วัดญวนสะพานขาวกับการทบทวนเรื่องราวของชุมชนแออัดที่มีการ ศึกษาทางมานุษยวิทยาแห่งแรกของกรุงเทพฯ
- วลัยลักษณ์ ทรงศิริ
- 23 เม.ย. 2565
- ยาว 2 นาที
อัปเดตเมื่อ 13 ก.พ. 2567
เผยแพร่ครั้งแรก 7 ก.ค. 2560
หลังเสียกรุงศรีอยุธยา การสร้างบ้านเมืองในช่วงกรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ถือว่า การรวบรวมประชากรทั้งผู้คนจากกรุงเก่า จากเหล่านานาชาติ กลุ่มผู้มีฝีมือทางงานช่างสารพัดเข้ามา อยู่ในพระนครและปริมณฑลถือเป็นสิ่งสำคัญควบคู่ไปกับการสร้างพระราชวัง ศาสนสถาน ย่านการค้า ฯลฯ ในคราวที่บ้านเมืองร้างไร้ ผู้คนอันมีผลมาจากสงครามครั้งใหญ่

หนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์สำคัญที่สืบเนื่องมาจากการสงคราม ครั้งรวบรวมพระราชอาณาเขตเข้าเป็นหนึ่งเดียวครั้งใหม่นี้คือ เหล่าชาวญวนซึ่งอพยพเข้ามาอยู่แถบบ้านญวนและวัดญวนใกล้กับทางตะวันออกของวัดโพธิ์ที่ตั้งถิ่นฐานกันมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี อันสืบเนื่องจากเหตุการณ์ไตเซินซึ่งเป็นการลุกฮือของผู้นำกลุ่มชาวนาต่อสู้กับเจ้านายทั้งฝ่ายทางเหนือและทางใต้ ทำให้บ้านเมืองญวนแตกออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ ความไม่สงบเกิดขึ้นมากพอ ๆ กับบ้านเมืองในสยามยุคเดียวกันนั้น
องเซียงซุนมีศักดิ์เป็นอาขององเชียงสือ พาคนญวนกลุ่มหนึ่งเดินทางเข้ามาในสมัยกรุงธนบุรีฯ เมื่อราว พ.ศ. ๒๓๒๐ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดเกล้าฯ ให้ชุมชนญวนรุ่นนี้ตั้งบ้านเรือนอยู่ฟากกรุงเทพฯ ในปัจจุบัน และสร้างวัดขึ้น ๒ แห่ง คือ “วัดกามโล่ตื่อ” หรือ “วัดทิพยวารีวิหาร” ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นวัดแบบจีนแล้ว และ “วัดโห่ยคั้นตื่อ” หรือ “วัดมงคลสมาคม” ซึ่งเดิมตั้งอยู่หลังวังบูรพาภิรมย์ แต่เมื่อตัดถนนพาหุรัดพาดผ่านจึงแลกที่ดินไปตั้งอยู่แถบถนน แปลงนาม ย่านเยาวราช
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ขึ้นครองราชย์ ปีเดียวกันนั้น องเชียงสือนำชาวญวนเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ไตเซินในแถบภาคกลาง และอยู่อาศัยที่กรุงเทพฯ อยู่นานถึง ๒๐ กว่าปีก่อนจะกลับไปกู้บ้านเมืองและปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์พระองค์แรกแห่งราชวงศ์ยาลอง ในช่วงระหว่างนี้ชุมชนชาวญวนสร้างวัดญวนขึ้นสองแห่งคือ “วัดกั๋นเพื๊อกตื่อ” หรือวัดญวนบางโพ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาไกลจากพระนครขึ้นไปทาง เหนือ และวัดญวนตลาดน้อยหรือที่เรียกกันแต่เดิมว่า “วัดคั้นเยิงตื่อ” ริมแม่นำ้เจ้าพระยาอีกเช่นกัน ชื่อเป็นทางการภายหลังคือ “วัดอุภัยราชบำรุง”
