ข้าฯมา ข้าฯเห็น ข้าฯเข้าใจ : ปัตตานีกับความล้าหลังทางวัฒนธรรมที่ยังธำรงความเป็นมนุษย์
- ศรีศักร วัลลิโภดม
- 6 พ.ค. 2565
- ยาว 2 นาที
อัปเดตเมื่อ 5 ก.พ. 2567
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2547

เรืออวนรุนลำใหญ่โตออกจากอ่าวปัตตานีในยามเย็น เปรียบเทียบกับขนาดของเรือลอบหมึกและเรือกอและของชาวบ้านที่อยู่ด้านหน้า
ระหว่างเวลา ๒-๓ ปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้ามักมีโอกาสไปเยือนประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เขมร พม่า มอญ ลาว และญวนอยู่บ่อย ๆ สิ่งที่เห็นจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมในประเทศเหล่านั้น เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยแล้วทำให้รู้สึกว่า เรามีอะไรต่ออะไรทางวัตถุก้าวหน้าไปกว่าเขาไม่น้อยกว่า ๔๐-๕๐ ปี อีกนัยหนึ่งก็คือ เรามีความทันสมัยที่กระเดียดไปทางประเทศบ้านเมืองทางตะวันตกอย่างมากมายนั่นเอง
จนกระทั่งเมื่อปลายเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้ไปที่ปัตตานีเพื่อร่วมประชุมรายงานความก้าวหน้าของงานวิจัยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สนับสนุนทุนให้กับนักวิชาการท้องถิ่นดำเนินการ ก็ได้พบเห็นว่าแทบทุกแห่งในปัตตานีทั้งในเมืองและนอกเมือง มีการเคลื่อนไหวของผู้คนอย่างพลุกพล่านทั้งผู้ใหญ่ เด็ก และชายหญิง เพราะเป็นเวลาเทศกาลที่คนจะไปประกอบพิธีฮัจจ์ ในอาหรับมีทั้งคนที่เดินทางไปและคนที่ไปส่งอยู่ขวักไขว่ตามถนนหนทาง ภาพเช่นนี้ดูเหมือนกันกับที่พบเห็นในหมู่คนพม่า มอญ และไทใหญ่ในประเทศพม่าซึ่งข้าพเจ้าเพิ่งไปเยือนมา แต่เป็นสิ่งที่จะไม่พบเห็นในบรรดาคนไทยอีกเลยในขณะนี้ เพราะเวลาเทศกาลของคนไทยที่เป็นชาวพุทธนั้น ดูไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องของศาสนาทั้งในแง่บรรยากาศ ความเรียบง่าย และท่าทีที่เสมอภาคเป็นกันเองเหลืออยู่เลย กลับมีแต่ความวุ่นวาย โอ่อ่า และโอ้อวด รวมทั้งโอหังเข้ามาแทน คนแก่คนเฒ่าและลูกเด็กเล็กแดงไม่ค่อยพบ มีแต่คนกลางคน คนรุ่นหนุ่มสาว และวัยรุ่นเป็นส่วนใหญ่
เห็นแล้วจึงคิดได้ว่า ในประเทศไทยเองก็ยังมีคนมุสลิมนี่แหละ ที่ยังมีอะไรในเรื่องความเป็นมนุษย์ที่เหมือนกันกับคนไทใหญ่ คนพม่า คนมอญที่ได้เห็นมา ซึ่งก็ดูห่างไกลกว่าคนไทยชาวพุทธทั่ว ๆ ไปราว ๔๐-๕๐ ปีเช่นกัน
ความแตกต่างที่มีช่วงห่างระหว่างกันราว ๔๐-๕๐ ปี ระหว่างคนมุสลิมที่ปัตตานีกับคนพุทธและคนอื่น ๆ ในประเทศไทยก็คือ คนมุสลิมยังมีศาสนาเป็นวิถีชีวิตและพยายามที่จะธำรงสิ่งนี้ไว้ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมที่มาจากทั้งข้างในและข้างนอก ในขณะที่คนพุทธกลับให้ความสำคัญกับศาสนาน้อยลงกว่าเมื่อ ๔๐-๕๐ ปีก่อน คนชั้นกลางส่วนใหญ่แทบจะไม่มีศาสนาเลยก็ว่าได้ แต่ให้ความสำคัญแก่ความเชื่อทางไสยศาสตร์เข้ามาแทนที่ คงจะมีผู้คนในชนบทเท่านั้นที่ยังแลเห็นว่าศาสนายังเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตอยู่
