top of page

พบผลการค้นหา 220 รายการ

  • ประชาธิปไตยจากข้างล่าง

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ต.ค. 2556 ในฐานะข้าพเจ้าเป็นคนไทยคนหนึ่งในสยามประเทศ การเคลื่อนไหว [Social Movement] ของมหาชนสยามที่ออกมาขับไล่รัฐบาลทรราชอำมหิต “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” ที่ดังสนั่นโลกครั้งนี้ ไม่ใช่ปัญหาเรื่องการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขแต่อย่างใด หากแต่เป็นการขจัดการโกงกิน คอรัปชั่นของนักการเมือง ข้าราชการ และบรรดานายทุนกลุ่มผลประโยชน์ในรัฐบาลที่ไม่มีความโปร่งใส [Good Government] ภายใต้การบงการของอดีตนายกรัฐมนตรีหนีคุกที่อยู่นอกประเทศ หนีกฎหมาย และเร่ขายประเทศชาติบ้านเมืองและทรัพยากรให้แก่ประเทศนายทุนต่างชาติในขณะนี้ เป็นกระบวนการทุจริตโกงกินและหลอกลวงประชาชนที่เรียกว่า “ ระบอบทักษิณ ” อันเป็นระบอบที่อาศัยความประชาธิปไตยจากข้างบนเป็นสิ่งปกป้องและพรางกาย แต่ฝ่ายรัฐทรราชไม่ยอมผิดในเรื่องความชั่วร้ายของการโกงกินคอรัปชั่นอย่างที่กล่าวหา แต่พยายามดื้อแพ่งและเบี่ยงเบนไปเรื่องการขับไล่รัฐบาลของตนที่เป็นรัฐบาลประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ เพราะได้รับเลือกตั้งมาจากคะแนนเสียงส่วนมากกว่า ๑๕ ล้านเสียง เพราะฉะนั้นจะทำอะไรก็ถูกต้องทั้งสิ้น เพราะประชาชนเสียงข้างมากให้สิทธิและอำนาจถูกต้องตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ เช่น การเสนอผ่านกฎหมายและพระราชบัญญัติต่าง ๆ ก็ล้วนได้รับการเห็นชอบจากเสียงผู้แทนส่วนใหญ่ในรัฐสภาด้วย จึงเกิดการละเมิดรัฐธรรมนูญขึ้นเมื่อกฎหมายบางฉบับโดยเฉพาะการผ่านกฎหมายนิรโทษกรรมเป็นสิ่งผิดและศาลรัฐธรรมนูญก็ตัดสินให้ว่าผิด แต่รัฐทรราชไม่ยอมรับผิดและลาออก แต่แก้เกี้ยวด้วยการยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ ทั้ง ๆ ที่เห็นอยู่ทนโท่แล้วว่าฝ่ายทรราชก็คงใช้เงินและใช้อิทธิพลซื้อเสียงให้ได้ชัยชนะในการเลือกตั้งเข้ามาใหม่ ซึ่งทางฝ่ายมวลมหาชนที่ออกมาขับไล่ต้องการให้รัฐบาลลาออกจากรัฐบาลรักษาการณ์แล้วยุติการเลือกตั้งไว้ก่อน หันมาปฏิรูปการเมืองการปกครองเสียใหม่แล้วจึงให้มีการเลือกตั้ง ซึ่งรัฐบาลทรราชไม่มีทางยอม กลับดื้อดึงยืนยันว่าจะต้องให้มีการเลือกตั้งก่อนการปฏิรูปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญและความเป็นประชาธิปไตย พร้อมทั้งปลุกปั่นประชาชนที่รู้ไม่ทันและบรรดาประชาชนที่อยู่ในอำนาจให้ออกมาต่อต้านและสร้างความรุนแรง ความได้เปรียบที่ชั่วร้ายของกลุ่มทรราชก็คือ ได้สถาบันตำรวจแห่งชาติมาเป็นเครื่องมือที่มีอำนาจในการบังคับกฎหมาย และกลุ่มข้าราชการที่ทุจริตและทหารบางคนบางเหล่าที่มีอำนาจในกองทัพมาเป็นพรรคพวก แต่ที่สำคัญก็คือนักวิชาการเสื้อแดงโดยเฉพาะด๊อกเตอร์ด๊อกตีนที่จบมาทางด้านกฎหมาย ประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์และการปกครองจากอเมริกาและประเทศในกลุ่มทุนนิยมเสรีประชาธิปไตย ซึ่งข้าพเจ้าใคร่เรียกอย่างย่อ ๆ ว่า “ประชาธิปไตยแบบไอ้กัน” ซึ่งเมื่อบรรดาประเทศได้เรียนรู้และลอกมาเป็นแบบอย่างประชาธิปไตยในประเทศตน ถ้าหากย้อนไปดูประวัติศาสตร์สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่โลกแบ่งขั้วออกเป็น ๒ ขั้ว ด้วยแนวคิดในทางการเมืองที่เรียกว่า ประชาธิปไตย ประเทศมหาอำนาจฝ่ายหนึ่งเป็นอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รวมมาถึงไทยด้วยอยู่ในขั้วประเทศทุนนิยมเสรีประชาธิปไตย ในขณะที่รัสเซีย จีน และอีกหลายประเทศในยุโรปอยู่ในขั้วประเทศ สังคมนิยมประชาธิปไตย คือเป็นประชาธิปไตยเหมือนกัน ต่างกันคือทุนนิยมกับสังคมนิยม แต่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยรับรู้ว่าพวกสังคมนิยมเขาก็อ้างความเป็นประชาธิปไตยเหมือนกัน แต่คนไทยถูกสอนให้เรียกว่า “สังคมนิยมคอมมิวนิสต์” หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “คอมมิวนิสต์” ส่วนตัวเองเรียกว่า “ประชาธิปไตย” และต้องเป็นประชาธิปไตยแบบอเมริกันด้วยจึงจะถูกต้อง จนทำให้ดูเหมือนประเทศไทยจะเป็นประเทศเดียวที่เป็นประชาธิปไตยแบบเกลียดสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ และถูกอบรมสั่งสอนโดยอเมริกาให้เกลียดชังประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์และลงโทษผู้ที่มีความคิดเอนเอียงไปทางสังคมนิยม และที่สำคัญที่สุดก็มักจะอบรมให้คนไทย ข้าราชการ พ่อค้า นักศึกษาและเอกชนว่า พวกคอมมิวนิสต์ใจร้าย ทำลายครอบครัว ทำลายชุมชน และทำลายสถาบันกษัตริย์ แต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้นมา อเมริกาเป็นมหามิตร เป็นนายทุน เป็นสังคมที่มีเกียรติภูมิรุ่งเรืองและร่ำรวย และที่สำคัญเป็นแหล่งเรียนรู้ในทางศาสตร์ต่าง ๆ ทั้งด้านการปกครองพัฒนาประเทศ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ การศึกษา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รัฐบาลส่งนักศึกษา นักเรียน ข้าราชการไปอบรมศึกษายังแหล่งตักศิลาแห่งนี้ ทั้งการให้ทุนรัฐบาลสนับสนุนและทุนช่วยเหลือของอเมริกาและชาติมหาอำนาจในขั้วทุนนิยมเสรี ผลที่ตามมาคนไทยรุ่นพ่อมาถึงรุ่นลูกและหลานในทุกวันนี้ที่ผ่านมารวม ๕๐ ปี เป็นพวกทำอะไร คิดอะไรเป็นอเมริกันไปหมด [Americanization] แม้แต่รูปแบบในการดำเนินชีวิต คนที่ได้ไปเรียนที่อเมริกาถือว่ามีเกียรติ มีหน้ามีตา แต่ถ้าไปเรียนที่ประเทศอื่น ๆ เช่น อินเดีย ฟิลิปปินส์ดูด้อยไป และที่ไม่อยู่ในสายตาก็คือที่ไปเรียนมาจากจีน ไต้หวัน เวียดนาม เขมร อะไรทำนองนั้น ที่กล่าวมานี้ก็เพื่อที่จะให้เห็นว่า คนไทยแต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ถูกอเมริกันครอบเสียจนสมองเสื่อม คิดไม่เป็น แต่เก่งในการลอกเลียนแบบอเมริกัน และนำเอาอเมริกันมาประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม แต่ที่ดิ้นไม่หลุดก็คือความคิดในเรื่องการเมืองเศรษฐกิจที่เป็นเสรีทุนนิยมประชาธิปไตยแบบไอ้กัน แต่แล้วเมื่อโลกเปลี่ยนไป ยุคสงครามเย็นหมดไป เปลี่ยนมาเป็นยุคการจัดระเบียบโลกใหม่ [New World Order] ที่ตามมาด้วยโลกาภิวัฒน์อันเป็นยุคทุนนิยมเสรีฟุ้งเฟื่อง อเมริกาก็มีวิสัยทัศน์ใหม่ [New Vision] ในการอบรมคนไทยที่ไปเรียนต่อที่อเมริกา และในประเทศทางฝ่ายทุนนิยมเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ความมั่งคั่งและความใหญ่โตของอเมริกา โดยเปลี่ยนจากการอบรมให้คนไทยเกลียดชังสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ว่าทำลายสถาบันครอบครัว ความเป็นเสรีชน และทำลายสถาบันกษัตริย์ มาเป็นให้เป็นประเทศทุนนิยมเสรีประชาธิปไตยอย่างถูกตามความประเทศที่เจริญแล้ว โดยอบรมให้แลเห็นว่าสถาบันกษัตริย์เป็นสิ่งที่กีดกั้นความเจริญทางสังคมประชาธิปไตยแทน ใช้แนวคิดทฤษฎีวิวัฒนาการ [Evolution] แบบหลุดโลกไปนานแล้ว และไม่มีการพูดถึงทฤษฎีโครงสร้างและหน้าที่ ถึงแม้ว่าจะล้าหลังไปแล้วก็ตาม แต่ยังใช้ในการถ่วงดุลกับทฤษฎีวิวัฒนาการแบบหลุดโลกได้ นั่นคือ สถาบันกษัตริย์โดยเฉพาะพระมหากษัตริย์ยังทรงหน้าที่ในการรักษาโครงสร้างสังคมของคนไทยอยู่ จึงได้ไม่ทำให้บ้านเมืองขัดแย้งและฆ่าพันกันอย่างที่ในประเทศอื่น พวกนักวิชาการดอกเตอร์ดอกตีนเสื้อแดงจากมหาวิทยาลัยใหญ่น้อยในเมืองไทยที่ออกมารับใช้เผด็จการทรราชทักษิณ-ยิ่งลักษณ์เหล่านี้ก็ยังเป็นกระบอกเสียงให้กับประชาธิปไตยทุนนิยมเสรีแบบอเมริกัน จึงออกมาเป็นตัวตั้งตัวตีกับการเรียกร้องของมวลมหาประชาชนที่ต้องการปฏิรูปโครงสร้างการเมืองการปกครองเสียใหม่เพื่อขจัดการปกครองแบบประชาธิปไตยสาธารณ์และทุนนิยมสามานย์ของเหล่าทรราช ที่ต้องการให้ปฏิรูปก่อนโดยสภาของประชาชนแล้วจึงให้มีการเลือกตั้ง สิ่งที่ดูแล้วงี่เง่าก็คือ นักวิชาการสมองพิการเหล่านี้มองประชาธิปไตยเพียงแต่ต้องเลือกตั้งก่อน และความถูกต้องของการเป็นประชาธิปไตยต้องได้มาจากได้เสียงส่วนใหญ่ในการเลือกตั้งเท่านั้นเพียงอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงการซื้อเสียง การหลอกลวงผู้คนที่ตามไม่ทันโลกให้เข้ามาลงคะแนนให้ บรรดานักวิชาการเหล่านั้น ล้วนแสร้งเมินเฉยต่อความเป็นจริงที่การออกมาคัดค้านและการขับไล่ทรราชนั้น ไม่ใช่จากปัญหาการเป็นประชาธิปไตยแต่อย่างใด หากแต่เป็นปัญญาของความไม่โปร่งใสในการบริหารบ้านเมืองที่ทำให้เกิดการคอรัปชั่นกินบ้านกินเมือง ขายแผ่นดิน ขายทรัพยากรที่นำไปสู่การกดขี่แย่งชิงทรัพยากรและการฆ่าทำร้ายประชาชน อีกทั้งนักวิชาการเหล่านี้ก็ไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์การเลือกตั้งของรัฐบาลทรราชที่เต็มไปด้วยใช้เงินและอำนาจ ซื้อเสียงเพื่อให้ได้ชนะการเลือกตั้ง รวมทั้งไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์การเป็นเผด็จการรัฐสภาที่อ้างแต่การมีเสียงส่วนมากที่ไม่ยอมฟังเสียงส่วนน้อยแต่อย่างใด จากพฤติกรรมในการเป็นขี้ข้าทาสปัญญาอเมริกันของนักวิชาการเสื้อแดงแล้ว คนรุ่นใหม่ของมวลมหาประชาชนที่มีการตื่นรู้แล้ว ยังแลเห็นการเผยร่างเปลือยกายของรัฐบาลอเมริกันในฐานะผู้นำในการปกครองแบบประชาธิปไตยทุนนิยมในยุคโลกาภิวัฒน์ที่แท้จริงคือ การรวมกลุ่มรวมหัวกับประเทศทุนนิยมที่เป็นเครือข่ายต้องการที่จะแย่งทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์จากความหลากหลายทางชีวภาคของประเทศ ด้วยการเข้ามาลงทุนในเรื่องต่าง ๆ ทางอุตสาหกรรม เช่น การสร้างโรงงานอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้า ท่าเรือ และแหล่งเกษตรอุตสาหกรรมทั้งด้านพลังงานและเข้าครอบครองพื้นดินที่อยู่อาศัยและทำกิน จนคนไทยส่วนใหญ่จะหมดสภาพจากเคยเป็นเกษตรกรรมที่มีที่ดินมาเป็นกรรมกรแรงงานจ้างให้กับบรรดานายทุนนานาชาติ สิ่งเหล่านี้คนผู้ตื่นรู้รุ่นใหม่ได้แลเห็นและมองออก ข้าพเจ้าอดนึกไม่ได้เมื่อเวลาที่เขียนบทความใด ๆ ที่เกิดความขัดแย้งกับนักวิชาการเสื้อแดงขี้ข้าอเมริกัน ก็มักถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกชาตินิยม คลั่งชาติ และเป็นพวกรอยัลลิสต์อะไรต่าง ๆ นานา คนเหล่านั้นพยายามมอมเมาคนอื่น ๆ ด้วยวาทกรรมจากชาตินิยมหรือคลั่งชาติมาเป็นโลกไร้พรมแดนในยุคโลกาภิวัฒน์ และการทำอะไรต่าง ๆ จำเป็นต้องนึกถึงความเป็นคนอยู่โลกเดียวกัน อันเป็นการสวนทางกับความเป็นจริงของคนในโลกทั่วไปในเรื่องสำนึกบ้านเกิดเมืองนอน [Patriostism] โลกไร้พรมแดนคือการโกหกคำโต ๆ ของอเมริกันที่ใช้เป็นวาทกรรมเพื่อการเข้าแย่งทรัพยากรของประชาชนที่ตามโลกไม่ทันเท่านั้น แต่คนไทยรุ่นใหม่ที่ข้าพเจ้าเคยนึกประณามก่อนหน้านี้ว่าไม่เอาไหน ไม่นำพาต่อการโกงกินบ้านเมืองของรัฐทรราช กลับรู้ทันอย่างมีสติปัญญา คนส่วนใหญ่แลเห็นภาพพจน์และการกระทำของอเมริกาและประเทศในระบอบประชาธิปไตยสาธารณ์และทุนนิยมสามานย์ในยุคหลังสงครามเย็นและยุคโลกาภิวัฒน์ แลเห็นไอ้กันอยู่เบื้องหลังของรัฐบาลทรราชอย่างเต็มตา ทั้งการกระทำที่ซ่อนเร้นและออกหน้า ดั่งเห็นได้จากกระทรวงการต่างประเทศอเมริกาออกหนังสือส่งสารแสดงความคิดเห็นมาช่วยรัฐบาลทรราช ขอให้มีการเลือกตั้งก่อนเพื่อธำรงไว้ซึ่งความเป็นประชาธิปไตย แต่การตื่นรู้ของมวลมหาประชาชนชาวสยามทุกภาคส่วน ทุกเพศทุกวัย ทุกชาติพันธุ์ และทุกศาสนาที่มีสำนึกมาตุภูมิ กำลังแสดงออกทางวาทกรรมของความเป็นประชาธิปไตยด้วยสิ่งที่ข้าพเจ้าเรียกว่า “ประชาธิปไตยจากข้างล่าง” อันเป็นประชาธิปไตยทางเลือกอย่างหนึ่ง อันที่ถ้าฉุกคิดอย่างมีสติปัญญาและความรู้แล้วก็จะเห็นได้ว่า ประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่เป็นพื้นฐานของสังคมมนุษยชาติที่เกิดจากวิวัฒนาการของความเป็นมนุษย์มานานแล้ว แต่ปรากฏเป็นรูปธรรมขึ้นในช่วงเวลาและสถานที่ในสังคมมนุษย์ที่แตกต่างหลากหลายกันในพื้นพิภพ อย่างเช่นสังคมนิยมประชาธิปไตยที่คนส่วนใหญ่เรียกว่าระบอบคอมมิวนิสต์นั้น ก็เป็นประชาธิปไตยอีกรูปแบบหนึ่ง แต่คนไทยถูกไอ้กันและมหาอำนาจทางฝ่ายทุนนิยมอบรมครองงำให้รู้จักแต่ประชาธิปไตยทุนนิยมเท่านั้น แล้วปิดตาให้มองสังคมนิยมประชาธิปไตยเป็นเพียงแค่ระบอบคอมมิวนิสต์อันเป็นระบอบเผด็จการ ถ้าทบทวนให้มีสังคมนิยมประชาธิปไตยของรัสเซีย จีน และเวียดนามนั้น พัฒนาขึ้นจากการปกครองที่กดขี่ของรัฐเผด็จการและนายทุนที่แย่งชิงทรัพยากรและที่ดินของประชาชนจนเกิดความยากแค้นและอดอยาก จึงเกิดการลุกฮือ [Uprising] ของประชาชนจากเบื้องล่างขึ้นมาจัดการกับรัฐเผด็จการ โดยใช้ระบบคอมมิวนิสต์เป็นแนวทางวิธีการและกลไกที่สำคัญอย่างรุนแรงจนเกิดการฆ่าฟันกันขนานใหญ่ และสำเร็จลงด้วยความรุนแรงที่ทำให้ที่ดินทรัพยากรกลับคืนมาเป็นของแผ่นดิน ขจัดระบบนายทุนออกไป แต่ก็ประสบความเดือดร้อนอย่างฉิบหายวายวอดด้วยการรุกรานของอเมริกันและบรรดามหามิตรที่รวมทั้งไทยด้วย แต่หลังจากที่เอาชนะไล่ไอ้กันได้สำเร็จ การปกครองประเทศที่เป็นเผด็จการคอมมิวนิสต์ก็ผ่อนคลายเพราะมีรัฐบาลที่มีความรักชาติรักแผ่นดิน นำเอาระบบทุนนิยมเสรีเข้ามาผสมผสาน และเปิดโอกาสให้คนเวียดนามที่เคยเป็นทุนนิยมที่ลี้ภัยต่างประเทศ โดยเฉพาะไปอยู่ในประเทศนายทุนเช่นอเมริกากลับคืนมาช่วยพัฒนาประเทศ ซึ่งคนเหล่านี้ล้วนแต่มีสำนึกในความรักชาติแผ่นดินเกิด ได้นำเอาทั้งความมั่งคั่งและความรู้สมัยใหม่และเทคโนโลยีมาช่วยพัฒนาประเทศ เช่น เวียดนามปัจจุบันมีระบบการเมืองทั้งทุนนิยมและสังคมนิยมที่อยู่กันอย่างมีดุลยภาพ ทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองล้ำหน้ากว่าประเทศไทยในขณะนี้ แต่ในการตื่นรู้ของคนไทยทั้งชาติทุกรุ่นทุกวัยทุกเพศ ชาติพันธุ์ และศาสนาในครั้งนี้มีทั้งสติปัญญา ความรู้และความรักชาติ [Patriotism] สร้างประชาธิปไตยทางเลือกที่ข้าพเจ้าเรียกว่าประชาธิปไตยจากข้างล่าง เพราะเกิดขึ้นฉับพลันเป็นฉันทามติ ใช้อำนาจของมวลมหาประชาชนปฏิวัติ ล้มล้างประชาธิปไตยนายทุนแบบอเมริกาในระบอบทักษิณ อันเป็นระบอบเผด็จการช่วยระบบอำมหิตของนายทุน แย่งชิงทรัพยากรที่ดินกดขี่ฆ่าฟันประชาชน เช่นทางสามจังหวัดภาคใต้ เป็นต้น และร่วมกับรัฐบาลเผด็จการเขมรฮุนเซน ขายประเทศ ขายทรัพยากรให้แก่ไอ้กันและประเทศมหาอำนาจ แก่นแท้ของหลักที่จะเป็นพื้นฐานทางโครงสร้างใหม่ที่จะเกิดขึ้นก็คือ การล้มล้างระบบการปกครองและการบริหารที่รวมศูนย์ ยกเลิกพรรคการเมืองที่ผลักดันเข้ามามีอำนาจและโกงกินที่จะนำมาถกกันถึงเรื่องว่าจะให้มีการเลือกตั้งโดยผ่านตัวแทนแบบเดิมหรือเป็นประชาธิปไตยทางตรง ที่สัมพันธ์กับการกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่น กำจัดระบบการมีผู้ว่าราชการจังหวัดอันเป็นการปกครองส่วนภูมิภาคมาเป็นการปกครองท้องถิ่นที่มีประชาสังคม [Civil Society] เป็นพื้นฐาน แต่ที่สำคัญอย่างสุด ๆ ก็คือ ทำลายล้างสถาบันตำรวจแห่งชาติให้หมดไป แล้วเปลี่ยนมาเป็นตำรวจของท้องถิ่นเพื่อดูแลสวัสดิภาพและความมั่นคงทางสังคมในระดับท้องถิ่นแทน เพราะที่เป็นอยู่ในขณะนี้ สถาบันตำรวจแห่งชาติคือเครื่องมือและกลไกในการรับใช้ทรราชในการขูดรีด กดขี่ และฆ่าพันประชาชนจนได้รับการขนานนามทั่วไปว่า รัฐในระบอบทักษิณ คือรัฐตำรวจที่มีตำรวจเป็นกองทัพ มียศชั้นสูงเช่นทหาร และแลเห็นประชานเป็นอริราชศัตรู การปฏิวัติประเทศจากการปกครองประชาธิปไตยทุนนิยมแบบอเมริกาในระบอบทักษิณของมวลมหาประชาชนครั้งนี้ เป็นที่มหัศจรรย์ พร้อมพรั่งไปด้วยสติปัญญาและความรู้ที่เท่าทันโลก ในหมู่ผู้คนทุกรุ่น ทุกวัย ทุกเพศ ทุกเผ่าพันธุ์ และศาสนาที่ถูกผลักดันโดยสำนึกในความรักชาติรักแผ่นดินเกิดที่นักวิชาการเสื้อแดงกล่าวหาว่า คลั่งชาติ และแสดงออกด้วยความกล้าหาญทางจริยธรรม [Moral Courage] ที่ผู้ที่มีความรู้ความสามารถในทุกภาคส่วนออกมาแสดงความคิดเห็นและพร้อมที่จะปฏิบัติการโดยไม่กลัวเกรงต่ออำนาจเผด็จการชั่วร้ายของทรราชที่ข่มขู่ด้วยการสร้างวินาศกรรม [Terrorism] ในขณะเดียวกันก็เกิดกระบวนการเรียนรู้ในเรื่องสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมืองขึ้นแก่เยาวชนและเด็กที่พากันออกมาแสดงออกอย่างร่าเริง จากการที่เฝ้าติดตามการเคลื่อนไหวของมวลมหาประชาชนครั้งนี้ จากทั้งแลเห็นจากสื่อหลายรูปแบบ และจากประสบการณ์ที่เข้าไปร่วมและสังเกตการณ์ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเป็นการรุกฮือต่อต้านที่เป็นมหกรรมของความรื่นเริงเบิกบานในงานนักขัตฤกษ์มหรสพประจำปี คนทุกวัยทุกรุ่นแต่งตัวอย่างมีสีสันและมีสไตล์ทุกหมู่เหล่าพากันมาเป็นกลุ่ม เป็นครอบครัว มีอาหารการกินที่ฟรีและมีคุณภาพแก่คนทั่วไป ส่วนคนที่มีเงินก็เข้าร้านค้า ภัตตาคารซื้อกินและซื้อของกันอย่างรื่นเริง มีความสะดวกสบายในเรื่องระบบขับถ่ายและสถานที่รักษาพยาบาล แต่ที่สำคัญที่ยิ่งใหญ่ไม่มีการลักขโมยหรือทะเลาะเบาะแว้งกัน เพราะทุกคนมีเป้าหมายอันเดียวกันคือ “กู้ชาติ” ข้าพเจ้าแลเห็นแสงสว่างของการกลับมาของศีลธรรมและจรรยาบรรณในหมู่มหาชนชาวสยามอีกวาระหนึ่ง อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • “ธรรมาธรรมะสงคราม” กับ “ภควัคคีตา” อุทาหรณ์ในการต่อสู้ของมวลมหาประชาชน

    เผยแพร่ครั้งแรก 30 พ.ย. 2542 ความขัดแย้งทางการเมืองและสังคมในประเทศไทยขณะนี้ น่าที่จะบานปลายเป็นสงครามกลางเมือง [Civil War] ที่อาจยืดเยื้อเป็นเวลานับปี เป็นความขัดแย้งที่อยู่ในสภาพที่สุดโต่งระหว่างรัฐกับสังคม ภาพศึกวันที่ ๑๐ ภีษมะปฏิเสธที่จะสู้กับศิขัณทินที่เกิดเป็นหญิง ทำให้อรชุนระดมยิงธนูไปทั่วร่างของภีษมะด้วยความเศร้าใจ (ภาพจาก ศิลปิน Ramanarayanadatta astri, http://archive.org/details/mahabharata00ramauoft ) รัฐเป็นทรราช ที่ใช้ระบอบทักษิณครอบงำบรรดาข้าราชการทั้งทหาร ตำรวจ และพลเรือนให้มาอยู่ภายใต้อำนาจเงินของเผด็จการที่ได้มาจากการคอรัปชั่นโกงกินและหลอกลวงเอาภาษีอากร ตลอดจนทรัพยากรของชาติมาเป็นประโยชน์ของพวกตนและเครือข่ายมาร่วมกว่า ๑๐ ปีที่ผ่านมา จนประเทศไทยอยู่ในสภาพประเทศเพื่อขาย [For Sale] ให้แก่บรรดาประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ มีไอ้กัน ไอ้กิดและไอ้เศส เป็นอาทิ และเพื่อเป็นการตอบแทนบรรดาประเทศมหาอำนาจทุนนิยมดังกล่าวมานี้ ก็ล้วนให้ความสนับสนุนสร้างความชอบธรรมให้แก่รัฐทรราชในทางการเมืองและเศรษฐกิจ เช่น ต้องยืนยันช่วยเหลือว่ารัฐบาลทรราชนั้นคือรัฐบาลที่ถูกต้องและชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตยที่มีพรรคการเมืองและรัฐสภาตามแบบอย่างประเทศมหาอำนาจ เช่น อเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส แต่หลังจากที่เผด็จการทรราชทักษิณครอบงำบ้านเมืองและสังคมมาร่วมสิบกว่าปี ผู้คนในสังคมก็เกิดอาการตื่นรู้ทั้งสติปัญญา ความรู้ ความกล้าหาญทางจริยธรรม และความเป็นมนุษย์ ในฐานะที่เป็นสัตว์สังคมขึ้นอย่างฉับพลัน เป็นการตื่นรู้ที่ทันโลกของผู้คนทุกเพศทุกวัยทุกชาติพันธุ์ทุกศาสนาและอาชีพ ในบรรดาบุคคลที่เกิดในดินแดนประเทศไทยที่มีสำนึกในเรื่องบ้านเกิดเมืองนอน [Patriotism] เป็นการตื่นรู้ที่จะปลดปล่อยประเทศชาติบ้านเมืองให้พ้นจากเงื้อมมือทรราชที่กำลังขายประเทศขายแผ่นดิน เป็นการตื่นรู้ที่ทำให้เมืองไทยแบ่งออกเป็นสองขั้ว คือรัฐทรราชที่อยู่ในสภาพล้มละลายทางศีลธรรม จริยธรรม และความเป็นมนุษย์ ใช้ความรุนแรงด้วยกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีอำนาจบังคับใช้ของรัฐ และบรรดาอันธพาลติดอาวุธเข้าปราบปรามจับกุมและเข่นฆ่าประชาชานที่แสดงอาการประชาขัดขืน [Civil Disobedience] เป็นขั้วหนึ่ง กับสังคมที่ตื่นรู้ทั้งในด้านสติปัญญาความรู้และความเป็นมนุษย์อีกขั้วหนึ่ง สิ่งที่เหลืออยู่หลังความรุนแรงบนถนนราชดำเนิน เป็นการตื่นรู้อย่างพร้อมพรั่งที่มีความกล้าหาญทางจริยธรรมความเสียสละอย่างไม่กลัวความตายที่ทางตำรวจและอันธพาลของรัฐทรราชจะยื่นให้ ทำการต่อสู้ด้วยอหิงสาไม่มีอาวุธ และการสวดมนต์ให้ใจมั่นคงและเปลี่ยนอารมณ์ที่หวาดกลัวมาเป็นความรื่นเริง มีมหรสพควบคู่กันไป จากปรากฏการณ์ที่แลเห็นถึงการใช้ความรุนแรงฆ่าฟันประชาชนของฝ่ายทรราช และการต่อสู้ด้วยอหิงสาสวดมนต์รำลึกถึงพุทธคุณของมวลมหาประชาชน ข้าพเจ้าเรียกการต่อสู้ครั้งนี้ว่า “ ธรรมาธรรมะสงคราม ” ตาม พระราชนิพนธ์ในล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ที่ทรงเปรียบเทียบสงครามโลกครั้งที่ ๑ ว่า เป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรม ซึ่งเป็นการต่อสู้ระหว่างเทวดาสองฝ่าย คือ ฝ่ายดีกับฝ่ายชั่ว ฝ่ายชั่วมีกำลังกล้าแข็งและโหดร้าย ยุยงโกหกหลอกให้คนเชื่อในเรื่องชั่วร้ายผิดศีลธรรมและผิดมนุษย์ เป็นฝ่ายได้เปรียบและรุกไล่ฝ่ายดีจนแตกยับและทำท่าจะปราชัย แต่บัดดลฝ่ายอธรรมก็เกิดอาการมืดหน้าอ่อนเพลียและหมดแรง ทำให้ทางฝ่ายธรรมะมีชัยปราบปรามคนชั่วและอบรมสั่งสอนให้คนดี และอยู่ร่วมโลกกันด้วยศีลธรรม เมตตาธรรม เป็นเรื่องราวที่ข้าพเจ้าได้เห็นเป็นอุทาหรณ์ในการสู้รบของมวลมหาประชาชนชาวสยามสองครั้งที่แล้วมา ครั้งแรกที่สี่แยกหลักสี่ บนถนนแจ้งวัฒนะ เมื่อขบวนของฝ่ายหลวงปู่พุทธอิสระเดินทางผ่านเข้ามาในบริเวณใต้สะพานลอยหลักสี่ มีกำลังของอันธพาลที่ได้รับการสนับสนุนโดยตำรวจที่ก่อนหน้านั้นมีการชุมนุมระดมพลกันอย่างเปิดเผย พออันธพาลกลุ่มนี้เปิดการทุบตีและยิงอาวุธเข้าใส่ขบวนมหาประชาชนที่มากับเสียงการสวดมนต์ ก็มีกลุ่มคนที่เป็นกองกำลังนิรนาม มีอาวุธสงครามซ่อนไว้ในถุงข้าวโพดล้อมยิงและโต้ตอบ ทำให้กลุ่มอันธพาลบาดเจ็บและล้มตายถอยหนีกระเจิงไป และไม่กล้าที่จะเข้ามาคุกคามมวลมหาประชาชนต่อไป การออกมาขัดขวางของกองกำลังนิรนามนี้ มีผู้ขนานนามว่าเป็นกองกำลังป๊อปคอร์น ครั้งที่สองเกิดขึ้นที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ อันเป็นที่ชุมนุมของกองทัพธรรมของศาสนิกสันติอโศกที่มานั่งคัดค้านรัฐบาลทรราชด้วยการนั่งสวดมนต์และปฏิบัติธรรม รัฐทรราชได้ส่งกองกำลังตำรวจในเครื่องแบบพร้อมทั้งอาวุธสงครามเข้าขับไล่ทุบตีบรรดาผู้ปฏิบัติธรรมโดยเฉพาะบรรดาสตรีที่ต่อสู้ด้วยการนั่งสวดมนต์ภาวนาอย่างหฤโหดไร้มนุษยธรรม รวมทั้งมีการใช้ปืนยิงใส่เข้าไปในกลุ่มชนด้วย ข้าพเจ้าติดตามรับฟังการถ่ายทอดเหตุการณ์สลายการชุมนุมจากโทรทัศน์และวิทยุด้วยความรู้สึกสลดและสิ้นหวัง