top of page

ลิเกเรียบ จากการสรรเสริญพระเจ้าสู่มหรสพ

อัปเดตเมื่อ 5 ก.พ. 2567

เผยเเพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2554


ลิเกเป็นมหรสพการแสดงที่ชาวบ้านภาคกลางนิยมไม่แพ้ลำตัด ซึ่งทั้งสองอย่างมีที่มาจากการสวดของพวกแขกมุสลิม ซึ่งนักวิชาการอธิบายว่า “ลิเก” หรือ “ยี่เก” เพี้ยนมาจากคำเปอร์เซียว่า ซิกุร [Zikr] หรือ ซิเกรฺ หมายถึงพิธีสวดของพวกซูฟี ซึ่งร่องรอยของแหล่งที่มายังปรากฏในการแสดงลิเกทุกวันนี้ นั่นคือการเบิกโรงด้วยการ “ออกแขก” ที่ตอนหลังมาปรับปรุงเป็น “การออกภาษา” ไป


ree

การเล่นลิเกเรียบต้องอาศัยความพร้อมเพรียง ทั้งในการร้อง ตีกลอง และปรบมือ ซึ่งต้องคอยดูสัญญาณจากหัวหน้าวงเป็นสำคัญ หัวหน้าวงคณะทับช้างนาลุ่มก็คือ ฮัจญีฮาวัง มะหะหมัด ตาเฮด

(คนคล้องผ้าสีดำในภาพ)


ในเรื่องนี้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพก็ได้กล่าวถึงไว้ในหนังสือ ระเบียบตำนานละคร ว่า


“คำว่า ดิเก เป็นภาษามลายู แปลว่า ขับร้อง เดิมนั้นเป็นแต่การสวดบูชาพระในทางศาสนาของพวกแขกอิสลาม สำรับหนึ่งมีนักสวดตีรำมะนาประมาณ ๑๐ คน สวดเพลงแขกเข้ากับจังหวะรำมะนา... ผู้เล่นลิเกหรือดิเกในขั้นต้นนั้น นั่งตีรำมะนาล้อมกันเป็นวงหลาย ๆ คน ปากก็ร้องเพลงภาษาแขกและมือก็ตีรำมะนากันไปด้วย คำร้องต่าง ๆ ที่พวกลิเกร้องนั้นรวมเรียกว่า ‘บันตน’ คำว่า บันตน นี้มาจากคำว่า ‘บันตุน’ ของชาวมลายู และชาวสุนดา ซึ่งเรียกชื่อกวีนิพนธ์และเรื่องเล่าชนิดหนึ่ง เมื่อพวกลิเกได้ร้องบันตนและตีกลองรำมะนาไปสุดสิ้นกระบวนความ ก็เริ่มแยกการแสดงพลิกแพลงออกไปได้เป็น ๒ สาขา สาขาหนึ่งเรียกว่า ‘ฮันดาเลาะ’ แสดงเป็นชุดต่าง ๆ เช่นชุดต่างภาษาบ้าง เรื่องเบ็ดเตล็ดบ้าง อีกสาขาหนึ่งเรียกว่า ‘ละกูเยา’ เป็นการแสดงว่ากลอนด้นแก้กัน อันเป็นต้นทางของ ‘ลิเกลำตัด’ หรือลำตัด”


ในช่วงแผ่นดินรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๓ มุสลิมมลายูหัวเมืองภาคใต้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในกรุงเทพฯ จำนวนมาก ได้นำเอารูปแบบการสวดสรรเสริญพระเจ้ามาดัดแปลงขับเล่น พร้อมกับการตีกลองรำมะนา จนกลายเป็นเอกลักษณ์การแสดงของชาวมลายูในกรุงเทพฯ และภาคกลาง เรียกกันว่า ลิเกเรียบ หรือ ลิเกกลอง เพราะนั่งเรียบเสมอไปกับพื้น ไม่ได้ลุกขึ้นมายืนหรือเต้นอย่างลิเกทั่วไป อีกทั้งเครื่องดนตรีที่ใช้คือ กลองรำมะนา อย่างเดียว

