ประชาธิปไตยจากข้างล่าง
- ศรีศักร วัลลิโภดม
- 24 ส.ค. 2565
- ยาว 2 นาที
อัปเดตเมื่อ 9 ก.พ. 2567
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ต.ค. 2556
ในฐานะข้าพเจ้าเป็นคนไทยคนหนึ่งในสยามประเทศ การเคลื่อนไหว [Social Movement] ของมหาชนสยามที่ออกมาขับไล่รัฐบาลทรราชอำมหิต “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” ที่ดังสนั่นโลกครั้งนี้ ไม่ใช่ปัญหาเรื่องการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขแต่อย่างใด หากแต่เป็นการขจัดการโกงกิน คอรัปชั่นของนักการเมือง ข้าราชการ และบรรดานายทุนกลุ่มผลประโยชน์ในรัฐบาลที่ไม่มีความโปร่งใส [Good Government] ภายใต้การบงการของอดีตนายกรัฐมนตรีหนีคุกที่อยู่นอกประเทศ หนีกฎหมาย และเร่ขายประเทศชาติบ้านเมืองและทรัพยากรให้แก่ประเทศนายทุนต่างชาติในขณะนี้

เป็นกระบวนการทุจริตโกงกินและหลอกลวงประชาชนที่เรียกว่า “ระบอบทักษิณ” อันเป็นระบอบที่อาศัยความประชาธิปไตยจากข้างบนเป็นสิ่งปกป้องและพรางกาย
แต่ฝ่ายรัฐทรราชไม่ยอมผิดในเรื่องความชั่วร้ายของการโกงกินคอรัปชั่นอย่างที่กล่าวหา แต่พยายามดื้อแพ่งและเบี่ยงเบนไปเรื่องการขับไล่รัฐบาลของตนที่เป็นรัฐบาลประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ เพราะได้รับเลือกตั้งมาจากคะแนนเสียงส่วนมากกว่า ๑๕ ล้านเสียง เพราะฉะนั้นจะทำอะไรก็ถูกต้องทั้งสิ้น เพราะประชาชนเสียงข้างมากให้สิทธิและอำนาจถูกต้องตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ เช่น การเสนอผ่านกฎหมายและพระราชบัญญัติต่าง ๆ ก็ล้วนได้รับการเห็นชอบจากเสียงผู้แทนส่วนใหญ่ในรัฐสภาด้วย จึงเกิดการละเมิดรัฐธรรมนูญขึ้นเมื่อกฎหมายบางฉบับโดยเฉพาะการผ่านกฎหมายนิรโทษกรรมเป็นสิ่งผิดและศาลรัฐธรรมนูญก็ตัดสินให้ว่าผิด แต่รัฐทรราชไม่ยอมรับผิดและลาออก แต่แก้เกี้ยวด้วยการยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ ทั้ง ๆ ที่เห็นอยู่ทนโท่แล้วว่าฝ่ายทรราชก็คงใช้เงินและใช้อิทธิพลซื้อเสียงให้ได้ชัยชนะในการเลือกตั้งเข้ามาใหม่
ซึ่งทางฝ่ายมวลมหาชนที่ออกมาขับไล่ต้องการให้รัฐบาลลาออกจากรัฐบาลรักษาการณ์แล้วยุติการเลือกตั้งไว้ก่อน หันมาปฏิรูปการเมืองการปกครองเสียใหม่แล้วจึงให้มีการเลือกตั้ง ซึ่งรัฐบาลทรราชไม่มีทางยอม กลับดื้อดึงยืนยันว่าจะต้องให้มีการเลือกตั้งก่อนการปฏิรูปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญและความเป็นประชาธิปไตย พร้อมทั้งปลุกปั่นประชาชนที่รู้ไม่ทันและบรรดาประชาชนที่อยู่ในอำนาจให้ออกมาต่อต้านและสร้างความรุนแรง
