชนิดที่คนสมัยก่อนนิยมปลูกไว้ได้ดีกว่าพื้นที่ทุกแห่งภายในพระนครในทุกวันนี้ โดยย่อก็คือเป็นพื้นที่สีเขียวธรรมชาติที่ดีกว่าการจัดสวน การจัดสภาพแวดล้อมเป็นสวนของนักวิชาการผังเมืองที่ดีแต่อวดอ้างกันอยู่ในขณะนี้ ในการศึกษาของข้าพเจ้าเห็นว่าชุมชนป้อมมหากาฬคือชุมชนที่แท้จริงของคนกรุงเทพฯ ที่ควรแก่การอนุรักษ์ให้เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่มีชีวิต เพื่อให้ทั้งคนไทยและคนต่างประเทศที่เป็นนักท่องเที่ยวได้มาเห็นและได้เรียนรู้ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่คุณค่าความสำคัญของป้อมมหากาฬในลักษณะที่เป็นหลักฐานป้อมปราการกำแพงเมืองประตูช่องกุดและชานกำแพงที่ยังเหลืออยู่อย่างสมบูรณ์ที่สัมพันธ์กับชุมชนคนกรุงเทพฯ ที่ดีที่สุดกว่าแห่งอื่น ๆ ของเมืองกรุงเทพฯ ในขณะนี้ หน่วยราชการที่มีหน้าที่ดูแลและอนุรักษ์หาได้เข้าใจไม่ ทำนองตรงข้ามกลับพยายามเปลี่ยนแปลงรื้อถอนแล้วทำสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมาแทน หน่วยงานราชการที่ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ กรมศิลปากร กรุงเทพมหานคร และคณะกรรมการกรุงรัตนโกสินทร์ฯ ความบกพร่องของกรมศิลปากรอยู่ที่ความคับแคบในการขึ้นทะเบียนโบราณสถานที่เน้นเฉพาะตำแหน่งของโบราณสถานแต่เพียงอย่างเดียว ไม่คำนึงถึงพื้นที่สภาพแวดล้อมทางศิลปวัฒนธรรมที่สัมพันธ์กับตัวโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียน นั่นคือขึ้นทะเบียนแต่กำแพงเมืองและป้อมมหากาฬ โดยไม่คำนึงถึงว่าป้อมกำแพงเมือง ประตูช่องกุดล้วนสัมพันธ์กับพื้นที่ชานกำแพงเมืองที่มีผู้คนสร้างที่อยู่อาศัยเป็นชุมชนมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ และปล่อยให้ทางกรุงเทพมหานครมีสิทธิเป็นเจ้าของจะไปใช้ทำอะไรก็ได้ ความบกพร่องนี้เป็นเช่นเดียวกันกับการขึ้นทะเบียนกำแพงเมืองและประตูเมืองพระนครที่เหลืออยู่แห่งเดียวที่หน้าวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณคดีที่สำคัญเช่นเดียวกับป้อมมหากาฬและป้อมพระอาทิตย์ การขึ้นทะเบียนรักษาแต่เพียงประตูเมืองและกำแพงเมืองโดยไม่คำนึงถึงพื้นที่ชานกำแพงจากประตูเมืองไปยังฝั่งคลองเมือง (คลองบางลำพู) ทำให้ชานกำแพงตกเป็นของเอกชน แต่พื้นที่ชานกำแพงตรงประตูเมืองแห่งนี้เผอิญไม่มีชุมชนอาศัยอยู่แต่ก่อน มีเพียงโรงเลื่อยโรงไม้ที่ขนถ่ายสิ่งของจากลำคลองเท่านั้น จึงนำไปสร้างอาคารที่พักอาศัยและสถานที่ประกอบการค้าเป็นตึกขนาดใหญ่หลายชั้นคลุมพื้นที่ชานกำแพงเมืองอันเป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ บดบังประตูเมืองและกำแพงเมืองที่เป็นทางลงสู่ลำคลองเมืองจนเป็นทัศนอุจาดไป หน่วยงานอันดับสองที่มีความบกพร่องไม่ด้อยไปกว่ากรมศิลปากรก็คือ คณะกรรมการกรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า ที่ประกอบด้วยนักวิชาการสถาปัตยกรรมผังเมือง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกรมศิลปากรที่ส่วนใหญ่เกษียณราชการ เป็นผู้มีความรู้และเชี่ยวชาญทางโบราณคดี เป็นอาทิ ผู้ที่เป็นกรรมการที่รับผิดชอบเหล่านี้ไม่เคยสำเหนียกแม้แต่น้อยในเรื่องการมีอยู่ของชานกำแพงเมืองและไม่เคยนำเอามาพิจารณา เช่น ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของผังเมืองกรุงเทพมหานคร แต่ที่สำคัญอย่างสุด ๆ ก็คือ คณะกรรมการกรุงรัตนโกสินทร์ฯ เหล่านี้คิดว่า ผังเมืองและความเป็นเมืองของกรุงเทพมหานครนั้นมีแต่สิ่งที่เป็นพื้นที่และสถานที่ทางประวัติศาสตร์เท่านั้น หาได้คิดหรือไม่ว่ากรุงเทพมหานครก็เป็นเมืองที่มีมนุษย์อยู่ และรัชกาลที่ ๑ ไม่ได้ทรงสร้างเมืองให้เป็นเมืองเทพเมืองสวรรค์ที่ไม่มีคนอยู่ แต่ข้อบกพร่องในการพัฒนาบ้านเมืองทางประวัติศาสตร์ใด ๆ ในขณะนี้ก็คงไม่ต้องตกอยู่กับคณะกรรมการฯ ชุดนี้แต่เพียงฝ่ายเดียว หากยังรวมไปถึงนักประวัติศาสตร์และวงการประวัติศาสตร์ของบ้านเมือง ที่เวลาศึกษาประวัติศาสตร์ใด ๆ ก็ตาม มักเป็นประวัติศาสตร์การเมือง เศรษฐกิจ โบราณคดีและศิลปวัฒนธรรมไม่หมด ไม่มีพื้นที่ว่างกับประวัติศาสตร์ทางสังคมที่เป็นเรื่องของผู้คนในชุมชนและชีวิตวัฒนธรรมแต่อย่างใด โดยย่อก็คือขาดมิติทางสังคมที่เป็นเรื่องของคนในชุมชนและชีวิตวัฒนธรรมนั่นเอง บาปของการไม่มีมิติทางสังคมและชุมชนนี้จึงไปตกอยู่กับบรรดาหน่วยงานและองค์กรที่ต้องการพัฒนาบ้านเมือง โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครที่จะต้องรับผิดชอบเป็นอันดับสามในที่นี้ กรุงเทพมหานครไม่มีความรู้ความเข้าใจในพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ เช่น ชานกำแพงพระนครและการมีอยู่ของชุมชนประวัติศาสตร์อย่างเช่น ชุมชนป้อมมหากาฬในขณะนี้ จึงเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการไล่รื้อขึ้น สภาพบ้านเรือนส่วนหนึ่งที่ยินยอมให้รื้อถอนออกไปรั้ว ในความทรงจำของข้าพเจ้าเรื่องเกี่ยวกับป้อมมหากาฬนี้มีมานาน ครั้งแรกก็มีนายทุนทำภัตตาคารอาหาร เสนอขอเช่าใช้ป้อมมหากาฬให้เป็นสถานที่ขายอาหารและมีการแสดงมหรสพ แต่ถูกคัดค้านเลยยุติไป ต่อมาในสมัยที่นายสมัคร สุนทรเวช เป็นผู้ว่ากรุงเทพมหานครก็เริ่มด้วยโครงการเวนคืนที่ดินและให้ชุมชนออกไปเพื่อเอาพื้นที่ให้เป็นสถานที่ออกกำลัง เต้นแอโรบิคของคนเมือง จึงเกิดการขัดแย้งขึ้น แต่ก็สามารถชักนำให้คนส่วนใหญ่ในชุมชนยอมให้เวนคืนที่อยู่อาศัยและรับเงินค่าชดใช้ไปอยู่ในที่ใหม่ทางถนนฉลองกรุง แถบเขตลาดกระบังที่ทางกรุงเทพมหานครจัดหาไว้ แต่ก็อยู่ไม่ได้ก็เลยกลับมาที่ป้อมมหากาฬแบบเดิม ซึ่งทางกรุงเทพมหานครไม่ยินยอมและดำเนินการจัดการในการไล่ที่ต่อมาอย่างสืบเนื่องด้วยกระบวนการทางกฎหมาย และอ้างว่าสภาพของพื้นที่อยู่อาศัยในขณะนี้ไม่มีความเป็นชุมชน มีคนนอกจากที่อื่นที่ไม่มีสิทธิ์ในที่ดินและที่อยู่เข้ามาอยู่เป็นส่วนมาก การกระทำของกรุงเทพมหานครได้รับการขานรับจากบรรดาหน่วยงานทางกฎหมายและคนบางส่วนบางกลุ่มของสังคม โดยเฉพาะสื่อมวลชน นักวิชาการผู้ออกแบบสถาปัตยกรรมและผังเมืองที่มีส่วนได้เสียในการออกแบบสิ่งก่อสร้างใหม่ ๆ ของกรุงเทพมหานคร แต่บรรดานักวิชาการในหลาย ๆ สถาบันและคนกรุงเทพฯ ทั่วไปรวมทั้งข้าพเจ้าด้วยไม่เห็นด้วยกับการกระทำของกรุงเทพมหานครที่ไม่ชอบธรรมมาโดยตลอด กรุงเทพมหานครและหน่วยงานราชการทางกฎหมายและผู้สนับสนุนไม่เข้าใจคำว่า “ชุมชนและความเป็นชุมชน” จึงทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ตั้งแต่เริ่มเวนคืนที่ดินและชดใช้ค่าเสียหาย เพราะผิดกติกาในการรื้อย้ายชุมชน ในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยทั้งหลายที่เป็นอารยะนั้น การโยกย้ายชุมชนไม่ใช่การให้เงินชดใช้ค่าเสียหายเป็นรายทั่วไปในลักษณะปัจเจก เช่นให้ไปอยู่ตามลำพังแต่อย่างเดียวในพื้นที่ซึ่งไม่อาจเป็นชุมชนได้ จำเป็นต้องหาพื้นที่จัดโครงสร้างให้เป็นชุมชนใหม่ขึ้นมาทดแทน แล้วติดตามดูการตั้งถิ่นฐานใหม่ของคนที่ย้ายมาจากชุมชนเก่าจนกระทั่งความเป็นอยู่ที่เป็นชุมชนจะเกิดขึ้นมาคล้าย ๆ กันกับชุมชนเดิมก่อนที่จะย้ายมา แต่กรุงเทพมหานครไม่ทำในสิ่งที่เป็นกติกาแบบนี้ คนที่ย้ายออกไปจึงกลับเข้ามาอยู่ในชุมชนเดิมและรวมตัวกันอย่างมีสำนึกร่วมที่แสดงให้เห็นว่าชุมชนป้อมมหากาฬยังมีตัวตนอยู่ หาได้เป็นไปตามที่กรุงเทพมหานครกล่าวไม่ สิ่งที่ดูเป็นตลกร้ายในส่วนตัวข้าพเจ้าก็คือ กรุงเทพมหานครยังดื้อแพ่งอย่างสม่ำเสมอว่า “คนที่อยู่ที่ป้อมมหากาฬในทุกวันนี้ไม่เป็นชุมชน” เพราะมีคนขายที่ออกไปอยู่ที่อื่นและมีคนใหม่เข้ามา ผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจถึงความเป็นชุมชนนั้นย่อมทราบดีว่า ความเป็นชุมชนไม่ได้อยู่ที่เพียงคนเก่าออกไปอยู่ที่อื่นคนใหม่มาแทน หากความเป็นชุมชนอยู่ที่คนที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันมาหลายชั่วคน อย่างเช่นกลุ่มก้อนที่มีความสัมพันธ์ทางสังคมเป็นครอบครัว เครือญาติและเหล่าตระกูลที่มีสำนึกร่วมในพื้นที่บ้านเกิดเดียวกันมาหลายชั่วคน และอยู่กินกันอย่างมีแบบแผน ประเพณีวัฒนธรรมร่วมกันอย่างสืบเนื่อง การมีคนย้ายออกย้ายเข้านั้นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะคนที่ยังอยู่อย่างสืบเนื่องทางวัฒนธรรมนั้นสามารถบูรณาการให้คนใหม่คนนอกที่เข้ามาใหม่ให้เป็นคนป้อมมหากาฬ หรือคนในชุมชนป้อมมหากาฬอันเดียวกันได้ ท้ายสุดการที่กรุงเทพมหานครยังยืนยันความถูกต้องทางกฎหมายนั้น คือไม่ถูกต้อง เพราะชุมชนป้อมมหากาฬมีตัวตนอยู่เรื่อยมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ ก่อนการออกกฎหมายต่าง ๆ ที่กรุงเทพมหานครอ้างมาใช้นั้นทั้งสิ้น ซึ่งในสายตาของคนที่เป็นวิญญูชนทั่วไป กรุงเทพมหานครกำลังใช้อำนาจรัฐอย่างไม่ชอบธรรมแก่ผู้คนในชุมชนเก่าแก่ของกรุงเทพมหานคร การต่อสู้คัดค้านการขับไล่ชุมชนของคนป้อมมหากาฬครั้งนี้ คือ “ การแสดงประชาขัดขืน ” [Civil disobedience] อย่างแท้จริง และเมื่อกรุงเทพมหานครใช้อำนาจความถูกต้องตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด ความรุนแรงอาจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะจะนำไปสู่การไล่รื้อขับไล่ชุมชนคนกรุงเทพฯ ในย่านต่าง ๆ ทั่วทั้งพระนคร โดยกรุงเทพมหานครและองค์กรอื่น ๆ รวมทั้งการหวังผลประโยชน์ของกลุ่มทุนที่มีบรรดานักวิชาการทั้งด้านกฎหมาย ด้านผังเมือง ด้านเศรษฐกิจการท่องเที่ยวรวมอยู่ด้วย ดังเช่นโครงการขนาดใหญ่ที่ถ้าสำเร็จก็คือการทำลายทั้งชุมชนคนกรุงเทพฯ และภูมิวัฒนธรรมบ้านเมืองสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาของฝั่งพระนครและธนบุรี โครงการมหาวิบัติดังกล่าวนี้มีโครงการพัฒนาสร้างถนนขนาบน้ำสองฝั่งน้ำเจ้าพระยาที่นอกจากจะทำให้แม่น้ำเจ้าพระยามีสภาพเป็นคลองชลประทานขนาดใหญ่ขนาบด้วยเขื่อนคั่นถนนสองฝั่งน้ำที่ต้องไล่รื้อชุมชนที่เป็นบ้าน เป็นบาง มีวัดวาอารามเป็นศูนย์กลาง จนความเป็นกรุงเทพมหานครเมืองสองฝั่งน้ำที่มีแม่น้ำและลำคลองเป็นเส้นชีวิตให้หมดไป แล้วมีการสร้างบ้านเมืองแบบใหม่ ๆ ที่ไม่มีชุมชน ไม่มีมนุษย์ที่มีหัวนอนปลายเท้าจากที่ต่าง ๆ จากภายนอกทั้งในเมืองไทยและต่างชาติเข้ามาสิงสู่แทน เมื่อนั้นเราคงได้เห็น “นิวกรุงเทพฯ นิวรัตนโกสินทร์” เป็นแน่แท้ แต่สำหรับข้าพเจ้าผู้เป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิดและตระกูล การพัฒนาบ้านเมืองแบบที่เป็นอยู่นี้คือ “It’s the doom of Bangkok” -- (การลงทัณฑ์แก่เมืองกรุงเทพฯ) อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงใช้แผนที่อย่างหนอน

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ต.ค. 2559 บารมีคืออำนาจที่เกิดจากการกระทำดีที่แล้วเสร็จ เป็นผลให้ผู้รับเกิดความเลื่อมใสและเคารพรัก เป็นอำนาจที่มาจากเบื้องล่าง ขณะที่อำนาจจากเบื้องสูงคืออำนาจตามกฎหมาย หรือกติกา เป็นอำนาจของรัฐที่เป็นพระเดช แต่อำนาจบารมีเป็นอำนาจทางพระคุณ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ กับแผนที่ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ จึงไม่ทรงมีอำนาจในการจัดการบ้านเมืองใด ๆ เพราะเป็นอำนาจของทางรัฐบาลที่ทำให้พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะผู้นำทางสัญลักษณ์ที่ไม่ต้องทรงทำอะไรก็ได้ แต่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ เพราะทรงเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมของความรัก เมตตากรุณาต่อประชาชนที่มีความทุกข์ยาก หลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์ได้ทรงตระเวนไปทั่วทุกแห่งของบ้านเมือง ได้ทรงพบเห็นสภาพความล้าหลังของประเทศ และความยากจนเหลื่อมล้ำของผู้คนในสังคมที่บอกว่าเป็นประชาธิปไตยที่ได้คืนอำนาจในการปกครองและบริหารประเทศมาจากพระมหากษัตริย์ รัฐบาลประชาธิปไตยตั้งแต่สมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประชาธิปไตยแบบทุนนิยมตามแบบฝรั่งเศส อังกฤษ และอเมริกา ซึ่งเป็นรัฐบาลที่มองโลกจากคนชั้นกลางที่อยู่ดี กินดี มีเงินใช้ มีที่อยู่อาศัยอย่างเป็นบ้านเมืองที่มีตึกรามบ้านช่อง ถนนหนทางและเครื่องอำนวยความสะดวกแบบตะวันตกที่ต้องใช้ทุนเงินในการสร้างสรรค์ขึ้นมา หาได้สำเหนียกถึงความสุขและความทุกข์ยากของคนชั้นล่างที่เป็นชาวนาและกรรมกรแรงงานไม่ จึงเป็นรัฐบาลที่มองแต่เพียงการยกระดับบ้านเมืองใหม่ มีสภาพอยู่ดีกินดีตามมาตรฐานทางะตะวันตก ที่หัวใจในการพัฒนาประเทศอยู่ที่การมีเงินเป็นหัวใจ “ งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข ” ความทุกข์และความสุขของประชาชนจึงเป็นเรื่องทางเศรษฐกิจที่ใช้เงินเป็นตัวกำหนดที่จะทำให้แลเห็นความจนและความรวย ตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นต้นมา มีแผนพัฒนาบ้านเมืองอย่างสืบเนื่องและมั่นคงที่มีมาจากความเชื่อแบบอเมริกันครอบงำว่า ความยากจนเหลื่อมล้ำนั้นมาจากลัทธิคอมมิวนิสต์ที่กำลังคุกคามสวัสดิภาพของประชาชนทั่วไปในประเทศ การทำสงครามกับคอมมิวนิสต์นั้นคือ การป้องกันความมั่นคงของบ้านเมืองที่ต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรม [Industrialization] และการยกระดับความเป็นเมือง [Urbanization] ให้มากกว่าการเป็นชนบท โดยเฉพาะการพัฒนาทางเศรษฐกิจนั้นก็เพื่อให้มีการผลิตที่ทำให้คนมีรายได้กับหัวเพิ่มขึ้น [GDP] จึงทำให้ในทุกวันนี้การเพิ่ม GDP จึงเป็นสิ่งที่แสดงถึงความสุขมวลรวมผู้คนในสังคม อันเป็นความสุขทางวัตถุโดยแท้ แต่ก็เป็นความสุขของคนชั้นกลางและนายทุนที่มีผลกระทบทางทำลายสภาพแวดล้อมธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งสังคมของคนชั้นล่างที่ยากจนและด้อยโอกาส เกิดการล่มสลายของครอบครัวและความเป็นมนุษย์ ซึ่งคนที่เป็นวิญญูชนอาจแลเห็นและสำเหนียกได้ในทุกวันนี้ ในขณะที่รัฐแทบทุกยุคทุกสมัยแม้ปัจจุบันก็ยังพัฒนาบ้านเมืองด้วยอำนาจและเงินที่มีสิทธิตามกฎหมายในด้านเศรษฐกิจที่ไม่เห็นทุกข์สุขที่แท้จริงของประชาชน ตามแบบตามตำราและทฤษฎีที่มาจากตะวันตก ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงพัฒนาบ้านเมืองในส่วนพระองค์ด้วยเป้าหมายที่แตกต่างไป คือไม่ทรงมองที่เศรษฐกิจที่จะนำทางไปสู่การมีเงินทองในทางเพิ่มพูน GDP แต่ทรงมองที่คนชั้นล่างที่ด้อยโอกาส และอยู่ในสภาพของความยากจน โดยย่อก็คือมองที่ตนเป็นตัวตั้งและความยากจนด้อยโอกาสก็ไม่ใช่ความยากจนที่เกิดจากการขาดแคลนในเรื่องเงินทอง แต่เป็นความยากจนขาดแคลนในสภาวะที่ไม่มีความสุขกายและใจในการดำรงชีวิต สภาพความยากจนดังกล่าวนี้ทรงพบเห็นจากการที่ได้เสด็จตระเวนไปยังท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักรที่เป็นผลให้มีประชาชนเพรียกร้องไม่ให้พระองค์ทอดทิ้งประชาชน สืบเนื่องจากประสบการณ์ดังกล่าว ได้ทำให้พระองค์ได้บำเพ็ญพระกรณียกิจในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ เพื่อช่วยให้ประชาชนผู้ด้อยโอกาสพ้นจากความยากจนและอยู่ดีกินดีทั้งกายและใจในรูปแบบที่เรียกว่า ความสุขมวลรวมมวลรวมประชาชาติ GNH [Gross National Happiness] ที่ไม่ใช่ผลผลิตมวลรวมประชาชาติ GDP [Gross domestic product] พระราชกรณียกิจในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจทรงทำตลอดพระชนม์ชีพแทบจะไม่ทรงมีเวลาในส่วนพระองค์ตราบจนเสด็จดับขัณฑ์นี้ คือพระบารมีที่มาจากอำนาจของความรักและความเมตตาต่อประชาราษฎร์ของพระองค์ ทรงใช้ทุนทรัพย์และพระสติปัญญาและเวลาในส่วนพระองค์เป็นพื้นฐานโดยมีคนเป็นเป้าหมายไม่ใช่เงินที่ทำให้เกิด GDP ผลของพระราชกรณียกิจในการช่วยเหลือและดูแลทุกข์สุขของคนคือประชาชนทั้งประเทศดังกล่าวนี้ คือพระบารมีที่แผ่ไพศาลที่เห็นกันอย่างแจ่มชัดในทุกวันนี้ จากภาพบันทึกพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจที่สื่อทั้งหลาย ทั้งของรัฐและเอกชนนำมาปะติดปะต่อให้เห็นเป็นภาพรวมทั้งหมดที่ปรากฏทุกวันหลังวันสวรรคต ซึ่งข้าพเจ้าได้นำมาเขียนวิเคราะห์เชิงมนุษยวิทยาไว้ ณ ที่นี้ การพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่มีมิติทางสังคมที่ผ่านมาโดยเน้นรายได้ทางเศรษฐกิจด้วยปรัชญาแบบ “งานคือเงิน เงินคืองานบันดาลสุข” เพื่อให้เกิดรายได้ต่อหัวที่เรียกว่า GDP คือสิ่งที่ทำลายชีวิตวัฒนธรรมของผู้คนในชุมชนท้องถิ่นที่เคยอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว เครือญาติ เหล่าตระกูล และชุมชนที่สัมพันธ์กับการจัดการทรัพยากรทั้งดิน น้ำ และพืชพันธุ์ สิ่งที่มีชีวิตในนิเวศวัฒนธรรมที่เคยมีอยู่ร่วมกันอย่างมีดุลยภาพ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบล่มสลาย และผลที่ตามมาก็คือความทุกข์ยากของประชาชนทั่วไปในระดับล่าง ทำให้สังคมไทยทั่วประเทศอยู่ในสภาพความเหลื่อมล้ำในชีวิตความเป็นอยู่ระหว่างคนรวยและคนจนที่ส่วนใหญ่อยู่ในภาวะยากจน หิวโหยและเดือดร้อน แต่การพัฒนาตามแนวคิดและแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น ทรงพัฒนาจากข้างล่างจากคนในท้องถิ่นที่ประสบความเดือดร้อนให้มาเชื่อมโยงกับการพัฒนาจากข้างบนหรือจากข้างนอก เพื่อให้เกิดดุลยภาพระหว่างกัน ทรงมุ่งให้คนในที่อยู่รวมกันเป็นชุมชนมีชีวิตอยู่รวมกันในท้องถิ่น เป็นการพัฒนาที่มีมิติทางสังคม และเป็นพัฒนาเศรษฐกิจซึ่งอยู่ในบริบททางสังคมและสภาพแวดล้อมที่เป็นนิเวศวัฒนธรรม ในความคิดเชิงมานุษยวิทยาที่ข้าพเจ้าได้เล่าเรียนมา คือการพัฒนาแบบองค์รวมทั้งโลกธาตุที่แลเห็นทุกธาตุส่วนที่เป็นองค์ประกอบของโลก มี ๖ ธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ และวิญญาณธาตุ ที่หมายถึงสิ่งที่มีชีวิต อันได้แก่คน สัตว์ ต้นไม้ เป็นต้น การมีชีวิตรอดอยู่ของสิ่งที่มีชีวิตโดยเฉพาะมนุษย์ที่เป็นสัตว์สังคมจะดำรงอยู่ได้นั้น ทุกสิ่งที่เป็นธาตุต่าง ๆ ทั้ง ๖ ธาตุนี้จะต้องสัมพันธ์กันอย่างได้ดุลยภาพ แต่การจะพัฒนาได้นั้นจะทำไม่ได้ผลดี โดยการพัฒนาจากข้างบนหรือจากภายนอกที่ทำตามตำรา แม่บท และแนวคิดทฤษฎี แต่ต้องเป็นเรื่องของการลงไปศึกษาเก็บข้อมูลกันในพื้นที่หรือท้องถิ่นที่มีชุมชนมนุษย์อยู่ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องทรงทรมานพระวรกายตรากตรำลงไปศึกษาเก็บข้อมูลข้อเท็จจริงด้วยพระองค์ตามท้องถิ่นที่ประชาชนประสบความเดือดร้อน แล้วนำมาวิเคราะห์ตีความเพื่อกำหนดเป็นแนวคิด แนวทางและวิธีการแก้ไขเพื่อการขจัดทุกข์ยากและความเดือดร้อนของประชาชน