ในหมู่คนมุสลิมสถาบันทางศาสนาการศึกษาและศีลธรรม ยังดำรงอยู่อย่างเป็นหลักชัยของชุมชนและการดำรงอยู่ร่วมกันของสังคมท้องถิ่น ความศรัทธาในพระศาสนายังเป็นที่มาของอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่จรรโลงชุมชนทางศีลธรรม [moral community] อย่างมั่นคง ซึ่งเห็นได้จากมิติโครงสร้างสังคม อันได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนในท้องถิ่นเดียวกันอย่างเป็นปึกแผ่น จากมิติทางเศรษฐกิจอันได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติในการปรับตัวเองเข้ากับสภาพแวดล้อมทางนิเวศเพื่อการดำรงอยู่ร่วมกันในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุลและยั่งยืน และมิติทางจิตวิญญาณอันได้แก่ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งนอกเหนือธรรมชาติที่เห็นได้จากการทำพิธีละหมาดประจำวัน ๆ ละ ๕ ครั้ง และกระบวนการศึกษาอบรมทั้งทางโลกและทางธรรมของเด็กและผู้ใหญ่ที่มัสยิดและปอเนาะ รวมทั้งความปรารถนาสำคัญในชีวิตที่จะไปจาริกแสวงบุญที่เมกกะ ในขณะที่ในหมู่คนพุทธส่วนใหญ่นั้น ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนเป็นเรื่องของความเป็นปัจเจกและผลประโยชน์ทางวัตถุ ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติในทางเศรษฐกิจก็เป็นเรื่องของการลงทุนทำลายสภาพแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติเพื่อผลผลิตในเรื่องกำไรและการค้าแบบเสรีแต่เพียงอย่างเดียว เกือบจะพูดได้ว่าแทบทุกวันนี้ตามบ้านและเมืองในท้องถิ่นต่าง ๆ เกือบมองไม่เห็นธรรมชาติ แต่เต็มไปด้วยสภาพแวดล้อมเทียมที่มีแหล่งอุตสาหกรรมที่เป็นป่าคอนกรีตเต็มไปหมด และความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งนอกเหนือธรรมชาติก็เป็นเรื่องทางไสยศาสตร์ที่ต้องการเอาอำนาจศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นมาเยียวยาความอยากทางวัตถุและเสริมสร้างการดำรงอยู่อย่างเป็นปัจเจกที่มีการละเมิดศีลธรรมและทำลายความเป็นมนุษย์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน อำนาจสาธารณ์ที่มาจากอิทธิพลทางเศรษฐกิจการเมืองที่ได้รับฉันทานุมัติจากรัฐในรูปของกฎหมายก็ดี หรือจากบรรดาผู้มีอิทธิพลและกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ก็ดี ล้วนรังสรรค์ให้เกิดคนที่มีอำนาจและสถาบันใหม่ๆ ที่ทำลายสังคมและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่เคยดำรงมาอย่างราบรื่นแต่หลายรอบปีที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง คนและสถาบันเหล่านี้ก็คือบรรดาผู้ใหญ่บ้าน กำนัน อบต. อบจ.และอะไรต่าง ๆ ที่มีอำนาจรัฐและกฎหมายในการดำเนินการอย่างไรก็ได้ในสังคมท้องถิ่น ทุกวันนี้วัดวาอารามและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาและความเชื่ออื่น ๆ ที่เคยเป็นกลไกในการสร้างความเป็นอยู่อย่างสันติสุขและธำรงความเป็นมนุษย์ที่มีศีลธรรมให้แก่ผู้คนในอดีตได้ถูกละเลยและเปลี่ยนแปลงให้เป็นเครื่องมือหรือสิ่งที่สร้างบารมีให้แก่บรรดาปัจเจกบุคคลที่เป็นมาเฟียและเจ้าพ่อทางเศรษฐกิจการเมืองทั้งในระดับท้องถิ่นและรัฐสภาอย่างมีความชอบธรรม

ชาวปัตตานีมารับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประพาสหัวเมืองมลายู
ข้าพเจ้ามีความคุ้นเคยกับนิเวศทางวัฒนธรรมของคนมุสลิมในพื้นที่เทือกเขาสันกาลาคีรีมาไม่น้อยกว่า ๔๐ ปีที่ผ่านมา เคยแลเห็นความอุดมสมบูรณ์และร่มรื่นของบริเวณที่มีความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรมที่ดีที่สุดในภาคใต้ของประเทศไทยก็ว่าได้ เป็นระบบนิเวศที่มีทั้งพื้นที่ชายทะเล ที่ราบลุ่มชุมชนเป็นป่าพลุ ที่ราบขั้นบันไดที่เหมาะกับการเพาะปลูก และที่ลาดที่เหมาะกับการทำสวนผลไม้ ป่าเขาที่เต็มไปด้วยของป่าและแร่ธาตุ รวมทั้งมีพื้นที่ภายในที่ติดต่อข้ามเทือกเขาเข้าไปยังบ้านเมืองในประเทศมาเลเซีย แต่ที่สำคัญก็คือเป็นบริเวณที่มีลำน้ำปัตตานีอันเป็นลำน้ำยาว สายหนึ่งหล่อเลี้ยงพาโคลนตะกอนมาทับถมทำให้เกิดอ่าวปัตตานี ที่มีทั้งทะเลตมและป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์ด้วยหอยปูปลานานาชนิด มีอ่าวที่เรือสินค้าจากภายนอกมาจอดทอดสมอและมีสันทรายชายทะเลที่เป็นแหล่งตั้งถิ่นฐานชุมชนบ้านเมืองยาวตลอดไปจนถึงนราธิวาส
ตำแหน่งที่ตั้งและความสำคัญทางนิเวศดังกล่าวนี้ คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดรัฐและบ้านเมืองสำคัญมากว่าพันปี ซึ่งถ้ามองอย่างปราศจากอคติโดยยึดเอาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ โบราณคดีมาอธิบายแล้ว ก็สามารถพูดได้ว่า ปัตตานีเป็นแหล่งที่ตั้งของรัฐโบราณที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดของแหลมมลายูในสมัยศรีวิชัยทีเดียว ป่วยการมาคุยหรือถกกันว่าจะเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัยที่นักท้องถิ่นนิยมทั้งภายในและภายนอกชอบทะเลาะกัน ข้าพเจ้าให้ความสำคัญสมัยศรีวิชัยในลักษณะที่เป็นยุคสำคัญของการค้าทางทะเลของเครือข่ายบ้านเมืองที่อยู่บนแหลมมลายูและหมู่เกาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๖ ที่อยู่ในกระแสการนับถือพุทธศาสนามหายาน เป็นยุคที่มีการขยายตัวของเส้นทางการค้าและเกิดบ้านเมืองและรัฐที่นับถือพุทธศาสนามหายานอย่างกว้างขวางในภูมิภาค ปัจจัยที่ทำให้รัฐโบราณแห่งนี้พัฒนาขึ้นมาจนมีความสำคัญก็คือ ตำแหน่งที่ตั้งซึ่งอยู่บนเส้นทางข้ามคาบสมุทรจากอ่าวปัตตานีไปตามลำน้ำปัตตานีข้ามเทือกเขาไปยังไทรบุรี และเปรัคในมาเลเซียทางฝั่งตะวันออก มีหลักฐานจากศิลาจารึกที่สัมพันธ์กับพุทธศาสนามาตั้งแต่สมัยฟูนัน รวมทั้งพบศิวลึงค์และโบราณวัตถุในศาสนาฮินดูในที่ต่าง ๆ ด้วย พบถ้ำศักดิ์สิทธิ์ที่มีมาแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่สืบทอดลงมาจนถึงสมัยศรีวิชัย ลพบุรี อยุธยา และกรุงเทพฯ แต่ที่สำคัญก็คือการพบซากเมืองโบราณขนาดใหญ่ในเขตอำเภอยะรังที่อยู่ต่อเนื่องจากสมัยทวารวดี ศรีวิชัย จนถึงอยุธยาตอนต้น ก่อนที่จะเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามและย้ายตำแหน่งเมืองมาอยู่ที่สันทรายชายทะเลที่รู้จักกันในนามว่าเมืองปัตตานี
แม้ว่าแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ปัตตานีนี้จะถูกผนวกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในราชอาณาจักรสยาม แต่ผู้คนพลเมืองที่เป็นคนมุสลิมก็อยู่กันมาอย่างสงบสุขเพราะทางกรุงเทพฯ ไม่เข้าไปจุ้นจ้านจัดการอะไรในระดับความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ทำให้คนมุสลิมอยู่ในโลกของตัวเองแบบประเพณีที่การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเมืองจากภายนอกไม่เข้าไปรุกล้ำ