คิดว่าฝ่ายธรรมะคงไม่มีทางหยุดยั้งพวกตำรวจอธรรมหฤโหดผิดมนุษย์ได้ แต่บัดดลก็เกิดปรากฏการณ์คล้ายปาฏิหาริย์ขึ้น เมื่อตำรวจโหดเคลื่อนเข้ามาใกล้กับสมณะโพธิรักษ์ที่นั่งอยู่ด้วยความสงบและเตือนสติให้ผู้ปฏิบัติทำสวดมนต์ต่อไป ก็มีกองกำลังนิรนามที่ออกมายิงใส่ตำรวจจนล้มเจ็บและตายแตกกระเจิงกลับไปในลักษณะที่พ่ายแพ้ แต่ว่าชัยชนะที่เป็นปาฏิหาริย์ดังกล่าวนั้น ก็เป็นเพียงการชนะในการต่อสู้ที่เป็นครั้งคราว [Win the Battle] หาเป็นชัยชนะเด็ดขาดในสงคราม [Win the War] ไม่ เพราะการสู้รบกับรัฐทรราชระบอบทักษิณที่ครอบงำบ้านเมืองมากว่า ๑๐ ปีนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เป็นความชั่วร้ายที่แผ่ซ่านไปแทบทุกอณูของประเทศชาติ ในลักษณะเช่นการแพร่กระจายของมะเร็งร้ายขั้นสุดท้าย เกินศักยภาพของมวลมหาประชาชนที่แม้จะออกมาแสดงพลังกันอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ก็ตาม นั่นก็คือ มหาประชาชนไม่มีรัฏฐาธิปัตย์ คืออำนาจเบ็ดเสร็จในการใช้บังคับอย่างของรัฐทรราชที่แม้ว่าจะถูกทำลายความชอบธรรมหมดแล้วก็ตาม แต่ก็ยังอ้างอิงกติกาในการยืดเยื้อโดยอาศัยรัฐธรรมนูญของการปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นข้ออ้างประการหนึ่ง ประการที่สอง สังคมไทยเป็นสังคมพุทธศาสนาเถรวาทที่มีแต่เมตตาธรรมและการให้อภัยเป็นพื้นฐาน หามีอะไรเด็ดขาดในการจัดการกับความชั่วร้ายที่โหดเหี้ยมและไม่มีศีลธรรมได้ นอกจากรอให้กฎแห่งกรรมมาตามทัน เสมือนเมื่อไหร่มะม่วงจะหล่นก็หาทราบไม่ โดยเฉพาะการเน้นเรื่องการต่อสู้อย่างอหิงสานั้นจึงมีแต่เป็นฝ่ายถูกกระทำด้วยความรุนแรงฝ่ายเดียว กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ เรื่องของการต่อสู้แบบอหิงสานั้น เป็นเรื่องของผู้คนในสังคมอินเดียที่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นฮินดูที่ไม่ได้ถูกนำมาใช้ในเชิงเดี่ยวอย่างง่าย ๆ ยังผูกพันกับแนวคิดและปรัชญาของอินเดียอีกหลายร้อยเล่มเกวียน กระนั้นก็ดีการต่อสู้ด้วยอหิงสาของคานธีกับอสูรร้ายอังกฤษนั้น กว่าจะได้เสรีภาพคือชัยชนะมา ผู้คนก็ถูกฆ่าฟันล้มตายเป็นอันมาก แม้แต่ท่านคานธีก็ต้องตายในที่สุด ความต่างกันระหว่างอหิงสาของไทยกับของอินเดียก็คือ อหิงสาของอินเดียอยู่ในบริบทของสมัยเวลาที่โลกแห่งคุณธรรมยังดำรงอยู่ มีหลายชาติ และมหาอำนาจที่ไม่เห็นดีงามกับจักรวรรดินิยมอังกฤษ แต่ในบริบทของอหิงสาแบบคนไทยนั้นอยู่ในโลกที่อุดมไปด้วยวัตถุนิยม ความโลภ และอำนาจของบรรดาประเทศมหาอำนาจ เช่น “ไอ้กัน” และพรรคพวก ต่างต้องการจะเข้าครอบครองทรัพยากร ผู้คน และดินแดนที่อุดมไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของไทย และก็พากันสนับสนุนทรราชระบอบทักษิณด้วยแนวคิด “ประชาธิปไตยสาธารณ์” ที่ต้องเลือกตั้งและไม่แคร์กับการซื้อเสียง ขายเสียง และเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีที่ล้วนแต่สร้างความชั่วร้ายให้เพิ่มขึ้น ทั้งหลายแหล่เหล่านี้ กำลังเปิดทางให้การกระทำรุนแรงผิดมนุษย์ของรัฐทรราชเป็นสิ่งชอบด้วยกฎหมายโดยไม่คำนึงถึงมนุษยธรรม เพราะฉะนั้นสถานการณ์เมืองไทยที่เป็นอยู่ แม้ว่ามหาประชาชนจะได้ชัยชนะในการต่อสู้แต่ละครั้งมา ก็ไม่แน่ว่าจะชนะสงครามได้ในที่สุด อีกทั้งยังไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะเป็นสงครามกลางเมืองได้ในอนาคต อย่างไรก็ตามความหวังยังไม่สิ้น เพราะในสังคมไทยในส่วนรวมก็หาได้มีแต่เพียงกลุ่มคนที่เป็นฝ่ายรัฐทรราชและฝ่ายอหิงสาแต่เพียงอย่างเดียวไม่ ยังแฝงไว้ด้วยบุคคลและกลุ่มคนที่มีมโนธรรมและมีความกล้าหาญทางจริยธรรมอยู่ แลเห็นว่าอะไรถูกอะไรควร แต่ยังไม่มีความเชื่อมั่นและความพร้อมเพียงกันในการออกมาเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผย ดังเช่นพวกกองกำลังป๊อปคอร์น เป็นต้น จึงกลายเป็นกองกำลังนิรนามที่แลไม่เห็นบุคคลที่เป็นผู้ทำอย่างเปิดเผย ทั้ง ๆ ที่เวลาได้มาถึงแล้ว ข้าพเจ้าเลยนึกเลยเถิดไปถึงแนวคิดและแนวปรัชญาของคนในสังคมฮินดูของอินเดีย ที่เป็นรหัสซ่อนเร้นอยู่ในมหากาพย์เช่น รามายณะและมหาภารตะ ซึ่งเป็นคัมภีร์เกี่ยวกับอวตารของพระเป็นเจ้าลงมาปราบยุคเข็ญในโลก แต่ในที่นี้ขอยกเอาจากมหาภารตะก่อน เพราะดูใกล้เคียงกับสังคมและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยทุกวันนี้ มหาภารตะเป็นมหากาพย์ที่รวบรวมเรื่องราวจากตำนานความขัดแย้งในหลายท้องถิ่น หลายภูมิภาคของดินแดนที่เรียกว่าภารตะ คือดินแดนของ “พระภารตะ” ปฐมวงศ์ของบรรดากษัตริย์ในแดนภารตะ มารจนาเป็นเรื่องราวเดียวกัน ที่ผู้อ่านและศึกษาจะนำเอาเรื่องราวหรือเหตุการณ์ตอนใดตอนหนึ่งไปเป็นอุทาหรณ์เพื่อเตือนและสั่งสอนสังคมที่หลากหลาย ไม่จำเป็นเฉพาะภายในอินเดียเท่านั้น ยังแพร่หลายกระจายไปยังบรรดาบ้านเมืองและดินแดนที่รับอารยธรรมอินเดีย เรื่องราวในมหาภารตะในกรณีเกี่ยวกับความขัดแย้งที่รุนแรงในสังคมไทยขณะนี้ก็คือ เรื่อง “ ภควัคคีตา ” ซึ่งคนทั่วไปแปลอย่างง่าย ๆ ว่าเป็น เพลงของพระเป็นเจ้า แท้จริงเป็นบทฉันท์ที่เรียกว่า โศลก กล่าวถึงเหตุการณ์การสู้รบระหว่างแม่ทัพของฝ่ายธรรมะ คือพวกปานณพ กับฝ่ายอธรรมคือพวกเการพ ทั้งสองกลุ่มนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ทำการรบพุ่งเพื่อช่วงชิงความเป็นใหญ่ในดินแดนในท้องทุ่งที่เป็นสนามรบเรียกกุรุเกษตร ฝ่ายปานณพผู้น้องเป็นฝ่ายธรรมะ เพราะนอกจากมีความชอบธรรมในราชสมบัติและยังเป็นผู้ที่ยึดมั่นในศีลธรรมและคุณธรรม รวมทั้งมีความซื่อสัตย์และความกล้าหาญ ฝ่ายเการพลูกผู้พี่เป็นอธรรมและมีความประพฤติและพฤติกรรมที่เป็นทรราชกดขี่ใช้ความรุนแรงและกระทำการผิดศีลธรรมแก่คนในสังคม และเป็นผู้ที่ยึดครองรัฐและเป็นรัฐบาลอยู่ที่รัฏฐาธิปัตย์และกำลังรบกำลังทัพมากมาย ซึ่งมีบรรดาบุคคลสำคัญทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนที่แต่งตั้งจากเครือญาติตั้งแต่ชั้นผู้ใหญ่ถึงชั้นผู้น้อยมารับราชการทำหน้าที่ด้วยความภักดี แม้ว่าจะขัดกับศีลธรรมก็ตาม แต่ก็ให้ความสำคัญกับหน้าที่มากกว่า ในการทำสงครามที่ทุ่งกุรุเกษตร ทั้งฝ่ายปานณพและเการพต่างก็ขอความช่วยเหลือทางกำลังทหารและกำลังทัพจากบรรดารัฐและบ้านเมืองที่มีความสัมพันธ์ทางสังคมและการเมือง โดยเฉพาะบรรดารัฐที่เป็นเครือญาติกัน หนึ่งในรัฐเหล่านั้นก็คือ รัฐทวารกะ ที่มีพระกฤษณะปกครอง พระกฤษณะต้องทรงช่วยเหลือทั้งสองฝ่ายที่เป็นปรปักษ์กัน โดยให้ฝ่ายลูกผู้พี่คือพวกเการพเลือกก่อน พวกเการพเลือกเอากำลังทหารและกองทัพทั้งหมดไปเป็นของฝ่ายตน คงเหลือแต่องค์พระกฤษณะเท่านั้นที่ไม่ได้เอาไป ซึ่งฝ่ายปานณพก็ยินดีเลือกพระกฤษณะ แต่ไม่ใช่มาเป็นขุนพลแม่ทัพ หากมาทำหน้าที่สารถีคือคนขับรถศึกให้ผู้ที่เป็นแม่ทัพคือ อรชุน ผู้เป็นนักรบที่มีความเป็นเลิศในการใช้ธนูสงครามที่ทุ่งกุรุเกษตรครั้งนี้ พี่น้องทั้งสองฝ่ายสู้รบกันที่มีผลทำลายญาติพี่น้องให้ล้มตายทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะบุคคลที่เป็นครูบาอาจารย์และญาติผู้ใหญ่ จนมาถึงการเผชิญหน้าระหว่างแม่ทัพสำคัญของทั้งสองฝ่ายคือ อรชุนฝ่ายปานณพกับกรรณของฝ่ายเการพ ทั้งคู่นี้เป็นพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน แต่คนละบิดา ต่างมีความเลิศในการใช้ธนูเสมอกัน และการสู้รบของคนทั้งสองคือการตัดสินว่าฝ่ายใดจะแพ้หรือชนะ ในขั้นแรกฝ่ายกรรณได้เปรียบเพราะรถศึกของทางอรชุนขัดข้อง ซึ่งธรรมดาการสู้รบกันตามกติกานั้น อีกฝ่ายหนึ่งต้องหยุดรอเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งแก้ไขสิ่งขัดข้องให้เรียบร้อยก่อนจึงจะดำเนินการต่อไปได้ แต่กรรณผู้เหี้ยมโหดไม่กระทำกลับยิงธนูเข้าประหารอรชุนที่กำลังเสียทีทันที แต่อรชุนก็รอดได้เพราะความสามารถของสารถีคือพระกฤษณะ พอการรบดำเนินต่อไปทางฝ่ายกรรณก็เกิดขัดข้องเชิงเทคนิคในเรื่องรถศึกบ้าง คือเพลาล้อรถหักต้องการซ่อมแซมจึงขอทางอรชุนให้หยุดรอเพื่อซ่อมรถก่อน ซึ่งอรชุนก็ทำท่าลังเลเพราะเป็นคนใจอ่อนมีธรรมะและความเมตตา โดยเฉพาะกรรณซึ่งเป็นพี่ชายต่างบิดา ในช่วงที่รีรอนี้ พระกฤษณะจึงเร่งและยุให้อรชุนเผด็จศึกด้วยการยิงธนูประหารกรรณในขณะที่อยู่ในสภาพขัดข้องในเรื่องรถเสีย อรชุนก็ยังรีรอและเป็นคนใจอ่อนเกรงกลัวต่อบาปที่จะเกิดขึ้น พระกฤษณะจึงต้องรับประกันว่าไม่เป็นบาปในการปฏิบัติหน้าที่นักรบที่ดีในยามสงครามที่ปลอดจากความเป็นธรรมและยุติธรรม แต่ต้องทำเพียงชัยชนะ พระกฤษณะได้แสดงพระองค์ว่า อรชุนไม่บาปก็เพราะพระองค์คือพระเป็นเจ้า เป็นการสร้างความมั่นใจและพลัง [Empowerment] ให้แก่อรชุนผู้ลั่นธนูไปประหารกรรณที่เป็นฝ่ายอธรรม และเป็นการสู้รบที่นำไปสู่การได้ชัยชนะของสงครามของฝ่ายปานณพในที่สุด การกล่อมเกลาและอบรมในลักษณะที่เป็น Dialogue ระหว่างพระกฤษณะกับอรชุน เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่อรชุนในการปฏิบัติหน้าที่นี้ คือสิ่งที่เรียกว่า ภควัคคีตาหรือเพลงของพระเจ้า ซึ่งก็มีผู้รู้ในสังคมไทยมักนำมากล่าวถึงในการกระตุ้นให้ฝ่ายทหารออกมาแสดงบทบาทและหน้าที่ในการปกป้องชีวิตของประชาชนที่ถูกย่ำยีและฆ่าฟันโดยกองกำลังตำรวจและอันธพาลของรัฐบาลทรราชทักษิณ ข้าพเจ้าก็ยังไม่แน่ใจว่าทหารจะออกมาป้องกันอย่างเต็มรูปและเต็มตัวมากกว่าการปฏิบัติการของกองกำลังนิรนามป๊อปคอร์นที่อาจจะได้ชัยชนะแต่เพียงการช่วยเป็นครั้งคราวไป เพราะดูแล้วสงครามระหว่างรัฐอสูรกับประชาชนคนมีธรรมะนี้ ดูเกินกำลังกว่ามนุษย์ธรรมดาที่มีธรรมะและอหิงสาจะชนะได้ หากเป็นสงครามของกลียุคที่อำนาจเหนือธรรมชาติหรือพระเป็นเจ้าต้องอวตารลงมาอีกครั้งหนึ่ง เป็นกลียุคที่มีต้นตอมาจากอสูรร้ายตะวันตก อเมริกัน อังกฤษ ฝรั่งเศสที่เผยแพร่ลัทธิประชาธิปไตยทุนนิยมเสรีอันเป็นเกราะป้องกันให้แต่บรรดารัฐทรราชทั้งหลาย อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • ประชาธิปไตยเมืองไทย : พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือไอ้กันเป็นประมุข?

    เผยแพร่ครั้งแรก 4 ก.ค. 2557 ช่วงเวลา ๖–๗ เดือนที่ผ่านมาตั้งแต่ธันวาคมศกที่แล้วมาจนถึงพฤษภาคมจะเข้ามิถุนายนนี้ ข้าพเจ้ากลายเป็นมนุษย์ที่มีอารมณ์ไม่ดีสองอย่าง ประธานาธิบดีบารัค โอบามาและนางฮิลรารี คลินตัน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเยี่ยมชมวิหารพระพุทธไสยาสน์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรุงเทพมหานคร เมื่อ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕ (ภาพจาก Jewel Samad, The Gardian) อย่างแรกเป็นอารมณ์โกรธเกลียดและขยะแขยงรัฐบาลไอ้กันและพรรคพวก เช่น ไอ้เศส , ไอ้กิดที่คนไทยทั้งรุ่นใหม่และเก่าเป็นจำนวนมากยังหลงว่าพวกนี้เป็นเทพเจ้า อย่างที่สองคืออารมณ์เกลียดชังปนสมเพชคนในระบอบทักษิณที่เรียกสั้น ๆ ว่า “ โจรเสื้อแดง ” ซึ่งเป็นเหตุแห่งความวุ่นวายและความแตกแยกที่ทำให้คนไทยฆ่ากันเองมากกว่าทศวรรษ ตั้งแต่ พ . ศ . ๒๕๔๗ เป็นต้นมา ข้าพเจ้าเกลียดไอ้กันเพราะเป็นเจ้าลัทธิประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งที่ไม่แคร์กับการซื้อเสียงขายเสียงเพื่อให้พรรค การเมืองที่ชั่วร้ายเข้ามามีเสียงส่วนมากในรัฐสภา จนในที่สุดกลายเป็นเผด็จการรัฐสภาภายใต้การบัญชาของทศกัณฐ์หน้าเหลี่ยม ขี้ข้าตัวโปรดของไอ้กัน หลังการปฏิวัติของทหาร คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ทำให้รัฐบาลหน้าเหลี่ยมสิ้นสุดลงไปอย่างสิ้นเชิงท่ามกลางความดีใจและโล่งใจของคนส่วนใหญ่ในชาติ ข้าพเจ้าก็พลอยฟ้าพลอยฝนโล่งใจไปกับเขาด้วย เพราะก่อนหน้านี้เป็นทุกข์กับ กปปส. และเครือข่ายเช่น คปท. กองทัพธรรม และกลุ่มหลวงปู่พุทธอิสระที่เป็นขบวนการเคลื่อนไหวของมวลมหาชนที่ออกมาขับไล่ไอ้หน้าเหลี่ยมและน้องสาวอย่างอหิงสาวิธี ด้วยพลังการตื่นรู้ของคนทุกเพศทุกวัยทุกชาติพันธุ์และหมู่เหล่าในประเทศ แต่ก็ยังไม่เห็นแสงสว่างของความสำเร็จ นับเวลาเข้าถึง ๖ เดือนแต่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรกับรัฐบาลที่ไม่มีศีลธรรมและจริยธรรมได้ แถมยังหน้าด้านหน้าทนอีกต่างหาก ที่สำคัญ อมนุษย์เหล่านี้ยังใช้วิธีการโสมมสองอย่างมาตอบโต้ อย่างแรกก็คือ การอ้างความชอบธรรมตามกฎหมายรัฐธรรมนูญในการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบที่ไอ้กันและประเทศมหาอำนาจตะวันตกรับรอง กับอย่างที่สองคือใช้กลไกของความมั่นคงภายในของชาติคือตำรวจและโจรเสื้อแดงอันธพาล ออกมาปราบปรามให้ร้าย ใส่ร้าย และทำร้ายประชาชนจนเสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก พร้อมกันกับอ้างความเป็นธรรมในระบอบประชาธิปไตย การเคลื่อนไหวออกมาต่อต้านและขับไล่รัฐบาลทรราชระบอบทักษิณที่ต่อสู้เรื่อยมาถึง ๖ เดือนเต็มนี้ ได้เผยร่างเปลือยกายรัฐบาลที่เป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากการเป็นทรราชอมนุษย์ภายใต้เปลือกของประชาธิปไตยแบบไอ้กันเท่านั้น เพราะนอกจากมีการอ้างอิงอย่างข้าง ๆ คู ๆ ว่าเป็นประชาธิปไตยแล้ว ยังได้รับการรับรองและสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐบาลไอ้กันและบริวาร เช่น ไอ้เศส ไอ้กิด และไอ้ออสซี่ด้วย เมื่อเล่นไม้นี้ให้เห็น ข้าพเจ้าจึงมองไม่เห็นถึงหนทางชนะของฝ่ายมวลมหาประชาชนที่ดูอหิงสาอย่างไร้เดียงสา เพราะเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่มีอำนาจบังคับใช้เช่นอำนาจรัฐ แม้ว่าจะมีพลังมวลมหาประชาชนที่ตื่นรู้ออกมาร่วมต่อสู้เรียกร้องกันมากมายกว่าครั้งใด ๆ ในประวัติศาสตร์ชาติไทยก็ตาม มวลมหาประชาชนกลุ่มหนึ่งมีความคิดให้สู้ต่อไปอย่าได้ถอยโดยวิธีการอหิงสา แต่บางกลุ่มก็เรียกร้องให้ทหารที่ประกาศตัวว่าจะอยู่ข้างประชาชนออกมาจัดการกับรัฐบาลชั่ว แต่ดูไม่ได้ผลเพราะทหารเกรงว่า ถ้าออกมาปฏิวัติรัฐประหารและจะตกหลุมกับดักของรัฐบาลชั่วได้ใช้เป็นข้อกล่าวหาเพื่อยืนยันกับไอ้กันและบริวารว่า ทหารเข้ามาปฏิวัติล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย เพราะทหารเคยมีประสบการณ์ดังกล่าวนี้มาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงรีรอแต่ก็เคลื่อนไหวเงียบ ๆ โดยส่งกำลังคนมาคอยดูแลประชาชนไม่ให้ได้รับความรุนแรงอันเป็นการกระทำของพวกตำรวจและโจรเสื้อแดง และดูเหมือนคอยติดตามดูการเคลื่อนไหวของตำรวจและอันธพาลของฝ่ายรัฐบาลอยู่ รอจนถึงขั้นจะแตกหักในตอนปลายเดือนพฤษภาคมที่ทางแกนนำฝ่ายมวลมหาประชาชนขีดเส้นตายว่าต้องยุติในวันที่ ๒๖ พฤษภาคมอย่างเด็ดขาด ในขณะที่ทางฝ่ายรัฐบาลซึ่งก็ขับเคลื่อนระดมโจรเสื้อแดงและคนเสื้อแดงซึ่งหลงใหลในประชาธิปไตยแบบไอ้กันออกมาชุมนุมต่อต้าน ซึ่งการเคลื่อนดังกล่าวนี้ปากก็ว่าอหิงสาแต่พฤติกรรมเป็นมหิงสา เพราะมีการขน อาวุธสงครามเข้ามาในประเทศและทุกสารทิศในแทบทุกภาค เริ่มก่อความรุนแรงยิงระเบิด M ๗๙ และใช้ปืนสงครามกวาดยิงฆ่าประชาชน ทำให้เกิดการคาดหวังอย่างวิตกว่า ความรุนแรงและการนองเลือดคงจะหนีไม่พ้น จึงเป็นโอกาสเหมาะที่ในความชอบธรรมที่ทหารจะต้องออกมาประกาศกฎอัยการศึกเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของแผ่นดิน ในวันที่ ๒๐ พฤษภาคมเวลา ๐๓.๐๐ น. ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นการทันเวลาและทันกับเหตุการณ์ในการป้องกันชีวิตของประชาชนโดยแท้ แต่ที่สำคัญก็เป็นการช่วยกู้มวลมหาประชาชนผู้อหิงสาให้ไม่ต้องรอไปเผด็จศึกในวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ซึ่งข้าพเจ้าค่อนข้างเชื่อว่าคงไม่สำเร็จ แถมจะเกิดการสูญเสียกว่าที่คิดด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของมวลมหาประชาชนออกมาล้มระบอบทรราชทักษิณด้วยวิธีอหิงสาก็ดีกับการออกมายึดอำนาจและทำการปฏิวัติของกองทัพทหารนั้น เป็นสิ่งที่มีคุณูปการต่อกันอย่างแยกไม่ออก ซึ่งข้าพเจ้าในฐานะคนแก่ ๆ คนหนึ่งเห็นว่าเป็นบุญของประเทศโดยแท้และนับเป็นเรื่องปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งก็ว่าได้ เพราะความศักดิ์สิทธิ์และความเชื่อยังเป็นสิ่งที่ครอบงำและคุ้มครองคนไทยอย่างไม่น้อย ถ้าไม่มีการเคลื่อนไหวของมวลมหาประชาชนเพื่ออหิงสาให้ได้มาถึงความเป็นประชาธิปไตย ฝ่ายทหารก็คงไม่สามารถออกมาปฏิวัติได้ เพราะเป็นการต่อสู้ที่ไม่น่าจะสำเร็จได้โดยง่ายโดยไม่ต้องมีการสูญเสียอย่างมากมาย ข้าพเจ้าให้น้ำหนักความสำเร็จในการโค่นอำนาจรัฐบาลทรราชของไอ้หน้าเหลี่ยมอย่างเท่ากันระหว่างผู้นำของขบวนมหาประชาชนกับผู้นำของทหารหาญ และถือว่าเป็นบุญบันดาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่จริงในบ้านเมือง โดยเฉพาะบุญญาบารมีแห่งองค์พระมหากษัตริยาธิราชเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ความขัดแย้งที่นำไปสู่การเดินขบวนคัดค้านและขับไล่ของมวลมหาประชาชนนั้น หาได้เป็นเรื่องของการเป็นประชาธิปไตยไม่ หากเป็นการล้มล้างระบอบทักษิณที่ทำให้เกิดคอรัปชั่นและฉ้อราษฎร์บังหลวงโดยรัฐบาลทรราชโดยแท้ แต่ฝ่ายทรราชกลับแก้เกี้ยวอ้างการกล่าวหาว่าเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่คนทั้งโลกเขานิยม เลยมีการปั้นน้ำให้เป็นตัวขึ้นมาด้วยการปลุกระดมบรรดาประชาชนคนระดับล่างที่ตามโลกไม่ทันทางสติปัญญาให้หลงเชื่อด้วยโครงการประชานิยม เช่น เอาเงินภาษีรายได้ของรัฐมาแจกจ่ายโดยไม่ต้องทำมาหากินอย่างสุจริต เช่น เงินกองทุนหมู่บ้าน เงินจำนำข้าว การเพิ่มรายได้ค่าจ้างขั้นต่ำ และเงินเดือนของบรรดาผู้จบการศึกษาขั้นปริญญาอันเป็นสิ่งที่ทำให้บรรดาผู้ประกอบการรายย่อยที่มีทุนน้อยต้องขาดทุนและล้มเลิกกิจการ และรัฐเองก็ไม่สามารถหารายได้มาให้พอเพียงกับรายจ่าย เปิดช่องให้นายทุนรายใหญ่เช่นนายทุนข้ามชาติที่มีทั้งจากในประเทศและจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนยึดครองที่ดินพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติของแผ่นดิน ทั้งหมดนี้เท่ากับเป็นการขายประเทศไทยและแผ่นดินไทยให้ต่างชาติโดยตรง นี่เป็นประการแรก ประการที่สองก็คือ รัฐทรราชให้ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดกับบรรดาปัญญาชนที่เป็นนักวิชาการ ข้าราชการพลเรือน ทหารและตำรวจที่ขาดมนุษยธรรมและจริยธรรมที่อยู่ภายใต้อำนาจเงินของรัฐที่มาจากการโกงกินให้ออกมาต่อต้านกับฝ่ายประชาชน โดยอ้างเหตุผลของการไม่เป็นประชาธิปไตย การเคลื่อนไหวและการกระทำของคนเหล่านี้นั้นเป็นสิ่งเห็นประจักษ์แก่วิญญูชนทั่วไป แต่ก่อนเคยเห็นเป็นประจักษ์แต่เพียงทรราชหน้าเหลี่ยม ญาติพี่น้องและบริวารสามารถซื้อเสียงการเลือกตั้งให้มีเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภาจนเป็นเผด็จการรัฐสภา และการใช้อำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจและอามิสสินจ้างหว่านล้อมบรรดาข้าราชการประจำทั้งพลเรือน ทหารบางรุ่นบางเหล่าและตำรวจเกือบทั้งสถาบันให้มาเป็นขี้ข้าเครื่องมือของตนเท่านั้น แต่คราวนี้ก็ได้เห็นแนวร่วมจากกกลุ่มคนชั้นสูง คนเคยเป็นผู้ดีมีตระกูล และคนกลุ่มปัญญาชน เช่น อาจารย์ระดับด๊อกเตอร์ด๊อกตีน นักศึกษา และมิจฉาชีพที่เอาผ้าเหลืองมาห่มพรางกาย คนกลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้แม้ว่าจะไม่ออกมาทำการรุนแรง แต่กลับดูร้ายแรงยิ่งเสียกว่าเพราะเป็นกลุ่มที่พยายามอ้างความถูกต้องชอบธรรมของรัฐบาลไอ้หน้าเหลี่ยมและพรรคพวกว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยที่ถูกต้องและรักษากฎหมายรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด สมคบกับพวกสื่อที่ชั่วร้ายทางโทรทัศน์และสื่อสิ่งพิมพ์ออกมาประนามและขัดขวางการต่อต้านเรียกร้องของมวลมหาประชาชน คนเหล่านี้ก็เช่นเดียวกันที่นอกจากเป็นทาสน้ำเงินของไอ้หน้าเหลี่ยมแล้ว ก็เห็นว่าไอ้กัน ไอ้กิด และไอ้เศสคือพ่อแม่ หลาย ๆ คนเคยเป็นคนใหญ่คนโตและเป็นข้าราชการผู้ใหญ่เคยรับใช้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เคยถวายสัตย์ปฏิญาณดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยาหรือเคยสาบานตนต่อธงชัยเฉลิมพล ให้ความสำคัญกับองค์พระมหากษัตริย์ในฐานะพระประมุขในการปกครองระบอบประชาธิปไตย แต่ทุกวันนี้กลับแลเห็นว่าไอ้กันเป็นประมุขแทน ก็เลยเข้าทางกับความคิดเชิงวาทกรรมของข้าพเจ้าว่า ความขัดแย้งครั้งนี้คือวาทกรรมของคนฝ่ายหนึ่งคือฝ่ายทรราชหน้าเหลี่ยมที่อ้างประชาธิปไตยแบบไอ้กันเป็นประมุขว่า ทันสมัยและถูกต้องกับสากลโลก เพื่อนำไอ้กันกับพรรคพวกเข้ามาให้การสนับสนุนและร่วมกันเข้ามาครอบครองและแย่งทรัพยากรทั้งหลายที่มีของประเทศ ที่เคยให้ความสมบูรณ์พูนสุขและการมีชีวิตร่วมกันอย่างไม่ขัดสนและราบรื่นมาแต่โบราณนับหลายศตวรรษในลักษณะที่เรียกว่า สังคมชาวนา ในขณะที่ทางฝ่ายมวลมหาประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวกันมากมายแบบถล่มทลายหลายล้านคนที่ไม่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ชาติไทย ก็คือระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ที่ประชาราษฎร์ทั่วทั้งประเทศยังมีความเชื่อมั่นในองค์พระมหากษัตริย์ว่ายังเป็นที่พึ่งในยามเกิดยุคเข็ญและเป็นศูนย์รวมทางจิตวิญญาณของผู้ที่เป็นคนไทยอยู่ การออกมาปฏิวัติของกองทัพครั้งนี้คงไม่เหมือนครั้งใด ๆ ในการปฏิวัติรัฐประหารที่เคยมีมา ซึ่งพอสรุปได้ว่าทุกครั้งของการปฏิวัตินั้นเกิดภาวะขัดแย้งทางเศรษฐกิจการเมืองในชาติอย่างรุนแรง อันเนื่องมาจากรัฐบาลเป็นเผด็จการ ผู้นำทหารที่ทำการปฏิวัตินั้นเริ่มต้นก็เจตนาดี แต่พอมีอำนาจเต็มที่ก็ไม่ยอมปล่อยให้เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยจริงแบบเผด็จการทุกที จากเผด็จการของขุนศึกจนมาถึงเผด็จการของนายทุนจนถึงยุคทรราชหน้าเหลี่ยมที่ทำความพินาศให้บ้านเมืองและผู้คนในทุกมิติของสังคมไม่ว่าเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม จนผู้คนในสังคมรุ่นใหม่ในปัจจุบันทนต่อไปไม่ได้ เกิดการตื่นรู้และรวมตัวกันขับไล่และล้มร้างทรราชในขณะนี้ ซึ่งก็ไม่มีทางสำเร็จด้วยวิธีอหิงสาจึงต้องมีกำลังฝ่ายทหารที่ตื่นรู้รักบ้านรักแผ่นดินและรักพระมหากษัตริย์ออกมาจัดการ แน่นอนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเพื่อให้มีการปฏิรูปก่อนที่จะมีการเลือกตั้งนั้น ไม่มีทางใช้อำนาจตามกฎหมายรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยได้ ต้องเป็นอำนาจปฏิวัติแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น จากการเฝ้าติดตามและสังเกตพฤติกรรมและบทบาทของคณะทหารที่ทำการปฏิวัติในครั้งนี้ ผู้นำทหารรุ่นนี้ได้เรียนรู้และตื่นรู้ในความล้มเหลวและผิดพลาดของการปฏิวัติมาดีพอ อีกทั้งไม่เคยคิดจะปฏิวัติมาก่อนและพยายามหลบหลีกไม่แสดงอะไรที่เป็นการก้าวร้าวแสดงอำนาจกับทางฝ่ายรัฐบาลตลอดเวลา หากเฝ้าดูพฤติกรรมอย่างต่อเนื่องด้วยความอดทน อย่างครั้งน้ำท่วมใหญ่ใน พ.