ความได้เปรียบที่ชั่วร้ายของกลุ่มทรราชก็คือ ได้สถาบันตำรวจแห่งชาติมาเป็นเครื่องมือที่มีอำนาจในการบังคับกฎหมาย และกลุ่มข้าราชการที่ทุจริตและทหารบางคนบางเหล่าที่มีอำนาจในกองทัพมาเป็นพรรคพวก แต่ที่สำคัญก็คือนักวิชาการเสื้อแดงโดยเฉพาะด๊อกเตอร์ด๊อกตีนที่จบมาทางด้านกฎหมาย ประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์และการปกครองจากอเมริกาและประเทศในกลุ่มทุนนิยมเสรีประชาธิปไตย ซึ่งข้าพเจ้าใคร่เรียกอย่างย่อ ๆ ว่า “ประชาธิปไตยแบบไอ้กัน” ซึ่งเมื่อบรรดาประเทศได้เรียนรู้และลอกมาเป็นแบบอย่างประชาธิปไตยในประเทศตน
ถ้าหากย้อนไปดูประวัติศาสตร์สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่โลกแบ่งขั้วออกเป็น ๒ ขั้ว ด้วยแนวคิดในทางการเมืองที่เรียกว่า ประชาธิปไตย ประเทศมหาอำนาจฝ่ายหนึ่งเป็นอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รวมมาถึงไทยด้วยอยู่ในขั้วประเทศทุนนิยมเสรีประชาธิปไตย ในขณะที่รัสเซีย จีน และอีกหลายประเทศในยุโรปอยู่ในขั้วประเทศ สังคมนิยมประชาธิปไตย คือเป็นประชาธิปไตยเหมือนกัน ต่างกันคือทุนนิยมกับสังคมนิยม
แต่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยรับรู้ว่าพวกสังคมนิยมเขาก็อ้างความเป็นประชาธิปไตยเหมือนกัน แต่คนไทยถูกสอนให้เรียกว่า “สังคมนิยมคอมมิวนิสต์” หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “คอมมิวนิสต์” ส่วนตัวเองเรียกว่า “ประชาธิปไตย” และต้องเป็นประชาธิปไตยแบบอเมริกันด้วยจึงจะถูกต้อง จนทำให้ดูเหมือนประเทศไทยจะเป็นประเทศเดียวที่เป็นประชาธิปไตยแบบเกลียดสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ และถูกอบรมสั่งสอนโดยอเมริกาให้เกลียดชังประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์และลงโทษผู้ที่มีความคิดเอนเอียงไปทางสังคมนิยม
และที่สำคัญที่สุดก็มักจะอบรมให้คนไทย ข้าราชการ พ่อค้า นักศึกษาและเอกชนว่า พวกคอมมิวนิสต์ใจร้าย ทำลายครอบครัว ทำลายชุมชน และทำลายสถาบันกษัตริย์
แต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้นมา อเมริกาเป็นมหามิตร เป็นนายทุน เป็นสังคมที่มีเกียรติภูมิรุ่งเรืองและร่ำรวย และที่สำคัญเป็นแหล่งเรียนรู้ในทางศาสตร์ต่าง ๆ ทั้งด้านการปกครองพัฒนาประเทศ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ การศึกษา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รัฐบาลส่งนักศึกษา นักเรียน ข้าราชการไปอบรมศึกษายังแหล่งตักศิลาแห่งนี้ ทั้งการให้ทุนรัฐบาลสนับสนุนและทุนช่วยเหลือของอเมริกาและชาติมหาอำนาจในขั้วทุนนิยมเสรี
ผลที่ตามมาคนไทยรุ่นพ่อมาถึงรุ่นลูกและหลานในทุกวันนี้ที่ผ่านมารวม ๕๐ ปี เป็นพวกทำอะไร คิดอะไรเป็นอเมริกันไปหมด [Americanization] แม้แต่รูปแบบในการดำเนินชีวิต คนที่ได้ไปเรียนที่อเมริกาถือว่ามีเกียรติ มีหน้ามีตา แต่ถ้าไปเรียนที่ประเทศอื่น ๆ เช่น อินเดีย ฟิลิปปินส์ดูด้อยไป และที่ไม่อยู่ในสายตาก็คือที่ไปเรียนมาจากจีน ไต้หวัน เวียดนาม เขมร อะไรทำนองนั้น