ความขัดแย้งจากภายนอกที่เข้ามาเป็นพัก ๆ ยกตัวอย่างเช่น การสร้างชาตินิยมและรัฐนิยมให้คนสวมหมวกเลิกกินหมากในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี หรือในสมัยหลังลงมาที่มีการส่งพวกทหารผ่านศึกเข้าไปตั้งถิ่นฐานในภาคใต้ ดูเหมือนอิทธิพลจากภายนอกที่เข้าไปสร้างความปั่นป่วนให้กับวัฒนธรรมมุสลิม ที่สำคัญก็คือ ความพยายามของรัฐที่ผ่านกระทรวงศึกษาธิการเข้าไปจัดตั้งเรื่องการศึกษา การให้เรียนภาษาไทย และการออกกฎเกณฑ์ในการแต่งกายของคนมุสลิม แต่กระนั้นก็ดี ในระดับชาวบ้านท้องถิ่น ชีวิตความเป็นอยู่ในทางเศรษฐกิจและสังคมของผู้คนทั้งชาวบ้านชาวเมืองที่เป็นคนมุสลิมและคนพุทธก็ยังคงดำรงอยู่ด้วยความราบรื่น ต่างก็เข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติเหมือนกันในระดับที่ยั่งยืนและกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมในนิเวศทางวัฒนธรรม ชุมชนคนพุทธมีวัดและโรงเรียนเป็นศูนย์กลาง ในขณะที่คนมุสลิมมีมัสยิดและแหล่งฝังศพเป็นอัตลักษณ์ของชุมชน แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาของคนมุสลิมคือ ปอเนาะ อันเป็นโรงเรียนสอนศาสนาสำหรับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ปอเนาะนี้แหละคือสถาบันที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของปัตตานี ดูเหมือนเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงน้อยทั้งในรูปแบบและอุดมการณ์ ยกตัวอย่างเช่น มัสยิดยังมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบทรวดทรงอาคาร จากเครื่องไม้มาเป็นอิฐและคอนกรีตที่มีโดมเป็นสัญลักษณ์ แต่ปอเนาะยังคงแบบกลุ่มกระท่อมที่นักเรียนนักศึกษามาสร้างอยู่รอบๆสำนักเรียนและที่อยู่อาศัยของโต๊ะครูกลุ่มกระท่อมหรือกลุ่มเรือนนี้อยู่ในแมกไม้ที่แลเห็นแต่ไกลจากชายทุ่งหรือริมถนนหนทาง เป็นสิ่งที่สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างครูและศิษย์ในชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายและไม่เหลื่อมล้ำจนเกินไป

การใช้ชีวิตเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับวิถีทางศาสนา คือหัวใจของคนมุสลิมในปัจจุบัน
การฟังธรรมที่มัสยิดกลางยะลาในช่วงวันหยุด
สัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของสังคมที่เสมอภาคอย่างสังคมมุสลิมก็คือ กูโบร์ หรือป่าช้าฝังศพ คนตายทุกคนเท่ากันหมดในพื้นที่ฝังศพที่มีก้อนหินหรือเสาหินเสาไม้ปักหัวท้าย ความร่ำรวยอาจสะท้อนให้เห็นเพียงเล็กน้อยจากหินหรือเสาที่เป็นสัญลักษณ์ของหลุมศพ ยกเว้นศพของผู้นำหรือบุคคลที่มีคุณธรรมเท่านั้นที่มีการสร้างอาคารหรือหีบศพแสดงสถานภาพ ซึ่งก็อาจมีเพียงแห่งหนึ่งหรือสองแห่งเท่านั้น เพราะต่อพระพักตร์ของพระเจ้านั้นทุกคนเท่ากันหมดและสิ่งที่ถูกตอกย้ำจากการทำละหมาดวันละ ๕ ครั้ง