ศ. ๒๕๕๓ ตอนเริ่มต้นของรัฐบาลน้องสาวไอ้หน้าเหลี่ยมซึ่งนับได้ว่าเป็นความล้มเหลวที่สำคัญ ทำให้เกิดความเดือดร้อนอย่างสาหัสแก่ผู้คน รัฐบาลไม่มีทางเป็นที่พึ่งได้ แก้ไขอะไรไม่ได้ มีแต่ทหารเท่านั้นที่ออกมาช่วยเหลือประชาชนอย่างจริงใจ โดยเฉพาะผู้บัญชาการทหารบกผู้ที่เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติในขณะนี้ แม้ว่าในเวลาต่อ ๆ มาทหารก็ดูยิ่งระวังตัวในการที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการปกครองและบริหารของรัฐบาลที่แทบไม่มีอะไรเลยที่ไม่เกี่ยวกับการทุจริตคอรัปชั่นและการแสดงอำนาจเถื่อนของบรรดานักการเมืองและบริวารที่มีทั้งทหาร ตำรวจ ข้าราชการพลเรือนและกองกำลังโจรเสื้อแดง แทบทุกครั้งที่ประชาชนมีการเคลื่อนไหว คัดค้าน ต่อต้านรัฐบาลทหารก็ดูเพิกเฉยโดยเฉพาะปล่อยให้พวกตำรวจขี้ข้าออกมาจับกุม ข่มเหงประชาชนครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้คนเป็นจำนวนมากแม้แต่ข้าพเจ้าเองรู้สึกว่าทหารไม่เอาไหนและถูกซื้อได้ด้วยเงินของทรราชที่คดโกงแผ่นดินมา ทหารเพียงพูดอย่างขอไปทีว่า ไม่เลือกข้างไหนแต่เลือกอยู่ข้างประชาชนและสั่งกองกำลังทหารเข้ามาประจำสถานที่สำคัญที่เกิดความรุนแรงจากการใช้อาวุธสงครามทำร้ายและฆ่าประชาชน และในยามที่ตำรวจของฝ่ายทรราชและอันธพาลเสื้อแดงเข้าโจมตี ฆ่าฟันประชาชนที่ไม่มีอาวุธก็เกิดปรากฎการณ์ที่มีกองกำลังนิรนามซึ่งก็น่าจะเป็นทหารที่รักบ้านรักแผ่นดินออกมาทำการต่อสู้ช่วยเหลือประชาชน ทำให้ทางฝ่ายทรราชไม่สามารถกวาดล้างมวลมหาประชานที่คัดค้านได้สำเร็จ ทหารก็คงทำได้เท่านี้แม้ว่าฝ่ายรัฐบาลทรราชจะถูกกระบวนการศาลยุติธรรมตัดสินให้กลายเป็นรัฐบาลรักษาการณ์ที่ไม่อาจเป็นรัฐบาลโดยชอบธรรมอย่างเต็มที่ได้ การต่อต้านและการขับไล่รัฐบาลทรราชที่ชั่วร้ายนี้ ได้ดำเนินการกว่า ๖ เดือนเต็ม แต่รัฐทรราชก็ยังดื้อด้านอ้างการเป็นรัฐบาลที่มาจากเสียงเลือกตั้งส่วนมากอย่างเดิม ไม่ยอมลาออกเพื่อให้มีการปฏิรูปโครงสร้างการเมืองการปกครองกันใหม่ แต่ยืนกรานให้มีการเลือกตั้งแบบเดิมที่จะทำให้นักการเมืองฝ่ายตนได้เลือกตั้งเข้ามาเป็นเผด็จการรัฐสภาใหม่ ทางฝ่ายมวลมหาประชานจะเคลื่อนไหวกดดันอย่างใดก็ไม่ยินยอม แถมระดมสรรพกำลังของพวกตำรวจโจรและอันธพาลเสื้อแดงนำอาวุธสงครามมาแทบทุกสารทิศ เตรียมการฆ่าฟันประชาชนด้วยอาวุธสงครามอย่างโหดร้าย เพราะได้ใจว่าฝ่ายประชาชนไม่มีอาวุธและทำการต่อสู้ด้วยวิธีอหิงสาอย่างเดียว จนเมื่อเหตุการณ์เข้าสู่ภาวะวิกฤต ทหารจึงได้ออกโลงมาระงับข้อพิพาทด้วยการประกาศกฎอัยการศึก และให้ทั้งฝ่ายรัฐทรราชกับฝ่ายมวลมหาประชาชนตกลงกัน ซึ่งก็ไม่มีทางสำเร็จและความรุนแรงก็เริ่มเพิ่มขึ้น และทหารเองก็ถูกรุมด่าจากทั้งสองฝ่าย ฝ่ายรัฐต้องการปรามไม่ให้ทหารออกมาด้วยวิธีการเช่นเดิม คือกล่าวหาว่าจะทำการปฏิวัติรัฐประหารอย่างที่เคยมีมา ส่วนฝ่ายมวลมหาประชาชนที่ไม่ชอบการปฏิวัติโดยทหารก็มี และที่ต้องการให้ทหารออกมาเป็นกองกำลังให้ฝ่ายประชาชนก็มาก ในวาระเช่นนี้ที่หลายคนสิ้นหวังในทหาร เพราะเชื่อว่าผู้นำทหารหลายคนถูกซื้อโดยทรราช ทหารจึงประกาศยึดอำนาจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควบคุมบุคคลที่ออกมาเคลื่อนไหวทั้งสองฝ่ายและปราบปรามกลุ่มคนมีอาวุธสงครามและทำร้ายฆ่าฟันประชาชน ในการปฏิวัติของทหารครั้งนี้ข้าพเจ้าให้ใจกับทหารหาญเต็มร้อย เพราะเป็นปาฏิหาริย์ในอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของบ้านเมืองที่จะช่วยชีวิตประชาชนและประเทศชาติให้อยู่รอดจากทรราชชั่วร้ายของแผ่นดิน และการเป็นขี้ข้าทางเศรษฐกิจการเมืองและวัฒนธรรมของมหาอำนาจทุนนิยมประชาธิปไตย ดังเช่นไอ้กันไอ้กิดไอ้เศสและบริวาร ทหารปฏิวัติครั้งนี้หาได้เป็นไปเพื่อความต้องการอำนาจเพื่อเข้ามาเป็นรัฐบาลแทนอย่างแต่ก่อน ๆ หากปฏิวัติด้วยตื่นรู้และเรียนรู้อย่างแท้จริง ซึ่งก็เห็นได้จากคำกล่าวของหัวหน้าคณะปฏิวัติคือแม่ทัพบก ทหารตระหนักรู้ในบทเรียนของการปฏิวัติที่แล้วมาเป็นอย่างดี หาได้มุ่งยึดอำนาจเพื่อปกครองเป็นรัฐบาลเสียเอง แต่ทนไม่ได้กับการสูญเสียชีวิตของประชาชน ทนไม่ได้กับการกล่าวร้ายให้ร้ายพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพรักของทุกคนในชาติ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ การประนามบุคคลชั่วร้ายในชาติที่ทรยศรับเงินอุดหนุนของรัฐบาลมหาอำนาจเข้ามาแหย่เพื่อเสริมความถูกต้องให้กับทรราชหน้าเหลี่ยมและพรรคพวกในการเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยที่เสียงส่วนใหญ่มาจากการเลือกตั้งโดยการซื้อเสียงและขายเสียง ในที่สุดการปฏิวัติครั้งนี้มีโรดแมพอย่างคร่าว ๆ ที่สอดคล้องกับของมวลมหาประชาชน คือต้องปฏิรูปก่อนที่จะให้มีการเลือกตั้งที่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ความสำคัญอยู่ที่การปฏิรูป ถ้าหากไม่มีการปฏิรูปอย่างถอนรากถอนโคนในทางโครงสร้างการปกครองและการบริหารที่ใช้อำนาจรวมศูนย์อย่างที่เคยมีมาก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น คงเข้าสู่อีหรอบเดิม แต่การปฏิรูปครั้งนี้จะสำเร็จได้ดีก็ต้องอาศัยอำนาจปฏิวัติที่หลีกไม่พ้นการเป็นเผด็จการ หัวหน้าคณะปฏิวัติผู้เป็นผู้นำทางทหารก็จำต้องมีอำนาจสูงสุดในการสั่งการ และคงต้องอาศัยอำนาจตุลาการศาลทหารรวมทั้งการประกาศกฎอัยการศึกในวาระจำเป็นเป็นเครื่องมือ ความสำเร็จจะเกิดได้จากความซื่อตรงและความกล้าหาญทางจริยธรรมของหัวหน้าคณะปฏิวัติโดยตรง หญิงชาวบ้านในสงครามเวียดนามถูกทหารสหรัฐอเมริกาใช้ปืนกลจี้หัว ถือเป็นภาพจากสงครามเวียดนามที่มีชื่อเสียงและเป็นที่คุ้นเคยทั่วโลก ซึ่งเมื่อปฏิรูปให้เกิดโครงสร้างใหม่และการกระจายอำนาจอย่างมั่นคงแล้ว จึงจะถึงเวลาของการเข้าสู่การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยอีกวาระหนึ่ง ข้าพเจ้าให้ใจและให้ความหวังกับผู้บัญชาการทหารบกคนนี้ซึ่งเป็นผู้นำในการปฏิวัติว่าน่าจะทำได้สำเร็จ เพราะได้แลเห็นพฤติกรรมที่ฉลาดและมีความจริงใจในคำพูดและการกระทำตลอดเวลากว่าสองปีที่ผ่านมาภายใต้รัฐบาลทรราชของน้องสาวไอ้หน้าเหลี่ยม โดยเฉพาะจุดเริ่มต้นของการที่ทหารออกมาช่วยเหลือประชาชนไม่ให้จมน้ำตายในขณะที่ทางรัฐบาล “เอาไม่อยู่” และภายหลังปฏิวัติแล้วดำเนินการช่วยเหลือประชาชนที่ถูกโกงจากการจำนำข้าวของรัฐบาลทรราช รวมทั้งการระบุถึงการที่มีกลุ่มนักวิชาการและปัญญาชนออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านโดยได้รับและหนุนจากรัฐบาลไอ้กัน ซึ่งย่อมแสดงให้เห็นว่าทหารและคณะปฏิวัติไม่หวั่นไหวต่อการข่มขู่ของไอ้กันและพรรคพวก ข้าพเจ้าคิดว่าความสำคัญตั้งแต่นี้ไปก็คือ คณะปฏิวัติและมวลมหาประชาชนจะต้องเผชิญกับศึกกับมหาอำนาจทุนนิยมเสรีประชาธิปไตย เช่นไอ้กันไอ้กิดไอ้เศสและไอ้ออสซี่ที่จะเคลื่อนไหวโดยมีตัวแทนคือบรรดานักวิชาการปัญญาชนและนายทุนข้ามชาติให้บีบคั้นให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว พร้อมกันปลุกปั่นให้คนเข้าใจว่าพระมหากษัตริย์และสถาบันคือเหตุใหญ่ของความไม่เจริญและล้าหลังของประเทศ และสถาปนารัฐประชาธิปไตยทุนนิยมแบบไอ้กัน ซึ่งอาจเอื้อมไปถึงการมีโรดแมพที่จะมีประธานาธิบดีเป็นประมุขแทนพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศด้วย เพราะฉะนั้นสังคมไทยกำลังเข้าสู่ทางแยก [Turning Point] ระหว่างการเป็นประชาธิปไตยแบบพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือประชาธิปไตยทุนนิยมแบบไอ้กันคือมีประธานาธิบดีเป็นประมุข ทางหลังนั้นคือความหายนะล่มสลายของคนไทยทั้งชาติที่บรรดามหาอำนาจทางเศรษฐกิจจะเข้ามาแย่งชิงทรัพยากรในประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์เช่นประเทศไทยแล้ว ยังเป็นการปล่อยให้บรรดานายทุนข้ามชาติทั้งภายในและภายนอกเข้ามาครอบครองประเทศด้วย เพราะบรรดานายทุนเหล่านี้คือพวกมองโลกแบบไร้พรมแดนไม่จำเป็นต้องมีชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์อีกต่อไป สุดท้ายนี้ในความคิดของข้าพเจ้าอย่างตื้น ๆ ในเรื่องทางเลือกทางแรกที่เป็นประชาธิปไตยแบบที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น จำเป็นต้องปฏิรูปให้มีการกระจายอำนาจไปยังท้องถิ่นให้เกิดรัฐบาลท้องถิ่นขึ้น ดูแลให้เกิดระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงที่มีความสัมพันธ์กับฐานทรัพยากรของแต่ละท้องถิ่น ในขณะเดียวกันก็ต้องจัดการในเรื่องการดำรงอยู่ของสถาบันกษัตริย์ ให้ปลอดจากการที่ถูกโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเป็นกลุ่มทุนอีกกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาแอบแฝงในพระนามของพระมหากษัตริย์ กลุ่มทุนที่แฝงอยู่ในนามของสถาบันดังกล่าวนี้มีความชั่วร้ายพอ ๆ กับกลุ่มทุนข้ามชาติในการทำลายฐานทรัพยากรของท้องถิ่นเหมือนกัน สำหรับการคุกคามข่มขู่ทางเศรษฐกิจการเมืองที่มาจากไอ้กันและพรรคพวกนั้น ข้าพเจ้าคิดว่าปัญญาชนที่รู้ซึ้งในฐานทรัพยากรของประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพและความอุดมสมบูรณ์ของน้ำและแผ่นดิน ไม่เคยกลัวหรือหวั่นไหวในการที่จะต้องปิดประเทศเพื่อความอยู่รอดเพราะ “ เมืองไทยนั้นปิดประเทศ ๕ ปี คนไทยก็มีกินและอยู่ได้ แต่นายทุนที่เป็นขี้ข้าอเมริกันคงไม่รอดสักราย ”

  • กรณีอยุธยาและสุโขทัย : ภูมิวัฒนธรรมกับการจัดการน้ำในภาคประชาคม

    เผยแพร่ครั้งแรก 17 มิ.ย. 2559 อนุสนธิจากการที่คณะวิชาการเมืองโบราณได้ทำแผนที่ภูมิวัฒนธรรมของเมืองประวัติศาสตร์ในประเทศไทยเพื่อประกอบการนำชมเมืองโบราณที่สมุทรปราการให้แก่นักเรียน นักศึกษา และผู้ที่มาชมได้เรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรม และได้นำภาพเมืองโบราณเหล่านั้นมาทยอยตีพิมพ์ในวารสารเมืองโบราณอย่างต่อเนื่องนั้น ได้เกิดผลดีเป็นประโยชน์ตามมาต่อการท่องเที่ยวเมืองประวัติศาสตร์ของนักเรียน นักศึกษา และผู้สนใจ ซึ่งทำให้สามารถไปท่องเที่ยวศึกษาด้วยตนเองได้ เพราะแผนที่นั้นได้สร้างจากแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศและแผนที่เก่า ๆ รวมทั้งตำแหน่งของสถานที่ซึ่งเป็นชื่อบ้านนามเมืองและสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่เป็นจริงในท้องถิ่น อาจารย์มานิต วัลลิโภดมและอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ที่สบกก สามเหลี่ยมทองคำ เชียงแสน โดยเฉพาะชื่อบ้านนามเมือง วัดและวังที่เติมเต็มความเข้าใจและการเข้าไปถึงตำแหน่งที่ตั้งให้แลเห็นภาพรวมที่มีชีวิตในอดีตได้ ซึ่งข้าพเจ้าเรียกสิ่งที่แลเห็นจากแผนที่เมืองโบราณดังกล่าวว่าเป็นภูมิวัฒนธรรมอันเป็นพื้นฐานของการศึกษาประวัติศาสตร์สังคมที่ทาง มูลนิธิเล็ก - ประไพ วิริยะพันธุ์ เข้าไปช่วยอบรมและแนะนำให้คนในท้องถิ่นสร้างประวัติศาสตร์สังคมของตนขึ้น และเป็นประวัติศาสตร์ประชาสังคม [History of civil society] ที่แตกต่างไปจากประวัติศาสตร์ของรัฐที่สร้างโดยคนข้างนอกท้องถิ่น ไม่ใช่คนจากข้างใน จนกระทั่งเมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคมที่แล้วมา มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนครศรีอยุธยาได้จัดให้มีการเสวนากันถึงเรื่องการจัดการน้ำของเมืองอยุธยาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดน้ำท่วมขึ้นอีกดังในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่แล้ว เพราะปัญหาอยุธยาถูกคุกคามจากการมีน้ำท่วมแทบทุกปีในขณะนี้ อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติที่ทำให้เกิดอุทกภัยกว่าแต่ก่อน ข้าพเจ้าถูกเชิญให้เป็นวิทยากรคนหนึ่งในการเสวนาครั้งนี้ในฐานะนักประวัติศาสตร์และโบราณคดี ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด นายวิทยา ผิวผ่อง และวิทยากรผู้เชี่ยวชาญการจัดการน้ำของโครงการหลวงในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดร.รอยล จิตรดอน ผู้ว่าราชการจังหวัดพูดถึงงบประมาณในการจัดการน้ำของทางจังหวัดที่ผู้ว่าราชการจังหวัดรับผิดชอบว่า การจัดการน้ำในส่วนรวมที่มีนับแสนล้านบาทได้เจียดมาให้ทางจังหวัดจำนวนหนึ่ง ซึ่งรวมแล้วกว่าหมื่นล้านขึ้นไป แต่ที่อยู่ในการรับผิดชอบและสั่งการโดยผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นมีไม่กี่ร้อยล้านบาท และส่วนใหญ่เป็นเรื่องของหน่วยราชการและองค์กรที่เกี่ยวกับการจัดการน้ำในท้องถิ่นใช้ในการศึกษารวบรวมข้อมูล ในขณะที่ทางฝ่ายผู้เชี่ยวชาญจากโครงการหลวงในพระราชดำริ ก็เสนอให้เห็นปริมาณของมวลน้ำและความเร็วของน้ำที่ทำให้เกิดอุทกภัยขึ้นในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปัญหาและแนวทางในการแก้ไขป้องกัน ส่วนข้าพเจ้าพูดถึงการจัดการน้ำในอดีตของคนเมืองอยุธยาในภาคประชาสังคม โดยใช้หลักฐานข้อมูลทางเอกสารโบราณ ความทรงจำของคนในท้องถิ่นและประสบการณ์ในส่วนตัวข้าพเจ้าที่เคยอยู่ที่อยุธยาในวัยเด็กร่วม ๖ ปี ยุคสมัยก่อนที่จะมีการสร้างเขื่อนภูมิพลและเขื่อนเจ้าพระยา ซึ่งความรู้และภาพพจน์ของสิ่งเหล่านี้ได้นำมาสร้างเป็นภูมิวัฒนธรรมในแผนที่เมืองประวัติศาสตร์อยุธยาที่เมืองโบราณได้จัดทำขึ้น ข้าพเจ้าไม่มีข้อสงสัยและขัดแย้งกับการจัดการน้ำในโครงการหลวงเพราะเป็นสิ่งที่แลเห็นชัดเจนในทางเทคนิคและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ แต่มีข้อข้องใจและเห็นใจในเรื่องการจัดการน้ำในระดับจังหวัดของผู้ว่าราชการจังหวัดที่ว่า ทางจังหวัดได้เงินมาจัดการกว่าหมื่นล้านขึ้นไป แต่ผู้ว่าราชการจังหวัดมีสิทธิ์ใช้ได้ราวร้อยกว่าล้านบาทเท่านั้น นอกนั้นเป็นเรื่องของหน่วยราชการและท้องถิ่นไปจัดหาข้อมูลและนำมาดำเนินการ พระยาโบราณราชธานินท์ โดยย่อก็คือเป็นเรื่องของท้องถิ่นนั่นเอง ข้อข้องใจของข้าพเจ้าก็คือคำว่า “ ท้องถิ่น ” นั้นหมายถึงใคร คงไม่ใช่ คนท้องถิ่นเป็นแน่ เพราะน้ำที่บ่าเข้ามาท่วมและถล่มอยุธยาทั้งนอกเมืองและในเมืองนั้น คนในชุมชนท้องถิ่นที่อยู่ร่วมกันมา ๗๐-๘๐ ปีที่ผ่านมาย่อมรู้ทิศทางและระดับน้ำได้ดี เพราะกรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองที่อยู่กับแม่น้ำ ลำคลองมาร่วม ๖๐๐ กว่าปี จนชาวต่างประเทศเรียกว่าเป็นเวนิชตะวันออก บางคนก็บอกว่าเป็นเมืองลอยน้ำบ้าง หมู่บ้านลอยน้ำบ้าง ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนมีหลักฐานจากตำนานภูมิสถานอยุธยาจากคำให้การของคนอยุธยาที่ถูกพม่ากวาดต้อนไปเป็นเชลยร่วมกับสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ร่วม ๒๕๐ ปีที่แล้วมา ก็เพราะจดหมายของชาวกรุงเก่าที่เกี่ยวกับภูมิสถานพระนครศรีอยุธยานี้เองที่พระยาโบราณราชธานินท์ผู้เป็นผู้รื้อเมืองอยุธยาครั้งรัชกาลที่ ๕ ภายใต้การบังคับบัญชาของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ นำมาใช้เป็นหลักฐานในการค้นหาและขุดแต่งบรรดาโบราณสถานต่าง ๆ ทั้งพระราชวัง วัด กำแพงเมือง ถนนหนทางที่หักพังและจมอยู่ในกองอิฐมากมายออกมาได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งการศึกษาสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ อันได้แก่แม่น้ำ ลำคลองและคูต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนของผู้คน เส้นทางคมนาคมโดยรอบของเกาะเมืองอยุธยาอันเป็นผลให้มีการสร้างแผนที่บ้านเมืองอยุธยาได้อย่างชัดเจนทั้งในบริเวณเมืองและรอบ ๆ เมือง ข้าพเจ้าเรียกภาพรวมทางภูมิศาสตร์ทั้งในบริเวณเกาะเมืองและบริเวณโดยรอบทุกทิศตามแม่น้ำลำคลองที่มีการอยู่อาศัยและมีการคมนาคมว่า “ ภูมิวัฒนธรรม ” เพราะเต็มไปด้วยชื่อบ้านนามเมือง ชื่อสถานที่ ชื่อแม่น้ำลำคลองที่มีหลักฐานทางพงศาวดารและตำนานประกอบ คุณูปการอันยิ่งใหญ่อีกอย่างหนึ่งของพระยาโบราณราชธานินทร์ในฐานะปราชญ์ทางโบราณคดีประวัติศาสตร์ของแผ่นดินก็คือ การสอบค้นทางน้ำและเส้นทางคมนาคมของบรรดาแม่น้ำลำคลองที่เกี่ยวข้องกับเมืองอยุธยาและบรรดาบ้านเมืองต่าง ๆ ริมแม่น้ำในบริเวณตอนล่างของดินดอนสามเหลี่ยมเก่า [Old delta] ตั้งแต่จังหวัดสิงห์บุรี ลพบุรี สุพรรณบุรี อ่างทองลงมาจนถึงอยุธยา ซึ่งก็เป็นประโยชน์อย่างมากที่ทางราชการใช้ในการเตรียมการเสด็จประพาสต้นของรัชกาลที่ ๕ และบรรดาเจ้านายต่าง ๆ สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ทั้งรัชกาลที่ ๕ และบรรดาเจ้านายที่เสด็จประพาสหรือตรวจราชการตามเส้นทางน้ำเหล่านี้ ได้ทรงพระราชนิพนธ์และพระนิพนธ์เล่าเรื่องที่ได้ทรงเห็นความเป็นไปของทางน้ำ ทางคมนาคมที่สัมพันธ์กับการดำรงอยู่ของบ้านเมืองและผู้คนเป็นผลตามมา ข้าพเจ้าถือว่าพระราชนิพนธ์ พระนิพนธ์เหล่านี้คือหลักฐานสำคัญของประวัติศาสตร์สังคมอย่างหนึ่งสำหรับผู้ที่สนใจค้นคว้าในยุคนี้ ความรู้และความเข้าใจเรื่องแม่น้ำลำคลองที่เป็นโครงสร้างสำคัญของภูมิวัฒนธรรมเมืองพระนครศรีอยุธยาได้รับการสานต่อจากบิดาของข้าพเจ้าคือ อาจารย์มานิต วัลลิโภดม ในฐานะนักโบราณคดีผู้เป็นหัวหน้าแผนกสำรวจของกองโบราณคดี กรมศิลปากร อาจารย์มานิตถูกย้ายให้มาประจำเป็นหัวหน้าหน่วยอยู่ที่อยุธยาเพื่อควบคุมดูแลบรรดาโบราณสถานทั้งเมืองอยุธยา ลพบุรี อันเป็นเมืองเก่าที่สำคัญ แผนที่ลายเส้นก่อนการขุดคูขื่อหน้าและคูเมืองด้านทิศเหนือ ในการปฏิบัติราชการเกี่ยวกับสภาพบรรดาโบราณสถานภายในเมืองโบราณนั้นดูไม่เป็นปัญหา เพราะเข้าถึงได้ง่าย แต่บรรดาโบราณสถานนอกตัวเมืองนั้นเข้าถึงลำบากทั้งหน้าแล้งและหน้าน้ำ ช่วงหน้าแล้งเต็มไปด้วยป่าและพงหญ้าอีกทั้งไม่มีเส้นทาง ส่วนหน้าน้ำนั้นดูเผิน ๆ สะดวกแต่ก็ไม่ง่ายเพราะกระแสน้ำแรงเชี่ยวในยามเดินทางตามลำน้ำ แต่เมื่อเข้าทุ่งเข้าคลองเล็ก ๆ ก็มีสิ่งกีดขวางเช่นบรรดาผักตบชวาและกอหญ้าที่ลอยอยู่ตามน้ำ แต่การเข้าสำรวจแหล่งโบราณสถานนอกเมืองในหน้าน้ำนั้น มีผลดีทำให้ได้เห็นและได้เรียนรู้ว่าน้ำมาทางไหน ลำน้ำไหนหรือคลองไหนที่มีกระแสน้ำแรงและทำให้เกิดการท่วมหันเข้าบ้านเข้าเมือง รวมทั้งได้เรียนรู้ว่าชาวบ้านร้านถิ่นเขาจัดการป้องกันบ้านเรือนและชุมชนให้ไม่ประสบความลำบากในหน้าน้ำท่วมด้วย ข้าพเจ้าชอบติดตามพ่อไปตรวจโบราณสถานนอกเมืองที่อยู่ในทุ่งต่าง ๆ ลำน้ำลำคลองต่าง ๆ ในหน้าน้ำเพราะเป็นสิ่งที่ชอบมากในวัยเด็ก แลเห็นอยุธยาในฤดูน้ำว่าเป็นฤดูที่รื่นรมย์ น้ำท่วมบ้านไปทุกแห่งทุกทุ่งและแทบทุกบ้านเรือน แต่ชาวบ้านไม่เดือนร้อนเพราะล้วนปลูกบ้านเรือนบนเสาสูงเหนือระดับน้ำ และคมนาคมติดต่อกันด้วยเรือหลายขนาดทั้งเรือเล็กเรือใหญ่ที่ใช้ขนของ บรรดาวัวควายก็ถูกนำไปไว้บนบริเวณโคกเนินมีลอมฟางข้าวสร้างไว้เพื่อให้มีหญ้าแห้งได้ไว้กินอย่างเพียงพอ แผนที่ลายเส้นหลังจากปรับทางเดินน้ำและทำให้กลายเป็นเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาแล้ว น้ำที่ท่วมทุ่งท่วมบ้านนั้นสะอาดมีปลานานาชนิดแหวกว่าย และมีให้จับกินเป็นอาหารทั้งกุ้งปูปลา โดยเฉพาะท่วมทุ่งที่เป็นนาข้าวก็มีผักน้ำนานาชนิด เช่น ผักบุ้ง สายบัวและสันตะวาให้นำมาเป็นอาหาร โดยเฉพาะข้าวนั้นไม่เน่าตายเพราะเป็นพันธุ์ที่สู้น้ำปลูกพัฒนาปรับปรุงมากันเป็นศตวรรษ คนอยุธยาสมัยข้าพเจ้ายังเป็นเด็กไม่เป็นโรคกลัวน้ำแต่ชอบน้ำและเล่นกับน้ำ เพราะรู้ว่าน้ำมาทางไหนแรงเชี่ยวเป็นอย่างใด จะหลบหลีกและป้องกันอย่างไรเพราะน้ำมาเร็วมาแรงมาแล้วก็ไป ไม่ขังแช่วกันอย่างในปัจจุบัน จากประสบการณ์ที่ออกไปตามแม่น้ำลำคลองและท้องทุ่งรอบ ๆ อยุธยากับพ่อในวัยเด็กนั้น ทำให้ข้าพเจ้าได้เห็นได้รู้จักชื่อแม่น้ำลำคลองและย่านชุมชนท้องถิ่นต่าง ๆ ได้เห็นทั้งฤดูน้ำและฤดูแล้ง เมื่อมาทำผังเมืองและแผนที่ภูมิวัฒนธรรมของเมืองอยุธยาและบรรดาเมืองโบราณต่าง ๆ ในแทบทุกภูมิภาคของประเทศแล้ว ก็พอพูดได้อย่างเต็มปากว่าบรรดาผังเมืองในสมัยโบราณนั้นล้วนเป็นเรื่องการจัดการน้ำเป็นหลักใหญ่ทั้งสิ้น โดยมุ่งที่มีการจัดตั้งที่อยู่อาศัยร่วมกันเป็นชุมชนให้มีน้ำกินน้ำใช้ตลอดปี และการหาทางป้องกันอุทกภัยในฤดูน้ำและความแห้งแล้งในฤดูแล้งด้วยการกำหนดตำแหน่งที่ตั้งของบ้านเมืองในทางภูมิศาสตร์และสภาพแวดล้อมธรรมชาติให้เหมาะสม ลักษณะของภูมิวัฒนธรรม [Cultural landscape] ของกรุงศรีอยุธยาที่แลเห็นในปัจจุบันนั้นสะท้อนให้เห็นว่า อยุธยาเป็นเมืองที่เกิดขึ้นในบริเวณเปลี่ยนผ่านจากปลายสุดของดินดอนสามเหลี่ยมเก่า [Old delta] มาสู่ตอนบนสุดของดอนสามเหลี่ยมใหม่ [Young delta] ก่อนที่บรรดาลำน้ำลำแพรกต่าง ๆ จากเมืองลพบุรี สิงห์บุรี และอ่างทองคือลำน้ำเจ้าพระยา ลำน้ำลพบุรี และลำน้ำป่าสักจะไหลลงมารวมกันในบริเวณที่เกิดเมืองอยุธยา ที่แบ่งได้เป็นสองสมัยสองพื้นที่คือ อโยธยาศรีรามเทพนคร กับ กรุงพระนครศรีอยุธยา โครงสร้างที่แบ่งพื้นที่เมืองอโยธยาออกจากเมืองอยุธยาก็คือ คูขื่อหน้าที่เป็นคูเมืองด้านตะวันออกของเมืองอยุธยาที่มีลักษณะเป็นเกาะเมือง ซึ่งในขณะเดียวกันคูขื่อหน้านี้ก็เป็นคูเมืองด้านตะวันตกของเมืองอโยธยาซึ่งมีร่องรอยให้เห็นว่าเป็นเมืองรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าในบริเวณสองฝั่งน้ำของแม่น้ำหันตราหรือแม่น้ำป่าสัก พื้นที่ของเมืองอโยธยาเกิดขึ้นในบริเวณน้ำอ้อมของลำน้ำป่าสักที่ไหลลงมาจากบริเวณตำบลนครหลวง เมื่อถึงบริเวณบ้านเกาะก็โค้งอ้อมไปทางตะวันออกเฉียงใต้ไหลลงใต้บริเวณบ้านหันตรา ก่อนที่จะวกลงมาทางตะวันเฉียงใต้ไปสบกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่บริเวณปากน้ำแม่เบี้ย แผนที่แสดงบริเวณเมืองอโยธยาศรีรามเทพนครและกรุงพระนครศรีอยุธยา