เกิดไฟไหม้ใหญ่ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ราว พ.ศ. ๒๔๔๑ ติดกันถึงสองครั้ง จึงใช้ทรัพย์ส่วนพระองค์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าพาหุรัดมณีมัย กรมพระเทพนารีรัตน์ พระราชธิดาซึ่งประสูติจากสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ และสิ้นพระชนม์เมื่อพระชันษา ๑๐ ปี ตัดถนนสายใหม่จาก “บ้านลาว” ไปจนถึง “สะพานหัน” เรียกว่า “ถนนพาหุรัด”

ถนนพาหุรัดตัดผ่านบ้านญวนจึงเรียกว่า “ถนนบ้านญวน” ในระยะแรก ๆ ก็เพื่อให้เป็นย่านเศรษฐกิจการค้าท่ีต่อเนื่องกับทางถนนเจริญกรุงที่ตัดขึ้นในคราวรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถนนตัดใหม่ทั้ง
เจริญกรุงและพาหุรัดจึงตัดผ่านทั้งบ้านญวน บ้านลาวหรือบ้านกระบะและบ้านหม้อหรือบ้านมอญ ซึ่งเป็นชุมชนที่เรียงรายนับจากฝั่งตะวันออกไปทางตะวันตก ซึ่งเป็นชุมชนที่ไพร่พลทั้งอพยพและถูกอพยพ มาจากถิ่นฐานบ้านเมืองเดิมและนำมาให้อยู่อาศัยในกรุงเทพมหานคร เมื่อมีการตัดถนนก็กระจัดกระจายไปอยู่ในพื้นที่อื่นหรือแทรกไปกับชุมชนอื่น ๆ ถูกบูรณาการทางสังคมและวัฒนธรรม ทำอาชีพต่าง ๆ ทั้งงานช่างฝีมือ งานหัตถกรรม ตลอดจนรับราชการ ต่าง ๆ จนกลายเป็นผู้คนพลเมืองของสยามประเทศในกรุงเทพฯ ไปในที่สุด
วัดญวน สะพานขาวหรือวัดสมณานัมบริหาร
ชุมชนที่ “วัดญวน สะพานขาว” เกิดขึ้นสืบเนื่องจาก ราวพ.ศ. ๒๓๗๖ รัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ในศึกญวน เจ้าพระยาบดินทรเดชายกทัพได้ครัวญวนที่ถือพุทธศาสนาพวกหนึ่ง ก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่จังหวัด กาญจนบุรี ส่วนพวกญวนที่ถือศาสนาคริสตังให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่สามเสน ต่อมาในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พวกญวนบางกลุ่มที่เมืองกาญจนบุรีขอกลับคืนมายังกรุงเทพฯ แต่ในปัจจุบันก็ยังมีชุมชนวัดญวนที่กาญจนบุรีอยู่ จึงพระราชทานที่ดินพร้อมให้สร้างวัดกั๋นเพื๊อกตื่อในบริเวณริมคลองผดุงกรุงเกษมเมื่อราว พ.ศ. ๒๔๑๘ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงพระราชทานนามว่า วัดสมณานัมบริหาร ส่วนชาวบ้านเรียกกันทั่วไปจนถึงปัจจุบันว่า “วัดญวน สะพานขาว”
บริเวณที่ตั้งของชุมชนคนญวนนี้อยู่ใกล้กับสี่แยกมหานาค ซึ่งมีชาวมลายูมุสลิมและคนจามมุสลิมตั้งชุมชนอยู่ริมคลองมหานาคไม่ไกลจากชุมชนวัดญวนนัก ย่านนี้ทั้งคนจาม คนมลายู และคนญวนในช่วงเวลานั้นล้วนอยู่ในกำกับของเจ้าคุณกลาโหมหรือเจ้าคุณทหารหรือ เจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) ผู้เป็นหลานสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ซึ่งทุกกลุ่มชาติพันธุ์น่าจะเป็นแรงงานในการช่วยขุดคลองคูเมืองรอบนอกคือคลองผดุงกรุงเกษม และคลองเปรมประชากร ที่นอกเหนือไปจากจ้างแรงงานชาวจีนขุดแล้ว โดยมีกลุ่มตระกูลบุนนาคและขุนนางท่ีได้รับการสนับสนุนและต่อมาได้เป็นเจ้ากรมคลอง เช่น พระยาชลธารวินิจจัย (ฉุน ชลานุเคราะห์) ผู้ได้รับการศึกษาจากกองเรืออังกฤษคนแรก ๆ ในช่วงเวลาราว พ.ศ. ๒๓๙๔ และช่วง พ.ศ. ๒๔๑๒๓ ซึ่งที่โบสถ์ของวัดสมณานัมบริหารยังคงมีภาพ “กัปตันฉุน” อยู่ภายใน