ถ้าธาตุใดที่เป็นสาเหตุไม่ว่าจะเป็นดินน้ำลมไฟ อากาศ มนุษย์ สัตว์และต้นไม้ หรือสิ่งที่มีชีวิตอื่นๆ ก็จะทรงพยายามแก้ไขให้ เพราะฉะนั้นเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมจากข้างล่าง หรือจากคนในชุมชน ในท้องถิ่นตามที่กล่าวมานี้ พระองค์ต้องทรงริเริ่มและทำทุกอย่างด้วยพระองค์เอง ด้วยทุนทางสติปัญญาและทุนทรัพย์ในส่วนพระองค์ โดยไม่คาดหวังจากความร่วมมือจากทางรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาจากข้างบนและจากข้างนอก ซึ่งเป็นสิ่งที่ทรงพระราชดำริว่า “ ต้องระเบิดจากข้างในก่อน ” และการเข้าถึงด้วยแนวทาง “ เข้าใจ เข้าถึงและพัฒนา ” ในเรื่องนี้ทรงละไว้ให้เข้าใจกันเองว่าการเข้าถึงคือถึงอะไร ซึ่งในแนวปฏิบัติของพระองค์ก็คือ “เข้าถึงคน” แต่ไม่ใช่เป็นคนในฐานะปัจเจก หากเป็นคนที่อยู่ร่วมกันในครอบครัวเป็นตระกูล หมู่เหล่าที่แม้จะหลากหลายทางชาติพันธุ์ ภาษา และศาสนา แต่อยู่กันอย่างเป็นชุมชนในพื้นที่หรือท้องถิ่นเดียวกัน แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ พระองค์เองได้แสดงการเข้าถึงอย่างไร เป็นตัวอย่างด้วยการเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาทลงไปยังท้องถิ่นเป้าหมายด้วยแผนที่แผ่นทาง สมุดบันทึก และกล้องถ่ายรูปออกไปเก็บข้อมูล ที่เห็นได้จากการสังเกตการณ์ได้ยินได้ฟังจากการสังสรรค์กับผู้คนในท้องถิ่นอย่างเป็นกันเองอย่างคนธรรมดาที่ไม่แสดงอาการเหลื่อมล้ำในลักษณะต่ำสูง ที่ทำให้ผู้คนเกิดความไว้วางใจเคารพรัก และให้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงน่าเชื่อถือได้ อันที่จริงในการใช้แผนที่แผ่นทางในการเป็นเครื่องมือเก็บข้อมูลดังกล่าวนี้ ก็มีนักวิชาการ นักพัฒนาทำกันอย่างกว้างขวาง แต่มีความแตกต่างกันกันอย่างสิ้นเชิงในการปฏิบัติ คนทั่วไปส่วนใหญ่ใช้แผนที่แผ่นทางในลักษณะแบบนก [Bird eyes view] คือกางแผนที่แล้ววางแผน หรือถ้าหากจะต้องลงพื้นที่ก็ทำอย่างเคร่า ๆ แบบขี่ม้าเลียบค่ายเลียบเมืองอะไรทำนองนั้น แต่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นทรงทำแบบหนอน [Worm eyes view] ที่ทรงดำเนินด้วยพระบาทเข้าไปในพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ยากลำบากและทุรกันดารอย่างไรเพื่อเข้าไปให้เห็นคน เห็นสัตว์กันได้ และสิ่งที่มีชีวิตที่สัมพันธ์กับดินน้ำลมและอากาศที่มีระดับสูงต่ำ และระดับอุณหภูมิที่เป็นจริง จึงทำให้ได้ทรงเข้าถึงเข้าใจในปัญหาของความเดือดร้อนที่จะต้องนำไปวางแผนแก้ไขในการพัฒนา ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นจากการดำเนินการแก้ไขในเรื่องการจัดการน้ำทั้งเพื่อการเกษตรกรรม การป้องกันน้ำท่วม ฝนแล้งและการส่งเสริมพืชพันธุ์ต่าง ๆ รวมทั้งการสนับสนุนเลือกเฟ้น เน้นใช้และประดิษฐ์เทคโนโลยีเหมาะสมให้แก่คนในชุมชนที่จะต้องพัฒนา ความต่างกันในแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจสังคมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นการพัฒนาจากข้างในกับการพัฒนาจากข้างนอก โดยทางรัฐและเอกชนทั่วไปก็คือ การพัฒนาที่ทำให้คนช่วยตัวเองและทำเองในลักษณะการเป็นพี่เลี้ยง แนะนำแนวคิดแนวทางและวิธีการที่เป็นไปได้ รวมทั้งการช่วยเหลือลงทุนค่าใช้จ่ายบ้างในด้านการลงทุนทางเทคนิคโดยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ และการทรงคิดประดิษฐ์เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เหมาะสม โดยเสด็จพระราชดำเนินไปทรงแนะนำให้ความรู้ด้วยพระองค์เองตามท้องถิ่นต่างๆ พระราชทานแนวคิดและแนวทางตลอดมา วิธีการดังกล่าวนี้เรียกว่า การสร้างพลังทางสติปัญญาและความรู้ให้แก่ผู้คนให้สามารถพัฒนาด้วยตนเอง ดังในภาษาอังกฤษเรียกว่า Empowerment การเสด็จฯ ลงไปถึงผู้คนที่จะต้องพัฒนาในท้องถิ่นด้วยพระองค์เองก็คือ การเข้าถึง เข้าใจ ในความต้องการของความรู้กับศักยภาพ ความรู้ และสติปัญญาได้อย่างเด่นชัด อีกทั้งได้ทรงเข้าถึงในเรื่องโลกทัศน์และค่านิยมของผู้คนที่เป็นเหยื่อของวัตถุนิยมที่แพร่หลายจากชนชั้นปกครอง ชนชั้นกลางในโลกของทุนนิยมเสรีแบบทางตะวันตก ได้ทำให้ต้องทรงพระราชทานแนวคิดและปรัชญาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงขึ้นเพื่อให้เป็นรากฐานในการดำรงชีวิตอย่างพอเพียงและมีคุณภาพ ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน โดยความเข้าใจของข้าพเจ้าคือ ปรัชญาของความพอเพียงในชีวิตของปัจเจกบุคคลที่มีทั้งความพอเพียงในทางวัตถุที่ได้ดุลยภาพกับความพอเพียงทางจิตใจอันเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ ซึ่งในภาษาอังกฤษเรียกว่า Self sufficiency เพราะความพอเพียงของแต่ละบุคคลนั้นไม่เท่ากัน เป็นความพอเพียงตามอัตภาพของแต่ละบุคคล อันนี้เป็นพื้นฐานที่จะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงในระดับส่วนรวมหรือในระดับชุมชน เพราะมนุษย์คือสัตว์สังคมต้องอยู่รวมกันจึงจะมีชีวิตรอด การพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงจึงเป็นการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชนร่วมกันที่ทำให้เกิดความพอเพียงและยั่งยืน หรือเรียกว่า Sustainable economy หรือ Sustainable development คือพอเพียงและยั่งยืนของคนในชุมชนร่วมกัน อีกสิ่งหนึ่งในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันมุ่งการพัฒนาจากข้างในที่แตกต่างไปจากการพัฒนาจากข้างบนหรือจากข้างนอกของคนในโลกวัตถุนิยมแบบตะวันตกก็คือ “การพัฒนาจิตใจในมิติทางจิตวิญญาณ” เป็นเรื่องของความเชื่อศาสนาและประเพณีพิธีกรรม ซึ่งแสดงออกให้เห็นจากการสร้างวัด สร้างโรงเรียนที่พระองค์ได้พระราชทานทุนทรัพย์ และเสด็จฯ ไปพบปะประชาชนและร่วมในประเพณีพิธีกรรมควบคู่กันไป เสด็จฯ ไปนมัสการบรรดาพระอริยสงฆ์และแสดงพระองค์เองเป็นพุทธมามกะ ในเรื่องสมาธิและวิปัสสนา และทั้งหมดนี้ แลเห็นจากการให้ความสำคัญกับโครงสร้างความเป็นชุมชนในสมัยใหม่ คือ บ้าน วัดและโรงเรียนที่เรียกกันย่อ ๆ ว่า “บวร” ที่ต้องทำให้เกิดขึ้นได้ด้วยการเชื่อมโยงบูรณาการให้สัมพันธ์กับการมีชีวิตรวมกันของคนในชุมชนด้วยการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจในการพัฒนาสังคมเศรษฐกิจด้วยการตรากตรำพระวรกายออกไปพบปะประชาชนที่เดือดร้อนในทุกแห่งหนของประเทศ และทรงคิดโครงการช่วยเหลือต่างๆ เป็นจำนวนมากเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ประชาราษฎรด้วยพระสติปัญญาและทุนทรัพย์ส่วนพระองค์นั้น ได้เกิดบารมีที่ทำให้ทางรัฐและเอกชนขานรับโครงการพระราชดำริ เพื่อการพัฒนาให้เข้าถึงประชาชนรวมกว่า ๔,๕๐๐ โครงการตลอดเวลา ๗๐ ปี ที่ครองราชย์ เกิดหน่วยงานที่เป็นองค์การรองรับเป็นจำนวนมาก โดยพระองค์ทรงเฝ้าดูแลติดตามอยู่ตลอดเวลา บรรดาโครงการใหญ่ ๆ ที่พระองค์ทรงริเริ่มและได้ดำเนินการให้เป็นผลดีแก่ประชาราษฎร์ ที่สำคัญคือ การพัฒนาดิน น้ำ ลม และอากาศ เช่นการเปลี่ยนแปลงพื้นที่แห้งแล้ง ดินเค็ม ดินเปรี้ยวขาดน้ำให้กลับฟื้นขึ้นมาเป็นป่าเขาที่หลากหลายด้วยชีวภาพเป็นไร่ เป็นนา เป็นเรือกสวนแหล่งประมงน้ำจืดและน้ำเค็มที่สามารถเพาะเลี้ยงพันธุ์ปลา สัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย และพืชพันธุ์ที่มีทั้งเป็นของในท้องถิ่นตามธรรมชาติและนำเข้ามาจากต่างประเทศภายนอก โดยเฉพาะพืชและไม้ผลฤดูหนาวที่นำมาให้คนบนที่สูง เช่นทางภาคเหนือที่เป็นเผ่าพันธุ์อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน และปลูกฝิ่นเป็นอาจินต์ ผลสัมฤทธิ์ก็คือ คนต่างชาติพันธุ์เหล่านั้นกลายเป็นคนไทยที่มีอาชีพทำมาหากินอย่างสุจริต ณ ที่ใดที่ประชาชนทุกข์ร้อนในประเทศจะทรงดั้นด้นไปทรงดูแลช่วยเหลือและฟื้นฟูให้มีชีวิตที่ดี มีสุขภาพและสวัสดิภาพ สิ่งที่ทำให้พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ไม่เหมือนใครในโลกก็คือ “พระราชวังที่ประทับหาได้มีความโอ่อ่าตระการตาไม่ หากกลายเป็นที่อยู่อาศัยของผู้บำเพ็ญกรณีธรรมดา” ที่เต็มไปด้วยพื้นที่ทดลองพันธุ์พืช ต้นไม้และปศุสัตว์ รวมทั้งโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์สิ่งของจากการเกษตรปลอดสารและปลอดภัยออกมาจำหน่ายอย่างมีมาตรฐานในด้านความปลอดภัยและคุณภาพ ในสุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าใคร่จบด้วยเรื่องของการใช้แผนที่แบบหนอนเพื่อเป็นเครื่องมือในการพัฒนาที่ “เข้าถึงคน เข้าใจ และพัฒนา” นั้น จะมีผลต่อไปในอนาคต จะเกิดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นอนุสรณ์แห่งการเสด็จไปของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ในแทบทุกท้องถิ่น และบางแห่งก็จะกลายเป็นศาลของเทพารักษ์ที่จะให้การดูแลปกป้องภัยและเป็นที่พึ่งของคนในชุมชนท้องถิ่น ดังเช่นศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน และสมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรือ ของผู้นำวัฒนธรรม [Culture hero] อื่น ๆ ที่จะเป็นที่ประกอบประเพณีพิธีกรรมในรอบปีของแต่ละท้องถิ่นต่อไป อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • ในหลวงรัชกาลที่ ๙ กับการพัฒนาจาก “ข้างใน”

    เผยแพร่ครั้งแรก 10 เม.ย. 2560 การพัฒนาเศรษฐกิจสังคมตามแผนพัฒนาแต่ละยุคแต่ละสมัยของรัฐที่ผ่านมา นับแต่สมัยต้น พ.ศ. ๒๕๐๐ ที่นับเนื่องกว่าครึ่งศตวรรษแล้วนั้น เป็นการพัฒนาที่มักประกาศเสมอว่า เป็นการพัฒนาแบบวางแผน [Planned change] ที่ประชาชนมีส่วนร่วม แต่โดยการปฏิบัติและการกระทำ เป็นการพัฒนาจากบนลงล่าง [Top down] แบบบังคับให้เปลี่ยนแปลง [Forced change] ในทำนองเดียวกับประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ และเป็นการพัฒนาทางเศรษฐกิจล้วน ๆ แม้ว่ามีคำว่า “สังคม” พ่วงท้ายอยู่ก็ตาม เป็นการพัฒนาตามตำรา แนวคิด ทฤษฎีที่ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศมหาอำนาจในระบบทุนนิยมเสรี ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากการจัดองค์กรการดำเนินการเป็นสภา ทบวง กรม กองต่าง ๆ ที่บุคลากรได้รับการอบรมมาจากตะวันตก รวมทั้งกระบวนการในการดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ จนถึงการประเมินผล การพัฒนาคือการเปลี่ยนแปลงที่เป็นการปะทะสังสรรค์กันของคนสองกลุ่ม กลุ่มที่จะไปเปลี่ยนแปลงนับเป็นคนจากข้างนอก คือ จากข้างบนในระดับการกำหนดวัตถุประสงค์ การวางนโยบายและยุทธศาสตร์ให้กับข้าราชการผู้ออกไปปฏิบัติตามหน้าที่ของกรม กอง หรือหน่วยงานที่ทางรัฐจัดตั้ง เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตทางเศรษฐกิจ คนอีกกลุ่มที่อยู่ข้างล่างคือประชาชนและผู้คนในชุมชนท้องถิ่นที่เรียกกันว่า “คนใน” การพัฒนาของรัฐบาลแบบนี้แทบไม่แลเห็น “คนใน” ที่เป็นเป้าหมายแท้จริงในการพัฒนาเลย แม้ว่าจะมีการอ้างการมีส่วนร่วมของคนในท้องถิ่นก็ตาม แต่เป็นการนำเข้ามาเกี่ยวข้องโดยไม่ให้อำนาจในการตัดสินใจ [Decision making] โดยย่อก็คือการพัฒนาโดย “คนนอก” ที่จะไปเปลี่ยนแปลงโดยไม่แลเห็นคนใน เพื่อการยกระดับชีวิตวัฒนธรรมให้อยู่ดีกินดี และมีความสุขทั้งด้านกายและใจ การพัฒนาที่มุ่งแต่เนื้อหาทางเศรษฐกิจเพื่อการมีเงิน มีรายได้เป็นสำคัญนั้น สะท้อนให้เห็นจากนโยบายการเศรษฐกิจเพื่อการส่งออก เพื่อทำให้เกิดรายได้ประชาชาติต่อหัว [GDP] ที่ทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมกันดำเนินการมาจนทุกวันนี้ เป็นการพัฒนามิติทางเศรษฐกิจที่มีคำว่า “สังคม” เป็นคำประดับให้สวยงาม เมื่อไม่สนใจในมิติทางสังคมที่หมายถึงชีวิตวัฒนธรรมของคนในชุมชนท้องถิ่นซึ่งเคยอยู่กันมาช้านาน แต่สมัยสังคมเกษตรกรรมแบบชาวนา [Peasant society] และสังคมเกษตรกรรมแบบกสิกร [Farmer] ที่มีการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนผ่านมาโดยธรรมชาติ สังคมชาวนาคือสังคมของคนในท้องถิ่นที่มีชีวิตร่วมกันในชุมชนแบบที่มีมาแต่ดั้งเดิมนับพันปี เป็นสังคมที่คนอยู่กันด้วยความสัมพันธ์ทางครอบครัว เหล่าตระกูลและเครือญาติของคนในหลายชาติพันธุ์ ต่างศาสนาและที่มาทางประวัติศาสตร์ ซึ่งพากันมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ต่างใช้ทรัพยากรร่วมกันในการอยู่อาศัยและทำกินอย่างมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ดูแลทุกข์สุขกันเพื่อการมีชีวิตรอดร่วมกันของมนุษย์ ในฐานะที่เป็นสัตว์สังคม ไม่ใช่สัตว์เดี่ยว เช่น สัตว์เดรัจฉานที่เป็นปัจเจก ทั้งหมดนี้คือการมีชีวิตร่วมกันในชุมชน เป็นชีวิตวัฒนธรรมแบบพอเพียง [Self contain] การพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่มีมิติทางสังคมที่ผ่านมา เน้นรายได้ทางเศรษฐกิจด้วยปรัชญาแบบ “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข” เพื่อให้เกิดรายได้ต่อหัวที่เรียกว่า GDP คือสิ่งที่ทำลายชีวิตวัฒนธรรมของผู้คนในชุมชนท้องถิ่นที่เคยอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว เครือญาติ เหล่าตระกูลและชุมชน ที่สัมพันธ์กับการจัดการทรัพยากรทั้งดิน น้ำ และพืชพรรณ สิ่งมีชีวิตในนิเวศวัฒนธรรมที่เคยมีอยู่ร่วมกันอย่างมีดุลยภาพ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบล่มสลาย และผลที่ตามมาก็คือความทุกข์ยากของประชาชนทั่วไปในระดับล่าง ทำให้สังคมไทยอยู่ในสภาพความเหลื่อมล้ำในชีวิตความเป็นอยู่ระหว่างคนรวยกับคนจน ที่ส่วนใหญ่อยู่ในภาวะยากจน หิวโหยและเดือดร้อน แต่การพัฒนาตามแนวคิดและแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ นั้น ทรงพัฒนาจากข้างล่าง จากคนในท้องถิ่นที่ประสบความเดือดร้อนให้มาเชื่อมโยงกับการพัฒนาจากข้างบนหรือจากข้างนอก เพื่อให้เกิดดุลยภาพระหว่างกัน ทรงมุ่งที่คนในซึ่งอยู่รวมกันเป็นชุมชนในท้องถิ่น เป็นการพัฒนาที่มีมิติทางสังคม และเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจที่อยู่ในบริบททางสังคมและสภาพแวดล้อมที่เป็นนิเวศวัฒนธรรม ในความคิดเชิงมานุษยวิทยาที่ข้าพเจ้าได้เล่าเรียนมา คือ การพัฒนาแบบองค์รวมทั้งโลกธาตุ ที่แลเห็นทุกธาตุส่วนที่เป็นองค์ประกอบของโลก มี ๖ ธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ และวิญญาณ ธาตุที่หมายถึงสิ่งที่มีชีวิต อันได้แก่ คน สัตว์ ต้นไม้ ฯลฯ การมีชีวิตรอดของสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะมนุษย์ที่เป็นสัตว์สังคมจะดำรงอยู่ได้นั้น ทุกสิ่งที่เป็นธาตุต่าง ๆ ทั้ง ๖ ธาตุนี้จะต้องสัมพันธ์กันอย่างมีดุลยภาพ แต่การจะพัฒนาได้นั้น จะทำไม่ได้ผลดีโดยการพัฒนาจากข้างบน หรือจากภายนอกที่ทำตามตำราแม่บทและแนวคิดทฤษฎี แต่ต้องเป็นเรื่องของการลงไปศึกษาเก็บข้อมูลกันในพื้นที่ หรือท้องถิ่นที่มีชุมชนมนุษย์อยู่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ต้องทรงตรากตรำพระวรกายในการศึกษาเก็บข้อมูล ข้อเท็จจริง ด้วยพระองค์ ในท้องถิ่นที่ประชาชนประสบความเดือดร้อน แล้วนำมาวิเคราะห์เพื่อกำหนดเป็นแนวคิด แนวทาง และวิธีการแก้ไข เพื่อขจัดทุกข์ยากและความเดือดร้อนของประชาชน ถ้าธาตุใดที่เป็นสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ หรือมนุษย์ สัตว์ ต้นไม้ และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ก็จะทรงพยายามแก้ไขให้ เพราะฉะนั้นเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมจากข้างล่าง หรือจากคนในชุมชนในท้องถิ่นตามที่กล่าวมา พระองค์ต้องทรงริเริ่มและทำทุกอย่างด้วยพระองค์เอง ด้วยทุนทางพระสติปัญญาและพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ โดยไม่คาดหวังความร่วมมือจากทางรัฐบาล ซึ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาจากข้างบนและข้างนอก ซึ่งเป็นสิ่งที่ทรงมีพระราชดำรัสว่า “ต้องระเบิดจากข้างในก่อน” และการเข้าถึงด้วยแนวทาง เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา ในเรื่องนี้ทรงละไว้ให้เข้าใจกันเองว่า การเข้าถึงคือถึงอะไร ซึ่งในแนวปฏิบัติของพระองค์ก็คือ เข้าถึงคน แต่ไม่ใช่เป็นคนในฐานะปัจเจก หากเป็นคนที่อยู่ร่วมกันในครอบครัว เป็นตระกูล หมู่เหล่า ที่แม้จะหลากหลายทางชาติพันธุ์ ภาษา และศาสนา แต่อยู่กันอย่างเป็นชุมชนในพื้นที่หรือท้องถิ่นเดียวกัน ที่สำคัญที่สุดก็คือพระองค์ได้แสดงการเข้าถึงอย่างไร เป็นตัวอย่าง ด้วยการเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาทลงไปยังท้องถิ่นเป้าหมาย ด้วยแผนที่ สมุดบันทึก และกล้องถ่ายรูปออกไปเก็บข้อมูล ที่เห็นได้จากการสังเกต ได้ยินได้ฟังจากการสังสรรค์กับผู้คนในท้องถิ่นอย่างเป็นกันเอง อย่างคนธรรมดาที่ไม่แสดงอาการเหลื่อมล้ำในลักษณะต่ำสูง ทำให้ผู้คนเกิดความไว้วางใจ เคารพรักและให้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงน่าเชื่อถือได้ อันที่จริงในการใช้แผนที่ในการเป็นเครื่องมือเก็บข้อมูลดังกล่าว ก็มีนักวิชาการและนักพัฒนาทำกันอย่างกว้างขวาง แต่มีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงในการปฏิบัติ คนทั่วไปส่วนใหญ่ใช้แผนที่ในลักษณะแบบนก [Bird eyes view] คือกางแผนที่แล้ววางแผน หรือถ้าหากจะต้องลงพื้นที่ก็ทำอย่างคร่าว ๆ แบบขี่ม้าเลียบค่ายเลียบเมืองอะไรทำนองนั้น แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงใช้แบบหนอน [Worm eyes view] โดยเสด็จพระราชดำเนินเข้าไปในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ทุรกันดารอย่างไร เพื่อเข้าไปให้เห็นผู้คนและสิ่งมีชีวิตที่สัมพันธ์กับดิน น้ำ ลม และอากาศ ที่มีระดับสูงต่ำและระดับอุณหภูมิที่เป็นจริง จึงทรงเข้าถึงและเข้าใจในปัญหาของความเดือดร้อนที่จะต้องนำไปวางแผนแก้ไขในการพัฒนา ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นจากการดำเนินการแก้ไขในเรื่องการจัดการน้ำ ทั้งเพื่อการเกษตรกรรม การป้องกันน้ำท่วม ฝนแล้ง และการส่งเสริมพืชพรรณต่าง ๆ รวมทั้งการสนับสนุน เลือกเฟ้น เน้นใช้ และประดิษฐ์เทคโนโลยีที่เหมาะสมให้แก่คนในชุมชนที่จะต้องพัฒนา ความต่างกันในแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจสังคมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ซึ่งเป็นการพัฒนาจากข้างใน กับการพัฒนาจากข้างนอกโดยรัฐและเอกชนก็คือ การพัฒนาที่ทำให้คนช่วยตัวเองและทำเอง ในลักษณะการเป็นพี่เลี้ยง แนะนำแนวคิด แนวทาง และวิธีการที่เป็นไปได้ รวมทั้งการช่วยเหลือลงทุนทางเทคนิคและค่าใช้จ่ายบ้าง โดยใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ตลอดจนทรงคิดประดิษฐ์เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เหมาะสม โดยเสด็จไปแนะนำให้ความรู้ด้วยพระองค์เองตามท้องถิ่นต่าง ๆ แนวคิดและแนวทาง ตลอดจนวิธีการดังกล่าวเรียกว่า การสร้างพลังทางสติปัญญาและความรู้ให้แก่ผู้คน ให้สามารถพัฒนาด้วยตนเอง ดังที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Empowerment การเสด็จลงไปถึงผู้คนที่จะต้องพัฒนาในท้องถิ่นด้วยพระองค์เอง ก็คือการเข้าถึงและเข้าใจในความต้องการของคน รู้ถึงศักยภาพ ความรู้และสติปัญญา และความขัดข้องได้อย่างแจ่มชัด อีกทั้งได้ทรงเข้าถึงในเรื่องโลกทัศน์และคำนิยมของผู้คนที่เป็นเหยื่อของวัตถุนิยมที่แพร่หลายจากชนชั้นปกครอง ชนชั้นกลาง ในโลกของทุนนิยมเสรีแบบทางตะวันตก ทำให้ต้องทรงพระราชทานแนวคิดและปรัชญาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงขึ้น เพื่อให้เป็นรากฐานในการดำรงชีวิตอย่างพอเพียงและมีคุณภาพ ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน โดยความเข้าใจของข้าพเจ้าคือ ปรัชญาของความพอเพียงในชีวิตของปัจเจกบุคคล ซึ่งมีทั้งความพอเพียงในทางวัตถุที่ได้ดุลยภาพ กับความพอเพียงทางจิตใจ อันเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ ซึ่งในภาษาอังกฤษเรียกว่า Self-sufficiency เพราะความพอเพียงของแต่ละบุคคลนั้นไม่เท่ากัน เป็นความพอเพียงตามอัตภาพของแต่ละบุคคล อันนี้เป็นพื้นฐานที่จะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงในระดับส่วนรวมหรือในระดับชุมชน เพราะมนุษย์คือสัตว์สังคม ต้องอยู่ร่วมกัน จึงจะมีชีวิตรอด การพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงจึงเป็นการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชนร่วมกัน ที่ทำให้เกิดความพอเพียงและยั่งยืน หรือเรียกว่า sustainable economy หรือ sustainable development คือ พอเพียงและยั่งยืนของคนในชุมชนร่วมกัน และตัวอย่างที่เป็นเลิศในความพอเพียงก็อาจแลเห็นได้จากวิถีทางในการดำรงพระชนม์ชีพของพระองค์จากสื่อวิดีโอและภาพยนตร์ อีกสิ่งหนึ่งในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ที่มุ่งการพัฒนาจากข้างใน แตกต่างไปจากการพัฒนาจากข้างบนหรือจากข้างนอกของคนในโลกวัตถุนิยมแบบตะวันตก ก็คือการพัฒนาทางศีลธรรม จริยธรรม ในมิติทางจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นเรื่องของความเชื่อ ศาสนา ประเพณีและพิธีกรรม ที่แสดงออกให้เห็นจากการสร้างวัด สร้างโรงเรียนที่พระองค์ทรงพระราชทานทุนทรัพย์ เสด็จไปเยี่ยมประชาชนและร่วมในประเพณีพิธีกรรมควบคู่กันไป ตลอดจนเสด็จนมัสการพระอริยสงฆ์และแสดงพระองค์เป็นพุทธมามกะในเรื่องสมาธิและวิปัสสนา ทั้งหมดนี้แลเห็นจากการให้ความสำคัญกับโครงสร้างความเป็นชุมชนสมัยใหม่ คือ บ้าน วัด และโรงเรียน ที่เรียกกันย่อ ๆ ว่า “บวร” ที่ต้องทำให้เกิดขึ้นได้ด้วยการเชื่อมโยง บูรณาการให้สัมพันธ์กับการมีชีวิตร่วมกันของคนในชุมชน ด้วยการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจในการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ เสด็จเยี่ยมประชาชนที่เดือดร้อนทุกแห่งหนของประเทศ เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎรด้วยพระสติปัญญาและพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์นั้น ส่งผลให้ทางรัฐและเอกชนขานรับโครงการพระราชดำริ เพื่อการพัฒนาให้เข้าถึงประชาชนกว่า ๔,๕๐๐ โครงการ ตลอดระยะเวลา ๗๐ ปีที่ทรงครองราชย์ เกิดหน่วยงานที่เป็นองค์การรองรับมากมาย โดยทรงเฝ้าดูและทรงติดตามตลอดเวลา บรรดาโครงการใหญ่ ๆ ที่ทรงริเริ่มและได้ดำเนินการให้เป็นผลดีแก่ประชาราษฎร์ ที่สำคัญคือการพัฒนาดิน น้ำ ลม และอากาศ เช่น การเปลี่ยนแปลงพื้นที่แห้งแล้ง ดินเค็ม ขาดน้ำ ให้กลับฟื้นขึ้นมาเป็นป่าเขาที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นไร่ เป็นนา เป็นเรือกสวน แหล่งประมงน้ำจืดและน้ำเค็มที่สามารถเพาะเลี้ยงพันธุ์ปลา สัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย และพันธุ์พืชที่มีทั้งในท้องถิ่นตามธรรมชาติและนำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะพืชและไม้ผลฤดูหนาวที่นำมาให้คนบนที่สูงทางภาคเหนือ ซึ่งเป็นชนเผ่าที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานและปลูกฝิ่นเป็นอาจิณ ผลสัมฤทธิ์ก็คือคนต่างชาติพันธุ์เหล่านั้น กลายเป็นคนไทยที่มีอาชีพและทำมาหากินอย่างสุจริต ณ พื้นที่ใดที่ประชาชนทุกข์ร้อน จะเสด็จพระราชดำเนินไปช่วยเหลือและฟื้นฟูให้มีชีวิตที่ดี มีสุขภาพและสวัสดิภาพ สิ่งที่ทำให้พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ไม่เหมือนใครในโลกก็คือ พระราชวังอันเป็นที่ประทับหาได้มีความโอ่อ่าตระการตาไม่ หากเป็นที่อยู่อาศัยของผู้บำเพ็ญกรณีย์ที่เต็มไปด้วยพื้นที่ทดลองพันธุ์พืช ต้นไม้ และปศุสัตว์ รวมทั้งโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์สิ่งของจากการเกษตรปลอดสารพิษ ออกมาจำหน่ายอย่างมีมาตรฐานในด้านคุณภาพและความปลอดภัย ชพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงเป็นทั้งผู้นำและผู้ปฏิบัติ ในความคิดที่ประเทศไทยต้องเป็นสังคมเกษตรกรรมด้วยเศรษฐกิจพอเพียง จึงจะอยู่รอดในโลกที่กำลังถูกทำลาย ด้วยการเป็นสังคมอุตสาหกรรมที่มุ่งการผลิตจนเกินกำลังของดิน น้ำ อากาศ และทรัพยากรที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ ดังทรงเคยมีพระราชดำรัสว่า “ไม่จำเป็นต้องเป็นเสือ” ให้กับคนในวงการของรัฐและธุรกิจเอกชนที่มุ่งความเป็นเสือ ซึ่งเรียกกันว่า นิกส์ [NIC] อย่างเป็นแฟชั่นนิยม จนประสบความล่มจมหมดตัวเมื่อเกิดเศรษฐกิจฟองสบู่ใน พ.ศ. ๒๕๔๐ พระองค์ทรงสังเกตว่าก่อน พ.ศ. ๒๕๔๑ คนไทยพอมีพอกิน แต่หลังปี พ.ศ. ๒๕๔๑ แล้วไม่พอกินพอเพียง ซึ่งในช่วงเวลาของการพอมีพอกินนั้น ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นช่วงเวลาหลังทรงขึ้นครองราชย์ที่พระองค์เสด็จไปพัฒนาเศรษฐกิจพื้นฐานตามท้องถิ่นต่าง ๆ เพราะก่อนหน้านี้ บ้านเมืองแต่สมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองเรื่อยมาอยู่ในสภาพความเหลื่อมล้ำระหว่างชนบทกับเมือง ระหว่างชนชั้นกลางกับชนชั้นล่าง ความยากจนจึงเป็นเรื่องของการด้อยโอกาสและไม่พอมีพอกิน ในขณะที่รัฐบาลแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พัฒนาเศรษฐกิจเพื่อความร่ำรวยทางวัตถุและเงินตรา เพราะเงินคือความปรารถนาสูงสุด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงพัฒนา “คนใน” ที่เป็นรากหญ้าให้มีชีวิตที่พอมีพอกินในเรื่องอาหารและสิ่งจำเป็นในการบริโภคอุปโภค ไม่เน้นความร่ำรวยในเรื่องเงินตราและวัตถุ แต่ยุคหลังฟองสบู่ที่คนชั้นกลางซึ่งร่ำรวยเงินตราประสบความหายนะ ภาวะความยากจนอันเนื่องจากการไม่มีเงินก็ระบาดทั่วไปในบรรดาคนชั้นกลาง และเมื่อเศรษฐกิจดีขึ้นเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ ที่ทุนนิยมข้ามชาติครอบงำประเทศไทย คนรวยที่เป็นชนชั้นกลางกลับฟื้นคืนใหม่ ประเทศไทยก็เข้าสู่การเป็นสังคมอุตสาหกรรมอย่างเต็มตัว ความเจริญเติบโตเป็นบ้านเมืองทันสมัยทางวัตถุ แต่ไร้ศีลธรรมและจริยธรรมก็เข้ามาแทนที่การเกษตรกรรม ซึ่งบรรดาอุตสาหกรรมหนักและเบาทั้งหลาย ทำให้คนในสังคมเกษตรกรรมแต่เดิมไร้ที่ทำกิน ผันตัวเป็นแรงงานเข้าไปทำงานในเมืองและแหล่งนิคมอุตสาหกรรมที่แพร่หลายไปแทบทุกท้องถิ่นทั่วประเทศ ทำลายสภาพแวดล้อมธรรมชาติ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำอย่างซับซ้อน จนเกิดความขัดแย้งและความไม่พอเพียงไปทั่ว อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • การศึกษาผลกกระทบสภาพแวดล้อมทางสังคม, ESIA [Environmental Social Impact Assessment] กับการสร้างถนนขนาบน้ำเจ้าพระยา กรุงเทพ-นนทบุรี

    เผยแพร่ครั้งแรก 7 ก.ค. 2506 ในช่วงรัฐบาล คสช . ร่วมสามปีมานี้ เกิดสิ่งใหม่ที่สะดุดความคิดเป็นอย่างมากก็คือคำว่า “ ประชารัฐ ” กับ “ การสร้างถนนขนาบน้ำเจ้าพระยา กรุงเทพฯ - นนทบุรี ” อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ประชารัฐไม่เคยพบมาก่อนที่ไหนในโลก แต่ที่มีคือความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับสังคม คือ รัฐก็อยู่ด้านหนึ่ง สังคมอยู่อีกด้านหนึ่ง ไม่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างที่เรียกว่าประชารัฐ รัฐเป็นองค์กรคล้ายกันกับสมาคมที่ทำหน้าที่เพื่อความมั่นคงและอยู่รอดอย่างราบรื่นร่วมกันของคนในสังคม ถ้าหากรัฐไม่ทำหน้าที่นี้และแปลกแยกกับแตกแยกกับสังคม ในตำราทางสังคมวิทยาบอกว่า รัฐนั้นเป็นรัฐทรราชย์ คำว่าสังคมดูครอบจักรวาล เพราะคนทุกกลุ่มเหล่าไม่ว่าคนชั้นล่าง ชั้นบน ชั้นกลาง เป็นขุนนาง ข้าราชการ และพ่อค้านายทุนที่อยู่ในพื้นที่ของรัฐเดียวกันล้วนเป็นคนในสังคมเดียวกัน จึงต้องจำแนกรายละเอียดให้ชัดเจนขึ้น คือ “สังคม” ไม่ได้หมายถึงครอบครัวและชุมชน [community] ชุมชนจึงกลายเป็นตัวแทนของคนทุกหน่วยเหล่าทางชาติพันธุ์ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน มีความสัมพันธ์กัน จนมีสำนึกร่วมว่าเป็นผู้คนในพื้นที่เดียวกัน สังคมไทยในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง อันเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำลำคลอง เป็นสังคมเกษตรกรรมที่ผู้คนส่วนใหญ่ทำนาทำสวน ล้วนตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนเป็นชุมชนเรียงรายอยู่สองฝั่งแม่น้ำลำคลอง หันหน้าบ้านลงน้ำที่เป็นเส้นทางคมนาคม เพราะเดิมก่อนสมัยรัชกาลที่ ๔ ราว ๑๒๐ ปีขึ้นไป ไม่มีถนน มีแต่ทางน้ำ ต้องใช้เรือแพเป็นพาหนะ โดยโครงสร้างทางกายภาพของแหล่งที่อยู่อาศัย แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นทางน้ำสายใหญ่ เป็นเส้นทางคมนาคมหลักผ่านบริเวณที่เป็นบ้านเมืองตั้งแต่ปากแม่น้ำขึ้นไปจนถึงพระนครศรีอยุธยาอันเป็นราชธานีของสยามประเทศ สองฝั่งแม่น้ำจะมีคลองขุดแยกจากลำน้ำที่ไหลจากเหนือลงใต้ไปยังทุ่งกว้างทางตะวันตกและตะวันออก ตามสองฝั่งของลำคลองที่ขุดแยกจากแม่น้ำใหญ่ก็เป็นถิ่นฐานที่ตั้งของชุมชนบ้านและเมือง เป็นการกระจายจากฝั่งแม่น้ำไปทั้งทางฝั่งตะวันตกและตะวันออก การตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนและชุมชนจากฝั่งแม่น้ำไปตามลำคลองดังกล่าวนี้ เรียกชื่อเป็นที่รับรู้ของคนแต่โบราณว่า “บาง” คือหมายถึงการตั้งถิ่นฐานของผู้คนริมน้ำ ชุมชนหมู่บ้านเรียงรายอยู่สองฝั่งคลองตั้งแต่ตรงปากคลองที่สบกับแม่น้ำ มักจะเป็นชุมชนใหญ่ที่เรียกว่า “เมือง” มีตลาดและศาสนสถานทั้งศาสนาพุทธ มุสลิม คริสต์ และลัทธิอื่น ๆ เป็นศูนย์กลาง ผู้ใดก็ตามที่ลงเรือล่องขึ้นหรือลงตามลำแม่น้ำเจ้าพระยา จะสังเกตได้ว่าเรือที่นั่งมานั้นผ่านบรรดาคลองขุดทั้งหลายสองฝั่งแม่น้ำที่มีชื่อขึ้นต้นด้วยคำว่าบางทั้งนั้น เช่น คลองบางพูด คลองบางขวาง คลองบางกรวย คลองบางใหญ่อะไรทำนองนี้ ดังเห็นตัวอย่างจากวรรณคดีของสุนทรภู่ เช่น นิราศภูเขาทอง ที่ผ่านบรรดาชุมชนตามลำคลองที่เรียกว่าบางมากมายหลายที่เป็นระยะ ๆ ไป ตามที่พรรณนามานี้ก็เพื่ออธิบายว่า บางแต่ละบางที่เป็นลำน้ำและถิ่นที่อยู่อาศัยนั้นคือกลุ่มของชุมชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกันที่เรียกว่า “บาง” และบางก็คือท้องถิ่นอันมีชุมชนตั้งถิ่นฐานร่วมกันในลักษณะเป็นเครือข่ายที่คนมีสำนึกร่วมกันว่าเป็นพื้นที่บ้านเกิดเมืองนอนของตน เครือข่ายของชุมชนแต่ละถิ่นแต่ละบางดังกล่าวนี้ คือสิ่งที่เรียกว่า “ประชาสังคม” [Civil society] เพราะแลเห็นสังคมในลักษณะที่เป็นรูปธรรมมากกว่าคำว่าสังคมลอย ๆ เท่าที่กล่าวมานี้ก็เพื่อทำความเข้าใจว่า รัฐกับสังคมหรือประชาสังคมนั้น ไม่ได้อยู่รวมกันเป็นประชารัฐอย่างที่มีคนมโนขึ้นมาในขณะนี้ รัฐคือองค์กรที่ทำหน้าที่ในการปกครองและบริหารสังคมให้อยู่กันอย่างมีระเบียบเรียบร้อยและราบรื่น หากมีเรื่องการขัดแย้งกันเกิดขึ้นก็มีกระบวนการทางยุติธรรมและศีลธรรมขึ้นมาก็ต้องจัดการเพื่อให้เกิดความสงบสุข แต่ถ้ากระบวนการยุติธรรมนั้นไม่มีน้ำหนักพอ ประชาสังคมก็สามารถรวมตัวกันออกมาคัดค้านแสดงพลังต่อรองและขัดขืนอย่างมีสำนึกในทางศีลธรรมที่ไม่อาศัยความรุนแรงเป็นสิ่งที่เรียกว่า “ประชาขัดขืน” [Civil disobedience] ที่มีผู้ไปแปลไปเรียกว่าอารยะขัดขืนอะไรทำนองนั้น เพราะดูเหมือนจะมีความคิดจินตนาการไปเรื่องของอารยะชนกับอนารยะชนมากไปหน่อย ในความนึกคิดของข้าพเจ้าเห็นว่าคนในเมืองส่วนใหญ่ยังมีพฤติกรรมและความคิดแบบอนารยชนอยู่ โดยเฉพาะคนเมืองที่อยากจะเรียกว่าเป็นอนารยชนคนเมือง [Urban barbarian] ทีเดียว เพราะไปเอา “ ประชาชน ” มาบวกกับ “ รัฐ ” เพื่อให้เป็นหนึ่งเดียวเช่นนี้ ประชาสังคมจึงหมดไปและดูห่างไกลกับความเข้าใจของผู้มีอำนาจในรัฐเพิ่มขึ้น ในการพัฒนาสังคมให้อยู่ดีกินดีมีสันติสุข ในความคิดของข้าพเจ้าอีกเช่นกันว่า ประชารัฐนั้นดูไม่เห็นประชาชนที่เป็นคนธรรมดา เห็นเป็นเพียงแต่ผู้ถูกปกครอง ไม่มีอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจไปต่อรองอะไรกับรัฐในยามเกิดความขัดแย้งและเดือดร้อน เพราะประชารัฐคือการปกครองสมานฉันท์ของกลุ่มคนที่มีอำนาจทางการเมืองและของเศรษฐกิจเท่านั้น โดยย่อก็คือพวกขุนนาง ข้าราชการ และนายทุนซึ่งอาจจะรวมทั้งบรรดาปัญญาชนที่เป็นนักเรียนนอกที่ได้เล่าเรียนมาจากบรรดาประเทศทุนนิยมของประชาธิปไตยทางตะวันตก คนเหล่านี้คือคนที่แลเห็นว่าบ้านเมืองต้องมีการพัฒนาให้สวยงามและมั่งคั่งที่มีมาแต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๕ ลงมา ที่มีการสร้างแผนพัฒนาบ้านเมืองให้เป็นอารยะแบบตะวันตก โดยชื่อของแผนเป็นแผนทางสังคม เศรษฐกิจ แต่โดยปฏิบัติในทางสังคมไม่มี กลับมีแต่เรื่องเศรษฐกิจที่ตามมากับการเมืองและการพัฒนาก็เป็นเรื่องของความรู้สึกนึกคิด เห็นดีเห็นประโยชน์ของคนภายนอกผู้มีอำนาจเหล่านี้ไป โดยที่คนในที่อยู่รวมกันเป็นชุมชนในท้องถิ่นไม่อาจหรือกล้าที่จะเรียกร้องการเข้ามามีส่วนร่วมได้ ภาพจำลองแนวคิดการสร้างทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาในอุดมคติที่เปิดเผยต่อสาธารณะแล้วส่วนหนึ่ง การพัฒนาที่เริ่มมาแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นั้น คือการเปลี่ยนสังคมเกษตรกรรมชาวนาของประชาชนที่อยู่กันเป็นถิ่นฐานบ้านเมืองและบ้านเรือน ที่ส่วนใหญ่ตั้งหลักแหล่งอยู่สองฝั่งแม่น้ำลำคลองที่อาศัยลำน้ำเป็นเส้นทางคมนาคม บ้านเรือนเหล่านั้นรวมทั้งบรรดาวัดวาอารามทางศาสนาก็หันหน้าลงแม่น้ำลำน้ำเป็นมาชั่วนาตาปี พอมาเกิดเป็นสังคมอุตสาหกรรมตามแบบอย่างตะวันตก สังคมเกษตรกรรมก็เริ่มสลายอันเนื่องมาจากการสร้างเส้นทางถนนขึ้นมาแทน ทำให้ทิศทางของบ้านเรือนของชุมชนต่างหันหลังให้แม่น้ำ ลำน้ำแล้วเอาหน้าบ้านรับถนน แม่น้ำลำน้ำในสังคมเกษตรกรรมนั้น เป็นยิ่งกว่าเส้นทางคมนาคมเดินเรือ หากเป็นเส้นชีวิตในการใช้น้ำอุปโภคบริโภคที่ผู้คนทั้งในท้องถิ่นและนอกถิ่นต่างใช้ประโยชน์ร่วมกันและแต่ละถิ่นก็ต้องรับผิดชอบในการดูแลความสะอาดสวยงาม ต่างถิ่นต่างช่วยกันดูแลจากต้นน้ำถึงท้ายน้ำเป็นระยะ ๆ ไป ก่อให้เกิด “ทัศนทางวัฒนธรรม” [Cultural landscape] ที่หลากหลายและต่อเนื่องของชุมชนในแต่ละท้องถิ่น ที่ล้วนมีความแตกต่างทางวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ โดยเฉพาะสองฝั่งน้ำเจ้าพระยาตั้งแต่เมืองพระนครศรีอยุธยามาจนถึงกรุงเทพฯ-ธนบุรี ไปออกปากแม่น้ำที่เมืองสมุทรปราการ บริเวณสองฝั่งน้ำล้วนเป็นที่ตั้งของบ้านเมืองที่มีมาแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๙ เกิดอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพฯ-ธนบุรี พระประแดง และสมุทรปราการ ปากน้ำที่บรรดาเรือใหญ่น้อยทั้งจากโพ้นทะเลและจากท้องถิ่นต่าง ๆ ภายใน ต่างใช้เป็นเส้นทางคมนาคมขึ้นล่องเป็นประจำ จนทิวทัศน์ที่เห็นของบ้านเมืองและชีวิตวัฒนธรรมของผู้คนทั้งสองฝั่งน้ำซึมซับอยู่ในความทรงจำของผู้ที่ผ่านไปมา ที่เป็นปราชญ์เป็นกวีได้เขียนบทกวีและเรื่องราวเชิงสังวาสที่เรียกว่านิราศมาหลายยุคหลายสมัย อาทิ กำศรวลสมุทรที่ผู้รู้รุ่นเก่า ๆ เรียกว่า กำศรวลศรีปราชญ์ แต่ในสมัยรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ฯ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นนิราศเริ่มแรกของแม่น้ำเจ้าพระยาแต่รัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๒๑ ลงมา จนถึงสมัยธนบุรี กรุงเทพฯ ในพุทธศตวรรษที่ ๒๔ บรรดากวีในราชสำนักที่สำคัญ เช่น สุนทรภู่ก็ได้เขียนบรรยายภาพพจน์ของชุมชนริมแม่น้ำลำคลองสองฝั่งน้ำเจ้าพระยาได้อย่างละเอียด กล่าวถึงถิ่นฐานของแต่ละท้องถิ่นแต่ละย่านลำคลองที่มีประชาชนที่หลากหลายทางชาติพันธุ์ และชีวิตความเป็นอยู่อย่างนับได้ว่าเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์สังคมได้ชัดเจน ซึ่งกวีนิพนธ์เหล่านี้เป็นที่รับทราบและเรียนรู้ของคนรุ่นหลัง ๆ ลงมาจนปัจจุบัน มีผลตามมาทำให้เกิดการท่องเที่ยวทิวทัศน์บ้านเมืองและชุมชนทั้งสองฝั่งน้ำเจ้าพระยาจากกรุงเทพฯ ถึงนนทบุรี และอยุธยากันเรื่อยมา สิ่งที่สร้างขึ้นทางวัฒนธรรมแลสังคมทั้งสองฝั่งของแม่น้ำที่สะสมและเปลี่ยนแปลงกันเรื่อยมาตลอดเวลากว่า ๕๐๐ ปีดังกล่าวนี้ ก่อให้เกิดทิวทัศน์ของความศักดิ์สิทธิ์ [Sacred landscape] ขึ้น จนเป็นที่รับรู้ของผู้คนในท้องถิ่นและคนจากภายนอกทั้งคนไทยและคนต่างชาติว่าเป็นบ้านเมืองทางน้ำที่เก่าแก่และมีอัตลักษณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ความพยายามของรัฐบาล คสช. ที่จะก่อสร้างถนนขนาบน้ำสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาจากเมืองกรุงเทพฯ-ธนบุรี ไปจนถึงเมืองนนทบุรีนั้น ได้กลายเป็นสิ่งที่ทำให้คนเป็นจำนวนมากตื่นตระหนกและเศร้าใจว่า รัฐบาลคิดได้อย่างไร เกิดอะไรขึ้นมา เพราะหลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านมารัฐบาล คสช. เป็นเผด็จการที่ดี ได้ช่วยทำให้บ้านเมืองดีขึ้นหลาย ๆ อย่างจากความพินาศฉิบหายที่ทำโดยนักการเมืองชั่วร้ายที่อ้างการปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือเพื่อความชอบธรรมถูกกฎหมายต่าง ๆ นานา รัฐบาล คสช. กู้วิกฤติของสังคมและบ้านเมืองอย่างสอบผ่านมาโดยตลอด