สภาพแม่น้ำอ้อมเช่นนี้ทำให้เมืองอโยธยามีลำน้ำธรรมชาติโอบรอบเมืองถึง ๓ ด้าน คือ ด้านเหนือ ด้านตะวันออก และด้านใต้ เพื่อให้เป็นเมืองสมบูรณ์ที่มีคูน้ำโอบรอบทางด้านตะวันตกอันเป็นที่ราบลุ่ม มีหนองโสนเป็นบึงใหญ่รับน้ำจากแพรกน้ำลพบุรี จึงได้มีการขุดคูเมืองที่มีชื่อว่า “คูขื่อหน้า” จากลำแม่น้ำป่าสักในบริเวณบ้านเกาะก่อนจะไหลอ้อมโค้งลงไปเป็นแม่น้ำหันตราลงมาทางใต้จนจดเขตวัดพนัญเชิง ต่อจากนั้นก็มีการขุดคูเมืองชั้นในทางด้านตะวันออกจากเหนือลงใต้ จากลำน้ำหันตราผ่านหน้าวัดอโยธยา วัดกุฎีดาวมาจนถึงบริเวณวัดใหญ่ชัยมงคลและวัดพนัญเชิง พื้นที่ภายในเมืองอโยธยาที่มีลำน้ำหันตราโอบรอบ และมีคูขื่อหน้าเป็นคูเมืองด้านตะวันตกนี้มีร่องรอยของคลองและคูขุดรอบเขตสถานที่วัง วัด และแหล่งที่อยู่อาศัยมากมาย สะท้อนให้เห็นถึงการนำเอาดินมาถมและยกที่ให้สูง ตลอดจนการใช้น้ำและระบายน้ำออกไปทางด้านตะวันตกเพื่อลงสู่ที่ราบลุ่มต่ำแต่เขตทุ่งหันตราไปถึงทุ่งพระอุทัย แต่ที่สำคัญก็คือมีการขุดคลองใหญ่เรือเดินได้บริเวณกลางเมือง จากคูขื่อหน้าซึ่งอยู่ทางตะวันตกผ่ากลางเมืองไปยังทุ่งหันตราและทุ่งพระอุทัยไปเชื่อมกับลำแม่น้ำป่าสักอีกแพรกหนึ่งที่ไหลแยกจากลำน้ำป่าสักในเขตตำบลพระแก้วลงมาเรียกว่า คลองบ้านสร้างและคลองโพ ที่ไปออกแม่น้ำเจ้าพระยาตรงท้ายเกาะพระเหนือเกาะบางปะอิน คลองใหญ่จากคูขื่อหน้าผ่ากลางเมืองอโยธยาไปยังทุ่งพระอุทัยไปออกคลองบ้านสร้างดังกล่าวนี้ มีชื่อเรียกเป็นช่วง ๆ ไปคือ คลองกะมัง คลองบ้านบาตร คลองหันตรา และคลองข้าวเม่าตามท้องถิ่นที่ลำคลองผ่านไป เป็นคลองที่มีชุมชนบ้านและวัดเรียงรายอยู่ทั้งสองฝั่งคลอง เป็นคลองที่แบ่งเขตเมืองอโยธยาออกเป็นสองส่วน ส่วนบนที่เป็นเขตวัดกุฎีดาว วัดมเหยงค์ วัดอโยธยา ส่วนตอนล่างมีวัดสำคัญเช่นวัดใหญ่ชัยมงคลและวัดพนัญเชิง ส่วนพื้นที่ของเมืองกรุงศรีอยุธยานั้นคือที่ราบลุ่มของแม่น้ำลพบุรีและแพรก เพราะเป็นพื้นที่มีบึงหนองโสนและบริเวณโดยรอบเป็นที่รับน้ำและมีลำน้ำลพบุรีและแพรกไหลผ่านจากทางเหนือลงไปทางตะวันออกไปรวมกับลำน้ำป่าสักในบริเวณบ้านเกาะอันเป็นจุดเริ่มต้นของคูขื่อหน้า ซึ่งเมื่อมีการขุดคูขื่อหน้าแล้วได้ทำให้น้ำจากแม่น้ำลพบุรีและแพรกกับแม่น้ำป่าสักไหลผ่านหัวรอทางมุมเมืองด้านตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองอยุธยาลงสู่คูขื่อหน้าจนทำให้กลายเป็นลำน้ำใหญ่ที่เป็นกระแสหลักของแม่น้ำป่าสักไป ซึ่งทุกวันนี้คนทั่วไปเรียกว่าแม่น้ำป่าสัก แต่ไม่รู้จักคูขื่อหน้าซึ่งเป็นคูเมืองร่วมกันระหว่างเมืองอโยธยาซึ่งเป็นเมืองเก่ากับเมืองอยุธยาซึ่งเป็นเมืองใหม่ ส่วนบริเวณเมืองอยุธยาเป็นพื้นที่ราบลุ่มมีบึงน้ำใหญ่อยู่ตรงกลาง ที่มีลำน้ำเจ้าพระยาไหลจากเหนือผ่านลงทางตะวันตกแล้ววกลงใต้ไปบรรจบกับคูขื่อหน้าบริเวณหน้าป้อมเพชรอันเป็นป้อมสำคัญของเมืองอยุธยา บริเวณอยุธยาจึงหามีน้ำล้อมรอบเป็นเกาะเมืองไม่ เมื่อมีการสร้างเมืองจึงต้องมีการขุดคลองคูเมืองด้านเหนือจากคูขื่อหน้าบริเวณหัวรอ ผ่านวัดแม่นางปลื้มไปพบกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่บริเวณหัวแหลม คลองคูเมืองที่ขุดขึ้นที่เข้าใจผิดกันมาแต่เดิมรวมทั้งข้าพเจ้าเองว่าเป็นลำน้ำลพบุรี จนกระทั่งได้มาทบทวนความจำและการลงพื้นที่เพื่อเขียนบทความเรื่องนี้ จึงได้พบความจริงว่า น่าจะเป็นคลองขุดมากกว่าเป็นคลองลำน้ำธรรมชาติ ลำคลองนี้มีความหมายกับการจัดการน้ำและป้องกันอุทกภัยให้แก่เมืองพระนครศรีอยุธยาเป็นอย่างมาก เพราะเป็นคลองที่ดึงกระแสน้ำที่ไหลลงมาจากทางทิศเหนือในเขตจังหวัดอ่างทองของแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนหนึ่งให้ไหลเข้ามายังเกาะเมืองตรงตำบลหัวแหลม ณ จุดนี้กระแสน้ำแยกออกเป็นสองส่วนใหญ่ไหลลงทางตะวันตกและทางใต้ไปสบกับคลองขื่อหน้าที่หน้าป้อมเพชรและวัดพนัญเชิง ทำให้เกิดน้ำวนใหญ่เรียกว่า น้ำวนบางกะจะ จนเกิดตำนานเพลงยาวว่า “ความรักลอยวนเหมือนน้ำวนบางกะจะ” ส่วนกระแสน้ำเจ้าพระยาส่วนน้อย ณ ตำบลหัวแหลมนั้นถูกดึงเข้าคลองคูเมืองที่คิดว่าเป็นลำน้ำลพบุรีผ่านไปทางตะวันออก คลองนี้เป็นคูเมืองด้านเหนือของพระนครศรีอยุธยา ผ่านท่าวาสุกรี และพระบรมมหาราชวัง วัดกุฎีทอง วัดวงษ์ฆ้องมายังวัดแม่นางปลื้ม มาสบกับลำน้ำลพบุรีที่มีสองแพรกไหลลงมาจากทางเหนือ แพรกหนึ่งเรียกแม่น้ำลพบุรีเก่า อีกแพรกหนึ่งคือแม่น้ำลพบุรีใหม่ มวลน้ำทั้งจากคูเมืองและแพรกน้ำลพบุรีทั้งสองแพรกรวมกันไหลลงสู่คลองคูขื่อหน้า ณ ตำบลหัวรอทำให้คูขื่อหน้าที่ขุดแบ่งน้ำมาจากแม่น้ำป่าสักหรือแม่น้ำหันตรากลายเป็นลำน้ำใหญ่ที่เรียกว่า “ลำน้ำป่าสัก” ที่ไปสบกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่ป้อมเพชรทำให้เกิดบริเวณที่เรียกว่า “แม่น้ำ” ขึ้น ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่านี้คือแม่น้ำเจ้าพระยาที่ฝรั่งมักใช้คำว่าแม่น้ำ [Menam] ที่ปรากฏในจดหมายเหตุของฝรั่ง ทั้งคลองคูเมืองด้านเหนือที่เรียกว่าลำน้ำลพบุรีและคลองคูขื่อหน้าทางด้านตะวันออกอันเป็นคลองขุดทั้งสองคลองนี้ คือสิ่งที่รังสรรค์ให้พระนครศรีอยุธยาเป็นเกาะเมืองและเป็นเกาะที่มนุษย์สร้างขึ้น [Manmade island] เมื่อในยามน้ำมากจนเป็นอุทกภัยทั้งคลองคูเมืองด้านเหนือและคูขื่อหน้ามีหน้าที่ระบายน้ำและกระจายน้ำเข้าทุ่งเพื่อไม่ให้น้ำเข้าไปยังข้างในพระนคร โดยกระจายน้ำผ่านคลองขุดที่แยกออกจากคูเมืองไปทางเหนือเข้าทุ่งภูเขาทอง ทุ่งขวัญและทุ่งแก้ว คลองเหล่านี้มีวัดอยู่บริเวณปากคลองทั้งสิ้น เช่น คลองสระบัวกับวัดหน้าพระเมรุ เป็นต้น ในขณะที่ทางคลองคูขื่อหน้าก็มีคลองใหญ่น้อยหลายคลองแยกออกไปทางด้านตะวันออก ผ่านบริเวณเมืองอโยธยาเก่าไปออกทุ่งหันตราและทุ่งพระอุทัยอันเป็นทุ่งรับน้ำที่สำคัญที่สุดของแม่น้ำป่าสัก โดยเฉพาะคลองกระมัง คลองบ้านบาตร คลองหันตรา และคลองข้าวเม่าที่เป็นคลองไขว่เดียวกันที่แยกออกจากคลองคูขื่อหน้าและแบ่งเมืองเก่าอโยธยาออกเป็นสองส่วนดังกล่าวแล้วในตอนต้น เหตุการณ์น้ำท่วมอยุธยาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ทำให้ข้าพเจ้าได้แลเห็นความหมายความสำคัญของคลองกระมังนอกเหนือไปจากการเป็นเส้นทางคมนาคมติดต่อกับของบรรดาชุมชนบ้านเมืองในเขตอยุธยา-อโยธยา จากแม่น้ำป่าสัก แม่น้ำหันตราไปยังแพรกน้ำป่าสักอีกแพรกหนึ่งที่ทุ่งพระอุทัย คือลำน้ำที่เรียกว่า “คลองบ้านสร้างและคลองโพ” ที่ไปออกแม่น้ำเจ้าพระยาที่เกาะพระเหนือเกาะบางปะอิน คลองกระมังและทุ่งพระอุทัยเกี่ยวข้องกับการเป็นสถานที่ประสูติของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ผู้เป็นพระมหากษัตริย์องค์สำคัญในสมัยตอนกลาง คือแต่ พ.ศ. ๒๐๐๐ ลงมา อันเป็นเวลาที่อยุธยาเป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเล คนอยุธยานอกจากอาศัยคลองกระมังเป็นคลองคมนาคมแล้วยังอาศัยในการระบายน้ำกระจายน้ำจากคูขื่อหน้า แม่น้ำหันตราไปออกทุ่งพระอุทัยไปยังแพรกน้ำป่าสักและพื้นที่รับน้ำทางตะวันออกที่ผ่านอำเภอวังน้อยลงไปทางใต้ สมัยข้าพเจ้ายังเด็กแลเห็นความกว้างใหญ่ไพศาลของทุ่งพระอุทัยและทุ่งใหญ่วังน้อย แต่มาในปัจจุบันและราวยี่สิบปีที่ผ่านมา ทุ่งพระอุทัยและทุ่งวังน้อยกลายเป็นอาณานิคมของแหล่งอุตสาหกรรมขนาดมหึมาในนามของนิคมอุตสาหกรรมโรจนะที่ประสบภาวะวิบัติอย่างมหาศาล เมื่อน้ำที่ไหลบ่าลงมาจากแพรกน้ำป่าสักทั้งจากทางเหนือ ทางตะวันตกและทางตะวันออกที่ผ่านคลองกระมังออกมา ข้าพเจ้ารู้สึกสบายใจหลังจากที่ข้าพเจ้าพูดถึงคลองกระมังและสภาพแม่น้ำลำคลองเก่า ๆ ของพระนครศรีอยุธยาจากความทรงจำในวัยเด็ก เพราะทำให้ข้าพเจ้าได้พบกับปัญญาชนคนเก่าอยุธยาหลายคนที่มาถึงบางอ้อ พร้อม ๆ กับข้าพเจ้าในเรื่องกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่สามและความพินาศของนิคมอุตสาหกรรมโรจนะในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และขณะนี้ปัญญาชนคนอยุธยาทั้งเก่าและใหม่กำลังรวมตัวกันในการจัดการน้ำด้วยตนเองของคนในท้องถิ่น อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • โรงเรียนวัดกับการปฏิรูปการศึกษาขั้นพื้นฐาน

    เผยแพร่ครั้งแรก 18 ธ.ค. 2557 ทุกวันนี้มีการพูดถึงการปฏิรูปการศึกษากันบ่อยและทำมาหลายรัฐบาลแล้ว โดยเฉพาะรัฐบาลชุดปัจจุบันก็ดูจะให้ความสนใจเป็นอย่างมาก แต่เท่าที่ติดตามดูยังไม่เห็นเป็นผลแต่อย่างใด เพราะพูดกันและคิดกันแต่ในเรื่องแนวคิด ทฤษฎี และเทคนิคในลักษณะที่เป็น WHY คือทำไมมากกว่า HOW คืออย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องของการดำเนินการและปฏิบัติให้ได้ผลดีแก่ผู้มีส่วนได้เสียคือนักเรียน นักศึกษา การจัดแสดงแบบจำลองการก่อสร้างอาคารโรงเรียนนารรีรัตน์ จังหวัดแพร่ อันเป็นการสร้างโรงเรียนประจำจังหวัดมาแต่เดิม โดยมีชาวบ้านจากท้องถิ่นต่าง ๆ ข้าราชการ พ่อค้า กลุ่มองค์กรธุรกิจให้การสนับสนุนจนกลายเป็นอาคารโรงเรียนที่สร้างความรู้สึกร่วมในการเป็นเจ้าของและกลายเป็นอาคารอันควรแค่แก่การอนุรักษ์และมีความหมายอย่างยิ่งจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะในการวางแผนและการจัดการมักกระทำในหมู่ของผู้ที่เป็นนักวิชาการ แม้ว่าจะหลากหลายในความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านการศึกษาก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงพวก Technocrats ที่ทำอะไรในการเชื่อมโยงและบูรณาการไม่เป็น แถมยังไม่เห็นถึงความสำคัญและบทบาทของบรรดานักปฏิบัติที่เป็นครูผู้สอน ผู้ปกครอง นักเรียน และผู้รู้ในชุมชน ข้าพเจ้ามักได้ยินอย่างซ้ำ ๆ ซาก ๆ ที่นักการศึกษา นักวิชาการของรัฐโดยเฉพาะจากทางกระทรวงศึกษาและสถาบันการศึกษาและมหาวิทยาลัยพูดถึงเรื่องต้องจัดการเรียนการสอนให้มีเด็กเป็นศูนย์กลาง [Child center] หรือครูเป็นศูนย์กลาง ต้องจัดให้มีการสอนวิชาประวัติศาสตร์บ้าง จัดให้เด็กได้ใช้แท็บเลตบ้าง รวมไปถึงการยุบโรงเรียนเล็กๆ ที่เป็นโรงเรียนชุมชนให้มาเข้าสังกัดในการดูแลของกระทรวงบ้าง โดยไม่ใยดีต่อการเคลื่อนไหวคัดค้านของบรรดาโรงเรียนเอกชน โรงเรียนชุมชน ครูบาอาจารย์ และผู้รู้ผู้ปกครองที่เป็นคนในชุมชนแต่อย่างใด ข้าพเจ้าเคยมีส่วนร่วมกับสภาการศึกษาทางเลือกและสมาคมโรงเรียนราษฎร์ ในการเคลื่อนไหวเรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการครั้งรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยให้ “ ยุติการยุบโรงเรียนขนาดเล็ก ” ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนของชุมชนและในชุมชนซึ่งคนในชุมชนดูแลกันเอง ให้มารวมกับโรงเรียนใหญ่ในเขตการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับและยินยอมแต่อย่างใด อย่างดีก็ผลัดกันและโยนความรับผิดชอบและการตัดสินใจกันไปมาระหว่างคนในรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการเท่านั้น พอมาถึงรัฐบาลปัจจุบันคือรัฐบาล คสช. ที่มีอำนาจเผด็จการเพียงพอที่จะไม่ต้องทำอะไรแบบงี่เง่า เต็มไปด้วยกฎระเบียบข้อบังคับแบบเดิมได้ แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะเท่าที่มีการแถลงงานออกมาแต่ละคราวก็ดูไม่มีอะไรใหม่ในเรื่องกระจายอำนาจความรับผิดชอบให้กับโรงเรียนและหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องในท้องถิ่น โดยเฉพาะกับชาวบ้านชาวเมืองที่อยู่ในชุมชนซึ่งเรียกรวม ๆ คนในชุมชนท้องถิ่น เพราะแนวคิดและวิธีการในการจัดการศึกษาแต่ละท้องถิ่นนั้นล้วนมาจากคนนอกท้องถิ่นแทบทั้งสิ้น สิ่งที่น่าขบขันเป็นอย่างยิ่งของทางกระทรวงศึกษาธิการและผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญทางการศึกษาที่มักจะพร่ำพูดเสมอ ๆ และบ่อย ๆ ถึงเรื่อง “ บวร ” ซึ่งหมายถึง “ ความสัมพันธ์ระหว่างบ้าน วัด และโรงเรียน ” โดยหาได้สังวรว่า ลึก ๆ แล้วหมายถึงอะไร คงหมายถึงชุมชน [Community] ซึ่งดูแล้วไม่ใช่ เพราะแลไม่เห็นโครงสร้างสังคมและวัฒนธรรมของผู้คนในชุมชนที่อยู่ร่วมกันมาหลายชั่วคนภายในพื้นที่วัฒนธรรมที่มีสำนึกร่วมในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หากเป็นแต่เพียงพื้นที่ในการบริหารของทางรัฐบาลและหน่วยราชการเช่นกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงศึกษาธิการ ที่ทางกระทรวงทบวงกรมเข้าไปจัดการเรื่องการศึกษาในรูปแบบของโรงเรียน ดูเป็นคนละเรื่องกับ วัด โรงเรียนและชุมชนท้องถิ่นอย่างที่เคยมีมาแต่โบราณที่ประกอบด้วย “ บ้านกับวัด ” บ้านคือพื้นที่ทางวัฒนธรรมของคนที่อยู่รวมกันมานานไม่ต่ำกว่า ๓ ชั่วคน คือ ปู่ ย่า ตายาย พ่อ แม่และลูกหลาน โดยมีวัดเป็นศูนย์กลางทางสังคมและวัฒนธรรม โดยทั่วไปชื่อของชุมชนกับชื่อวัดนั้นเป็นชื่อเดียวกัน และความสัมพันธ์ของทั้งสองสถาบันนี้แยกกันไม่ออก ถ้ามีเฉพาะบ้านแต่ไม่มีวัด ก็ไม่มีชุมชน ชุมชนบ้านเป็นชุมชนระดับเล็กที่สุดของสังคมมนุษย์ ภาวะความเป็นสัตว์สังคมของมนุษย์นั้นในเบื้องต้นต้องอยู่รวมกันเป็นครอบครัวและกลุ่มเครือญาติที่เกิดจากความสัมพันธ์กันทางสายเลือด หรือกินดองกันในการแต่งงาน เหนือระดับครอบครัวและกลุ่มเครือญาติก็คือชุมชนบ้าน ซึ่งเป็นพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่สร้างขึ้นโดยคนในชุมชนที่มีความหลากหลายของครอบครัวและเครือญาติโยกย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่เดียวกัน และสร้างวัดให้เป็นศูนย์กลางชุมชนที่คนในทุกคนมาใช้ร่วมกันในกิจกรรมต่าง ๆ ทางวัฒนธรรม ซึ่งก็เพื่อการมีชีวิตรอดร่วมกันใน ๓ มิติของความเป็นมนุษยชาติคือ “ ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน ” ที่ทำให้เกิดองค์กรการปกครองและบริหารของชุมชนโดยคนในชุมชน โดยเฉพาะการเลือกผู้ที่เป็นหัวหน้าของชุมชนเช่นผู้ใหญ่บ้านนั้นคือ “คนใน” ที่คนในชุมชนเลือกเห็นว่าเหมาะสม ซึ่งภายในองค์กรนี้ก็มีผู้นำทางศีลธรรม เช่น พระสงฆ์ ผู้อาวุโส คนที่เป็นครู และบุคคลที่มีความสามารถเฉพาะทางในการดำเนินการของชุมชน “ ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติ ” ที่เกิดจากการเรียนรู้ร่วมกันในเรื่องการตั้งที่อยู่อาศัย การทำมาหากิน อาหาร และยารักษาโรคที่มาจากความหลากหลายทางชีวภาพในสภาพแวดล้อมของท้องถิ่น และ “ ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ ” ซึ่งเป็นเรื่องของระบบความเชื่อทางศาสนาและไสยศาสตร์ ก่อนสมัยรัชกาลที่ ๕ วัดคือสถาบันการศึกษาที่ไม่เพียงแต่สอนให้คนรู้หนังสือและอ่านออกเขียนได้เท่านั้น หากยังเป็นสถานที่อบรมให้ผู้คนในชุมชนได้เรียนรู้ทางศาสนา จริยธรรม การงาน การช่าง ศิลปและวิชาชีพเพื่อการดำรงชีวิตในลักษณะที่เป็นองค์รวม ซึ่งก็พอสรุปได้ว่า เป็นการสอนและอบรมให้คนเป็นคนที่จะอยู่ร่วมกับมนุษย์ ธรรมชาติ และสิ่งเหนือธรรมชาติได้ ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อมีการตั้งโรงเรียนขึ้นเพื่อให้เป็นไปตามแนวทางของประเทศแบบตะวันตก โรงเรียนก็กลายเป็นสถานที่เกิดขึ้นภายในพื้นที่ของวัด และกำหนดให้มีครูทำหน้าที่รับผิดชอบและสอนหนังสือเป็นอาชีพ มีเงินเดือนประจำเช่นเดียวกันกับพวกข้าราชการ ครูโรงเรียนวัดเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็คือคนในชุมชนท้องถิ่นที่มีความสัมพันธ์ทางสังคม เช่น เป็นญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านที่ทำให้คนที่เป็นครูเท่ากับเป็นตัวแทนของพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ที่สามารถอบรมสั่งสอนสิ่งต่าง ๆ ในเรื่องสภาพแวดล้อมวัฒนธรรมและแนวทางในการดำรงชีพอย่างเหมาะสมแก่เด็กนักเรียนได้ อนึ่ง การที่โรงเรียนยังอยู่ในเขตวัดก็ยังคงสภาพความสัมพันธ์กับวัดและพระภิกษุสงฆ์ในเรื่องความรู้ทางศาสนาศีลธรรม รวมทั้งความคุ้นเคยได้แลเห็นบรรดาประเพณี พิธีกรรมที่เกิดขึ้นที่วัด ทั้งบรรดาประเพณีเกี่ยวกับชีวิตประเพณีทางศาสนา และประเพณีเกี่ยวกับการเกษตรกรรมที่เกิดขึ้นในรอบปี สรุปแล้วก็คือ การศึกษาเล่าเรียนที่เกิดขึ้นในโรงเรียนวัดประจำชุมชนนั้น ทำให้เด็กได้มีชีวิตอยู่ในชุมชนอย่างเต็มที่ ไม่มีความเดือดร้อนในเรื่องการเดินทางออกไปห่างไกลจากบ้านแต่อย่างใด เด็กที่มีบ้านเรือนอยู่ใกล้วัดใกล้โรงเรียนสามารถเดินทางไปกลับจากโรงเรียนมากินข้าวกลางวันที่บ้านตนเองได้ แต่ที่สำคัญก็คือเด็กได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นเทคโนโลยีพื้นบ้านจากญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านและผู้รู้ผู้อาวุโสที่เป็นภูมิปัญญาในด้านต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำรงชีพไม่ว่าการทำนา ทำไร่ อาหารยารักษาโรค ตลอดจนดินฟ้าอากาศ น้ำท่า น้ำฝนตามฤดูกาลทั้งในฤดูน้ำและฤดูแล้ง โดยเฉพาะในเรื่องการจัดการน้ำที่เป็นการร่วมมือกันของทุกคนในท้องถิ่น สมัยเด็กข้าพเจ้าย้ายตามพ่อไปอยู่ที่อยุธยา เข้าเรียนในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งของจังหวัด มีเพียงเด็กนักเรียนท้องถิ่นที่เรียนโรงเรียนวัดของชุมชน สังเกตว่าครูโรงเรียนวัดนั้นส่วนมากเป็นครูที่มีอายุ ในท้องถิ่นไม่จำเป็นต้องมีการศึกษาที่จบหลักสูตรการศึกษาได้ใบประกาศปริญญาจากรัฐบาล แต่ก็สอนให้เด็กได้อ่านออกเขียนได้ดี รวมทั้งคิดเลขผานาทีเป็น และใช้ภาษาได้ดีเพราะมีการท่องอ่านอาขยานและวรรณคดีไทยที่เป็นบทกลอน ซึ่งนับว่าเป็นพื้นฐานการศึกษาสำคัญของโรงเรียนวัดและเทศบาลที่สอนในระดับประถมศึกษาจากประถมปีที่ ๑ ถึงประถม ๔ การศึกษาตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการเด็กดูใช้ความจำและท่องจำเป็นสำคัญ ไม่ค่อยมีโอกาสที่เด็กจะได้คิดและตั้งคำถามด้วยตัวเอง ซึ่งก็เหมือนกันกับเด็กของโรงเรียนรัฐบาลโดยทั่วไป แต่เด็กโรงเรียนวัดมักมีโอกาสเพราะมีการศึกษาทางเลือกอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้คิดเป็นและค้นคว้าหาคำตอบเป็น ซึ่งก็อาจกล่าวได้ว่าฉลาดกว่าเด็กโรงเรียนรัฐบาล การศึกษาทางเลือกที่ทำให้คิดเป็น ตั้งคำถามเป็น และค้นคว้าเป็นดังกล่าวนี้คือการศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่นจากครูและผู้รู้ในชุมชนที่มีความรู้ในด้านต่าง ๆ ในการดำรงชีวิตนั่นเอง เด็กในชุมชนในชนบทส่วนใหญ่เรียนจบแค่ ป.๔ ก็ออกมาทำมาหากินได้ ประกอบอาชีพจนเป็นคนมีเงินมีทองได้ ผิดกับเด็กที่เรียนในโรงเรียนรัฐบาลที่ทำอะไรไม่เป็น ต้องเรียนต่อเรียนเพิ่มอยู่เรื่อย ๆ หลายคนเรียนจบมหาวิทยาลัยก็คิดอะไรไม่เป็น ที่เจ็บปวดก็คือบางคนได้คะแนนดี ได้เกียรตินิยมแต่ก็ได้มาจากการท่องจำมากกว่าการใช้ความคิด นี้คือส่วนของเด็กนักเรียนที่เล่าเรียนตามหลักสูตรกระทรวง ทีนี้มาถึงส่วนคนที่เป็นครูบ้าง ครูโรงเรียนรัฐบาลสอนตามหลักสูตรกระทรวงศึกษานั้นส่วนมากเป็นคนนอกชุมชนที่ทางราชการส่งเข้ามา หรือไม่ก็ย้ายตามสามีหรือภรรยาเข้ามา คนเหล่านี้ไม่มีความสัมพันธ์ทางสังคมกับครอบครัวของเด็กและคนในชุมชน เป็นเสมือนคนอื่นที่ทำหน้าที่ไปตามอาชีพที่เป็น “คนนอก” ไม่ใช่ “คนใน” เช่นครูที่อยู่ในชุมชนที่แลเห็นเด็กเหมือนลูกหลาน มาถึงสมัยนี้ที่ข้าพเจ้าอายุเข้าค่อนศตวรรษแล้วพบว่า มีเพื่อนร่วมรุ่นของข้าพเจ้าที่เป็นเด็กวัดในโรงเรียนชุมชนหลายคนกลายเป็นคนใหญ่คนโตในวงราชการ หรือไม่ก็เป็นพ่อค้านักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เมื่อพบปะสังสรรค์ปรารภกันถึงการศึกษาเล่าเรียนของคนรุ่นลูกหลานแล้วก็เห็นพ้องกันว่า การศึกษาของโรงเรียนรัฐบาลทั้งระดับประถมและมัธยมเป็นการศึกษาตามสั่ง ที่มีกรอบกฎเกณฑ์และหลักสูตรที่มีการปรับปรุงแก้ไขและเพิ่มเติมอยู่เรื่อย เสมือนกับทำให้เด็กนักเรียนเป็นหนูทดลอง มีเนื้อหาและวิธีการที่หลากหลายแออัดจนเด็กแทบไม่มีเวลาว่างพอที่จะคิดอะไรได้ แต่ที่สำคัญเป็นการเรียนแต่สิ่งที่ไกลตัวที่ไม่แลเห็นได้และปฏิบัติได้ นอกจากการอ่านหนังสือและจากสื่อทางวีดีทัศน์ ซึ่งเป็นเรื่องเสมือนจริง เด็กจึงคิดอะไรไม่เป็น นอกจากอ่านและจดจำจากคำสอนคำบรรยายของครู อาจารย์และวิทยากร เด็กที่เรียนดี เรียนเก่งกลายเป็นเด็กโง่ เพราะคิดอะไรไม่เป็น ไม่มีเวลาคิด ต้องท่องต้องจำจนไม่มีเวลาคิด ต้องแข่งขันกันสอบให้ได้คะแนนดีเพราะเป็นหนทางเดียวที่จะวัดได้ว่าใครเก่งหรือไม่เก่ง จนกลายเป็นค่านิยมที่พ่อแม่และผู้ปกครองเด็กถือว่าจะทำให้มีหน้ามีตานำไปโอ่อ้างได้ ความโง่ของเด็กยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเมื่อมีการกวดวิชาเพิ่มขึ้น เพราะทำให้เด็กไม่มีเวลาและเครียด การกวดวิชากลายเป็นประเพณีที่มาจากการเห็นพ้องกับทั้งพ่อแม่เด็กและผู้ปกครองกับครูผู้สอน ฝ่ายผู้ปกครองก็อยากให้เด็กเรียนเก่งได้คะแนนดีเป็นที่หนึ่งที่สอง ส่วนครูผู้สอนก็ยินดีเพราะต้องการได้เงินเพิ่มจากรายได้ประจำ เลยกลายเป็นสัมโมทนียนัยกถาธรรมสวัสดิ์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่เด็กแย่ เพราะแทบไม่มีเวลาว่างที่จะพักผ่อนสมอง การกวดวิชานั้นเริ่มมาแต่สมัยข้าพเจ้าเป็นเด็กนักเรียนชั้นมัธยมที่ ๑ ในโรงเรียนในเมืองของชนชั้นกลาง ต่อมาได้บานปลายไปใหญ่โตจนถึงกวดวิชาเข้ามหาวิทยาลัย ทำให้ครูกวดวิชารวยกว่าครูประจำหลายเท่า กวดวิชากลายเป็นประเพณีจนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการสมัยหนึ่งที่ฉลาดแกมโกงไร้สามัญสำนึกกล่าวว่า “การกวดวิชาเป็นธรรมชาติ” อีกสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าและเพื่อน ๆ ปรารภกันก็คือสมัยที่เราเรียนกันในโรงเรียนมัธยมนั้น ยังไม่มีระบบการเรียนการสอนแบบปรนัย [Objective] ที่เวลาสอบใช้วิธีเลือกขีดถูกขีดผิดในคำตอบที่ผู้ออกข้อสอบเตรียมไว้แล้ว โดยไม่ต้องเขียนตอบและอธิบายในลักษณะที่ ๑ เป็นอัตนัย [Subjective] เลย การเปลี่ยนวิธีการสอนและการสอบมาเป็นปรนัยนี้มีข้ออ้างว่า ถ้าเรียนและสอบแบบเดิมเกิดความล่าช้าเพราะจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้น ทั้งอีกเป็นแบบอย่างที่ประเทศที่ก้าวหน้าในสังคมโลกเขาทำกัน ผลที่ตามมาก็คือเด็กนักเรียนเริ่มเรียนอะไรที่เป็นเรื่อง ๆ เป็นชิ้น ๆ ที่เชื่อมโยงอะไรไม่ได้ อ่านหลายอย่างหลายสิ่งแล้วจำเอา เวลาสอบก็เพียงเลือกข้อถูกและผิดเท่านั้น เลยเขียนคำตอบในเชิงพรรณาและบรรยายไม่เป็น ต่างกันกับการเรียนแบบอัตนัยที่นักเรียนรู้สิ่งที่เป็นชิ้นเป็นอัน