จากประวัติลิเกเรียบของ “คณะทับช้างนาลุ่ม” ในคลองประเวศม์ ที่บอกเล่าต่อ ๆ กันมากล่าวว่า เริ่มเล่นตั้งแต่ราวต้น พ.ศ. ๒๔๐๐ โดยมีโต๊ะครูดามัน ซึ่งเป็นชาวมลายูปัตตานีจากวัดตึก (วัดชัยชนะสงคราม) พาหุรัด พายเรือมาพักยังบ้านโต๊ะกีมุด ที่บ้านทับช้าง แล้วมาร้องเล่นกันที่นั่น เริ่มจากบ้านสองบ้าน ต่อมาโต๊ะกีซีนซึ่งมีลูกศิษย์ลูกหามากได้สอนให้คนอื่น ๆ เล่นจนเผยแพร่กันไปทั่ว

ลิเกเรียบมีต้นเค้ามาจากลิเกเมาริดหรือการสวดสรรเสริญนบีของชาวมลายูภาคใต้ โดยการนำเอาคำโคลงคำกลอนภาษาอาหรับในหนังสือ บัรซันญี ของ อะบูซิดีน มาแปลงเป็นละฮูกลองหรือเพลงกลอง คือ ร้องเป็นทำนองและตีกลองด้วยการด้นสดเป็นภาษาไทย ซึ่งจะแต่งขึ้นเอง เป็นเรื่องสนุกสนานทั่วไป แต่ถ้าจะร้องสรรเสริญพระเจ้าก็จะใช้คำโคลงของอะบูซิดีน ร้องเป็นภาษาอาหรับด้วยท่วงทำนองของมลายู


การเล่นลิเกเรียบจะนำคัมภีร์อัลกุรอ่านมาร้องไม่ได้เลย ใช้ได้แต่คำกลอนในหนังสือ บัรซันญี ที่แต่งโดยอะบูซิดีนเท่านั้น หนังสือเล่มนี้มีหลายบท ทั้งบทที่เล่าเรื่องราวประวัติของท่านศาสดามะหะหมัด บทที่ว่าด้วยการรักษาโรค บทที่ว่าด้วยการป้องกันหรือขับไล่สิ่งอัปมงคล ภัยพิบัติต่าง ๆ บทร้องสรรเสริญสดุดีที่สนุกสนาน ซึ่งลิเกเรียบจะเลือกบทที่เป็นการสรรเสริญสดุดี มีความครึกครื้น ไม่ใช่บทที่โศกเศร้าหรือไล่สิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ

การแสดงลิเกเรียบนอกจากจะต้องมีไหวพริบปฏิภาณในการด้นเพลงสดแล้ว สิ่งสำคัญก็คือ ท่วงทำนองการร้องต้องร้องเสมอกัน ทั้งกลองที่ตีก็ต้องพร้อมกัน เสียงเสมอกัน ไม่มีเสียงเพี้ยนหรือโดดออกมา ดังนั้นการฝึกซ้อมให้ได้จังหวะพรักพร้อมจึงเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าคนไหนไม่ฝึกซ้อม ไม่มีทางทำได้ การร้องการตีกลองทุกอย่างต้องดูหัวหน้าวงเป็นสำคัญ เพราะจะเป็นผู้ให้สัญญาณในการเปลี่ยนทำนองเปลี่ยนจังหวะ

“เวลาเล่นประชันวง การตัดสินเขาใช้วิธีฟังจาก หนึ่ง เสียงกลอง มันพร้อมเพรียงกันไหม สอง เสียงร้อง ต้องร้องเรียบเสมอกัน ไม่มีเสียงโดดออกมา เวลาเล่นลิเกเรียบ ขั้นตอนร้องแรก ๆ จะช้า แล้วจึงกระชั้นขึ้นเรื่อย ๆ พูดง่าย ๆ ว่า ลิเกครึ่งท่อน ภาษาลิเกเรียบว่า ‘ยืน’ หรือ ‘องค์’ หนึ่ง ยืนหนึ่งก็ชั่วโมงหนึ่ง หมายความว่ายกหนึ่ง มีหลายทำนอง ร้องช้าท่อนแรก พอไปสักครึ่งก็เร็วหน่อย ผู้ตัดสินจะฟังว่า ใครเสียงดี ใครจะแหบดัง ใคร (เสียง) จะเรียบร้อย แพ้กันตรงนี้แหละ”