คณะสงฆ์ชาวญวนนั้นได้นำวัตรปฏิบัติแบบพุทธศาสนามหายาน โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในขณะทรงผนวชอยู่ได้สนพระทัยและสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้กับ “องฮึง” เจ้าอาวาสวัดญวน ตลาดน้อยจนเป็นที่พอพระทัย เมื่อขึ้นครองราชย์ แล้วก็สนับสนุนให้ปฏิสังขรณ์วัดญวน ตลาดน้อยหรือวัดอุภัยราชบำรุงต่อมา และโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้าถวายพระพรในช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษา และเป็นพระสงฆ์อีกฝ่ายในพิธีสงฆ์ของหลวงเรื่อยมา และได้รับเกียรติให้ประกอบพิธีกงเต๊กแบบญวนถวายเป็นครั้งแรก โดยกระทำครั้งแรกในพระราชพิธีพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในพระราชพิธีพระบรมศพ และพระศพพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงเรื่อยมาจนทุกวันนี้ ซึ่งงานช่างฝีมือกงเต๊กหลวงยังสามารถสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน พร้อมกับพิธีกงเต๊กหลวงเผาเครื่องกระดาษแบบอนัมนิกาย แม้ช่างผู้ทำจะไม่ได้มีเชื้อสายญวนแล้ว แต่ก็เป็นคนจีนและไทยผสมที่มีถิ่นฐานอยู่ในละแวก วัดญวน สะพานขาว ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจัดทำชุดกงเต๊กถวาย พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ เมื่อเร็ว ๆ นี้ด้วย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ เคยเสด็จพระราชดำเนินมาที่วัดสมณานัมบริหาร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๖ และฉลอง พระอุโบสถเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๑ และได้พบกับเจ้าอาวาสองสุตบทบวร (บ๋าวเอิง) ซึ่งเป็นพระสงฆ์ชื่อดัง เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านอย่างมาก นับว่าคณะสงฆ์อนัมนิกายที่มีวัดอยู่ทั่วประเทศได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระมหากษัตริย์ไทยมาทุกยุคสมัยจนถึงรัชกาลปัจจุบัน ซึ่งคณะสงฆ์อนัมนิกายนี้เป็นหนึ่งในคณะสงฆ์ทางพุทธศาสนาที่มีการกำกับดูแลโดยกฎหมายของมหาเถรสมาคม มีการสวดแบบภาษาญวนเก่า สำเนียงเดิมที่จดจำต่อกันมา และจดคัดลอกบันทึก มาเป็นภาษาไทย มีการจัดตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรม ๒-๓ แห่ง ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๒ เป็นต้นมา ทั้งแผนกสามัญศึกษาระดับมัธยมและมหาวิทยาลัย โดยเป็นส่วนหนึ่งในมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย สำหรับคณะสงฆ์อนัมนิกาย