แต่พอมาถึงโครงการสร้างถนนขนาบน้ำดังกล่าวนี้กำลังทำให้สอบตกขนาด D- ก็ว่าได้ ก็เพราะว่าการดำเนินการดังกล่าวที่จะสร้างถนนขนาบน้ำนั้นส่งผลกระทบอย่างมหาศาลในทางลบ ภูมิวัฒนธรรมและทิวทัศน์ของความศักดิ์สิทธิ์แห่งราชธานีสยามอันเป็นเมืองของน้ำให้มลายไป แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือการทำลายบรรดาชุมชนบ้านเมืองและชีวิตวัฒนธรรมของผู้คนทั้งสองฝั่งแม่น้ำให้เกิดภาวะบ้านแตกสาแหรกขาด โดยเฉพาะการไร้ที่อยู่อาศัย จึงอยากทำความเข้าใจแก่ผู้มีส่วนได้เสียในเรื่องนี้ว่า มนุษย์นั้นหาใช่สัตว์เดรัจฉานที่เป็นปัจเจก [Individual] ที่จะไปอยู่ที่ไหน ๆ ก็ได้ เช่นอยู่กันตามคอนโดมีเนียม หรือบ้านจัดสรรกันอย่างไม่มีหัวนอนปลายตีนและร้อยพ่อพันแม่อย่างที่ทั้งทางรัฐและทางทุนจัดสรรให้แบบไม่เป็นชุมชนในขณะนี้ เพราะชุมชนหาได้สร้างหรือบันดาลได้ในพริบตาตามใจของผู้มีอำนาจทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง ชุมชนบ้านเมืองแต่ละแห่งล้วนมีพัฒนาการทางโครงสร้างสังคมและวัฒนธรรม อันเนื่องจากการอยู่ร่วมกันในท้องถิ่นเดียวกันอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า ๓ - ๔ ชั่วคนจึงเกิดขึ้นได้ และชุมชนทั้งสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาก็มีอายุเกินกว่าชั่ว ๓ - ๔ อายุคนตามที่กล่าวมา หากมีมากว่า ๕๐๐ ปีแล้ว การสร้างถนนขนาบน้ำมีผลทั้งการเปลี่ยนแปลงทิวทัศน์ของความศักดิ์สิทธิ์และการไล่รื้อชุมชนบ้านเรือนที่อยู่อาศัยรวมทั้งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางความเชื่อและศาสนาอีกมากมาย จะเกิดอันตรายอย่างแน่นอนในโลกนี้ ความพินาศทางสังคมบ้านเมืองมีสองสาเหตุใหญ่ ๆ คือ จากความอดอยากในเรื่องอาหารการกิน และกับการไร้ที่อยู่อาศัย ซึ่งล้วนจะทำให้เกิดความโกรธแค้นและความเกลียดชังที่นำไปสู่ความรุนแรงถึงฆ่าฟันกันเองภายในสังคมไทย ไม่มีภัยอันเกิดจากการอดอยากในเรื่องอาหารการกิน ปิดประเทศห้าปีคนก็อยู่ได้ แต่พวกนายทุนมีสิทธิ์ล่มจม แต่ถ้าผู้มีอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจทำให้เกิดคนไร้ชุมชนที่อยู่อาศัยแล้ว บ้านเมืองคงหนีความพินาศไม่พ้นเป็นแน่ เท่าที่ทราบมาโครงการสร้างถนนขนาบน้ำเจ้าพระยาครั้งนี้ ยังไม่มีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เรียกว่า EIA [Environmental Impact Assessment] เลย แต่เริ่มการก่อสร้างแล้วอย่างค่อนข้างเร่งรีบ ทำให้เกิดความกังวลและกังขาในการดำเนินการเป็นอย่างยิ่ง เพราะโครงการของรัฐบาลในอดีตจำต้องมีการศึกษาผลกระทบ ซึ่งดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่ก็ยังมี พอมาในสมัยหนึ่งก็มีโครงการศึกษาผลกระทบทางสุขภาพอนามัย หรือ EHIA [Environmental Health Impact Assessment] เพิ่มขึ้น เข้าใจว่าเป็นโครงการที่ริเริ่มและเกิดการเคลื่อนไหวทางฝ่ายนายแพทย์ประเวศ วะสี จึงทำให้ต้องมีการศึกษาผลกระทบทาง EHIA เพิ่มขึ้น ก็นับว่าเป็นผลดีแก่ผู้คนที่ได้รับผลกระทบอย่างหนึ่ง แต่ก็ยังไม่พอจึงมีผู้เสนอให้มีการศึกษาผลกระทบทางสังคม ESIA [Environmental Social Impact Assessment] เพิ่มขึ้น ผู้ที่ทำการเคลื่อนไหวก็คือ ดร.สุรพล สุดารา ซึ่งข้าพเจ้าก็เป็นหนึ่งที่เคยเข้าร่วมหารือกัน แต่โครงการดังกล่าวนี้เงียบไปและดูเหมือนจะถูกปฏิเสธในทางพฤตินัย เพราะอาจมีผลกระทบกับผลประโยชน์ของรัฐและทุนผู้เป็นเจ้าของโครงการ เพราะในการทำการศึกษาในเรื่องนี้หลีกเลี่ยงการเข้ามามีส่วนร่วมของผู้คนในภาคประชาสังคมผู้ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดูเหมือนทุกรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยหรือเผด็จการในประเทศไทยนี้ ไม่สนใจ ESIA แต่รัฐบาลไทยในยุคนี้กลับไม่ทำทั้ง EIA, EHIA และ ESIA ซึ่งดูหนักเข้าไปใหญ่ บ้านและเรือนแพ ธรรมชาติของการอยู่อาศัยริมแม่น้ำเจ้าพระยาในอดีตและเป็นพื้นฐานรากเหง้าของการอยู่อาศัยใช้แม่น้ำเจ้าพระยามากว่า ๕๐๐ ปี ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนแปลงในโครงการที่กำลังสร้างขึ้นในยุคปัจจุบัน การทำการศึกษาผลกระทบทางสังคมคือสิ่งเดียวเท่านั้นที่ทางรัฐและผู้เกี่ยวข้องที่เป็นเจ้าของโครงการจะเข้าถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้คนในชุมชนท้องถิ่น ผู้ที่จะต้องได้รับผลกระทบไม่ใช่สิ่งที่หลีกเลี่ยงและถูกอ้างโดยรัฐว่าได้สอบถามความคิดเห็นของคนท้องถิ่นแล้ว โครงการอ้างบรรดานักวิจัย นักวิชาการ และนักศึกษาตามมหาวิทยาลัยได้สำรวจและสอบถามความคิดเห็น สร้างภาพโน้มน้าวให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ในชุมชนเห็นพ้องด้วยกับโครงการ สิ่งเช่นนี้คือการจัดฉากเป็นประจำของรัฐที่อ้างประชาธิปไตย ESIA คือเครื่องมือต่อรองที่สำคัญในโครงการพัฒนาใด ๆ ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เป็นเครื่องมือที่จะทำให้ประชารัฐที่ประกอบไปด้วยผู้มีอำนาจทางการเมืองเศรษฐกิจของรัฐและบรรดานายทุน นักวิชาการ ข้าราชการ พบและต่อรองกับคนที่มีส่วนได้เสียที่เป็นประชาสังคม ในสุดท้ายใคร่อ้างความคิดเห็นของอาจารย์ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ผู้เป็นบุตรชายของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี ถึงความล้มเหลวของโครงการเส้นทางรถไฟฟ้าที่เรียกว่า โฮปเวล [Hope well] เมื่อหลายปีที่ผ่านมาว่า นอกจากทำไม่สำเร็จแล้ว ยังคงเหลือแต่ซากตอหม้อไว้ให้เป็นอนุสรณ์ของความโง่จนในทุกวันนี้ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • ยศพระขุนนางพ่อค้าในสังคมปัจจุบัน

    เผยแพร่ครั้งแรก 22 ก.ย. 2560 ข้าพเจ้าเคยเขียนบทความที่สะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมในความเหลื่อมล้ำทางสังคมของไทยมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อราวยี่สิบปีที่ผ่านมาคือ “ยศพระขุนนางพ่อค้า” ในสมัยรัชกาลที่ ๙ อันเป็นสังคมไทยสมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตกที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ อันเป็นกฎหมายที่มีอำนาจสูงสุดในการบริหารและปกครองประเทศ แตกต่างจากสังคมยุคก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองที่เรียกว่าสังคมศักดินา ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจสูงสุดในสังคมศักดินา ความเหลื่อมล้ำทางสังคมสะท้อนให้เห็นจากความต่างกันของระดับชั้นทางศักดินาที่เป็นยศถาบรรดาศักดิ์และราชทินนามที่ลดหลั่นกันลงมาจากพระมหากษัตริย์ เจ้านาย ขุนนาง ข้าราชการในลำดับของหมื่น ขุน หลวง พระ พระยา เจ้าพระยาและเจ้านายที่ทรงกรมในระดับต่าง ๆ ลงมาจนถึงไพร่ฟ้าประชาชนและข้าทาส ภายใต้พระราชอำนาจสูงสุดของพระมหากษัตริย์ แม้แต่สัตว์เลี้ยงที่ทำคุณประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองก็มียศถาบรรดาศักดิ์ เช่นเดียวกันกับพระสงฆ์จนมีคำพังเพยออกมาว่า “ยศช้างขุนนางพระ” แต่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ แล้ว ยศช้างหายไปเพราะช้างเปลี่ยนสถานภาพจากการเป็นขุนนางมาเป็นข้าทาสทางแรงงานแทน เช่นถูกใช้ให้ลากซุง เป็นต้น ส่วนขุนนางข้าราชการยศถาบรรดาศักดิ์แต่เดิมหมดไป แต่ความเหลื่อมล้ำในสถานภาพยังดำรงอยู่ในลำดับชั้น เช่น ชั้นตรี โท เอก และชั้นพิเศษ ซึ่งมีเครื่องแบบมีขีดขั้นเป็นเครื่องแสดงออก เช่นเดียวกันกับยศชั้นของพวกที่เป็นทหารและตำรวจ โดยมีสัญลักษณ์ของความสูงต่ำที่มาจากสังคมศักดินาที่เป็นเหรียญตราและสายสะพายแสดงออกในงานพระราชพิธีต่าง ๆ จนถึงงานศพที่มีโกศเกียรติยศประดับไว้ใกล้โลงศพ แต่ทางฝ่ายขุนนางพระไม่เปลี่ยนแม้จะไม่มีเครื่องแบบเหรียญตราและสายสะพายแสดงเกียรติภูมิ แต่ก็มีบรรดาพัดยศตามลำดับชั้นขุนนางที่ยังไม่เปลี่ยนเช่นกัน เช่น ชั้นพระครู พระธรรม พระเทพ และสมเด็จที่มีราชทินนามกำกับ ขุนนางพระเหล่านี้ตามลำดับชั้นมีหน้าที่ควบคุมดูแลวัดและพระสงฆ์ เพื่อการปฏิบัติหน้าที่และการงานในทางพระพุทธศาสนา เพื่อพุทธศาสนิกชนในสังคมทั่วราชอาณาจักร ในนามขององค์กรสงฆ์ที่รู้จักกันว่ามหาเถรสมาคม อันมีสมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด รองลงมาจากพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก สมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง องค์กรสงฆ์และขุนนางสงฆ์ไม่ค่อยมาเกี่ยวข้องกับวัดและพระสงฆ์ในเรื่องของทางโลก เช่น ทรัพย์สินที่ดินและสมบัติวัด ตามท้องถิ่นต่าง ๆ เมืองต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพราะบรรดาวัดทั้งหลายเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน วัดแต่ละวัดจะมีคณะบุคคลที่เป็นฆราวาสในท้องถิ่นเข้ามาบริหารจัดการในเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของพระและสมบัติวัดในนามของมรรคทายกแทน ขุนนางพระแต่ระดับเจ้าอาวาสก็จะไม่มาเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางโลกเหล่านี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของมรรคทายก ขุนนางพระเริ่มเข้ามามีบทบาทเกี่ยวข้องกับสมบัติวัดเมื่อมีการออกกฎหมายสงฆ์ขึ้นโดยทางรัฐบาลสมัยประชาธิปไตย ที่ทำให้ขุนนางพระในระดับเจ้าอาวาสเข้ามามีสิทธิ์ในการรับผิดชอบอย่างเต็มที่ เลยเบียดหน้าที่ของมรรคทายกชิดซ้ายไป การเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เกิดเป็นปัญหาภายในชุมชนก็เกิดขึ้น ความเป็นชุมชนท้องถิ่นแต่เดิมแต่โบราณกาลก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองที่ผู้คนยังไม่มีกรรมสิทธิ์ที่ดินนั้น วัดเกิดขึ้นจากที่ผู้คนมีอันจะกินในท้องถิ่น หรือพระมหากษัตริย์ เจ้านาย หรือขุนนาง ข้าราชการ พระราชทานที่ดินหรือวัดหาที่ดินสร้างวัด และกัลปนาผู้คนในท้องถิ่น เครื่องมือเครื่องใช้ พาหนะ เช่น วัว ควายให้กับวัด เพื่อผู้คนเหล่านั้นจะกลายเป็นข้าพระ อาศัยที่ดินของวัดสร้างที่อยู่อาศัยและทำกิน ทำงานให้แก่พระและวัด โดยมีคณะบุคคลที่เรียกว่ามรรคทายกเป็นผู้ดำเนินการ แต่เมื่อเกิดกฎหมายสงฆ์ขึ้นมา เจ้าอาวาสกลายเป็นผู้มีสิทธิในสมบัติต่าง ๆ รวมทั้งที่ดินของวัดไป จึงเกิดการขัดแย้งขึ้นบ่อย ๆ เช่นการที่เจ้าอาวาสไล่ที่อยู่อาศัยของบุคคลและครอบครัวที่อยู่ในที่ดินของวัดมาแต่แรกเริ่มให้ออกไปไร้ที่อยู่อาศัยจนถึงมีการฟ้องร้องกันขึ้น การมีสิทธิ์ในเรื่องที่ดินและสมบัติวัดดังกล่าวนี้ มีผลทำให้เกิดเป็นประเพณีและศีลธรรมขึ้นกับบรรดาขุนนางพระตั้งแต่ชั้นเจ้าอาวาสขึ้นไปที่ไล่ที่อยู่อาศัยของชาวบ้านในชุมชนเพื่อการขยายวัด สร้างสถานที่อาคารใหม่ ๆ รวมทั้งให้ที่ดินของวัดเช่าซื้อแก่บรรดาผู้ประกอบการที่เป็นนายทุนทั้งในชุมชนและนอกชุมชนเดิมการก่อสร้างใด ๆ ดังกล่าวนี้พระจะไม่เกี่ยวข้อง เพราะเป็นเรื่องของทางโลก แต่พอเปลี่ยนมาถึงสมัยนี้พระเกี่ยวข้องมากถึงขนาดเปลี่ยนผลประโยชน์ของวัดเป็นของส่วนตัว พระที่มีหน้าที่และอำนาจทางการบริหารถึงขนาดมีสมุดธนาคารส่วนตัวก็มาก นับวันพระก็ไม่เป็นพระ มีแต่ “ขุนนางพระ” และวัดก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนตั้งแต่ก่อนวัดหลายวัดเกิดขึ้นจากคนชั้นกลางที่มาจากภายนอกชุมชน จากบุคคลที่เป็นนายทุนพ่อค้าและนักการเมืองที่กลายเป็นชนชั้นศักดินาในสมัยใหม่ที่เรียกว่า “ขุนนางพ่อค้า” แต่ก่อนขุนนางพ่อค้าไม่มี เพราะชนชั้นกลางเพิ่งเกิดขึ้นแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ลงมา เมื่อมีการให้กรรมสิทธิ์ที่ดินเกิดขึ้น ก่อนหน้านี้มีเพียงพวกกระฎุมพีที่ไม่มีอาชีพทางเกษตรเป็นชาวนาหรือชาวไร่ แต่เป็นพวกค้าขายและพ่อค้าจากภายนอกที่เข้ามาสัมพันธ์กับบรรดาเจ้านาย ขุนนาง ข้าราชการเพื่อการประกอบอาชีพการงานจนเกิดมีฐานะทางเศรษฐกิจและมีหน้ามีตาทางสังคม โดยย่อส่วนใหญ่ก็หากินกับบรรดาขุนนางข้าราชการที่มีอำนาจ หลังสมัยรัชกาลที่ ๕ ลงมาจนถึงสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง คนเหล่านี้กลายเป็นกลุ่มคนที่มีที่ดิน มีกิจกรรมทางการค้าขาย มีบริษัทร้านค้า รวมทั้งกลายเป็นเจ้าของที่ดิน แต่หลังจากสัมพันธ์ทางเครือญาติกับชนชั้นปกครอง เช่น เจ้านาย ขุนนาง ข้าราชการแล้วก็กลายเป็นคนมีเหล่ามีสกุล ช่วยกิจกรรมของแผ่นดินจนได้รางวัลเหรียญตราสายสะพายและเครื่องแบบที่เรียกได้ว่าเป็นขุนนาง มีทั้งขุนนาง พ่อค้า รุ่นก่อนสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี อันเป็นยุคของประชาธิปไตยแบบเผด็จการทหาร กับขุนนางที่เป็นนายทุนใหม่หลังสมัยจอมพลสฤษดิ์ ความสำคัญของสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อย่างหนึ่งก็คือ การขับเคลื่อนเปลี่ยนแปลงให้สังคมไทยที่เป็นสังคมเกษตรกรรม เปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรมอย่างแบบตะวันตก เปิดประเทศให้มีการลงทุนจากภายนอก มีคนรุ่นใหม่ที่เป็นนักธุรกิจ พ่อค้าและนักวิชาการต่างชาติเข้ามาลงทุนและตั้งถิ่นฐาน เกิดการขยายบ้านเมือง [Urbanization] และโรงงานอุตสาหกรรม [Industrialization] และการนำมาทรัพยากรธรรมชาติที่เคยอุดมสมบูรณ์มาผลิตเป็นสินค้าส่งออกที่ทำให้นักลงทุนทั้งในประเทศและที่มาจากภายนอกเกิดความมั่งคั่งและยั่งยืนเป็นลำดับ ประชากรเพิ่มขึ้นมากกว่าแต่เดิมครั้งสังคมเกษตรกรรมถึง ๓ เท่าตัว มีทั้งผู้คนที่เป็นนายทุนข้ามชาติ และแรงงานที่เป็นชาติพันธุ์ต่าง ๆ เคลื่อนย้ายเข้ามาเป็นพลเมือง เกิดนายทุนรุ่นใหม่ ตระกูลใหม่ ๆ มากมายที่มีความมั่งคั่งเข้ามาเล่นการเมืองเพื่อประโยชน์ส่วนตัวและพรรคพวก โดยอาศัยการเป็นประชาธิปไตยแบบเสรีทุนนิยมแบบยุโรปและอเมริกา แต่โครงสร้างทางการบริหารปกครองเป็นแบบรวมศูนย์อย่างเดิมแต่สมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทำให้สังคมไทยกลายเป็นสังคมเผด็จการของกลุ่มนายทุนรุ่นใหม่ที่ลงแรงลงทุนสร้างพรรคการเมืองขึ้นมาเพื่อได้เสียงส่วนใหญ่ในรัฐบาล และมีอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองในการปกครองประเทศ สังคมไทยภายใต้เผด็จการนายทุนนักธุรกิจการเมืองคือ สิ่งที่ผลักดันให้เกิดขุนนางพ่อค้าขึ้นตั้งแต่ระดับบนจนระดับล่างในตามท้องถิ่น เมืองไทยในยุคสังคมอุตสาหกรรมในทุกวันนี้ เปลี่ยนผ่านจากสังคมเกษตรกรรมเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรมในยุคใหม่อย่างเต็มตัว ด้วยคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดเป็นปัจเจกเพื่อตัวเองมากกว่าส่วนรวม มีความต้องการทางวัตถุนิยมและบริโภคนิยมสูง แต่ยังคงค่านิยมของความเหลื่อมล้ำและความมีหน้ามีตาที่เป็นมรดกตกทอดมาแต่สมัยสังคมศักดินา เหตุนี้จึงเกิดสิ่งที่เรียกว่าขุนนางพ่อค้าขึ้นมาอย่างแพร่หลาย ที่อาศัยเครื่องแบบและสัญลักษณ์ของความสูงต่ำในสังคมศักดินาเป็นเครื่องแสดงออก ในวาระที่เป็นงานประเพณีพิธีกรรมตามสถานที่ซึ่งเป็นสถาบัน เช่น วัด วัง และสถานที่ทางศิลปวัฒนธรรมที่มีทั้งใหม่และเก่า โดยเฉพาะสถาบันทางความเชื่อและพิธีกรรม เช่น วัดวาอารามที่อยู่ในการดูแลของขุนนางพ่อค้า ทำให้เกิดกิจกรรมที่เป็นระบบอุปถัมภ์กันระหว่างขุนนางพ่อค้าและขุนนางพระอย่างที่เห็นในทุกวันนี้ เป็นกิจกรรมและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่นำไปสู่การกระทำที่เรียกว่าทุจริตคอรัปชั่น ยกตัวอย่างเช่น นักการเมืองใช้วัดและพระสงฆ์เพื่อการหาเสียงในการเลือกตั้ง ติดสินบนให้ขุนนางช่วยขอเครื่องราชย์ให้เป็นต้น หรือมีวัดใหม่ๆ เป็นจำนวนมากที่เกิดขึ้นโดยขุนนางพ่อค้าเป็นผู้สร้างเพื่อเกียรติภูมิของครอบครัวและวงศ์ตระกูล ซึ่งวัดเหล่านี้มักใหญ่โตโอ่อ่าสวยงามกว่าบรรดาวัดในอดีตที่เจ้านาย ขุนนาง คหบดี และผู้คนในชุมชนสร้างขึ้น วัดเกิดใหม่หลายแห่งมีรูปแบบและขนาดที่ผิดแผกไปจากวัดของชุมชนของบ้านเมืองที่มีมาแต่เดิม เกิดความไขว้เขวขึ้นในเรื่องเขตพุทธาวาส สังฆาวาส และพื้นที่เอนกประสงค์ มีสถานที่เกิดใหม่ที่ไม่เคยมีในพื้นที่ของวัดมาก่อนในสมัยสังคมศักดินา คือกุฏิพระที่เป็นขุนนางดูใหญ่โตรโหฐาน มีช่อฟ้าใบระกายิ่งกว่าตำหนักของเจ้านายสมัยก่อน และเมรุเผาศพ ศาลาสวดศพ และอาคารเอนกประสงค์เพื่ออุทิศให้ผู้วายชนม์ที่เป็นนายทุน ปัจจุบันเมรุเผาศพ ศาลาสวดศพและลานประกอบพิธีกรรมได้กลายเป็นอัตลักษณ์ทางศิลปวัฒนธรรมของวัดใหญ่ ๆ เกือบแทบทุกวัด เพราะเป็นแหล่งที่มาของรายได้เลี้ยงวัดที่อยู่ในการดูแลของขุนนางพระผู้เป็นเจ้าอาวาส ต่างเหมือนจะแบ่งกันว่าเมรุเผาศพใครจะใหญ่โต สวยงามกว่ากัน จนความสูงและความอลังการของสถานที่เผาศพเป็นสิ่งที่แลเห็นได้แต่ไกลแทนโบสถ์ วิหาร และพระสถูปเจดีย์ไป ยิ่งไปกว่านั้นยังเกิดวัดใหม่แบบไฮเทคที่ดูอลังการใหญ่โต มีสิ่งก่อสร้างสลับซับซ้อนด้านรูปแบบและลวดลายสัญลักษณ์แบบใหม่ที่พระและนักศิลปะคิดขึ้นและสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อในลัทธิสมัยใหม่ที่ระคนไปด้วยไสยศาสตร์ คัมภีร์และตำนานใหม่ ๆ อีกมากมาย จนในที่สุดแล้วทำให้คิดได้ว่า บรรดาวัดทางพุทธศาสนาในปัจจุบันเป็นเพียงแต่สถานที่ประกอบประเพณีพิธีกรรมเพื่อการบริการให้กับคนในสังคมยุคใหม่เท่านั้นเอง โดยเฉพาะพิธีกรรมเผาศพที่แสดงสถานภาพสูงมาทางสังคมของชนชั้นนายทุนและชนชั้นกลางเท่านั้น ในรอบขวบปีที่ผ่านมาสังคมไทยได้แลเห็นความขัดแย้งทางสังคมที่เกิดจากขุนนางพระและขุนนางพ่อค้าเพิ่มขึ้นหลายเรื่อง ที่สำคัญก็คือ กรณีลัทธิธรรมกายกับการคอรัปชั่นเงินอุดหนุนของรัฐที่ให้กับวัดต่าง ๆ ในประเทศ เรื่องแรกเป็นการสร้างลัทธิศาสนาใหม่ที่อ้างว่าเป็นลัทธิในทางพุทธศาสนาที่ไม่อาจยอมได้ว่าเป็นพระพุทธศาสนาที่นับถือกันทั่วไปในสังคม คณะผู้ก่อตั้งเป็นพระสงฆ์ที่มีสมณศักดิ์เป็นขุนนางพระ ที่นอกจากแพร่ลัทธิใหม่ให้แพร่หลายแล้ว ยังมีการเรี่ยรายและบริจาคจากชนชั้นกลางภายใต้การอุปถัมภ์ของขุนนางพ่อค้าที่เป็นนักธุรกิจสำคัญๆ ของประเทศ แต่ที่สำคัญก็คือ ผู้ก่อตั้งลัทธินี้เป็นที่ยอมรับของพระสงฆ์สำคัญ ๆ ที่มีอำนาจหน้าที่ในองค์กรปกครองสงฆ์ของประเทศ จนมีการแสดงออกที่ท้าทายต่อกฎหมายของบ้านเมือง จนถึงมีการปราบปรามและติดภาพจับกุมเพื่อนำมาลงโทษที่ยังค้างคาอยู่จนบัดนี้ ความผิดของลัทธิความเชื่อใหม่นี้ก็คือ การอ้างและอวดตัว อวดอุตริว่าเป็นสถาบันทางพระพุทธศาสนาซึ่งคนที่เป็นพุทธศาสนิกทั่วไปไม่ยอมรับ แต่ถ้าแสดงว่าเป็นลัทธิความเชื่อใหม่ที่ไม่ใช่พระพุทธศาสนาก็คงจะไม่มีใครขัดข้อง เพราะบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยที่ประชาชนสามารถเลือกนับถือลัทธิศาสนาของตนได้ ความผิดอย่างมหันต์ของขุนนางพระรูปนี้และพวกสาวกก็คือ การละเมิดกฎหมายบ้านเมืองและมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เป็นคอรัปชั่นที่ศาลตัดสินให้เห็นว่าผิด เมื่อทางบ้านเมืองจะเข้าไปจับกุมมาดำเนินการก็ได้รับการดูแลคุ้มครองจากบรรดาขุนนางพระ และขุนนางพ่อค้าหลายกลุ่มหลายหมู่เหล่า จนทั้งการจับกุมผู้ทำผิดท่านนี้ไม่ประสบความสำเร็จและการกระทำและแสดงออกของขุนนางพระในองค์กรสงฆ์ก็ส่อไปในทางแสดงอำนาจบารมีที่อยู่เหนือกฎหมายและสังคม กรณีที่สองที่แสดงอำนาจบารมีของขุนนางพระอันเป็นข่าวใหญ่ในสังคมเป็นเวลานานพอสมควรก็คือ เรื่องทุจริตคอรัปชั่นเงินงบประมาณของรัฐที่รัฐบาลจัดให้ไปช่วยบำรุงและพัฒนาวัด โดยผ่านสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีวัดหลายวัดไม่ได้รับเงินอุดหนุนอย่างเต็มที่ตามจำนวนเงินงบประมาณ เกิดพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องที่ทางสื่อเรียกว่า “เงินทอน” คือเมื่อทางสำนักงานพระพุทธศาสนาส่งเงินงบประมาณช่วยเหลือให้เต็มจำนวนแล้ว ขอให้ทางวัดที่ได้รับเงินอุดหนุนส่วนหนึ่งกลับไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนา เงินที่ต้องส่งกลับคืนไปนี้เรียกว่า “เงินทอน” ซึ่งไม่มีระบุในทางการว่าเพื่ออะไร และไปให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ใด ซึ่งในกรณีนี้ทั้งพระสงฆ์ของวัดที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาจะต้องรับรู้ระหว่างกัน ถ้าไม่ยอมกันก็จะต้องร้องเรียนกับทางรัฐบาล จึงมีเหตุการณ์ที่วัดบางวัดไม่เห็นด้วยกับการทอนเงิน แต่บางวัดก็เงียบอยู่โดยที่น่าจะมีการรู้เห็นเป็นใจด้วยกันทั้งพระและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทางองค์กรสงฆ์ที่มีอำนาจเต็มดูเหมือนละเลยกับการที่จะตรวจสอบเอาผิดพระสงฆ์ที่เกี่ยวข้องในการคอรัปชั่นนี้ ในขณะที่ทางฝ่ายรัฐบาลได้สอบสวนเอาผิดเจ้าหน้าที่ของสำนักพระพุทธศาสนาที่ทำผิดด้วยการย้ายผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญในการบริหารออกไป โดยเฉพาะผู้รับผิดชอบสูงสุดและได้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่จากกรมการสืบสวนคดีพิเศษมาทำหน้าที่แทน ท่านผู้ดำรงตำแหน่งใหม่ท่านนี้เข้มแข็งและเอาจริงกับบรรดาผู้ที่กระทำผิดที่แม้ว่าจะจำกัดอยู่ในหมู่ข้าราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาในสังกัดก็ตาม แต่ก็ดูกระทบกระเทือนไปถึงบรรดาขุนนางพระและบุคลากรของทางวัดและองค์กรสงฆ์ด้วย ทำให้เกิดความขัดเคืองและไม่พอใจแก่บรรดาขุนนางพระที่มีทั้งได้กระทำผิดและไม่ได้กระทำ แต่มีความรู้สึกเสียหน้าเสียตาและศักดิ์ศรีของพระสงฆ์ผู้ควรเป็นที่เคารพบูชาของฆราวาสทุกคน โดยเฉพาะขุนนางสงฆ์ในระดับผู้ใหญ่ขององค์กรสงฆ์ที่ออกมาประกาศว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่รับผิดชอบที่เป็นสุจริตชนในองค์กรของรัฐบาล ดูหมิ่นทำลายเกียรติภูมิของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะพระสงฆ์ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของประชาชน มิใยดีต่อคำรับรองสนับสนุนของนายกรัฐมนตรีผู้เป็นหัวหน้ารัฐบาลที่ออกมารับรองและเห็นชอบในการปฏิบัติงานที่กล้าแข็งของผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติคนใหม่ ได้เรียกร้องให้ทางรัฐบาลย้ายผู้อำนวยการท่านนี้ออกไปให้พ้นตำแหน่ง ด้วยการแสดงออกด้วยถ้อยวาจาของขุนนางสงฆ์ผู้ใหญ่ที่ทำหน้าที่คล้าย ๆ จะเป็นโฆษกขององค์กรสงฆ์ทั่วประเทศ ได้ทำให้เกิดปฏิกิริยาของบรรดาวิญญูชนในสังคมที่ออกมาตำหนิและโต้ตอบขุนนางพระผู้มากด้วยอำนาจบารมีในลักษณะที่รุนแรงและเหยียดหยาม ในส่วนตัวของข้าพเจ้าคิดว่า ปรากฏการณ์ความขัดแย้งทางสังคมที่มีเหตุมาแต่ขุนนางพระทั้งในกรณีธรรมกาย และวัดกับสำนักงานพระพุทธศาสนาตามที่กล่าวมาแล้วนั้นคือ สิ่งที่สะท้อนให้เห็นภาวการณ์มีรัฐซ้อนรัฐในสังคมไทย ซึ่งสมัยก่อนไม่มี เพราะทั้งศาสนจักรและอาณาจักรต่างต้องอยู่ภายใต้ผู้มีอำนาจสูงสุดผู้เดียวกัน คือพระมหากษัตริย์ แต่ในปัจจุบันแม้ว่าโดยองค์กรสงฆ์และขุนนางสงฆ์จะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของรัฐตามรัฐธรรมนูญก็ตาม แต่ขุนนางข้าราชการของรัฐก็ยังไม่มีอำนาจบารมีพอที่จะจัดการกับขุนนางพระและพระสงฆ์ที่มีอิทธิพลได้ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • ประวัติพระเมรุมาศ และพระโกศ เพื่อการถวายพระเพลิงพระบรมศพ

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 พ.ย. 2560 เนื่องในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลย-เดชมหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ ในวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๐ นี้ จะเป็นการออกพระเมรุที่ใหญ่โตมโหฬารที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยของกรุงรัตนโกสินทร์ จึงมีผู้สนใจอยากรู้ความหมายความสำคัญของพระเมรุมาศมากมายทั้งคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ข้าพเจ้าจึงอยากเขียนเรื่องราวความเป็นมาของพระเมรุมาศและพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระมหากษัตริย์ ตามความรู้ที่ได้ศึกษาและค้นคว้ามาทางมานุษยวิทยาดังนี้ พระเมรุมาศพระบาทสมเด็จสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ ท้องสนามหลวง ประเพณีการออกพระเมรุมาศเพื่อการถวายพระเพลิงพระบรมศพนั้นเริ่มมีมาแต่สมัยอยุธยาตอนปลายในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองและสมเด็จพระนารายณ์มหาราชในพุทธศตวรรษที่ ๒๓ เป็นการสร้างพระเมรุมาศขึ้นถวายพระเพลิงในพื้นที่กำหนดให้เป็น “ทุ่งพระเมรุกลางกรุงศรีอยุธยา” ทางด้านตะวันออกของพระบรมมหาราชวังซึ่งปัจจุบันนี้คือ ที่ตั้งพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นสถานที่ตั้งของวิหารพระมงคลบพิตรที่สร้างมาแต่สมัยอยุธยาตอนต้นตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระไชยราชาธิราช โดยย้ายวิหารพระมงคลบพิตรมาสร้างใหม่ทางด้านใต้ของพระบรมมหาราชวังในตำแหน่งปัจจุบัน ก่อนรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง การถวายพระเพลิงพระมหากษัตริย์กำหนดไว้อย่างกว้าง ๆ เพียงภายในกำแพงพระนคร ส่วนการเผาศพ ปลงศพ ของขุนนางข้าราชการและคนในเมืองต้องนำศพไปออกประตูผีเพื่อทำกันนอกเกาะเมือง ดังเช่น พระบรมศพของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) นั้นถวายพระเพลิงที่ “วัดพระราม” อันเป็นวัดที่สร้างขึ้นภายหลังการถวายพระเพลิงแล้ว พระบรมศพของสมเด็จพระนครินทราชาธิราชถวายพระเพลิงที่ “วัดราชบูรณะ” รวมทั้งพระศพของเจ้าอ้ายพระยาและเจ้ายี่พระยาผู้เป็นพระราชโอรส หรือพระบรมศพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ก็ถวายพระเพลิงที่ “วัดวรเชษฐาราม” อันเป็นวัดที่สมเด็จพระเอกาทศรถสร้างถวาย ณ บริเวณที่ถวายพระเพลิง เป็นต้น และยังมีวัดอื่น ๆ ภายในเมืองอีกหลายวัดที่สร้างขึ้นภายในบริเวณที่ถวายพระเพลิงพระมหากษัตริย์องค์อื่น ๆ ที่ไม่ได้ระบุไว้ในพระราชพงศาวดาร ลานท้องสนามไชยหน้าพลับพลาฐานจตุรมุข เป็นแนวยาวราว ๓๕๐ เมตร สูงจากพื้น ๓ เมตร ผนังสลักเป็นรูปช้างและครุฑ มีมุขยื่นออกมาทั้งสองด้าน ใช้เป็นสถานที่สำหรับพระมหากษัตริย์นั่งทอดพระเนตรพระราชพิธีสนามและการเฉลิมฉลองต่างๆ ภาพถ่ายเมื่อกว่า ๕๐ ปีมาแล้ว ภาพของอาจารย์มานิต วัลลิโภดม การถวายพระเพลิงพระบรมศพพระมหากษัตริย์ดังกล่าวนี้ ไม่มีหลักฐานว่าเป็นการออกพระเมรุแบบที่ทำกันต่อมาจากสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง และสมเด็จพระนารายณ์ฯ จนกระทั่งสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ อีกทั้งก็ไม่รู้ว่ามีการสร้างพระเมรุมาศหรือไม่ อาจจะเป็นการสร้าง “ พระจิตกาธาน” หรือที่ตั้งศพเพื่อเผาบนฐานยกพื้นเช่นที่พบในเขตวัดเจ็ดยอดเชียงใหม่ ที่รู้จักกันในภาคเหนือว่า “เมรุพระพิลก” อันเชื่อว่าเป็นที่ถวายพระเพลิงสมเด็จพระเจ้าติโลกราชแห่งล้านนาในตอนต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ และเมรุเช่นเดียวกันนี้อีกหลายแห่งในลำปาง ข้าพเจ้าเชื่อว่า การถวายพระเพลิงพระบรมศพพระมหากษัตริย์ตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้นลงมา ถึงรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองไม่มีคติทั้งความเชื่อและการสร้างพระเมรุมาศ รวมไปถึงการสร้างพระโกศขึ้นในการประดิษฐานพระศพ และการนำไปถวายพระเพลิง หลักฐานในเรื่องการสร้างพระโกศไม่มีเช่นเดียวกันกับพระเมรุมาศ คงมีแต่โลงหรือหีบพระศพที่น่าจะสร้างด้วยไม้หอมเท่านั้น การสร้างพระโกศขึ้นมาคงมาพร้อมกันกับการสร้างพระเมรุมาศนั่นเอง เป็นการเปลี่ยนแปลงประเพณีการบรรจุศพในโลงแบบนอนเหยียดยาวมาเป็นท่านั่งในแนวตั้งเพื่อให้เข้ากันกับความสูงส่งของบุคคลที่อยู่ใน วิมาน หรือปราสาท เช่น พระมหากษัตริย์และเทวดา พระยมบริเวณที่เรียกว่าลานพระเจ้าขี้เรือน ซึ่งจะเป็นพื้นที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพกษัตริย์ อันการบรรจุศพแบบแนวตั้งนี้ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จะพบเห็นแต่เพียงในประเพณีการฝังศพครั้งที่สองที่มีการนำเอากระดูกคนตายที่เนื้อหนังมังสาเปื่อยเน่าหลุดไปแล้ว มาบรรจุใน หม้อ หรือผอบ อย่างเช่นที่ทุ่งไหหินในประเทศลาว และแหล่งก่อนประวัติศาสตร์ในที่ราบสูงแอ่งโคราช เป็นต้น สมัยก่อนประวัติศาสตร์การปลงศพด้วยการเผามีน้อยมาก แต่เมื่อเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์ที่มีการนับถือพุทธศาสนาและศาสนาฮินดู-พราหมณ์แล้ว ก็เกิดประเพณีการนำเอากระดูกและอังคารที่มีการเผาแล้วไปเก็บไว้ในภาชนะที่เรียกว่า “ผอบ” ที่มีการปรุงแต่งให้มียอดฝาผอบสูงเป็นทรงปราสาทอะไรทำนองนั้น พัฒนาการของพระโกศน่าจะมาจากเรื่องผอบที่บรรจุพระอัฐิของพระมหากษัตริย์หรือกระดูกของบุคคลที่มีฐานะสูงกว่าคนธรรมดา ผอบบรรจุสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ เช่น อัฐิธาตุ หรือเครื่องประดับของกษัตริย์และคนชั้นสูง จะพบมากในสังคมฮินดูของกัมพูชาแต่สมัยเมืองพระนคร ดังเห็นได้จากรูปร่างลักษณะของเครื่องปั้น ดินเผาเคลือบของขอมที่พบในกัมพูชา และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย แต่ผอบที่บรรจุอัฐิธาตุก็เป็นของขนาดเล็กไม่ใหญ่ เช่น พระโกศที่บรรจุพระศพที่ยังไม่ได้ถวายพระเพลิง แต่ตั้งไว้ในปราสาทเพื่อทำพิธีกรรม และเก็บไว้รอเวลาถวายพระเพลิง ซึ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่ตอนต้นลงมาจนถึงรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองนั้น เมื่อมีการถวายพระเพลิงของกษัตริย์และเจ้านายแล้ว ก็จะสร้างวัดขึ้นอุทิศถวายไว้ ณ บริเวณที่ถวายพระเพลิงนั้น อย่างเช่นที่วัดพระรามและวัดวรเชษฐารามที่กล่าวมาแล้ว กรุงศรีอยุธยาแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นสมัยเวลาที่มีการนำเอาคติความเชื่อทางจักรวาลของฮินดูแบบขอมมาผสมผสานกับลัทธิความเชื่อของศาสนาพุทธเถรวาทมากกว่าสมัยใด ๆ โดยเฉพาะในเรื่องทางพระมหากษัตริย์และสถาบันกษัตริย์ ที่ได้รับอิทธิพลลัทธิเทวราชาเข้ามาทำให้เกิดการสร้างสถาปัตยกรรมและศิลปะสถาปัตยกรรมแบบขอมขึ้น จนคนไทยส่วนใหญ่ในปัจจุบันยังเชื่อว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทวราชาแบบขอมคือเป็น อวตารของพระผู้เป็นเจ้า เช่น พระวิษณุลงมาเกิดเพื่อปราบยุคเข็ญ แต่หลักฐานทางโบราณคดีที่เป็นศิลปสถาปัตยกรรมและศิลปวัฒนธรรมอื่นๆ หาได้แสดงให้เห็นว่า ขอมในสมัยเมืองพระนครไม่ได้แสดงว่ากษัตริย์ขอมทรงเป็นอวตารของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าพระวิษณุและพระศิวะ หากความเป็นเทวราชานั้นหมายเพียงการจุติของผู้ที่เป็นเทพเจ้าลงมาเกิดมากกว่า แผนผังแสดงบริเวณลานสนามไชยหน้าพระราชวังเมืองพระนคร ดังเห็นได้จากพระนามของพระมหากษัตริย์องค์สำคัญ เช่น พระเจ้าอินทรวรมันที่ ๑ ผู้สร้างนครหริหราลัย ที่มีปราสาทบากองเป็นศูนย์กลาง และสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้พระองค์หลังพระชนม์แล้ว มีรูปเคารพศิวลึงค์เป็นตัวแทนในพระนามของพระองค์หลังสวรรคตแล้วว่า “อินทเรศวร” หรือในสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ ที่มีการถวายพระนามว่า “พระนิพพานบท” (พระบาทบรมนิพพานบท-วฺรบาทบรมนิวฺวานบท) และที่สำคัญก็คือ พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ที่มีพระนามว่า “พระบรมวิษณุโลก” ที่มีการสร้างปราสาทนครวัดขึ้นมาอุทิศถวาย เป็นปราสาทที่แลเห็นชันเจนว่าสร้างถวายพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ หลังสวรรคตแล้ว เพราะเป็นปราสาทที่หันหน้าไปทางตะวันตก และตัวปราสาทเองคือรูปจำลองของพระเมรุมาศที่เป็นปราสาทห้าหลังที่เปรียบเหมือนเขาพระสุเมรุที่มีเขาสำคัญรายรอบสี่ทิศ ปราสาทนครวัดนี้มีนามแต่ครั้งนั้นว่า “วิษณุโลก” ที่สัมพันธ์กับ “กมรเตงอัญปรมวิษณุโลก” อันเป็นพระนามของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ปราสาทหลังนี้แสดงความหมายของพระราชพิธีสำคัญของลัทธิเทวราชาที่เรียกว่า “อินทราภิเษก” ที่หมายถึงพระราชพิธีราชาภิเษกพระมหากษัตริย์ที่สวรรคตแล้วคืนเข้าวิมานที่เขาพระสุเมรุ สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเป็นพระราชพิธีอินทราภิเษก ก็คือภาพแกะสลักการกวนเกษียรสมุทร บนผนังรอบปราสาทนครวัดนั่นเอง สังคมราชสำนักสยามในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้นำเอาแนวความคิดในเรื่องการสร้างปราสาทราชวังและพิธีกรรมดังกล่าวของลัทธิเทวราชาที่อยู่ในศาสนาฮินดูแบบขอมเข้ามาผสมผสานกับความเป็นพระมหากษัตริย์ในพุทธเถรวาทในกรุงศรีอยุธยาที่มีการสร้างพระราชวังใหม่ให้เป็นศูนย์กลางของราชอาณาจักรสยามที่เกิดขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ จึงสามารถพูดได้ว่า พระราชวังหลวง ปราสาท สถานที่สำคัญทางศาสนาและสถาบันกษัตริย์นั้น เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งนำเอาแนวคิด รูปแบบ และแผนผังมาจากพระราชวังหลวงเมืองพระนครอันเป็นพระราชวังที่เกิดขึ้นราวสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ ลงมา ที่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้คือ พระราชวังหลวงซึ่งอยู่ติดกันกับวัดพระศรีสรรเพชญ กับพระราชวังขอมที่ติดกับปราสาทบาปวน หรือปราสาททองของขอม ที่มีฉนวนต่อถึงกันกับพระราชวังชั้นใน พระราชพิธีอินทราภิเษกของขอมได้รับการนำมาปรุงแต่งให้เป็นพระราชพิธีอินทราภิเษกของไทยที่เน้นไปถึงการปราบดาภิเษก ที่แสดงออกโดย “พิธีกรรมชักนาคดึกดำบรรพ์” หรือกวนเกษียรสมุทร ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ การเอาชื่อปราสาทนครวัดที่เรียกว่า “ วิษณุโลก ” มาเป็นชื่อเมืองสองแควใหม่ที่สร้างขึ้นเมื่อครั้งสงครามกับอาณาจักรล้านนาในนามของ “ พิษณุโลก ” นับเป็นราชธานีทางเหนือของกรุงศรีอยุธยาที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถไปประทับเพื่อการทำสงครามและเสด็จลงมาผนวช ณ เมืองนี้ แต่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถไม่ทรงมองว่าพิษณุโลกเป็นเมืองที่เกี่ยวกับการตายอย่างของขอม แต่เป็นเมืองในทางพระพุทธศาสนาที่สะท้อนให้เห็นจากการให้นามของวังที่เสด็จออกผนวชว่า “ วัดจุฬามณี ” เพื่อตอกย้ำให้เห็นในคติจักรวาลของทางพุทธศาสนาที่หมายถึงยอดเขาพระสุเมรุ คือ พระมหาสถูปจุฬามณีที่พระมหากษัตริย์ไทยและลาวให้ความสำคัญ เมื่อเสด็จสวรรคตจะต้องไปไหว้พระจุฬามณีที่ยอดเขาพระสุเมรุ ความต่างกันทางจักรวาลของพุทธเถรวาทแบบไทยกับฮินดูแบบขอมก็คือ ทางไทยถือว่ายอดเขาพระสุเมรุ คือ “พระเจดีย์จุฬามณี” แต่ขอมให้ความสำคัญกับปราสาทที่เรียกว่า “ไพชยนต์ปราสาท” อันเป็นที่ประทับของพระอินทร์ในการดูแลโลก แต่แนวความคิดให้เรื่องพระสุเมรุแบบขอมนี้ได้ส่งอิทธิพลกับไทยสมัยอยุธยาอีกครั้งหนึ่งในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ผู้ทรงฟื้นฟูและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ทางศิลปวัฒนธรรมด้านศาสนาและราชสำนักแบบใหม่ๆ ขึ้นมา ทรงรับเอาความคิดทางจักรวาลแบบฮินดู และเทวราชาของขอมสมัยเมืองพระนครเข้ามาปรุงแต่งให้เป็นศิลปวัฒนธรรมไทยของยุคกรุงศรีอยุธยาตอนปลายนี้ โดยเฉพาะความคิดให้เรื่องสร้างศิลปสถาปัตยกรรมให้ได้สัดส่วนตามเรขาคณิตแบบอินเดียและขอม แผนผังบริเวณแสดงลานสนามไชยหน้าพระที่นั่งจักรวรรดิ์ไพชยนต์และบริเวณทุ่งพระเมรุกลางเมือง พระบรมมหาราชวัง กรุงศรีอยุธยา โดยเฉพาะผังพระสุเมรุที่นำมาใช้ในการสร้างพระมหาธาตุเจดีย์วัดชัยวัฒนาราม อันเป็นบริเวณที่ปลงพระศพพระราชมารดา ทำให้ผังของพระมหาธาตุเจดีย์ที่เป็นทรงพระปรางค์แบบเดียวกันกับบรรดาพระปรางค์ในสมัยอยุธยาตอนต้น ดูได้สัดส่วนทางเรขาคณิต เป็นรูปแบบพระสุเมรุมาศที่แวดล้อมไปด้วยปรางค์สี่ทิศ ซึ่งไม่เคยมีปรากฏในกรุงศรีอยุธยามาก่อน และรูปแบบพระบรมธาตุทรงพระปรางค์มีเมรุรายสี่ทิศดังกล่าวนี้ก็สืบทอดมายังพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามที่ รัชกาลที่ ๓ ทรงสร้างขึ้น ภาพสลักรูปครุฑที่ประดับลานพลับพลาโถงทรงจตุรมุข เมืองพระนครหลวง กัมพูชา แต่สิ่งที่เป็นนวัตกรรมใหม่ของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองก็คือ การสร้างพระราชพิธีที่เกี่ยวกับพระบรมศพของพระมหากษัตริย์ให้มีรูปแบบและกระบวนการที่โอ่อ่าและวิจิตรกว่าสมัยใด ๆ การตั้งพระศพบนพระจิตกาธานหมดไป แต่ก่อสร้างพระเมรุมาศที่หมายถึงเขาพระสุเมรุมาตั้งแทน เป็นรูปปราสาทที่มีเมรุรายสี่ทิศเทียบได้กับปราสาทนครวัด ต่างกันแต่เพียงปราสาทนครวัดเป็นเพียงที่ประดิษฐานพระบรมศพเพื่อการประกอบพระราชพิธีอินทราภิเษก ไม่เป็นที่ถวายพระเพลิงเฉกเช่นพระเมรุมาศของไทย อีกสิ่งหนึ่งที่ขอมเมืองพระนครไม่มีก็คือ “พระโกศ” บรรจุพระบรมศพ ขอมไม่มีพระโกศแต่มีหีบพระศพที่ทำด้วยหิน ไม่พบที่ปราสาทนครวัดแต่พบเห็นในที่อื่น เช่นที่ปราสาทบึงมาลาอันเป็นปราสาทร่วมสมัยกับนครวัด เป็นต้น พระเมรุมาศใช้เพื่อการถวายพระเพลิง แต่การตั้งพระบรมศพนั้นไปตั้งที่ “ปราสาทสุริยาศน์อัมรินทร์” อันเป็นปราสาทจตุรมุขที่สร้างขึ้นภายในกำแพงพระราชวังชั้นนอก