ข้าพเจ้าชอบไปเที่ยวปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เพราะแลเห็นชุมชนแบบกระท่อมไม้ไผ่และใบจากตามชายทะเลของชาวประมงที่จับปลาหากินด้วยเรือกอและชุมชนหมู่บ้านที่มีเรือนไม้รูปแบบต่าง ๆ ที่อยู่ในท้องถิ่นภายในที่สัมพันธ์กับแมกไม้และเรือกสวนผลไม้นานาชนิด สภาพและลักษณะเหล่านี้แหละที่คนจากภายนอกที่เป็นพวกวัตถุนิยมพากันคิดและตำหนิว่าล้าหลังและยากจน แต่ข้าพเจ้าเห็นว่านี่แหละคือมนุษย์ เพราะนอกจากแลเห็นชีวิตของคนในครอบครัวที่มีปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ พี่น้อง และลูกหลาน ที่อยู่ร่วมกันและสัมพันธ์กันอย่างสงบสุขแล้วผู้คนทั้งหลายในชุมชนท้องถิ่นต่างรู้จักกันหมดในลักษณะที่เป็น คนใน เหมือนกัน
สังคมมุสลิมเป็นสังคมที่มีความเป็นปึกแผ่นและพลังสูง เพราะดำรงอยู่ในลักษณะที่เป็นกลุ่มก้อน คนรู้จักกันหมด แทบไม่มีความเป็นปัจเจกและการเป็นคนนอก ตรงนี้แหละกระมังที่อมนุษย์ในสังคมทุนนิยมแบบปัจเจกที่คิดว่าเจริญก้าวหน้าไปกว่าเขา ๔๐ หรือ ๕๐ ปีดูหมิ่นดูแคลนว่ายากจนและล้าหลัง เลยจำเป็นต้องมีการพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองเป็นการใหญ่
ประมาณเกือบสิบปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าไปเที่ยวดูชุมชนชายทะเลของปัตตานีกับสุจิตต์ วงษ์เทศและครอบครัว ดูตั้งแต่เห็นแบบเก่าจากบ้านบางปูไปจนถึงปะนาเระและยะหริ่ง เพราะเป็นบริเวณที่เห็นธรรมชาติและความเป็นอยู่อย่าง่ายๆ ของชีวิตผู้คน แต่ก็ได้พบเห็นสิ่งที่ทำให้ต้องจดจำมาจนวันนี้ นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในท้องถิ่นของคนมุสลิม การเปลี่ยนแปลงที่เป็นภายในก็คือมีการให้พื้นที่ใกล้ทะเลที่เคยเป็นที่ปลูกมะพร้าวหรือเพาะปลูกพืชพันธ์มาเป็นการทำนากุ้งเป็นหย่อม ๆ ไป แต่ที่สำคัญก็คือการเปลี่ยนแปลงที่มาจากข้างนอก เพราะช่วงเวลาที่ไปที่บ้านปะนาเระนั้น ชาวบ้านทั้งละแวกที่อยู่ชายทะเลต่างออกมาชุมนุมวิพากษ์วิจารณ์ขบวนเรือประมงขนาดใหญ่ที่กำลังใช้เครื่องมือทันสมัยลากหอยลายอยู่ในท้องทะเล ชาวบ้านบอกว่าขบวนเรือนี้มีเรือประมงทางวิชาการของกรมประมงของอธิบดีกรมประมงคนดังในสมัยนั้นลำหนึ่งเป็นเรือนำร่อง แล้วมีเรืออวนรุนของนายทุนจากบรรดาบริษัทส่งออกหอยลายที่เมืองปัตตานีอีก ๑๑ ลำมาสมทบ เรือประมงลำหนึ่งสามารถลากหอยลายได้หลายสิบตันในวันหนึ่ง ๆ นับเป็นการทำลานสัตว์น้ำนานาชนิดตามชายฝั่งทะเลอย่างน่าสะพรึงกลัว เพราะมีผลกระทบกับการประมงของชาวบ้านมุสลิมที่หากินจับปลาเบญจพรรณด้วยเรือกอและซึ่งลำหนึ่งจับได้เพียง ๑๒ กิโลกรัมต่อวัน ชาวบ้านร้องทุกข์ว่า การทำเช่นนี้พวกตนจะมีอะไรเหลือให้จับอีก ข้าพเจ้าเกิดความรู้สึกที่ลำเอียงทันทีว่า สิ่งที่เห็นต่อหน้าต่อตานี้คือการกระทำที่ป่าเถื่อน อันจะเกิดขึ้นได้แต่พวกที่เป็นอมนุษย์เท่านั้น ข้าพเจ้าไม่ได้ติดตามว่าคนที่เป็นผู้แทนหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่รับผิดชอบได้จัดการอะไรลงไปแต่ว่าในเวลาที่ผ่านมานานพอสมควร ได้มีการจัดเวทีชาวบ้านโดยผ่านสื่อทางทีวีของดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ได้เชิญคนมุสลิมที่อาวุโสและชาวบ้านมาพบปะและสนทนากับอธิบดีกรมประมงคนดังคนนั้นและบุคคลที่เกี่ยวข้อง ในขั้นแรกอธิบดีคนดังกล่าวพูดอย่างมั่นใจด้วยความรู้ทางการประมงและกฎหมายเกี่ยวกับชายฝั่งทะเล โดยระบุว่า บรรดาเรือประมงอวนรุนเหล่านั้นมีสิทธิโดยชอบธรรมตามกฎหมาย แต่ครั้นพบชาวบ้านออกมายืนยันการกระทำที่แย่งทรัพยากรที่พวกเขามีสิทธิตามชายฝั่งอย่างหนักแน่นในลักษณะที่สื่อให้คนดูและคนฟังรายการทีวีเข้าใจและเห็นใจได้ อธิบดีคนดังคนนั้นก็หันมาจับมือกับชาวบ้านทันที