ที่กล่าวมานี้ก็เพื่อที่จะให้เห็นว่า คนไทยแต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ถูกอเมริกันครอบเสียจนสมองเสื่อม คิดไม่เป็น แต่เก่งในการลอกเลียนแบบอเมริกัน และนำเอาอเมริกันมาประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม แต่ที่ดิ้นไม่หลุดก็คือความคิดในเรื่องการเมืองเศรษฐกิจที่เป็นเสรีทุนนิยมประชาธิปไตยแบบไอ้กัน
แต่แล้วเมื่อโลกเปลี่ยนไป ยุคสงครามเย็นหมดไป เปลี่ยนมาเป็นยุคการจัดระเบียบโลกใหม่ [New World Order] ที่ตามมาด้วยโลกาภิวัฒน์อันเป็นยุคทุนนิยมเสรีฟุ้งเฟื่อง อเมริกาก็มีวิสัยทัศน์ใหม่ [New Vision] ในการอบรมคนไทยที่ไปเรียนต่อที่อเมริกา และในประเทศทางฝ่ายทุนนิยมเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ความมั่งคั่งและความใหญ่โตของอเมริกา
โดยเปลี่ยนจากการอบรมให้คนไทยเกลียดชังสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ว่าทำลายสถาบันครอบครัว ความเป็นเสรีชน และทำลายสถาบันกษัตริย์ มาเป็นให้เป็นประเทศทุนนิยมเสรีประชาธิปไตยอย่างถูกตามความประเทศที่เจริญแล้ว โดยอบรมให้แลเห็นว่าสถาบันกษัตริย์เป็นสิ่งที่กีดกั้นความเจริญทางสังคมประชาธิปไตยแทน ใช้แนวคิดทฤษฎีวิวัฒนาการ [Evolution] แบบหลุดโลกไปนานแล้ว และไม่มีการพูดถึงทฤษฎีโครงสร้างและหน้าที่ ถึงแม้ว่าจะล้าหลังไปแล้วก็ตาม แต่ยังใช้ในการถ่วงดุลกับทฤษฎีวิวัฒนาการแบบหลุดโลกได้ นั่นคือ
สถาบันกษัตริย์โดยเฉพาะพระมหากษัตริย์ยังทรงหน้าที่ในการรักษาโครงสร้างสังคมของคนไทยอยู่ จึงได้ไม่ทำให้บ้านเมืองขัดแย้งและฆ่าพันกันอย่างที่ในประเทศอื่น
พวกนักวิชาการดอกเตอร์ดอกตีนเสื้อแดงจากมหาวิทยาลัยใหญ่น้อยในเมืองไทยที่ออกมารับใช้เผด็จการทรราชทักษิณ-ยิ่งลักษณ์เหล่านี้ก็ยังเป็นกระบอกเสียงให้กับประชาธิปไตยทุนนิยมเสรีแบบอเมริกัน จึงออกมาเป็นตัวตั้งตัวตีกับการเรียกร้องของมวลมหาประชาชนที่ต้องการปฏิรูปโครงสร้างการเมืองการปกครองเสียใหม่เพื่อขจัดการปกครองแบบประชาธิปไตยสาธารณ์และทุนนิยมสามานย์ของเหล่าทรราช ที่ต้องการให้ปฏิรูปก่อนโดยสภาของประชาชนแล้วจึงให้มีการเลือกตั้ง
สิ่งที่ดูแล้วงี่เง่าก็คือ นักวิชาการสมองพิการเหล่านี้มองประชาธิปไตยเพียงแต่ต้องเลือกตั้งก่อน และความถูกต้องของการเป็นประชาธิปไตยต้องได้มาจากได้เสียงส่วนใหญ่ในการเลือกตั้งเท่านั้นเพียงอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงการซื้อเสียง การหลอกลวงผู้คนที่ตามไม่ทันโลกให้เข้ามาลงคะแนนให้
บรรดานักวิชาการเหล่านั้น ล้วนแสร้งเมินเฉยต่อความเป็นจริงที่การออกมาคัดค้านและการขับไล่ทรราชนั้น ไม่ใช่จากปัญหาการเป็นประชาธิปไตยแต่อย่างใด หากแต่เป็นปัญญาของความไม่โปร่งใสในการบริหารบ้านเมืองที่ทำให้เกิดการคอรัปชั่นกินบ้านกินเมือง ขายแผ่นดิน ขายทรัพยากรที่นำไปสู่การกดขี่แย่งชิงทรัพยากรและการฆ่าทำร้ายประชาชน