ไม่ได้อยู่ในพระราชวังชั้นที่ ๒ เหมือนกับ “พระที่นั่งสรรเพชญ” และ “พระที่นั่งวิหารสมเด็จ” อันเป็นพระที่นั่งเพื่อออกว่าราชการ รับแขกเมืองและพระราชพิธีสำคัญต่าง ของราชอาณาจักร แต่พระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์นั้น สร้างเพื่อการตั้งพระบรมศพเป็นสำคัญ เพื่อให้คนทั้งภายนอกและภายในเข้าถวายบังคมพระบรมศพได้ทั่วถึงกัน และเป็นสถานที่ซึ่งสัมพันธ์กับการอัญเชิญพระบรมศพออกมาตั้งขบวนแห่มาตามสนามไชยภายในกำแพงพระราชวังชั้นแรก จากพระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์มาทางตะวันออกผ่านปราสาทตรีมุขที่อยู่บนกำแพงพระราชวังชั้นที่ ๒ ชื่อ “พระที่นั่งจักรวรรดิ์ไพชยนต์” เป็นพระที่นั่งโถงที่ประทับของพระมหากษัตริย์ในพระราชพิธีสนามตามฤดูกาลต่าง ๆ แต่ในงานถวายพระเพลิงนั้นพระมหากษัตริย์เสด็จออกเป็นประธาน เมื่อริ้วขบวนพระบรมศพเคลื่อนผ่านหน้าพระที่นั่งออกยังประตูพระราชวังทางทิศตะวันออกสู่พื้นที่ซึ่งกำหนดให้เป็น “ทุ่งพระเมรุ” ยังบริเวณซึ่งกำหนดให้เป็นพื้นที่เพื่อการถวายพระเพลิงโดยเฉพาะ ภาพปูนปั้นรูปครุฑที่ประดับฐานพระที่นั่งจักรวรรดิไพชยนต์ของพระราชวังกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแบบแผนที่รับมาจากเมืองพระนครหลวง การมีท้องสนามไชยและประเพณีการเชิญพระบรมศพผ่านพระที่นั่งโถงที่พระมหากษัตริย์ประทับทอดพระเนตรนั้น มีรูปแบบอยู่แล้วที่พระราชวังเมืองพระนคร ที่แลเห็นจากปราสาทจัตุรมุข โถงหน้าพระราชวังที่ตั้งอยู่บนฐานยกพื้นเหนือบริเวณสนามไชย ปราสาทตั้งอยู่ตรงกลาง ทางปีกขวาของฐานมีภาพสลักช้างเป็นช่อง ๆ ไป บริเวณนี้คงเป็นที่รับแขกเมืองที่มาร่วมพระราชพิธี ในขณะที่ทางปีกซ้ายเป็นฐานยาวที่ตอนปลายฐานมีร่องรอยของฐานจิตกาธาน แต่สิ่งที่บ่งได้ว่าน่าจะเป็นตำแหน่งที่ถวายพระเพลิงพระมหากษัตริย์ ก็คือการมีรูปปั้นศิลาของพระยมในลักษณะที่เปลือยเปล่านั่งอยู่ ในคติทางฮินดูพระยมคือพระธรรมราชาผู้ที่จะมานำพระวิญญาณของกษัตริย์ไปสรวงสวรรค์ ขอมเมืองพระนครไม่มีการสร้างพระเมรุมาศเพื่อถวายพระเพลิงแน่นอน แต่ขบวนการแห่พระบรมศพจากปราสาทที่ตั้งพระศพคือสิ่งที่ทางไทยได้รับความคิดมา คือมีขบวนแห่พระบรมศพผ่านหน้าพระที่นั่งจตุรมุขจากทางปีกขวาของฐานยกพื้น อันเป็นที่ชุมนุมของแขกเมือง เจ้านายและขุนนางผ่านพระที่นั่งจตุรมุขไปทางปีกซ้ายของฐานยกพื้นที่เป็นที่ประกอบพระราชพิธีถวายพระเพลิงบนฐานจิตกาธานที่มีรูปปั้นพระยมเป็นสัญลักษณ์ เทวปฎิมากรรมรูปนี้คือสิ่งที่คนทั่วไปเรียกว่า “พระเจ้าขี้เรื้อน” แต่สิ่งที่ยืนยันได้เห็นได้ว่าสมเด็จพระเจ้าปราสาททองเอาแนวคิด และรูปแบบการมีขบวนแห่พระบรมศพผ่านหน้าพระที่นั่งจตุรมุข ก็คือภาพสลักรูปครุฑที่ประดับรอบฐานที่พบเห็นเช่นเดียวกันที่ปราสาทพระที่นั่งจักรวรรดิไพชยนต์ของพระราชวังกรุงศรีอยุธยา เมื่อมาถึงท้ายสุดนี้ใคร่สรุปว่า พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพที่แลเห็นในกรุงรัตนโกสินทร์ทุกวันนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลายคือราวรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองและสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยได้อิทธิพลความคิดทางด้านจักรวาลที่มีเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลางจากปราสาทนครวัด หรือวิษณุโลกของขอม แต่ขอมไม่มีการตั้งพระเมรุมาศ รวมทั้งไม่มีพระโกศบรรจุพระบรมศพ ทั้ง ๒ อย่างนี้จึงเป็นนวัตกรรมของไทยโดยเฉพาะ เป็นสัญลักษณ์และเกียรติภูมิของพระมหากษัตริย์ไทยที่ได้รับการรักษาอนุรักษ์และต่อเนื่องมาจนสมัยปัจจุบัน ปีกขวาของฐานพระที่นั่งโถงของพลับพลาฐานจตุรมุขแกะสลักภาพช้าง ซึ่งพระที่นั่งจักรวรรดิ์ไพชยนต์รับมาในรูปแบบเดียวกัน ในทางสังคมและวัฒนธรรมทั้งพระเมรุมาศและพระโกศคือสัญลักษณ์ของความสูงต่ำทางบรรดาศักดิ์ของสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำที่เป็นค่านิยมเรื่อยมาจนปัจจุบัน เพราะหาได้หมดสิ้นไปกับการหมดไปของสังคมศักดินาสมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่ ในสังคมสมัยใหม่ที่มีชนชั้นกลางมากมายนั้น ทุกคนต้องการเผาศพตนเองอย่างมีเกียรติ จึงเกิดการสร้างเมรุหรือพระเมรุมาศเผาศพแทนการเผาที่เชิงตะกอนตามป่าช้าของวัดกันไปทุกแห่งทุกวัด จนเมรุเผาศพกลายเป็นจุดเด่นจุดสูงของวัดแทนหลังคาโบสถ์ และพระสถูปเจดีย์กัน เมรุเผาศพจึงกลายเป็นนวัตกรรมใหม่ของวัดไทยหลังยุคสังคมศักดินา ในส่วนโกศนั้นยังไม่แพร่หลายทั่วไป ยังคงสงวนไว้สำหรับเจ้านายและขุนนางข้าราชการที่ได้สายสะพาย โดยเฉพาะบรรดาขุนนางพ่อค้าที่เป็นนักธุรกิจมั่งคั่ง และนักการเมือง อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • ประชาวิพากษ์ [Social Sanction]

    เผยแพร่ครั้งแรก 3 เมษายน 2561 ข้าพเจ้าเขียนบทความนี้ขึ้น ด้วยความระลึกเป็นอย่างยิ่งถึง ดร . สุเทพ สุนทรเภสัช นักมานุษยวิทยาอาวุโสที่ข้าพเจ้าเคารพและนับถือ ผู้จากไปเมื่ออาทิตย์ที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ที่แล้วมาด้วยวัย ๘๔ ปี อาจารย์สุเทพในเบื้องต้นเป็นนักมานุษยวิทยาสังคม [Social anthropologist] เช่นเดียวกับข้าพเจ้า อาจารย์สุเทพเรียนจบปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยลอนดอนที่อังกฤษ ส่วนข้าพเจ้าเรียนที่ออสเตรเลีย ที่มหาวิทยาลัยเวสเทรินออสเตรเลีย ครั้งนั้นการเรียนวิชามานุษยวิทยาทั้งอังกฤษและออสเตรเลียเป็นมานุษยวิทยาสังคมเหมือนกัน แนวคิดทฤษฎีและกระบวนการค้นคว้าวิจัยเหมือนกันในแนวคิดทางโครงสร้างและหน้าที่ [Structural, Functional ที่เป็นหัวใจในการค้นคว้าเก็บข้อมูลจากประสบการณ์ภาคสนาม [Field work] ในลักษณะองค์รวม [Wholistic] ด้วยการศึกษา การเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมของมนุษย์ในชุมชน [Community study] ความเหมือนกันที่สำคัญระหว่างอาจารย์สุเทพกับข้าพเจ้าก็คือ ในการเขียนวิทยานิพนธ์เพื่อจบปริญญาโทนั้นคือต้องเข้าไปอยู่ในชุมชนเป็นเวลาร่วมปี ข้าพเจ้าศึกษาเก็บข้อมูลที่ชุมชนบ้านม่วงขาว ตำบลโคกปีบ อำเภอศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรี ในขณะที่อาจารย์สุเทพศึกษาที่ชุมชนบ้านนาหมอม้าในเขตอำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี ( จังหวัดอำนาจเจริญในปัจจุบัน ) อาจารย์สุเทพเป็นรุ่นก่อนข้าพเจ้าหลายปี ได้กลับมาเป็นอาจารย์ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่ระยะหนึ่ง แล้วลาออกไปทำงานในองค์กรอเมริกัน ARPA ร่วมกับบรรดานักวิชาการที่เป็นนักมานุษยวิทยาและสังคมศาสตร์อื่น ๆ เพื่อการพัฒนาสังคมเศรษฐกิจของผู้คนในภาคเหนือและภาคอีสาน ต่อต้านการรุกรานของคอมมิวนิสต์ในยุคสงครามเย็นที่นำไปสู่การทำสงครามระหว่างอเมริกันกับเวียดนามหลังสงครามสงบ อาจารย์สุเทพได้เข้ามาเป็นอาจารย์ในคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเป็นผู้บุกเบิกตั้งภาควิชามานุษยวิทยาขึ้น จึงนับได้ว่าเป็นผู้ให้กำเนิดภาควิชามานุษยวิทยาของคณะสังคมศาสตร์อย่างแท้จริง [Founding Professor] ข้าพเจ้ากลับมาทำงานภาคสนามที่บ้านม่วงขาวเกือบปี จนถึงวันสิ้นสุดของสงครามที่ประธานาธิบดีนิกสัน ถอนทหารจากสงครามเวียดนามและกลับไปเขียนวิทยานิพนธ์ร่วม ๒ ปี จึงกลับมาที่คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร หากแต่ไม่ลงรอยกับผู้บังคับบัญชาและอาจารย์หลายคนในคณะจึงได้ขอให้อาจารย์สุเทพที่เป็นหัวหน้าภาควิชามานุษยวิทยาที่เชียงใหม่ ยืมตัวชั่วคราวจากศิลปากรไปอยู่เชียงใหม่ร่วม ๒ ปี โดยสอนวิชามานุษยวิทยาร่วมกัน ขณะที่อยู่เชียงใหม่ได้มีการออกไปทำงานภาคสนามตามชุมชนชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่อยู่บนพื้นราบร่วมกัน ๓ คนคือ อาจารย์สุเทพ สุนทรเภสัช อาจารย์เกษม บุรกสิกร ผู้เป็นนักสังคมวิทยา ต่อมาอาจารย์สุเทพได้รับทุนจากอเมริกาไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเบิร์กเลย์เพื่อทำปริญญาเอกทางวิชามานุษยวิทยาวัฒนธรรมร่วม ๖ ปี ในขณะที่ข้าพเจ้ากับอาจารย์เกษม บุรกสิกรยังทำงานศึกษาชุมชนทั้งด้านชาติวงศ์วรรณา [Ethnography] และโบราณคดี [Archaeology] อยู่พักหนึ่ง จึงกลับมาสอนที่ภาควิชามานุษยวิทยาศิลปากรจนเกษียณอายุราชการ จุดหันเหระหว่างข้าพเจ้าและอาจารย์สุเทพก็คือ การไปศึกษาต่อที่อเมริกาที่เน้นในเรื่องมานุษยวิทยาวัฒนธรรมนั้นเป็นกระแสสังคมและโลกที่เปลี่ยนแปลงและกว้างขวางออกไป แตกแยกออกเป็นหลายมิติและหลายแขนงทางวิชาการ จนมานุษยวิทยากลายเป็นวิชาครอบจักรวาลไปจนเรื่องของความเป็นมนุษย์อันเป็นสัตว์สังคม หรือสัตว์หมู่ ต้องมีชีวิตอยู่รวมกันอย่างมีโครงสร้างและหน้าที่กลายเป็นปัจเจกบุคคล [Individual] หรือสัตว์เดี่ยว ซึ่งแลเห็นได้จากชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่เป็นสังคมแบบก่อน อันสะท้อนให้เห็นได้จากการสร้างที่อยู่อาศัยแบบต่างคนต่างอยู่ เช่น คอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร เป็นต้น ร้อยพ่อพันแม่เข้ามาอยู่รวมกันโดยไม่มีโครงสร้างสังคม ซึ่งแลเห็นได้จากแนวโน้มทางแนวคิดทฤษฎีแบบโครงสร้างและหน้าที่เปลี่ยนแปลงมาเป็น Post structuralism หรือ Post modernism และ Post colonialism อะไรทำนองนั้น ส่วนข้าพเจ้ายังคงยืนอยู่กับสังคมแบบมีโครงสร้างและหน้าที่ของมานุษยวิทยาสังคมที่เน้นการออกเดินทางไปตามท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศด้วยการเก็บข้อมูลทางชาติวงศ์วรรณา [Ethnography] สำหรับชุมชนปัจจุบัน [Ethnographic present] และอดีตที่ห่างไกลของชุมชนโดยทางโบราณคดี [Archaeological past] ข้าพเจ้ายังมั่นคงกับการศึกษาที่ดูการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของมนุษย์ในชุมชนในบริบททางสังคมและวัฒนธรรมในทั้งทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์สังคม และไม่ตีความคุ้นเคยกับแนวคิดทฤษฎีใหม่ในเชิงวาทกรรมแบบสร้างคำใหม่ ๆ คำใหญ่ ๆ แบบนักวิชาการในยุค Post modern ปัจจุบัน แต่เมื่อมีอะไรติดขัดหรือสติปัญญาน้อยตามการเปลี่ยนแปลงไม่ทัน ข้าพเจ้าก็ต้องหันมาหาอาจารย์สุเทพ สุนทรเภสัช ผู้แม้จะไม่ออกไปตะลอน ๆ ทำงานภาคสนามอย่างข้าพเจ้า แต่ก็รับรู้และหาความรู้ในลักษณะเป็นนักปราชญ์ทางสังคมวัฒนธรรมเพื่อการอธิบาย ตั้งแต่เกษียณราชการจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อาจารย์สุเทพใช้เวลากับการอ่านหนังสือหลาย ๆ อย่างทางสังคมวัฒนธรรม การเมือง เศรษฐกิจ และศิลปวัฒนธรรม ในลักษณะที่เป็นปราชญ์มากกว่านักวิชาการที่รู้อะไรต่ออะไรเฉพาะด้านแบบรู้มากรู้น้อย เมื่อมีอะไรติดขัดข้าพเจ้าก็ต้องหันหน้าไปถามไถ่หารือขอความรู้จากอาจารย์สุเทพที่นับเป็นครูคนหนึ่งของข้าพเจ้า และมักจะได้รับความรู้และคำอธิบายที่กระจ่างเร็วกว่าการไปอ่านหนังสือค้นหาด้วยตนเอง ในฐานะที่เล่าเรียนมาทางมานุษยวิทยาสังคมเหมือนกัน ข้าพเจ้ามักพูดคุยกันกับอาจารย์สุเทพในสิ่งที่เป็นกลไกทางสังคม เช่น การควบคุมสังคม [Social control] และการวิพากษ์สังคม [Social sanction] เสมอ เช่นเรื่องการนินทา [Gossip] ของชาวบ้านที่เป็นคนในชุมชน การนินทาเป็นกลไกในการควบคุมพฤติกรรมทางสังคมของคนที่มีชีวิตร่วมกันในชุมชน เป็นทั้งการส่งสัญญาณทางอ้อมให้ผู้ที่ไม่ประพฤติในกรอบของศีลธรรม จารีตประเพณี ได้รู้สึกตัวอย่างไม่ต้องเผชิญหน้าและชัดเจนว่าใครมีความขัดแย้งต่อกัน เพื่อให้ผู้ที่ถูกพาดพิงมีสติและปรับปรุงแก้ไข แต่ถ้าไม่เปลี่ยนพฤติกรรมก็อาจจะนินทาหนาหูขึ้นจนถึงขั้นพิพากษ์ว่าอะไรเหมาะหรือไม่เหมาะ ดีหรือไม่ดี แล้วมีการลงโทษ หรือถ้าบุคคลนั้นเป็นผู้ทำดีก็จะถูกยกย่องอันเป็นขั้นที่เรียกว่า สังคมพิพากษ์ [Social sanction] ซึ่งในที่นี้ข้าพเจ้าเรียกว่า ประชาวิพากษ์ เพื่อให้เหมาะกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในปัจจุบัน เพราะเป็นกลไกทางสังคมโดยภาคประชาชนและให้แตกต่างไปจากประชารัฐด้วย ปัจจุบันการนินทาก็ยังเป็นกลไกสำคัญอยู่ในสังคมท้องถิ่นที่ยังมีชุมชนอยู่เช่นตามบ้านและเมือง แต่ไม่ใช่กับในละแวกที่อยู่อาศัยสมัยใหม่ เช่น บ้านจัดสรรและคอนโดมีเนียมในสังคมเมือง ที่มีแต่โครงสร้างกายภาพแต่ไม่มีโครงสร้างทางสังคม มีเรื่องตลกกับข้าพเจ้าในการนำนักศึกษาปัจจุบันที่เรียนทางมานุษยวิทยาและสังคมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งลงศึกษาชุมชน เมื่อตอนที่ข้าพเจ้าพูดถึงบทบาทและหน้าที่ของการนินทาก็ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์เชิงขบขันว่าแปลกประหลาดและกระทบกระแทกว่าทั้งข้าพเจ้าและอาจารย์สุเทพยังมีความคิดและวิธีการเช่นนักมานุษยวิทยารุ่นศตวรรษที่แล้วมา ทั้งนี้ก็เพราะนักศึกษาและนักมานุษยวิทยารุ่นใหม่ ๆ เหล่านี้คุ้นกับเรื่องของข่าวลือ [Rumor] อันเป็นเรื่องเชื่อถือไม่ได้ ที่เป็นกลไกของการกล่าวหาของคนที่มีความคิดเป็นปรปักษ์ต่อกันในสังคมปัจจุบัน ที่ความสัมพันธ์ทางสังคมกลายเป็นเครือข่ายของความสัมพันธ์ [Social network] กระจายออกไปกว่าการมีขอบเขตของชุมชน แต่การตั้งข้อสังเกตของข้าพเจ้าที่สะท้อนจากปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทางสังคมที่เรียกว่า ประชาวิพากษ์ นี้ ก็ยังคงดำรงอยู่ในรูปแบบที่เปลี่ยนไปจากคำว่า นินทา [Gossip] ในชุมชนท้องถิ่นที่มีมาแต่เดิม รูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นก็คือสิ่งที่เรียกว่า เฟสบุ๊ค [Facebook] อันเกิดขึ้นจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการสื่อสาร ข้าพเจ้ากำลังจะถกปัญหาเรื่องนี้กับอาจารย์สุเทพแต่ก็ช้าไป เพราะท่านล้มป่วยและจากไปเสียก่อน จึงต้องนำข้อสังเกตมาเสนอต่อในที่นี้แทน สังคมไทยโดยภาพรวมปัจจุบันเป็นสังคมทุนนิยมอุตสาหกรรมที่มีความก้าวหน้าทางด้านวัตถุและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้าสู่ระดับ ๔.๐ เช่นประเทศแนวหน้าหลายแห่งในสังคมโลกที่เรียกว่ายุคโลกาภิวัตน์ แต่ในด้านศีลธรรม จริยธรรมและระเบียบวินัย การศึกษาและความรู้สึกนึกคิดของคนส่วนใหญ่ในสังคมยังอยู่ในระดับ ๐.๔ เพราะคนส่วนใหญ่ยังมีพื้นฐานทางสังคมวัฒนธรรมของสังคมเกษตรกรรมแบบชาวนา [Peasant society] อยู่ ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเทคโนโลยีในระดับ ๔.๐ กับคนส่วนใหญ่ของประเทศที่ยังไต่ระดับ ๐.๔ จึงเป็นสิ่งที่นักมานุษยวิทยาเรียกว่า ความล้าหลังทางวัฒนธรรม [Culture lag] ความล้าหลังทางวัฒนธรรมที่เกิดจากการเปลี่ยนผ่านของสังคมเกษตรกรรมแบบชาวนาเข้าสู่สังคมทุนนิยมอุตสาหกรรมตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้นมานั้น ทำให้เกิดความขัดแย้งทางระบบศาสนา ศีลธรรม และจริยธรรมเรื่อยมา ที่มีผลทำให้สังคมไทยในส่วนรวมไม่ว่าทั้งประชารัฐและประชาสังคมกลายเป็น สังคมละเมิดกฎหมาย [Law violating society] ที่มาถึงการเกิดวิกฤติทางศีลธรรมและจริยธรรมที่สะท้อนให้เห็นจากความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและประชาสังคมในยุคโลกาภิวัตน์ การขัดแย้งระหว่างรัฐและประชาชนหรือประชาสังคมที่เห็นชัดก็คือ การใช้อำนาจทางกฎหมายจัดการกับประชาชนอย่างไร้เป็นธรรมทำให้เกิดการทุจริตคอรัปชั่น ฉ้อราษฎร์บังหลวงของขุนนางข้าราชการของรัฐที่ให้ความร่วมมือกับนักธุรกิจ นายทุนทั้งในชาติและข้ามชาติ กระทำการไม่ชอบธรรมเอาเปรียบประชาชนที่ด้อยโอกาสและเดือดร้อน ในขณะที่ทางภาคสังคมทั้งคนชั้นกลางและชั้นล่างทั้งรุ่นผู้ใหญ่และเด็กก็ถูกครอบงำด้วยวัตถุนิยม ความโลภและตัณหากิเลสราคะในเรื่องโลกีย์สุข แต่ทุกฝ่ายล้วนใช้สื่อแบบเล่ห์ทุบายในการชวนเชื่อให้คนต่างก็เป็นคนดีมีศีลธรรมกันทั้งนั้น ผลที่สะท้อนออกมาเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมและวัฒนธรรมในขณะนี้ก็คือ ความขัดแย้งที่เห็นได้จากเรื่องราวของตำรวจ ข้าราชการ พระสงฆ์องค์เจ้า นักธุรกิจ นายทุนและนักการเมือง รวมทั้งนักวิชาการกับประชาสังคมในขณะนี้ แต่ท่ามกลางความล้มเหลวในการใช้กฎหมาย การใช้อำนาจรัฐที่ไม่เป็นธรรมและกระบวนการยุติธรรมที่ล้วนแต่จนเกือบไม่ทำอะไรเลย ก็เกิดการเคลื่อนไหวทางภาคประชาสังคมในการติดตามและวิพากษ์วิจารณ์การกระทำที่ไม่ชอบธรรมของข้าราชการของรัฐ นักการเมืองและพ่อค้านายทุนตลอดจนพระสงฆ์และขุนนางพระมากขึ้นในช่องทางของระบบอินเทอร์เน็ตที่เรียกว่า Facebook ที่ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นกลไกทางสังคมในการควบคุมและวิพากษ์วิจารณ์ที่มีพลังในการต่อรองกับรัฐและนายทุน เป็นอะไรที่คล้ายกับการนินทา [Gossip] ของสังคมชาวนาในท้องถิ่นที่ใช้บริบทของความสัมพันธ์ทางสังคมในพื้นที่ [Social structure] แต่ปรากฏการณ์ของ Facebook เป็นเรื่องของในสังคมที่มีความสัมพันธ์ทางเครือข่าย [Social network] ที่แผ่กว้างออกไปกว่าความสัมพันธ์ทางสังคมของคนในชุมชนใดชุมชนหนึ่ง ก็นับว่าเป็นพัฒนาการทางเทคโนโลยีกับคนในสังคมที่ทันสมัยขึ้นเพื่อยุคสังคม ๔.๐ ในอนาคต โดยสรุปการใช้ Facebook ของผู้คนในปัจจุบันก็คือกลไกเพื่อการวิพากษ์ทางสังคมในระบบความสัมพันธ์ที่เรียกว่า Social network ในปัจจุบันนั่นเอง ความสำคัญและความหมายของ Facebook และช่องทางในโซเชียลมีเดียต่าง ๆ นอกเหนือไปจากการสื่อปกติก็คือ Social sanction ที่มีอำนาจในการต่อรองกับทางรัฐและทางทุนของผู้คนทั่วไปในภาคประชาสังคม ที่ว่าอำนาจนั้นไม่ได้หมายถึงอำนาจที่บังคับใช้ได้ตามกฎหมาย หากเป็นอำนาจต่อรองจากการแสดงความคิดเห็นของผู้คนในประชาสังคมที่เกิดจากการแสดงออกของคนหลายกลุ่มเหล่า ที่มีทั้งการขัดแย้งในทางตรงข้ามและเลือกฝักฝ่ายว่าเป็นพวกใดกลุ่มใด เสียงเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยใน Facebook ของแต่ละบุคคลนั้นเป็นเสียงจากปัจเจกที่มีทั้งรู้เรื่องราวอย่างตื้นและผิวเผินหรือลุ่มลึก แต่เมื่อมาเชื่อมโยงจากเครือข่ายแล้วผ่านออกมาทางสื่อมวลชน เช่น โทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์ รวมทั้งการวิเคราะห์ของผู้สนใจและรักความถูกต้องชอบธรรมแล้ว ก็สามารถชี้ให้เห็นว่าอะไรถูกต้องเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมได้ในการวิพากษ์วิจารณ์ เกิดเป็นความรู้ความเข้าใจที่มีอำนาจในการต่อรองกับการตัดสิน ความเห็นของทางฝ่ายผู้มีอำนาจทางกฎหมาย ซึ่งถ้าหากทางผู้มีอำนาจไม่ยอมรับและหลีกเลี่ยงก็อาจจะเกิดสิ่งที่นำไปสู่การเคลื่อนไหวในลักษณะที่เป็นประชาขัดขืน [Civil disobedience] ได้ ในเรื่องนี้มีหลายกรณีที่ทางผู้มีอำนาจมักจะอ้างความถูกต้องทางกฎหมายในกระบวนการยุติธรรม แต่ฝ่ายที่ไม่ยอมรับเห็นว่าเป็นสิ่งไม่ชอบธรรมที่ต้องตัดสินกันด้วยมโนธรรมและศีลธรรม สังคมไทยในยุคเทคโนโลยี ๔.๐ นี้กำลังมีการต่อรองกันด้วยอำนาจของรัฐโดยชอบธรรมทางกฎหมาย กับอำนาจของประชาวิพากษ์ที่หลาย ๆ เรื่อง ยังไม่อาจหาข้อยุติได้ บางเรื่องเล็ก ๆ ก็พอหาข้อยุติได้ เช่น กรณีหวย ๓๐ ล้าน แต่เรื่องการที่รัฐจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในภาคใต้ยังซื้อเวลาอยู่ เพราะผู้มีอำนาจพอมีสติว่าถ้าหากดำเนินการต่อไปย่อมเกิดการขัดขืนที่รุนแรงอย่างแน่นอน แต่เรื่องที่ยังคลุมเครือและแอบทำอยู่เรื่อย ๆ ก็คือ การรื้อป้อมมหากาฬอันเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของคนในชุมชน รวมทั้งโครงการทำถนนขนาบแม่น้ำเจ้าพระยาที่จะมีผลให้เกิดการขับไล่คนในชุมชนและการทำลายวัดวาอารามสิ่งก่อสร้างทางศิลปวัฒนธรรมและทิวทัศน์ทางประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฯ และธนบุรีนั้น น่าจะกลายเป็นการประลองกำลังกันระหว่างอำนาจทางกฎหมายของผู้เผด็จการกับอำนาจประชาวิพากษ์ที่มาจาก Facebook และสื่อต่าง ๆ ในภาคประชาสังคม อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • “คนจน” กับ “วัฒนธรรมความจนในสังคมไทย”