สิ่งที่ชาวประมงมุสลิมพูดที่จำมาได้จนทุกวันนี้ก็คือ “ชายฝั่งทะเลนั้น แต่ก่อนพรุนไปด้วยที่อยู่อาศัยของหอยปูปลาและกุ้งนานาชนิด ที่พวกตนได้จับ ได้กิน และได้ขายเพื่อยังชีพด้วยเรือกอและมาช้านาน บัดนี้ บรรดาเรืออวนรุนเหล่านั้นยกเป็นขบวนมาลากจนพื้นทะเลราบเรียบเป็นสนามกอล์ฟไปหมดแล้ว จะหาปลาได้อย่างไร”
ข้าพเจ้าไม่ได้ติดตามว่า หลังจากการจับมือแสดงสัญญาของสุภาพบุรุษระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับชาวบ้านในหน้าจอทีวีจากวันนั้นแล้วมีอะไรเกิดขึ้น แต่ประมาณ ๓-๔ ปีต่อมา เมื่อมีโอกาสกลับไปที่บ้านปะนาเระอีกครั้งหนึ่ง ก็พบการเปลี่ยนแปลงมากกว่าเดิม นั่นคือ ชาวบ้านหาประหลาด้วยเรือกอและแบบเดิมแต่ต้องเพิ่มการจับหอยปูปลาจาก ๑๒ กิโลกรัม มาเป็น ๒๐-๓๐ กิโลกรัมต่อวัน และชายทะเลที่เคยสะอาดกลับสกปรกเต็มไปด้วยกองซากขยะ ซากหอย ปู ปลา กระจายอยู่ทั่วไป ในขณะเดียวกันพื้นที่ซึ่งเคยเป็นสวนมะพร้าวและที่ทำการเพาะปลูก ก็เปลี่ยนเป็นแหล่งที่เลี้ยงกุ้งเลี้ยงปลากระจายไปทั่ว ปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้ ถ้าจะวิเคราะห์ให้เห็นถึงผลของการเปลี่ยนแปลงเชิงมานุษยวิทยาแล้วก็พอจะชี้ให้เห็นได้ว่า มีการเปลี่ยนแปลงที่มาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมขึ้น การทำนากุ้งและการทำประมงจับปลาแบบอวนรุนเพื่อให้ได้ผลผลิตในการส่งออกนั้น มีทั้งมาจากข้างนอกและข้างใน ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความสัมพันธ์ทางสังคมทั้งระหว่างคนในชุมชนมุสลิมเอง กับระหว่างคนในและคนนอก
ในระหว่างคนในนั้น เกิดกลุ่มคนที่มีความสามารถในการประกอบการลงทุนและเป็นนายทุนขึ้นมา ในขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างคนที่เป็นนายทุนหรือผู้ประกอบการจากภายนอกกับคนภายในที่เป็นแรงงานหรือผู้ผลิตก็ห่างเหินเกินระดับที่ต่างพึ่งพิงซึ่งกันและกันมาเป็นการเก็งกำไรและเอาเปรียบซึ่งกันและกัน ผลที่ตามมาคือ การใช้ทรัพยากรของท้องถิ่นแบบดั้งเดิมอย่างยั่งยืนและมีดุลยภาพให้ชีวิตวัฒนธรรมที่ราบรื่นแก่การดำรงอยู่ในมิติทางโลกทัศน์และค่านิยมของคนมุสลิมได้ถูกทำลายลงอย่างรวดเร็วทุกเมื่อเชื่อวัน ปรากฏการณ์ในเรื่องการทำลายและแย่งทรัพยากรท้องถิ่นของคนท้องถิ่นที่อยู่ในระบบนิเวศทางวัฒนธรรมเช่นนี้ หาใช่พบเห็นแต่เพียงในท้องถิ่นของคนมุสลิมที่ปัตตานีเท่านั้น หากยังเป็นปรากฏการณ์ของแทบทุกหนแห่งในดินแดนประเทศไทยที่นับวันจะรุนแรงขึ้นทุกที
สิ่งที่ข้าพเจ้าพูดมาแต่ต้นนี้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นการมองจากคนภายนอก และวิเคราะห์จากข้อมูลภายในที่ผิวเผินและจำกัด จึงทำให้เกิดความคิดที่อยากจะทราบความรู้สึกนึกคิดของคนภายในท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจการเมืองจากภายนอกว่า รู้สึกอย่างไร คิดอย่างไร และได้รับความเดือดร้อนอย่างไร รวมทั้งผลกระทบที่เกิดขึ้นอันทำให้สังคมและวัฒนธรรมของคนภายในที่เรียกว่า ชีวิตวัฒนธรรม ของเขาเปลี่ยนแปลงไปเช่นใด