และสามารถเรียบเรียงเชื่อมโยงเป็นถ้อยคำเป็นเรื่องราวได้ นักเรียนในสมัยข้าพเจ้าถูกสอนให้เขียนเรียงความซึ่งทำให้เขียนหนังสือเป็นเรื่องราวได้ แต่ปัจจุบันเด็กนักเรียนเขียนภาษาไทยเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้ เชื่อมโยงความคิดและวิเคราะห์แล้วร้อยเป็นเรียงความไม่ได้ สิ่งที่น่าขบขันอย่างหนึ่งก็คือ เวลาครูอาจารย์หรือใคร ๆ ที่เป็นผู้รู้บอกว่า ต้องสอนให้นักเรียนรู้จัก การบูรณาการและองค์รวม แต่แทบไม่เห็นเลยว่าเด็กนักเรียนรุ่นใหม่ ๆ นี้จะทำได้ เพราะการเรียนแต่สิ่งที่เป็นเรื่อง ๆ แยกส่วนนั้น ไม่มีทางที่จะวิเคราะห์และเชื่อมโยงได้ เมื่อเชื่อมโยงไม่ได้ก็บูรณาการให้เห็นเป็นองค์รวมไม่ได้ จนกลายเป็นคนดีแต่พูดพร่อย ๆ แบบคนอวดรู้แต่ทำไม่ได้เท่านั้นเอง ความต่างกันอย่างหน้ามือเป็นหลังมือของระบบการเรียนแบบปรนัยกับอัตนัยนั้น แบบแรกให้ความสำคัญอยู่ที่เทคนิคและวิธีการที่บรรดานักการศึกษาถนัดในการไปลอกเลียนจากต่างประเทศ ในขณะที่แบบอัตนัยเน้นความสำคัญที่เนื้อหาและความหมายซึ่งเป็นระบบการเรียนรู้ที่เป็นธรรมชาติโดยให้ความสำคัญทางเทคนิคและวิธีการเป็นเรื่องรองลงมา เหตุที่พรรณนาสรรพคุณของโรงเรียนวัดมาอย่างยืดยาวนี้ นักการศึกษาและครูสมัยใหม่ก็คงเยาะเย้ยได้ว่าเป็นการโหยหาอดีตในลักษณะที่ถอยหลังเข้าคลองแบบอนุรักษ์นิยม ก็ต้องขอตอบว่า อดีตนั้นไม่มีทางหวนกลับไปได้ดอก แต่สิ่งที่ต้องเรียนรู้ความหมายของโรงเรียนวัดนั้นคือ การเป็นโรงเรียนของชุมชน [Community] ชุมชนคือความเป็นมนุษย์ในฐานะเป็นสัตว์สังคม [Social animal] การปฏิรูปการศึกษานั้นหาใช่ดูแต่เทคนิค วิธีการ ทฤษฎีและหลักสูตรแต่เพียงอย่างเดียวไม่ ต้องเข้าใจว่าจะไปสอนใครที่ไหนเมื่อใดในลักษณะปัจเจกหาได้ไม่ ต้องเข้าถึงคนและเด็กที่มีชีวิตร่วมกันอยู่ในชุมชนจึงจะกำหนดเนื้อหา วิธีการ และหลักสูตรได้เหมาะสม ข้าพเจ้าได้ความคิดเมื่อครั้งเป็นกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) ที่มีคุณอนันต์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อหาแนวทางแก้ไขความขัดแย้งและความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ประมาณ ๑๐ ปีมาแล้ว เมื่อสอบถามความเห็นของคนมุสลิมที่เป็นปราชญ์ของท้องถิ่นก็ได้คำตอบของท่านเหล่านั้นว่า “อยากได้ซูรอกลับคืนมา” ซูรอคือองค์กรของชุมชนบ้านที่มีมัสยิดเป็นศูนย์กลางเช่นเดียวกับองค์กรประชาคมของชาวบ้านที่มีวัดเป็นศูนย์กลาง เป็นองค์กรทางภาคประชาสังคม [Civil society] ข้าพเจ้าเลยถึงบางอ้อในเรื่องที่หาคำอธิบายว่า ทำไมผู้ก่อความไม่สงบในสามจังหวัดภาคใต้ชอบเผาโรงเรียนที่รัฐบาลจัดตั้งบ่อย ๆ แต่ในระยะแรกก็เพียงเผาทำลายโดยไม่ปรากฏมีการทำร้ายผู้คนถึงแก่ชีวิตเช่นในปัจจุบัน การศึกษาของคนมุสลิมในสามจังหวัดนั้น ถ้าเป็นเด็กเล็กของคนในชุมชนก็เรื่องโรงเรียนตาดีกาที่อยู่ในบริเวณมัสยิดที่มีโต๊ะอิหม่ามเป็นผู้ปกครอง เด็กโตก็เรียนที่ปอเนาะอันเป็นโรงเรียนที่มีผู้รู้เป็นปราชญ์เป็นโต๊ะครูจัดตั้งขึ้น การเรียนการสอนมีลักษณะเป็นองค์รวมที่มีเรื่องศาสนาเป็นหลัก คือเด็กนักเรียนต้องเรียนรู้คัมภีร์อัลกุรอาน ถัดมาก็เป็นวิชาชีพที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในวิถีชีวิตของชุมชนชาวบ้านชาวเมือง ทั้งโรงเรียนตาดีกาและโรงเรียนปอเนาะเป็นโรงเรียนชุมชนที่เนื้อหาของการเรียนการสอนเป็นสิ่งกำหนดโดยคนในท้องถิ่นและชุมชน เหตุที่มีการเผาโรงเรียนนั้นพูดอย่างคร่าว ๆ ได้ว่า ก็เพราะรัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการเข้าไปเกี่ยวข้องยุบโรงเรียนชุมชนหรือไม่ก็จำกัดสิทธิในการเรียนการสอนของคนมุสลิมแล้วพยายามนำโรงเรียนแบบกระทรวงศึกษาธิการที่เป็นทางโลกมากกว่าทางธรรมเข้าไปแทนที่ นำเรื่องราวหลักฐานและวิธีการแบบสากลตามฉบับกระทรวงศึกษาเข้าไปใช้ และที่สำคัญจัดตั้งโรงเรียนของรัฐที่ล้วนแต่เป็นครูของรัฐของกระทรวงศึกษาเข้าแทนที่ หรือไม่ก็จำกัดสิทธิและโอกาสของครูท้องถิ่นแต่เดิมจึงเป็นเรื่องขึ้นและบานปลาย วิธีการจัดการศึกษาของรัฐบาลนั้น คือกระบวนการทำลายโรงเรียนชุมชนท้องถิ่นอย่างชัดเจน และไม่ได้กระทำเพียงกับคนมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้แต่เพียงเท่านั้น หากเป็นมาพร้อม ๆ กับบรรดาโรงเรียนชุมชนท้องถิ่นในทุกภูมิภาคของประเทศ เพียงแต่ไม่มีการเคลื่อนไหวต่อต้านออกมาเท่านั้น โรงเรียนชุมชนที่รัฐบาลโดยผ่านกระทรวงศึกษาธิการได้ทำมากว่าครึ่งศตวรรษแล้วก็คือ “โรงเรียนวัด” นั่นเอง ความต่างกันบางอย่างกับโรงเรียนชุมชนและคนมุสลิมก็คือ ความเป็นชุมชนของคนไทยได้ล่มสลายไปพร้อม ๆ กับโรงเรียนวัดด้วย เพราะรัฐไทยเป็นรัฐประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์ตั้งแต่สมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นต้นมา อำนาจในการจัดการศึกษาและวัฒนธรรมถูกดึงเข้าสู่ศูนย์กลางให้ไปรวมอยู่ที่กระทรวง ทบวง กรมที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษา กระทรวงวัฒนธรรม และกรมศิลปากร เป็นต้น ชุมชนบ้านและเมืองที่เคยมีอิสระในการปกครองตนเองจัดการศึกษาและวัฒนธรรมของตนเอง โดยเฉพาะองค์กรชุมชน เช่นซูรอของคนมุสลิมก็ถูกทำให้หมดความสำคัญไป พื้นที่ทางวัฒนธรรมที่รองรับความเป็นชุมชนแต่เดิมก็ล่มสลายและถูกแทนที่ด้วยพื้นที่ทางการบริหาร เช่น หมู่บ้าน ตำบล อำเภอที่มีการปกครองดูแล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนที่รัฐแต่งตั้งเข้ามา ยิ่งมาถึงสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์เป็นต้นมา มีการพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองให้สังคมไทยเปลี่ยนเป็นสังคมอุตสาหกรรม พื้นที่วัฒนธรรมท้องถิ่น บ้าน และเมืองก็ยิ่งถูกล่มหายไปด้วยกระบวนการทำให้เป็นเมือง [Urbanization] การสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางอุตสาหกรรมและการขนส่งคมนาคมก็ทำให้บรรดาชุมชนมนุษย์ที่เคยมีมาก่อนหมดสิ้นไป ถูกแทนที่ด้วยบ้านจัดสรร คอนโดมีเนียม ทาวเฮ้าส์อะไรทำนองนั้น ซึ่งล้วนเป็นสถานที่อยู่อาศัยที่ยังไม่มีความเป็นชุมชนแต่อย่างใด ทั้งหลายแหล่เหล่านี้ล้วนทำให้โรงเรียนชุมชนเช่นโรงเรียนวัดหมดไปด้วย เมื่อมาถึงตรงนี้ก็อาจมีคนคัดค้านได้ว่า ปัจจุบันโรงเรียนวัดก็ยังมีอยู่แถมยังได้รับการพัฒนาจากรัฐบาลให้เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ เป็นโรงเรียนมัธยมหรือสถาบันการศึกษาในด้านต่าง ๆ มากมาย ข้าพเจ้าก็ไม่เพียงแต่ขอตั้งคำถามว่าโรงเรียนเหล่านั้นเป็นโรงเรียนของชุมชนที่คนในชุมชนเกี่ยวข้องและจัดการได้ดังเดิมหรือไม่ อนึ่ง ต้องเข้าใจด้วยว่าแม้แต่วัดเองก็หาได้เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่คนในชุมชนถือว่าเป็นของคนเช่นเดิมหรือไม่ เท่าที่เห็นเป็นส่วนมากวัดกลายเป็นสิทธิ์ของเจ้าอาวาสตามกฎหมาย จะนำพื้นที่ของวัดอันเป็นพื้นที่วัฒนธรรมของชุมชนไปทำกิจการอื่น ๆ เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ไม่เกิดประโยชน์แก่คนในชุมชนแต่อย่างใด ยิ่งกว่านั้นยังแถมใช้สิทธิ์ทางกฎหมายปัจจุบันไล่รื้อโรงเรียนที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน และสิ่งที่เคยเป็นโครงสร้างทางวัฒนธรรมที่เคยมีมาแต่เดิมดังเป็นเรื่องเป็นข่าวอยู่บ่อย ๆ ในปัจจุบัน จากประสบการณ์ของข้าพเจ้าในเรื่องความสำคัญของโรงเรียนชุมชนกับการพัฒนาการศึกษานั้น อยากจะอ้างประเทศเวียดนามเป็นตัวอย่าง เมื่อ ๒๐ ปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้ามีโอกาสเข้าไปเวียดนามซึ่งในขณะนั้นอยู่สภาพที่ถูกมหาอสุรกายอเมริกันระเบิดทำลายบ้านเมืองเสียเรียบเป็นหน้ากลอง คนเวียดนามมีชีวิตอยู่ด้วยความยากลำบากและขัดสนในเรื่องอาหารการกินและที่อยู่อาศัย แต่ความเป็นครัวเรือน ครอบครัวและชุมชนยังคงอยู่ เพราะเป็นฐานของพลังประชาชนที่ขับเคลื่อนไปสู่การต่อสู้เพื่อการอยู่รอดในความเป็นมนุษย์ คนเวียดนามฟื้นตัวเองจากระดับครัวเรือน ครอบครัว และชุมชน โดยใช้พื้นที่ภายในบ้านและรอบบ้านเลี้ยงสัตว์ ปลูกผักสวนครัวเพื่อการกินอยู่ในชีวิตประจำวัน รวมทั้งร่วมแรงกับเครือญาติและพี่น้องร่วมบ้านในการเพาะปลูก ทำไร่ทำนาบนพื้นที่แปลงเล็ก ๆ ไม่กี่ไร่ โดยปลูกพืชพันธ์หลาย ๆ ชนิดตามความเหมาะสมของพื้นดินจนแทบจะหาพื้นที่ว่างไม่ได้ ผลผลิตที่ได้มากินกันก่อนในครอบครัวและผู้เกี่ยวข้องในชุมชน ส่วนที่เหลือก็เอาไปขายในตลาดของชุมชนท้องถิ่น ทำให้ไม่ช้าก็เกิดตลาดสดขึ้นเป็นดอกเห็ด มีสินค้าเกษตรมากมายหลายชนิดที่ส่วนใหญ่มาจากสภาพแวดล้อมธรรมชาติที่เป็นทุ่งเป็นนาเป็นป่า หนองน้ำ ลำคลอง เท่าที่ได้สังเกตคนเวียดนามให้ความสนใจกับธรรมชาติและสภาพแวดล้อมของท้องถิ่นและเรียนรู้ร่วมกันในการจัดการให้เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะในเรื่องการจัดการน้ำธรรมชาติไม่ว่าลำห้วย ลำคลองและลำน้ำจะไม่ทำลายหรือจัดการให้มีโครงสร้างใหญ่ อย่างเช่นการสร้างเขื่อนชลประทานและอ่างน้ำขนาดใหญ่ หากเน้นขนาดเล็กที่พอเหมาะพอดีกับผู้คนในชุมชนท้องถิ่น โดยที่มีการศึกษาเรียนรู้สร้างขึ้นเป็นภูมิปัญญาที่ถ่ายทอดกันจากคนรุ่นเก่าสู่คนรุ่นใหม่ เหนือระดับครอบครัวและกลุ่มเครือญาติก็เป็นชุมชนที่มีวัดหรือโบสถ์คาทอลิคหรือมัสยิดเป็นศูนย์กลาง มีตลาดสด และมีโรงเรียน และป่าช้าเป็นโครงสร้างกายภาพของชุมชน โดยเฉพาะโรงเรียนนั้นสังคมและรัฐให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในกระบวนการฟื้นฟูประเทศชาติ บ้านเมือง โรงเรียนกลายเป็นโครงสร้างหลักของชุมชนท้องถิ่นในสมัยหลังสงครามกับอเมริกัน สร้างให้มีขนาดใหญ่กว่าแต่เดิมมากจากอาคารชั้นเดียวมาเป็นสองชั้น ขนาดใหญ่กว่าบรรดาอาคารของสถานที่ทำการรัฐบาลแทบทุกแห่ง สะท้อนให้เห็นถึงคนรุ่นใหม่เข้ามาอยู่ในชุมชนมากกว่าเดิม ซึ่งก็หมายถึงการรวมคนที่บ้านแตกสาแหรกขาดในสงครามกลับเข้ามาในชุมชน ทำให้เด็กรุ่นใหม่ที่หลากหลายในเรื่องความเป็นมามีโอกาสเข้าเรียนในโรงเรียนเดียวกันอย่างเสมอภาค การสอนการเรียนก็ยกระดับให้ดีกว่าแต่ก่อน โดยเฉพาะการมีเครื่องมือเครื่องใช้และอุปกรณ์การสอนที่เป็นไอทีด้วยที่มีราคาแพงแต่ถูกนำให้ใช้ร่วมกันอย่างเสมอภาค ความเป็นโรงเรียนชุมชนนั้นไม่มีหอพักไม่มีสถานที่อยู่อื่น ๆ ให้กับเด็กจากภายนอก เพราะมุ่งเพื่อเด็กภายในที่สามารถเดินมาเรียนได้ ขี่รถจักรยานก็มาเรียนได้ ซึ่งเด็กบางคนสามารถเดินทางจากโรงเรียนมากินอาหารกลางวันที่บ้านและกลับไปเรียนทันในเวลาบ่าย แต่ที่สำคัญที่สุดของโรงเรียนชุมชนท้องถิ่นของเวียดนามก็คือ ทั้งนักเรียนและครูผู้สอนส่วนใหญ่เป็นคนในชุมชนเดียวกันที่มีวัฒนธรรมเดียวกัน และเรียนรู้จากสิ่งใกล้ตัวเองทั้งในและโดยรอบของชุมชนร่วมกัน ความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนที่อยู่ในชุมชนเดียวกัน ทำให้นักเรียนสร้างการเรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มได้ โดยเฉพาะเวลาเรียนที่เกี่ยวกับเรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่น อันเป็นวิชาที่ต่างคนต่างช่วยกันตั้งคำถามและแบ่งงานกันทำเป็นกลุ่ม ๆ ตามสิ่งที่ถนัด แล้วนำผลงานมาเชื่อมโยงให้เห็นผลงานร่วมกันในที่สุด การศึกษาเล่าเรียนที่แบ่งเป็นกลุ่ม ๆ เรียนร่วมกัน และทำงานร่วมกันดังกล่าวนี้ แตกต่างจากการเรียนแบบเป็นปัจเจกของเด็กนักเรียนในโรงเรียนของรัฐไทยที่วัดจากความเก่งและความสำเร็จในการศึกษาจากการสอบได้คะแนนดีที่มาจากการท่องจำและคิดอะไรไม่เป็น อีกสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญของโรงเรียนชุมชนในเวียดนามหลังสงครามกับอสุรกายอเมริกันก็คือ การให้เด็กนักเรียนของชุมชนได้เรียนประวัติศาสตร์ที่จะสร้างสำนึกในความรักประเทศชาติบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่น ประวัติศาสตร์ที่ว่านี้หาใช่ประวัติศาสตร์การเมือง การปกครองในอดีตที่ห่างไกลไม่ หากเป็น “ ประวัติศาสตร์สังคม ” ที่เน้นเหตุการณ์ในอดีตที่ไม่ห่างไกลและใกล้ตัว หากเป็นอดีตที่ยังอยู่ในความทรงจำของผู้คนรุ่นปู่ย่าตายายที่สามารถถ่ายทอดให้รับรู้ได้อย่างใกล้ความจริงและเป็นรูปธรรม นั่นคือ “ เหตุการณ์สงครามกับอเมริกัน ” ที่เป็นผลให้บ้านเมือง ผู้คนถูกทำลายนับเป็นล้าน ๆ คนเพื่อปลูกฝังให้เกิดสำนึกที่ว่านี้ ทางรัฐบาลเวียดนามได้สร้างอนุสาวรีย์วีรชนขึ้นในแทบทุกท้องถิ่นให้มีลักษณะเป็นโครงสร้างทางกายภาพอย่างหนึ่งของชุมชนในปัจจุบัน ซึ่งเป็นอนุสาวรีย์ที่สร้างท่ามกลางบรรดาหลุมศพของผู้คนที่ร่วมกันต่อสู้กับอสุรกายอเมริกันจนเสียชีวิต คนเหล่านั้นคือผู้คนในท้องถิ่นที่ไม่จำกัดว่าเป็นคนนับถือศาสนาใดและชาติพันธุ์ใด หากเป็นคนเวียดนามเหมือนกันที่ตายเพื่อบ้านเกิดเมืองนอน ข้าพเจ้าได้รับคำอธิบายจากผู้รู้ของเวียดนามที่ทำนายว่า รัฐบาลท้องถิ่นหลายแห่งกำหนดให้เด็กนักเรียนและครูในโรงเรียนชุมชนดูแลอนุสาวรีย์วีรชนดังกล่าวนี้ โดยให้มีวันและเวลาว่างที่เด็กนักเรียนและครูไปช่วยทำความสะอาดบรรดาหลุมศพของวีรชนด้วยการขัดชื่อและคำจารึกของผู้ตายให้เด่นชัดและไม่หมอง ทุกวันนี้ผู้ที่เข้าไปท่องเที่ยวเวียดนามอาจแลเห็นอนุสาวรีย์ที่มีฐานสูงเทิดดวงสีแดงไว้บนยอด ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในสมัยโบราณได้อย่างเด่นชัด ข้าพเจ้าเลยอดนึกไปถึงไม่ได้ว่า ที่ทางรัฐบาลไทยหลายสมัยและพรรคการเมืองต่างพ่นออกมาเป็นวาทะเดียวกันว่า โรงเรียนต้องสอนประวัติศาสตร์ให้เด็กนักเรียนได้เรียนรู้ แต่ไม่เคยวิสัชนาว่าประวัติศาสตร์ที่เด็กต้องเรียนรู้นั้นคืออย่างไร เพราะประวัติศาสตร์หลายเรื่องที่เด็กรับรู้กันในทุกวันนี้ส่วนมากเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์เสียส่วนมาก ทั้งนี้โดยไม่ต้องมโนว่าจะสอนกันอย่างไรด้วย

  • สังคมมีศาสนา V.S สังคมเดรัจฉาน

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2558 เหตุการณ์สำคัญของโลกในยุควิกฤตทางศีลธรรมและจริยธรรมที่อุบัติขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ก็คือการที่คนมุสลิมหัวรุนแรง ที่โลกเสรีประณามว่าเป็นพวกก่อการร้ายฆาตกรทำลายล้างชีวิตมนุษย์จำนวนหนึ่งได้บุกเข้ายิงบรรณาธิการและคนทำงานในสำนักพิมพ์การ์ตูนเสียดสีสังคมและศาสนาชาร์ลี เอบโด [Charlie Hebdo] กลางกรุงปารีสของฝรั่งเศส ก่อให้เกิดความโกรธแค้นจากทางรัฐและประชาชนที่ตามล่าจนเอาชีวิตได้ในที่สุด กระนั้นยังไม่พอ ยังมีการรวมตัวกันอย่างมโหฬารของผู้คนหลายล้านคนที่มีผู้นำของรัฐบาลในยุโรปเกือบทุกประเทศเข้าร่วมการเคลื่อนไหวและประณามการกระทำอันหฤโหดของผู้ก่อการร้ายมุสลิมอย่างถ้วนหน้ากัน ธุดงค์ธรรมชัย ภาพจากเพจ http://picturesofday.blogspot.com/2014/01/14-2557.html แต่ในประเทศไทย คนในสังคมส่วนใหญ่ดูไม่บ้าจี้ไปตามสังคมส่วนใหญ่ในโลกยุโรป เพราะคนทั่วไปที่ไม่ใช่ปัญญาชนไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นนอกประเทศ ซึ่งก็เป็นปกติวิสัยเช่นนี้มาช้านาน ยกเว้นแต่บรรดาผู้ที่เป็นปัญญาชนที่พูดได้อย่างฟันธงในที่นี้ว่า มีสองประเภท คือคนมีศาสนาประเภทหนึ่ง กับคนไม่มีศาสนาอีกประเภทหนึ่ง คนมีศาสนาไม่ค่อยสะเทือนใจแบบบ้าจี้กับการกระทำของผู้ก่อการร้ายมุสลิมเท่าใด แต่ก็ไม่สนับสนุนการรุนแรงที่ฆ่าฟันผู้คนอย่างโหดร้าย เพราะเห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมีผลสืบเนื่องมาจากการกระทำของสำนักพิมพ์การ์ตูนเสียดสีของฝรั่งเศสนั่นเอง ธุดงค์ธรรมชัย ภาพจากเพจ http://picturesofday.blogspot.com/2014/01/14-2557.html การเสียดสีผู้นำทางการเมืองนั้นดูธรรมดา ไม่มีใครเดือดร้อน แต่การเสียดสีและดูหมิ่นศาสนาและผู้นำศาสนานั้น เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในจิตสำนึกของคนมีศาสนาในสังคมไทยที่มีศาสนาหลายศาสนา และผู้คนที่ต่างศาสนาอยู่ร่วมกันมาหลายศตวรรษอย่างมีสันติสุข เพราะผู้นำของประเทศในอดีตคือ ‘พระมหากษัตริย์’ เป็นองค์อัครศาสนูปถัมภกที่ทรงให้ความเป็นธรรม ยกย่องทุกศาสนาโดยเสมอกัน ถึงแม้ว่าจะทรงเป็นพุทธศาสนิกก็ตาม หาเคยทรงลำเอียงในการทะนุบำรุงศาสนาอื่นและไพร่ฟ้าประชาชนที่นับถือศาสนานั้น ๆ ไม่ ทรงให้ที่ดินสร้างวัด สร้างชุมชนอยู่สืบทอดกันมาเป็นเวลาหลาย ๆ ชั่วคน จนคนเหล่านั้นกลายเป็นคนสยามหรือคนไทยโดยทั่วหน้ากัน จนทำให้การไม่รังเกียจเดียดฉันท์ศาสนาอื่นและผู้นับถือที่เป็นประชาชนของประเทศที่เป็นที่รับรู้กันของบรรดานานาชาติในโลกมาช้านาน แม้กระทั่งสมัยเมื่อบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขแล้วก็ตาม จนกระทั่งเมื่อราวสิบปีที่ผ่านมานี้ จึงได้แลเห็นการเปลี่ยนแปลงในเรื่องความเชื่อทางศาสนาของบรรดาคนไทยหรือคนสยามในยุคใหม่พวกหนึ่งที่มองอเมริกันและยุโรปเป็นเสมือนบิดาบังเกิดเกล้าที่แลไม่เห็นความหมายความสำคัญของศาสนาในฐานะสถาบันสากลของมนุษยชาติ อาจแบ่งได้เป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกยังนับถือศาสนาอยู่แต่ต้องเป็นศาสนาพุทธเท่านั้น ศาสนาอื่นไม่สำคัญเลยพาลไปไม่ชอบคนไทยอื่นที่ไม่นับถือศาสนาพุทธไปด้วย โดยเฉพาะคนมุสลิมมลายูในสามจังหวัดภาคใต้ ซึ่งเป็นการเดียดฉันท์ทางศาสนาและชาติพันธุ์ และเคยมีการเคลื่อนไหวให้มีการประกาศพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติแต่เพียงศาสนาเดียวในกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่เคราะห์ดีที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย แถมยังตำหนิว่าไม่ควรที่จะเอาพระพุทธศาสนาเข้ามาอยู่ในร่มเงาของอำนาจรัฐธรรมนูญ ซึ่งในสำนึกของข้าพเจ้าเห็นว่า พระบวรศาสนาทุกศาสนาเป็นของบริสุทธิ์ หาใช่ของสาธารณ์ เช่น กฎหมายรัฐธรรมนูญแบบลัทธิประชาธิปไตยของอเมริกันและยุโรป การประท้วงในกรุงปารีส ฝรั่งเศส ภาพจาก http://blog.fitzcarraldoeditions.com/?p=406 การประท้วงของนักศึกษามหาวิทยาลัยในโซมาเลีย กรณีชาร์ลี เอบโด ภาพจากสำนักข่าว (Feisal Omar/Reuters) เมื่อความมาถึงตรงนี้ ก็อดนึกและทอดอาลัยกับคนไทยยุคใหม่อีกกลุ่มหนึ่งที่ยังอ้างตัวว่าเป็นพุทธศาสนิก แต่ยึดมั่นในลัทธิหนึ่งที่ใช้การสะกดจิตเป็นเครื่องมือในการอบรมสอนสั่งแก่คนที่เป็นสาวก คนพวกนี้คิดว่าลัทธิที่ตนนับถืออยู่นี้คือพุทธศาสนาหนึ่งเดียวในโลกและจักรวาล ที่อาจแลเห็นได้ด้วยการโครงสร้างศาสนสถานวัตถุให้เหมือนกับจานบินและลานจอดจานบินของมนุษย์ต่างดาว อีกทั้งวันดีคืนดีก็ยกขบวนแห่กันไปธุดงค์ปักกลดกันกลางพระมหานครให้การสัญจรไปมาของผู้คนเป็นอัมพาตอยู่บ่อย ๆ ถึงอย่างไรก็ตาม กลุ่มคนไทยรุ่นใหม่ที่ว่านี้ก็ยังมีลัทธิศาสนานับถืออยู่แม้ว่าจะเพี้ยนไปมากแล้วก็ตาม แต่มีคนไทยรุ่นใหม่อีกกลุ่มหนึ่งที่นับได้ว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นกำลังจะกลายเป็นผู้ไม่นับถือศาสนาและไม่มีศาสนา คนเหล่านี้มักเป็นผู้มีการศึกษาดี เป็นคนชั้นกลางที่ได้รับการศึกษาจบมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ เช่นจากอเมริกา ยุโรป และออสเตรเลีย ได้รับการอบรมด้วยแนวคิดและตรรกทางวิทยาศาสตร์ ไม่เชื่อความเชื่อทางจิตวิญญาณและศาสนาเห็นว่าเป็นสิ่งงมงาย แต่ได้รับการอบรมจากตะวันตก เช่น อเมริกาและยุโรปให้เห็นและเชื่อว่าประชาธิปไตยในระบบเศรษฐกิจเสรีทุนนิยมเป็นเสมือนลัทธิที่จะทำให้สังคมมนุษย์สมบูรณ์พูนสุขและราบรื่น เป็นสังคมที่ไร้พรมแดนและไม่จำเป็นต้องมีศาสนาและพรมแดน คนเหล่านี้แหละที่ออกมาปฏิเสธการมีชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์อย่างออกหน้าออกตา รวมทั้งคลั่งไคล้ในวัฒนธรรมและแสงเสียงของอเมริกันและยุโรปตลอดเวลา และไม่ว่าอเมริกันหรือฝรั่งเศส อังกฤษจะทำอะไรก็เป็นเรื่องถูกต้องมีเหตุมีผล เพราะมนุษย์ในโลกที่ของประเทศใดหรือสังคมใดที่ไม่เห็นสอดคล้องหรือคล้อยตาม อเมริกัน ฝรั่งเศส และอังกฤษแล้วกลายเป็นคนผิด คนล้าหลังไม่ทันโลกไปหมด อีกทั้งพร้อมที่จะปิดหูปิดตาไม่ฟังไม่เห็นความระยำตำบอนที่อเมริกา ฝรั่งเศส และอังกฤษได้ทำกับสังคมมนุษย์อื่น ๆ ในโลกเหล่านั้น ดังเช่นที่แล้วมาได้ทำแก่สังคมประชาธิปไตย สังคมนิยมเวียดนาม และในทุกวันนี้กับสังคมมุสลิมที่ประชาชนมีศรัทธามั่นคงในพระศาสนา ที่เวียดนามอเมริกันรุกรานด้วยการทิ้งระเบิดปูพรมคนตายไปหลายล้าน ผู้คนหนีรอดด้วยการขุดรู ขุดอุโมงค์หลับอาศัย ที่เมืองสาละวันประเทศลาวที่เป็นพันธมิตรกับเวียดนามในหลาย ๆ ท้องถิ่น อเมริกันได้ระเบิดชีวภาพทำลายพืชพันธุ์ที่เป็นอาหารและยารักษาโรคของชาวบ้าน จนทำให้พื้นที่ปลูกอะไรเต็มไปด้วยสารพิษก่อมะเร็งจนกระทั่งบัดนี้ แต่ความโหดร้ายสุด ๆ ผิดมนุษยชาติก็คือ กรณีทหารอเมริกันสังหารหมู่คนเวียดนามทั้งคนแก่ เด็กและผู้หญิงอย่างโหดเหี้ยม แต่คนไทยที่เป็นสาวกลัทธิประชาธิปไตยทุนนิยมของอเมริกันไม่เห็นว่าอะไรและไม่รู้สึกอะไร เช่นเดียวกันกับกรณีเขมรแดงฆ่าล้างโคตรคนกัมพูชาเป็นจำนวนล้าน คนไทยและคนทั่วโลกรุมด่าเขมรแดง แต่ไม่เคยด่าอเมริกัน ทิ้งระเบิดคนเวียดนามตายมากกว่าการด่าหมู่ในเขมร เหนื่อยและพ่ายแพ้จากเวียดนาม อเมริกันและพันธมิตรคู่ใจ เช่น อังกฤษและฝรั่งเศสที่กำลังจนด้วยทรัพยากร โดยเฉพาะน้ำมัน หันมาเล่นงานโลกมุสลิมในตะวันออกกลาง รุกรานประเทศที่ไม่เข้าเป็นพวกพ้องด้วยข้อหามีอาวุธนิวเคลียร์ที่เป็นภัยแก่มนุษยชาติ เช่น อิรัก และอิหร่าน อิหร่านยังหักหาญไม่ได้จึงเล่นงานอิรักก่อน ทิ้งระเบิดยึดครองประเทศ ผู้คนล้มตายและแบ่งแยกจนบัดนี้ก็ยังอยู่ในสภาพเป็นนรก แต่ประเทศไหนที่ยังทำอะไรไม่ถนัดก็ยุแหย่ให้เกิดการแตกแยกล้มล้างกันเอง เช่น อียิปต์ ซีเรีย ลิเบีย เป็นต้น ก่อให้เกิดความโกรธแค้นของคนมุสลิมหัวรุนแรง จนทำให้เกิดขบวนการต่อสู้ด้วยลัทธิและวิธีการจีฮัจญ์อย่างโหดเหี้ยมที่อเมริกันและพันธมิตรเรียกว่า ‘การก่อการร้าย’ ที่ดูเหมือนการตอบโต้ที่รุนแรงและดังสะท้านไปทั่วโลกก็คือ กรณีจีฮัจญ์ของคนมุสลิมจี้และบังคับเครื่องบินโดยสารชนระเบิดตึกเวิลด์เทรดที่เมืองนิวยอร์ก ทำให้คนตายไปเกือบหมื่นคนในพริบตาเดียว ทำให้อเมริกันอัปยศอดสูและเจ็บแค้นไปจนปรภพก็ว่าได้ สงครามที่ทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่สุดครั้งหนึ่ง “สงครามเวียดนาม” เหตุการณ์ระเบิดเวิลด์เทรดครั้งนั้นในทัศนะของข้าพเจ้าก็คือการเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๓ สองครั้งที่แล้วเป็นสงครามของความโลภทางวัตถุและอำนาจทางการเมือง เช่น ลัทธิการเมืองและการปกครองและระบบเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน แต่ครั้งนี้โลกกำลังแบ่งออกเป็น ๒ ขั้ว คือ ทางวัตถุขั้วหนึ่ง กับจิตวิญญาณอีกขั้วหนึ่ง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ขั้วของมนุษย์ที่ไม่มีศาสนา กับมนุษย์ที่มีศาสนาขั้วหนึ่ง เป็นสงครามที่ยากจะยุติและน่าสะพรึงกลัว เพราะเป็นเรื่องไม่มีเวลาและสถานที่ (กาลเทศะ) หากกำลังแผ่ซ่านไปแทบทุกอณูของพื้นพิภพ เพราะทั้งสองฝ่ายต่อเติมยั่วยุและตอบโต้อยู่ตลอดเวลา ดังเห็นได้จากกรณีสำนักพิมพ์ชาลีย์ แอ๊ปโด ที่แสดงความยิ่งใหญ่และอำนาจของเสรีภาพในลัทธิประชาธิปไตยแบบอเมริกัน ฝรั่งเศสและอังกฤษที่คนไทยผู้ไร้ศาสนานิยมชมชอบ ข้าพเจ้าจึงอยากให้คนไทย คนสยามทั้งที่มีชาติ ศาสนา และไม่มี ควรได้เรียนรู้และทบทวนประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่แล้วมานั้น ไม่มีอะไรในโลกที่ทำให้มนุษย์ต้องฆ่าพันกันได้มากเท่ากับการรบและต่อสู้เพื่อปกป้องพระศาสนาและแผ่นดินเกิดซึ่งหมายถึงชาติ ( ภูมิ ) แต่สำหรับคนไม่มีศาสนาและมองเห็นว่าความเชื่อเป็นสิ่งไม่เป็นวิทยาศาสตร์และเรื่องงมงายนั้น ก็หาได้หลุดพ้นเป็นอิสระจากความเชื่อไปได้ เพราะเป็นมิติหนึ่งในความเป็นมนุษย์ เพราะการปกครองระบอบเสรีทุนนิยมประชาธิปไตยที่ตนยึดมั่นถือมั่นนั้นก็เป็นลัทธิความเชื่อชนิดหนึ่ง แม้จะไม่ใช้ความเชื่อในสิ่งที่เป็นศาสนาก็ตาม ศาสนาคือสถาบันสากล [Universal institution] ของมนุษยชาติ เป็นสถาบันความเชื่อที่ดีที่จรรโลงมนุษยธรรม ศีลธรรม และจริยธรรม แม้ผู้ใดที่คิดว่าตนเป็นคนไม่มีศาสนาแล้ว ก็อย่านึกว่าหลุดพ้นจากเรื่องความเชื่อไปได้ เพราะจะมีความเชื่อในเรื่องลัทธิทางการเมือง เศรษฐกิจ แลไสยศาสตร์เข้ามาแทนที่และครอบงำจนกลายเป็นเดรัจฉาน คือ ‘ไม่ใช่มนุษย์ไปได้’ สังคมไทยขณะนี้กำลังเป็นบ้านเมืองว่างพระศาสนาแต่เต็มไปด้วยคนที่นับถือลัทธิการเมือง เศรษฐกิจ และไสยศาสตร์ที่แลเห็นได้ทุกเมื่อเชื่อวัน อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • ความย่อยยับทางภูมิทัศน์วัฒนธรรมของเมืองประวัติศาสตร์กรุงเทพฯ ธนบุรี