อีกทั้งนักวิชาการเหล่านี้ก็ไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์การเลือกตั้งของรัฐบาลทรราชที่เต็มไปด้วยใช้เงินและอำนาจ ซื้อเสียงเพื่อให้ได้ชนะการเลือกตั้ง รวมทั้งไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์การเป็นเผด็จการรัฐสภาที่อ้างแต่การมีเสียงส่วนมากที่ไม่ยอมฟังเสียงส่วนน้อยแต่อย่างใด
จากพฤติกรรมในการเป็นขี้ข้าทาสปัญญาอเมริกันของนักวิชาการเสื้อแดงแล้ว คนรุ่นใหม่ของมวลมหาประชาชนที่มีการตื่นรู้แล้ว ยังแลเห็นการเผยร่างเปลือยกายของรัฐบาลอเมริกันในฐานะผู้นำในการปกครองแบบประชาธิปไตยทุนนิยมในยุคโลกาภิวัฒน์ที่แท้จริงคือ การรวมกลุ่มรวมหัวกับประเทศทุนนิยมที่เป็นเครือข่ายต้องการที่จะแย่งทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์จากความหลากหลายทางชีวภาคของประเทศ ด้วยการเข้ามาลงทุนในเรื่องต่าง ๆ ทางอุตสาหกรรม เช่น การสร้างโรงงานอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้า ท่าเรือ และแหล่งเกษตรอุตสาหกรรมทั้งด้านพลังงานและเข้าครอบครองพื้นดินที่อยู่อาศัยและทำกิน จนคนไทยส่วนใหญ่จะหมดสภาพจากเคยเป็นเกษตรกรรมที่มีที่ดินมาเป็นกรรมกรแรงงานจ้างให้กับบรรดานายทุนนานาชาติ
สิ่งเหล่านี้คนผู้ตื่นรู้รุ่นใหม่ได้แลเห็นและมองออก ข้าพเจ้าอดนึกไม่ได้เมื่อเวลาที่เขียนบทความใด ๆ ที่เกิดความขัดแย้งกับนักวิชาการเสื้อแดงขี้ข้าอเมริกัน ก็มักถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกชาตินิยม คลั่งชาติ และเป็นพวกรอยัลลิสต์อะไรต่าง ๆ นานา
คนเหล่านั้นพยายามมอมเมาคนอื่น ๆ ด้วยวาทกรรมจากชาตินิยมหรือคลั่งชาติมาเป็นโลกไร้พรมแดนในยุคโลกาภิวัฒน์ และการทำอะไรต่าง ๆ จำเป็นต้องนึกถึงความเป็นคนอยู่โลกเดียวกัน อันเป็นการสวนทางกับความเป็นจริงของคนในโลกทั่วไปในเรื่องสำนึกบ้านเกิดเมืองนอน [Patriostism]
โลกไร้พรมแดนคือการโกหกคำโต ๆ ของอเมริกันที่ใช้เป็นวาทกรรมเพื่อการเข้าแย่งทรัพยากรของประชาชนที่ตามโลกไม่ทันเท่านั้น
แต่คนไทยรุ่นใหม่ที่ข้าพเจ้าเคยนึกประณามก่อนหน้านี้ว่าไม่เอาไหน ไม่นำพาต่อการโกงกินบ้านเมืองของรัฐทรราช กลับรู้ทันอย่างมีสติปัญญา คนส่วนใหญ่แลเห็นภาพพจน์และการกระทำของอเมริกาและประเทศในระบอบประชาธิปไตยสาธารณ์และทุนนิยมสามานย์ในยุคหลังสงครามเย็นและยุคโลกาภิวัฒน์ แลเห็นไอ้กันอยู่เบื้องหลังของรัฐบาลทรราชอย่างเต็มตา ทั้งการกระทำที่ซ่อนเร้นและออกหน้า ดั่งเห็นได้จากกระทรวงการต่างประเทศอเมริกาออกหนังสือส่งสารแสดงความคิดเห็นมาช่วยรัฐบาลทรราช ขอให้มีการเลือกตั้งก่อนเพื่อธำรงไว้ซึ่งความเป็นประชาธิปไตย