แต่การศึกษาวิจัยในสังคมไทยที่ผ่านมาร่วมสีสิบปีนั้น ดูเหมือนไม่มีการเปิดโอกาสให้คนภายในท้องถิ่นได้ทำการศึกษาวิจัยเพื่อให้เห็นความเป็นจริงทางสังคมวัฒนธรรมในมุมมองของคนภายในท้องถิ่นแต่อย่างใด ซึ่งสิ่งดังกล่าวนี้ เห็นได้ชัดจากโครงการวิจัยต่างๆ ในการพัฒนาเศรษฐกิจการเมืองของรัฐนั้น จะเป็นการดำเนินการโดยคนจากภายนอกทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่ตามอุดมคติของการพัฒนาแบบมีแผน [planned change] นั้น ควรมีการรับรู้และมีส่วนร่วมในการดำเนินการและการตัดสินใจจากคนภายในด้วย
ดังนั้น ความต้องการที่จะแลเห็นการศึกษาวิจัยการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจการเมืองและสังคมวัฒนธรรม โดยคนภายในชุมชนท้องถิ่นจึงเกิดขึ้น ด้วยความเห็นชอบและสนับสนุนทุนวิจัยของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย โดยมีข้าพเจ้าทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานของโครงการ เป็นโครงการที่ใช้เวลา ๑ ปี ๖ เดือน ที่แบ่งเป็นโครงการย่อยตามท้องถิ่นต่าง ๆ ในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศจำนวน ๕ โครงการ โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นนักมานุษยวิทยาอาวุโสผู้ผ่านงานวิจัยทางมานุษยวิทยาอย่างเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปมาเป็นที่ปรึกษา ๓ ท่าน คือ ดร.มรว.อคิน รพีพัฒน์ ดร.สุเทพ สุนทรเภสัช และรศ.ปรานี วงษ์เทศ
โครงการศึกษาสังคมและวัฒนธรรมคนมุสลิมที่ปัตตานีนับเนื่องเป็นโครงการย่อยโครงการหนึ่งในการสนับสนุนทุนวิจัยของ สกว. บัดนี้การดำเนินโครงการที่ผ่านมาได้ ๖ เดือน อันเป็นเวลาที่จะต้องมีการนำข้อมูลมาวิเคราะห์และเสนอเป็นรายงานความก้าวหน้าในระยะแรก เพื่อเป็นประโยชน์แก่นักวิชาการและผู้ที่สนใจจะได้รับทราบและช่วยกันวิพากษ์วิจารณ์ให้เกิดความคิดเห็นที่จะสร้างสรรค์ต่อไป
ในโครงการวิจัยที่จังหวัดปัตตานีนั้น ได้กำหนดเอาชุมชนท้องถิ่น ๒ แห่ง เป็นแหล่งศึกษา คือชุมชนบ้านพระครู(ชื่อสมมุติ) อันเป็นชุมชนชาวประมงอยู่ติดชายทะเลของจังหวัดปัตตานี และชุมชนบ้านภูมิ (ชื่อสมมุติ) ซึ่งเป็นชุมชนภายในสัมพันธ์กับพื้นที่เรือกสวนไร่นา ชุมชนแรกได้นักวิจัยท้องถิ่นที่เป็นคนในมัสยิดเป็นผู้ดำเนินการ ในขณะที่ชุมชนหลังมีโต๊ะครูและคนในปอเนาะเป็นนักวิจัยหลัก การดำเนินการขั้นแรกในระยะ ๖ เดือนที่ผ่านมาเป็นการรวบรวมข้อมูลทางชาติพันธุ์ของชุมชนในท้องถิ่นนับแต่สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ ประวัติความเป็นมาของผู้คนในชุมชน ความสัมพันธ์ทางสังคม ระบบเศรษฐกิจ ศาสนาความเชื่อ ประเพณีพิธีกรรม การศึกษาอบรม การปกครอง และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรม อันมีเหตุมาแต่ภายนอกและภายใน ข้อมูลเหล่านี้ได้นำมาเชื่อมโยงให้เป็นความรู้ในเรื่องชีวิตวัฒนธรรมของคนในท้องถิ่น ซึ่งถ้าหากจะเป็นการศึกษารวบรวมจากคนภายนอกแล้ว ต้องใช้เวลาและไม่ละเอียดลึกซึ้งพอ รวมทั้งอาจจะไม่เป็นที่ยอมรับของคนภายในได้แต่ข้อมูลและความรู้ที่คนภายในรวบรวมและสร้างขึ้นนี้ ก็มีจุดอ่อนเพราะเป็นสิ่งที่เป็นอุดมคติหรือที่คนภายในคิดว่าควรจะเป็น จึงมีลักษณะเป็นภาพนิ่ง ยังไม่แลเห็นความเป็นจริงที่เปลี่ยนแปลงไป ประโยชน์ของความรู้ทางชาติพันธุ์ที่สร้างขึ้นโดยคนภายในนี้ ก็คือเป็นฐานของความรู้ที่จะต้องนำมาตั้งคำถามและตีความเพื่อแลให้เห็นภาพเคลื่อนไหวที่เปลี่ยนแปลงไปตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นเรื่องที่นักวิจัยจากภายนอกตลอดจนที่ปรึกษาอาวุโสจะเข้ามาทำการศึกษาและวิเคราะห์ร่วมกันกับคนภายใน

เด็กๆ ในตาดีกาบ้านดาโต๊ะช่วงยามเย็น การใช้เวลาของเด็กๆ ชาวมุสลิมเคร่งครัดในเรื่องศาสนามากกว่าชีวิตแต่เดิมมาก
ผลจากการดำเนินการวิจัยในระยะ ๖ เดือนแรกนี้ พอสรุปให้เห็นได้ว่า ชีวิตวัฒนธรรมของคนมุสลิมในเขตปัตตานีทั้งพวกที่มีอาชีพหลักในการทำประมงและทำสวนไร่นานั้น ยังดำรงอยู่ในพื้นที่ทางวัฒนธรรมหรือท้องถิ่นอันประกอบด้วยชุมชนหลายชุมชนที่มีความสัมพันธ์กันทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ชุมชนแต่ละแห่งจะมีมัสยิดเป็นศูนย์กลางในการทำพิธีกรรมทางศาสนา การศึกษาและการจัดการในกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชน ความเป็นชุมชนจะมีขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีมัสยิด และมัสยิดจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าหากไม่มีคนภายในจำนวน ๔๐ ท่านรวมกันจัดตั้งขึ้น ความสำคัญของมัสยิดอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญคือ ให้การศึกษาแก่เด็กตั้งแต่เล็กในชุมชนทั้งทางโลกและทางธรรม นับเป็นจุดเริ่มต้นการ อบรมทางสังคม [socialization] ที่สำคัญที่ชุมชนในยุคโลกาภิวัตน์แทบจะไม่มี
เพราะฉะนั้น อาจกล่าวได้ว่า มัสยิดก็คือสถาบันทั้งทางศาสนาและการศึกษาที่ขาดไม่ได้ในการอยู่รวมกันเป็นชุมชนของคนมุสลิมนั้นเอง แต่ที่ปัตตานี การดำรงอยู่ของชุมชนและท้องถิ่นทางสังคมยังมีสถาบันทางศาสนาและการศึกษาอีกอย่างหนึ่งรวมอยู่ด้วย คือ ปอเนาะ อาจจะไม่พบในทุกชุมชน แต่ในระดับท้องถิ่นจะมีอยู่ทั่วไปจนอาจกล่าวได้ว่าเป็นอัตลักษณ์ในสังคมท้องถิ่นของปัตตานีก็ว่าได้
ปอเนาะคือสถาบันที่ให้การศึกษาทั้งทางศาสนาและทางโลกแก่เด็กที่โตในระดับมัธยมและชายหญิงทั่วไปที่แม้จะเรียนจบขั้นอุดมศึกษาแล้วก็ตาม นับเป็นสิ่งที่พัฒนาขึ้นเพื่อการดำรงอยู่อย่างพึ่งตนเองของสังคมมุสลิมมาตั้งแต่ก่อนการขยายตัวการศึกษาของรัฐในระดับมัธยมและอุดมศึกษาเข้าไป ความเป็นปอเนาะเกิดจากคนดีมีความรู้ที่เป็นครูอาจารย์ทำที่อยู่อาศัยของตนให้เป็นอาศรมแล้วให้คนที่เข้ามาเป็นลูกศิษย์สามารถปลูกกระท่อมที่พักอาศัยรวมอยู่ได้ในบริเวณที่ทั้งเรียนไปและอยู่ไปตามอัธยาศัย
ทำให้มีลักษณะเป็นชุมชนเล็กๆ ภายในท้องถิ่น สถาบันปอเนาะนี้แหละที่ให้การศึกษาอบรมที่ทำให้ศาสนาอิสลามเป็นวิถีชีวิตของคนมุสลิมและโลกมุสลิมในปัตตานี ซึ่งอาจนับได้ว่าเป็นสถาบันสำคัญที่จรรโลงความสัมพันธ์ทางสังคม โลกทัศน์ และค่านิยมของคนมุสลิมไม่ให้เปลี่ยนแปลงไปได้ง่ายๆ แม้จะมีการรุกล้ำทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมจากภายนอกก็ตาม
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Kommentare