    เผยแพร่ครั้งแรก 22 มิ.ย. 2561 ในแนวคิดทางมานุษยวิทยาของข้าพเจ้า “ความจน” [Poverty] ในสังคมไทยปัจจุบัน วิเคราะห์ได้เป็น ๒ อย่าง ดร.ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ และอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ถ่ายที่บ้านบาตร อย่างแรกคือ คนจนที่แลเห็นเป็นคน ๆ ไป [Individual] เป็นความจนที่พิจารณาจากระดับรายได้ที่ต่ำสุดซึ่งไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ เป็นสิ่งที่ทางรัฐและสังคมต้องให้เงินช่วยเหลือ อย่างเช่นการจัดกองทุนหมู่บ้านที่ทำมาแต่สมัยนายทักษิณ ชินวัตร และสืบเนื่องมาจนถึงรัฐบาลยุคปฏิวัติของคสช. ในปัจจุบัน อย่างที่สองคือ “วัฒนธรรมความจน” ซึ่งเป็นแนวคิดและการศึกษาทางมานุษยวิทยาที่มาจากการศึกษาชุมชนในนิวยอร์กและเม็กซิโกของ “ออสการ์ ลูวิส” ใน ค.ศ. ๑๙๖๖ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ห่างไกลกับความคิดของนักวิชาการสมัยโพสต์โมเดิร์น ในปัจจุบันมาก “วัฒนธรรมความจน” ของออสการ์ ลูวิส เป็นเรื่องของวิถีชีวิตของคนที่อยู่รวมกันในชุมชนท้องถิ่นในสังคมที่เปลี่ยนผ่านจากสังคมชาวนาที่เป็นเกษตรกรรม [Peasant society] มาเป็นสังคมเมืองในยุคอุตสาหกรรม ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันเนื่องจากการโยกย้ายถิ่นฐานของผู้คนที่เคยอยู่กันมานานในท้องถิ่น ต้องละทิ้งอาชีพเดิมทางเกษตรกรรมและการเลี้ยงสัตว์ ที่เคยมีที่ดินที่ทำกินของตนเอง เข้ามาเป็นแรงงานรับจ้างตามเมืองและแหล่งอุตสาหกรรม อันเป็นเหตุให้เกิดการพลัดพรากจากครอบครัว และการล่มสลายของชุมชนในท้องถิ่น เมื่อโยกย้ายเข้ามาอยู่ในพื้นที่ซึ่งเป็นเมืองและแหล่งอุตสาหกรรมแล้ว ไม่อาจปรับตัวให้ทันกับความเจริญทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยีและวัฒนธรรมของคนเมืองได้ เกิดภาวะความล้าหลังตามไม่ทันสมัย ก็กลายเป็นกลุ่มคนที่เร่ร่อน สร้างที่อยู่อาศัยตามพื้นที่ต่าง ๆ ที่ไม่พัฒนาทั้งในเขตเมืองและตามชายขอบของที่เป็นปริมณฑล ดังเช่น บรรดานักผังเมือง นักสังคมสงเคราะห์เรียกว่าพื้นที่แออัดและสกปรกเต็มไปด้วยโรคภัย [Slum and plight area] ชุมชนบ้านบาตรและบ้านเรือนในอดีตที่มีความเป็นชุมชนแบบดั้งเดิมที่มีความชำนาญเฉพาะด้านในโครงสร้างแบบเมือง แต่ออสการ์ ลูวิส แลเห็นว่าเป็นกลุ่มวัฒนธรรมย่อยของสังคมใหญ่ที่เรียกว่า Sub culture ของกลุ่มชนที่มีวิถีชีวิตร่วมกัน เป็นสังคมหรือชุมชน [Community] ในสังคมเมือง [Urban society] โดยสร้างสังคมของคนในชุมชนที่เป็นวัฒนธรรมย่อยดังกล่าวนี้ เหมือนกันกับความเป็นชุมชนทั่วไปที่ประกอบด้วยครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับแม่ ที่มีบทบาทมากกว่าพ่อในการดูแลเลี้ยงดูลูก เหนือระดับครอบครัวขึ้นไปก็คือการสัมพันธ์ทางสังคมกับครอบครัวอื่นที่เข้ามาอยู่รวมกันในพื้นที่เดียวกัน ทำให้คนแต่ละครอบครัวเหล่านี้ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันมีความสัมพันธ์กันในทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมในการมีชีวิตรอดร่วมกัน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นวิถีชีวิตที่มีความรู้สึกร่วมทุกข์สุขในการเป็นกลุ่มเดียวกัน สิ่งนี้ข้าพเจ้าเรียกว่า “ชีวิตวัฒนธรรม” ที่มีลักษณะเป็นองค์รวม ทำให้คนในกลุ่มวัฒนธรรมย่อยมีปึกแผ่นทางสังคม [Social solidarity] สูงกว่าบรรดาชุมชนอื่นในสังคมเมืองทั้งหลาย แต่ต่างจากชุมชนเมืองเหล่านั้นเมื่อนำมาเปรียบเทียบ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในเรื่องฐานะความเป็นอยู่ รายได้และมาตรฐานในการดำรงชีวิต ความแตกต่างเหลื่อมล้ำนี้คือที่มาของคำว่า วัฒนธรรมความจน [The Culture of poverty] วัฒนธรรมความจนจะไม่พบมากในสังคมชนบทที่เป็นสังคมชาวนา [Peasant society] เพราะความแตกต่างในชีวิตวัฒนธรรมแทบไม่มี เพราะอยู่ในระดับใกล้เคียงกันหมดและความยากจนยากไร้ของปัจเจกบุคคล อันได้รับการดูแลช่วยเหลือจากคนในครอบครัวหรือจากองค์กรของชุมชนเอง อย่างเช่นในชุมชนของคนมุสลิมในภาคใต้จะมีกฎเกณฑ์ที่เป็นประเพณีให้คนในสังคมที่มีรายได้มากต้องเสียภาษีคนจนให้กับองค์กรของชุมชนที่จะมีหน้าที่รับรู้ถึงคนใด และครอบครัวใดที่ยากจนและขัดสน ก็จะนำเงินเหล่านั้นไปให้ความช่วยเหลือ แม้แต่ในชุมชนของคนพุทธคนที่เดือดร้อนขัดสนก็อาจมีชีวิตรอด มีที่อยู่อาศัยตามวัดหรือกับพี่น้องที่จะต้องดูแลไม่ให้อดตายเพราะความยากจน และชุมชนบ้านใดถิ่นใดเกิดมีคนยากจนอดอยากก็จะเป็นที่ดูถูกเหยียดหยาม โดยชุมชนอื่น ๆ ในท้องถิ่น สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่เป็นยุคแรก ๆ ของการปรับเปลี่ยนประเทศให้เป็นสังคมอุตสาหกรรม ได้มีการเคลื่อนย้ายของผู้คนในสังคมชาวนาในชนบทเข้ามาหางานทำและหาที่อยู่อาศัยในเขตเมือง โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครที่มีการขยายตัวอย่างกว้างขวาง ปรากฏการณ์ที่คนชาวนาเข้ามาตั้งหลักแหล่งทำมาหากินในเมืองนี้ เรียกว่า Peasantization of urban society ซึ่งข้าพเจ้าได้ว่าประมาณปี ค . ศ . ๑๙๖๒ ที่ข้าพเจ้ากลับจากออสเตรเลียมาเก็บข้อมูลภาคสนามเพื่อทำวิทยานิพนธ์นั้น ก็ได้แลเห็นปรากฏการณ์ Peasantization นี้ จากการมีคนทางภาคอีสานเข้ามามาก เกิดร้านค้า อาหารส้มตำไก่ย่างที่มาพร้อมกับบรรดาเพลงลูกทุ่งที่กลายเป็นที่นิยมของคนเมืองทั่วไปอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนย้ายของคนชนบทโดยเฉพาะจากทางภาคอีสานนั้น มีทั้งการเข้ามาเป็นแรงงานรับจ้างทำงานตามฤดูกาล เช่นในฤดูแล้งและว่างเว้นจากการทำนาทำไร่ แล้วกลับไปกับพวกที่เข้ามาทั้งครอบครัว อันเนื่องจากเป็นพวกไม่มีที่ดินทำกิน มักเข้ามาอยู่อาศัยพักพิงตามชุมชนเก่า ๆ ในเมืองตามย่านต่าง ๆ จนทำให้บรรดาชุมชนเมืองเหล่านั้นมีสภาพแออัด หลาย ๆ แห่งกลายเป็นชุมชนแออัดและพื้นที่สกปรกที่ทางราชการเรียกว่า Slum and plight area เป็นสิ่งที่เสื่อมโทรมและล้าหลังทั้งผู้คนและสภาพแวดล้อม จะต้องได้รับการพิจารณาใหม่หรือไม่ก็ให้เคลื่อนย้ายไปอยู่ที่อื่น โดยเฉพาะบรรดาผู้คนที่อยู่ในแหล่งพื้นที่แออัดและเสื่อมโทรมเช่นนี้ ก็มักจะถูกมองโดยคนในสังคมเมืองรุ่นใหม่ที่อยู่ในแหล่งที่อยู่อาศัยที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีและทันสมัย ซึ่งคือคนรุ่นใหม่หรือไม่ก็ย้ายเข้ามาใหม่จากที่อื่น ๆ จากต่างจังหวัดหรือต่างประเทศเข้ามาเป็นพลเมืองในยุคใหม่จำนวนมาก มักดูถูกว่าเป็นคนยากจน ไม่มีอาชีพการทำมาหากินที่แน่นอน มักละเมิดกฎหมาย เล่นการพนัน ลักขโมย รวมทั้งเป็นอันธพาล ในยามใดที่มีคดีความในเรื่องการละเมิดกฎหมายเกิดขึ้น ทั้งทางรัฐและคนเมืองก็มักจะคิดว่าเป็นการกระทำของคนด้อยโอกาสเหล่านั้น แหล่งชุมชนแออัดที่เรียกว่าเป็นแหล่งเสื่อมโทรมดังกล่าวนี้ คือสิ่งผู้คนภายในที่มีวิถีชีวิตร่วมกันที่ไม่ได้ระดับมาตรฐานของความเป็นอยู่ของความเป็นเมืองคือ “วัฒนธรรมความจน” [The culture of poverty] เป็นความยากจนที่มองจากข้างนอกเข้ามา ความยากจนที่มองจากวิถีชีวิตร่วมกันที่เรียกว่าเป็นชีวิตวัฒนธรรมนั้น ทางรัฐและสังคมไทยในส่วนรวมมักไม่เข้าใจ แต่จะเข้าใจเพียงว่าความจนเป็นเรื่องของความขัดสนในเรื่องเงินทองที่เป็นรายได้อันเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล จึงมักจะให้ความช่วยเหลือเป็นราย ๆ ไป จากการบริจาคหรือจากการตั้งเป็นกองทุนแล้วแจกจ่ายผ่านองค์กรหรือหน่วยงาน จนเกิดเรื่องการยักยอกและการทุจริตในเรื่องเงินช่วยเหลือคนจนในขณะนี้ ตามที่กล่าวมาแล้วนี้พอสรุปให้เห็นได้ว่า การพัฒนาบ้านเมืองเข้าสู่สมัยใหม่ที่เป็นการเปลี่ยนผ่านจากสังคมเกษตรกรรมแบบชาวนาตั้งแต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้นมานั้น มีทั้งสิ่งที่เรียกว่าความก้าวหน้าในความเป็นเมืองสมัยใหม่กับความล้าหลังทางวัฒนธรรมของกลุ่มชนที่อยู่มาแต่เดิมกับคนกลุ่มใหม่จากชนบทเข้ามาอยู่รวมกันก่อให้เกิดภาวะความแออัดในเรื่องที่อยู่อาศัยและสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรม ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำและแตกต่างทางเศรษฐกิจและสังคม ที่ทั้งรัฐและพลเมืองรุ่นใหม่แลเห็นว่าเป็น “คนยากจน” อยู่ในพื้นที่แออัดและเสื่อมโทรมที่เรียกว่า Slum and blight area ทั้งหมดนี้ นำไปสู่อคติในเรื่องชีวิความเป็นอยู่ของคนด้อยโอกาสเหล่านี้ว่านอกจากยากจนแล้วยังมีพฤติกรรมนอกกฎหมายที่เป็นแหล่งอันธพาลเล่นการพนัน ลักขโมย อันเป็นที่รังเกียจของคนเมือง นี่คือสิ่งที่ทางหน่วยราชการของรัฐ เช่น หน่วยงานรับผิดชอบทางผังเมืองและนักวิชาการทางสังคมศาสตร์ในยุคนั้น แลเห็นว่าต้องทำการโยกย้ายเวนคืนที่ดิน และสร้างสถานที่ใหม่ พื้นที่ใหม่ให้มาแทน โดยการฟ้องขับไล่ หรือไม่ก็ให้ค่าชดเชยเป็นเงินเป็นทองไปหาที่อยู่ใหม่ ดังเช่นการกระทำของกรุงเทพมหานคร ในการจัดการชุมชนชาวตรอกที่ชุมชนป้อมมหากาฬเป็นตัวอย่าง สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่นักมานุษยวิทยาแต่ปี ค.ศ ๑๙๖๖ ให้ความสำคัญกับกลุ่มคนด้อยโอกาสที่อยู่ในพื้นที่ซึ่งทางรัฐว่า แหล่งเสื่อมโทรม เป็นวัฒนธรรมย่อยของสังคมเมืองที่ผู้คนที่อยู่ร่วมกันในพื้นที่มีชีวิตวัฒนธรรมที่เรียกว่า “วัฒนธรรมความจน" แต่เมืองไทยและวงการศึกษาทางมานุษยวิทยาเกี่ยวกับสังคมเมืองไม่มี มาจนปี ค.ศ. ๑๙๖๘ เมื่อ รองศาสตราจารย์ ดร . อคิน รพีพัฒน์ ผู้เป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไปศึกษาขั้นปริญญาเอกทางมานุษยวิทยาที่มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ สหรัฐอเมริกา และเข้ามาทำงานภาคสนามในสังคมเมืองกรุงเทพมหานครโดยเลือกศึกษาเก็บข้อมูลที่ ชุมชนแออัดที่เรียกว่า “สลัม” [Slam] ท่านอาจารย์อคินจึงนับเนื่องเป็นนักมานุษยวิทยาคนไทยคนแรกที่ทำการศึกษาชุมชนในเมืองอย่างแท้จริง ผลการศึกษาของท่านก็คือแหล่งที่เรียกว่า “สลัม" หรือ “ชุมชนแออัด” นั้น คือชุมชนที่มีโครงสร้างทั้งด้านสังคมและวัฒนธรรมอย่างชัดเจน ซึ่งในความเห็นของข้าพเจ้าเป็น ชุมชนในวัฒนธรรมความจน [Culture of poverty] นั่นเอง จากนั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ความรู้ความเข้าใจในเรื่องความเป็นชุมชนและชีวิตวัฒนธรรมของแหล่งที่เรียกว่า Slum และ Plight areas ก็แพร่หลายเป็นที่รับรู้ไปทั้งคนในหน่วยราชการที่รับผิดชอบของรัฐกับของทางฝ่ายประชาสังคม โดยเฉพาะคนที่เป็นเจ้าหน้าที่ทางรัฐนั้นค่อนข้างเฉื่อยชา ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าชุมชนสลัมนั้นต้องเน้นที่คน ต้องพัฒนาที่คน แต่กลับยังใช้วิธีการเดิมอยู่ เช่น พยายามไล่ รื้อ ขับไล่ กล่าวหา เพราะง่ายต่อการปฏิบัติ ในขณะที่คนที่อยู่ในภาคประชาสังคมมีการเคลื่อนไหวผลักดันต่อรองเพื่อการดำรงอยู่ทางชีวิตวัฒนธรรมร่วมกันของคนในชุมชน ซึ่งในทุกวันนี้กำลังเพิ่มพูนความขัดแย้งมากกว่าแต่เดิมอันมีเหตุมาจากทางผังเมืองและหน่วยงานของรัฐต้องการพัฒนาโครงสร้างและขอบเขตของบ้านเมืองสมัยใหม่เพื่อขานรับความเป็น ๔.๐ ทางเศรษฐกิจและสังคมในยุคโลกาภิวัตน์ การศึกษาวิจัยทางมานุษยวิทยาของ อาจารย์ ม . ร . ว . อคิน รพีพัฒน์ ในสังคมเมืองยุคเปลี่ยนผ่านจากสังคมเกษตรกรรมเข้าสู่การเป็นสังคมอุตสาหกรรมนั้น ในส่วนรวมได้ทำให้สังคมรับรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่า ชุมชนแออัดและแหล่งเสื่อมโทรมนั้นคือชุมชนของมนุษย์ เช่นเดียวกันกับมนุษย์ที่อยู่ในชุมชนทั้งหลาย แม้เจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยราชการตลอดจนพวกนายทุน พ่อค้าที่ยังยึดมั่นกับคำว่าแหล่งเสื่อมโทรมเหล่านั้นจะไม่ยอมรับและมีวันเข้าใจ แต่ผู้คนในที่อยู่ในชุมชนแออัดเหล่านั้น ได้ตระหนักในความเป็นมนุษย์ที่จะต้องอยู่ร่วมกันและมีวัฒนธรรมร่วมกันที่จะได้มีชีวิตรอด จึงเกิดการเคลื่อนไหวและตื่นตัวมาโดยตลอด ซึ่งเห็นได้จากการคัดค้าน ต่อรอง และขัดขืนต่อโครงการพัฒนาบ้านเมืองที่ทำให้เกิดความวิบัติขึ้นในชีวิตวัฒนธรรมของพวกคน อาจารย์อคินคือนักมานุษยวิทยาในสังคมเมืองของประเทศในขณะนี้ก็ว่าได้ที่เรียนรู้และรู้จักชุมชนในวัฒนธรรมความจน อีกทั้งพยายามช่วยเมื่อเกษียณอายุราชการจากสถาบันในมหาวิทยาลัย ได้รับการเชิญจากสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ให้เป็นที่ปรึกษาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบรรดาชุมชนแออัดที่อยู่ในพื้นที่ความรับผิดชอบของสำนักงาน ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์จะเห็นคุณค่าในคำเสนอแนะนำของอาจารย์อคินเป็นอย่างไร แต่คงไม่ถึงเป็นแบบเดียวกันกับบรรดาสำนักงานของทางราชการทั้งหลาย เช่น กรุงเทพมหานครและผังเมืองเป็นอาทิที่ดูมีกิจกรรมในทางลบกับชุมชนในวัฒนธรรมความจนเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง ในส่วนของข้าพเจ้าและมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ได้รับคำแนะนะและอนุเคราะห์จากอาจารย์อคินให้รับทุนอุดหนุนจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เพื่อทำการศึกษาประวัติศาสตร์สังคมของบรรดาชุมชนในพื้นที่เขตของกรุงเทพมหานครที่อยู่สองฝั่งของคลองบางลำพู-โอ่งอ่างและคลองผดุงกรุงเกษม ที่มีแหล่งชุมชนแออัดที่จะต้องได้รับการเคลื่อนย้ายและปรับปรุงมากมาย เป็นผลให้ได้ความรู้ความเข้าใจในข้อเท็จจริงของความเป็นชุมชนมนุษย์ที่คนภายนอกมองว่าเป็นแหล่งมั่วสุมมั่วยาเสพย์ติดเสื่อมโทรมและนอกกฎหมายนั้น ที่แท้คือชุมชนมนุษย์ที่คนในชุมชนยังมีวิถีชีวิตร่วมกันในวัฒนธรรมความจนนั่นเอง ชุมชนดังกล่าวนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นชุมชนชาวตรอกที่กลายเป็นกลุ่มวัฒนธรรมย่อย [Subculture] ของสังคมใหญ่ในท้องถิ่นที่เรียกว่า “ ย่าน ” หรือ “ บาง ” เช่น ชุมชนชาวตรอกบ้านบาตรที่เป็นส่วนหนึ่งของย่านใหญ่ที่มีวัดสระเกศเป็นศูนย์กลาง และชุมชนชาวตรอกที่ป้อมมหากาฬ อันมีวัดราชนัดดาเป็นศูนย์กลาง ความต่างกันของชุมชนชาวตรอกทั้งสองแห่งนี้คือ ชุมชนป้อมมหากาฬถูกไล่รื้อทำลายโดยโครงการพัฒนาเมืองใหม่ของกรุงเทพมหานครที่ยังมีแนวคิดติดกับการพัฒนาพื้นที่แต่ไม่เห็นผู้คนในชุมชนที่มีชีวิตสืบเนื่องมาหลายยุคสมัย แต่ในทำนองตรงข้ามชุมชนชาวตรอกของบ้านบาตรยังดำรงอยู่ของคนในชุมชนรุ่นใหม่ที่สืบเนื่องวิถีชีวิตความเป็นอยู่มาแต่รุ่นเก่าหลายชั่วคนแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ ซึ่งแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเติบโตไปกว่าแต่เดิมก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่คนในชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนากับสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ที่มีรองศาสตราจารย์ ดร . อคิน รพีพัฒน์ เป็นที่ปรึกษา อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • เขาขุนน้ำนางนอน : ภูศักดิ์สิทธิ์ของแอ่งเชียงแสน