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 เม.ย. 2558 มีข่าวที่น่าจะเป็นจริงออกมาว่า ผู้เป็นใหญ่ใน คสช. ได้แถลงข่าวว่าจะมีการสร้างถนนขนาบน้ำสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่สะพานพระปิ่นเกล้าไปจนถึงสะพานพระราม ๗ ที่จังหวัดนนทบุรี เพื่อเป็นการขยายเส้นทางคมนาคมให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น และโดยเฉพาะจะทำให้เป็นเส้นทางรถจักรยานแก่บรรดาชาวเมืองที่มีการตื่นตัวกันอย่างมากในสมัยนี้ ข้าพเจ้าในฐานะที่เป็นคนกรุงเทพฯ ธนบุรี โดยสายตระกูลทั้งฝ่ายพ่อและแม่ ก็เกิดปริวิตกว่าภูมิวัฒนธรรมของบ้านเมืองที่เป็นมหานครในที่ลุ่มน้ำลำคลองของประเทศที่มีความงดงามและเจริญรุ่งเรืองในอารยธรรมของคนตะวันออกคงถึงกาลพินาศเป็นแน่แท้ เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยมีข่าวคราวมาก่อนว่า มีนายทุนกว้านซื้อที่สองฝั่งน้ำเจ้าพระยาตั้งแต่บริเวณปากน้ำ เขตจังหวัดสมุทรปราการลงมาจนกรุงเทพฯ ธนบุรี เพื่อพัฒนาและก่อสร้างตึกสูง เป็นคอนโดมีเนียม ศูนย์การค้า แหล่งสันทนาการที่มีทิวทัศน์เป็นชายน้ำแบบยุโรปและทางตะวันตก และโครงการใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณถนนเจริญนคร ข้าพเจ้าเคยเห็นภาพโปรโมตเรื่องนี้แถวสนามบินและศูนย์การค้าในนามของ ‘ไอคอนสยาม’ สืบเนื่องจากเรื่องนี้ก็มีข่าวออกมาว่าทางกรุงเทพมหานครร่วมกันกับสถาบันทางศิลปะของมหาวิทยาลัยของรัฐและนักออกแบบผังเมืองที่เป็นนายทุนบางกลุ่มคิดเสนอการพัฒนาสองฝั่งน้ำเจ้าพระยาในเขตกรุงเทพฯ ธนบุรีให้เป็นมรดกโลก นับว่าจะมีการทำสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาให้คนทั้งสองฝั่งเดินไปมาได้สะดวก และจัดภูมิทัศน์ทางสถาปัตยกรรมผังเมืองใหม่ โดยมีการโยกย้ายบรรดาชุมชนของผู้คนที่อยู่กันมาช้านานริมแม่น้ำลำคลองออกไป แล้วสร้างทิวทัศน์สมัยใหม่แบบตะวันตกขึ้นมาแทน แต่สิ่งที่ทำแน่ ๆ ในขณะนี้ก็คือ ทั้งทุนและรัฐกำลังพัฒนาแบบทำลายล้างชุมชนสองฝั่งน้ำที่เป็นที่อยู่อาศัยของคนไทยเชื้อสายจีนตั้งแต่ปากคลองบางหลวงไปจนถึงปากคลองสวนทางฝั่งธนบุรี และบริเวณไชน่าทาวน์ตั้งแต่สำเพ็งไปจนตลาดน้อย ดังเห็นได้จากโครงการรถไฟฟ้าใต้ดินและโครงการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา รวมทั้งเวนคืนที่ดินและเลิกสัญญาเช่าเพื่อการก่อสร้างโครงสร้างใหม่ ๆ ขึ้นมาแทน ทัศนอุดจาด ในทัศนะของข้าพเจ้าอีกอย่างหนึ่งคือการก่อสร้างรัฐสภาใหม่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่เกียกกายโดยรื้อและย้ายโรงเรียนโยธินบูรณะไปไว้ที่อื่น เพราะเป็นโครงสร้างอาคารขนาดใหญ่ด้านริมแม่น้ำลำคลองทางฝั่งกรุงเทพฯ ลบภาพพจน์ของสถานที่ก่อสร้างขนาดใหญ่แต่เดิมที่เป็นวัดและพระราชวังที่เป็นศูนย์กลางของชุมชนที่เกิดขึ้นเป็นระยะไป อีกทั้งยังส่งผลกระทบไปสู่บ้านเรือนของผู้คนในชุมชนแต่เดิม รวมทั้งถนนหนทางแต่เดิมในด้านการจราจรอย่างแก้ไขไม่ได้ ถ้าหากจะมีโครงการทำถนนขนาบสองฝั่งน้ำเจ้าพระยาจากสะพานพระปิ่นเกล้าไปจนถึงสะพานพระราม ๖ และ ๗ ในเขตจังหวัดนนทบุรีแล้ว ก็น่าจะเป็นอวสานของภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของบ้านเมืองในบริเวณลุ่มน้ำลำคลองตั้งแต่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตจังหวัดสมุทรปราการ ผ่านขึ้นมากรุงเทพฯ ธนบุรีและเรื่อยขึ้นไปจนถึงนนทบุรีอย่างไม่ต้องสงสัย ที่กล่าวว่าถึงกาลอวสานก็เพราะบริเวณสองฝั่งน้ำเจ้าพระยาดังกล่าวนี้เป็นพื้นของสังคมชาวสวนที่มีพัฒนาการเป็นบ้านเมืองรัฐและการเป็นศูนย์กลางของประเทศมากกว่าสามร้อยปีขึ้นไปแต่สมัยอยุธยาจนปัจจุบัน เป็นสังคมที่อยู่บนแม่น้ำลำคลองที่มีการสัญจรไปมาทางน้ำด้วยเรือแพ คือคนตั้งถิ่นฐานทั้งบนตลิ่งและในแม่น้ำลำคลองที่ชาวต่างประเทศแต่เดิมเรียกว่า ‘ เมืองลอยน้ำ ’ เพราะในฤดูน้ำท่วมท้นตลิ่งแลเห็นบ้านเรือน เรือแพอยู่กันในน้ำไม่เห็นตลิ่งไม่เห็นพื้นดิน เพราะมีเรือกสวนปกคลุมเป็นพื้นหลัง ความเป็นเมืองน้ำสังคมชาวสวนของกรุงเทพฯ ธนบุรีนั้น โดยภูมิวัฒนธรรมครอบคลุมพื้นที่สองเกาะใหญ่ที่เกิดจากการขุดลัดแม่น้ำอ้อมสองแห่งคือ ‘เกาะบางกอก’ และ ‘เกาะบางกรวย’ เกาะบางกอกเป็นที่ตั้งของเมืองกรุงเทพฯ และธนบุรี ซึ่งเกิดจากการขุดลัดแม่น้ำอ้อมจากตำบลบางกอกน้อยมาออกตำบลบางกอกใหญ่ ในขณะที่เกาะบางกรวยเกิดจากการขุดลัดแม่น้ำอ้อมที่บางใหญ่มาออกบางกรวยเป็นที่ตั้งของเมืองนนทบุรี ทั้งสองเกาะนี้อยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา เมืองธนบุรีเกิดขึ้นทางฝั่งตะวันตกในขณะที่กรุงเทพฯ เกิดจากการย้ายเมืองมาฝั่งตะวันออก เมืองนนทบุรีเกิดขึ้นทางฝั่งตะวันออกแต่เดิมเรียกเมืองตลาดแก้วตลาดขวัญ ทุกเมืองล้วนเป็นเมืองของสวนผลไม้ที่มีชาวบ้านชาวเมืองส่วนใหญ่มีกำพืดเป็นชาวสวนไม่ใช่ชาวนาและอาศัยเส้นแม่น้ำลำคลองเป็นเส้นทางคมนาคมทุกฤดูกาล ชุมชนที่เป็นบ้านเป็นเมืองใหญ่น้อยล้วนเกิดขึ้นริมฝั่งแม่น้ำทั้งสองฝั่งที่มีลำน้ำลำคลองทั้งคลองธรรมชาติและคลองขุด แยกออกจากแม่น้ำทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออก ดูประดุจกระดูกสันหลังที่เปรียบได้กับแม่น้ำใหญ่ และกระดูกซี่โครงคือลำน้ำลำคลองที่แยกออกจากทั้งสองฝั่งและแต่ละคลองก็มีชื่อมีนามและมีการตั้งบ้านเรือนเป็นชุมชนริมคลองออกไปกลางทุ่ง แต่ละชุมชนที่เป็นบ้านก็มีวัดเป็นศูนย์กลาง โดยมีชุมชนเมืองอยู่ตรงปากคลองคือบริเวณที่ลำคลองมาสบกับแม่น้ำ ความเป็นชุมชนเมืองตรงปากคลองนี้นอกจากมีวัดใหญ่เป็นศูนย์กลางแล้ว ยังมีย่านตลาดที่อาศัยปากคลองเป็นตลาดขายของสดของคาวที่รู้จักกันในนามว่าตลาดน้ำ ความเป็นย่านตลาดของเมืองนั้น นอกจากมีวัดใหญ่แล้วยังมีศาลเจ้าจีนและบางแห่งก็มีโรงเจ เพราะเป็นที่คนจีนและเชื้อสายคนจีนที่เป็นคนค้าขายอยู่อาศัย นอกจากนี้หลายแห่งที่มีคนมุสลิมก็จะมีการสร้างมัสยิดรวมอยู่ด้วย สังคมบ้านสวนเมืองน้ำนี้ไม่มีถนนและทางบก นอกจากทางเดินเท้าเชื่อมต่อสวนในท้องถิ่น ความเป็นบ้านเป็นเมืองเรียงรายกันอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำและลำคลองที่ล้วนมีชื่อเสียงเรียงนามเป็นของตนเอง ท้องถิ่นที่อยู่อาศัยริมน้ำทุกหนแห่งล้วนเรียกว่า ‘บาง’ โดยมีชื่อเฉพาะตามมา เช่น คลองบางกอกน้อย คลองบางกรวย คลองบางเขน เป็นต้น ภาพพจน์ของบ้านเมืองตามแม่น้ำลำคลองที่ว่ามานี้ สามารถเข้าถึงได้จากบรรดาวรรณคดีที่เป็นนิราศมีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และกรุงเทพฯ ธนบุรี สมัยรัชกาลที่ ๕ อันเป็นเวลาที่เมืองสมัยใหม่เกิดขึ้นบนบกและมีการสร้างถนนหนทางและทางรถไฟ ยกตัวอย่างเช่น ‘นิราศภูเขาทอง’ ของสุนทรภู่ที่บรรยายภาพพจน์ของชุมชนริมแม่น้ำลำคลองจากรุงเทพฯ ถึงอยุธยา ได้พูดถึงชุมชน บ้าน วัด เมือง ชื่อลำน้ำลำคลองไว้อย่างละเอียด รวมทั้งชีวิตความเป็นอยู่ของคนหลายชาติพันธุ์ตามท้องถิ่นด้วย หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นรัฐประชาธิปไตยสภาพทิวทัศน์ทางวัฒนธรรมของบ้านเมืองริมน้ำเหล่านี้ ก็หาได้เปลี่ยนแปลงไปมากไม่ แม้ว่าจะมีความแออัดและชุมชนใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาก็เป็นชุมชนที่มีวัดเป็นศูนย์กลาง ลำน้ำลำคลองบางแห่งหายไปอันเนื่องมาจากการก่อสร้างสถานที่ราชการ แหล่งการค้าและบ้านเรือนแบบใหม่ ๆ ก็ตาม แต่ความเรียบง่ายและสวยงามของสองฝั่งน้ำเจ้าพระยายังดำรงอยู่แบบที่แลเห็นได้จากภาพเขียนของ อองเดร มูโอ นักสำรวจผจญภัยทางฝรั่งเศส ที่เข้ามาเมืองไทยสมัยรัชกาลที่ ๔ รวมทั้งฝรั่งอื่น ๆ ที่มีการถ่ายภาพและทำแผนผังและแผนที่บ้านเมืองริมฝั่งเจ้าพระยาตั้งแต่ปากน้ำขึ้นไปจนถึงอยุธยา โดยมีพระสถูป พระบรมธาตุวัดแจ้งหรือวัดอรุณราชวรารามสูงเด่นเป็นศูนย์กลางของทิวทัศน์วัฒนธรรมสองฝั่งน้ำเจ้าพระยาเสนอมา ยังไม่มีผู้ใดกำเริบเสิบสานบุกรุกและทำลายริมแม่น้ำลำคลองที่ยังมีผู้คนเป็นจำนวนมากใช้การคมนาคมตามลำน้ำลำคลอง แม้ว่าจะดูอึกกะทึกไปด้วยเสียงเครื่องยนต์ของเรือหางยาวและเรือเมล์ก็ตาม ยังมีคนทั้งคนไทยและต่างชาติยังอยากนั่งเรือเที่ยวตามสองฝั่งน้ำอยู่ โดยเฉพาะจากกรุงเทพฯ ถึงนนทบุรีและปทุมธานี แต่มาเริ่มเปลี่ยนทัศนคติกันราว ๒๐ ปีมานี้ ที่บรรดาคนรุ่นใหม่ นักสถาปนิก นักผังเมืองที่เป็นนายทุนและรับใช้นายทุนบุกรุกพื้นที่ริมแม่น้ำ สร้างตึกสูงคอนโดมีเนียม และบ้านจัดสรรเพื่อให้ได้วิวดีริมแม่น้ำลำคลอง ยุคของการเปลี่ยนแปลงแบบทำลายนี้อาจเห็นได้จากคอนโดมีเนียม เสมือนรูปศิวลึงค์เชิงสะพานพระปิ่นเกล้าฯ ที่สร้างขึ้นเพื่อลดความงดงามและความศักดิ์สิทธิ์เป็นสวัสดิมงคลของพระปรางค์วัดอรุณฯ อันเป็นพระบรมธาตุของพระมหานคร ต่อมาก็มีตึกสูงตึกใหม่แบบนี้เกิดขึ้นเป็นแถวตามสองฝั่งนั้น ทำให้ความเป็นเมืองสวนเมืองริมแม่น้ำลำคลองจมลงไป เพราะอาคารสูงที่เป็นที่อยู่อาศัย ที่ทำการรัฐบาลและการค้าธุรกิจบริการ โดยเฉพาะโรงแรมหลาย ๆ อาคาร วัดวาอาราม พระมหาราชวังและตึกรามอาคารที่เป็นศิลปวัฒนธรรมถูกทำให้ต่ำต้อยลงด้วยการกิจกรรมเพื่อการท่องเที่ยวที่มีแสงเสียงและฟุ่มเฟือยที่เป็นเพียงของเสมือนจริง ในขณะนี้สภาวะของทิวทัศน์วัฒนธรรมของเมืองประวัติศาสตร์สองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาก็อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่อยู่แล้ว หาได้มีผู้หนึ่งผู้ใดที่มีทุนและอำนาจคิดอนุรักษ์แก้ไขไม่ ดูไปมีแต่ช่วยกันทำลายเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ข้าพเจ้าไม่เคยหวังและเชื่อว่าบ้านเมืองในสังคมประชาธิปไตยที่แล้ว ๆ มาและอาจจะมีขึ้นอีกในอนาคตกาลจะได้สำนึกและคิดแก้ไขให้ดีได้ แต่เฝ้าภาวนาหวังใจว่าสังคมเผด็จการที่ดีของคณะคสช . อาจจะทบทวนและช่วยได้ในเรื่องนี้ จึงตกใจและสิ้นหวังเมื่อได้ยินมาว่าผู้ทรงอำนาจในคณะรัฐบาล ได้แถลงออกมาว่าจะมีการสร้างถนนขนาบน้ำเพื่อความสะดวกในการคมนาคมและเพื่อเป็นถนนของคนปั่นจักรยาน จึงไม่รู้ว่ากลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์หรือนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญพวกใดชงเรื่องไปดลจิตดลใจให้คิดเป็นเรื่องขึ้นมา ? อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • GDP vs. GNH ในสังคมไทย

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2558 ปีก่อน ๆ ที่แล้วมา ข้าพเจ้าเขียนบทความจดหมายข่าวของมูลนิธิฯ เรื่อง “อะไรคือรายได้มวลรวมประชาชาติ [GDP)] กับอะไรคือความสุขมวลรวมประชาชาติ [GNH]” เพราะในช่วงเวลานั้นมีปัญญาชนของประเทศได้ไปเที่ยวประเทศภูฏานได้แลเห็นความสงบสุขอย่างมีกินมีใช้ของผู้คนในประเทศ รวมทั้งสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และวัฒนธรรมของบ้านเมืองที่มีความสัมพันธ์กับธรรมชาติไม่แออัดยัดเยียด แวดล้อมไปด้วยโครงสร้างสถาปัตยกรรมบ้านเมืองที่ใหญ่โตสูงใหญ่ ต่างจากสภาพแวดล้อมที่เป็นของประดิษฐ์ [Artificial Environment] ดั่งเช่นในสังคมไทย ประเทศแห่งความสุขมวลรวมประชาชาติ [GNH] ภูฏาน ภาพโดยศรัณย์ บุญประเสริฐ ด้วยความประทับใจในสิ่งที่เห็นในสังคมภูฏาน ทำให้พวกปัญญาชนเหล่านั้นเสนอความคิดในเรื่อง “ความสุขมวลรวมของประชาชาติ” ในทำนองวาทกรรมกับความสุขที่ได้จากการมีรายได้ต่อหัวของประชาชาติ ที่แทบทุกสังคมวัตถุนิยมทั้งไทยและเทศให้เป็นเครื่องมือในการกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจและการดำเนินการให้เป็นจริง ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับความคิดในเรื่องความสุขมวลรวมของประชาชาติของบรรดาผู้นำทางปัญญาของชาติเหล่านั้น แต่นึกไม่ออกว่ามี “รูปธรรม”​ อย่างไร เพราะเหตุผลและความคิดที่เสนอมานั้นดูเป็นนามธรรมจนเกินไป ตราบจนได้มีโอกาสได้ไปภูฏานกับเขาบ้าง มีโอกาสได้เห็นทั้งภูมิวัฒนธรรม นิเวศวัฒนธรรม และชีวิตวัฒนธรรมของคนภูฏานในหลายท้องถิ่นของประเทศ ก็ทำให้เกิดความเข้าใจตามประสาของข้าพเจ้าที่เล่าเรียนมาทางมานุษยวิทยาและโบราณคดีว่า คนภูฏานอยู่กันเป็นชุมชน บ้านเมือง และนครแบบก่อน ๆ มีชีวิตอยู่ในที่ราบลุ่มในหุบเขาสูงต่ำมากมายในโลกของหิมาลัยที่ครึ่งปีจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ หุบเขาแต่ละแห่งเป็นป่าเขาที่เรียกว่า หิมพานต์ ตามชื่อในวรรณคดีโบราณของไทย เพราะมีทั้งสัตว์และพืชพรรณนานาชนิดที่ดำรงอยู่ได้ทั้งฤดูหิมะตกและฤดูหิมะละลายที่มีหนองน้ำ ลำรางหล่อเลี้ยงให้ความชุ่มชื้น เท่าที่ได้เห็น สังคมภูฏานมีพื้นฐานเป็นสังคมชาวนาที่ผู้คนอยู่รวมกันเป็นชุมชนบ้านและเมืองอย่างติดที่ คือไม่เคลื่อนย้ายหรือโยกถิ่นฐานจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งบ่อย ๆ พึ่งพิงธรรมชาติและสภาพแวดล้อมร่วมกันในลักษณะเศรษฐกิจพอเพียง ส่วนผู้ที่ประกอบการทางธุรกิจและการผลิตแบบเป็นเจ้าของกิจการมีไม่กี่แห่ง ความเป็นอยู่ไม่แออัดมีพื้นที่ว่างธรรมชาติระหว่างชุมชนในท้องถิ่นหนึ่งไปอีกถิ่นหนึ่ง เส้นทางคมนาคมเป็นถนนที่ยังไม่ใหญ่เป็นถนนหลวงที่ทำให้การติดต่อทางเศรษฐกิจและสังคมระหว่างกันง่ายและรวดเร็ว โดยเฉพาะเส้นทางลงห้วยและข้ามเขาระหว่างหุบต่อหุบที่แคบขนานด้วยเหวลึกดูหวาดเสียวสำหรับคนภายนอกที่เข้ามาท่องเที่ยว สถานที่บริการเช่น โรงแรม ร้านค้า ร้านอาหารและย่านตลาดไม่มีเพื่อสร้างความสะดวกสบายให้กับนักท่องเที่ยวที่มาจากที่ต่าง ๆ สิ่งที่โดดเด่นในภูฏาน คือ แม่น้ำลำคลอง ห้วยน้ำ และลำรางได้รับการรักษาให้สะอาด ไม่สกปรกทำลาย ลำน้ำลำห้วยแทบทุกแห่งของเส้นทางถนนระหว่างท้องถิ่นระหว่างเมืองที่ผ่านไป ได้รับการรักษาให้สะอาดเพื่อการดื่มกินและอุปโภคของคนในและนอกท้องถิ่น โดยเหตุที่อยู่ในที่สูงสังคมภูฏานเป็นสังคมแล้งน้ำโดยธรรมชาติ ที่มีการจัดการน้ำโดยแต่ละท้องถิ่น โดยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีอำนาจควบคุม ซึ่งเป็นได้จากการมีศาสนสถานทางพุทธมหายานสร้างขึ้นให้ผู้คนที่เดินทางไปมาได้ใช้น้ำและทำพิธีกรรมขอพร ขอความร่มเย็นเป็นสุขและปลอดภัย ชาวภูฏานที่ชีวิตจดจ่ออยู่กับการท่องบ่นคาถาและใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย อาคารดังกล่าวนี้จะมีระฆังขนาดใหญ่ที่มีภาพสัญลักษณ์และคาถาให้คนมาไหว้ได้หมุนรอบและพร่ำขอพรด้วยคาถา “โอม มณี ปัทเม หุม” อันเป็นคาถาสำคัญที่คนภูฏานทุกรุ่นทุกเพศทุกวัยท่องบ่น และมีการจารึกไว้ตามสถูปตามข้างทาง ที่มีตุงผ้าหลากสีขนาดใหญ่น้อยประดับที่มีคาถาเขียนไว้ให้สวดและอธิษฐาน [Prayer flags] สำหรับธงสวดเหล่านี้ต่างเรียงรายอยู่ตามเส้นทางเป็นที่ ๆ ไป เป็นการเตือนสติให้คนรู้สึกถึงการท่องบ่นตลอดเวลาถึงความเป็นมนุษย์ที่มีความพอเพียง ไม่โลภไม่หลง และเชื่อมั่นในความสุขของการหลุดพ้น การสวดคาถา “โอม มณี ปัทเม หุม” นี้เกือบแทบทุกขณะจิตที่มีช่องว่าง แม้แต่ในย่านตลาดและร้านขายของ ผู้ที่เป็นแม่ค้าหรือพ่อค้ามักมีล้อสวด [Prayer’s wheel] ขนาดเล็กอยู่ใกล้ ๆ ใช้แกว่งอยู่บ่อย ๆ ในขณะขายของ เพื่อเตือนสติให้กลับไปอยู่กับความเป็นมนุษย์ที่มีความพอเพียง พุทธศาสนามหายานลัทธิตันตระที่เรียกว่า “วัชระยาน” นั้น คือวิถีชีวิตของคนภูฏาน กิจกรรมต่าง ๆ ทางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมือง ล้วนมีความเชื่อทางศาสนารวมอยู่ด้วยในลักษณะองค์รวม วัดและศาสนสถานมีมากมายหลายระดับ แม้แต่อาคารและสถานที่ในการปกครอง เช่น พระราชวังของกษัตริย์เจ้านายและที่ทำการในการปกครองที่เรียกว่า “ซัง” ก็ล้วนมีอิทธิพลของศาสนารวมอยู่ด้วย ซึ่งในด้านสถาปัตยกรรม ผังเมือง และบ้านที่อยู่อาศัย แม้จะได้รับอิทธิพลจากทางตะวันตกและจากอินเดีย ธิเบต ก็หาได้รับมาทั้งดุ้นไม่ หากปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นภูฏานไปทั้งรูปแบบ การตกแต่ง และสัญลักษณ์ [Localization of foreign elements] ในขณะที่อยู่ภูฏาน ข้าพเจ้าแทบไม่เห็นคนภูฏานแสดงอาการลิงโลด เอาอกเอาใจคนต่างชาติ แต่ดูพอใจอย่างมีความสุขกับการเป็นคนภูฏานจนข้าพเจ้ารู้สึกอิจฉา สิ่งที่โดดเด่นที่ทำให้แลเห็นความภูมิใจในตนเองก็คือ รูปแบบของศิลปวัฒนธรรมของคนภูฏานที่ให้ความสำคัญกับสัญลักษณ์เรื่องเพศอย่างมากมาย จนเป็นอัตลักษณ์อย่างหนึ่งทางวัฒนธรรมก็ว่าได้ โดยเฉพาะการระบายสีและวาดสัญลักษณ์ทางเพศประดับบ้านที่อยู่อาศัยและสถานที่สำคัญในชุมชน แม้กระทั่งภาพวาดใน ส.ค.ส. ก็ยังมีประจำทุกปี คนภูฏานทั่วไปตามท้องถิ่นในชนบทและในเมืองไม่ใคร่มีแหล่งสันทนาการมากมายเช่นในประเทศอื่น ๆ ที่สร้างขึ้นมากมายหลายประเภทเพื่อการประโลมโลกและความทันสมัย หากยังใช้วัดและสถานที่ทางศาสนาในยามมีประเพณีพิธีกรรมในรอบปีอื่น ๆ เป็นที่หย่อนใจ สนุกสนาน มีการมหรสพรวมไปกับการประเพณีพิธีกรรม ซึ่งก็เหมือนกันกับผู้คนในสังคมไทยก่อนสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนและบ้านเมืองที่มีศาสนาและเรื่องทางจิตวิญญาณเป็นตัวนำดังกล่าวนี้คือที่มาของความสุขมวลรวมประชาชาติ [GNH] ความสุขมวลรวมประชาชาติดังกล่าวนี้ สังคมไทยเคยมีมาแล้วในอดีตแต่ครั้งรัชกาลที่ ๓ ลงมาจนถึงสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ และยังดำรงอยู่เรื่อยมาจน พ.