แต่การตื่นรู้ของมวลมหาประชาชนชาวสยามทุกภาคส่วน ทุกเพศทุกวัย ทุกชาติพันธุ์ และทุกศาสนาที่มีสำนึกมาตุภูมิ กำลังแสดงออกทางวาทกรรมของความเป็นประชาธิปไตยด้วยสิ่งที่ข้าพเจ้าเรียกว่า “ประชาธิปไตยจากข้างล่าง” อันเป็นประชาธิปไตยทางเลือกอย่างหนึ่ง อันที่ถ้าฉุกคิดอย่างมีสติปัญญาและความรู้แล้วก็จะเห็นได้ว่า
ประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่เป็นพื้นฐานของสังคมมนุษยชาติที่เกิดจากวิวัฒนาการของความเป็นมนุษย์มานานแล้ว แต่ปรากฏเป็นรูปธรรมขึ้นในช่วงเวลาและสถานที่ในสังคมมนุษย์ที่แตกต่างหลากหลายกันในพื้นพิภพ
อย่างเช่นสังคมนิยมประชาธิปไตยที่คนส่วนใหญ่เรียกว่าระบอบคอมมิวนิสต์นั้น ก็เป็นประชาธิปไตยอีกรูปแบบหนึ่ง แต่คนไทยถูกไอ้กันและมหาอำนาจทางฝ่ายทุนนิยมอบรมครองงำให้รู้จักแต่ประชาธิปไตยทุนนิยมเท่านั้น แล้วปิดตาให้มองสังคมนิยมประชาธิปไตยเป็นเพียงแค่ระบอบคอมมิวนิสต์อันเป็นระบอบเผด็จการ
ถ้าทบทวนให้มีสังคมนิยมประชาธิปไตยของรัสเซีย จีน และเวียดนามนั้น พัฒนาขึ้นจากการปกครองที่กดขี่ของรัฐเผด็จการและนายทุนที่แย่งชิงทรัพยากรและที่ดินของประชาชนจนเกิดความยากแค้นและอดอยาก จึงเกิดการลุกฮือ [Uprising] ของประชาชนจากเบื้องล่างขึ้นมาจัดการกับรัฐเผด็จการ โดยใช้ระบบคอมมิวนิสต์เป็นแนวทางวิธีการและกลไกที่สำคัญอย่างรุนแรงจนเกิดการฆ่าฟันกันขนานใหญ่ และสำเร็จลงด้วยความรุนแรงที่ทำให้ที่ดินทรัพยากรกลับคืนมาเป็นของแผ่นดิน ขจัดระบบนายทุนออกไป แต่ก็ประสบความเดือดร้อนอย่างฉิบหายวายวอดด้วยการรุกรานของอเมริกันและบรรดามหามิตรที่รวมทั้งไทยด้วย
แต่หลังจากที่เอาชนะไล่ไอ้กันได้สำเร็จ การปกครองประเทศที่เป็นเผด็จการคอมมิวนิสต์ก็ผ่อนคลายเพราะมีรัฐบาลที่มีความรักชาติรักแผ่นดิน นำเอาระบบทุนนิยมเสรีเข้ามาผสมผสาน และเปิดโอกาสให้คนเวียดนามที่เคยเป็นทุนนิยมที่ลี้ภัยต่างประเทศ โดยเฉพาะไปอยู่ในประเทศนายทุนเช่นอเมริกากลับคืนมาช่วยพัฒนาประเทศ ซึ่งคนเหล่านี้ล้วนแต่มีสำนึกในความรักชาติแผ่นดินเกิด ได้นำเอาทั้งความมั่งคั่งและความรู้สมัยใหม่และเทคโนโลยีมาช่วยพัฒนาประเทศ เช่น เวียดนามปัจจุบันมีระบบการเมืองทั้งทุนนิยมและสังคมนิยมที่อยู่กันอย่างมีดุลยภาพ ทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองล้ำหน้ากว่าประเทศไทยในขณะนี้
แต่ในการตื่นรู้ของคนไทยทั้งชาติทุกรุ่นทุกวัยทุกเพศ ชาติพันธุ์ และศาสนาในครั้งนี้มีทั้งสติปัญญา ความรู้และความรักชาติ [Patriotism] สร้างประชาธิปไตยทางเลือกที่ข้าพเจ้าเรียกว่าประชาธิปไตยจากข้างล่าง เพราะเกิดขึ้นฉับพลันเป็นฉันทามติ ใช้อำนาจของมวลมหาประชาชนปฏิวัติ ล้มล้างประชาธิปไตยนายทุนแบบอเมริกาในระบอบทักษิณ อันเป็นระบอบเผด็จการช่วยระบบอำมหิตของนายทุน แย่งชิงทรัพยากรที่ดินกดขี่ฆ่าฟันประชาชน เช่นทางสามจังหวัดภาคใต้ เป็นต้น และร่วมกับรัฐบาลเผด็จการเขมรฮุนเซน ขายประเทศ ขายทรัพยากรให้แก่ไอ้กันและประเทศมหาอำนาจ