การสืบพระศาสนาในคณะอนัมนิกายนี้ตัดขาดกับคณะสงฆ์ทางพุทธศาสนาที่เวียดนามโดยเด็ดขาดด้วยเหตุผลทางการเมืองและการต่อสู้ในประเทศเวียดนามที่มีอยู่อย่างต่อเนื่องไม่ตำ่กว่าสองร้อยปี จนเพิ่งจะมีการริเริ่มสมาคมระหว่างสถานทูตเวียดนามและสงฆ์ ชาวเวียดนามในปัจจุบันเพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ทุกวันนี้นอกจากพระสงฆ์ในนิกายแบบอนัมนิกายแล้วก็มีเพียงฐานรอบเจดีย์ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทที่มีร่องรอยการ บรรจุอัฐิของคนเชื้อสายญวนซึ่งส่วนใหญ่อพยพเข้ามาในประเทศไทย ช่วงสงครามอินโดจีนและในช่วงสงครามเวียดนามเท่านั้น และเป็นคนจากภาคกลางของประเทศเป็นจำนวนมากกว่าพื้นที่อื่น ๆ สอบถามคนที่อยู่อาศัยในละแวกนี้กลับไม่พบคนเชื้อสายญวนแต่อย่างใด สาเหตุน่าจะเนื่องมาจากการเมืองระหว่างประเทศในช่วงหนึ่งที่ทำให้คนไทยมองว่าพรรคคอมมิวนิสต์นั้นอันตราย ประเทศสังคมนิยมโดยเฉพาะเวียดนามนั้นอันตรายจนทำให้คนไทยเชื้อสายญวนดั้งเดิมไม่กล้าที่จะแสดงตน และกลืนกลายเป็นคนไทยทั้งชื่อนามสกุล หากไม่มีเหตุอันใด เช่น การทำบุญให้บรรพบุรุษหรือวันตรุษปีใหม่ก็จะมารวมตัวกัน และแทบจะไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะมากนัก
บริเวณวัดญวน สะพานขาวแต่เดิมมีพื้นที่มีคูนำ้ล้อมรอบชัดเจนและมีต้นไม้ร่มครึ้ม เนื่องจากมีอาณาบริเวณมาก ภายหลังกล่าวกันว่าดูเป็นป่ารก คนเข้ามาจับจองกันมาก โดยเฉพาะพวกช่างต่าง ๆ หรือช่างปูกระเบื้องตั้งแต่สมัยมาสร้างพระที่นั่งอนันตสมาคม ช่วงระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๕๑-๒๔๕๙ ทั้งคนงานจากต่างจังหวัดและคนเรือค้าขายตลอดจนคนจีนไหหลำที่เข้ามาต่อตู้ โต๊ะ และเฟอร์นิเจอร์ไม้ต่าง ๆ จึงเข้ามาบุกรุกพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณริมคลองคูรอบวัด สร้าง บ้านเรือนอยู่ต่อกันมาและรับจ้างทำงานก่อสร้างอาคารสำคัญ ๆ เช่น โรงหนังทางวังบูรพาเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ และอยู่สืบเนื่องมาจนกลายเป็นย่าน “ชุมชนตรอกใต้” นั่นเอง
งานศึกษาชุมชนทางมานุษยวิทยาในบริเวณที่เรียกว่า “ตรอกใต้” ของอาจารย์ ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ เป็นการศึกษาชุมชนแออัดหรือสลัมแห่งแรกในกรุงเทพมหานคร เป็นวิทยานิพนธ์ทางมานุษยวิทยาปริญญาเอกเมื่อราว พ.ศ. ๒๕๑๑-๒๕๑๒
ซึ่งต่อมาหลังจากชุมชนตรอกใต้ถูกไฟไหม้ เรื่องกรรมสิทธิ์ บริเวณนี้กลายเป็นกรณีพิพาทระหว่างวัดญวน สะพานขาวและสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งทางวัดอ้างอิงเรื่องการรับพระราชทานที่ดินในรัศมีของแนวคลองหรือคูน้ำล้อมรอบกับที่ภายนอก ตรอกใต้อยู่บนคูน้ำที่ตื้นเขินพอดี พื้นที่นี้กลายเป็นที่วัด ปลูกตึกแถวให้เช่า ส่วนด้านหน้าติดถนนก็เป็นที่ดินและตึกแถวของสำนักงานทรัพย์สินฯ ไป