    เผยแพร่ครั้งแรก 21 ก.ย. 2561 ทุกวันนี้คนไทยทั่วประเทศคงไม่มีใครปฏิเสธว่าไม่เคยได้ยิน หรือไม่รู้จักคำว่า เขาขุนน้ำนางนอนและถ้ำหลวงที่เด็กนักฟุตบอลทีมหมูป่าอาคาเดมี เข้าไปเที่ยวและติดอยู่ในถ้ำจนเกือบไม่รอดชีวิต เป็นเหตุให้คนไทยและคนทั่วโลกระดมทั้งความรู้และพละกำลังไปช่วยเหลือให้รอดมา เหตุการณ์ครั้งนี้นับเป็นปรากฏการณ์ทางศีลธรรมและมนุษยธรรมอย่างแท้จริง และนับได้ว่าเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ด้วย ในการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยจากหลักฐานของการสร้างบ้านแปงเมืองของข้าพเจ้าในภูมิวัฒนธรรมของดินแดนล้านนาในภาคเหนือของประเทศไทย ที่ปรากฏตามที่ลาดลุ่มและที่ราบลุ่มในบริเวณระหว่างเขา (intermountain area) ที่เรียกว่า หุบ (valley) และแอ่ง (basin) นั้น เขาขุนน้ำนางนอนเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของแอ่งเชียงแสนในจังหวัดเชียราย ซึ่งเป็นที่ราบลุ่มโอบล้อมด้วยภูเขาทุกด้าน ด้านตะวันตกคือเขาขุนน้ำนางนอนที่เป็นขอบของเทือกเขาแดนลาวที่เป็นพื้นที่ของรัฐฉานในเขตประเทศพม่า ทางเหนือเป็นของเขาที่อยู่ในเขตพม่าที่มีลำน้ำสายและลำน้ำรวกมาสบกันเป็นลำน้ำใหญ่ ไหลผ่านที่ลาดลุ่มทางตอนเหนือของแอ่งเชียงแสนไปออกแม่น้ำโขงทางตะวันออกที่ตำบลสบรวก หรือที่เรียกกันในปัจจุบันว่า สามเหลี่ยมทองคำ และลำน้ำรวก คือเส้นจดแดนที่แบ่งเขตประเทศไทยออกจากประเทศพม่า จากสบรวกลงมาทางใต้จนถึงปากลำน้ำแม่คำใกล้กับเมืองเชียงแสน มีเขาเตี้ย ๆ ทำหน้าที่เป็นขอบของแอ่งเชียงแสนก่อนที่จะถึงบริเวณชายฝั่งแม่น้ำโขงและตอนปลายเขากลุ่มนี้ ซึ่งเป็นที่ลาดลุ่มชายของลงแม่น้ำโขงลำน้ำรวก และเมืองเชียงแสนทางตอนล่างที่ใกล้กับปากลำน้ำแม่คำ ทางด้านใต้ของแอ่งเชียงแสน มีกลุ่มเขาเตี้ย ๆ จากอำเภอแม่จัน เป็นของแอ่งเป็นบริเวณที่มีลำน้ำสองสายจากทางตะวันตก ผ่านแอ่งเชียงแสนมาออกแม่น้ำโขงใต้เมืองเชียงแสนลงมา ลำน้ำทั้งสองนี้คือ ลำน้ำแม่จันกับลำน้ำแม่คำ ลำน้ำแม่จันไหลผ่านช่องเขาทางใต้ของเขาขุนน้ำนางนอนเลียบกลุ่มเขาแม่จันมาสมทบกับลำน้ำแม่คำที่ไหลมาจากขุนน้ำนางนอนกลายเป็นลำน้ำแม่คำไหลผ่านเมืองเชียงแสนไปออกแม่น้ำโขงที่ปากคำ กลุ่มเขาของแม่จันจากอำเภอแม่จันมาออกปากลำน้ำคำนี้คือทิวเขาที่กันบริเวณแอ่งเชียงแสนของลำน้ำแม่สาย ลำน้ำคำและลำน้ำแม่จันออกจากลุ่มน้ำแม่กกที่นับเนื่องเป็นบริเวณแอ่งเชียงรายที่มีลำน้ำแม่ลาวและแม่กกรวมไหลกันมาออกแม่น้ำโขงที่ตำบลสบรวก อาจกล่าวได้ว่าทิวเขาแม่จันนี้คือ สันปันน้ำที่แบ่งแอ่งเชียงรายออกจากแอ่งเชียงแสน แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่าการแบ่งสันปันน้ำก็คือ ทางเชิงเขาฟากฝั่งแอ่งเชียงรายเป็นที่ลุ่มต่ำเต็มไปด้วยหนองบึงที่เรียกว่า หนองหล่ม คือหนองที่มีน้ำซับหรือน้ำใต้ดินที่มีระดับน้ำไม่คงที่ เช่นเวลาฝนตกและมีน้ำใต้ดินมาก น้ำอาจท่วมท้นทำให้เกิดน้ำท่วมดินถล่มกลายเป็นทะเลสาบได้ หรือเมือง น้ำใต้ดินลดน้อยลงแผ่นดินโดยรอบก็จะแห้งกลับคืนมาทำให้คนเข้าไปตั้งถิ่นที่อยู่อาศัยโดยรอบของหนองหรือทะเลสาบนั้นได้ ในการศึกษาทางภูมิวัฒนธรรมของการสร้างบ้านแปงเมืองในแอ่งเชียงแสนจากตำนานของข้าพเจ้า และบิดาคือ อาจารย์มานิต วัลลิโภดม พบว่าแอ่งเชียงแสนเป็นที่เกิดของเมืองที่เป็นต้นกำเนิดของคนไทยสองเมือง คือเมืองเวียงพางคำ เชิงที่ราบลุ่มของเขาขุนน้ำนางนอนที่อยู่ขอบเขาใกล้กับลำน้ำแม่สายที่อยู่ทางตอนเหนือของแอ่งเชียงแสน กับเมืองเวียงหนองหล่มที่อยู่ชายขอบทิวเขาแม่จันทางฟากลุ่มน้ำแม่กก ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของแอ่งเชียงแสน ตำนานที่กล่าวถึงการสร้างบ้านแปงเมืองที่ว่านี้ เป็นตำนานของคนสองเผ่าพันธุ์ คือคนไทยและคนลัวะ ตำนานของคนไทยคือตำนานสิงหนวัติ ส่วนตำนานของคนลัวะคือตำนานเกี่ยวกับปู่เจ้าลาวจก ความต่างกันของตำนานทั้งสองก็คือ ตำนานของคนไทยคือตำนานของคนที่เข้ามาในแอ่งเชียงแสนจากภายนอก ในขณะที่ตำนานปู่เจ้าลาวจกเป็นตำนานของคนที่มีถิ่นฐานอยู่ในแอ่งเชียงแสนมาก่อน ตำนานของคนลัวะตั้งถิ่นฐานอยู่บนที่สูง เช่นเขิงเขาและเขาเตี้ย ๆ ส่วนของคนไทยตั้งหลักแหล่งในที่ราบลุ่มใกล้แม่น้ำ ลำน้ำและหนองบึง และคนเหล่านี้ก็เข้ามาพร้อมกันกับความเชื่อในเรื่องของผีบนท้องฟ้า เช่น ผีแถน และพญานาคที่เป็นเจ้าของแผ่นดินและน้ำ ดังเช่นบริเวณใดที่เป็นหนอบึงที่มีน้ำซับก็จะเชื่อว่าเป็นรูของพญานาค เมื่อมาผสมกับความเชื่อทางพุทธศาสนาแล้วก็มักจะสร้างพระมหายอดเจดีย์ ณ ตำแหน่งที่เป็นรูของพญานาคให้เป็นหลักของบ้านและเมือง ส่วนความเชื่อของคนลัวะไม่มีเรื่องผีบนฟ้า เช่น ผีแถน ผีฟ้า และพญานาค ซึ่งเป็นสัตว์เนรมิต แต่เชื่อในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนดิน และสัตว์ธรรมชาติที่เป็นสัตว์กึ่งน้ำกึ่งบก เช่น งู ปลาไหล จระเข้ ตะกวด เหี้ย ที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ รวมทั้งความเชื่อในเรื่องผู้หญิงเป็นใหญ่กว่าผู้ชายในสังคม เช่นผู้ที่เป็นเจ้าเมือง และปกครองคนคือผู้ที่เป็นหญิง เป็นต้น จากหลักฐานทางโบราณคดีที่ได้ศึกษาและสำรวจมาเกี่ยวกับคนลัวะ ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บนที่สูงตามเขาและเนินเขาเหล่านี้ พบว่าระบบความเชื่อของคนลัวะได้พัฒนาขึ้นเป็นระบบหินตั้ง (megalithic) คือ มีการแยกพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ออกจากพื้นที่ธรรมดาสาธารณ์ด้วยแท่งหิน ก้อนหิน หรือแผ่นหิน รวมทั้งการกำหนดลักษณะภูเขา ต้นไม้ เนินดินให้เป็นแหล่งที่สถิตของอำนาจเหนือธรรมชาติ เช่น การกำหนดให้เป็นที่ฝังศพของคนสำคัญ หรือไม่ก็เป็นบริเวณที่สัมพันธ์กับการอยู่สถิตของอำนาจเหนือธรรมชาติ และพื้นที่ในการมาประกอบพิธีกรรมร่วมกัน เป็นต้น การฝังศพของบุคคลสำคัญมักจะถูกกำหนดให้ฝังไว้ในที่สูงที่ไม่ไกลจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่อาจจะเป็นโขดหิน เพิงหิน หรือกองหินสามก้อน หรือสามเส้าที่อาจจะเป็นก้อนหินธรรมชาติ หรือเป็นของที่เคลื่อนย้ายจากที่อื่นมาประดิษฐานไว้ ในขณะที่บริเวณที่ฝังศพจะทำให้เป็นเนินดินล้อมเป็นรูปกลมหรือรูปเหลี่ยม รวมทั้งนำแท่งหินหรือก้อนหินมาปักรอบในระยะที่ห่างกันเป็นสี่ก้อนหรือมากกว่านั้นโดยไม่กำหนดตามจำนวนอย่างใด และบริเวณที่วางศพก็จะมีเครื่องเซ่นศพที่อาจจะเป็นเครื่องประดับ อาวุธและภาชนะดินเผา รวมทั้งเครื่องใช้บางอย่าง คนที่อยู่ในที่สูง เช่น พวกลัวะที่กล่าวมานี้ตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่มากมายตามเขาต่าง ๆ ในเขตแคว้นล้านนา อาจแบ่งออกได้เป็นหลายเผ่า (tribes) แม้ว่าจะเป็นชาติพันธุ์เดียวกันก็ตาม บางเผ่ามีพัฒนาการทางสังคมและการเมืองใหญ่โตเป็นเมืองเป็นรัฐ (tribal state) เกิดขึ้นมา ซึ่งแลเห็นได้จากการสร้างเนินดินที่มีคูน้ำและคันดินล้อมรอบเป็น เวียง ขึ้นเพื่อการอยู่อาศัย การจัดการน้ำและการป้องกันการรุกรานของข้าศึกศัตรู เหนือความเชื่อในเรื่องพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นแหล่งฝังศพของคนสำคัญ โขดหินและเนินศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นแหล่งพิธีกรรมดังกล่าวมานี้ ก็เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่มีลักษณะโดดเด่นทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นขุนเขา ยอดเขาที่มีความสูงเป็นที่สุดเหนือบริเวณเขาทั้งหลาย หรือที่มีรูปร่างแบบไม่ธรรมดาที่ชวนให้คนที่เห็นมีจินตนาการนึกเห็นเป็นเรื่องราวอะไรต่าง ๆ ก็ได้ ก็คือบรรดาขุนเขาที่สัมพันธ์กับตำนาน ความเชื่อในเรื่องของความเป็นมาของบ้านเมืองที่เกิดขึ้นในท้องถิ่น บรรดาขุนเขาเหล่านี้ที่เป็นโดดเด่นในภาคพื้นล้านนาก็มี เช่น ดอยหลวงเชียงดาว ดอยสุเทพ ดอยด้วนและดอยตุง เป็นต้น ซึ่งในที่นี้ดอยตุงก็คือดอยที่สูงสุดของขุนเขาขุนน้ำนางนอน ในพงศาวดารโยนกที่กล่าวถึงเรื่องราวของกลุ่มคนลัวะในตระกูลของปู่เจ้าลาวจกที่ต่อมาพัฒนาการเป็นราชวงศ์ลวจักราชของพญามังรายปฐมกษัตริย์ของเมืองเชียงใหม่ แต่ในพงศาวดารไม่เรียกว่าดอยตุง แต่เรียกว่า ภูสามเส้า จากรูปร่างที่ปรากฏอยู่ของดอยสามดอยในบริเวณใกล้เคียงกัน คือดอยจ้อง ดอยผู้เฒ่า และดอยตุง ซึ่งในบรรดาดอยทั้งสามนี้ ดอยตุงอยู่ในระดับสูงที่สุดเป็นที่ซึ่งมีการนำพระธาตุมาประดิษฐานไว้เหนือดอยที่รู้จักกันในนามของดอยตุง คำว่าตุง โดยทั่วไปหมายถึงธงที่เป็นสัญลักษณ์ในทางศาสนาและความเชื่อ แต่ผู้รู้ในท้องถิ่นบางท่านบอกว่าเป็นบริเวณที่มีน้ำมารวมกัน ในตำนานของดอยตุงจากพงศาวดารโยนกบอกว่า บนดอยตุงเป็นที่อยู่อาศัยและที่ทำกินของกลุ่มคนลัวะที่มีปู่เจ้าลาวจกเป็นผู้นำทำการเพาะปลูกพืชพันธุ์ด้วยการใช้เสียมตุ่น (เครื่องมือหิน) ในการพรวนดิน ต่อมาได้เคลื่อนย้ายลงจากบนเขามาสร้างบ้านแปงเมืองที่เชิงเขาใกล้กับลำน้ำสายที่ตอนปลายน้ำเรียกลำน้ำรวก และเรียกชื่อเมืองนี้ว่าหิรัญนครเงินยางที่เป็นต้นกำเนิดให้เกิดเมืองเชียงแสนขึ้น เป็นรังเป็นนครในสมัยต่อมา โดยมีกษัตริย์ผู้เป็นต้นตระกูลมีพระนามว่า ลวจักราช ผู้ทำให้เกิดรัฐเชียงแสนขึ้น กษัตริย์สำคัญของราชวงศ์นี้คือขุนเจือง เป็นผู้ที่แผ่อำนาจของรัฐเชียงแสนกว้างใหญ่ไปทั้งสองฟากของแม่น้ำโขง และต่อมาจากขุนเจืองอีกสี่รัชกาลก็มาถึงพญามังรายผู้สถาปนาแคว้นล้านนาขึ้นโดยมีเมืองสำคัญอยู่ที่เชียงใหม่ การสร้างเมืองขึ้นที่เชิงดอยตุงใกล้กับลำน้ำที่กล่าวในตำนานปู่เจ้าลาวจกนี้มีเมืองอยู่จริงในบริเวณเชิงเขาดอยเวาอันเป็นแนวเขาต่อเนื่องจากดอยจ้องลงไปจดลำน้ำสายที่กั้นเขตแดนไทย-พม่าที่ตำบลท่าขี้เหล็ก แต่คนท้องถิ่นในปัจจุบันไม่ได้เรียกว่าเมืองหิรัญนครเงินยางดังกล่าว ในตำนานลวจักราชผู้มีต้นตระกูลเป็นคนลัวะบนดอยตุง แต่เรียกชื่อเมืองว่า เวียงพางคำ เป็นบ้านเกิดเมืองนอนของพระเจ้าพรหมมหาราชพระองค์แรกของชนชาติไทยในดินแดนประเทศไทย เป็นการอ้างเรื่องราวในตำนานสิงหนวัติของกลุ่มตนไทยที่เคลื่อนย้ายจากทะเลสาบตาลีฟู หรือหนองแส เป็นต้น แม่น้ำโขงในมณฑลยูนนานของประเทศจีน เป็นกลุ่มของชนเผ่าไทยที่อยู่ในพื้นราบทำนาในที่ลุ่มที่เชื่อกันว่าอพยพผ่านเขตอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ตามลำน้ำแม่กกลงมาสร้างบ้านแปงเมืองอยู่ ณ บริเวณหนองหล่มใกล้กับแม่น้ำโขงใกล้กับเมืองเชียงแสน ในตำนานนี้บอกว่าผู้นำของชนเผ่าไทยคือพญาสิงหนวัติ สร้างเมืองในบริเวณหนองหล่ม โดยได้รับการช่วยเหลือจากพญานาคผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินและน้ำที่หนองหล่มนี้ จึงมีการตั้งชื่อเมืองให้เป็นเกียรติแก่พญานาคว่า โยนกนาคพันธุ์ โดยเอาชื่อเผ่าที่เรียกว่า ยวน หรือ โยนกมาผสมกับชื่อนาคพันธุ์ของพญานาคตนนั้น กษัตริย์ราชวงศ์สิงหนวัติครองเมืองโยนกนาคพันธุ์มาหลายชั่วคน บ้านเมืองก็ล่มจมน้ำไปอันเนื่องมาจากความชั่วร้ายของผู้คนที่ไปจับปลาไหลเผือกจากหนองน้ำมากิน ทำให้ต้องมาตั้งเมืองใหม่ขึ้นที่เวียงปรึกษาริมฝั่งแม่น้ำโขงใกล้กับปากลำน้ำแม่คำเป็นเมืองใหม่ขึ้นมาแทนเมืองหนองหล่ม แต่เชื้อสายของพญาสิงหนวัติให้แยกย้ายไปสร้างบ้านแปงเมืองที่อยู่เหนือน้ำไปยังลุ่มน้ำแม่กกและแม่ลาวในเขตจังหวัดเชียงราย มีเมืองชัยนารายณ์และชัยปราการเป็นต้น แต่กลุ่มหนึ่งไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่แม่สายเชิงดอยตุงและตั้งชื่อเมืองว่า เวียงพางคำตามพระนามของพญาพังคราชผู้เป็นพระราชบิดาของพระเจ้าพรหมมหาราช แต่จากหลักฐานทางโบราณคดีมีร่องรอยของเมืองหรือเวียงอยู่จริงที่เชิงดอยตุงใกล้ลำน้ำสาย ที่ชาวบ้านในปัจจุบันเรียก เวียงพางคำ ตามชื่อกษัตริย์ในตระกูลสิงหนวัติที่เป็นกลุ่มชนเผ่าไทยในที่ราบลุ่มทำนาเหมือง นาฝาย ต่างจากการทำไร่นาของคนลัวะที่อยู่บนที่สูง และเมืองนี้ก็เป็นต้นกำเนิดของการสร้างเหมืองฝายโดยกษัตริย์ผู้ครองเมืองที่เรียกว่าเหมืองแดง สร้างจากการชักน้ำสายสาขาหนึ่งที่ไหลลงจากทิวเขาดอยตุงมาทำนาในที่ลุ่มทางด้านตะวันออกของเมืองในการศึกษาสำรวจทางโบราณคดีของข้าพเจ้าทั้งจากภาพถ่ายทางอากาศ และการศึกษาภาคพื้นดินได้ความว่าเป็นเมืองรูปสี่เหลี่ยมค่อนข้างเป็นผืนผ้าแบบไม่สม่ำเสมอ พอแลเห็นแนวคูน้ำและคันดินเป็นรูปเหลี่ยมค่อนข้างชัดทางตะวันตกเฉียงเหนือ อันเป็นด้านติดกับภูเขาขุนน้ำนางนอนที่มีความยาวประมาณ ๑,๐๑๐ เมตร และทางด้านใต้ประมาณ ๑,๐๒๓ เมตร ทางด้านเหนือแนวกำแพงและคูน้ำคดเคี้ยวอันเนื่องมาจากเป็นบริเวณที่รับน้ำจากลำห้วยที่ลงจาเขาเพื่อชักให้ไหลผ่านคูเมืองออกไปลงพื้นที่ราบลุ่มทางตะวันออก ในขณะที่ทางด้านตะวันออกที่อยู่ในที่ลาดลุ่มไม่มีร่องรอยของแนวคันดินและคูน้ำปล่อยให้เปิดกว้างเป็นที่รับน้ำของลำห้วยและลำเหมืองที่มาจากเขาทางมุมเมืองด้านเหนือต่อกับด้านตะวันตก และการที่มีคูน้ำและคันดินไม่ครบทุกด้านเช่นนี้ก็สะท้อนให้เห็นว่าการสร้างคูน้ำและคันดินของเวียงพางคำไม่ใช่เป็นเรื่องของการป้องกันการรุกรานของศัตรูในยามสงครามเป็นเรื่องสำคัญ หากเป็นเรื่องการจัดการน้ำในเรื่องการป้องกันน้ำป่าบ่าไหลเข้าท่วมเมืองประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งก็คือ การชักน้ำเข้ามาใช้ในเมืองและเบนน้ำเขาตามลำเหมืองออกไปยังพื้นที่อยู่อาศัยและทำกินของผู้คนที่อยู่นอกเมืองทางด้านตะวันออก ลักษณะรูปพรรณสัณฐานและตำแหน่งเมืองติดกับภูเขาเช่นนี้มีลักษณะคล้ายกันกับเมืองเชียงใหม่ ที่ตั้งอยู่ตรงที่ลาด หรือเชิงเขาดอยสุเทพ ดังแลเห็นได้จากแนวคูน้ำและกำแพงเมืองชั้นนอกที่มีไม่ครบ โดยปล่อยให้ด้านเหนือของตัวเมืองปล่อยโล่งเพื่อให้น้ำจากลำห้วยไหลผ่านที่ลาดไปลงแม่น้ำปิงทางทิศตะวันออก ทำให้ด้านตะวันออกไม่มีแนวคันดินและคูน้ำ แต่มีการขุดเหมืองแม่บ่าชักน้ำผ่านด้านตะวันออกของเมืองลงไปออกตั้งแต่น้ำปิงที่ตำบลไชยสถานที่อำเภอหัวดงแทน แนวคันดินและคูน้ำรูปไม่สม่ำเสมอของเมืองชั้นนอกของเชียงใหม่ที่น่าจะเป็นของเดิมที่มีมาก่อนการสร้างเมืองเชียใหม่ในสมัยพญามังรายเป็นเมืองเพื่อการจัดการน้ำที่ไม่เน้นการป้องกันข้าศึกเช่นเดียวกันกับเวียงพางคำ พอมาถึงสมัยพญามังรายจึงมีการสร้างเมืองสร้างคูน้ำและคันดินเป็นรูปสี่เหลี่ยมแบบเมืองสุโขทัยขึ้นมา ตามตำนานที่ว่าพญามังรายทูลเชิญให้พญาร่วงจากสุโขทัยมาช่วยสร้างเมือง ซึ่งต่อมาในรัชกาลพระเมืองแก้วก็มีการสร้างกำแพงก่อด้วยอิฐมีใบเสมาอันเป็นลักษณะกำแพงเมืองที่ได้รับอิทธิพลตะวันตกเช่นเดียวกับเมืองในสมัยอยุธยา สำหรับเวียงพางคำนั้นก็มีร่องรอยบางอย่างที่มีการสร้างแนวคันดินและคูน้ำใหม่ขึ้นภายในบริเวณเมืองเดิมเป็นรูปสี่เหลี่ยมแต่มีขนาดเล็กที่ยังดูอะไรไม่ชัดเจน เพราะมีการปรับเปลี่ยนพื้นที่ในสมัยปัจจุบัน ยกเว้นร่องรอยของสระน้ำโบราณหลายแห่งที่มีความหมายต่อการใช้น้ำนความเป็นอยู่ของคนเมือง รวมทั้งเนินดินไม่สม่ำเสมออีกหลายแห่งที่ยังไม่มีการขุดค้นทางโบราณคดีเพื่อศึกษา การที่กล่าวพาดพิงเปรียบเทียบไปถึงเมืองเชียงใหม่ในที่นี้ก็เพื่อที่จะชี้ให้เห็นว่าทั้งเชียงใหม่ในแอ่งเชียงใหม่มีอะไรที่คล้ายกันกับเมืองเวียงพางคำในแอ่งเชียงแสนอย่างมาก เริ่มแต่เรื่องของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ขุนน้ำนางนอนกับดอยสุเทพ กับการสร้างบ้านแปงเมืองของเมืองสำคัญที่ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาอันเป็นที่ลาดลุ่มลงสู่ที่ชุ่มน้ำ ที่รับน้ำลงมาจากลำน้ำลำห้วยและลำเหมืองฝายจากทิวเขาทางด้านตะวันตก และมีลำน้ำสายใหญ่หล่อเลี้ยงเช่นลำน้ำปิง และลำน้ำสาย จากบริเวณต้นน้ำที่ลาดลงจากทิวเขา ทำให้เกิดการทำเหมืองฝายเพื่อการทำนาข้าวที่เลี้ยงผู้คนพลเมืองให้อย่างมากมาย และทำให้เกิดการกระจายตัวของบ้านและเมืองไปตามลำน้ำธรรมชาติ และลำเหมือง เป็นบ้านเมืองของการทำนาแบบทดน้ำ (wet rice) ที่เรียกว่า นาดำ (trans planting) ดังเห็นได้จากบริเวณที่ราบลุ่มด้านตะวันออกของทั้งทิวเขาขุนน้ำนางนอนและเขาดอยสุเทพ เขาขุนน้ำนางนอนคือชื่อในปัจจุบัน แต่ก่อนในตำนานเป็นเขาของคนลัวะที่เรียกว่า ภูสามเส้า ต่อมาเปลี่ยนเป็นดอยตุง อันเนื่องมาจากการสร้างพระธาตุบนยอดเขาที่สูงสุดในบริเวณนี้ ข้าพเจ้าเคยขึ้นไปสำรวจดูบริเวณเขานี้ในเวลาอันจำกัดไม่พบร่องรอยของโขดหินศักดิ์สิทธิ์ หรือเนินดินที่ฝังศพคนสำคัญในรอบหินตั้งเหมือนในที่อื่น แต่พบบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ปัจจุบันยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แทน ซึ่งพอนำมากล่าวตีความได้ว่าน่าจะเป็นแหล่งศักดิ์สิทธิ์ของคนลัวะก่อนการสร้างพระธาตุดอยตุงที่มากับความเชื่อของคนเผ่าไทย-ลาวในล้านนาและล้านช้างที่เชื่อว่าที่ใดมีน้ำซับหรือน้ำใต้ดินเป็นรูพญานาคจะมีการสร้างพระธาตุในทางพุทธศาสนาขึ้นปิดรูนาค ทำให้การสร้างพระธาตุดอยตุงขึ้นในบริเวณนี้ เปลี่ยนชื่อภูสามเส้ามาเป็นดอยตุงทางพุทธศาสนาแทน จนมาปัจจุบันคนทั่วไปรุ่น. ใหม่ ๆ กำลังลืมชื่อดอยตุงมาเป็นเขาขุนน้ำนางนอนแทน โดยเอาตำนานท้องถิ่นของคนรุ่นหลัง ๆ มาอธิบายแทน แต่เหตุการณ์ที่มีการช่วยเหลือเด็กนักฟุตบอลทีมหมูป่าอาคาเดมีโดยทั้งคนไทยและคนทั่วโลกนั้น ทำให้ข้าพเจ้าได้เห็นและเข้าใจในสิ่งใหม่อย่างหนึ่งก็คือ ทิวเขาขุนน้ำนางนอนเป็นแหล่งน้ำใต้ดินที่ใหญ่โตตลอดแนวเขาที่บรรดาน้ำที่มาจากที่สูงบนเขาทางด้านตะวันตกที่แผ่ยาวไปในเขตรัฐฉานของพม่ามาสะสมอยู่ใต้ทิวเขาก่อนที่จะไหลออกพื้นที่ราบลุ่มทางด้านตะวันออกตามลำห้วย ลำเหมืองใหญ่น้อยที่เป็นต้นน้ำทำให้เกิดการทำเหมือง ฝาย ขยายพื้นที่การเพาะปลูกและการตั้งถิ่นฐานของผู้คน จนกล่าวเป็นแอ่งเชียงแสนขึ้นมา การเป็นทิวเขาของการสะสมน้ำใต้ดินที่อยู่ชายขอบเทือกเขาและที่สูงที่มีที่ลาดลุ่มและราบลุ่มอันเป็นพื้นที่ทางการเกษตรกรรมปลูกข้าวเช่นนี้เป็นเหมือนกัน ทั้งแอ่งเชียงแสนและเชียงใหม่ ดังเห็นได้จากร่องรอยของเหมืองฝายมากมายนับไม่ถ้วน ในปัจจุบันที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคของบ้านเมืองในสังคมอุตสาหกรรม โดยเฉพาะดอยตุงที่กำลังเปลี่ยนเป็นดอยขุนน้ำนางนอนนั้นข้าพเจ้าเผอิญได้รับรู้การให้ความหมายใหม่จากผู้รู้ที่เป็นคนท้องถิ่นว่า คำว่าดอยตุงนั้นคงไม่ได้หมายความว่าเป็นดอยที่มีตุงที่แปลว่าธงที่เป็นสัญลักษณ์ทางพุทธศาสนา แต่หมายถึงพื้นที่และขอบเขตที่น้ำมาตุงอยู่กระมัง ก็ดูสมเหตุสมผลดีกับการมีบ่อน้ำใต้ดินหรือน้ำขังที่เป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์บนยอดดอยตุงตรงเนินที่จะสร้างพระธาตุดอยตุง ในทุกวันนี้คนไม่รู้จักภูสามเส้าของคนลัวะและกำลังลืมดอยตุงของคนล้านนา แต่คนทั้งประเทศรู้จักตำหนักแม่ฟ้าหลวงของสมเด็จย่าและบรรดาชาวเขาเผ่าใหม่ ๆ มีเคลื่อนย้ายเข้ามาตอนหลังและในปัจจุบันกำลังพูดถึงเขาขุนน้ำนางนอนและถ้ำหลวง รวมถึงทางรัฐและเอกชน คาดหวังว่าจะพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ นานาที่ไม่ได้คิดถึงผลที่ตามมาทางสภาพแวดล้อมธรรมชาติและวัฒนธรรมจะเกิดความฉิบหายอย่างไร ปัจจุบันคนเรียกเขานี้ว่าเขาขุนน้ำนางนอนที่มากับการเปลี่ยนแปลงของตำนานบ้านเมืองที่คนรุ่นหลังในปัจจุบันสร้างและเรียกกัน ซึ่งกลายเป็นเรื่องความรักและการพลัดพรากของเจ้าหญิงผู้เป็นธิดาของเจ้าผู้ครองเมือง ซึ่งคงหมายถึงเมืองเวียงพางคำในเขตอำเภอแม่สาย ซึ่งคนชาติพันธุ์ไทยใหญ่เป็นกลุ่มสำคัญที่สร้างตำนานเมืองเวียงพางคำและพระเจ้าพรหมมหาราช คือผู้นำวัฒนธรรม (culture hero) และนางนอนของขุนเขาขุนน้ำก็คือพระธิดาของกษัตริย์ที่เป็นคนไทยใหญ่ ซึ่งตำนานก็บานปลายมาถึงเรื่องความรักที่เป็นโศกนาฏกรรมของเจ้าหญิงกับคนเลี้ยงม้าที่เกิดความเชื่อว่าคือ พระครูบาบุญชุ่มผู้ประกอบพิธีกรรมช่วยเด็กนักฟุตบอลหมูป่าให้รอดชีวิตออกมาจากถ้ำหลวง การเปลี่ยนแปลงของเรื่องในตำนานและชื่อสถานที่ตลอดจนบุคคลสำคัญเกี่ยวกับเขาขุนน้ำนางนอนดังกล่าวนี้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงความจริงของการเปลี่ยนแปลงทางภูมิวัฒนธรรมของพื้นที่แอ่งเชียงแสนที่มีขุนเขาน้ำนางนอนเป็นประธาน ว่าเป็นแอ่งของที่ลาดลุ่มและกลุ่มที่มีการเคลื่อนย้ายของคนหลายชาติพันธุ์จากภายนอกที่ผลัดกันอพยพเคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานในแอ่งเชียงแสนของจังหวัดเชียงรายถึงสามสิบชนชาติและชาติพันธุ์ในหนังสือสามสิบชนชาติในเชียงรายของ ส.ส.บุญช่วย ศรีสวัสดิ์

เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page