แก่นแท้ของหลักที่จะเป็นพื้นฐานทางโครงสร้างใหม่ที่จะเกิดขึ้นก็คือ การล้มล้างระบบการปกครองและการบริหารที่รวมศูนย์ ยกเลิกพรรคการเมืองที่ผลักดันเข้ามามีอำนาจและโกงกินที่จะนำมาถกกันถึงเรื่องว่าจะให้มีการเลือกตั้งโดยผ่านตัวแทนแบบเดิมหรือเป็นประชาธิปไตยทางตรง ที่สัมพันธ์กับการกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่น กำจัดระบบการมีผู้ว่าราชการจังหวัดอันเป็นการปกครองส่วนภูมิภาคมาเป็นการปกครองท้องถิ่นที่มีประชาสังคม [Civil Society] เป็นพื้นฐาน
แต่ที่สำคัญอย่างสุด ๆ ก็คือ ทำลายล้างสถาบันตำรวจแห่งชาติให้หมดไป แล้วเปลี่ยนมาเป็นตำรวจของท้องถิ่นเพื่อดูแลสวัสดิภาพและความมั่นคงทางสังคมในระดับท้องถิ่นแทน เพราะที่เป็นอยู่ในขณะนี้ สถาบันตำรวจแห่งชาติคือเครื่องมือและกลไกในการรับใช้ทรราชในการขูดรีด กดขี่ และฆ่าพันประชาชนจนได้รับการขนานนามทั่วไปว่า รัฐในระบอบทักษิณ คือรัฐตำรวจที่มีตำรวจเป็นกองทัพ มียศชั้นสูงเช่นทหาร และแลเห็นประชานเป็นอริราชศัตรู
การปฏิวัติประเทศจากการปกครองประชาธิปไตยทุนนิยมแบบอเมริกาในระบอบทักษิณของมวลมหาประชาชนครั้งนี้ เป็นที่มหัศจรรย์ พร้อมพรั่งไปด้วยสติปัญญาและความรู้ที่เท่าทันโลก ในหมู่ผู้คนทุกรุ่น ทุกวัย ทุกเพศ ทุกเผ่าพันธุ์ และศาสนาที่ถูกผลักดันโดยสำนึกในความรักชาติรักแผ่นดินเกิดที่นักวิชาการเสื้อแดงกล่าวหาว่า คลั่งชาติ
และแสดงออกด้วยความกล้าหาญทางจริยธรรม [Moral Courage] ที่ผู้ที่มีความรู้ความสามารถในทุกภาคส่วนออกมาแสดงความคิดเห็นและพร้อมที่จะปฏิบัติการโดยไม่กลัวเกรงต่ออำนาจเผด็จการชั่วร้ายของทรราชที่ข่มขู่ด้วยการสร้างวินาศกรรม [Terrorism] ในขณะเดียวกันก็เกิดกระบวนการเรียนรู้ในเรื่องสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมืองขึ้นแก่เยาวชนและเด็กที่พากันออกมาแสดงออกอย่างร่าเริง
จากการที่เฝ้าติดตามการเคลื่อนไหวของมวลมหาประชาชนครั้งนี้ จากทั้งแลเห็นจากสื่อหลายรูปแบบ และจากประสบการณ์ที่เข้าไปร่วมและสังเกตการณ์ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเป็นการรุกฮือต่อต้านที่เป็นมหกรรมของความรื่นเริงเบิกบานในงานนักขัตฤกษ์มหรสพประจำปี คนทุกวัยทุกรุ่นแต่งตัวอย่างมีสีสันและมีสไตล์ทุกหมู่เหล่าพากันมาเป็นกลุ่ม เป็นครอบครัว มีอาหารการกินที่ฟรีและมีคุณภาพแก่คนทั่วไป ส่วนคนที่มีเงินก็เข้าร้านค้า ภัตตาคารซื้อกินและซื้อของกันอย่างรื่นเริง มีความสะดวกสบายในเรื่องระบบขับถ่ายและสถานที่รักษาพยาบาล แต่ที่สำคัญที่ยิ่งใหญ่ไม่มีการลักขโมยหรือทะเลาะเบาะแว้งกัน เพราะทุกคนมีเป้าหมายอันเดียวกันคือ “กู้ชาติ”
ข้าพเจ้าแลเห็นแสงสว่างของการกลับมาของศีลธรรมและจรรยาบรรณในหมู่มหาชนชาวสยามอีกวาระหนึ่ง
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comments