แต่คนที่อยู่อาศัยบางคนยังสืบเนื่องมาจากตรอกใต้มีอยู่อีกจำนวนไม่น้อย ทั้งที่กระจายอยู่ด้านหลังตึกแถวของวัดในสถานที่ดั้งเดิม และกระจายเข้าไปอยู่ทางแถบริมคลองลำปักด้านที่ติดกับทางออกไปถนนหลานหลวง คลองแห่งนี้เคยเป็นคลองจริง ๆ กว้างราวเรือกลับลำได้ น้ำเคยใสว่ายเล่นอยู่ข้างวัดญวน ซึ่งมีการบุกรุกพื้นที่ต่อมาและให้เช่าบ้านพักภายในตรอกชุมชนวัดญวน-คลองลำปัก จนกลายเป็นย่านชุมชนแออัดขนาดใหญ่ ผู้คนมีจากหลากหลายที่มาต่อจากตรอกใต้ และชุมชนรอบวัดญวนนี้ยังคงมีอาชีพเป็นช่างปูกระเบื้องที่คนทั่วไปรู้จักดีและมักจะมาหาช่างเหล่านี้ที่วัดญวน สะพานขาวอยู่เช่นเดิม
อาจารย์ ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ กล่าวว่า ครั้งหนึ่งตรอกใต้ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่เสื่อมโทรมที่สุดของกรุงเทพฯ ในยุคนั้นทีเดียว จากการบรรยายดูเหมือนจะพอมีพื้นที่สำหรับนั่งกินโอเลี้ยงกาแฟอยู่บ้าง แต่ทว่าบริเวณตรอกวัดญวน-คลองลำปักเดี๋ยวนี้แม้แต่พื้นที่จะหายใจยังอึดอัด ทางเดินทอดยาวและแคบเสียจนแทบจะต้องเบี่ยงตัวหลบ หากเดินสวนทางกัน และบางแห่งก็มืดมิดเพราะหลังคาที่ทับซ้อน และที่ต่างกันมากคือตรอกใต้ในสมัยนั้นยังไม่มียาเสพติด
งานของอาจารย์อคิน (ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์) ที่นำมาเขียนย่อ ๆ แบบหลายชีวิต ถึงชีวิตคนตรอกใต้กลุ่มหนึ่งที่เป็นตัวแทนของผู้คนในตรอกดั่งนวนิยาย ในช่วงก่อน พ.ศ. ๒๕๑๑
หลังไฟไหม้ใหญ่เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๑ คุณพณิฎา สกุลธนโสภณ หรือพี่ใหญ่ของชาววัดญวน ผู้เป็นไวยาวัจกรและมีหน้าที่ดูแลหลายกิจกรรมสารพัดอย่างที่วัดญวน สะพานขาว ซึ่งเป็นคนตรอกใต้แต่กำเนิดเล่าให้ฟังว่าตนเองและครอบครัวย้ายออกมาจากตรอกใต้ พ่อไปทาง แม่ไปทาง แม่พ่อใหญ่เป็นคนนครสวรรค์ที่มีเชื้อจีนผสมญวน แต่มาพบพ่อคนเมืองนนท์ที่ตรอกใต้ ยายกับแม่พี่ใหญ่มาโดยเรือค้าข้าว ที่นำข้าวเปลือกมาขายโรงสีในคลองผดุงฯ คนที่ตรอกใต้หลายคนมาด้วยวิธีนี้ บ้างก็มาจากเรือผลไม้ พวกแตงโมมาที่ตลาดมหานาคเป็นพื้น ถ้าขึ้นบกได้ก็มักจะอยู่กันแถบวัดญวนนี้ แต่แฟนพี่ใหญ่เป็นคนจีนไหหลำหน้าวัดญวน พอแต่งงานกัน พี่ใหญ่ก็ย้ายกลับมาอีก แต่คราวนี้อยู่ข้างวัดที่ปลูกเป็นบ้านหลัง ๆ ติดกับแนวคลองลำปักที่เป็นทางนำ้ไปออกคลองผดุงกรุงเกษม
ช่วงท่ีอาจารย์ ม.ร.ว.อคินเข้าไปศึกษา พ่อใหญ่คงอายุไม่มาก แต่พี่ใหญ่ยังระลึกถึง “ความเป็นคนตรอกใต้” เสมอ หลังจากตรอกใต้ไฟไหม้ คนก็เข้าไปจับจองพื้นที่ทันทีเหมือนกัน หลังจากนั้นอีกราวเป็นสิบปี จึงทำข้อตกลงกับสำนักงานทรัพย์สินฯ เพื่อจะระบุแนวเขตที่ดิน แต่ภายหลังเห็นว่าตกลงกันได้ บริเวณตรอกใต้จึงปลูกเป็นตึกแถวเป็นแนวไป ด้านหน้าที่เป็นตึกของสำนักงานทรัพย์สินฯ ก็ให้คนที่ตรอกใต้เซ้งก่อน แต่ส่วนใหญ่ไม่สามารถเซ้งได้ก็เลยมาปลูกบ้านอยู่หลังตึกที่สร้างนั่นเอง แต่อยู่บนแนวลำคลองที่เคยเป็นคูนำ้ใหญ่ล้อมรอบวัด ต่อมาบางครอบครัวที่พอเซ้งได้หรือโชคดีที่มีคนทิ้งไว้ให้ก็ออกมาอยู่ ที่ตึก