ศ. ๒๕๐๐ ในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี อันเป็นยุคที่เสริมสร้างงานทางศิลปวัฒนธรรมระดับชาติมาก จนถึงมีการตั้งกระทรวงวัฒนธรรมขึ้นมาดูแลและจัดการกิจกรรมทางด้านศิลปวัฒนธรรม สังคมไทยทั่วไปยังเป็นสังคมกสิกรรมที่ต่อยอดมาจากพื้นฐานของสังคมชาวนา ประชาชนมีราว ๑๗-๑๘ ล้านคน ยังอยู่กินแบบเป็นบ้านเมืองท้องถิ่นที่มีสภาพแวดล้อมธรรมชาติ แต่ละท้องถิ่นมีระยะห่างกันจนแลเห็นทั้งความหลากหลายทางวัฒนธรรมโดยเฉพาะอัตลักษณ์วัฒนธรรมของแต่ละถิ่น ที่สำคัญคนส่วนใหญ่ไม่เดือดร้อนในเรื่องอาหารการกิน ที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน วัดยังดำรงอยู่ในฐานะเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและประเพณีวัฒนธรรม คงเป็นเช่นนี้กระมังที่รัฐบาลคิดเรื่องวัฒนธรรมเป็นแต่ศิลปวัฒนธรรม จึงได้ตั้งกระทรวงวัฒนธรรมขึ้นมา ครั้นสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ บ้านเมืองเปลี่ยน สังคมเปลี่ยนจากเกษตรกรรมมาเป็นอุตสาหกรรม ท้องถิ่นต่าง ๆ ถูกเชื่อมโยงกันด้วยกระบวนการอุตสาหกรรม [Industrialization] และการทำให้เป็นเมือง [Urbanization] ที่มีการเคลื่อนย้ายผู้คนไปตั้งถิ่นฐาน ไปเป็นแรงงาน เกิดเมืองและย่านที่อยู่อาศัยที่มีผู้คนอยู่กันหลายพวกเหล่า ที่เน้นแต่เรื่องการทำมาหากินและการหาความสุขทางวัตถุเฉพาะตนและกลุ่มเหล่า ส่วนการพัฒนาบ้านเมืองทางเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาลก็มีแต่มิติเศรษฐกิจการเมือง มากกว่ามิติทางสังคมวัฒนธรรมและความเป็นมนุษย์ ขาดมิติทางจิตวิญญาณและความเชื่อทางศาสนาอันเป็นเหตุให้เกิดแปรปรวนขึ้นในระบบศีลธรรม จริยธรรม และคุณธรรมทางสังคมของบ้านเมือง รัฐไม่สนใจเรื่องศีลธรรมและความมั่นคง ความสุขทางจิตใจ มุ่งทำอยู่แต่การให้ความสุขทางวัตถุ ในทางปัจเจกแก่ผู้คนแต่เพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะการมีรายได้ต่อหัวของประชาชาติ [GDP] ซึ่งก็มักสะท้อนออกมาให้เห็นจากการกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจในเรื่องการผลิตและส่งออกแทบทุกรัฐบาล การทำกสิกรรมที่สืบเนื่องมาจากการเป็นสังคมชาวนากำลังถูกแทนที่ด้วยเกษตรอุตสาหกรรมในประเทศของเรา ผลที่ตามมาในทุกวันนี้ก็คือ ที่ไหนเป็นเมืองใหญ่ อำเภอ และตำบลใหญ่ ๆ ที่เป็นแหล่งอุตสาหกรรมและเกษตรอุตสาหกรรม คนอยู่กันอย่างแออัดแทบไม่มีร่องรอยของชุมชนบ้าน [Village] และเมือง [Small town] แบบที่เคยมีอีกเลย ทั้งยังถูกคุกคามด้วยการไล่รื้อชุมชนเก่าเพื่อสร้างบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมขึ้นมาแทนที่ จนไม่สามารถบูรณาการให้เป็นชุมชนมนุษย์ได้ ความต้องการของชุมชนโดยเฉพาะนายทุน ข้าราชการ และชนชั้นแรงงานที่โยกย้ายถิ่นฐาน ดูไม่สนใจกับชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายเข้ากับธรรมชาติที่ระคนด้วยความสุขสงบทางจิตใจและจิตวิญญาณ กลับเห็นแต่การทำงานเพื่อเงิน เพื่อรายได้ เพื่อนำไปหาความสุขทางวัตถุเฉพาะตน เฉพาะครอบครัวและพวกพ้อง แตกแยกและแย่งผลประโยชน์จากฐานทรัพยากร แยกออกเป็นหลายก๊กหลายเหล่า [Factions] การแตกแยกและความขัดแย้งเพื่อผลประโยชน์ดังกล่าวนี้ ทำให้ไม่สามารถสร้างกลไกใด ๆ เพื่อการบูรณาการทางสังคมและวัฒนธรรมให้ผู้คนในชุมชนเกิดสำนึกร่วม [Sense of belonging] ถึงการเป็นกลุ่มคนพวกเดียวกันในชุมชนได้ ในทุกวันนี้ กระบวนการทำบ้านให้เป็นเมือง [Urbanization] และชนบทให้เป็นบ้านและนิคมอุตสาหกรรม [Industrialization] ได้แผ่ขยายกระจายไปแทบทุกท้องถิ่นในทุกภูมิภาค เกิดพื้นที่อยู่อาศัยและแหล่งทำกินใหม่ที่ไม่เป็นชุมชน [Community] ไปทั่วราชอาณาจักร ทำให้สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและวัฒนธรรมที่เคยดำรงอยู่อย่างมีดุลยภาพในสังคมเกษตรกรรมแบบเดิม คือ การล่มสลาย การรุกล้ำของแหล่งอุตสาหกรรม การสร้างพลังงานเพื่อการอุตสาหกรรม เช่น เขื่อนพลังงานไฟฟ้าและเขื่อนชลประทานเพื่อการเกษตรอุตสาหกรรม รวมทั้งการสร้างถนนหนทางเพื่อการคมนาคมขนส่ง คือ เหตุใหญ่ที่ทำลายสภาพแวดล้อมและภูมิวัฒนธรรม [Cultural landscape] ของบ้านเมืองที่เคยมีมาในอดีตให้เสื่อมหาย และเป็นเหตุให้เกิดภัยพิบัตินานาชนิดขึ้นในทุกวันนี้ ในทุกมิติ เช่น อากาศเสีย น้ำสกปรกเป็นพิษ เกิดอุทกภัยที่ไม่อาจคาดฝันหรือจัดการได้ และการล่มสลายของชุมชน โดยเฉพาะการล่มสลายของชุมชนนั้น เห็นชัดจากการรุกล้ำของการใช้ที่ดินสร้างบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม ทับลงไปในพื้นที่ชุมชนเดิม เกิดการเพิ่มของคนกลุ่มใหม่ที่เข้ามาอยู่อาศัยโดยที่ชุมชนเดิมไม่สามารถบูรณาการให้เกิดความสัมพันธ์ทางสังคม จนเกิดสำนึกร่วมของการเป็นคนในชุมชนเดียวกันได้ ผู้นำของชุมชนและคนสำคัญ เช่น ผู้ใหญ่บ้านที่มีการเลือกตั้งจากคนในชุมชน ผู้อาวุโส พระสงฆ์ผู้ใหญ่ที่เป็นพระอุปัชฌา เจ้าอาวาส แม้กระทั่งคนที่เป็นผู้มีอิทธิพลที่เรียกว่า นักเลงโต [Big man] ที่มีความรักท้องถิ่นก็ถูกแทนที่โดยคนที่มาจากภายนอก หรือเป็น “คนนอก” ไปเกือบหมด คนเหล่านี้ได้โอกาสจากกฎหมายของบ้านเมืองในรัฐรวมศูนย์ที่ได้รับการแต่งตั้งจากส่วนกลาง และจากการเลือกตั้งแบบซื้อเสียงขายเสียงเข้ามาดำรงตำแหน่ง และบริหารการปกครองเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากสภาวะการตามไม่ทันของคนในท้องถิ่น [Culture lag] เข้ามาแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์ ดังเช่นผู้ที่เป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และ เจ้าหน้าที่อบต. ที่ได้รับอำนาจการบริหารจัดการมาจากรัฐในส่วนกลาง ทำให้เกิดกลุ่มนายทุนทั้งในชาติและต่างชาติเข้ามายึดครองที่ดินและทรัพยากรท้องถิ่น โดยผ่านการรับรู้และช่วยเหลือของผู้ที่เป็นคนบริหารท้องถิ่นที่รับอำนาจจากรัฐ ไม่ว่าจะเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. หรือ อบจ. เป็นต้น ในลักษณะนี้การเติบโตแบบทำลายจากนิเวศการเมืองเศรษฐกิจที่มาจากรัฐและจากกระแสโลกาภิวัตน์ กำลังคุกคามทำลายร้างภูมินิเวศทางสังคมและวัฒนธรรมของผู้คนตามชุมชนที่มีมาแต่เดิมอย่างน่ากลัวและรุนแรง การเพิ่มพลังงานเพื่อการอุตสาหกรรมในเศรษฐกิจแบบส่งออก การสนับสนุนการท่องเที่ยวแบบดูแต่ตัวเลขจากรายได้ล้วนมีประโยชน์แก่บรรดานายทุนทั้งในประเทศและนอกประเทศเพื่อเพิ่มรายได้ต่อหัว [GDP] รวมทั้งการขยายพื้นที่เกษตรอุตสาหกรรมที่ทำให้คนท้องถิ่นที่มีอาชีพทางเกษตรกรรมจำนวน ๙๐ เปอร์เซนต์ มีที่ดินให้ทำกินเพียง ๑๐ เปอร์เซนต์ เท่านั้น ความวิบัติกำลังมาเยือนสังคมไทยทั้งประเทศ ปรากฏการณ์ของความรุนแรงในหลาย ๆ พื้นที่ของประเทศ โดยเฉพาะในสังคมเมือง ไม่ว่าเป็นเมืองใหญ่และเมืองเล็ก ล้วนมีที่มาจากความล่มสลายทางศีลธรรมและจริยธรรมของบรรดานักการเมือง ข้าราชการ นักวิชาการ และบรรดานายทุนทั้งสิ้น และเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งปรากฏการณ์ของการใช้อาวุธสงคราม ไม่ว่าจะเป็นปืนและระเบิดทำลายชีวิตผู้คนอย่างขาดความเป็นมนุษย์ [Dehumanization] ปรากฏการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นนี้ ในความคิดและประสบการณ์ของข้าพเจ้าเชื่อว่าคนในรัฐบาล นายทุน และนักวิชาการผู้มีหน้าที่เกี่ยวกับความมั่นคงทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ไม่เคยมีความสำนึก ดังเห็นจากแทบทุกภาคส่วนยังคงให้ความสำคัญกับนโยบายเศรษฐกิจเพื่อการส่งออกเพื่อเพิ่ม GDP อยู่นั่นเอง ดังเช่นการเปลี่ยนแปลงรองนายกรัฐมนตรีและเจ้ากระทรวง ทบวง กรม ที่มีหน้าที่ทางเศรษฐกิจจากคนเดิม กลุ่มเดิมมาเป็นกลุ่มใหม่ ช่างดูไม่มีอะไรต่างกัน เพราะทั้งคนใหม่และคนเก่าก็ยังยึดถือในเรื่องของ GDP ที่จะมาจากการส่งออกอยู่นั่นเอง นี่คือจุดอ่อนที่สุดของรัฐบาลชุดนี้ที่ข้าพเจ้าให้ความนิยมชมชอบมากกว่ารัฐบาลใด ๆ ที่แล้วมาทั้งในอดีต และปัจจุบัน รัฐบาลเผด็จการ คสช. ทำดีแล้ว ชอบแล้ว ในเรื่องยกเลิกรัฐบาลประชาธิปไตยทุนนิยมที่เป็นขี้ข้าอเมริกาและตะวันตก ได้คืนความสงบสุขและผาสุกแก่คนส่วนใหญ่ที่เป็นรากหญ้าของประเทศ ด้วยการปราบปรามคนรุนแรง ไร้ศีลธรรม และปราบปรามคนคอรัปชั่นโกงกินประเทศให้ถึงที่สุด บ้านเมืองจะดีได้ก็เพราะสิ่งเช่นนี้คือพื้นฐาน แต่ไม่ควรจะให้ความสนใจกับสภาวะทางเศรษฐกิจที่มีผู้ประสงค์ดี และประสงค์ร้ายที่ออกมาตำหนิว่า เป็นสิ่งที่ทำให้บ้านเมืองเดือดร้อน ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าเดือดร้อนอยู่ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ทั้งนักการเมือง นายทุน และนักวิชาการที่ตามกระแสโลกาภิวัตน์ที่เน้นแต่การส่งออกและ GDP คนเหล่านี้คือคนส่วนบน แต่ไม่เคยเข้าใจในชีวิตวัฒนธรรมของคนส่วนล่างตามท้องถิ่นแม้แต่น้อย การกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจจากจากข้างบนและจากภายนอกในกระแสโลกาภิวัตน์เพื่อ GDP นั่นคือความฉิบหายขายตัวในระยะยาว แต่ในประสบการณ์ของข้าพเจ้าที่ทำงานทางสังคมวัฒนธรรมท้องถิ่นกับบรรดาผู้คนในชุมชนข้างล่าง กลับได้เห็นและสัมผัสว่า ท่ามกลางการคุกคามของทุนนิยมที่มาจากโลกาภิวัตน์นั้น คนรากหญ้าในชุมชนท้องถิ่นที่มีมาแต่เดิม กลับมีชีวิตที่พอเพียงเหมาะสมกับอัตภาพ ที่ไม่ต้องขวนขวายทำงานเพื่อหาเงินอย่างตัวเป็นเกลียวเพื่อให้มี GDP เพิ่ม จนไม่มีเวลาผ่อนคลาย แต่มี GNH แทน อันเป็นความสุขมวลรวมของผู้คนในชุมชนที่สะท้อนให้เห็นจากชีวิตความเป็นอยู่ในครัวเรือนที่มีคนอย่างน้อยสามรุ่นอยู่ด้วยกัน คือ ปู่ย่าตายาย พ่อแม่ ลูก และหลาน โดยเฉพาะในเวลาไปวัดทำบุญไหว้พระ หรือไหว้ศาลเจ้า ศาลผี มีงานเลี้ยงฉลองจะพากันเดินจูงกันไปทั้งครอบครัว ต่างคนต่างพาครอบครัวไปทำบุญ ไปกินเลี้ยงในงานประเพณี พิธีกรรม ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาของความผ่อนคลาย และความสุขตามกาลเทศะในชีวิตร่วมกันในชุมชน สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยสูญหายไปจากการมีชีวิตร่วมกันของคนในชุมชนก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับความเชื่อ และอำนาจนอกเหนือธรรมชาติ ที่สะท้อนให้เห็นถึงการมีอยู่อย่างสืบเนื่องของวัดและศาลผี เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดไม่ได้ในแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่ เช่น คอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร และอพาร์ทเม้นท์ อย่างไรก็ตาม ในระหว่างวัดกับศาลผีในโลกของวัตถุนิยมปัจจุบัน วัดมีอาการและสภาพเปลี่ยนไปเป็นอันมาก อันเนื่องจากพระสงฆ์ที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป พระชั้นผู้ใหญ่และผู้น้อยมีพฤติกรรมเป็นอลัชชี อาศัยความเป็นพระในคราบผ้าเหลือง ไม่ยึดมั่นในการปฏิบัติธรรม ออกไปท่องเที่ยวมั่วสีกา เสพเมถุน ขายเครื่องรางของขลัง โดยเฉพาะพระที่มีบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าอาวาสวัดใหญ่ ๆ ที่มีข่าวในขณะนี้ รื้อโบราณสถาน ไล่รื้อบ้านเรือนของผู้คนในชุมชนที่อยู่กับวัดมาเป็นเวลาร้อย ๆ ปี งานเลี้ยงผีประจำปี การแสดงขับลำที่ศาลเจ้าพ่อศรีนครเตา อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม อันเป็นเพราะรัฐฆารวาสและรัฐสงฆ์ได้ให้อำนาจกฎหมายแก่พระเทวทัตเหล่านั้น ปฏิบัติการรื้อชุมชนเอาที่ไปขาย หรือไปให้นายทุนก่อสร้างสถานที่ทางธุรกิจและอาคารพานิชยสถาน เท่าที่ข้าพเจ้าไปสัมผัสมาพบว่า คนไทยที่เป็นชาวบ้านเป็นปัญญาชน ผู้มีความสุขมวลชนนั้น มีแนวโน้มที่จะนับถือพระพุทธศาสนาแค่เพียงพระพุทธ พระธรรมเท่านั้น พระสงฆ์หายไปมาก แต่มีการกราบไหว้นับถือที่เป็นที่พึ่งทางจิตใจและสมานความสัมพันธ์ทางสังคมของคนในชุมชนแทน “ผี” ดูพึ่งได้ในโลกนี้ แต่พุทธเป็นเรื่องของตามบุญตามกรรมในโลกหน้า ชีวิตในชุมชน ถ้าหากขาดพระพุทธ พระธรรม และผีแล้ว คงหาความสุขมวลรวมได้ยาก ทุกวันนี้ที่ใดมีวัดที่เป็นศูนย์กลางของชุมชน มีชื่อวัดและบ้านเป็นชื่อเดียวกันเท่านั้น แต่วัดไหนที่กลายเป็นวัดใหญ่โตสร้างด้วยอิฐด้วยหินในรูปแบบสถาปัตยกรรมที่อลังการเกินฐานะของผู้คนในชุมชนแล้ว ก็มีอคติไว้ก่อนได้เลยว่า วัดนั้นไม่เป็นวัดของชุมชน หากเป็นอาศรมของพระดัง ๆ ที่มีนายทุนและผู้ที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจการเมืองมาช่วยสร้างและสนับสนุน ต่างกับศาลผีที่ดำรงอยู่กับชาวบ้านชาวเมืองอย่างยั่งยืน ในที่สุดก็อยากแสดงความเห็นว่า GDP นั้น เป็นเรื่องของปัจเจก โดยเฉพาะในหมู่คนที่เน้นวัตถุมากกว่าความสุขทางจิตวิญญาณ ในขณะที่ GNH คือความสุขมวลรวมของคนในชุมชนที่สืบมาแต่สังคมชาวนา อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • การขายวัฒนธรรมเพื่อการท่องเที่ยว คือ การขายความเป็นมนุษย์

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ต.ค. 2558 สมัยยังรับราชการอยู่ ข้าพเจ้ามีโอกาสเข้าไปสัมพันธ์กับองค์การยูเนสโกในเรื่องการจัดการทางวัฒนธรรม ตั้งแต่สมัยการจัดตั้งอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยกว่ายี่สิบปีมาแล้ว องค์การยูเนสโกได้ส่งนักวิชาการทางด้านพัฒนาศิลปวัฒนธรรมจากชาติต่าง ๆ ให้เข้ามาดูงานและร่วมงานที่ดูเหมือนจะหักเหไปจากการสร้างแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมให้เป็นมรดกโลกเพื่อการเรียนรู้ ที่จะนำไปสู่การเข้าใจในความเป็นมนุษย์ที่จะต้องอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขในโลก มาเป็นเพื่อการจัดการแหล่งมรดกโลกเพื่อการท่องเที่ยว ดังแลเห็นกันอยู่ในทุกวันนี้ เมืองหลวงพระบางที่กลายเป็นเมืองมรดกโลก ข้าพเจ้าได้พบปะกับนักวิชาการชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งที่เป็นตัวแทนองค์การยูเนสโกเข้ามาทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของโครงการอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย คน ๆ นี้พยายามจะเสนอให้มีการจัดระเบียบแบบแผนอุทยานเพื่อการท่องเที่ยวให้คล้ายกันกับเมืองโบราณในเม็กซิโก ทำให้นักวิชาการกรมศิลปากรคล้อยตามด้วยพักหนึ่ง แต่แล้วก็เลิกล้มไป แต่สิ่งที่กินใจข้าพเจ้ามาจนทุกวันนี้คือ การมองแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมและประเพณีวัฒนธรรมว่าเป็น “ ทุนวัฒนธรรม ” ซึ่งมุ่งให้เกิดรายได้จากการท่องเที่ยว โดยใช้วัฒนธรรมเป็นทุน คำศัพท์ใหม่ที่มองวัฒนธรรมเป็นเรื่องเศรษฐกิจนี้ ติดตามมาด้วยทรัพยากรมนุษย์ที่เห็นชีวิตมนุษย์เป็นแรงงานทางเศรษฐกิจ เฉกเช่น ช้าง ม้า วัว ควาย และเครื่องจักรยนต์ ปัจจุบันทั้งคำว่า “ทุนทางวัฒนธรรม” และ “ทรัพยากรมนุษย์” นี้ใช้กันอย่างเกลื่อนกลาด พร้อมกันกับเกิดสถาบันการศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เรียนกันเป็นขั้นปริญญาตามมหาวิทยาลัย ข้าพเจ้าได้รับการศึกษาทางวิชามานุษยวิทยาสังคมแบบเก่า ๆ ที่เน้นแนวคิดและทฤษฎีทางวัฒนธรรมในเรื่องโครงสร้างและหน้าที่ [Structural / Functional] ที่มองโลกและมองมนุษย์ว่า เป็นสัตว์สังคมที่ต้องสร้างวัฒนธรรมขึ้นมาเพื่อการมีชีวิตรอดร่วมกัน วัฒนธรรมไม่ใช่เป็นทุนทางเศรษฐกิจและมนุษย์ก็หาใช่ทรัพยากรไม่ แต่เป็นจุลจักรวาล [Microscopic of universe] การศึกษาทางสังคมและวัฒนธรรมคือสิ่งที่ทำให้เกิดความเข้าใจในความเป็นมนุษย์เพื่อที่มนุษย์ทุกชาติทุกภาษาและเผ่าพันธุ์ในพื้นพิภพนี้ได้เข้าใจกันและอยู่ร่วมกันอย่างมีสันติสุข นักมานุษยวิทยาต้องศึกษาให้รู้จักคำว่าสังคมวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลง การเหมือนกัน และการแตกต่างทางสังคมวัฒนธรรม จึงจะเข้าใจในความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะวัฒนธรรมนั้นไม่อาจศึกษาในลักษณะลอยโดดโดยไม่เกี่ยวข้องกับสังคมได้ ต้องสัมพันธ์กับโครงสร้างสังคมอันเป็นบริบท [Social context] จึงจะแลเห็นความแตกต่างกันหรือคล้ายคลึงกันของความเป็นมนุษย์ได้ วัฒนธรรมที่คนที่อยู่ในสังคมสร้างขึ้นเพื่อการมีชีวิตรอดร่วมกันนั้นมีหน้าที่และความหมายสำคัญ ๆ ๔ อย่างคือ ๑. เพื่อการมีชีวิตรอดร่วมกัน [Survival] ๒. เพื่อการอบรม [Orientation] ๓. เพื่อการสื่อสารและการสังสรรค์ [Communication] ๔. เพื่อทางบูรณาการ [Integration] เพราะฉะนั้น ในการรับรู้ของนักมานุษยวิทยาและสังคมวิทยารุ่นก่อน ๆ วัฒนธรรมไม่เคยถูกมองว่าเป็นทุน คงมีแต่นักวิชาการมานุษยวิทยารุ่นใหม่ ๆ ที่เป็นพวกหลังสมัยใหม่เท่านั้นที่ไปผสมพันธุ์กับเศรษฐศาสตร์และอีกหลายศาสตร์ในยุคโลกาภิวัฒน์ที่เห็นว่าวัฒนธรรมเป็นทุน เพราะเมื่อเข้าใจและรับรู้ว่าเป็นทุน ก็สามารถนำไปเป็นต้นทุนในการผลิตเพื่อขายได้เลย สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลทุนนิยม เช่น ประเทศไทยที่หารายได้เข้าประเทศ ต้องการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่สนับสนุนการอนุรักษ์และพัฒนามรดกทางวัฒนธรรมเพื่อการค้าขาย ซึ่งในที่นี้ขอพูดย่อ ๆ ว่า วัฒนธรรมเพื่อขาย [Culture for sale] หรือการขายวัฒนธรรมนั่นเอง ดูสอดคล้องกันกับการพัฒนาแหล่งมรดกโลกให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวนานาชาติขององค์การยูเนสโก ด้วยการสนับสนุนขององค์การยูเนสโกที่กำหนดให้คณะกรรมการมรดกโลกดำเนินการช่วยเหลือในการอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งมรดกโลกในที่ต่าง ๆ ทั่วโลก โดยมีเป้าหมายเพื่อการท่องเที่ยวมากกว่าการเรียนรู้ ทำให้เกิดแหล่งมรดกโลกที่รับรองโดยองค์การยูเนสโกขึ้นแทบทุกประเทศที่ขานรับการท่องเที่ยวเพื่อให้มีรายได้เข้าประเทศ เพิ่มรายได้ต่อหัว [GDP)] ให้แก่ประชาชน ผลที่ตามมาก็คือ การขายวัฒนธรรมเกิดขึ้นที่มีอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยเป็นแหล่งมรดกโลกเพื่อขายเกิดขึ้นมาเป็นแห่งแรก แล้วต่อมาก็เป็นหลวงพระบางที่ประเทศลาว เมืองฮอยอันในประเทศเวียดนาม ทำให้เกิดความกำหนัดเกิดขึ้นกับรัฐบาลและหน่วยงานทางวัฒนธรรมของบ้านเมืองที่ต่างก็เสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นและของจังหวัดให้เป็นมรดกโลกกับเขาบ้าง แหล่งมรดกโลกเพื่อขายที่แสดงให้เห็นถึงความชั่วร้ายขององค์การยูเนสโกที่ต้องนำมาเสนอให้เห็นเป็นอุทาหรณ์ในที่นี้ก็คือ “ หลวงพระบาง ” และ “ ปราสาทพระวิหาร ” หลวงพระบางคือผลของความชั่วร้ายที่สำเร็จแล้วและกระทำแล้วในขณะที่ปราสาทพระวิหารยังไม่สำเร็จดี ภูโลง สัญลักษณ์ที่บอกเล่าตำนานบ้านเมืองในภูมิวัฒนธรรมของหลวงพระบางและบ้านเมืองในเขตแม่น้ำโขงภายใน ความชั่วที่ทำให้สำเร็จแล้วด้วยดี เช่น หลวงพระบาง สุโขทัย และแหล่งอื่น ๆ เช่น อยุธยา และอีกหลายแห่งที่ตามมาก็คือ สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและประวัติศาสตร์ของแหล่งวัฒนธรรมที่มาแต่เดิมถูกปรับเปลี่ยนด้วยแผนผังบริเวณใหม่ให้มีถนนหนทางและโครงสร้างทางกายภาพ เช่น ร้านค้า ภัตตาคาร โรงแรม รีสอร์ท แหล่งสันทนาการเข้ามาจัดตั้ง เกิดย่านตลาดนานาชาติเข้ามาแทนที่ อาคารบ้านเรือน แหล่งศักดิ์สิทธิ์ของบ้านเมืองแต่ก่อน ช่นหลวงพระบางที่มีแต่เปลือก คือมีการอนุรักษ์อาคารต่าง ๆ ในรูปแบบของเดิม แต่ผู้คนในสังคมที่เคยอยู่อาศัยเป็นชาวบ้านชาวเมืองแทบไม่เหลืออยู่ ต่างให้เช่าที่หรือขายที่ขายบ้านเรือนให้กับพ่อค้านานาชาติเข้าไปตั้งหลักแหล่งค้าขาย ในขณะที่ครอบครัวของคนหลวงพระบางย้ายออกไปอยู่ที่อื่น ทุกวันนี้ทั้งหลวงพระบางและฮอยอันคือตลาดค้าขายนานาชาติ ส่วนปราสาทพระวิหารนั้นยังอยู่ในสถานที่เป็นแหล่งมรดกโลกขององค์การยูเนสโกที่ยังไม่สำเร็จสมบูรณ์ที่สร้างความขัดแย้งกันในเรื่องดินแดนระหว่างไทยและกัมพูชา จนทำให้เกิดการสู้รบล้มตายกันขึ้น ข้าพเจ้าเคยตั้งคำถามว่าถ้าหากความขัดแย้งในเรื่องดินแดนยุติลง และองค์กรมรดกโลกเข้ามากำหนดและจัดการมรดกโลก ปราสาทพระวิหารที่มีพื้นปริมณฑลทั้งในเขตแดนไทยและกัมพูชาแล้ว คนไทยและคนกัมพูชาจะได้ประโยชน์อันใดจากแหล่งมรดกโลกแห่งนี้ เพราะคำตอบที่เห็นอยู่รำไร ๆ ก็คือ แหล่งมรดกโลกจะกลายเป็นพื้นที่สัมปทานที่นายทุนคนต่างชาติจะแย่งแข่งขันกันเข้ามาจัดการท่องเที่ยว การค้าขายและบริการ เปลี่ยนแปลงโบราณสถานให้เป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่เหมือนจริง เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้ามาแสวงหาความเพลิดเพลินมากกว่าการเรียนรู้และรายได้ก็จะไปตกแก่นักการเมืองนายทุนผู้มีอำนาจทั้งข้างชาติและในชาติ ดังเช่นแหล่งมรดกโลกนครวัดนครธมในทุกวันนี้ นอกจากแหล่งโบราณคดีประวัติศาสตร์ที่เป็นมรดกโลกเพื่อขายดังที่กล่าวมาแล้ว องค์กรมรดกโลกและองค์การยูเนสโกยังทำมากไปกว่านี้ด้วยการเสนอให้มีการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ [Intangible cultural heritage] เพื่อขายแนวคิดแนวทางและวิธีการให้กับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานทางวัฒนธรรมของหลาย ๆ ประเทศไปทั่ว ซึ่งรวมทั้งประเทศไทยด้วยโดยเฉพาะกระทรวงวัฒนธรรม ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร และมหาวิทยาลัยทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ทำให้เกิดการศึกษาวิจัยเพื่อการอนุรักษ์และการจดทะเบียนเพื่อป้องกันการลอกเลียนและการขโมยไปอ้างกรรมสิทธิ์ ทำให้มีการให้ทุนแก่นักวิชาการ นักวิจัย ทำการศึกษาไปทั่ว แต่เท่าที่ติดตามผลมาก็ยังไม่รู้ว่ามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้นั้นคืออะไรกันแน่ คนที่รับกรรมมากที่สุดคือ คนธรรมดาสามัญชนทั่วไปที่เมื่อแลเห็นผลการวิจัยเผยแพร่แล้วคืออะไร และมีความหมายความสำคัญแก่เขาเหล่านั้นอย่างไรบ้าง นับเป็นผลงานที่สื่อไม่ได้แก่คนธรรมดา นอกจากเก็บไว้ตามหลังสมุดและศูนย์วิจัยที่รอเวลาให้บรรดานักวิชาการ นักออกแบบ การทำกิจกรรมทางวัฒนธรรมเพื่อการท่องเที่ยวนำไปใช้เพื่อสร้างสิ่งใหม่ ๆ เพื่อการท่องเที่ยว ในความเข้าใจของข้าพเจ้า ความหมายของมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้นี้คือ ประเพณีวัฒนธรรม เช่นประเพณีเกี่ยวกับชีวิต ประเพณีสิบสองเดือน และประเพณีพิธีกรรมในเรื่องอื่น ๆ เพราะล้วนแล้วแต่เป็นกระบวนการในการกระทำและเห็นอะไรเป็นรูปธรรม เช่นสิ่งที่เป็นศิลปวัฒนธรรม อีกทั้งมีลักษณะเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงรูปแบบไปตามบริบททางสังคมของท้องถิ่น นั่นก็หมายความว่ามรดกทางวัฒนธรรมดังกล่าวนี้หาได้อยู่ลอย ๆ อย่างจับต้องไม่ได้ ตามคำนิยามขององค์การยูเนสโก บาปกรรมขององค์การยูเนสโกอยู่ในลักษณะที่ว่า ไม่พูดถึงบริบททางสังคม ซึ่งหมายความถึงชุมชนหรือสังคมที่เป็นเจ้าของวัฒนธรรมนั้น ในแนวคิดทางมานุษยวิทยานั้น อาจแลเห็นความหมายความสำคัญของวัฒนธรรมได้นั้น สิ่งที่เป็นวัฒนธรรมต้องมีบริบททางสังคมจึงจะเรียกว่าเป็นวัฒนธรรม เพราะวัฒนธรรมคือสิ่งที่มนุษย์ในสังคมสร้างขึ้นเพื่อดำรงชีวิตรอดร่วมกัน ผิดไปจากนี้แล้ววัฒนธรรมทั้งที่เป็นศิลปวัตถุและประเพณีวัฒนธรรมก็เป็นแต่เพียงสิ่งของหรือสินค้าเพื่อการแลกเปลี่ยนกลายเป็น “วัฒนธรรมเพื่อขาย” [Culture for sale] เท่านั้นเอง แต่ในกระแสของการท่องเที่ยวที่มีการขายประเพณีวัฒนธรรมตามท้องถิ่นต่างนั้น ในที่นี้ข้าพเจ้าจำต้องขยายความหมายถึงวัฒนธรรมและบริบททางสังคมเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจของคนทั่วไปนั้นคือ เพื่อทำให้เป็นรูปธรรมขึ้น คำว่า “สังคม” ในที่นี้ก็คือ “ชุมชน” [Community] นั่นเอง สังคมหมายถึงการอยู่รวมกันของกลุ่มชนอย่างมีโครงสร้าง แต่ชุมชนนั้นหมายถึงกลุ่มคนที่อยู่เป็นกลุ่มและมีโครงสร้างสัมพันธ์กับพื้นที่ [Space] และเวลา [Time] อย่างที่เรียกสั้น ๆ ตามสำนวนไทยว่า “กาละเทศะ” นั่นเอง เมื่อทำความเข้าใจในเรื่องนี้ได้ก็พอจะเห็นได้ว่า การเอาวัฒนธรรมลอย ๆ ไม่ว่าจะเป็นศิลปวัตถุหรือประเพณีวัฒนธรรมมาปรุงแต่งหรือสร้างสรรค์ [Creative economy] เพื่อการท่องเที่ยวอย่างที่ ททท. หรือทางจังหวัดและอำเภอตามการกำหนดของผู้มีอำนาจของบ้านเมืองนั้น คือการกระทำที่ขายวัฒนธรรม [Commodity action of cultural heritage] เมืองมรดกโลกที่กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ไร้การสืบทอดความหมายของบ้านเมืองแบบโบราณ การขายวัฒนธรรมของสังคมหรือชุมชน ก็คือการขายความเป็นมนุษย์กันเอง ในหลาย ๆ บทความของข้าพเจ้าที่ผ่านมา ได้กล่าวถึงบรรดาแหล่งมรดกโลกและแหล่งโบราณคดีประวัติศาสตร์หลายแห่งที่มีการพัฒนาขึ้นเพื่อขายศิลปวัฒนธรรมและประเพณีวัฒนธรรมให้แก่การท่องเที่ยว อย่างเช่นการจุดเทียนเผาไฟเพื่อลอยกระทงของอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยที่ผ่านมาไม่นานนี้ ที่เป็นการขายวัฒนธรรมก็เพราะ จากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์การลอยกระทงเป็นของชุมชนบ้านเมืองในลุ่มน้ำ เช่นอยุธยาและกรุงเทพฯ ที่พอเชื่อได้ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อเป็นงานนักขัตฤกษ์ให้แก่ผู้คนที่เป็นประชาชนได้รื่นเริงกัน “.....นักขัตฤกษ์ประชาราษฎร์สโมสร สว่างไสวไปทั่วทั้งพระนคร ทิฆัมพรแจ่มแจ้งแสงจันทร์เอย” แต่สุโขทัยก็ยังเปรียบไม่เท่ากับเทศกาลผีตาโขน อำเภอด่านซ้าย ของจังหวัดเลย ที่เปลี่ยนประเพณีศักดิ์สิทธิ์บุญพระเวสของคนในชุมชนและสังคม มาเป็นการเล่นแห่ผีตาโขนที่เป็นของอัปมงคลและสาธารณ์ที่ไม่เคยอยู่ในสารบบการมองโลกในความเป็นมนุษย์ของคนด่านซ้ายแต่ดั้งเดิม อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • ภาวะ “ล้มละลายความเป็นมนุษย์” ในสังคมไทย