ree

กลองรำมะนาปัจจุบันมีราคาแพงมาก ไม้ที่ทำเป็นหุ่นกลองต้องใช้ไม้มะค่าหรือไม้เต็ง ไม้แดง เขียงหนึ่งราคา (ราว ๑๐๐ ปีก่อน) ตกประมาณ ๘ บาท จัดว่าแพงมาก แต่ปัจจุบันตกราคา ๘,๐๐๐-๑๐,๐๐๐ บาทเมื่อกลึงเป็นรูปร่างแล้ว และยังต้องใช้หนังควายและหวายตะคร้าอีกด้วย ดังนั้นการดูแลรักษากลองจึงเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อเล่นเสร็จทุกครั้งต้องจัดใส่ถุงผ้าให้เรียบร้อย


ฮัจญีฮาวัง หัวหน้าวงทับช้างนาลุ่มขยายความให้ฟัง

ลิเกเรียบหนึ่งวงนั้นต้องมีผู้แสดงเต็มที่ไม่เกิน ๑๕ คน จะน้อยกว่านั้นก็ได้ แต่ไม่ควรต่ำกว่า ๙ คนเพราะจะเสียเปรียบเมื่อมีการเปรียบวงกัน ด้วยเสียงกลองตีอาจไม่ถึง เสียงเบาไม่มีใครอยากเปรียบด้วย เพราะหากเปรียบแล้ว ปรากฏว่าวงที่มีกลองน้อยเป็นฝ่ายชนะ วงที่ไปเปรียบด้วยก็จะเสียชื่อ จำนวนคนเล่นเท่าใดก็ต้องมีจำนวนกลองเท่านั้น เพราะลิเกเรียบตัดสินกันด้วยกลอง แม้จะว่าจ้างหรือหาไปแสดง ผู้ว่าจ้างก็จะคิดราคาตามจำนวนกลอง ไม่ได้คิดตามจำนวนคนที่ไป ซึ่งจะเอาไปผลัดกันตีกี่คนก็แล้วแต่ หากมีกลอง ๑๐ ใบ ก็คิดราคาหมื่นหนึ่ง และผู้แสดงลิเกเรียบมีข้อกำหนดเลยว่าต้องเป็นชายเท่านั้น จะมีผู้หญิงร่วมเล่นอย่างดิเกร์ฮูลูไม่ได้ เพราะเสียงผู้หญิงคนละโทนกับเสียงผู้ชาย หากร้องเสียงไม่เสมอเป็นอันใช้ไม่ได้ และที่สำคัญการตีกลองถือว่าหนัก ต้องใช้พละกำลังมากในการตีให้เสียงดังกระหึ่ม ขนาดที่ว่าหากตีในห้อง แล้วไม่เปิดประตูหน้าต่าง เสียงกลองทำให้กระจกแตกได้ หรือแม้แต่ลำโพงฉีกขาดก็เคยเกิดมาแล้ว ลักษณะเช่นนี้กระมังที่คนไทยโบราณมักมีคำติดปากห้ามลูกหลานว่า “อย่าฟังกลองแขก มันมักใจแตก” ซึ่งชาวคณะทับช้างนาลุ่มต่างเห็นพ้องกับคำกล่าวนี้ ด้วยพวกเขาบอกว่า คนเล่นเป็น เขาจะไม่มาดูมาฟัง เพราะของจะขึ้น มันจะคันไม้คันมือ อยากโดดลงไปเล่นด้วย


ปัจจุบันลิเกเรียบแม้ยังมีสืบต่อกันหลายวงในกรุงเทพฯ แต่ก็น่าเป็นห่วง ด้วยผู้เล่นและผู้ฟังล้วนเปรียบเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง ต่างสูงวัยกันทั้งสิ้น บรรดาเยาวชนไม่ให้ความสนใจต่อมหรสพดังกล่าว จึงไม่ต้องหวังว่าจะมีการรับช่วงสืบต่อ อีกทั้งการทำกลองรำมะนาในปัจจุบัน ใบหนึ่งตกราคาเป็นหมื่น จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหาใครมาสนับสนุนมรดกวัฒนธรรมการแสดงประเภทนี้ของชาวมลายู

อ่านเพิ่มเติมได้ที่:



Comments


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page