ทุกวันนี้ยังมีคนทำมังกรจุ่มสี หลังจากสมัยที่อาจารย์อคิน เข้ามาแล้วคงมีหลายบ้านทำเลียนแบบ ทำตุ๊กตายืดหด ป๋องแป๋งเด็กเล่น ยังมีคนทำอยู่บางบ้าน ทุกวันนี้ชาวตรอกใต้ก็ยังอยู่ เพียงแต่ไม่ได้มีสถานะเป็นชุมชนเหมือนพื้นที่อื่น ๆ ทางฝั่งเหนือที่เป็นชุมชนวัดญวน-คลองลำปักก็เป็นชุมชนขึ้นทะเบียนของกรุงเทพมหานครไปแล้ว แต่ก็ไม่สามารถรับการช่วยเหลือจากทางรัฐท้องถิ่นเพราะเป็นชุมชนบุกรุก ช่วงแรก ๆ ในสมัยพล.ต. จำลอง ศรีเมือง เป็นผู้ว่าราชการออกเลขที่บ้านให้เด็กเพื่อเรียนหนังสือ ต่อมาจึงถูกนำมาใช้สถานะอื่น ๆ กลายเป็นชุมชนและบ้านที่ซื้อขาย เปลี่ยนมือได้ เพราะบริเวณนี้ทั้งใกล้และสะดวกทุกอย่างในการเลี้ยงชีพและดำเนินชีวิต
ปัญหาหนักของคนในชุมชนแออัดทุกวันนี้ไม่พ้นยาเสพติด ทั้งดมกาวไปจนถึงยาบ้าและยาไอซ์ ได้ทหารมาปรามไปบ้างก็ค่อย ๆ ลดลง พี่ใหญ่ตั้งกลุ่มตั้งชมรมแอโรบิก กลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุข มีพี่ ๆ น้อง ๆ ผู้หญิงทั้งนั้นมาช่วยกันทำงานอาสาบ้าง ทำงานเรื่องเด็ก และเยาวชนบ้าง พี่ใหญ่ช่วยหาทุนสงเคราะห์กันบ้างก็ยังมีอาการน่าเป็นห่วงเด็ก ๆ หลังจากที่ชุมชนไม่ได้รับการยอมรับจากเจ้าหน้าที่รัฐ เมื่อสองสามปีที่แล้ว การดูแลช่วยเหลือก็ยิ่งทำได้ยากขึ้น ส่วนเด็กวัยรุ่นท้องก่อนวัยอันควรก็ยังเป็นปัญหาใหญ่ เรื่องเช่นนี้สมัยที่อาจารย์ ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ ศึกษาชุมชนที่ตรอกใต้ ก็เห็นว่าไม่ค่อยมีเรื่องอะไรแบบนี้
ส่วนคนจีนไหหลำที่เคยปลูกบ้านอยู่ใกล้ ๆ กับคนตรอกใต้ที่เรียกว่าพวกโรงตู้ คือมีอาชีพทำพวกเฟอร์นิเจอร์ ตู้ เตียงต่าง ๆ หลังจากไฟไหม้ส่วนใหญ่ย้ายไปอยู่แถว ๆ ซอยประชานฤมิตรที่เป็นถนนสายไม้ในปัจจุบัน แต่ก็ยังเหลือเจ๊หย่ง เจ๊วา อยู่ตึกปากตรอกใต้แต่เดิม หรือซอยลูกหลวง ๖ ขายขนมจีนไหหลำทั้งหมูทั้งเนื้อ ซึ่งขายมาตั้งแต่อยู่ที่หน้าวัด เมื่อไฟไหม้และไม่ได้มีอาชีพด้านช่างจึงไม่ได้ย้ายตามพรรคพวกไปแต่ย้ายมาขายขึ้นตึกมีฐานะจนถึงปัจจุบัน
พี่ใหญ่บอกว่า คนเชื้อสายญวนเก่าก็ไม่มีแล้ว แต่ทางชุมชนวัดญวนยังได้รับมรดกทางวัฒนธรรมเป็นอาหารประจำถิ่นอยู่สองอย่าง คือ “ปอเปี๊ยะทอด” กับ “มะเหง่” ที่ใช้เส้นเหมือนขนมจีนไหหลำ แต่เส้นใหญ่กว่าและหนานุ่มกว่า ซึ่งเป็นเส้นข้าวเปียกตามแบบโบราณ ใช้น้ำซุปปลาแล้วแกะเนื้อปลาทูหรือเนื้อปลาช่อน เป็นข้าวเปียกปลา ที่หารับประทานได้ยากแล้วในปัจจุบัน
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comments