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2559 ข้าพเจ้าเป็นนักมานุษยวิทยารุ่นเก่า การมองโลกแนวคิดทฤษฎีและวิธีการก็เป็นแบบรุ่นเก่า ต่างไปจากรุ่นใหม่ที่เรียกว่ารุ่นหลังสมัยใหม่ [Post modern] เขตเทือกเขาและที่สูงในจังหวัดน่าน ที่ใช้ปลูกพืชแบบเกษตรอุตสาหกรรม เช่น ข้าวโพด ความมุ่งหมายของนักมานุษยวิทยาคือ การศึกษาให้เข้าใจถึงความเป็นมนุษย์ในฐานะที่เป็นสัตว์โลกชนิดหนึ่งที่มีวิวัฒนาการ [Evolution] แตกต่างไปจากสัตว์โลกอื่นที่เป็นเดรัจฉานอย่างไร โดยอาศัยวิชาที่เป็นสาขาคือ มานุษยวิทยากายภาพ [Physical Anthropology] และวิชาโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ [Prehistoric Archaeology] เป็นเครื่องมือศึกษาให้เห็นขั้นตอนของวิวัฒนาการ มานุษยวิทยากายภาพศึกษาให้เห็นวิวัฒนาการทางร่างกายและชีววิทยาที่ทำให้เห็นว่ามนุษย์คือสัตว์คล้ายลิงที่มีวิวัฒนาการเลยเส้นแบ่งของสัตว์เดรัจฉานมาเป็นสัตว์มนุษย์ [Homosapien Sapiens] ที่มีความสามารถในการเรียนรู้สื่อสารกันได้ด้านภาษาเชิงสัญลักษณ์ และเป็นสัตว์สังคม [Social animal] ชนิดหนึ่ง ในขณะที่วิชาโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ ศึกษามนุษย์ในฐานะเป็นสัตว์วัฒนธรรมที่เรียกว่า Tool maker คือสามารถคิดเครื่องมือเครื่องใช้ เช่น เครื่องมือหินเพื่อการดำรงชีวิตรอด สิ่งที่มนุษย์ในฐานะสัตว์สังคมที่ต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเหล่าคิดขึ้นเพื่อการมีชีวิตรอดร่วมกัน นั่นคือ วัฒนธรรม [Culture] วิชาโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์นับเนื่องเป็นสาขาหนึ่งของวิชามานุษยวิทยาวัฒนธรรม [Cultural Anthropology] ที่เน้นการศึกษาด้านวัฒนธรรมเป็นหลัก แต่วิชาที่ข้าพเจ้าได้รับการอบรมมาเป็นวิชามนุษย์วิทยาสังคม [Social Anthropology] เพราะฉะนั้นเวลาที่พูดถึงวัฒนธรรมในหนทางของข้าพเจ้าจึงต้องมองทั้งวัฒนธรรมและสังคมอย่างแยกกันออกไป เปรียบเสมือนเหรียญที่มีสองด้านในเหรียญเดียวกัน ถ้าหากวัฒนธรรมคือเนื้อหา สังคมก็คือบริบท [Social context] ยกตัวอย่างเช่นเรื่องประชาธิปไตยในประเทศไทยในขณะนี้ คนส่วนใหญ่สับสนระหว่างประชาธิปไตยลอย ๆ แบบอุดมคติ ว่าต้องเป็นเช่นนั้นเช่นนี้แล้วอ้างและเลียนแบบประชาธิปไตยแบบอเมริกามาเป็นสากล ในขณะที่ประชาธิปไตยในสังคมไทยที่อยู่ในบริบททางสังคมคือ ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หาใช่ประธานาธิบดีแบบอเมริกันเป็นประมุขไม่ เพราะมีรูปแบบและระบบทางสังคมเศรษฐกิจแตกต่างกัน ไม่ควรที่จะคิดค้นเองแบบลอย ๆ หรือที่เรียกว่า “มโน” แล้วมาวิวาทกันอย่างในปัจจุบัน วิชามานุษยวิทยาสังคมแบบเก่า ๆ ที่ข้าพเจ้าเล่าเรียนมานั้น เรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า สังคมวิทยาเปรียบเทียบ [Comparative Sociology] คือศึกษาเปรียบเทียบสังคมหนึ่งแตกต่างจากสังคมอื่น ๆ ในลักษณะเหมือนกัน คล้ายคลึงกัน หรือแตกต่างกันอย่างไร และมักเป็นการศึกษาสังคมขนาดเล็ก เช่น สังคมตามท้องถิ่นที่เป็นเผ่าพันธุ์ หรือสังคมแบบประเพณี และปล่อยให้เป็นเรื่องของนักสังคมวิทยาศึกษาสังคมเมืองหรือสังคมใหญ่ ๆ ที่มีความซับซ้อนแทน ในลักษณะที่เป็นอีกวิชาหนึ่งที่เป็นเอกเทศ สิ่งที่ข้าพเจ้าสนใจมากในเชิงวิวัฒนาการก็คือ ความเป็นมนุษย์และความล่มสลายทางสังคม วัฒนธรรมและความเป็นมนุษย์ ข้าพเจ้าได้รับการอบรมให้เห็นว่า มนุษย์นอกจากเป็นสัตว์สังคมที่ต้องอยู่รวมกันในครอบครัวและชุมชนแล้ว มนุษย์ยังเป็นสัตว์เศรษฐกิจ สัตว์การเมือง และสัตว์ศีลธรรม [Moral being] โดยเฉพาะความเป็นสัตว์ศีลธรรมนั้น ถ้าหมดไป ความล่มสลายของความเป็นมนุษย์ก็จะสิ้นสุดลง [Dehumanization] แต่การล่มสลายของความเป็นมนุษย์นั้นก็หาได้หมายถึงการล่มสลายของสังคมมนุษย์ไม่ เป็นแต่เพียงปรากฏการณ์ของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมในเวลาและพื้นที่หนึ่ง ๆ เช่นนั้น เช่นสังคมบุพกาลในสมัยแรก ๆ เป็นสังคมแบบเผ่าพันธุ์ [Tribal society] ที่คนมารวมกลุ่มกันด้วยความสัมพันธ์ทางเครือญาติจากสายเลือดและการแต่งงานของคนที่เป็นชาติพันธุ์เดียวกัน มาเป็นสังคมชาวนา [Peasant society] ที่ผู้คนหลายชาติพันธุ์ หลายภาษา และเครือญาติเข้ามาอยู่รวมกันในพื้นที่เดียวกัน ทำให้เกิดความใกล้ชิดและความรู้สึกนึกคิดเป็นคนที่เกิดในพื้นที่หรือบ้านเกิดเดียวกัน “สังคมชาวนา” [Peasant society] แตกต่างไปจาก “สังคมเผ่าพันธุ์” [Tribal society] ในแง่ที่เป็น “ส่วนหนึ่งของสังคมใหญ่” [Part society] คือเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเมือง รัฐ และในที่สุดก็ประเทศชาติ ที่มีวัฒนธรรมสองระดับ คือ “ประเพณีหลวง” ของสังคมเมืองหรือรัฐอันเป็นส่วนรวมกับ “ประเพณีราษฎร์” ในระดับท้องถิ่น “ประเพณีหลวง” เป็นวัฒนธรรมของคนในสังคมเมื่อทำหน้าที่บูรณาการให้ “ประเพณีราษฎร์” ที่มีความแตกต่างและหลากหลายในท้องถิ่นเกิดสำนึกเป็นผู้คนในสังคมของแผ่นดินหรือชาติเดียวกัน การเกิดขึ้นของการศึกษาวิชามานุษยวิทยาของนักมานุษยวิทยารุ่นเก่าส่วนหนึ่งนั้น ต้องการศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของความเป็นมนุษย์ที่รวมกันกลุ่มเป็นพวกเดียวกัน ว่าเปลี่ยนแปลงไปในทางราบรื่นในครรลองของความเป็นมนุษย์ หรือเปลี่ยนแปลงไปในทางขัดแย้งรุนแรงจนเกิดภาวะล่มสลายในความเป็นมนุษย์หรือไม่ เพราะสังคมมนุษย์เป็นสังคมที่ไม่หยุดนิ่ง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาในมิติทางพื้นที่และเวลา เหตุของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมนั้นเกิดขึ้น ๒ ทาง ทางแรกจากภายในสังคมหรือชุมชนนั้น อันเนื่องมาจากนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่คนใน [Insider] สังคมนั้นคิดขึ้นมา กับทางที่สองคือจากการติดต่อเกี่ยวข้องจากภายนอกแล้วรับเอาสิ่งใหม่ ๆ แปลก ๆ เข้ามา [Culture contact] เขตเทือกเขาและที่สูงในจังหวัดน่าน ที่ใช้ปลูกพืชแบบเกษตรอุตสาหกรรม เช่น ข้าวโพด ในประวัติศาสตร์การล่มสลายของความเป็นมนุษย์ในสังคมแบบเผ่าพันธุ์และสังคมชาวนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และในอีกหลายภูมิภาคของโลกนั้น เกิดขึ้นในสมัยล่าอาณานิคมของประเทศทางตะวันตก ที่ทำให้คนในสังคมคิดอะไรที่เหมาะสมไม่เป็น แล้วไปรับเอาสิ่งที่เห็นว่าดีงามจากภายนอกเข้ามา ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นภายในประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งก็คือการถูกบังคับจากอำนาจทางการเมืองเศรษฐกิจของผู้มีอำนาจจากภายนอก เช่น จากรัฐหรือจากต่างชาติ ทำเอากฎเกณฑ์ใหม่ ๆ สิ่งใหม่ ๆ เข้ามาแทนที่ของเก่าที่มีอยู่แล้วในสังคม ในดินแดนประเทศไทย สังคมเผ่าพันธุ์ [Tribal society] เปลี่ยนแปลงและสูญหายไปเกือบหมดแล้ว อันเนื่องของการเติบโตของสังคมชาวนาและรัฐที่ทำให้ความเป็นสังคมเผ่าพันธุ์ล่มสลายและคงเหลืออยู่ในพื้นที่ชายขอบของรัฐบางแห่งเท่านั้น ความต่างกันของสังคมเผ่าพันธุ์กับสังคมชาวนานั้นอยู่ที่ สังคมเผ่าพันธุ์ของคนแต่ละกลุ่มเป็นสังคมอิสระมีอำนาจดูแลกันเองภายใน โดยอาศัยความสัมพันธ์กันทางระบบเครือญาติ โคตรเง่า ตระกูล และครอบครัว ในขณะที่สังคมชาวนาหาเป็นอิสระไม่ แต่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมใหญ่ [Part society] คือต้องพึ่งพิงเมืองและรัฐทางการเมืองและเศรษฐกิจ ความเป็นปึกแผ่นและความมั่นคงทางสังคมไม่ได้เกิดจากโครงสร้างสังคมในระบบเครือญาติ [Kinship] ของเผ่าพันธุ์ หากอยู่ที่พื้นที่ซึ่งผู้คนในชุมชนตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชนบ้านและเมืองอยู่ร่วมกันในลักษณะแผ่นดินเกิด ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากความรู้สึกร่วมของคนว่า เป็นคนบ้านไหนและเมืองไหน เป็นต้น หาได้เอาความเป็นชาติพันธุ์มาเป็นศูนย์รวม การล่มสลายของสังคมเผ่าพันธุ์และสังคมชาวนาในดินแดนประเทศไทยนั้นมีเหตุใหญ่ ๆ มาจากการเปลี่ยนแปลงที่มาจากภายนอก คือ เมื่อมีอิทธิพลทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมเข้ามานั้น คนในสังคมไม่สามารถเลือกเฟ้นและจัดการให้เข้ากันจนเกิดดุลยภาพระหว่างสิ่งใหม่ ๆ และของเก่า ๆ ได้ ก็จะเกิดการขัดแย้ง [Conflict] ขึ้น โดยเฉพาะความขัดแย้งทางศีลธรรมที่ทำให้ศีลธรรมและจริยธรรมในสังคมเสื่อมสลาย [Demoralization] ซึ่งถ้าหากไม่มีการฟื้นฟูให้อยู่ในทำนองครองธรรมแล้ว จะทำให้ภาวะความเป็นมนุษย์ในสังคมนั้น ๆ เกิดความล่มสลายในความเป็นมนุษย์ [Dehumanization] จนถึงการใช้ความรุนแรงฆ่าฟันกัน หรือแย่งชิงกันอย่างชั่วร้ายยิ่งกว่าเดรัจฉาน ในกรณีการล่มสลายของเผ่าพันธุ์ [Detribalization] เท่าที่ข้าพเจ้ารับรู้มา แลไม่เห็นความเสื่อมทางศีลธรรมและจริยธรรมที่นำไปสู่การล่มสลายของความเป็นมนุษย์ จนถึงฆ่าฟันกันอย่างล้างเผ่าพันธุ์ แต่แลเห็นเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ จากการเคยอยู่รวมกันเป็นเผ่าพันธุ์ในท้องถิ่นที่ทำมาหากินแบบพึ่งพิงธรรมชาติตามฤดูกาลทั้งการล่าสัตว์ การเพาะปลูกที่ทำให้ต้องเปลี่ยนที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทำกิน [Semi-nomadic] มาเป็นการตั้งถิ่นฐานอยู่ติดที่และทำการเพาะปลูกแบบทดน้ำในที่ราบลุ่มแทน โดยอยู่รวมกันกับคนในชาติพันธุ์อื่น ในรูปแบบของสังคมชาวนาที่ประกอบด้วยชุมชนบ้านและเมืองในพื้นที่ซึ่งเรียกว่า “ท้องถิ่น” [Locality] ทำให้ต้องเปลี่ยนระบบความสัมพันธ์ทางสังคมจากระบบเครือญาติ [Kinship] มาเป็นระบบพี่น้องร่วมบ้านร่วมท้องถิ่นเดียวกัน โดยอาศัยความสัมพันธ์ในเรื่องการกินดองหรือการแต่งงานระหว่างกันกับการเป็นเพื่อนบ้าน เช่น ที่มีการผูกเสี่ยวของคนอีสานหรือผูกเกลอของคนใต้ รวมทั้งการเข้าสู่ระบบอุปถัมภ์กับคนที่เป็นชนชั้นในเมืองที่เป็นผู้มีคุณธรรม การล่มสลายของเผ่าพันธุ์ [Detribalization] ดังกล่าวนี้ มีที่มาจากการเสื่อมทางศีลธรรมและจริยธรรม [Demoralization] มาก่อน ดังเห็นได้จากการเกี่ยวข้องกับภายนอก ทำให้ความสัมพันธ์ทางสังคมที่เคยพึ่งพิงกันในทางเศรษฐกิจเพื่อมีชีวิตรอดร่วมกัน ความสัมพันธ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในระบบความเชื่อทางศาสนาและจริยธรรม ค่านิยมโลกทัศน์ และศักดิ์ศรีของความเป็นเผ่าพันธุ์ที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มอย่างเสมอภาค มาเป็นความรู้สึกแปลกแยกเห็นแก่ตัวในลักษณะที่เป็นปัจเจก ที่รับเอาความเหลื่อมล้ำเข้ามาสร้างปมด้อยให้แก่ตนเอง ดังเช่นคนหลายชาติพันธุ์ไม่ว่าคนชอง คนลัวะ ละว้า คนส่วย แลเห็นชาติพันธุ์ตนเองต่ำต้อยกว่าคนไทยจากภายนอก แล้วพยายามกลบเกลื่อนในความเป็นชาติพันธุ์ของตนไว้ รวมทั้งการแตกแยกไม่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นชุมชนดังเดิม โยกย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในที่อื่น ๆ ไปเป็นแรงงานในเมือง ไปอยู่ในชุมชนท้องถิ่นของคนที่เป็นชาวนาชาวบ้าน เป็นต้น แต่การล่มสลายทางศีลธรรมและการล่มสลายของเผ่าพันธุ์ดังกล่าวนี้ ก็หาได้กับทำลายความเป็นมนุษย์ไม่ หากถูกเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นคนในสังคมชาวนา [Peasant society] ในชุมชนท้องถิ่น [Localization] แทน อย่างย่อๆ ก็คือ กลายเป็น “ คนถิ่น ” แทน “ คนเผ่า ” ไป สังคมชาวนาเป็นสังคมของคนที่อยู่ในชุมชนถิ่นหรือท้องถิ่น [Local communities] ที่ประกอบด้วยบ้านและเมือง มีมาช้านานแต่สมัยกว่าพันปีที่แล้วมา เริ่มเปลี่ยนแปลงแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ อันเป็นเมืองไทยภายใต้อิทธิพลวัฒนธรรมตะวันตก [Westernization] ที่มีมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ การปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินและการปกครองสมัยรัชกาลที่ ๕ เพื่อให้เป็นรัฐรวมศูนย์แบบสมบูรณาญาสิทธิราชแบบทางประเทศมหาอำนาจทางตะวันตก คือจุดเริ่มต้นของกระบวนการทำลายความเป็นอิสระของชุมชนท้องถิ่นและชีวิตวัฒนธรรม [Delocalization] ดังเห็นได้จากการนำเอาพื้นที่ทางการบริหาร [Administrative space] มาแทนที่พื้นที่วัฒนธรรม [Cultural space] ในรูปแบบของหมู่บ้าน ตำบลและอำเภอมาแทนที่ความเป็นชุมชนบ้านและเมืองแต่เดิม การให้กรรมสิทธิ์ที่ดินแก่ประชาชนโดยทั่วไปและการส่งเสริมการปลูกข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจเพื่อการส่งออกได้ทำให้ภูมิวัฒนธรรมของชุมชนบ้านเมืองที่มีวัดเป็นศูนย์กลาง ที่มีธรรมชาติป่าเขา ผสมกับพื้นที่ทำการเพาะปลูกอย่างได้สัดส่วน มาเป็นพื้นที่ทุ่งกว้างเพื่อการทำนา มีโรงสีและตลาดเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจสังคมที่มีคนชั้นกลางซึ่งได้แก่พวกพ่อค้าคนจีน เจ้าของนา เจ้าของโรงสีและตลาดเกิดขึ้น การขยายกิจการทางสาธารณูปโภค เช่น ทางรถยนต์ ทางรถไฟ และการชลประทาน ตลอดจนการตั้งสถานที่ทำการของทางราชการ ทำให้ผู้คนแต่เดิมที่ตั้งถิ่นฐานชุมชนอยู่ตามริมน้ำลำคลอง ย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานใหม่ตามสองฝั่งถนนและทางรถไฟ ทั้งหมดนี้ทำให้ชุมชนชาวนาแต่เดิมต้องปรับตัวมาอยู่ในพื้นที่ใหม่และสภาพแวดล้อมใหม่ ซึ่งกระนั้นก็ดี รากเหง้าของความเป็นสังคมชาวนาในมิติทางวัฒนธรรมก็ยังไม่หมดสิ้นไป เพราะพื้นฐานเดิมเป็นสังคมเกษตรกรรม เป็นแต่เปลี่ยนจากเกษตรกรรมแบบชาวนามาสู่เกษตรกรรมแบบกสิกร [Farmer] กสิกรเป็นผู้ประกอบการด้วยตนเอง มีที่ดินมีเครื่องมือเครื่องใช้ของตัวเอง ต่างจากชาวนาเดิมที่ต้องอยู่กันเป็นกลุ่มช่วยเหลือเกื้อกูลกันในการดำรงอยู่และการทำมาหากินที่มีลักษณะเป็นปัจเจก ชุมชนเกษตรกรเห็นได้จากการตั้งบ้านเรือนอยู่ในลักษณะกระจายเป็นกลุ่มครอบครัว [Homestead] ติดกับที่ทำกินและที่ดินของตนเอง แต่ก็มีวัด โรงเรียน ป่าช้าและตลาดเป็นศูนย์กลางอย่างสังคมชาวนาและการรับรู้ชีวิตความเป็นอยู่ในสังคมท้องถิ่น [Local communities] ร่วมกัน โดยย่อสังคมท้องถิ่นยังคงดำรงอยู่แม้ว่าจะเปลี่ยนจากชาวนามาเป็นเกษตรกรหรือกสิกรแล้วก็ตาม การพัฒนาประเทศให้เป็นสังคมอุตสาหกรรม แต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้นมา ทำให้สังคมท้องถิ่นเริ่มสลายอันเนื่องมาจากการเคลื่อนย้ายของผู้คนจากที่ต่างทั้งภายในภายนอก เข้ามาอยู่และตั้งถิ่นฐาน ทำสถานที่ประกอบการธุรกิจ อุตสาหกรรม และการสร้างถนน สร้างเขื่อนพลังงานไฟฟ้าเกินขีดความสามารถของสังคมท้องถิ่น แต่เดิมจะบูรณาการทางสังคมและวัฒนธรรมให้คนที่เคลื่อนย้ายเข้ามามีสำนึกร่วมในการเป็นคนในท้องถิ่นเดียวกันได้ นับแต่รัฐบาลคึกฤทธิ์ ปราโมช รัฐบาลชาติชาย ชุณหวัณ ที่เอาเศรษฐกิจการเมืองมาเป็นตัวนำในการพัฒนาประเทศให้เป็นสังคมอุตสาหกรรม เช่น ระบบเงินผันและการปั่นที่ดิน รวมทั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจทุนนิยม ได้ทำให้สังคมท้องถิ่นเริ่มแตกสลาย [Delocalization] ดังเช่นการขยายตัวของบรรดาบ้านจัดสรรคอนโดมิเนียม นิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น ทำให้คนอยู่ในพื้นที่ใหม่อย่างไม่มีหัวนอนปลายตีน ต่างคนต่างอยู่ไม่อาทรแก่กัน และการตั้งถิ่นฐานใหม่เมืองใหม่ที่ทำลายลำน้ำลำคลอง หนองบึง และพื้นที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ได้ทำให้เกิดภาวะล่มสลายทางศีลธรรมและจริยธรรม ความเป็นมนุษย์ในฐานะสัตว์สังคมเริ่มเสื่อม และรับเอาค่านิยมและประเพณีทางโลกที่เป็นวัตถุนิยมบริโภคนิยมและความเป็นปัจเจกเยี่ยงเดรัจฉานเข้ามาแทนที่ นับแต่ยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร เป็นต้นมา เศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ที่มีพรมแดนเกิดทุนเหนือรัฐและเหนือตลาด เป็นโครงสร้างไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบทุนนิยมเสรีเข้าครอบงำเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศทั้งในเมืองและชนบท ภายใต้โครงสร้างของทุนข้ามชาติที่มีอำนาจเหนือรัฐและตลาด ได้ทำให้สังคมท้องถิ่นทั้งในเมืองและตามชนบทถูกบดขยี้ทั้งการถูกไล่ที่ หลอกลวงให้ขายที่อยู่อาศัยและทำกิน และการแย่งชิงทรัพยากรน้ำและเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมธรรมชาติที่ควรแก่การอยู่อาศัยของมนุษย์แทบทุกหนแห่ง กิจกรรมการอุตสาหกรรมทั้งหนักและเบาและการเกษตรอุตสาหกรรมได้รุกล้ำเปลี่ยนที่ทางการเกษตรแต่เดิมให้หมดไป โดยคนที่เคยเป็นเกษตรกรที่อยู่ติดที่บ้านเกิดเมืองนอน ต้องโยกย้ายไปเป็นแรงงานข้ามถิ่นข้ามบ้านข้ามเมือง จนเกิดภาวะ “สังคมบ้านแตก” ขึ้นแก่บรรดาลูกหลานที่เป็นเยาวชน ความคิดที่ชั่วร้ายของลัทธิทุนนิยมแบบไม่มีหัวนอนปลายเท้าที่ให้คำนิยามความเป็นมนุษย์ใหม่ว่า “ทรัพยากรมนุษย์” นั้น มีผลกระทบไปถึงการศึกษาอบรมตั้งแต่ระดับครอบครัว ชุมชนท้องถิ่น และบรรดาโรงเรียนและมหาวิทยาลัยทั่วทั้งประเทศ การแพร่หลายทางเทคนิคของบรรดาเครื่องมือในการศึกษา การสอน และการสื่อสารแบบทุกชนิดของคอมพิวเตอร์ที่นำเอาแนวคิดปรัชญาและความรู้ทางวัตถุ ได้ทำลายระบบทางศีลธรรม จริยธรรมและความเป็นมนุษย์ให้แก่ผู้คนในสังคมทุกระดับชั้น รวมทั้งระบบและกระบวนการทางยุติธรรมการออกกฎหมายก็กลับกลายเป็นเหยื่อและเครื่องมือของบรรดาผู้มีอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจในการสร้างความถูกต้องที่ปราศจากมโนธรรมให้แก่พวกตน สังคมท้องถิ่นแทบทุกภูมิภาคกำลังถูกทำลายในกระบวนการสลายพื้นที่ทางสังคมและวัฒนธรรม [Delocalization] โดยอำนาจรัฐและอำนาจทุนนิยมมีปรากฏการณ์ให้เห็นแทบทุกเมื่อชั่วยามในขณะนี้ ดังตัวอย่างไกลตัวในภาคเหนือในเขตจังหวัดแพร่และน่าน ที่รัฐยินยอมให้กลุ่มชาติพันธุ์ผสมนายทุนข้ามชาติ ทำการเพาะปลูก ทำไร่ข้าวโพดในพื้นที่ต้นน้ำยมและน้ำน่านที่อยู่บนภูเขาและที่สูง จนเกิดอาการเขาหัวโล้นไปทั่ว การต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิในที่อยู่อาศัยแต่เดิมของชาวชุมชนป้อมมหากาฬ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๙ การปลูกข้าวโพดอันเป็นเกษตรอุตสาหกรรมเชิงเดี่ยวได้ทำลายความหลากหลายของชีวภาพของนิเวศวัฒนธรรมบนเขาและที่สูงของกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในพื้นถิ่น ที่ทำการเพาะปลูกในระบบไร่หมุนเวียนที่เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในพื้นที่ทำมาหากินในลักษณะพอเพียง และไม่ทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ และเป็นการเกษตรที่ยั่งยืน เพราะการหมุนเวียนไปตามที่ต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ ทางราชการขาดความเข้าใจ ความหมายและระบบการทำไร่หมุนเวียนของกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในท้องถิ่นมาแต่เดิมไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ปีขึ้นไป และสร้างวาทกรรมโดยนักวิชาการโง่ว่าเป็นการทำไร่เลื่อนลอยที่ทำให้พื้นที่ป่าเขาทั้งหมดเตียนโล่ง เลยอ้างกฎหมายและใช้อำนาจยึดครองที่ดินที่อยู่อาศัยให้มาเป็นของรัฐ ขับไล่ชุมชนท้องถิ่นให้ดำรงอยู่ไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดหนทางให้กับบรรดานายทุนข้ามชาติที่นำเอาผลิตผลข้าวโพดเข้าสู่อุตสาหกรรมแปรรูปและส่งออกในการสนับสนุนกลุ่มชาติพันธุ์อื่น และคนจากพื้นราบเข้าทำไร่เลื่อนลอยด้วยการใช้เครื่องจักรเครื่องยนต์แทนการเพาะปลูกตามวิธีการธรรมชาติของคนในท้องถิ่นแต่เดิม ปัจจุบันการครอบงำของการทำไร่เลื่อนลอยของกลุ่มชนบนที่สูงนั้นก้าวไกลเกินสภาพความเป็นไร่เลื่อนลอยสู่ภาวการณ์เป็นไร่ถาวรในระบบเกษตรอุตสาหกรรมที่มีนายทุนข้ามชาติผู้มีอิทธิพลเหนือรัฐและตลาดอยู่เบื้องหลัง ผลที่ตามมาของการทำไร่ข้าวโพดถาวรดังกล่าวนี้ ได้ทำให้เกิดความวิบัติอย่างใหญ่หลวงแก่ชีวิตของผู้คนทั้งอยู่ในที่สูงและที่ลุ่มต่ำในขณะนี้ คือ เมื่อฝนตกเกิดดินถล่ม [Land slide] น้ำท่วมทำให้บ้านเรือนพังและที่ทำกินเสียหายไร้ที่อยู่เป็นประจำเกือบแทบทุกปีเท่านั้นยังไม่เพียงพอ เพราะในฤดูแล้งกลุ่มคนที่ปลูกข้าวโพดบนเขาและที่สูงเผาซางข้าวโพดเพื่อปรับที่ดินเพาะปลูกใหม่ ทำให้เกิดควันไฟและเขม่าไฟปกคลุมไปทั้งภูมิภาค เกิดมลภาวะทางอากาศที่เป็นภัยต่อระบบการหายใจของมนุษย์ ความชั่วร้ายและบาปของนายทุนก็ยังคงดำรงอยู่ ในพื้นที่เขตเมืองเช่นกรุงเทพมหานคร ทั้งทุนและรัฐเริ่มสุมหัวกันทำลายชุมชนท้องถิ่นที่มีรากเหง้ามาแต่สมัยการสร้างกรุงเทพฯ ครั้งรัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๓ โดยการอ้างการปรับปรุงผังเมืองและสร้างสถานที่ทางราชการและพื้นที่อยู่อาศัยและการพาณิชย์ใหม่ ให้ดูสวยงามเป็นเมืองประวัติศาสตร์เพื่อการท่องเที่ยว ผลที่ตามมาชุมชนมนุษย์ที่ยังฝังตัวอยู่ในบริเวณเมืองกรุงเทพมหานคร กำลังถูกคุกคาม รื้อถอน และขับไล่โดยไม่มีความชอบธรรมในแทบทุกย่านที่อยู่อาศัยและทำกิน การดำเนินการชั่วร้ายของการสลายท้องถิ่นทางสังคมและวัฒนธรรมที่กำลังจะเป็นการทุบตีทำร้ายผู้คนดั้งเดิมของเมืองกรุงเทพฯ ในขณะนี้ กำลังอยู่ที่ “ ชุมชนชานกำแพงเมืองหลังป้อมมหากาฬ ” เพราะกรุงเทพมหานครต้องการไล่ชุมชนมนุษย์ออกไป เพื่อเอาพื้นที่ไปทำสวนสาธารณะเพื่อคนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยวที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าแทนที่ชุมชนซึ่งเคยอยู่อาศัยในกรุงเทพมหานครมาแต่เดิม อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page